650713 พ่อครูเทศน์รายการเวียนธรรมอาสาฬหบูชา ต้องมีโลกุตรธรรมจึงเป็นศาสนาพุทธ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1-MkKYrolmb__I6dm6BQQBot1-NA0Pdi1hlIlLR2Px8c/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://terabox.com/s/1HCTtNOKDf-_avEdlF1m0hg
ดูวิดีโอได้ที่
และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1236597300499223
ฌานคือจิตไร้นิวรณ์แบบพุทธกับแบบฤาษี
พ่อครูว่า…วันสำคัญเป็นวันอาสาฬหบูชา ก็ไม่ต้องพูดต่อหรอกเพราะขยายความกันไปหลายคนแล้วว่าเป็นวันอะไร เป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 นี้ อาตมาก็ขอพูดถึงเรื่องหลักธรรมสำคัญๆสำหรับวันนี้วันสำคัญ อาจจะหนักหน่อยอาจจะยาก ลองฟังดูนะ
อาตมาจะพูดถึงเรื่อง พวกคุณว่ามันไม่ยากหรอก แต่มันจะยาก ต้องฟังไปเถอะ
คือเรื่องของฌาน คุณได้ฟังแล้วก็..โถ! มันจะยากอะไร เรียนมาแล้วก็ทำฌานได้แล้ว
แค่ ฌาน ที่หมายถึง ฌาน ที่เกิดในการปฏิบัติของคนผู้หลับตา ยึดมั่นถือมั่นยืนยันว่าจะทำงานได้ต้องหลับตา กับคนผู้ลืมตา ไม่ต้องหลับตาอะไร ฌานหลับตาไม่ใช่ของพุทธ ฌานของพุทธต้องลืมตา อยู่กับชีวิตสามัญปกติไปตั้งแต่ต้นจนบรรลุ ฌาน 4 จนบรรลุ ฌาน ตลอดกาล
ฌาน เป็นคุณธรรมคุณวิเศษที่อยู่กับคนตลอดกาลที่เขาทำได้แล้ว ที่ปฏิบัติประพฤติอย่างสัมมาทิฏฐิได้ถาวร เป็นปกติของชีวิตเลย
เพราะฉะนั้นคุณธรรมคนที่มี ฌาน อยู่ในตนเองตลอดเวลา ตลอดชีวิต จะเป็นอย่างไร
ง่ายที่สุด เรียนกันมาทั้งนั้น แต่ไม่เข้าใจเอง เพราะมันลึกซึ้ง แต่คนไปเข้าใจตื้นเอง
ผู้ทำ ฌาน ได้ คือทำจิตตนเองได้ ทำจิตอะไรถึงจะเป็น ฌาน
ทำจิต ให้ไม่มีนิวรณ์ 5 ได้ นั่นแหละเกิด ฌาน
ถ้ายังไม่หมดหรือยังมีนิวรณ์ 5 อยู่เราก็ยังไม่เรียกว่าสำเร็จของความเป็น ฌาน
เพราะฉะนั้นผู้ใดมีความสำเร็จ ชั่วคราว นิดนึง ก็เป็นฌานนิดนึง
ทีนี้ถ้าสามารถทำให้สำเร็จได้ถาวรตลอดไปเลย ตั้งมั่น เป็นจิตที่ตั้งมั่น เป็นฌานตั้งมั่นตลอดกาลเลย แม้จะอนุโลมลดไปกับคนอื่น ลดสภาวะ ที่มันจะต้องไปอนุโลมปฏิโลมกับกามบ้าง โกรธบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง สมถะบ้างหรือ วิจิกิจฉา อยู่บ้าง อนุโลมคนอื่นๆ ก็ไม่เลื่อนไหลไปตามเขา ไม่ได้ลดคุณภาพของฌานของตนเองลงเลย โดยไม่ต้องไปหลับตาถึงสะกดเอาความเป็นฌานไว้ได้ ไม่ต้องเลย ลืมตา สบายๆ ทุกอย่างเลย
