650720 อภิภายตนะ 8 จนถึงวิโมกข์ 8 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/10csp8HId5HLcxWRlt1GpDQlKqd86DC1ampN4q-6cpc0/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://terabox.com/s/1uHAt7lZEJMmfXwFDwcvxOA
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/cZkpqZwlQ38
และ https://fb.watch/enKyOmUjdo/
สมณะฟ้าไท…วันนี้วันพุธที่ 20 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ที่ประเทศอังกฤษมีคลื่นความร้อนสูงมาก Covid ก็ระบาดรุนแรง อาหารไม่มีกิน เศรษฐกิจก็แย่ น้ำมันก็แพง ชีวิตคนถูก ไร้ค่า หาที่อยู่สบายยากมาก แต่พ่อครูพาพวกเราสร้างอาหาร อุดมสมบูรณ์เป็นอยู่ผาสุก กลับกับโลกที่เขาเป็น ทั้งที่แผ่นดินที่ราชธานีอโศกตอนแรกไม่น่าอยู่เลย ทุกวันนี้ตรงกันข้ามกันเลย พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์คนอยู่อย่างดี เป็นระบบสาธารณโภคี ถ้าไม่รวมตัวกันอยู่อย่างนี้ไม่รอดแน่ แต่พ่อครูพาทำอย่างนี้ ได้ลดกิเลสและได้ทำกุศล สัปปายะ 4 พร้อม อาหารสัปปายะ เสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ
ฌานวิสัยของผู้ที่เป็นอภิภู
พ่อครูว่า… ตอนนี้อาตมาเทศน์เป็นเรื่องตื้น แต่เป็นเรื่องลึก คือมันดูตื้นๆ แต่เรื่องลึก
ตื้นๆก็คือ อาตมา เทศน์ถึงเรื่องความเป็นสามัญของคน ก็คนปกติเขาเป็นอย่างนี้ธรรมดาก็เป็นอย่างนี้ สามัญก็เป็นอย่างนี้ คือคนตื้นๆ แต่ลึก เพราะคนที่อยู่ปกติอย่างนี้เป็นสามัญ
คำว่า ปกติ มีตัวหลักที่ยืนยัน ก็คือคำว่า ศีล คำว่าปกติคือ ศีลเป็นปกติ ก็หมายความว่า ศีล ข้อ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ก็ตาม คุณปฏิบัติได้แล้ว แล้วคุณก็มีชีวิตมีศีลอยู่เป็นปกติธรรมดาสามัญ
แล้วคนที่มีศีลเป็นปกติธรรมดาสามัญนี่แหละ คือคนมีฌาน ฌานที่สำเร็จแล้ว จบบุญแล้วด้วย เป็นสมาธิหรือสมาหิตะ แล้วชีวิตก็อยู่อย่างนั้นเป็นปกติ มีฌานเป็นปกติ มีชีวิตธรรมดา ลืมตา มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มี สติสัมโพชฌงค์เต็มที่ มีธัมมวิจัย วิริยะสัมโพชฌงค์ จิตตนเอง มีวิจัยจิตอยู่ตลอดเวลา วิจัยว่ากิเลสเรามีอยู่หรือไม่มีอยู่
นอกจากกิเลสมีอยู่หรือไม่มีอยู่ แล้วมีองค์ธรรมที่ครบพร้อม เป็นอภิภายตนะ
อภิภายตนะ 8 นี่ เป็นคุณวิเศษที่ เป็นฌานที่ยิ่งใหญ่ ฌานต้องมีอายตนะภายนอกภายใน ไม่ใช่ฌานมีแต่ภายใน อันนั้นไม่ใช่ฌานของพระพุทธเจ้า แต่เป็นฌานของเดียรถีย์ หลับตาไปทำฌาน ซึ่งคนเสื่อมเป็นโลกียะไปทั้งโลก
ฌานไม่ได้ไปนั่งหลับตาทำ เพราะไม่มีอายตนะ ไม่มีผัสสะ ไม่มีเวทนา มันไม่ทำให้เกิดฌานได้หรอก แต่เขาฟังไม่ขึ้น เพราะเขายึดมั่นถือมั่นแล้ว เขาไม่ศรัทธาอาตมา ไม่มี ปรโตโฆษะ
แต่คนที่แสวงหา ไม่มีอคติ พยายามมองความจริง สุสูสังลภเตปัญญัง ฟังว่า องค์นี้พูด ก็พอมีปฏิภาณรู้ว่า มันแปลกแต่มันดูเข้าเค้ากว่ากันหรือเปล่า ไปยึดมั่นถือมั่นอยู่ในฌานหลับตามีแต่สมถะ จม อยู่อย่างนั้นแหละ ไม่มีงอกเงย มีแต่จมหนักเข้าไปในสมถะ แล้วก็หลงตัวหลงตนว่าเป็นอรหันต์ อรหันต์เก๊ เหมือนอย่างที่เป็นในสายหลับตาอย่างที่ประกาศกัน ว่าองค์นั้นก็เป็นอรหันต์ องค์นี้ก็เป็นอรหันต์ สายหลับตามีเยอะ ทำทำเนียบเป็นเล่ม 50-60 รูป
นั่นคือสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ชัดเจน บ่งบอกถึงความเสื่อมว่าไปยกเอาอรหันต์เก๊ไปเป็นอรหันต์จริง เสื่อมชัดเจน แล้วเขาก็ยอมรับกัน มันไม่รู้ จนกระทั่งอาตมาเป็นอรหันต์จริง มาประกาศตัวเป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ เขาก็งงสิ ไม่เชื่อสิ ก็ไม่เหมือนกับเขาเลย มันคนละเรื่อง
เพราะอาตมามีฌาน วิมุติ สมาธิ เป็นปกติชีวิตสามัญ เราก็จะเข้าใจ ฌานวิสัย ไม่ได้ง่ายๆ เป็นอจินไตย พูดอย่างไรก็ไม่ง่ายที่เขาจะเข้าใจ
เมื่อจิตเป็นอรหันต์ก็มีอุเบกขาถาวร อุเบกขาคือจิตบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา จิตบริสุทธิ์สะอาดจากกิเลส มันก็เป็นปกติ เพราะกิเลสเหล่านั้นมันไม่มาใกล้แล้ว มันใกล้ไม่ได้แล้ว เพราะว่าพลังฌาน พลังสมาธิ พลังจิต ที่มีวิมุติญาณทัศนะ ของพระอาริยะ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์เหล่านั้นแข็งแรงมาก มีรัศมี มีราศีที่เขาเข้ามาใกล้ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ใครที่ยังงมงายไปมัวหลับตาตอนที่เขาทำกันอยู่ เลยก็ได้แต่แช่แข็งวิ่งเข้าไปเรื่อยๆ จม อยู่ในภพอยู่ในภวังค์ไปดักดาน เป็น อาฬารดาบส อุทกดาบส พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตายไปแล้วก็จะฉิบหาย จมอยู่ในภพ อสัญญี ที่เขาหลงว่า เป็นภพที่ควรอยู่ ควรมี ควรได้ เป็นสุภะ มันก็ตายสิ กู่ไม่กลับ อยู่ในหลุมลึก ก้นบึ้ง ที่ไม่รู้จะขนขึ้นมายังไง
