650711 บุคคล 9 ประเภทในศาสนาพุทธ รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 45
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1y5H_EKqLbw9_Fo2mDSpiKb0UgkfH9yJxcfduGB3a9dU/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://terabox.com/s/18OGeRSPxC5z0CJNEqnGtAA
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/ebLLFeViwx/
และ https://youtu.be/y855WOTkLso
_สู่แดนธรรม… วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ใกล้จะถึงวันเข้าพรรษา วิถีชีวิตชาวพุทธที่ขาดไม่ได้คือควรมีผู้รู้ผู้มีปัญญาจะให้สัมมาทิฏฐิชาวพุทธที่ได้ เรียกผู้รู้ว่าเป็นบัณฑิตหรือสัตบุรุษก็ได้ ในยุคนี้ก็มีพ่อท่านได้ประกาศตัวเองว่า ตัวท่านเองเป็นสัตบุรุษที่จะมาให้สัมมาทิฏฐิ
สัตบุรุษเริ่มตั้งแต่โพธิสัตว์ระดับ 7 ผู้รู้แจ้งภาวะ 2
พ่อครูว่า… อาตมาเป็นสัตบุรุษ สัตบุรุษคือ สัตตะ=7 ผู้ที่จะเริ่มมีภูมิธรรมระดับโพธิสัตว์ระดับ 7 ขึ้นไปจึงจะได้ชื่อว่าเป็นสัตบุรุษ เริ่มต้นเป็นสัตบุรุษ อาตมาก็เริ่มเป็นสัตบุรุษมาเรื่อยๆ ประกาศตนเป็นสัตบุรุษและเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ที่จริงอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 มาแล้วตั้งแต่ปางก่อนๆ ไม่ใช่เพิ่งมาเป็นในชาตินี้ เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 มาหลายชาติแล้ว จนกระทั่งจะเลื่อนขึ้นเป็น 8 อยู่แล้ว มันก็มีความเหลื่อมในปางนี้ ในขณะนี้
อาตมาก็พูดไปบ้างแล้วว่าอาตมากำลังเดินไปสู่ระดับ 8 มีความเป็นอภิภู ระดับ 8 เป็นอภิภู ระดับ 9 เป็น สยัมภู
วันนี้เจตนาที่เตรียมไว้ พริ้นไว้ อยากจะพูด อยากจะอธิบายในวันนี้ คือเรื่องของความต่างหรือความแตกต่าง
ความแตกต่าง คำนี้นี่แหละเป็นเรื่องใหญ่ ความแตกต่างระหว่าง 2 ภาวะ มันก็มี 2 ภาวะเปรียบเทียบกันมันก็จึงเกิดความแตกต่างได้ ถ้ามีภาวะเดียวมันเปรียบเทียบอะไรไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ภาวะเดียวจะไม่สามารถตัดสิน จะไม่สามารถบอกได้ว่าคุณเป็นหนึ่ง ไม่มีสิทธิ์ ตรงนี้เป็นความชัดเจนในความรู้ระดับสิริมหามายา ระหว่างความเป็น 1 กับความเป็น 2
ต้องมี 2 และจึงจะเป็น 1 คุณจะเป็น 1 ได้คุณต้องมี 2 มาเปรียบเทียบ ถึงจะรู้ว่าเป็น1 ถ้ามี 1 โดยมีอีก 1 มาเปรียบเทียบจะรู้ว่าเป็น 1 ได้อย่างไร นอกจากคุณจะหลงตัวเองเมื่อคุณ1ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็น1 เพราะฉะนั้นเทวนิยมเขาจะยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเองเป็น 1 แล้วไม่มีการเปรียบเทียบเป็น 2 ยึดบัลลังก์ตลอดกาล นี่คือนัยยะละเอียดลึกซึ้งซับซ้อนที่เทวนิยมยังแยกความจริงอันนี้ไม่ออก
สัจจะความจริงในมหาจักรวาลเอกภพ เริ่มตั้งแต่เป็นพลังงานวัตถุ พลังงานทางฟิสิกส์มันก็เริ่มมี 2 ปรุงแต่งกันขึ้นมาก็เริ่มเป็น 2 ถ้าเป็น 1 ก็มีแต่หายไป เหมือนโลก ลูกโลกลูกใดลูกนั้น มันหมดฤทธิ์ เป็นดาวแดง ก็มีแต่หายแต่เสื่อมไปไม่มีฟื้นขึ้นมาอีกเลย มีแต่จะลดภาวะพลังงานในตัวมันเอง เป็นดาวเสื่อมไปจนกระทั่งหายไปในอวกาศ นั่นตั้งแต่วัตถุ