เพราะฉะนั้น ฌาน ทั้ง 4 ที่เป็นฌาน แบบพุทธ เป็นของพุทธนั้น เป็นฌานที่ได้แล้ว โดยไม่ต้องหาสถานที่ปฏิบัติ ไม่ต้องปลีกเวลาไปปฏิบัติ ไม่ต้องเต๊ะท่า ตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่นอะไรอย่างนี้ เหมือนฌานเดียรถีย์นอกพุทธเขาทำกัน ..ไม่ต้องหลับตาทำฌาน
เพราะฌานของพุทธ ปฏิบัติอยู่ในชีวิตสามัญประจำวัน กลางคืน ผู้ที่ยังจิตไม่เป็นฌานได้ตอนหลับก็คงยาก แต่ถ้าเดียรถีย์หลับตาลงไปถึงจะเป็นฌานของตน คือทำจิตให้ไม่มีนิวรณ์ 5 ได้ง่าย ถึงขั้นสำเร็จเป็นครั้งเป็นคราว หรือเป็นครั้งนานๆก็ตาม พากเพียรพยายามฝึกฝนทำแบบนั้นมันเป็นแบบสมถะมันก็ได้ นานๆก็ได้ อย่าง อาฬารดาบส อุทกดาบส เป็นตัวอย่างที่เก่งที่สุดถือว่าสุดยอด เพราะทำไปได้ถึงขั้น อรูปฌาน
หากจะขยาย รูปฌาน อรูปฌานอีกก็จะยาว จึงยังไม่ขยายตอนนี้
เพราะฉะนั้น ฌานของพุทธ จึงเป็นฌาน ที่เกิดขึ้นในชีวิตสามัญ แล้วเป็นฌานไปพร้อมกับชีวิต ที่ทำงานอาชีพ หรือทำงานอะไรก็แล้วแต่สัมมากัมมันตะ จะพูดอยู่หรือคิดปรุงแต่งในทางจิต ก็ลืมตา ปฏิบัติ คนที่ยังไม่บรรลุก็ลืมตาปฏิบัติแบบของพุทธ จะได้ฌานแบบพุทธ ไปหลับตาทำแบบ ฤาษี เดียรถีย์เขาสอน ก็จะได้ฌานแบบฤาษี
แต่ถ้าเข้าใจดี สัมมาทิฏฐิแบบพุทธแล้วทำตามจรณะ 15 วิชชา 8 (ถ้านอก จรณะ 15 วิชชา 8 ผิดหมด เป็น ปัณกปฏิปทา ไม่ใช่ ผิด ต้องอปัณณกปฏิปทา 3 ต้องเป็นข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ ที่ท่านกำหนดไว้ คือ จรณะ 15 วิชชา 8 )
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสคำว่า บรรลุธรรม การบรรลุธรรมของศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แต่คนเข้าใจเผินไปหมดเลย แล้วคำนี้ก็มีน้อย มีอยู่ 5 คำ คือ จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก 5 คำนี้เป็นตัวกำหนดเลยว่า ฌานก็ดี สมาธิก็ดี ของพุทธนั้น ต้องเป็นแบบลืมตามีจักษุ แล้วปฏิบัติให้เกิดปัญญา เกิดญาณ เกิดวิชชา แล้วกำกับอีกว่า ในขณะที่มีแสงพระอาทิตย์สว่างจ้า ที่เรารับรู้ได้อยู่นี่แหละ ไม่ใช่ไปหลับตาไปหาที่มืด ไม่เลย
เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงเข้าใจความมืด อย่าง สุภกิณหา กิณหา แปลว่า ความมืด สุภะ แปลว่า ดีงาม
ท่านแปล สุภันเตว อธิมุตโต ว่า ถ้าจิตน้อมไปในทางศึกษาธรรมะ สุภันเตวะ มีความน่าได้ น่ามี น่าเป็น (สุภะ) อย่างที่สุด อันนี้ อยู่ในวิโมกข์ข้อที่ 3
ไม่มีโลกุตรธรรมไม่ใช่ศาสนาพุทธ
เพราะฉะนั้นในพุทธศาสนานี้อยากจะย้ำในเรื่องโลกุตรธรรมในวันนี้
