650722 แดนศิวิไลอยู่ที่นี่ ต้องตำหนิสิ่งที่ควรตำหนิ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1yeZHXq5Cc1ijnXGfr8qrOMWcCzZ3BSj-owVOXyQ1CvM/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://terabox.com/s/1mzk2WfKqxid8d1hxcflVyQ
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.gg/v/eqiss0cllH/
และ https://youtu.be/c3nRMZtQpS4
สมณะเดินดิน…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 9 ค่ำเดือน 8 ปีขาล ครั้งที่แล้วเราได้ฟังประเด็นเรื่องการเป็นอยู่คนเดียว สมัยก่อนเคยอ่านพระไตรปิฎกมีประโยคทอง ที่บอกว่าใครจะเป็นอรหันต์ ต้องปลีกออกไปจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียวไม่ช้าไม่นานก็ได้เป็นพระอรหันต์ ซึ่งมันทำให้คนออกนอกเป้าที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ แต่มันตรงกันข้ามกับ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ ซึ่ง 2 ประโยคนี้ดูจะตรงกันข้ามกันเลย แต่คนก็เลือกประทับใจเอาสิ่งที่ตนเองชอบไปปฏิบัติ
หรือแม้แต่เด็กที่อยู่กับพวกเรา ถ้าใครเป็นลูกคนเดียวถูกพ่อแม่ตามใจ ก็มักจะเป็นคนมีอัตตาสูง แต่เมื่อมาเข้าไปอยู่ในขบวนการกลุ่มก็จะมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
ผู้ใหญ่ที่มาอยู่กับพวกเรา จะมีพัฒนาการที่ช้ามาก ถ้าอยู่แต่เพียงผู้เดียว เปลี่ยนแปลงตัวเองได้น้อยมากช้ามาก เพราะไม่มีกระบวนการสังเคราะห์ ธรรมวิจัย
แต่เด็กที่มาอยู่กับพวกเรา 6 ปีได้อยู่กับบวร บ้าน วัด โรงเรียน อยู่กับสังคม จะมีพัฒนาการได้อย่างรวดเร็ว มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ตนเองพัฒนาเติบโตก้าวหน้าได้อย่างสำคัญ
พ่อครู เอาพระสูตรเรื่องการอยู่แต่ผู้เดียวมาให้พวกเราเรียนรู้ ว่า การอยู่แต่เพียงผู้เดียวคือการที่ไม่มีกิเลสนิวรณ์ 5 มารบกวนนั่นเอง แม้จะอยู่กับคนมากมายแต่จิตไม่ได้มีนิวรณ์มา รบกวน
พ่อครูว่า… เอา SMS ขึ้นมาก่อน
ทำไมพ่อครูต้องตำหนิ แม้อาจทำให้ลูกศิษย์ลูกหาท่านไม่พอใจ
_จากลูกห่างพ่อ : ในทุกเรื่องที่พ่อครูสอนและพาทำดิฉันเห็นด้วยและทำตามในหลายๆเรื่อง วันนี้ยอมรับว่าดิฉันเป็นคนดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากด้วยการลดละกิเลสตัวร้ายตามที่พ่อครูพร่ำสอน
คำถามคือดิฉันมีความไม่สบายทุกครั้งที่พ่อครูเทศน์ถึง หลวงตาบัวอวดอ้างเป็นอรหันต์ดิฉันคิดว่าท่านก็มรณภาพไปแล้ว ทำไมพ่อครูยังไปกล่าวตำหนิท่านอีก ไปทำให้ลูกศิษย์ลูกหาของท่านไม่พอใจ ทำไมคะ
พ่อครูว่า… ก็มีประเด็นที่ชัดๆง่ายๆ คือ
-
ท่านก็มรณภาพไปแล้ว ก็ควรจะพอได้แล้วจบได้แล้ว เลิก เพราะคนตายไปแล้ว เพราะเรื่องราวที่คนตายได้ทำได้ประพฤติ ได้สอน ได้บำเพ็ญ พามนุษย์มนาเข้าใจทำตามต่างๆ พวกนี้ มันก็ต้อง นำมาพูดอยู่ แม้จะมรณภาพไปแล้ว อีกนานเท่านานแล้ว เช่นพระพุทธเจ้าท่านก็มรณภาพไปแล้ว ทำไมยังเอามาพูดอยู่ล่ะ ก็คุณควรเลิกสิ ก็ท่านมรณภาพไปแล้วก็คุณควรเลิกสิก็ท่านมรณภาพไปแล้ว เรื่องของท่านก็จบไปแล้ว อ้าว อย่างนี้ก็โง่สิ
_ข้อที่ 2 “ทำไมพ่อครูยังไปกล่าวตำหนิท่านอีก”
พ่อครูว่า… อาตมาก็ทำตามพระพุทธเจ้านั่นแหละ ในวงการเดียวกัน ลูกพ่อเดียวกัน ถือว่าเป็นพุทธร่วมกัน เราก็ต้องรักใคร่เอ็นดูกัน ถ้าหากลูกผิดก็เสียชื่อที่พ่อสอนไว้ ลูกทำผิดแล้วไม่ตำหนิหรือ มันก็ต้องตำหนิเพราะเป็นสัจจะที่ต้องทำ
ถ้าคนอื่นสิ เขาก็ไม่ได้มาเกี่ยวข้องอะไรกับเรา จะตำหนิบ้างก็ผ่านๆไม่ต้องเอาจริงเอาจังอะไร แต่ถ้าลูกที่เป็นคนใกล้ชิดอยู่ในครอบครัวเดียวกัน ศาสนาเดียวกันนี่สิ เราตำหนิกันได้เต็มที่ เราตำหนิจะต้องตำหนิ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เราจะตำหนิแล้วตำหนิอีก ท่านพุทธทาสใช้สำนวนว่า เราจะกระหนาบแล้วกระหนาบอีกไม่มีหยุด เหมือนช่างปั้นหม้อทำกับดินที่ยังเปียก
ก็พูดย้ำหลายที โดยเฉพาะในยุคนี้ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามันจะเป็นความเสื่อม ไม่มีเนื้อหาสาระแท้ของศาสนาพุทธเหลืออยู่อีก ก็จะเหมือนกับศาสนาอื่น มันจะไปพิเศษได้อย่างไร รู้ตัวไหมว่าเป็นลูกพระพุทธเจ้านี้ เป็นศาสนาที่พิเศษนะ ที่มีคุณวิเศษ มีอุตตริมนุสสธรรม มีธรรมะที่อยู่เหนือๆๆ กว่าธรรมะใดๆ
เพราะฉะนั้นเมื่อสิ่งที่วิเศษนี้มันหายไป ก็จะต้องเอาคืนมา ต้องพูดแล้วพูดอีกไปเรื่อยๆ แล้วก็ตำหนิผู้ใดที่ไปทำให้หรือไปพาหลงทิศทาง ออกจากสิ่งที่เป็นโลกุตระเป็นเนื้อแท้ของ พระพุทธเจ้า แล้วก็ตำหนิผู้ใดที่ไปทำให้หรือไปพาหลงทิศทางออกจากสิ่งที่เป็นโลกุตระเป็นเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้า ก็ต้องตำหนิ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้ ลูกศิษย์ลูกหาลงนรกไปด้วย มันก็ต้องกอบกู้คืนให้ได้
_อีกประเด็นหนึ่งคือ “ไปทำให้ลูกศิษย์ลูกหาของท่านไม่พอใจ”