พอเริ่มมาเป็นชีวะ พืชก็ตาม ก็มี 2 ให้เป็นรู้แล้วมี 3 4 5 ต่อไปอีกมากมายนับไม่ถ้วน เลื่อนจากพืช จึงขึ้นมาหาจิตนิยาม ก็จาก 2 อีกเหมือนกันที่จะเรียนรู้
คำว่า 2 ภาษาบาลีว่า เทวฺ จริงอย่างที่สุดที่จะให้เรียนรู้รอบถ้วนครบ
พระพุทธเจ้าท่านมี 2 เทียบ 2 มาตลอดท่านตรัสรู้เทวฺ แล้วท่านก็ต้องยอมรับความเป็นจริง เทวฺ คนที่มีจิตนิยามจะมีธาตุรู้ขั้นจิต ถ้ามีธาตุรู้ขั้นจิตก็ต้องมีอีกซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้คู่กันมาตั้งแต่วัตถุจนถึงพืชถึงสัตว์ ถึง ทุกสรรพสิ่ง ก็เทียบกันกับธาตุรู้ที่ เป็นธาตุหนึ่งที่เกิดมาเป็นชีวะเป็นจิตนิยมมาแล้ว
จิตนิยามขึ้นมาตั้งแต่ สัตว์โลกที่มีองค์ประกอบน้อยที่สุด เล็กละเอียดจนกระทั่งโตขึ้นมา เป็นสัตว์ไม่ใช่พืช พัฒนาจากพืชมาเป็นสัตว์แล้ว จากน้อยเล็กนี่แหละ จนกระทั่งจะมาเป็นจิตนิยามเป็น อเวไนยสัตว์เป็นสัตว์ที่ยังสอนไม่ได้ เป็นมนุษย์นี่แหละเป็นคนแล้วแต่ยังสอนไม่ได้ จะเรียกว่ามนุษย์ที่เดียวก็ยังไม่ได้ใช้คำแทนว่า อมนุษย์ ก็ยังไม่รู้เรื่องในการทำชั่วทำดี ทำเสียหาย ทำประเสริฐ ทำดี อะไรอะไรควร ไม่ควรไม่รู้เรื่อง ทำไปตามอำนาจกรรม จึงต้องพัฒนาพอรู้เรื่องรู้ราวขึ้นมาเรื่อยๆ ก็รู้จักอะไรควรอะไรเรียกว่าเจริญ
เข้าสู่เรื่องวันนี้ ที่พูดถึงความแตกต่างที่เปรียบเทียบจาก 2 กับทุกชนิด
เพราะฉะนั้นก็เข้าสู่ความรู้ที่สำคัญมากในโลกทุกวันนี้ก็คือคำเรื่อง ลัทธิบริหาร ที่เรียกว่าคู่ มีผู้บริหารกับผู้ถูกบริหาร แล้วก็มีคู่จากรัฐอื่น ประเทศอื่น สัมพันธ์กันไปหมดเลยเป็น relative เป็นรีเลชั่นกันไปตลอด แยกไม่ได้หรอก มันต้องเป็นไปตาม 2
ก็ขอแวะตีหัวเข้าบ้านก่อนว่า ประชาธิปไตย ก็ต้องมีภาวะ 2 ขา เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยขาเดียวตามเทวนิยม โลกีย์ ซึ่งเขาดำเนินมาตามสายศาสนาเทวนิยม จึงมีความรู้วนเวียนอยู่ในเทวนิยมซึ่งมีขาเดียว ไม่เห็นความสำคัญของจิตวิญญาณ ไม่รู้เรื่องของจิตวิญญาณดีพอ หลงยึด ความเป็นจิตวิญญาณที่แย้งไม่ได้ที่แยกไม่ได้
เป็นมนุษย์คุณแย้งกันเอง แต่คุณไม่แย้งพระเจ้า พระเจ้าไม่ให้แย้ง คุณไม่อิสระ คุณเป็นทาสของพระเจ้า คุณก็ดีแล้วเชื่อพระเจ้าในโลกที่จะต้องทำตามเหมือนเด็กต้องเชื่อผู้ใหญ่ ก็เป็นธรรมชาติที่ควรตามลำดับ จนกว่าจะโตพอที่จะมาเรียนรู้ความเป็น 2 และเลือกเอา จนกระทั่งเป็นได้เอง ตามลำดับขั้น
ลำดับขั้นเรียกว่าอาริยะ ของพุทธเป็นอาริยะ เริ่มตั้งแต่ได้โสดาบัน ความรู้ที่เป็นอาริยะ แล้วเป็นสกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จากนั้นเจริญเป็นโพธิสัตว์ โพธิสัตว์ระดับ 5 6 7 8 ถึงอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พยัญชนะที่เรียนมาเรียบเรียงรายละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ สรุปไม่ยาว แล้วแยกละเอียดขึ้น เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ตลอดเวลาที่อาตมาทำงาน
เทวะคู่สำคัญคือ เฉโก กับ ปัญญา ในศาสนาพุทธ