คำว่า โลกุตระธรรมนี้ เป็นของศาสนาพุทธ ถ้าในศาสนาพุทธนี้ ไม่มีคุณธรรมที่เรียกได้ว่าโลกุตรธรรมแล้ว เท่ากับไม่มีศาสนาพุทธแล้ว แม้จะเรียกตนเองว่าพุทธ ก็เป็นพุทธปากเปล่า เป็นพุทธที่ไม่เหลือเชื้อแท้ๆ เชื้อสำคัญของพุทธ คือ โลกุตรธรรม
โลกในยุค 2,500 ปีนี้เสื่อมสิ้นโลกุตรธรรมลง อาตมาเคยอธิบายแยกแยะให้ฟัง วันนี้ขอย้ำให้ฟังอีกอย่างหนัก ต้องขออภัยท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะกระแสหลักที่ท่านมีจำนวนมากที่เป็นพุทธศาสนิกชน อาตมานำโลกุตรธรรม เข้ามายืนยันลงในศาสนาพุทธ ในยุค 2,500 ปีนี้เพราะมันเสื่อมไปหมดแล้ว ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว เสื่อมจริงๆไม่มี
แม้จะมีผู้นำคำว่าโลกุตรธรรมมากล่าวขึ้น เช่น ท่านพุทธทาส ซึ่งท่านก็ยังไม่ได้มีโลกุตรธรรมอย่างมากพอ เพียงแต่พอรู้คร่าวๆ เลาๆ เท่านั้นว่า ศาสนาพุทธเป็นโลกุตรธรรม แต่ท่านเองท่านก็ยังไม่ได้
ถ้าผู้ที่มีโลกุตรธรรมได้จริง และมี ความเป็นโลกุตรธรรม แน่นมากพอ เมื่ออุบัติขึ้นในโลกยุคไหน แม้ยุคไหนที่ โลกุตรธรรมได้หมดไปแล้ว โพธิสัตว์ก็จะมาปลูกฝังนำพาคนให้บรรลุโลกุตรธรรมขึ้นมาตามได้ ถ้าเป็นโพธิสัตว์ระดับสูงก็ทำให้คนบรรลุธรรมตามได้ จนมาเกิดชุมชนหมู่บ้าน สังคมที่เป็นพุทธมีโลกุตรธรรม จึงจะปรากฏความเป็นโลกุตรธรรมจริงในคน พิสูจน์ได้ยืนยันได้ ตรวจสอบตามพระไตรปิฎก ตรวจสอบตามตำนานตามเรื่องราว บุคคลผู้คนสถานที่ตำนาน ประวัติอะไรก็ได้ ถ้ามีคุณธรรมโลกุตรธรรมเพียงพอก็จะรู้ถ้ามีคุณธรรมโลกุตรธรรมเพียงพอก็จะรู้ความจริงนี้
แต่ถ้าคนไม่มีโลกุตรธรรม จะตรวจสอบอย่างไรมันก็ไม่ได้เรื่องหรอก แม้จะมีบัญญัติ แม้จะมีบัญญัติ ผู้จะตรวจสอบได้ ต้องมีโลกุตรธรรมระดับหนึ่ง หรือคนที่ฟังได้รับรู้ตามได้ แล้วคนผู้ที่รับรู้ตามได้จริง ก็จะมีตัวจิต ปัญญาของคนผู้น้้น จะเห็นว่าอย่างนี้ใช่ จะต้องมาเอา เหมือนอย่างพวกคุณ
เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่มีภูมิธรรมในโลกุตระ ฟังโลกุตรธรรมที่แท้จริงแล้ว จะบอกว่ามันจะมาล้างศาสนาพุทธ แตกต่าง กับโลกียธรรม กันคนละขั้ว หันหลังชนกันเดินคนละเส้นตรงเลย นั่นเรียกว่าคนที่มืดบอดแท้จริง ในโลกุตรธรรม ก็จะเดินหันหลังไปคนละทาง ดีไม่ดีหันหน้ามาฆ่าคนโลกุตรธรรมด้วย แต่ศาสนาพุทธไม่ฆ่ากันหรอก ในเรื่องศาสนา