เพราะฉะนั้น คนที่ปฏิบัติฌานของพระพุทธเจ้า ต้องมีอายตนะเสมอ คือมีสภาพ 2 ของรูปกับนามกระทบกัน ให้เป็น ฌาน
จะเป็นหรือไม่เป็นก็คือ จิตขณะนั้นของคุณไม่มีกิเลสนิวรณ์ 5 หมดเลย กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา จนชัดเจนไม่สงสัย หมดวิจิกิจฉา เป็นทั้ง 5 อย่าง
กามไม่มี ปฏิฆะไม่มี อุทธัจจะกุกกุจจะไม่มี ถีนมิทธะไม่มี หมดความลังเลสงสัยวิจิกิจฉาเลย
แล้วเป็นอภิภู ที่เป็นอภิภายตนะ 8 จะมีคุณสมบัติพิเศษแถมไปอีก นอกจากจะไม่มีนิวรณ์แล้ว ฌาน ของผู้ที่อภิภู คือจะต้องมีคุณสมบัติในขณะนั้นเลย พร้อมกันนั้นเลย
รูปภายนอก เห็นรูปอยู่ภายใน เพราะฉะนั้นภายนอกภายในเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รูปภายนอกมียังไง รูปภายในก็มีความชัดเจนอย่างนั้น โดยมีเป็นปกติ มีเป็นธรรมดา อาจจะ ความเร็วของจิต ถ้าใช้เป็นภาพสโลโมชั่นจะเห็นเป็นสะพานเชื่อมต่อ อันนี้รูปดอกไม้ ดอกไม้ปลอมหรือจริงหนอ
คำว่า ดอกไม้ปลอมหรือดอกไม้จริงอยู่ใกล้ๆเราก็สัมผัสแล้วก็ไม่มีโสตทิพย์ คือ ไม่มีความเป็นทิพย์หรือความละเอียดพอที่จะรู้ได้ เมื่อไม่มีเสียง 2 ไม่มีเสียง 1 โสตทิพย์คือ รู้เสียง 1 เสียง 2 เสียงมาแต่ไกลก็รู้ เสียงนี้เสียงกลอง เสียงนี้เสียงบัณเฑาะก์ก็แยกออกหมด เป็นผู้ที่มีความรู้แยกออกวิจัยได้
รู้จักรูปนี้ละเอียดเป็นปริตตัง แม้รูปไกลก็รู้ได้ ได้ยินเสียง ได้เห็นรูปก็รู้ว่ารูปอะไร ดูออก เป็นรูปอะไร แล้วมีรายละเอียดกว่ารูปใคร ชื่อนั้นชื่อนี้ นามนั้นนามนี้อะไร ไกลจนกระทั่งคนที่มีดวงตาไม่ยาวเท่า แม้ที่สุดคนที่ตายาวแล้วสุดวิสัยที่จะรู้ต่อไป คนที่ตาดีนี้เกินกว่านั้นก็ยังเห็น นี่คืออภิภู นี่คือผู้ยิ่งใหญ่ หูก็สามารถได้ยินเสียงไกลลิป กลิ่นก็รับได้ บางเบาละเอียดลอออย่างไรก็ได้กลิ่น ปริตตัง นิดหน่อยย่อยเล็ก ละเอียดละออ
จนหลากหลาย อัปปมาณาภา แล้วแยกแยะ วิการรูป 3 ลักขณรูป 4
วิการรูป 3 คือ ลหุตา มุทุตา กัมมัญตา
ลักขณรูป 4 ก็มี กายวิญญัติ วจีวิญญัติอีก
แล้วมีคุณสมบัติปรับปรุงได้เร็วไว ครบ รับได้แน่นไม่เหยาะแหยะ แน่นหนาดี มุทุตา มีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยม เป็นสิ่งที่ไหวได้เร็ว ในทุกเหลี่ยมทุกมิติ เพราะฉะนั้นจึงมีประสิทธิภาพทางกรรม การกระทำ จะออกไปเป็นกรรมชนิดไหนเป็น กัมมัญญา มีวิชชา มีความรู้ อัญญาหรือปัญญา คุมได้หมดเลย จัดการดูแลควบคุมบัญชาได้เก่ง
เก่งข้างในทางจิต แล้วยังออกมาข้างนอกเป็น กายวิญญัติ เคลื่อนไหวได้ตามต้องการไม่ขัดข้องแม้จะอายุยาวก็ตาม วจีวิญญัติก็ได้เร็วคล่องแคล่ว ไม่เหมือนคนแก่เลย นี่เป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาให้คนศึกษา แล้วก็เป็นได้จริงอย่างที่ว่า
อย่างอาตมานี้จะเป็นตัวอย่างไปเรื่อยๆ ยังไม่รู้ในอนาคตไม่รู้จะต้องพึ่งสเต็มเซลล์หรือเปล่าหรือว่า อาตมาฝืนตัวเองได้ไม่ต้องอาศัยสเต็มเซลล์ เอามาก็เอาไว้ทีหลัง เพราะเราทำได้อย่างดี ก็แล้วแต่นิสัยต่อไปว่าจะทำได้หรือไม่
อยู่เพื่ออะไร ใครตอบแทนอาตมาได้ไหมนะ อยู่เพื่อสืบต่อช่วยงาน ทำงานให้แก่พุทธศาสนา ให้แก่พระธรรมพระพุทธเจ้า เพราะเกิดเป็นคนไม่มีอะไรที่ควรได้ควรมีควรเป็น เป็นสุภะ ไม่มีอะไรน่าได้น่ามีน่าเป็น เท่ากับธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้า
ต่อให้เป็นจักรพรรดิ ต่อให้เป็นสังฆราช ต่อให้เป็นโป๊ป ต่อให้เป็นใครใหญ่ที่สุดในกระบวนการศาสนาไหนก็ควรจะมาได้โลกุตรธรรมทั้งนั้น แต่เขาไม่รู้ เขาก็ไม่เห็นคุณค่า เขาไม่เข้าใจหรอกไม่รู้เรื่อง เพราะว่ามันเกินที่เขาจะรู้มันเกินภูมิ เกินวิสัยที่เขาจะรู้ ให้เขามาฟังเขาก็ไม่รู้เรื่องแล้วเขาจะไม่มีธรรมรสเลย เขาต้องเอารส อย่างที่เขาสัมผัสได้แล้วก็รู้ว่า รสนี้ หอเจี๊ยะ หอฮ่อ เขาก็จะไปเอารสนั้น