พ่อครูว่า… ก็แน่นอน เพราะว่าเขายึดถือสิ่งที่ผิดไปเป็นสิ่งที่ถูก เราไปตำหนิสิ่งที่เขายึดถือว่าถูกต้องที่ได้รับจากอาจารย์เขา อาตมาหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะมาถามว่า ทำไมต้องไปทำให้เขาไม่พอใจ ก็มีใครอยากทำให้คนไม่พอใจ อยู่ดีๆ สามัญสำนึกธรรมดา ไม่มีใครอยากทำให้ใครไม่พอใจหรอก ใช่ไหม แต่มันจำเป็นมากๆๆๆ เลย จำเป็นจริงๆ
เพราะอาตมาเห็นสำคัญยิ่ง ไม่มีอะไรสำคัญยิ่ง เท่ากับคนต้องมาเอาธรรมะ และต้องเป็นธรรมะที่ถูก ต้องถ่องแท้ แล้วความถูกต้องถ่องแท้นั้นเป็นของพระพุทธเจ้าด้วย มันก็ต้องสำคัญยิ่งๆๆ ไม่มีอะไรเทียบ
-
เกิดมาเป็นคน ต้องมาเอาธรรมะนี่ก็ยิ่งยวดแล้ว เกิดมาเป็นคนถ้าไม่เอาธรรมะ ก็จะต้องวนเวียนอยู่ในนรกสวรรค์ ก็คือตกนรกนั่นแหละมาก มีความทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป เขาไม่เข้าใจหรอกเขาจะได้อยู่ตรงนั้น เพราะความสุขก็คือความทุกข์
มายาหลอก สุขคือตัวมายาที่หลอกว่าเป็นสุข ที่จริงแล้วมันเป็นทุกข์ สุขนี้มันเป็นทุกข์ที่เป็นมายาหลอกๆๆ ก็พูดก็อธิบายมามากมาย
พระพุทธเจ้าถึงตรัสรู้ว่า ความสุขความทุกข์เป็นจอมมายาที่หลอกคนให้จมอยู่กับสุขกับทุกข์ ท่านก็มาสอนอย่าไปหลงความสุขความทุกข์เลย จิต ไม่มีสุขไม่มีทุกข์เป็นอย่างไร อทุกขมสุข ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เพราะเหตุที่มันโง่ มันไม่รู้
อาการสุขมันก็เมา แล้วมันก็กลายเป็นทุกข์ วนอยู่นั่นแหละ จมอยู่นั่นแหละ ก็ต้องมาเรียนรู้อาการสุข อาการทุกข์ให้ชัดที่สุด ซึ่งจริงๆพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ต้องให้ไปสนใจเรื่อง สุขหรอก เพราะมันหลอก ไม่ค่อยอยากเรียนรู้กันหรอกว่าความสุขเป็นอย่างไร มีแต่จะเสพติดไป แท้จริงมันเป็นตัวเดียวกับคำว่าทุกข์
ท่านจึงเอาคำว่าทุกข์มาสอน สอนตัวเดียวนี่ ทำเหตุแห่งทุกข์ให้หมดไป สุข มันก็หมดไปด้วย เพราะมันเป็นตัวเดียวกัน พระพุทธเจ้าสอนให้ดับเหตุแห่งทุกข์เท่านั้นแหละหมดในจิต จิต ไม่มีเหตุแห่งสุข ไม่มีเหตุแห่งทุกข์ ดับสนิทหมดแล้ว ทุกอย่างเกิดมาแต่เหตุ ดับเหตุแล้วทุกอย่างจะดับสิ้น ก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์
เมื่อคนเราเกิดมาหมดสุขหมดทุกข์ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์เกิดในจิตอีก นี่แหละเป็นจิตบริสุทธิ์ เรียกว่า อุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา นี่เป็นองค์คุณอุเบกขา 5 ที่อาตมาเอามาพูดตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในธาตุวิภังคสูตร ก็หยิบมาอธิบายจนทุกวันนี้พวกเราฟังแล้วหูทะลุจากซ้ายขวา ขวาซ้ายไปหมดแล้วมั้ง
แล้วพวกเราก็เข้าใจความหมายพวกนี้ ไม่ได้ฟั่นเฝือ ไม่ได้สับสนงงงวยอะไร ก็เรามาทำจริง จนเกิดมรรคผลจริง ก็ได้ไปตามฐานะของแต่ละคน เจริญขึ้น พัฒนาขึ้น ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าได้ ไม่สูญเสียเปล่า
จะบอกว่าอาตมาไปทำให้ลูกศิษย์ลูกหาท่านไม่พอใจทำไม มันเลี่ยงไม่ได้ ก็มันจำนน แล้วต้องตำหนิ ก็เลี่ยงไม่ได้อีก เพราะอาตมาไม่ต้องเสียเวลาไปชมคนที่ถูกต้อง คนที่ถูกแล้วดีแล้ว เขาก็หลุดพ้นแล้ว เขาก็สบายดีไปตามฐานะที่เขาได้ดี ก็ไม่ต้องไปพูดอะไรมาก
คนที่เขาดีเขาทำถูกต้องก็ดีแล้ว แล้วจะไปกวนไปแตะ ไปวุ่นวายอะไรให้มาก เพราะมันดีอยู่แล้ว
ส่วนคนที่ไม่ดีนี่สิ คนที่ผิดคนที่ไม่ถูกต้องอันนี้ต้องพูดกัน ซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีกเตือนแล้วเตือนอีก ไม่มีหยุด ตำหนิแล้วตำหนิอีก ไม่มีหยุด แม้จะมรณภาพไปแล้วที่เป็นผู้สอนก็ตาม เหมือนพระพุทธเจ้าสิ้นพระชนม์ไปแล้วก็เหมือนกัน เราก็ยังพูดถึงอยู่นี่แหละ ส่วนชมก็ไม่ค่อยยกเท่าไหร่ ไม่ค่อยพูดมากเท่าไหร่ แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนเรื่องตำหนิ
นอกจากสอนเรื่องตำหนิแล้ว พระพุทธเจ้ายังสอนเรื่องการสรรเสริญเป็นความเสื่อมทราม ไม่สามารถทำให้เกิดการ ละ หน่าย คลายได้
_เล่ม 29 ข้อ 606 .. คำว่า ก็ความสรรเสริญนั้นเป็นของน้อย ในคำว่า ก็ความสรรเสริญนั้นเป็น ของน้อย ไม่พอเพื่อสงบกิเลส ความว่า ความสรรเสริญนั้นเป็นส่วนน้อย ต่ำช้า นิดหน่อย ลามก สกปรก ต่ำต้อย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความสรรเสริญนั้นเป็นของน้อย. คำว่า ไม่พอเพื่อสงบกิเลส ความว่า ไม่พอเพื่อยังราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธความลบหลู่ ความตีเสมอ ความริษยา ความตระหนี่ มารยา ความโอ้อวด ความกระด้างความแข่งดี ความถือตัว ความดูหมิ่น ความเมา ความมัวเมา กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง ความกระวนกระวายทั้งปวง ความเร่าร้อนทั้งปวง ความเดือดร้อนทั้งปวง อกุศลาภิขารทั้งปวง ให้สงบ เข้าไปสงบ ดับ สละคืน ระงับไปทั้งปวง อกุศลาภิสังขารทั้งปวง ให้สงบ เข้าไป สงบ ดับ สละคืน ระงับไป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความสรรเสริญนั้นเป็นของน้อย ไม่พอ เพื่อสงบกิเลส.