ก็ขอแยกความรู้อีกคู่หนึ่งก็คือคำว่า เฉโก กับ ปัญญา
มันหมายถึงความรู้ความฉลาดเฉลียวทั้งคู่ เฉโก เอาเป็นความฉลาดเฉลียว ปัญญา ก็เป็นความฉลาดเฉลียว แต่ทางโลกียะ เขายังไม่มีปัญญา แต่มันมีพยัญชนะคำว่าปัญญา ขึ้นมาในโลกเด่นชัด เพราะปัญญามาเหนือกว่า เฉโก คนก็เลยชอบ เอาคำว่าปัญญาไปใช้ ใช้จนฟั่นเฝือ จนกระทั่งยึดเอาคำว่าปัญญาเป็นของตน เฉโกทั้งหลายก็ยึดเอาคำว่าปัญญาไปเป็นของตน โกง แม้กระทั่งคำว่าปัญญา ทั้งที่ตนเองยังมีความรู้แค่โลกียะ ออกจากโลกีย์ไม่ได้ด้วยซ้ำไปก็เรียกความรู้ความฉลาดว่าปัญญา จนลืมชาติตนเอง ลืมไปว่าตัวเองมีความรู้ความฉลาดอยู่ในกรอบความเป็น เฉโกเท่านั้น ก็ไม่รู้ตนเอง
เพราะฉะนั้นเฉโก แม้แต่ในพจนานุกรมแปลว่า อวดฉลาดหรือฉลาดแกมโกง เขาก็แปลกัน อยู่ทั้งนั้น
(๓๔๑) “เฉโก”ยังเป็น“โลกียธรรม”ที่หลง“โลกธรรม ๘”
ผู้จะมี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“โลกุตรธรรม”ได้ต้องมี “อัญญธาตุ”แล้วจึงจะเจริญเป็น
“อัญญา(พหูพจน์ของอัญญะ)” และ“สัญญา”ก็เป็น“โลกุตระ”ตามภูมิที่เป็น“ปัญญา”
“สัญญา”นี้ ชาว“โลกียะ”เขาก็มีอยู่แล้วเป็นธรรมดาของ“จิตนิยาม” แต่เป็น“สัญญาโลกียะ”เท่านั้น ต้องคนผู้เข้ากระแส“โลกุตระ”ได้ “สัญญา”จึงจะก้าวหน้าสู่“ปัญญา”
“สัญญา”มี“อัญญธาตุ” จึงเป็น“สัญญาโลกุตระ” ผู้มี“ปัญญา”จึงเป็นผู้สามารถใช้ “สัญญา”ทำงาน“กำหนดหมาย”อะไรต่างกันอีกทีได้อย่างดียิ่ง(กัมมัญญา)
“ปัญญา”คือ “ความรู้-ความฉลาด”ที่ออกจาก“วงวน”ของ“โลกียะ”ได้แล้ว และ“ปัญญา”นี้เป็นภาษาเรียกความรู้-ความฉลาดเฉพาะของศาสนาพุทธเท่านั้น อันเป็นความรู้ชนิด “อื่น(อัญญะ)” ซึ่งแยกแตกต่างออกไปจากความเจริญหรือเสื่อม ที่วนแล้ววนเล่า อยู่แต่ในวงวนของ“กรอบโลกียะ”ไปได้
“ปัญญา”กับ“เฉโก”จึง“รู้-ฉลาด”ที่เป็นจริง”คนละโลก “ความรู้-ความฉลาด”ที่เรียกด้วยภาษาว่า“ปัญญา”นี้ ไม่ใช่“ความรู้-ความฉลาด”ที่“เฉโก”เลย ทวนกระแสกันด้วย
อาตมาสาธยาย“ปัญญา”กับ“เฉโก”นี้ว่า มันแตกต่างกันเป็น“คนละโลก”มาก็นักหนาแล้ว ถึงวันนี้ก็ ๕๒ ปีแล้ว ก็ยังมีผู้รู้ได้ เข้าใจได้ กระทั่งปฏิบัติสำเร็จออกจาก “โลกียะ“ หลุดพ้นมาเป็นชาว“โลกุตระ”ได้กันมาถึงวันนี้ ก็ยังมีจำนวนไม่มากเลย
อาตมาได้ความรู้โลกุตระมาแต่ชาติปางก่อน มาชาตินี้อาตมาก็นำมาสาธยาย เพราะโลกมันเสื่อมยุค 2500 นี้มันเสื่อม อาตมาเกิดตอน 2477 โตมารู้ความอายุ 36 ได้สะสมและฟื้นความรู้ของตนขึ้นมา จึงมารู้ตัวเองว่า เรามารับหน้าที่จาก พระพุทธเจ้า จะต้องมากอบกู้ศาสนาพุทธในยุคที่เสื่อมนี้ อาตมาเป็นผู้รับผิดชอบรับหน้าที่มาจาก พระพุทธเจ้าโดยตรง
โดยยุคนี้ต้องมีคู่ ต้องมีเทวะ คือ ในหลวง ร. 9 ตามสัจจะ ในหลวงท่านก็อุบัติขึ้นมาทำหน้าที่ตามฐานะของท่าน อาตมาก็ทำหน้าที่ตามฐานะของอาตมา ในชาตินี้ไม่ได้มาพูดกันเลย จนกระทั่งท่านสวรรคตไป ท่านก็เป็นโพธิสัตว์ ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน
อาตมาก็ทำหน้าที่ทำตามหน้าที่อาตมา อธิบายไปว่าอาตมาเป็นใครมายังไงไม่ได้ปิดบังไม่ได้ มังกุ ไม่ได้เหนียม ทำอย่างสะอาดบริสุทธิ์ใจเฉยๆ ไม่ได้มีอาการอะไรผิดปกติไปจากจิตใจที่มีความจริงใจเต็มๆไม่หวั่นไหว เต็มที่ จนค่อนข้างจะแข็ง จนกระทั่งผู้ที่ไม่มี อาสโภ ไม่อาจหาญก็จะรู้สึกว่าแข็งไป ในโลกต้องมีอิตถีภาวะผสมบ้าง หรือไหวกลิ้งไปหน่อย แต่อาตมา มีลักษณะตรง เปรี้ยงๆ จนได้รับฉายาว่า ขวานจักตอก
เพราะฉะนั้นทำมาก็มีผู้รู้ได้เข้าใจได้ จนกระทั่งปฏิบัติสำเร็จออกมาจากโลกียะหลุดพ้นออกมาจากโลกียะ คนมาเป็นชาวโลกุตระได้ จนกระทั่งบัดนี้ก็มีจำนวนไม่มากนักหรอก ปางนี้ อาตมาต้องพยายามทำให้มากที่สุด
มี sms อันหนึ่งว่า
_*จักจั่นทิพย์ สว่างล้ำ* · หนูว่าพ่อท่านจะไม่เกิดสภาวะทั้งสองอย่างค่ะ ไม่นั่งรถเข็น ไม่นอนติดเตียง น้อมกราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า… อาตมาก็ไม่มีคำตอบ แน่นอน อาตมาไม่อยากอยู่ในสภาพที่ว่านี้ นั่งรถเข็นหรือติดเตียง มันรู้สึกว่าไม่สง่าเท่าไร นั่งรถเข็นหรือติดเตียงก็ยังพูดได้สอนได้แต่คิดว่ามันไม่สมสัดส่วน ไม่สมภาคภูมิเท่าไหร่ คิดว่าคงไม่เอา แต่จะรอดหรือไม่รอดก็ไม่รู้นะ ไม่รู้ว่าวิบากจะไปถึงขั้นไหน
ความเห็นต่างที่ทำให้พ่อครูใช้พัฒนา
_*โกศล สุขเล็ก* · กราบคารวะพ่อท่าน..บัดนี้ธรรมะพ่อครูไม่ควรประกาศแก่ชนผู้มีราคะโทสะแรงกล้า…
พ่อครูว่า…คนคนนี้พยายามแสดงความเห็นช่วยอาตมา เพราะว่าเกรงกลัวผู้ที่มี ราคะโทสะแรงกล้า เขาทำอะไรก็ได้ ซึ่งก็จริงที่สุด อาตมาก็ไม่ได้ไปประกาศกับผู้มีโทสะแรงกล้า หรือผู้ที่มีมิจฉาทิฐิหนัก ประกาศออกไปทางโทรทัศน์ก็เคยพูดอธิบายว่าไม่ได้บุกไปในดงของเขา อาตมาพูดไปแล้วว่า เทศน์ออกโทรทัศน์ผู้ที่ อนุปสัมบัน หรือผู้ที่ยังมีราคาะ โทสะแรงกล้าเขาไม่ฟังช่องเราหรอก ช่องนี้เขาไม่เปิดเลย จะเปิดมาบ้าง มันอยู่ในโทรทัศน์มันก็อาจจะผ่านๆแต่เขาก็ไม่ฟังหรอก เขารู้ว่า หน้าโพธิรักษ์ ทางด้านโน้นเขาประกาศอยู่แล้วว่าเป็นอันธพาล เป็นจัณฑาลของเขา เขาไม่เอาหรอก หรือผู้ที่ยังอุตส่าห์ฟังแล้วค้านแย้งมาใน sms
ผู้ค้านแย้งมา ก็ขอยอมรับนับถือ อาตมาพอใจๆ ชอบใจ ผู้จะค้านมาอย่างไรก็ค้านมาเถอะ อาตมา จะได้รู้ในรายละเอียด บางทีพวกค้านแย้งมา เขาอาจจะมีรายละเอียดที่ทำให้อาตมาได้รับประโยชน์ เราได้บกพร่องตามที่เขาแนะนำมา อันนี้ก็ต้องขอบคุณ
ผู้ที่เราจะโอภาปราศรัยด้วยก็ต้องเป็นผู้ที่เหมาะสมหรือเต็มใจ หรือแม้ไม่เต็มใจจะอยากจะสนทนา อยากจะว่าอาตมา อยากจะแสดงความเห็น อยากจะแข่งขันก็ตามแต่ ก็ดี อาตมาก็คิดว่า อาตมายินดีที่จะคบค้า
อาตมาพยายาม ทำงานมา 52 ปี ได้ผู้ที่หลุดพ้นเข้ากระแสเข้ามาได้ เข้ามาถึงขีดจะตกอยู่ในหมู่มิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี อยู่ในชุมชน อยู่ในหมู่บ้านของชาวอโศก ที่เรามีอยู่ทั่วประเทศก็มีหลาย 10 หมู่บ้าน ชุมชน
อาตมายังทำงานยังเห็นว่ามันยังไม่ควรตาย พยายามที่จะลากสังขาร
ตอนนี้อายุ 88 ย่างเข้า 89 แล้ว จะเรียกว่าอายุ 89 ก็ยังไม่ได้ เกิน 6 เดือนขึ้นไปก็พอจะเรียกได้ ก็ไปปี 2566 ก็พอจะเรียกได้ว่าอายุย่างเข้า 89 ไปเต็มในปี 2566 ก็จะขึ้นอายุ 90