เพราะฉะนั้นจุดหมายปลายทางของมนุษยชาติ ถึงขั้นบรรลุสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตาม ก็มาอยู่ที่ตรงนี้ ตรงที่มี ธรรมะโลกุตระอันสูงสุดเป็นสัมมาสัมโพธิญาณนั่นแหละ และจากนั้น ชีวิต ท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย เมื่อสำเร็จขึ้นทำเนียบเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง 1 สมัย เสร็จแล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็หมดเลยทุกอย่างเลยจากที่เคยเกิดมาเป็นคน ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุจิตได้
ทีนี้ ก็มีใบไม้กำมือเดียว อย่างพระพุทธเจ้าพระโพธิสัตว์มีใบไม้ทั้งป่า พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ผ่านมาแล้วสามารถแยกธาตุจิต เป็นดินน้ำไฟลมไปได้เลย พระพุทธเจ้าท่านก็สอนไปตามลำดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์
อนาคามี จะไม่กลับมาก็ได้แล้ว ตายแล้วไม่เกิดมามีร่างมีขันธ์ 5 อีก อนาคามีก็ไม่กลับมามีได้แล้ว ยิ่ง เป็นพระอรหันต์ก็แน่นอน ไม่มาได้ยิ่งกว่าอนาคามีแน่นอน แต่สูงไปกว่านั้น สูงกว่าที่จะเป็นอนาคามีเป็นอรหันต์ ก็เป็นยิ่งกว่าพระอรหันต์ไปได้อีก
เถรวาท เข้าใจเป็นมิจฉาทิฏฐิว่า อุจเฉททิฏฐิว่า คนที่เป็นพระอรหันต์ตายในชาตินั้นต้องสูญกายแตกดับไม่มีอะไรต่อนี่คืออุจเฉททิฏฐิของเถรวาท
ผู้เป็นอรหันต์แล้ว ใครมาพูดต่อว่า บำเพ็ญต่อไปอีก เป็นโพธิสัตว์ อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์อีก เขาจะไม่ฟัง เขาก็จะว่าบ้า เกินกว่าอรหันต์ไปได้อย่างไร กิเลสหมดแล้วมาเกิดใหม่อีกนะ ชาติร่างกายมาเกิดใหม่อีกเขาก็บอกว่าไม่เชื่อไม่ใช่ไม่มี เขารู้อรหันต์รอบเดียว
คนที่ไม่มีมิจฉาทิฏฐิจะเป็นอรหันต์ เรียนอะไรก็เรียนทุกอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคแล้วดับได้ คนนี้ก็จบ เป็นอรหันต์รอบเดียว ไม่มีความเป็นโพธิสัตว์ ไม่มีความรู้ของรอบ 2 รอบ 3 รอบ 4 เพราะฉะนั้นอรหันต์ในรอบของ อนุโพธิสัตว์เขาก็ไม่รู้เรื่อง อรหันต์ในรอบของ อนิยตโพธิสัตว์เขาก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ต้องพูดถึง นิยตโพธิสัตว์หรือมหาโพธิสัตว์ เขาก
แต่พระโพธิสัตว์มีจริงๆ พระโพธิสัตว์ที่จะพยายามเป็นพระพุทธเจ้าจนถึงระดับ 9 มีสัมมาสัมโพธิญาณได้เลย นี่คือ ความเป็นจริงที่เป็นใบไม้ทั้งป่า มันเป็นอย่างนี้
พวกที่เกิดมามุ่ง เกิดมามุ่งจะเป็นอรหันต์ถ่ายเดียว พวกนี้ช้ามาก เพราะว่าจะตกภพ มุ่งอรหันต์ถ่ายเดียว จะไม่ได้มีเทวธรรม จะอยู่แต่ผู้เดียว กินผู้เดียว นอนผู้เดียว ไปผู้เดียว มาผู้เดียว ครองสังฆาฏิผู้เดียว ขี้ผู้เดียว เยี่ยวผู้เดียว
เขาบอกว่าอยู่แต่เดียวๆ ไม่ช้าไม่นานก็บรรลุอรหันต์ คำว่าอยู่แต่ผู้เดียวไม่มีสหาย พระพุทธเจ้าก็ไขความว่า อยู่แต่ผู้เดียวนั้นคือจิตไม่มีนิวรณ์เลย ถ้ายังมีนิวรณ์อยู่ก็ยังมีสหายคือเพื่อน 2
เพราะฉะนั้นทำจิตให้ได้เป็นหนึ่งเดียวนั่นแหละ จิตเดียว ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีการเกี่ยวข้องกับสังคมหมู่กลุ่ม ยิ่งเกี่ยวข้อง กับสังคมหมู่กลุ่มยิ่งจะมีโจทย์ที่กระทบสัมผัสแล้วเราจะอยู่แต่ผู้เดียวโดยไม่มีเพื่อน 2 มีเพื่อนกระทบสัมผัสอยู่ 2 คน 3 คน 4 คน 5 คนแล้วมีหลากหลาย มีชั้นต่ำมีชั้นสูง สุพรรณะ ทุพรรณะอีกเยอะแยะ มีคนที่มีจากพื้นของ ปริตตะ อัปปมาณาภา ขึ้นไปเรื่อยๆเป็น พรรณะ ขั้นชั้นต่างๆของธรรมะ จนกระทั่งดีหรือไม่ดี เป็น สุ หรือเป็น ทุ
ภาษาบาลีภาษาธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นภาษาที่ละเอียดมาก อาตมาพยายามอธิบายให้ถึงสภาวะ โดยเอาภาษาไทยสื่อสารให้ฟังซึ่งมันก็ไม่ง่าย ฉะนั้นผู้ที่เลย สยังอภิญญา ระดับ 7 มาเป็นอภิภูระดับ 8 อาตมาก็เหลื่อมมาเป็นอภิภู มาเรื่อยๆ จนกระทั่งบัดนี้มันก็มีระดับ 8 พอขึ้นไปเรื่อยๆ ก็แจกแจงให้ฟัง
เพราะฉะนั้นความเป็น 2 ของแต่ละคู่ๆ ธรรมะพระพุทธเจ้าเรียกว่า เทวธรรม มันสลับซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อน ทั้งมวลทั้งรอบชั้นต่างๆ ทั้งภายนอกและภายใน หลายมิติมาก หลายวัฏฏะ หลายพลวัตรมากเลย
ผู้ที่รู้มากและรู้เร็วทั้งรอบนอกรอบใน รู้ได้เท่าไหร่ก็ ตรวจสอบสภาพที่เป็นกิเลสละเอียด นิวรณ์ 5 ละเอียด กามก็ดี พยาบาทก็ดี ซึมเซา ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ จนไม่สงสัยตรวจสอบและชัดเจน มันเป็น คุณสมบัติของจิตทั้งปฏิภาณปัญญา ทั้งความรู้มีปัญญาอันยิ่ง