พ่อครูว่า… อาตมาอธิบาย ไม่ใช่เรื่องเล่นลิ้นแต่เป็นเรื่องสัจจะ
การหลงผิดแบบมหาบัวหรืออาจารย์มั่น ที่สายหลับตา มันไม่ถูกต้อง เพราะหนีจากการสัมผัส หนีจากสังคม หนีจากความเป็นปกติของชีวิตที่อยู่ในโลกมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์โขลงอยู่กับสังคมอยู่กับหมู่ฝูง มีมวลมิตรสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของศาสนา หรือ พรหมจรรย์ พรหมจรรย์คือศาสนานั่นแหละ
เราเรียนรู้ของพระพุทธเจ้า การมีมิตร อยู่กับมิตร เราจะได้เรียนรู้เรื่องศีล ได้ปฏิบัติศีล นี่เป็นหลักแท้ของศาสนาพุทธเลย เริ่มต้น ศีล ใน จรณะ 15 ศีล
เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ คนมันไม่เอาถ่านกับศีล ไม่เห็นความสำคัญว่าเป็นหลักใหญ่ของศาสนาพุทธเลย เขาไม่เห็นความสำคัญ เขาผิดเพี้ยนไปไกลมาก เสื่อมไปหนัก
เพราะฉะนั้นปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าจึงไม่มีลำดับ ไม่มีต้น กลางปลาย ไม่มีเนื้อแท้ไม่เข้ามรรคมีองค์ 8 อริยสัจ มันไม่เข้า
มรรคองค์ 8 มีข้อที่ 1 คือ สัมมาทิฏฐิ และท่านก็แจกสัมมาทิฏฐิออกไปเป็น 10
การปฏิบัติธรรมนี้ มีทาน มีวิธีปฏิบัติ หรือเรียกว่ายัญพิธี (ยิฏฐัง) ข้อที่ 1 คือทาน ข้อที่ 2 คือ ยิฏฐัง ข้อที่ 3 คือ หุตัง คือมรรคผลที่ได้จากการปฏิบัติทาน ปฏิบัติศีลพรตก็ดี หรือปฏิบัติตามคำสอนที่มีวิธีทำอย่างไรอย่างไรก็ดี
เป็น 3 ข้อต้นของสัมมาทิฏฐิ
ข้อต่อมาคือ กรรม กัมมานังผลังวิปาโก กรรมวิบากที่ปฏิบัติ สุกตทุกฎานัง ปฏิบัติเป็นสุหรือเป็นทุ ก็เกิดกรรมตามความสุขความทุกข์นั้นเป็นสุจริตเป็นทุจริต มันก็จะเกิดตามนั้น กรรมเป็นอันทำ กรรมเป็นสิ่งที่สำคัญ
การปฏิบัติธรรมมันมีคำว่าโลกนี้โลกหน้าอยู่ต่อมา
โลกนี้ ก็คือปัจจุบันนี้ โลกหน้า ก็คือ ตายไปแล้ว อีกโลกหนึ่งก็ได้
โลกนี้ คือโลกที่เรามีที่เราเป็นอยู่มาแล้ว ก็มีโลกใหม่โลกหน้าโลกอื่น ที่เป็นภูมิที่ เจริญขึ้นจากที่เราเป็นเรามี คนที่ยังไม่ถึงพระพุทธเจ้าก็ยังต้องมีสัมปรายิกัตถะภพทั้งนั้น ยังภพหน้า ในปัจจุบันนี้แหละ ยังไม่เจริญที่สุดในปัจจุบันนี้ ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าในปัจจุบันนี้ คุณก็มี สัมปรายิกัฏฐะ มีประโยชน์เบื้องหน้าที่คุณต้องปฏิบัติให้เจริญขึ้นไปถึงที่สุดให้ได้
เพราะฉะนั้น โลกนี้โลกหน้า ก็ไม่ต้องไปหมายถึงเกิดอยู่ชาตินี้แล้วตายไปเกิดชาติหน้าเท่านั้น พอตายไปชาติหน้าอย่างนั้นจะไปปฏิบัติเรียนรู้อะไรมันทำอะไรไม่ได้ ปฏิบัติธรรมไม่ได้หรอก ตายไปแล้วปฏิบัติธรรมไม่ได้ ไม่ทำตอนยังไม่ตาย ดันไปหลับตาหนีจากคนอีก มันก็เหมือนกันกับตาย ไม่ได้เรื่องอะไรไม่ได้ปฏิบัติกับผู้คน ไม่ได้ปฏิบัติกับสัจจะความจริงอะไรเลยในปัจจุบัน มีแต่อดีตกับอนาคตอยู่ในสัญญาของจิตไปเท่านั้น
ตอนเป็นๆจึงมีสัญญาที่กำหนดรู้ภายนอกภายในเป็นปัจจุบันแล้วแก้ไขปัจจุบัน อดีตแก้ไขไม่ได้ อนาคตก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะอนาคตมันยังไม่มีความจริง อดีตมันก็ผ่านไปแล้ว
ฟังตรงนี้เข้าใจแล้วจะเห็นเลยว่า ถ้าใครไม่เข้าใจ ทิฏฐกาลหรือทิฏฐธรรม ที่เป็นปัจจุบันชาติ ขณะนี้ แล้วจงแก้ไขให้ถูกความจริง เพราะความจริงจะมีในปัจจุบันเท่านั้นนอกจากปัจจุบันไม่มีความจริง มันเป็นความเพี้ยน ความปลอม ความไม่ตรงไม่แม่น ไม่ได้ถูกสภาพที่ได้มรรคผลหรือได้สัจจะอะไร เรียนรู้ให้ดีๆ
อาตมาละก็เหนื่อยจริงๆ กับสอนลูกที่ไม่เอาถ่านเท่าไหร่ หรือลูกที่เอาถ่าน แต่ก็สงสารสำหรับคนที่รู้ช้า มันไม่ค่อยฉลาด แต่คนที่ฉลาดเฉลียวนี่สิ มันน่าตีก้นนะ หวดด้วยไม้เรียวให้แรงๆ การตำหนินี่แหละ ก็เหมือนกับการหวดด้วยไม้เรียวแรงๆ การตำหนิที่อาตมาทำนี้ถูกต้องแล้วล่ะ เพราะอาตมาเกิดมาเพื่อทำงานนี้
พูดไม่รู้กี่ทีแล้วว่า พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นคนเหมือนเรา เพราะท่านบรรลุสิ่งที่เป็นความรู้ในโลก18 วิชชาหรือมีทุกแขนง ทุกแผนก ในมหาวิทยาลัย ท่านก็ทำเรียนรู้ได้หมด แล้วท่านก็ทิ้งมาหมดเหมือนกันมาเรียนรู้มาเอาเรื่องโลกุตระเท่านั้น อาตมาก็เหมือนกันเพราะเห็นความสำคัญและความสำคัญเหมือนพระพุทธเจ้าแต่ไม่เท่าท่านเท่านั้นเอง แต่เราก็เดินตามรอยพระยุคลบาทของท่าน
เพราะฉะนั้น คุณจะเกิดอีกกี่ชาติเป็นล้านชาติไม่รู้อีกกี่ล้านชาติ คุณก็ต้องมาเรียนรู้อันนี้ให้จบ ถ้าจบแล้วคุณจะมีชีวิตอยู่ต่อไป อย่างน้อยจบเป็นพระอรหันต์ และคุณจะมีชีวิตอยู่ต่อไป มันก็ดีสิ คุณก็ดี มีแต่โพธิสัตว์ต่อภูมิสูงขึ้นๆๆ ไม่มีต่ำเลย เป็นเครื่องประกัน คุณก็สบายคุณก็ไม่ต้องสร้างบาปสร้างกรรม ไม่เป็นตัวอย่างที่จะเป็นบาปเป็นเวรอะไรอีกเลย มันเป็นหลักประกันที่ยิ่งใหญ่ ตัวคุณเองก็ได้รับสัจธรรมอันยิ่งใหญ่
เพราะฉะนั้นเกิดมาเป็นคน ถ้ารู้ตัวแล้ว มาเอาอันนี้ก่อน มาเอาสัจธรรมที่เป็นโลกุตระนี้ก่อนให้ได้ เพราะได้แล้วคุณจะเป็นคนอีกต่อไป มันมีหลักประกันที่สุดยอด คุณก็อยู่ไปสิ คุณจะอยู่อีกนานเท่าไหร่ๆๆ