ในเรื่องศาสนาของศาสนาพุทธไม่มีการฆ่ากัน อย่างเก่งก็ฟันกันแทงกันด้วยปากหอก คำนี้สำคัญนะ ปากหอก ศาสนาพุทธไม่มีความรุนแรงถึงขั้นทำให้เจ็บเนื้อเจ็บกายหรือตาย ถ้าตายยังไม่ใช่ศาสนาพุทธ ไปฆ่าคนตาย ศาสนาพุทธจึงให้ต้องปาราชิก ผู้ใดฆ่าคนตายต้องปาราชิกหมด ไม่ว่ากรณีใดๆ ถ้าทำให้ชีวิตตกร่วงก็ปาราชิกหมด เป็นเรื่องสำคัญยิ่งใหญ่ การทำให้คนตาย
เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตรธรรม แม้ข้อหนึ่งว่า ห้ามทำคนตาย อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่สัตว์ใดๆ ก็ไม่ควรทำให้มันตายเลย มันเป็นเพื่อนทุกข์ ที่เกิดร่วมเป็นจิตนิยาม เริ่มเป็นสัตว์แล้ว อย่าไปทำร้ายเขา เคยพูดมาหลายทีแล้ว
จิตที่อุบัติขึ้นมาเป็นจิตนิยามแล้ว แม้จะเป็นเซลล์นิดเดียว ผู้นี้ต่อไปอาจจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตก็ได้ อย่าเชียว เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ความจริงได้ชัดเจนแล้วจะไม่ทำการฆ่าสัตว์ใดๆ คำว่าไม่ฆ่าสัตว์ใดๆนี้ หมายถึงยิ่งคนก็จะไปฆ่าได้อย่างไร เพราะเป็นชีวิตที่เจริญกว่าสัตว์ทั้งหลาย จะไปฆ่ากันทำไมเล่า คน
เพราะฉะนั้นผู้มีศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่มีความเคารพได้เลยว่า คนชาวพุทธที่แท้จริงมีโลกุตรธรรมนั้น จะไม่ก่อสงครามกับคน หรือแม้แต่สัตว์ใด โดยเฉพาะยิ่งคนนี้ ไม่เอามันไม่ดี มันร้ายแรง จนกระทั่งอาตมาต้องพูดว่า ผู้ที่สร้างอาวุธนั้นเป็นมนุษย์สามานย์ ฆ่า ด้วยเรี่ยวแรงร่างกายศอกเข่า ก็ทารุณแล้ว ยังไปสร้างอาวุธมาฆ่ากันเพิ่มขึ้นอีกๆ คนเอ๋ยคน ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า.. ใช่ไหม?
แต่มันห้ามไม่ได้หรอก เพราะคนที่เกิดมา มันมีอวิชชาเป็นเจ้าเรือน คนที่ไม่มีความรู้ในเรื่องโลกุตรธรรมได้เลย เขาไม่รู้เรื่องหรอก เขาก็เป็นของเขาอยู่อย่างนั้น ต้องฆ่าแกง ต้องกระเหี้ยนกระหือรือ จะต้องเป็นเจ้าโลก เป็นผู้ใหญ่ยิ่งในโลก เป็นผู้นำโลก อย่างที่เห็นๆกัน อยู่เนี่ยฆ่าแกง สร้างอาวุธมาแข่งกัน ฆ่ากัน ทุกวันนี้ก็ยังแข่งกันสร้างอาวุธให้ร้ายแรงที่สุด
เพราะฉะนั้นพวกที่เป็นชาวพุทธที่มีโลกุตรธรรม จึงเป็นคนอีกคนละพวกกับคนโลกียะ ยิ่งโลกียะที่ร้ายแรง คนละพวกเลย แล้วเป็นคนละพวกที่วิเศษ คนเป็นโลกุตระในระดับถึงขั้นมีราศีรังสีเป็นกำแพงป้องกันภัยพวกนี้ได้ อันนี้เป็น อจินไตย เป็นเรื่องที่มีจริง คุณธรรมอันลึกซึ้งละเอียดและเป็นปฏิหาริย์อย่างหนึ่ง