พระพุทธเจ้าจึงได้สอนอย่างมีหลักเกณฑ์ให้ปฏิบัติจรณะ 15 แล้วก็จะมีวิชชา 8 มาเป็นสหายไปด้วยกัน เป็นยาดำแทรกซ้อนให้รู้ไปด้วย
ศีลก็มีปัญญา ปฏิบัติแล้วเป็นอธิจิตก็มีปัญญา อธิจิต ก็เป็นสัทธรรม 7 นั่นแหละ มีคู่คือฌาน เป็นความรู้หรือเป็นปัญญาที่ละเอียด เป็นปัญญาอันยิ่ง ซับซ้อนเป็นวิชชา 8 ซ้อนกันอยู่ในนั้นเรื่อยไป
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…
ความเป็นอายตนะอยู่ที่ปัจจุบันขณะผัสสะ
พ่อครูว่า… ความเป็นอายตนะ คือ เป็นสภาพธรรมชาติ ธรรมดา ของคน มันตื่นอยู่ มันก็มีอายตนะ นอนหลับไปตาหูจมูกลิ้นกายก็พัก มันก็มีแต่จิต จะเรียกว่ามีอายตนะทางจิต ธัมมายตนะกับมนายตนะ ก็มีของมัน แต่ธัมมายตนะ มนายตนะ เมื่อเราหลับตาเข้าไป มันเป็นอดีตกับอนาคต มันไม่มีปัจจุบัน ไม่เป็น ทิฏฐกาละ ไม่มีปัจจุบันชาติที่มีการเกิดอยู่ ที่เป็นปัจจุบันตากระทบรูป หูก็ได้ยินเสียง เป็นกาม 5มคุณ 5 ที่จริงต้องเรียกว่า กามาทีนวะ 5 ที่จริงแล้วมันเป็นโทษ แต่คนมันมีอวิชชาก็เห็นเป็นคุณ เป็นกามคุณ 5 กว่าคนจะหมดกามคุณ 5 นั่นมันไม่ง่าย แม้คุณจะบอกว่ารู้แล้วล่ะ เข้าใจ โดยบัญญัติภาษา มันเป็นโทษไม่เป็นคุณหรอก คุณฟังแล้วก็รู้ว่า กามนี้เป็นโทษด้วยหรือ ใช่ แล้วจริงหรือเปล่า มันไม่ได้เห็นเป็นโทษจนกระทั่งตั้งใจลดได้จริงๆเลย กาม ตาหูจมูกลิ้นกาย ทาง 5 ทวาร กามคุณ 5
อย่างสายหลับตามหาบัวไม่รู้เรื่องเลย กามคุณ 5 เขาก็ไม่รู้เรื่อง เพราะเสพติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กินหมากนี้เป็นของหยาบ เป็นสิ่งเสพติด ทุกวันนี้ก็รู้อยู่แล้วว่าคนเจริญแล้วเขาไม่กินหมากแล้ว พวกที่กินอยู่ยังเป็นพวก มิลักขะ คนเถื่อน บ้านนอก ถ้าคนที่เจริญแล้วก็ไม่กินหมากหรอก แต่เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนเถื่อน ไม่รู้ว่ากามคืออะไรด้วย
เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่า กาม ซึ่งเป็นรูปตัวแรก ที่จะต้องมีนามรูป ที่ต้องไปรู้และเรียนรู้ ล้างละก่อนอื่นเลย โภชเนมัตตัญญุตา การกินการใช้ หมากก็คือการกินชนิดหนึ่ง เคี้ยวรับรส สิ่งที่เขาเห็นว่ามันเป็นอัสสาทะ เป็นรสที่ต้องเสพ เขาติดเขาก็ไม่รู้
เบื้องต้น ด่านแรก กามคุณ 5 หยาบ หมากพลูอยู่ในระดับอบายภูมิ ต่ำ ผู้ที่เจริญ ผู้รู้แล้วก็จะห่างไกล อย่างในเมืองนี้รู้แล้วกินหมากมันต่ำ แต่สูบบุหรี่เขาสูบอยู่ ทั้งที่บุหรี่และหมากพลูนั้นเป็นอบายมุขเป็นระดับต่ำเหมือนกัน ระดับเดียวกัน
เพราะฉะนั้นผู้รู้ว่าเป็น กาม กามคืออะไร กามคืออาทีนวะ เขาก็บอกว่าไม่ใช่ กามคือคุณ ไม่ใช่โทษ เพราะฉะนั้น ปกติธรรมดาคนที่มีอวิชชาเป็นเจ้าเรือนก็ต้องเห็นเป็นอย่างนั้น เห็นกามเป็นคุณ เสร็จแล้วก็ปรุงแต่งกามกันไป ทั้ง รูป รส กลิ่นเสียงสัมผัส แล้วแต่เขาจะทำให้มันครบเครื่องเลย
กินข้าว ปรุงรส ปรุงกลิ่น ปรุงสัมผัส ปรุงรูป ไม่มีเสียง ก็เอาวงดนตรีไปเล่นประกอบให้มันครบ 5 จะได้มี รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ครบ 5 เขาไม่รู้เรื่อง แล้วถือว่าเป็นที่จะต้องไปเสียเงินไปเสพ เป็นชั้นสูง เป็นคนชั้นสูงต้องไปกินข้าวเคล้าเสียงเพลง
เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ตามลำดับก็ดี การเรียนรู้ถึงสัจธรรมที่แท้ๆ พวกนี้ก็ดี เมื่อไปเข้าใจมิจฉาทิฏฐิมิจฉาทิฏฐิตั้งแต่เบื้องต้น ไปหลับตาเสีย ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อาจารย์สอนให้หลับตาก็คืออย่าให้เห็นรูป สอนว่าปิดหูเสีย อย่าได้ยินเสียงอย่างนี้หรือ อุตระ อาจารย์ เธอสอนอย่างนั้นหรือ พะยะค่ะ อ๋อ.. สอนให้ทำให้ตาบอด ทำหูให้หนวก อย่างนั้นหรือ อุตระก็นั่งคอตก ซบเซา หมดปฏิภาณเลย
คนที่เขารู้ง่ายก็รู้ง่ายคนที่ไม่รู้ง่ายก็โง่มันไม่รู้ง่ายก็คือมันโง่ ก็โง่ พูดไปเถอะจะอธิบายอย่างไร ฉันก็ไม่เข้าใจหรือเข้าใจก็ไม่เอาเพราะมันติด มันติดมากกว่าที่จะเข้าใจเลยบังความเข้าใจ หรือจะเข้าใจ บางทีก็พอเข้าใจแต่มันติดเลยไม่ฟังต่อ ก็จะเอาอย่างนี้แหละอย่างเดิม ที่ฟังไปก็ไม่ทิ้งอันเก่าหรอกเพราะจิตมันปักมั่น นี่คืออาการของคนที่ดื้อด้านดึงดัน สารพัด ไม่ว่าจะเป็นมิติไหนหรือด้านไหน มันก็ติด
พระพุทธเจ้าสอนให้เลิกติด เลิกยึด ตั้งแต่หยาบขั้นอบายหรือกามนี่แหละ ไม่รู้จริงและไม่รู้ทางปฏิบัติ แถมไปหลับตาให้ตาบอดหูหนวกอีก มันก็เลยไปกันใหญ่ เลยไม่รู้จะพูดอย่างไร