แล้วคนที่บรรลุธรรมแล้วเป็นโลกุตระแล้วมีความเข้าใจในเรื่องความเป็นคน เราบรรลุแล้วเราก็ช่วยคนให้บรรลุอย่างที่เราบรรลุบ้างเท่านั้นเอง ไม่มีงานอื่น ถ้าไม่งั้นก็ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน งานอื่นก็ไม่มีงานใดดีเท่า มาให้เรียนรู้โลกุตรธรรมให้มันรู้จบ จบแล้วจะวนเวียนอีกคุณก็อยู่ไปสิ ก็คุณดี ถ้าให้คนทำดีทั้งนั้นไม่มีตกต่ำได้อย่างไรอีกเลย แล้วคุณก็เป็นอยู่สุขคุณก็เป็นอยู่อุเบกขา สบาย
ก็อยู่ด้วย เมตตากับอุเบกขา ที่เป็นบารมี 10 ทัศ 2 ข้อสุดท้าย ก็อยู่เท่านี้ อาศัยเท่านี้พระอรหันต์ทุกองค์ บำเพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์สูงขึ้นจนสูงสุด คือทำงานโพธิสัตว์ไป จบแล้วก็รู้แล้วว่าจบอรหันต์แล้ว แล้วเราก็ต่อเป็นอนุโพธิสัตว์ แล้วก็สอนเพิ่มไปอีก เพื่อจะเรียนรู้และเกิดในความที่ยังไม่ได้เคยเป็น มาสอนที่เรายังไม่รู้จากคนอื่นๆ และเรายังไม่เคยเป็น เราก็จะเกิดเป็นแบบที่เขาเป็น แต่เราจะเกิดอีกเป็นคนที่มีจริตนิสัยแบบที่เรายังไม่เคยเป็น ก็สบาย เพราะเรามีฐานอรหันต์ไปแล้ว คุณจะเป็นอย่างนั้นอีก มันจะไม่เหมือนกับที่เราเคยเป็นหรอก แต่มันมีฐานความรู้ในการละให้มันหลุดพ้นจากทุกข์นั้นๆๆ รู้จักการดับเหตุ แล้วก็ไม่มีอะไรเพี้ยน มันชัดเจน มันก็ง่าย ก็เป็นโพธิสัตว์ที่ง่าย
เจริญจากอนุโพธิสัตว์ เป็นอนิยตโพธิสัตว์ไปอีก เท่าไหร่ เท่าไหร่ เท่าไหร่ ก็ทำสิ จนเข้าเกณฑ์ นิยตโพธิสัตว์เป็นเกณฑ์ที่ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นสุดยอดแล้วในความเป็นคน
เหมือนเราเข้ามหาวิทยาลัยที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ สอบติดนิยตโพธิสัตว์ แล้วมันจะเอาอะไรอีกล่ะ ถ้าอยู่ก็อยู่เพื่อมนุษยชาติ สืบสานสืบทอดสัจธรรมพระพุทธเจ้า หรือสอนคนให้ได้ธรรมะโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้านี้ไป ไม่มีอะไรหรอก เป็นคนไม่มีอะไรดีและประเสริฐเลิศวิเศษเท่าอันนี้ เกิดมาเป็นคน ไม่มีอะไรจะสุดยอดดีเท่ากับโลกุตระ
ติดยึดในสุข ทุกข์ก็วนเวียน ไม่มีสุขไม่มีทุกข์เลยก็หยุดวนเวียน หยุดวนเวียน ทำ 2 ให้เป็น 1 เป็น 0
ก็เรียนรู้เวทนา 2 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
ก็ทำไปทีละ 2 ให้เป็น 1 เป็น 0 ไปเรื่อยๆ จาก 2 ของกิเลสขั้นอบาย คุณก็ทำมาให้เป็น1 เป็น 0 ให้ได้ จาก 2 ขั้นกาม คุณก็ทำให้เป็น 1 เป็น 0 ให้ได้ หมดแล้วกามภายนอก เหลือแต่ภายในเป็นรูปราคะ อรูปราคะ คุณก็ทำเป็นทีละ 2 ให้เป็น 0 ทั้งกิเลสภายนอกภายในเป็น 0 หมด
จริงๆถึงขั้นจะเป็นอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าก็เรียนรู้กิเลสนิวรณ์ 5 นี่แหละ หยาบ กลางละเอียด จนถึงสุดยอด นับไม่ถ้วนหรอก แต่มันก็มีลักษณะโครงสร้างใหญ่ๆของมัน คือ กามกับปฏิฆะ กับโมหะที่มันไม่ชัเ พ้นโมหะก็เป็นกามกับปฏิฆะ คุณก็ข้ามมันไปจบกันไปเรื่อยๆจบจาก หยาบ กลาง ละเอียด จนหมดสิ้นกี่รอบกี่รอบ หมดเลยสิ้นอาสวะ ไม่มีอาสวะ ไม่เหลือเศษ สวะ ที่ภาษาไทยเรียก เศษๆ ทิ้งๆว่า สวะ
เขาเอามาเรียกคนว่า คนสวะ เคยได้ยินไหม คนเศษไม่ได้ประโยชน์อะไร ใครอยากเป็นคนสวะ มันเป็นเศษทิ้งของสังคมหรือ ไม่มีใครอยากเป็นหรอก เกิดมาเป็นคนจะเป็นอย่างนั้นทำไม
สู่แดนธรรม… ภาษาสันสกฤต เรียก สวะ คือ ศพ ครับ
พ่อครูว่า… ซากศพ ทะเลยังไม่เอาซัดขึ้นฝั่งเลย อาตมาจะพูดไปอย่างไรทุกวันนี้จะเห็นว่า อาตมาเข้าใจแล้วมันรู้รอบไม่วนแล้ว จะเอาอะไรมาพูดวนตรงไหนรอบไหน ได้หมด โดยที่อาตมาไม่ได้วนนะ อาตมาก็เอาความวนที่คนมันวนนี่แหละ เอามาพูดให้ฟัง เพื่อจะได้เข้าใจว่า เออ.. จะได้หยุดวน
ซึ่งคำว่า “หยุด” นี้ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสกับคนที่ฉลาดอย่างองคุลิมาลว่า “เราหยุดแล้วแต่เธอสิยังไม่หยุด” เท่านั้นแหละ องคุลีมาลก็บรรลุเป็นพระอรหันต์เลย คำเดียว สุดยอดแล้วมันสุดยอดจริงๆ
ทีนี้จะรู้ว่าหยุด เราก็ต้องรู้ว่าเราหยุดมาตั้งแต่เท่าไหร่ หยุดอบาย หยุดกาม หยุดรูปภพ อรูปภพ ยังมีเศษธุลีของ ถีนะและอุทธัจจะ
ถีนมิทธัง คือ มันยังซึมลึก อุทธัจจะคือ มันยังฟุ้งกระจาย ยังจับมั่นคั้นตายให้สูญสลายสิ้นเกลี้ยงไปเลยไม่ได้
หรือมันยัง ซึม ก็เรียนรู้ให้ชัดเจนจนพ้นวิจิกิจฉา เรียนให้ชัดเจนให้ไม่สงสัย ให้แม่นตรงไม่มีอะไรที่จะไม่แม่นไม่ตรง ไม่คมไม่ชัดไม่ลึก แม่นตรงคมชัดลึกหมดแล้ว จะเล็กละเอียดก็รู้ได้ แม่นคมชัดลึกตรง ไม่ผิด แล้วก็รู้วิธีจัดการ
เมื่อคุณรู้วิธีจัดการแล้วตั้งแต่ หยาบ วิธีจัดการ มันก็เป็นนัยยะเดียวกัน ใช้ปัญญารู้ให้แจ้ง นี่คืออาวุธใหญ่ เรียกว่า ฌาน หรือปัญญา
พลังงานชนิดหนึ่ง ของจิต สร้างฌานหรือสร้างปัญญา ปัญญานั่นหละฌาน ฌานอยู่ที่ไหน ปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ไหน ฌานอยู่ที่นั่น
เพราะฉะนั้น ความเป็นฌาน คือพลังงานจิตที่เป็นปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดในขณะ ลืมตามีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก ตื่นๆ