เมื่อมีคุณธรรมถึงขีดขั้น จะมีรูปธรรม แม้เป็นรูปธรรม แสดงให้เห็นว่า คนคนนี้ ทำร้ายไม่ได้ คนคนนี้มีคุณธรรม คุณวิเศษถึงขั้นอะไรมากระทบไม่ได้มาทำร้ายท่านไม่ได้ ท่านเป็นอมตะบุคคล เป็นอมตะบุคคลในระดับสูง เป็นอมตะบุคคลในระดับอรหันต์ธรรมดาอาจจะถูกทำร้ายได้ แต่ผู้ที่ทำร้ายอรหันต์จนตายก็เป็นอนันตริยกรรม
อนันตริยกรรมเป็นกรรมที่ 1. มีวิบากจะไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าเลย 2. ต้องวนเวียนอยู่ในโลกที่เสื่อม ร้ายแรง ทารุณโหดร้าย ไปอีกอย่างนับไม่ถ้วน
เรื่องกรรมวิบากต่างๆที่อาตมาพูดถึงขยายความมาให้เล็กๆน้อยๆ มันเป็นเรื่อง อจินไตย เรื่องที่จะได้รู้ความจริง มีรายละเอียดที่มีคุณภาพคุณธรรมคุณสมบัติต่างๆ อย่างวิเศษมาก ศาสนาเทวนิยมไม่รู้จักการเวียนว่ายตายเกิด Rebirth ของคนของจิตวิญญาณ
เทวนิยม 100% ตายแล้วต้องไปอยู่กับพระเจ้า แล้วไม่มีอะไรเป็นความรู้ต่อจากตรงนั้นเลย ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า แล้วถามว่าพระเจ้าจะทำอย่างไร ก็ถ้าเผื่อว่าไม่ดีก็จะสั่งลงนรก ถ้าดีก็จะไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้า นิรันดรจบ มีอยู่แค่นี้ ทั้งๆที่เรื่องจิตวิญญาณมีความวนเวียนในวัฏสงสารซึ่งชาวพุทธเราเข้าใจแล้ว
แต่ก็ยังไม่รู้ความจริงรายละเอียดได้ เพราะไม่ได้ปฏิบัติธรรมกับสัตบุรุษ หรือผู้ที่เป็นพระพุทธเจ้า หรืออย่างน้อยก็เป็นผู้ที่อยู่ในฐานะครู ที่มีสัมมาทิฏฐิ ซึ่งอันนั้นก็ยังไม่เที่ยง เพราะเป็นแค่ครูที่สัมมาทิฏฐิ แต่ก็ยังไม่แน่นอน เพราะยังไม่มีสัจธรรมที่บรรลุในตัวท่านรับรอง ยิ่งยังไม่ถึงขั้นโพธิสัตว์ระดับ 7 ขึ้นไป ยังยากที่จะเที่ยง ต้องไปถึงขีดระดับ 7 ถึงเที่ยงเรียกว่า นิยตโพธิสัตว์ ถ้าต่ำกว่านั้นก็ยังไม่เที่ยง ยังไม่มีรายละเอียดเพียงพอ แต่ก็จะมีรายละเอียดขึ้นมาตามลำดับขึ้นไปบ้าง
พอรู้จักความเป็นอรหันต์ คือเป็นโพธิสัตว์ระดับ 4 ก็รู้จักตน ทำตน ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ได้ คำว่า ปรินิพพานเป็นปริโยสาน อาตมาก็นำมากล่าว นำมาอธิบายไม่กี่ปีมานี้ ทั้งๆที่มีอยู่ในมูลสูตร 10 ข้อที่ 10 อาตมาก็เพิ่งจะมีภูมิธรรม ที่เห็นความสำคัญในอันนี้ แล้วก็นำมาอธิบายหลายปีแล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ซึ่งเป็นตัวตัดสินที่สำคัญมากที่ยืนยัน
-
ยืนยันความเป็นอรหันต์จะต้องทำปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ คือ ตายแยกจิตนิยามของตัวเองเป็นดินน้ำไฟลมเลย ไม่กลับมารวมตัวเป็นจิตนิยามอีก