คนอายุ 90 ยังไงๆเขาก็เรียกว่าคนแก่ 80 ก็เรียกแล้ว แต่เรายังไม่ค่อยยอมให้เขามาเรียกว่าคนแก่
อาตมาจึงต้องลากชีพสังขารให้ยืนยาวออกไปอีกด้วยความจำเป็นที่สุด มันยากเย็นแสนเข็ญยอดยิ่งสุดๆ แต่มันก็ได้พิสูจน์ว่า คนผู้ศึกษาพุทธธรรม มี“ปัญญา”ในธรรมของพระพุทธเจ้าถึงขีดถึงขั้นสามารถ“ฝืนความตาย-ต่ออายุขัยของตนออกไปอีกได้ ด้วยหลักธรรมะของพระพุทธเจ้า” นั้นจริง
เคยบอกไปก่อนแล้วว่าอาตมาอายุ 72 ปี จนต่ออายุขัยมาเกิน 1 นักษัตร เลย 84 ปีมาแล้ว 4 ปี เป็น 88 แล้วย่างเข้าไป 89
อาตมานี่เองยืนยันเป็นตัวอย่างพิสูจน์กันเห็นๆในชาตินี้ มีอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ จะจริงหรือไม่จริงก็ดูกันไปว่า อาตมาจะอยู่ถึง ๑๐๐ ปีหรือเกิน ๑๐๐ ปีไปได้จริงหรือไม่?!! ถ้าจริง อาตมาอยู่ได้ถึง ๑๐๐ ปี หรือเกิน ๑๐๐ ก็คงพอเชื่อได้ แต่ก่อนตั้งเป้าว่าอยู่ถึง 151 ปี แต่ดูไปทรมานคงไม่ไหวแล้วหนักหนาสาหัสมาก ไม่น่าจะไปได้รอด
ใกล้กลียุคนี้ คนจะอายุ ถึง 100 หรือเกินกว่า 100 ก็เป็นคนพิเศษ กินเนสบุ๊คเขาก็ทำสถิติไว้
เรากำลังพูดถึงประเด็นว่า “เฉโก”เป็น“ความรู้-ความฉลาด”แค่ใน“วงกรอบ“ของ“โลกียธรรม” ยัง“ออกจากวงกรอบแห่งความรู้-ความฉลาด”ที่เป็น“โลกียธรรม”ไม่ได้ ยังไมา่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“กิเลส” ยังไม่มี“ปัญญา ๘” ยังไม่มีหลักธรรมที่เป็น“ข้อปฏิบัติ” เพื่อบรรลุเป็น“อรหันต์”
อาตมาชาตินี้มาเป็น สยังอภิญญา
มีหลักฐานว่าผู้ที่เป็น สยังอภิญญา มีที่อยู่ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 เป็นผู้ที่มีความรู้มาเองแต่ชาติก่อน อาตมาพิสูจน์แล้วว่าอาตมาชาตินี้ไม่ได้มีครูบาอาจารย์มาก่อน และที่อาตมาบรรยายสัตยานั้นต่างจากความรู้ที่เขามีกันในโลก กันกันจนกระทั่งเขาหาว่าอาตมาผิดแล้วจะเอาอาตมาตาย แต่อาตมาไม่ยอมตาย แต่ยอมแพ้เท่านั้น แต่สัจจะความจริงไม่ยอมผิดเพี้ยนไปจากสัจจะความจริงแต่ยอมแพ้ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
กำลังอธิบายความเป็นแม่ ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 ซึ่งเขาก็ใช้ไม่ได้เขาก็ไปแปลกันว่าเป็นแม่ที่เป็นตัวตน แต่ที่จริงแล้วเป็นแม่ทางจิตวิญญาณทางนามธรรม ซึ่งมันซ้อนอยู่ในพยัญชนะ สิริมหามายา
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สู่แดนธรรม…พ่อท่านอธิบายแยกแยะความต่าง
มีผู้เขียน sms ว่าพ่อท่านมาล้างสมอง ทำไมไม่มีใครถกเถียงบ้าง
พ่อครูว่า… อาตมาจะยังไม่พูดถึงประเด็นของคุณเดชา เพราะคุณคนนี้ยังอุทธัจจะอยู่อีกเยอะ ยังฟื้นฝอยยังวนเวียนสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาอีกเยอะ เขามีเยอะก็ปล่อยเขาไปก่อน
เทวะคู่สำคัญคือ เฉโก กับ ปัญญา ในศาสนาพุทธ (ต่อ)
กำลังพูดถึงเฉโกกับปัญญา
ปัญญาจะต้องเป็นผู้ที่มีธาตุรู้หรือความรู้ความฉลาดที่รู้จักภาวะ หรือตัวตน หรือความเป็นกิเลส ต้องรู้โดย ธาตุรู้คือสัญญากำหนดรู้ เมื่อความรู้ถึงขั้นปัญญากำหนดรู้สภาวะนี้
กำหนดรู้สภาวะกิเลสนี่แหละคือ ผู้ที่เริ่มนับได้ว่าเป็นโลกุตระ