องค์ 5 นี้ อาตมาก็เอามาพูดบ่อยว่า การตรัสรู้การรู้แจ้ง หลุดพ้นด้วยปัญญาอันยิ่ง มันต้องมีจักษุจึงจะมีญาณ มีปัญญา มีแสงสว่างของพระอาทิตย์ ไม่ใช่เป็นหลับตาไปอยู่ในที่มืด แต่ต้องอยู่ในที่สว่าง และต้องมีสัมผัสเป็นปัจจัยด้วย จึงจะมีตัวความจริงที่เกิดจริงเป็นกิเลส อยู่เฉยๆไม่กระทบ มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วไปหลงนั่งหลับตาไม่ให้มีอะไรกระทบ แล้วไม่มีอะไรเกิดแบบพาซื่อง่ายๆ แล้วก็ถือว่าไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรกระทบนั่นแหละมันดับแล้ว ไม่ใช่
ความดับของพระพุทธเจ้านั้นต้องลืมตา มีการกระทบสัมผัสเป็นปัจจัย แล้วก็รู้ผลว่า กิเลสที่ถูกกระทบนี่แหละ เป็นกิเลสตัวจริงความจริงในปัจจุบันชาติ ในขณะบัดเดี๋ยวนี้ที่มันเกิดอยู่ เรียกว่าปัจจุบันชาติ ชาติมันเกิดอยู่ มันเกิดเมื่อมีการกระทบอยู่กับปัจจุบัน ถ้าไม่กระทบกับอะไรมันก็ไม่รู้เรื่องไม่มีอะไรกระทบกระเทือนกระแทก ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มันก็มีอยู่อย่างนั้นตลอดนิรันดร มีแต่จับตัวอะไรเอามาสะสมขึ้นอีก อะไรๆก็มาสุมอยู่ที่เราหมด ขี้หมูราขี้หมาแห้งอะไรก็มาอยู่ในเราหมด มันก็เลยมีตัวตน พระพุทธเจ้าท่านใช้ศัพท์ว่า ไม่เหลือตัวตน ไม่มีตัวตน มันก็ไม่มีอะไรจะมาสะสมในตัวเราอีก
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน… มีประเด็นที่พระครูไม่น่าจะพูดตำหนิถึงหลวงตามหาบัว ในฐานะของอาตมาก็คงไม่ไปพูดตำหนิเหมือนอย่างนั้น แต่ฐานะของพ่อครูเป็นฐานะที่ต้องสืบทอดศาสนาโดยตรง พระทั่วโลกเขาเชื่อว่านั่งหลับตาจะพาให้บรรลุธรรม เป็นความเชื่อของคนรุ่นเก่าที่เหมือนกับเชื่อว่าโลกแบน พ่อครูจึงต้องมาบอกว่า โลกมันแบน มันไม่ถูก มันไม่ใช่อย่างนั้น ก็เหมือนกับพ่อครูบอกว่าการหลับตามันผิด การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าไม่ใช่อย่างนั้นมันต้องมาลืมตาปฏิบัติ
พ่อครูว่า… มันก็จะต้องพูดซ้ำซากประเด็นนั้นแหละ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก อาตมาก็จับเอาประเด็นมาพูดให้ชัดเจน เช่น พูดทำไมท่านตายไปแล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็ปรินิพพานไปแล้วจะมาพูดทำไมถ้าคุณคิดอย่างนั้น
ทำไมต้องตำหนิ ก็มันผิด มันเกิดความทุกข์ มันเกิดความเลวความเสื่อมอยู่ มันผิด ก็ต้องตำหนิการผิด ถ้าเขาดีอยู่จะไปตำหนิอะไรได้มาก แต่มันผิดต้องช่วยกัน
ลูกศิษย์ลูกหาท่านไม่พอใจ มันก็ต้องจำนนเพราะทำอย่างไรได้ ที่จริงเขาควรจะดีใจ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า “เราควรมองผู้มีปัญญาใดๆ ที่คอยชี้โทษ คอยกล่าวคำตำหนิ (นิคฺคัยหวาทิง เมธาวิง) ขนาบ อยู่เสมอไปว่า..
คนนั้นแหละ คือ ผู้ชี้ขุมทรัพย์ ควรคบบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น เมื่อคบหากับบัณฑิตชนิดนั้นอยู่ ย่อมมีแต่ดีถ่ายเดียว ไม่มีเลวเลย (เพราะว่าเมื่อคบบัณฑิตเช่นนั้น มีแต่คุณที่ประเสริฐ โทษที่ลามกย่อมไม่มี – เสยฺโย โหติ น ปาปิโย)(พตปฎ. เล่ม ๒๕ ข้อ ๑๖)”
การไปสรรเสริญคนมันเป็นสิ่งไร้ค่า มันไม่มีอะไรที่ทำให้เกิดความ ละหน่ายคลายได้เลยการสรรเสริญ ขนาดพระพุทธเจ้าต้องย้ำซ้ำให้ตำหนิแล้วตำหนิอีก
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่พอใจในการถูกตำหนิ ตำหนิตัวเองก็ไม่พอใจ ตำหนิอาจารย์ก็ไม่พอใจ เพราะคุณมี อัตตา คนที่ไม่มีอัตตาใครจะตำหนิหรือจะชม ก็เฉยๆกลางๆก็จะเข้าใจกันได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น แทนที่จะรู้ว่าถูกตำหนิแล้วเราไปถือสา คือเรามีอัตตา ก็ล้างเสียสิ ก็กำจัดกิเลสที่เหลือของเราสิ
เขาจะตำหนิผิดหรือจะถูกก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้น เขาตำหนิก็ตรวจ ต้องอย่าเอนเอียงเข้าข้างตัวเองนะ เขาตำหนิผิดก็แล้วไปเพราะเขาไม่มีความรู้ก็น่าเห็นใจเขาแล้วเขามาตำหนิผิด ถ้าเขาตำหนิถูกสิต้องกราบเลย เออ ดีมากเลยท่าน กราบเลย เราจะได้แก้ไขตัวเรา มันจะมีแต่ดีถ่ายเดียว ไม่เห็นจะมีข้อบกพร่องอะไร
เพราะฉะนั้นคนที่ตำหนินั่นแหละคือคนที่ควรคบ คนที่ชมนั่นแหละคือต้องระวังให้มากเอาแต่ชมเอาแต่ยกยอต้องระวังให้ดีเชียว จะพากันลงนรกไปไม่รู้ตัว แต่คนตำหนินี้ มีแต่ดีถ่ายเดียว พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัส
เพราะฉะนั้นคุณต้องเห็นให้ได้ว่าคนที่เกิดมาเป็นนักตำหนินี่แหละ แล้วก็ตำหนิถูกด้วยตำหนิดีด้วยตำหนิด้วยเมตตา เมตตาอย่างแรงก็เหมือนกับหวดด้วยไม้เรียวก็เจ็บหน่อยเหมืออนเป็นแม่พ่อที่เลี้ยงลูกด้วยการรู้จักการเลี้ยงลูก
เพราะฉะนั้น ธรรมะที่ว่าไปแล้วนี้ไม่ใช่พูดแค่วาทะมาแก้ตัว แต่มันเป็นเรื่องจริงทั้งนั้นมันเป็นสัจธรรม อาตมาก็ทำตามสัจธรรม
SMS วันที่ 20-21 ก.ค. 2565
_*แก้วตะวัน พวงบุบผา* : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชาศรัทธายิ่งค่ะ…
พ่อมีจิตคิดสืบสานงานศาสนา จึงอิทธิบาทด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่
สี่สิบห้าปี พ่อครูกล่าวอีกยาวไกล แต่ด้วยใจกรุณาจะฝ่าฟัน
พระโพธิสัตว์ มีปรมัตถธรรม นำมาสอน ให้สังวรกายวาจาอย่าเหหัน
หยั่งถึงจิตทุกข์สุขเศร้ารู้เท่าทัน ธรรมะนั้นรู้ยากนักจักต้องเพียร
เกิดหมู่กลุ่มที่กลั่นกรองพี่น้องอโศก ฝ่ากระแสโลกที่ยากนักจักแปรเปลี่ยน