อาตมาก็ต้องพูด เพราะมันเป็นความจริงก็ต้องพูดย้ำซ้ำซากเบื่อไม่ลง
คนที่พอเข้าใจแล้วเลิก มาฟังอาตมามากขึ้น แม้จะติดหลับตาก็หลับตาบ้างในบางคราว ฟังไปฟังมาก็จะเข้าใจว่ามันค่อยๆลดละการหลับตาลง มันก็เป็นอุปการะสำหรับการหลับตาอย่างสัมมาทิฏฐิก็ได้ หลับตาพักผ่อน อย่างน้อยก็ทำงานโดยที่ตาไม่เพ่ง ให้มันพักผ่อนก็หลับไปสิ หรือจะหลับตาเข้าไป แล้วค่อยๆทบทวน ระลึกถึงธรรมะต่างๆ หมวดนั้น ข้อนี้ ความหมายนั้นความหมายนี้ ก็ระลึกไป เรียก เตวิชโช ลงบัญชีตรวจสอบสิ่งที่เราได้ปฏิบัติได้ผ่านมาแล้ว อะไรมันเกิดมันดับ มันได้มรรคผลไหม
บุพเพนิวาสานุสติญาณ โดยมีวิปัสสนาญาณเข้าใจ มี จุตูปปาตญาณ มีญาณ ตรวจสอบธรรมะ องค์ธรรมต่างๆ ว่ามันสิ้นอาสวะหรือยัง หมดเป็นอาสวักขยญาณหรือยัง เตวิชโช
ก็หลับตาก็เป็นเพียงอุปการะ ไม่ได้เป็นหลัก แต่ไปนึกว่าหลับตาเป็นหลักปฏิบัติให้เป็นอรหันต์ได้นิโรธเลยนะ มันผิด ทำอย่างหลับตาจะให้เป็นนิโรธ เป็นนิพพาน อย่างที่เขาไม่เข้าใจอุปการะต่างๆ เข้าใจผิดว่าเป็นการปฏิบัติหลักใหญ่เลย แต่ไม่เลย การหลับตาเป็นได้เพียงอุปการะไม่ใช่หลักใหญ่
จรณะ 15 และโพชฌงค์ 7
หลักใหญ่คือ จรณะ 15 วิชชา 8 ของพุทธเป็นพุทธคุณ เป็นข้อ 1 ใน 9
อรหํ เป็นพระอรหันต์ สมฺมาสมฺพุทโธ ตรัสรู้เองโดยชอบ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ สุคโต เสด็จไปดีแล้ว โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ มีความรู้เหนือ และเป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ไม่มีใครยิ่งกว่า สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พุทฺโธ เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว ภควา ติ เป็นความจบในความเจริญ
วิชชาจะระณะเป็น 1 ใน 9 ข้อนี้เป็นพุทธคุณแท้ๆ นอกนั้นไม่ใช่พุทธคุณของพระพุทธเจ้า เป็นพุทธโทษ เป็นเดรัจฉานวิชาเป็นไสยศาสตร์ไม่พาไปนิพพาน วิชชาจะระณะพาไปนิพพาน
นิพพานของพระพุทธเจ้าเป็นนิพพานที่มีแสงสว่าง นิพพานที่อยู่ใน กาละสามัญ ทิฏฐะ เดี๋ยวนี้อยู่ในกาลปัจจุบันไม่ใช่อดีตไม่ได้อนาคต เรียกว่ามี ทิฏฐกาลกธรรม เป็นธรรมะที่ทรงไว้ซึ่ง กาละ เป็นเวลา เป็นขณะ มีธรรมะ มีแสงสว่าง ตื่นอยู่ มีเสียงที่ได้ยินได้ฟัง ใครไม่หูหนวกก็ได้ยิน มีกลิ่น ใครจมูกไม่เสียรับรสได้ก็ได้กลิ่น มากน้อย ไกลหรือใกล้ เก่งเท่าไหร่ก็แล้วแต่ อินทรีย์ 5
ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะรสทางลิ้น สัมผัสทางกาย ก็เหมือนกัน ก็เป็นผู้ที่เข้าใจจะรู้จักสัมผัสทั้งหมด ว่าแต่ละสัมผัสนั้น ประกอบไปด้วยเวทนา 2 หรือเวทนา 1
เวทนา 1 หรือเวทนา 2 เวทนา 2 คือ เวทนาแท้กับเวทนาเทียม เวทนาเก๊ มีสวรรค์กับมีนรก เวทนาจริงคือมันมีรูปเสียงกลิ่นรสของมันเป็นของแท้ของจริง
เมื่อเราอ่านจิตของเรา มีเวทนา 2 เกิดขึ้นเราก็รู้แล้วแยกได้ แยกออกจากเวทนาแท้ว่า มันต่างกันอย่างนี้ ในเวทนาเก๊ เวทนาเทียม ผู้ที่ศึกษาตามอาตมา ก็จะรู้ว่าอันนี้ไม่ต้องให้มันมี อาการชอบ อาการชื่นใจอาการถูกใจไม่ให้มันมี คุณก็ทำด้วยวิธีกดข่มเขาก็ทำกันมาก่อนทั้งนั้น อาตมาก็ทำมาก่อนจนมันเกิดปัญญาหรือว่าไม่ต้องไปกดข่ม แต่รู้ด้วยวิปัสสนา อย่างเห็นๆเลย ปัสสะ ปัสสติ เห็นอยู่ทนโท่ เห็นแล้วแยกออก มีอภิภู มีอภิภายตนะ จะเอาอะไรให้มันหายไป จะเอาอะไรให้มันเหลือหนึ่ง เป็นคู่ๆไป รู้เทวะ แต่ละคู่ๆ ไป
ก็ทำ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
ที่มันเป็นคู่ 2 นี้จัดการเวทนาให้มันเป็น 1 เวทนาย เอกสโมสรณา ภวันติ ทำให้สำเร็จ
ภวนฺติ ก็เป็นที่สุดของภพ ไม่มีแล้วภพ 2 ที่เป็นภพของกิเลส ไม่มี มีแต่ภพ 1
มีแต่ภพจริง เป็นวิภวภพ เป็นภพที่ไม่มีแล้ว กามก็ไม่มี ภวะก็ไม่มี นอกก่อน หมดแล้ว จะเรียกว่าในมันก็นอกนั่นแหละ รูปภพ อรูปภพ รูปาวจร ซึ่งกามาวจร ข้างนอกมันไม่มีแล้วก็เหลือแต่ภายในของเรา รูปาวจร ตากระทบรูป หูกระทบเสียงอยู่นั่นแหละ ศาสนาพุทธปฏิบัติธรรม กามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร ก็ลืมตากระทบสัมผัสรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนั่นแหละ มันไม่มีข้างนอกแล้วมันเหลือแต่ข้างในก็เป็นอนาคามี มีแต่ข้างในแท้เป็นอนาคามีแท้ มีแต่กิเลสที่อยู่ข้างใน เป็นรูปหยาบ ก็ลดรูปอีกเหลืออรูป ลดอรูปหมด เป็นวิภวภพ แล้ว ก็เป็นตัณหาที่เป็นวิภวตัณหาคือ ตัณหาที่ไม่มีภพ