เช่น โสดาบัน โสดาปัติมรรค ฟังธรรมะไปแล้วฝึกหัดขึ้นมาอ่านจิตใจตัวเอง อ่าน จิตเจตสิก รูป นิพพาน พยายามกำหนดรู้ สิ่งที่ถูกรู้เรียกว่ารูป แล้วค่อยๆละเอียดขึ้น แยกอาการที่แยกจากจิต ก็คือเจตสิก ก็มีเจตสิกต่างๆ
ตั้งแต่ เจตสิก 3 เช่น เวทนา สัญญา สังขาร ใช้นามรูปตามปฏิจจสมุปบาท ใช้ภาวะแทรกซ้อน อ่านรูป คือติดตั้งแต่หยาบ เกี่ยวกับกาม คือภายนอก ความรู้ที่ศึกษาสัจธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คนในโลกที่เป็น อเป็นอเวไนยสัตว์ มันสอนไม่ได้ จะพูดให้ตายเขาก็ไม่รู้เรื่อง
คุณจะรู้ได้มันคือยอดของพีระมิดซึ่งมันมีน้อย เมื่อใดเมื่อใดก็มีน้อยเพราะมันเป็นสัจจะ ความจริง มันคือยอดพีระมิดความจริงมันคือยอดพีระมิด เมื่อใดเมื่อใดมันก็เป็นยอดมันไม่ได้เป็นฐานพีระมิดได้หรอกเพราะเป็นโลกุตรธรรม อย่างไรก็ต้องเป็นยอดพีระมิด
มันจะเริ่มจากยอดลงมาหาฐาน จะมากขึ้น มีพระพุทธเจ้าที่มีบารมีเยอะก็ได้พลเมืองมากที่สุด แต่มากที่สุดก็ไม่เกินครึ่งหนึ่งของมนุษย์โลก เมื่อเคยเกิน
ศาสนาพุทธไม่ได้ใหญ่กว่าศาสนาไหน รู้ตัวดีไม่อวดดีว่าจะต้องใหญ่ แต่เป็นยอดอย่างเดียวก็พอ ไม่ต้องใหญ่ นี่ก็ลึกซึ้ง ยอดอย่างเดียวไม่ต้องใหญ่
สู่แดนธรรม… ยอดยิ่งครับ
พ่อครูว่า… ยอด ความหมายของ ยอด กับใหญ่ ต่างกัน ยอดคือ จุดสุดท้ายสุดของอะไรก็แล้วแต่ไกลสุดคือยอด ยอดยิ่ง คือ สุดๆๆๆ
เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธจึงเรียนรู้กิเลส เริ่มต้นโสดาบัน พอเริ่ม โสดาปัตติมรรคเข้าใจพยัญชนะภาษาก็รู้โลกุตระจิตตัวแรก รู้ของตนเองเรียกว่า สักกะ แล้ว เรียนรู้ตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าคือรูปนาม กาย คือ ภาวะสอง ก็ต้องใช้ภาวะสองเป็น
เรียนรู้กายให้ถูกว่า ต้องเอามาจากภายนอกก่อน เริ่มจากภายนอกก่อน ภายในมันละเอียดมันเล็กมันผิดพลาดได้ง่าย ไอ้หยาบใหญ่โตๆภายนอกรู้ง่าย เริ่มตั้งแต่อบายมุขคือทั้งใหญ่ทั้งเป็นหัวหน้า มุขคือหัวหน้า สัมผัสได้ง่ายๆเป็นลำดับต้น
ก็คือ กามภพ ภพข้างนอกนี่แหละ ที่เป็นกามคุณ 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทวารห้าภายนอก เกิดสภาวะนี้
ผู้ที่ไปหลับตาปฏิบัติจึงโมฆะหมด ไม่มีทางบรรลุธรรมได้เพราะมันผิดลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย แล้วหลงผิดจนไม่มาหาระดับต้น ระดับกามหยาบด้วย แต่บอกว่า ตรัสรู้ภายในเลย ก็บอกว่าพระพุทธเจ้าท่านนั่งหลับตาก็บรรลุ
พระพุทธเจ้าท่านมีของเก่ามีมาแล้วก็บรรลุได้ อาตมาก็มีของเก่ามา ก็บรรลุได้ แต่คุณยังไม่เคยมีมาจะเห็นได้จะระลึกได้อย่างไร จะหลับตาให้ตาอย่างไรมันก็ไม่มีเพราะมันไม่เคยมี ไม่มีในสิ่งที่คุณเคยผ่านมาทั้งหลายเป็นอดีต อดีตคุณไม่เคยมีมาเลยจะระลึกถึงในปัจจุบันอย่างไรไม่ต้องกล่าวถึงอนาคตมันก็ไม่มี ที่ไปมีคือเป็นเรื่องเลอะเทอะ เป็น นิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย ไปอีก
เมื่อเริ่มรู้โสดาแล้ว จะต้องปฏิบัติต่อไปให้หมดสิ้นอาสวะให้ได้ มาเรียนรู้ จับตัวกิเลสให้จริงขึ้นๆชัดขึ้น ซึ่ง จะต้องเป็นกิเลสเบื้องต้น ภายนอก กิเลสหยาบ ตามลำดับ อย่างน่าอัศจรรย์ แล้วค่อยไล่ไป