ทางโลกีย์ มีแต่นรกและวกเวียน อบรมเรียนโลกุตระจะสุขเย็น…
กราบอาราธนาพ่อครูให้มีอายุยืนยาวถึง 133 ปี เพื่อช่วยให้ศาสนาสืบต่อไปอีกหลายพันปีค่ะ
ฟังธรรมชาวอโศกหากฟังไม่เพ่งโทษ ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา
_*ชยาภรณ์ เอมโอษฐ* : น้อมกราบนมัสการพ่อครู และสมณะ สิกขมาตุทุกๆรูปเจ้าค่ะ และเจริญธรรมพี่น้องญาติธรรมชาวอโศกทุกๆท่านค่ะ ที่.อ.วัดเพลงจ.ราชบุรีเสียงดังฟังชัดดูและฟังทุกวันเลยค่ะ ชอบมากความเป็นอยู่ของชาวอโศก ได้ไปมา ๓ ครั้งแล้วค่ะ ถ้าบุญยังมีคงได้ไปอีกค่ะ
พ่อครูว่า… เห็นในความดีสูงสุดที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้คนเป็น อย่างชาวอโศกเป็นผู้ที่นำโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติจนเกิดเป็นมรรคผลจริง คนที่เขายังมืดบอดเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ยังเข้าใจไม่ได้หรอกคนที่เขายังมืดบอดเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็ยังเข้าใจไม่ได้หรอก
แต่คนที่มีปฏิภาณปัญญา อคติน้อยจะเข้าใจเห็นเลยว่า ชาวอโศกปฏิบัติได้ตาม สาราณียธรรม 6 อยู่กันอย่างสาธารณโภคีกินใช้ร่วมกันตามทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตา เสมอสมานกันอยู่ อยู่กันอย่างอบอุ่นเป็น สามัคคียะ เอกีภาวะ ไม่วิวาทกัน ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
ที่อาตมาเอามาพูดเป็นพยัญชนะบาลีตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ประกอบยืนยันเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าสอนอย่างไร ฟังคำสั่งสอนแลัวมาปฏิบัติตามคำสอนอย่างนั้นนี่คือปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ไปหลงอิทธิ อิทธิเดช ไปหลงอิทธิทางกายและอิทธิทางจิตเป็นอิทธิปาฏิหาริย์เป็นอาเทศนาปาฏิหาริย์นั้น ไม่ใช่ นี่เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ได้ผลจริงพิสูจน์ได้จริง ยืนยันเป็นเอหิปัสสิโกมาพิสูจน์ได้ มาเป็นมนุษย์ที่สำเร็จผล รวมกันเป็นหมู่เป็นกลุ่มเป็นชุมชนเป็นพฤติการพฤติกรรมสังคมเป็นรูปธรรมเป็นมวลที่เป็นเมือง เมืองเล็กๆเรียกว่า หมู่บ้าน ชุมชนนี่แหละ แล้วเราก็อยู่เสนาสนะก็มีสิทธิเต็มที่ ก็อยู่ในเสนาสนะที่เรามาอยู่ก็อยู่ไปพัฒนาตนเองไปพูดได้จบแล้วก็เป็นอรหันต์อยู่ต่อ จะตายปรินิพพานเป็นปริโยสานเลยก็ได้ ไม่จบจะต่ออีกก็ไม่มีปัญหา จะมารวมกันอยู่ได้ แล้วช่วยกันสืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้าต่อไป นี่เป็นเรื่องกรรมวิบากที่จะต้องลงตัวอย่างนั้น จะต้องเป็นเช่นนั้น
เพราะฉะนั้นขณะนี้เกิดชมพูทวีปแล้วในเมืองไทย เพราะมี สุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส อยู่พร้อม มนุษย์ชมพูทวีปอยู่ที่นี่ ในอินเดียไม่มีชมพูทวีปแล้ว ชมพูทวีปมาอยู่ที่นี่เพราะมีมนุษย์ที่มีคุณธรรมเนื้อแท้ของทวีปคือมนุษย์ แล้วมีคุณธรรม สุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส ฟังธรรมะให้เป็นให้มีปัญญาเข้าใจจริงๆให้ได้
ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ถ้าไม่ฟังจับผิดหาเรื่องฟัง ฟังอย่างเอาปัญญาคุณจะเจริญ สุสูสังลภเตปัญญัง
หากฟังธรรมเพ่งโทษ มันจะเกิดวิบาก หลายอย่าง ไม่ได้ประโยชน์ โดยเฉพาะไปจับผิดผู้ที่ท่านไม่มีภัยไม่มีโทษแล้วไม่มีผิดแล้ว คุณยิ่งเสียเวลาเปล่า บาปกินหัวอีก ไปจับผิดผู้ที่ไม่มีโทษไม่มีภัย
แล้วคุณก็ไม่รู้ด้วยว่าโทษภัยจริงๆเป็นอย่างไร ก็ไปหลงโทษภัยที่ไม่จริงเอามาท้วงอีก ก็ท้วงท่านที่ไม่มีโทษไม่มีภัยแล้ว มันจะบาปขนาดไหน ฟังเข้าใจฟังรู้เรื่องไหม
มาโทษพระอาริยะธรรมดาเท่านั้น ไม่ต้องไปพูดถึง โทษพระอรหันต์ โพธิสัตว์ระดับสูง พระพุทธเจ้าเลย เพ่งโทษพระอาริยะธรรมดา ท่านก็บอกว่ามีนรกถึง 11 ข้อ
๑. ไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ
๒. เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว
๓. สัทธรรมย่อมไม่ผ่องแผ้ว
๔. เป็นผู้หลงเข้าใจว่าตนบรรลุในสัทธรรม
๕. ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์
๖. ต้องอาบัติเศร้าหมอง
๗. ย่อมถูกโรคอย่างหนัก
๘. ถึงความเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน
๙. เป็นผู้หลงใหลกระทำกาละ (อยู่อย่างประมาท ชอบทำบาปให้แก่ตน ตายไม่มีสติ)
๑๐. เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก (พยสนสูตร พตปฎ. เล่ม ๒๔ ข้อ ๘๘)
เมื่อเรียนรู้ถูกจะพาสำเร็จเมื่อเรียนรู้ผิดก็ไม่พาสำเร็จก็ต้องวนเวียนไปวนเวียนมา
_*Took Aswin (ตุ๊ก อัศวิน*) : ฌาน = ปัญญา (เห็นสภาวะธรรมตามความเป็นจริง คือ เห็นกิเลสเกิดปุ๊บ ไฟฌานเผาปั๊บ กิเลสจบปุ๊บ) ฌาน..จะเกิดได้..ต้องไม่มีนิวรณ์๕ นิวรณ์๕..จักไม่เกิด..ต้องมีศีลสัมปทา และ อปัณณกะธรรม๓ ด้วยเหตุนี้..จึงต้องเริ่มที่มีศีล..เกิดสมาธิ..ได้ปัญญา เข้าใจ..ตามนี้..ถูกไหม..เจ้าคะ / ได้ฟัง..พ่อครู..สาธยายธรรมในวาระนี้แล้ว..โปร่งใจ..ที่เห็นตามว่า..การบรรลุธรรม (กำจัดกิเลส)..ไม่ยากอย่างที่วิตก!!