อย่างพระพุทธเจ้าทำงานด้วยวิภวตัณหา อาตมาก็งานด้วยวิภวตัณหาของอาตมา ไม่มีภพ ไม่ได้สร้างภพชาติต่อไป เพราะกิเลสมันหมดทั้งภพนอกภพในแล้ว
ที่มันหมดก็เพราะว่าเรียนรู้ เมื่อมันมีอาการกิเลส ตั้งแต่ หยาบ กลาง ละเอียด เราก็ทำให้มันเกิด ฌาน ลืมตาปกติชีวิตสามัญ เป็นฌาน ซึ่งมันยาก อจินไตยจริงๆ ฌานวิสัย นี้ คนยังเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ
อาตมาก็พยายามอธิบายให้เข้าใจว่ามันไม่ต้องไปหาสถานที่ไปทำฌาน ต้องไปนั่งหลับตาตั้งการตรงดำรงสติคงมั่น ไม่ต้อง แต่มีชีวิตธรรมดาสามัญที่ทำงานอาชีพ ทำการงานต่างๆ กัมมันตะ ยังพูดอยู่ยังคิดอยู่อย่างนี้แหละ ก็มี สัมมาทิฏฐิให้ได้อย่างที่อาตมากำลังอธิบายสัมมาทิฏฐิ แล้วก็ปฏิบัติทั้ง 4 กรรมนี่แหละ อาชีวะ กัมมันตะ วาจาและมโน ด้วยความพยายามอย่างมีสัมมาสติ สัมมาวายามะ
เพื่อที่จะเรียนรู้และแยกแยะ มีโพชฌงค์ 7 วิจัยวิจาร แยกกิเลสให้ออกจากจิตได้ แล้วก็ทำกิเลสให้ลด ด้วยปัญญาอันยิ่ง เป็นฌานอันยิ่งก็ได้
ฌานคือ การสร้างพลังงานซ้อนเข้าไปเพื่อที่จะให้มันเหนือชั้นกว่าพลังงานราคะ พลังงานโทสะ พลังงานโมหะ
พลังงานราคะ มันก็ต่างกันกับปฏิฆะ ตอนมีปฏิฆะก็ไม่มีราคะ โมหะ มันรู้ชัด ก็ชัดเจนในการทำอันใดอันหนึ่งก่อน
อย่างที่ให้เรียนรู้เวทนา 18 ก็เคหสิตเวทนา 18 เป็นแบบสามัญคนโลกๆ ปุถุชน ชาวบ้านชาวช่องที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะ
จนคุณมาเป็นเนกขัมมสิตเวทนา ก็มาเอากามออกก่อน ในขั้นต้นแล้วก็มาเป็นปฏิฆะ ก็ทำปฏิฆะออกอีก แล้ว ไล่ไปตั้งแต่ภายนอก จนถึงโทมนัส โสมนัสภายใน ไล่เข้าไปอีก
จนกระทั่งเป็นขั้นอุเบกขา มันเป็นอุเบกขาหรือยัง มีอินทรีย์เท่าไหร่ อุเบกขินทรีย์ อินทรีย์ของอุเบกขา หรืออินทรีย์ของเศษกิเลส เศษกาม เศษพยาบาท ยังเป็นโสมนัสโทมนัสอยู่ ก็ละโสมนัสโทมนัสก่อนๆได้ ที่ท่านตรัสไว้ในคำสอน ผู้แปลก็เก็บคำได้หมด ครบดี
จนหมดเลย นานัตตสัญญา กำหนดรู้หมดเลยว่า ในอัตตาต่างๆ นานัตตะ คืออัตตาต่างๆ มันไม่มีกิเลสเลยเป็นอนัตตา หรือ มันยังมีเศษธุลีละอองเหลือเท่าไหร่ก็ตรวจ นานัตตสัญญาให้หมด
ไม่ใช่เอาแค่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือ จะว่าใช่ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ มีแต่ข้อสงสัยความไม่รู้แจ้งรู้จริงรู้จักอะไร ไม่ได้ แค่เนวสัญญา คุณก็ไม่เข้าท่าไม่รู้จักแล้ว ต้องผ่านเนวสัญญา รู้จริงก็เข้าไปหา นานัตตสัญญา
เนวะคือ ใช่ก็ไม่ใช่ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ มันยังตัดสินไม่ได้เพราะไม่มีปัญญาแยกรู้ ว่าอะไรคืออะไรกันแท้ๆ ถ้าผ่านขั้นนี้ไม่ได้ก็หัดในนานัตตสัญญา สัญญาต่างๆ ฝึกสัญญาของคุณให้มันหมด เนวะ ที่ว่าใช่ก็ไม่ได้ ไม่ใช่ก็ไม่รู้ เนวะ
มันมีตัวภาคปฏิเสธอยู่ในนั้น เขาไปแปล เนวะ ว่า ไม่ คำเดียว มันก็ไม่ครบแล้ว ปฏิบัติธรรมก็ไม่สมบูรณ์ เนวะก็คือเนวะ สิ
น คือไม่เลย คือ ปฏิเสธอย่างเดียว ไม่อย่างเดียวเลย เนวะ ก็ไม่ใช่นะ
บาลีท่านก็เรียนไวยากรณ์ขึ้นมา นี่ อาตมาก็อธิบายวากยสัมพันธ์ของสภาวะ ไม่ได้ไปหยิบภาษา ถ้าท่านวิจัยเป็นบาลีมาเลย แต่อาตมาแจกอภิธรรมเป็นภาษาไทยสู่ฟัง อภิธรรมของจิตเจตสิกต่างๆสู่ฟัง
เพราะฉะนั้นคนสามัญนี่แหละ ไม่ต้องไปหาสถานที่เพื่อที่จะตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่นไม่ต้องไปหลับตา ไม่ต้องไปปิดหู ปิดตา ปิดเสียงปิดอะไรต่างๆหมดเลยไปอยู่ในภวังค์ มันไม่ใช่ ไอ้นั่นมันหลงทิศหลงทาง วิ่งดิ่งไปสู่อเวจีหมดแล้ว
อาตมาจะเอาหอกแทงเท่าไหร่นี่ พวกนั่งหลับตาถึงจะไม่อยู่เป็นโจรทำลายศาสนา เขาไม่รู้ว่าเขาเป็นโจรทำลายศาสนา เพราะเขาเชื่อคนผิด ลงนรกอเวจีไปกัน
สู่แดนธรรม… ผมเข้าใจว่าเขามี Axiom แบบของเขา Axiom แบบหลับตา ใครปฏิเสธแบบของเขาก็จะอยู่กับเขาไม่ได้ แบบของเราก็มีแบบของเรา อบรมจิตของเรา มีอายตนะเปิด มี Axiom ของอโศก ใครไม่ยอมรับทิฏฐินี้ก็อยู่ไม่ได้กับชาวอโศก ของเขาก็มี Axiom ที่ทำลายยาก
พ่อครูว่า… ปฏิบัติตามแล้วมรรคก็ไม่ถูกต้อง ผลก็ไม่เจริญ
ก็ต้องพยายาม ทำลาย Axiom ของเขา ต้องทำลายให้ได้ ถ้าเขายึดมั่นถือมั่นไม่เปลี่ยนแปลง Axiom แล้วไม่ต้องวิจัยอีกวิจารณ์อีกแล้วมันจบ เช่น ยึดพระเจ้าของเขา เขาก็เรียนรู้ตามหลักคำสอนของพระเจ้า อาตมาพูดไปอย่างไรเขาก็ไม่มีเข้าใจได้ เพราะเขาปิดประตูรับรู้