บุคคล 9 ประเภทในศาสนาพุทธ
เมื่อกี้นี้พูดพาดพิงอาสวะ โสดาบันไม่ต้องไปพูดถึงอาสวะก่อนเลยจึงยังเป็นคนผู้“ไม่หมดสิ้นอาสวะแล้ว” เริ่มนับได้ว่า ผู้“อรหันต์” ถึงขั้นเป็นคน“ผู้สิ้นอาสวะ“ ซึ่งเป็น“บุคคลระดับที่ ๔” ผู้สนใจตรวจสอบได้จาก พระไตรปิฎก เล่ม ๓๖ ข้อ ๑๕๑ “นวกนิทเทส“คือ “บุคคล ๙ จำพวก”
-
บุคคลผู้เป็น“พระสัมมาสัมพุทธเจ้า”คือ บุคคลที่ ๑ ผู้เลิศประเสริฐแล้วสูงสุดแล้วในความเป็นมนุษย์
พระพุทธ มี เจ้ามาแทรกกลาง เป็นพระเจ้าแบบพุทธก็เรียกได้ แต่เป็นพระเจ้าแบบเทวนิยมก็รู้จิตวิญญาณลึกลับได้แต่ไม่กระจ่าง
เขาพูดแต่คำสอนของพระเจ้า โดยผู้ที่เอาคำสอนของพระเจ้ามาประกาศ ก็พูดว่าเป็นลูกพระเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า คำสอนทั้งหลายเป็นของพระเจ้าไม่ใช่ของตนเอง อันนี้ก็ผิดตั้งแต่ตัวแรก คำสอนท่านใดในของพระศาสดาเทวนิยมทุกองค์ เป็นของตนเองทั้งนั้น แต่ไม่ได้เรียนรู้ตนเอง ไม่ได้เรียนรู้กรรมวิบาก ไม่ได้เรียนรู้ว่าตนเองพัฒนาความรู้ตัวเองมาเป็นสัมภาระวิบาก จนกระทั่งได้มาก และแข่งขันกับคนอื่น ประกาศตัวเองก็เป็นศาสดา อยากตั้งศาสนาให้แก่ตัวเอง ก็เลยมีศาสดาของเทวดานิยมเยอะแข่งกันใหญ่ จนกระทั่งมีศาสนาและศาสนาน้อย ซึ่งก็สู้ศาสนาใหญ่ที่มีไม่กี่ศาสนาไม่ได้ ที่มีเยอะแยะเลยศาสนาเทวนิยม ส่วนศาสนาพุทธนั้นมีหนึ่งเดียวเป็นยอดไม่ได้ไปแก่งแย่งแข่งขัน เป็นเอกภาพ
พระพุทธเจ้าที่มีองค์เดียวไม่มีพระพุทธเจ้าสองพระองค์เกิดในยุคเดียวกัน ที่จริงศาสดาของศาสนาพุทธมีหลายองค์ นับไม่ถ้วนหรอก เกิดมาจนกระทั่ง ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เกิดมาในโลกไม่รู้กี่ล้านองค์แล้วนับไม่ถ้วน
ที่มีเราก็ทำอยู่ในรอบแต่ก็เป็นไตรลักษณ์ ไม่ใช่มีอยู่ยืนยันอยู่ในโลกตลอดกาลเหมือนโลกียะ ศาสนาโลกมีตลอดกาลคู่โลกไม่มีพุทธันดรเลย เทวดนิยมครองโลกตลอดกาลแต่ศาสนาพุทธนั้นมีขาดหายไปในช่วงพุทธันดร
สภาพสภาพที่ศาสนาพุทธจะหายไปก็คือ 1. คนดี คนมีน้อยวัตถุดิบอะไรก็ยังมีมากไม่มีการกระเหี้ยนกระหือรือแก่งแย่งกัน โลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ยังไม่เป็นผีสิงในใจมากพอ อยู่กันอย่างสงบสบาย ศาสนาพุทธก็ไม่ต้องเกิดมาช่วยเพราะมันไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร
-
คือยุคพุทธันดร คือ เกิดมาก็สอนคนไม่ได้ เครื่องศูนย์เปล่า เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ได้เกิดมาในยุคที่มันสอนใครก็ไม่ได้ ก็อาจจะมีผู้รับได้เหมือนกันแต่มันไม่คุ้ม ก็ให้พระโพธิสัตว์มาฝึกฝนมาทำบารมีต่อไปเท่านั้น จะเกิดในยุคที่ คนยากที่จะบรรลุแล้ว มนุษย์ที่สอนได้มีน้อยไปไม่เหมาะควรต่อพระพุทธเจ้าเพราะได้ผลน้อย ถึงแม้จะน้อยมันก็คงจะมากพอสมควร แต่มันไม่ได้มากเท่ากับศาสนาเทวนิยมหรอก ศาสนาเทวนิยมศาสนาใหญ่ๆ จะมีจำนวนมากกว่าศาสนาพุทธทั้งนั้น แม้แต่ในยุคทุกวันนี้ก็ยืนยันได้ คริสต์อิสลาม ฮินดู หรือแม้แต่ขงจื่ออาจจะมากกว่า พลเมืองมีเป็นพันล้าน โลกุตระจริงๆสู้ไม่ได้ เป็นพุทธที่ไม่ใช่โลกุตระก็มีเยอะ