ขอเพียง..รักษาศีล ข้อ๑ ข้อ๒ ข้อ๓ อย่างมีสัมมาสติ(สติสัมโพชฌงค์)
เก็บหน่วยกิต(กำจัดกิเลส)..ไปเรื่อยๆ..ด้วยการจัดการเจ้ากิเลสตัวหยาบ..กลาง..ละเอียด..ไปตามลำดับ..เช่นนั้น..ชิมิ..เจ้าคะ
พ่อครูว่า… ถ้าประสิทธิภาพของปัญญามีมากเพียงพอก็จะเป็นอย่างนั้น แล้วทำไปตามลำดับจะได้ ถ้าทำจากกิเลสละเอียด ก่อนแล้วค่อยๆมาหาหยาบ มันก็ไม่ได้ มันไม่ถูกลำดับไม่ถูกทิศทางที่ควรจะทำ
ถ้าทำได้ตามลำดับอย่างนี้มันจะเกิดเป็นโพชฌงค์ 7 อย่างถูกต้องจริงๆ
ที่เขียนมานี้ถูกต้องทั้งหมด ถ้าทำได้อย่างนี้จะเป็นอรหันต์ไม่ช้านาน จริงๆไม่ใช่พูดเล่น มันจะเกิดอะไรเป็นผลตามมา ถูกต้องหมด
สเต็มเซลล์ทางนามธรรม
_*ใบฟ้า ธัมทะมาลา* : กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าฯ เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าค่ะ ว่าพ่อครูสามารถใช้สเต็มเซลล์ในร่างกาย ขยายอายุขัยมาเกินนักกษัตร และจะสามารถขยายต่อไปอีกตามปณิธาน ทฤษฎี”cell Live” ที่ค้นพบการทำงานของ สเต็มเซลล์ในร่างกาย (Endogenous stemcell) นวัตกรรมที่ตกผลึกและเผยแพร่เมื่อ 6 ปีที่แล้ว โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สำลี มั่นเขตกรณ์ จะสามารถอธิบาย ความสามารถพิเศษ ที่เป็น “Supra standard”นี้ได้เป็นอย่างดีค่ะ กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาด้วยเศียรเกล้าฯค่ะ
พ่อครูว่า… มันไม่ใช่ stem cell แบบวิทยาศาสตร์วัตถุ แต่คงหมายถึงเป็น นามธรรม Stemcell นามธรรม ที่อาตมาใช้กับตัวเองอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งก็จริงนะ เพราะอาตมานี่ไม่ได้สับสนไม่ได้งงอะไรแล้วกับสภาพสอง คือรูปกับนาม หรือวัตถุกับจิต หรือกายกับจิต มันเป็นหนึ่งเดียวได้หมดแล้ว
เพราะฉะนั้นทางวิทยาศาสตร์จะทำอันโน้นก็ทำไป เป็นสเต็มเซลล์ที่เป็นชีวะ ของทางวัตถุอยู่ จะละเอียดเท่าไหร่ก็แล้วแต่สำหรับสเต็มเซลล์ ส่วนอาตมานั้นทำ Stem Cell ทางจิต อาตมาก็ใช้พลังงาน วัตถุหยาบมันก็ง่ายสำหรับอาตมา เพราะมันยิ่งละเอียดเป็นกายในจิตที่ละเอียดเท่าไหร่อาตมาก็ทำได้ตามลำดับมา มันก็ทำสเต็มเซลล์ทางจิตที่ได้ทั้ง หยาบ กลาง ละเอียด เอามาใช้อยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นถ้าเป็นสเต็มเซลล์ที่เขาจะขายหรือใช้บริการของเขา อาตมาว่าอาตมาไม่ต้องแล้วเพราะมันแพงเสียเวลาเปล่า อาตมาก็ทำของอาตมาได้แล้ว ละเอียดลอออยู่แล้ว สเต็มเซลล์ของทางโน้นจะมาช่วยอาตมาอีกทีหนึ่ง อาตมาว่ามันจะทำให้อาตมาเหี่ยวไม่สดเท่าอย่างนี้ล่ะนะ อาตมาทำของอาตมาเดี๋ยวนี้ ความเหี่ยวหายไปเรื่อยๆ จริงนะ ใครว่าไหม อาตมาสังเกตผิวพรรณของอาตมาอยู่เหมือนกัน ทั้งหน้าทั้งตัว
สู่แดนธรรม… ผมว่าอนาคต ผิวของพ่อท่านจะสีชมพูขึ้นครับ
พ่อครูว่า… วันนี้หมอดูอาจจะดูแม่นก็ได้นะ
_ฟ้าใส แซ่หว่อง : กราบนมัสการและขอโอกาส พ่อครู ผู้มีมหากิริยาจิต ค่ะ
วันคืนก็เคลื่อนคล้อย ชีวิตก็เหลือน้อยที่จะรับประโยชน์ จากสัตบุรุษ
-
( จากการฟังพ่อครูเดือนก่อน ความเข้าใจของลูกค่ะ )เราออกไปยืนตากแดด เราออกไปที่แดดส่อง พอยืนปั๊บมีเงาขึ้นมาเลยทันที เพราะฉะนั้น เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เปรียบเหมือนเงาแต่ต้องอาศัยแสงคือรูปส่องด้วย พอส่องเสร็จ ปุ๊บก็มีเงาขึ้นมา แต่พอไม่มีแสง ก็ไม่มีเงา เงาเกิดโดดๆ ไม่ได้ แต่เงาไม่ใช่คน เงาเป็นสิ่งที่ปรากฎบนพื้นดิน แต่ยื่นจากร่างคน คือ เงาไม่ได้เป็นคน คนก็ไม่ได้เป็นเงา แต่เงาก็อาศัยคนเกิด โดยเกิดพร้อมกัน พอคนออกไปตากแดด ปุ๊บ เงาก็เกิดทันที (ไม่มีระหว่างคั่น)ถ้าไม่มีรูป คือ แสง และ คน มากระทบกัน ก็ไม่มีเงา(วิญญาน)เกิดขึ้น เปรียบเหมือนไม้ 3 ชิ้น ตั้งพิงพร้อมกันก็ตั้งอยู่ได้ ตัวหนึ่งล้ม ก็ล้มหมด มันต้องอาศัยซึ่งกัน และเกิดพร้อมกัน ใช่ไหมคะ?
พ่อครูว่า…ดีจังเลย ถูกต้องหมดเลย พวกเราฟังธรรมได้เข้าใจ อาตมาว่าดีแล้วเข้าใจหมดแล้วล่ะ พากันเข้าใจได้หมดเหลือแต่ทำให้บรรลุ ทีนี้ บรรลุนี้แหละยาก ที่คุณจะตัดรอบว่าเป็นอรหัตตผลแล้วนะ อรหันต์แล้ว อรหัตตผลเป็นที่สุดแล้วด้วย อรหะที่จบสุดอันตะ อรหันต์ ถ้าอรหัตตะ ก็ยังเป็นอัตตาอยู่ หมดอัตตากิเลสทั้งหลายก็จบสุด เป็นอรหันต์
ตัดรอบความเป็นอรหันต์ในอบายมุข ความเป็นอรหันต์ในกามคุณ อบายมุขในอนาคาฯ ตัดรอบให้ดีๆแล้วจะรู้ว่า เราหมด เป็นอรหันต์แล้วนี่ มันไม่ใช่ความลึกลับ แต่เป็นความแจ้งกระจ่างที่เราจะต้องอ่านรู้จิตเจตสิกรูปนิพพานให้จริง
รู้จัก อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของมันให้ชัดเจน
อาการก็คือเป็นอย่างไรและมันมีภาวะความต่างก็จับนิมิตจับเครื่องหมายของความต่างมันต่างในสภาพ 2 ทีละ 2 ให้ได้ ตามคำขยายความที่อาตมา อุเทส เทศน์บรรยาย ไปเรียนรู้ อาการ ลิงค นิมิต แล้วจับที่ละคู่ๆ ทำ 2 ให้เป็น 1 ได้แล้วก็ทำให้เป็น 0 ได้ ยังทำไม่ได้ก็ควรทำต่อ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
ตอนปฏิสนธิ อวิชชาเกิดก่อน
_2. เหตุปัจจัยให้เกิดนาม~รูป คือ วิญญาน และเหตุปัจจัยให้เกิดวิญญานคือ นาม ~รูป ใช่ไหมคะ? และตอนปฏิสนธิ อะไรเกิดก่อน หรือว่า เกิดพร้อมกัน ?
พ่อครูว่า…ใช่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสแล้วว่าอวิชชาเกิดก่อน แล้วก็ไม่รู้สังขาร เอามาปรุงกันเป็นสามเส้าอย่างที่คุณสรุปมา อวิชชาเกิดก่อน ตัวไม่รู้มันเกิดก่อน รูป มันคือตัวไม่รู้จริงๆเลยนะ นามก็คือต้องทำให้มันเป็นตัวไม่รู้ให้ได้ หมดก็เป็นความเป็นรูป นาม มันทำให้ไม่รู้จนกระทั่งรู้หมดไม่มีไม่รู้แล้ว จนเป็น อนุปคัมมะ รู้ความมีทั้งความไม่มีทั้งสองอย่างเลย ไม่มีก็คือ 0 แล้ว มี เราก็ทำความมี ให้เป็น 0 ได้ ไม่มีก็ทำให้กิเลสหมด 0 ได้ มีก็ 0 ไม่มีก็ 0 จบที่ 0 เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่ที่ 0
สภาวะเป็นอย่างไรคุณก็เรียนรู้สภาวะของกิเลสแล้วทำให้มันสูญอย่างที่ว่า พยัญชนะไม่ยากหรอกอธิบายไปดีๆนี้คุณเข้าใจกันแล้ว ไม่มีใครชม อาตมาอธิบายได้ดี อาตมาแต่มีคนชมอาตมาอยู่บ้าง แต่มีน้อย จะมีน้อยมีมากก็ไม่เป็นไร อาตมาอยู่ในฐานะความจริงอย่างเดียว
-
ฟังการแสดงธรรม “ เสียง” พ่อครู เป็น สิ่งที่ถูกรู้ (รูป) และการได้ยิน ได้รับรู้ว่านี้เป็น “เสียง” คือ สิ่งที่ถูกรับรู้ (นาม) ลูกเข้าใจ ถูกไหมคะ?
พ่อครูว่า…ถูก แล้วสิ่งที่รับรู้นั้นคืออะไร มีความหมายอย่างไรคุณก็ทำความเข้าใจเองและปฏิบัติตามที่คุณรู้ความหมายนั้นให้ถูกให้ตรง ผลก็จะเกิดอย่างได้ผลแน่
-
คำพูด ที่ว่า “ ประทับใจ” มันเป็นสิ่งภายนอกที่เกิดขึ้นที่ใจ แต่ไม่ใช่ใจ เป็นเพียง Visitor ได้ไหมคะ?
พ่อครูว่า… เป็นแขกจร Visitors ใช่ คำชมมันเป็นแค่แขกจร เป็นผู้มาเยี่ยมเฉยๆได้ ไม่มีปัญหาอะไร
_กราบนมัสการค่ะ ฉบับนี้เขียนหลังจากลูกหายจาก covid และแข็งแรงกว่าเดิม จิตใจลูกก็เข้มแข็งกว่าเดิมมาก การกินก็กินได้ดีกว่าเดิมเพราะลูกเข้าใจ มากขึ้นว่า ฐานตัวเองอยู่ศีล 5 แล้วลูกกับสามีก็เข้าใจได้ดีกันตามธรรมะ
สิ่งที่ลูกได้ฝึกฝนตนเองพร้อมกับสามีถึงแม้เขาจะทนฝืนกดข่ม ลูกก็ได้แต่เห็นใจ และทำดีกับเขามากกว่าเดิม ด้วยการทำอาหารมังสวิรัติ หรือถ้าเขาอยากกินไข่ กินปลา ก็เต็มใจทำให้กิน พอเขาได้เห็นว่า ลูกทั้งฟังธรรม และงานบ้านก็ไม่ขาดตกบกพร่อง สามีเริ่มมาฟังธรรมะกับลูกได้แบบใจเย็นลงได้บ้าง ถึงจะติดภพกับงานของตัวเองอยู่มาก แต่ก็เริ่มรู้แล้วว่าการที่ลูกปฏิบัติธรรม ดูแลบ้านอาหารนาสวนไปด้วยแล้วแบ่งเวลามาดูแลงานของเขาได้ด้วย ระหว่างลูกกับสามีจึงมีความรู้สึกเกรงใจกัน ช่วยกัน สงบ ไม่ดูดไม่ผลักระหว่างกัน ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ความกังวลกับความรู้สึกเสพคนคู่มีน้อยลงตามลำดับ ลูกกับสามีจึงรู้สึกแข็งแรงไปด้วยกัน ลูกจึงรู้สึกว่าอัศจรรย์อยู่ว่า เร็วกว่าที่ลูกคิด
จึงทำให้ลูกซาบซึ้งกับธรรมะและการถือศีล ที่ท่านพ่อครูพาทำ และฝึก เพราะระยะหลัง ลูกจะฟังธรรมะพ่อท่านมากกว่าทางอาจารย์หมอเขียว แต่ลูกก็ได้ฝึกกินอาหารตามลำดับและได้เคี้ยวให้ละเอียด ตามที่อาจารย์หมอเขียวพาทำอยู่ตามเดิม
ขอกราบขอบพระคุณพ่อครูและอาจารย์หมอเขียวด้วยค่ะ ลูกขอปลดสัมภาระวิบากตัวเองไปเรื่อยๆ และตั้งจิตมั่นในศีลตามอินทรีย์พละของลูกไปก่อน ธรรมะจัดสรร ฟ้าเปิด ลูกคงมีโอกาสมากราบพ่อท่านด้วยตัวเอง
ด้วยความเคารพอย่างสูง
——————————————
_ตามที่พ่อครูกล่าวว่า วิภวภพ เป็นภพอุดมการณ์ เป็นภพที่ไม่มีกามภพหรือภวภพแล้ว นั้น ดิฉันเห็นว่าขัดแย้งกับคำตรัสของพระพุทธเจ้าซึ่งตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 25 ข้อ 121
ซึ่งมีใจความโดยสรุปว่า …(ตามภาษาดิฉันเอง) บุคคลใดกล่าวว่าจะออกจากภพด้วยภพบ หรือด้วยวิภวภพ ถือว่า บุคคลนั้นยังมีภพ ครั้นเมื่อเขาเห็นด้วยปัญญาว่า ภพทั้งหลายไม่เที่ยง มีความปรวนแปรเป็นธรรมดา จึงคลายความยึดมั่นถือมั่นในภพทั้งหลาย ทั้งยังไม่เพลิดเพลินในวิภวภพด้วยถือว่าบุคคลนั้นหลุดพ้นแล้ว จากภพทั้งปวง
ขอเรียนถามพ่อครูว่า
-
ตามที่พ่อครูกล่าวว่า พระอรหันต์ หรือ พระพุทธเจ้าก็ยังมีตัณหา คือ วิภวตัณหา นั้น เป็นการอาศัยตัณหา เพื่อเป็นพ่วงแพในการทำงาน เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นจากทุกข์เท่านั้นเอง จึงถือว่าเป็นตัณหาของ ผู้ไม่มีตัณหา ไม่มีภพใดๆแล้ว ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ไม่มีโลกธรรมเจือปนอยู่ ทั้งยังไม่ได้บำเรออัตตาตัวเองเหมือนดังที่พ่อครูแสดงในการสร้างภูเขาตะนาวศีลใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า… ใช่
-
วิภวภพ ของผู้ที่ยังชมีกามภพและภวภพนั้น เป็นการออกจาก ภพหนึ่งไปยังอีกภพหนึ่ง ไม่ใช่การล้างภพใช่ไหมคะ