ขนาดต้องตั้งใจเรียนให้ดีๆยังยาก แล้วปิดประตูรับรู้ มันจะไปได้เรื่องอะไร นอกจากปิดประตูรับรู้แล้วยังสร้างกำแพงหนาปึ้กกันเข้าไปอีก เหมือนห้องอัดเสียงเลย ข้างนอกไม่ให้เข้า ข้างในไม่ให้ออก
นี่อธิบายง่ายๆ อธิบายแบบสะดวก สามัญให้ฟัง
ฌาน คือจิตไร้นิวรณ์ ที่เข้าใกล้อรหันต์ไปเรื่อยๆ
สรุปอีกทีเข้าเป้าว่า คนเรานี่เรียนฌานนี่แหละ ฌาน ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ฌานฤาษี ฌาน ของพระพุทธเจ้าเรียนไปตามลำดับ ตั้งแต่ศีลข้อ 1 แล้ว ปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3
คุณต้องมีผัสสะต้องสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ต้องตื่นรู้ภายนอกภายในครบ ชาคริยานุโยคะ
เพราะฉะนั้น เกี่ยวข้องกับสัตว์ ที่จริงคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์แล้ว โภชเนมัตตัญญุตา ก็ไม่ต้องพิจารณาอะไรมาก ไม่กินแล้วก็ไม่ต้องไปพิจารณาอีก ก็เหลือแต่จะใช้มัน หรือจะเกี่ยวข้องกับมัน กับสัตว์ ฟังให้ดีนะ อธิบายให้ละเอียดให้ฟัง
เพราะว่ามันเป็นสัตว์ มีอยู่ในโลก สัตว์น้อย สัตว์ใหญ่ สัตว์ใกล้สัตว์ไกล สัตว์ที่อยู่ใกล้ก็มี เอามาเลี้ยงหรือไม่เลี้ยง มันก็อยู่กับเราด้วยกันมีอยู่ แต่สัตว์ที่สัมผัสจริงๆ อยู่ร่วมกัน คือคนด้วยกัน นี่แหละ ต้องเรียนรู้ กาม ปฏิฆะ ของคนด้วยกันนี่แหละ ต้องเรียนรู้
เพราะเมื่อเราเรียนรู้ดีจนกระทั่งเข้าใจแล้วละเลิกมาได้ ว่า เราไม่มีรสไม่มีชาติ ทางกามก็ไม่มี ทางปฏิฆะก็ไม่มีเลย ไม่ต้องหรี่ ไม่ต้องฟุ้ง หรี่หลับ สมถะไม่เอา ฟุ้งซ่านอุทธัจจะก็ไม่เอา ตื่นรู้เป็นฌาน มาเรียนรู้ กาม พยาบาท หยาบ กลาง ละเอียด คุณไม่มีนิวรณ์
ฌาน คือจิตไม่มีนิวรณ์ 5 ขณะใดเลย ของจิต ที่คุณปราศจากนิวรณ์ 5 ขณะนั้น คุณลืมตาอยู่ คุณทำงานอยู่ คุณทำอาชีพอยู่ คุณพูดอยู่ อย่างอาตมากำลังพูดอยู่กำลังทำกายกรรม กัมมันตะ การงาน กำลังสอนกำลังแสดงท่าที นัจจะ คีตะ วาทิตะ ให้คุณเข้าใจ พร้อมไปในตัวหมดเลย เป็น กายปาคุญญตา คล่องแคล่วว่องไวไม่ได้ช้าๆ อืดๆ พูดช้าๆเหมือนหมาง่อย เหมือนสัตว์ง่อย คนง่อยก็เหมือนกัน ไม่ใช่ แต่เป็นคนแคล่วคล่องว่องไว ปราดเปรียว
ซึ่งมันตรงกันข้ามกับความเข้าใจของคนทั่วไป ความมีฌานของ พระพุทธเจ้า จึงเป็นจิตที่ไม่มีนิวรณ์ 5 นั่นแหละ ในทุกอิริยาบถ ในทุกกรรมการงาน ในทุกขณะ มันจึงเป็นสุดวิสัย อจินไตย ฌานวิสัยที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ อาตมาอธิบาย คุณจะเข้าใจชัดขึ้น ก็จะได้รู้ว่าพวกที่ยังงมงายทำอยู่ก็จะเป็นไป พวกคุณเข้าใจมากขึ้น ปฏิบัติเรียนรู้ คุณก็จะได้ของจริง
เมื่อได้ของจริงถูกต้อง นิวรณ์น้อยลงเรื่อยๆ มันก็ใกล้เป็นพระอรหันต์ไปเรื่อยๆ สันติเก ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ใกล้ความเป็นอรหันต์ไปเรื่อยๆ นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ พวกเรานี่ เรียนรู้ดีๆ ตรวจสอบ ตรวจสอบด้วยสัทธรรม 7 ตรวจสอบด้วยฌาน 4
พอคุณปฏิบัติไป คุณก็จะรู้คุณก็จะเข้าใจ จะเห็น จะเชื่อ ศรัทธา พอคุณรู้ คุณเห็น คุณเข้าใจคุณเชื่อคุณศรัทธา ปฏิบัติไปก็จะเกิดปฏิภานปัญญาที่ลึกขึ้น แล้วจะอยู่กับอะไร ผัสสะกับอะไรอีก คุณก็จะรู้ว่า ไอ๊หยา…กามเรายังแรง ปฏิฆะเรายังมีอยู่ไม่ใช่เบา กับคนนี้ไม่มีแล้วกับคนนี้ยังมี คนพิเศษ มีเว้ย โกรธเกลียดกันพิเศษ มีปฏิฆะก็ได้ คนนี้ต้องโกรธกันไปอีก 10 ชาติ 20 ชาติไม่ยอมให้ง่ายๆ
หรือรักกัน ต้องเป็นวาสิฏฐีกับกามนิต นะจ๊ะ เกิดชาติไหนชาติไหนต้องเป็นคู่กัน นี่อธิบายหยาบๆนะ หรือ มันจะเหลือละเอียดเท่าไร คุณต้องรู้ความจริงพวกนี้
นี่แหละ พวกเราเรียนไม่ได้เรียนอะไร เรียนพวกนี้แหละ
ผู้ที่มีจิตสูงขึ้นมา เห็นว่าตัวเองมีกิเลสประมาณเท่านี้แล้ว พอเห็นปั๊บ สัมผัสแล้วเราเกิดกิเลสก็จะละอายตัวเอง บางที ก็มีท่าทีให้รู้ว่า อาย ให้คนอื่นเห็นได้ แต่ส่วนมาก จะทำทีไม่ให้คนอื่นรู้
คนที่มีความละอายจริงๆ เป็น เทวธรรม ละอายต่อกิเลส เป็นเทวดาแท้ เป็นอุบัติเทพแท้ ก็จะเตรียมตัวทำให้มันสะอาดเป็นวิสุทธิเทพให้ได้ พอรู้ตัวก็จะจัดการ มีสติสัมปชัญญะ มีโพชฌงค์ ประหาร มี สติปัฏฐาน 4 กาย เวทนา จิต ธรรม มีสัมมัปปทาน 4 ปหานมัน
สำรวมอินทรีย์ แล้วประหาร ให้มันเกิดผล สัมมัปปธาน 4 สังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขนาปธาน
นี่คือโพชฌงค์ข้อที่ 2 คนก็พากเพียรทำโพชฌงค์ข้อที่ 3 วิริยะสัมโพชฌงค์
ทำได้ก็จะเกิดปิติสัมโพชฌงค์ ทำได้แล้วมันก็จะเบาบางระงับลง ปัสสัมภยังกายสังขารัง ทำจิตสังขารังปัสสัมภยัง ระงับจิตอีก แล้ว อภิปโมทยังจิตตัง ทำจิตที่ เกิดผลดีนี้ตกผลึกให้เกิดเป็นสมาธิสัมโพชฌงค์ จบสมาธิสัมโพชฌงค์เข้าเป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์
สภาวะมันมีจริงๆไม่ได้มีแต่พยัญชนะ อาตมาเอาสภาวะเป็นตัวตั้ง มาอธิบายเป็นภาษาไทย ก็ยกตัวอย่างภาษาบาลีประกอบเล็กน้อย แต่แปลเป็นภาษาไทยเป็นหลัก ไม่ได้แปลเหมือนเขา ที่แปลทีละคำทีละประโยค ก็ดีที่เขาแปลแบบรักษาความตรงอันนี้ไว้
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท… พ่อครูได้เขียนหนังสือให้พวกเราได้อ่านหลายเล่ม มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
เวทนา 108 และเจโตปริญาณ 16
พ่อครูว่า… เพราะฉะนั้นคนธรรมดาทุกคน ถ้าเป็นคนที่สามารถเข้าใจคำว่า ฌาน แล้วทำตัวเองให้มีฌานจริงๆ โดยไม่ต้องไปเต๊ะท่า หาสถานที่นั่งตั้งกายตรง ไม่ต้อง เป็นชีวิตธรรมดาที่เป็นอยู่ เราก็ปฏิบัติอ่านจิตอ่านใจ แยก รู้ ว่า อ๋อ ทำอย่างนี้เอง
ภาษาก็บอกอยู่แล้วว่าต้องเอานิวรณ์ 5 ออกไปจากจิต จิตจะได้เป็นฌาน แล้วสั่งสม เป็นสมาธิ แล้วก็ต้องทำไปตามลำดับ บางคนถนัดเอา ปฏิฆะออกก่อน เพราะปฏิฆะเราแรง บางคนก็เอาราคะออกก่อนเพราะราคะแรง
ธรรมชาติของคนจะมี ราคะแรงกว่าปฏิฆะ เพราะปฏิฆะมันรู้ง่าย โดยสามัญสำนึกก็ไม่ให้มันออกมามากหรอก มันก็เลยไม่มากเท่าไหร่ สามัญของคนที่ไม่พิเศษ คนมีปฏิฆะพิเศษ เข้าใกล้เมื่อไหร่ก็มีแรงดีดมาก แรงดูดน้อย แรงดูดน้อยกว่าแรงดีด จะเห็นชัดเลย คนมีปฏิฆะออกง่าย แต่โดยสามัญราคะกามออกก่อน
ท่านจึงอธิบายให้เอา กามออกก่อน เนกขัมมะเอากามออกก่อน เป็นข้อหนึ่ง ก็เลยไปเข้าใจว่า เนกขัมมะแปลแต่ว่า ออกจากกาม ที่จริงต้องออกจากปฏิฆะด้วย คนสามัญจะไม่ให้มีปฏิฆะก่อน กดข่มไว้นั้นแหละ ใครมีมากใครมีน้อย โดยธรรมชาติ ถ้าเห็นได้มากคนนี้ขี้โกรธแรงกว่าราคะ โทสะแรงกว่าราคะ ซึ่งมันจะมีน้อยกว่าคนสามัญที่จะมี ราคะมากกว่าโทสะ
เขาจึงแปลเนกขัมมะเป็นเพียงออกจากกาม ที่จริง ปฏิฆะก็ด้วยแหละ ทั้ง 2 ตัว กาม ปฏิฆะ จนเบาบางก็เหลื่อมไปหารูป อรูปภายใน ทั้ง 6 ทวาร มโนปวิจาร 18 ครบทั้ง 6 ทวารซึ่งมีความสุขก็ได้ทุกข์ก็ได้ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้ ทางทวารทั้ง 6 หรือ ความสุขความทุกข์ภายนอก ลดได้ก็เหลือภายใน ก็เรียก โสมนัส โทมนัส อุเบกขินทรีย์ ก็มีทั้งภายนอกภายใน คือ อินทรีย 5 ความมีอยู่ภายนอกภายในและความเบาความหนักหรือเฉยได้ทั้ง 5 อินทรีย์
ในเวทนา 108 มี กายิกเวทนา เจตสิกเวทนา เป็นคู่แรกของเวทนา 108 เป็นเวทนา 2
เวทนา 3 ก็มี สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
เวทนา 5 ก็มี ไล่ระดับของมัน สุข ทุกข์ โสมนัส โทมนัส อุเบกขา
เวทนา 6 คือเวทนาทางทวาร 6 ซึ่งมันจะมีการเกี่ยวข้องกับสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ทั้ง 3 อย่าง จึงเป็นเวทนา 18
ก็แบ่ง 18 นี้ออกเป็น เคหสิตเวทนา ของคนทั่วไปที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะ ไม่รู้เรื่องหรอกเป็นธรรมดาของเขาที่จะเกิดอาการเหล่านั้น เพราะไม่ได้เรียนรู้ลดละ กับผู้ที่มาเรียนรู้ลดละ เป็น เนกขัมสิตเวทนา อีก 18 อย่าง เป็นมโนปวิจาร 18 เป็นพฤติกรรมของจิต
เมื่อได้ศึกษาก็เป็นเคหสิตะ ถ้าศึกษาแล้วก็จะทำเป็นเนกขัมมะได้ ออกจากกาม ปฏิฆะได้ไปตามลำดับ
จนกระทั่งสามารถเนกขัมมะได้จริง ลดกิเลสลงในขณะลืมตาปฏิบัติ ในขณะทำอาชีพทำการงานต่างๆ พูดอยู่ คิดอยู่ ในมรรคมีองค์ 8 นี้แหละ ไม่ได้ออกนอกเหนือเลย
แล้วจะสั่งสมจิตที่เป็นเจโตปริยญาณ 16
_1. สราคจิต (จิตมีราคะ) 2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ) 3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ) 4. วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ) 5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ) 6. วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
เมื่อสามารถลดละกิเลสได้จิตมันก็จะมี 2 ลักษณะคือ
-
สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) . 8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)