-
บุคคลผู้เป็น“พระปัจเจกพุทธเจ้า”คือ บุคคลที่ ๒ ผู้รองลงมาจาก“พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ปัจเจกแปลว่าเฉพาะตน 1.ไม่สามารถตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เพราะมีอนันตริยกรรม 2.เป็นผู้หญิง เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะฉะนั้นจริงๆแล้วปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านมีภูมิธรรมสัมมาสัมโพธิญาณแล้วเท่ากันกับพระพุทธเจ้า แต่พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังไม่ถึงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มี แต่มีที่ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าเพราะเหตุปัจจัยคือท่านไม่ได้ประกาศศาสนาพุทธ ในโลกมนุษย์ ให้เป็นศาสนาของพระองค์แล้วก็เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นทำเนียบในมนุษยชาติ แต่ท่านมีภูมิธรรมปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่ากับพระพุทธเจ้า ทำไมประกาศแล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเฉพาะตนไปเลย นี่คือปัจจัยสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เท่ากันกับพระพุทธเจ้า
ความรู้ต่างๆเหล่านี้เป็น อจินไตย ที่เดาไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีภูมิสูงพออย่าบังอาจเลยเป็นไปไม่ได้ แต่อาตมาอยู่ในฐานะที่กำลังเรียนรู้อยู่ที่เป็นไปได้ เพราะสร้างตนเองไปตามแผนที่ที่ตนเองต้องเดินทางไป อาตมาก็ต้องผ่านไปเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเป็นพระพุทธเจ้า อาตมาสามารถ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ได้แล้วแต่ยังไม่ทำ เพราะตั้งใจตั้งปณิธานจะไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง
-
บุคคลผู้เป็น“อุภโตภาควิมุติ” คือ บุคคลที่ ๓ รองลงมาจาก“พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า” คือพระอรหันต์เจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า ที่สมบูรณ์แบบ อุภโตภาควิมุติ มีการรู้วิมุติทั้งสองส่วน อุภโตคือสอง ภาคคือส่วน แ ล้วมีวิมุติทั้งสองส่วน คือทั้ง เจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ
ซึ่ง อุภโตภาควิมุติ คือ บุคคลที่ 3 รองลงมาจาก ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า
-
บุคคลผู้เป็น“ปัญญาวิมุติ” คือ บุคคลที่ ๔ รองจากผู้มี“อุภโตภาควิมุติ”
-
บุคคลผู้เป็น“กายสักขี”คือ บุคคลที่ ๕ ซึ่งเป็นคนผู้มี“ปัญญา” ผู้รู้ชัดในความเป็นจริงใน“อาริยสัจ ๔” สามารถปฏิบัติให้“อาสวะบางส่วน” หมดสิ้นไปได้แล้ว
“กายสักขี”คือ ผู้มีความหลุดพ้นสิ้นอาสวะบางส่วนได้แล้ว แต่ยัง“ไม่หมดอาสวะ”สิ้นเกลี้ยงนั่นเอง
-
และบุคคลผู้เป็น“ทิฏฐิปัตตะ”คือ บุคคลที่ ๖ ก็คือ ผู้เริ่มมี“สัมมาทิฏฐิ”ได้แล้ว ใน“อาริยสัจ ๔”เพราะ“เห็นชัดด้วยปัญญา ดำเนินไปด้วยดีแล้วด้วยปัญญา อนึ่งอาสวะบางอย่างของผู้นี้ ก็หมดสิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา”