650518 วิชชาจรณสมบัติ และพรหม 20 ชั้น พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1u_q_MKW3fTyOeD-XmWfbma0sEb4O3UYxLF3GzhQz0QY/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1RPe96iT89yRXZ_ei2AU7fyDVoWCkFURP/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/0oQ3_FuXmz4 และ https://fb.watch/d4FyenkLWC/ สมณะเดินดิน… วันนี้เป็นวันพุธที่ 18 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก พ่อครูได้นำพาพวกเราสัมผัสบรรยากาศพุทธกาลด้วยการเรียนรู้ อัมพัฏฐสูตร ชาวอโศกมีสาธารณโภคีที่เกิดจากจรณวิชชาสมบัติจริง พ่อครูว่า… จรณะ 15 วิชชา 8 เรียกเป็นชุดว่า จรณวิชชาสมบัติ นี้ เป็นพุทธคุณ หมายความว่าเป็นคุณวิเศษของศาสนาพุทธโดยตรง เพราะฉะนั้นผู้ใดที่ไม่มีคุณลักษณะ ของจรณะ 15 วิชชา 8 อยู่ในภาคปฏิบัติ การไปนั่งหลับตามันออกนอกจรณะ 15 วิชชา 8 ใน จรณะ 15 วิชชา 8 ไม่มีหลับตา ลัทธิหลับตาปฏิบัติ แล้วจะได้มรรคผล เป็นลัทธิของ เดียรถีย์ เป็นลัทธิของคนนอกศาสนาพุทธ ความเสื่อมของศาสนาพุทธทุกวันนี้มันเสื่อมไปถึงขนาดนี้ ถึงขนาดที่เรียกว่าไม่เชื่อ อาตมาพูดอย่างไรก็เชื่อกันยาก เขาจะไม่เชื่อง่ายๆ เขาเชื่อมิจฉาทิฏฐิและหลงผิดตามกันมาอย่างทุกวันนี้ มันผิดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่มาถึง 2,500 กว่าปี ในยุคที่อาตมาเกิดมา เขายึดผิดหมดแล้ว อาตมามาเห็นผิด ก็ต้องมาทำหน้าที่นี้ เพื่อจะนำเข้าสู่ความถูกต้อง พูดแล้วดูเหมือนอาตมาใหญ่จริงๆ เขามีอาจารย์ต่างๆ ที่สืบทอดกันมา นั่งหลับตากันมา ก่อนอาจารย์เสาร์อาจารย์มั่น มหาบัว ใครต่อใครอีก ก่อนนั้นอีกเยอะ ก็พานั่งกันมา หลงผิดกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่พอตามตำนานก็สืบเรื่องราว อาจารย์เสาร์ อาจารย์มั่น เป็นผู้นำหลักของสายหลับตา มหาบัว ก็ถือว่าเป็นหลักสำคัญ เพราะมหาบัวพูดมาก ปากมาก ยืนยันว่าตัวเองบรรลุในการนั่งหลับตาขึ้นมา ต่างๆนานา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่หลงผิดกันมา อย่างจริง ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน อาณิสูตร ศาสนาพุทธจะเสื่อมไป ไม่เป็นโลกุตระ เป็นศาสนาโลกียะเท่านั้น ศีลก็ไม่มี มีแต่วินัย คำว่าวินัยกับศีลก็ต่างกัน วินัย มีอาบัติ มีการลงโทษ ส่วนผิดศีลนั้นจะไม่เจริญ ไม่พัฒนาตัวเอง ไม่มีใครปรับอาบัติในการถือศีล แต่ตนเองไม่เจริญเองโดยปรมัตถ์ ส่วนวินัยนั้นมีบทลงโทษ ส่วนผู้ถือศีลมีอิสระเสรีภาพ ผู้ถือศีลไม่มีใครมาปรับอาบัติ ตัวเองจัดการเอง ได้เอง เป็นเอง ถูกต้อง ถ่องแท้ ตามสัจจะ ทำเอง ผิดก็ผิดเอง เพราะฉะนั้นรายละเอียดต่างๆเหล่านี้ อาตมาก็นำมาขยายความเพื่อจะชี้บ่งให้รู้ ให้เข้าใจ ยืนยันให้รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก อ่าน อัมพัฏฐสูตร จนถึงข้อ 161 ขึ้น 162 จบโดยที่ อัมพัฏฐะจำนนและสารภาพว่าไม่รู้หรอก วิชชาคืออะไร ทั้งๆที่มีลูกศิษย์ลูกหาคนนับถือว่าเป็นคนจบบทมนต์ เข้าใจว่า บทมนต์ที่มีจรณะ วิชชา เขาก็เข้าใจว่า อัมพัฏฐะมีจรณะ วิชชา แต่ถ้าจริงมีแค่บรรยายภาษา ท่องได้ เป็นนกแก้วนกขุนทอง แต่ตัวเองไม่ได้มีจรณะ ไม่ได้มีวิชชา จรณะมีศีลเป็นขั้นต้นก็ไม่มีศีล เอาศีล มาปฏิบัติให้แก่ตัวเอง โดยการปฏิบัติคือ อปัณณกปฏิปทา 3 ก็ไม่มี ได้ปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 โดยมีศีล ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับโทสะ เราปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ข้อกำหนดในการสัมผัสสัมพันธ์กับสัตว์เมื่อไหร่ สำรวมอินทรีย์ เกิดราคะ โทสะ โมหะ ศีลก็ไม่มีมรรคผล ก็ต้องรู้ เวทนา สัญญา วิญญาณ ของตัวเองไม่รู้เจตสิกของตัวเอง ปฏิบัติศีลแล้ว เมื่อมีสัมผัสแล้ว ต้องรู้ไปถึงนามธรรมของตัวเอง แล้วก็ ควบคุมดูแลด้วยชาคริยานุโยคะ ด้วยการพากเพียรเป็นผู้ตื่นรู้ มีสติรู้สัมผัสสัมพันธ์อะไรต่างๆ แล้วก็เกิด โพชฌงค์ 7 มีสติ มีธัมมวิจัย มีวิริยะ เรียนรู้พิจารณาวิจัยธรรม กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิตของตัวเอง อ่านออกแยกได้ สัมผัสแล้วกิเลสมันเกิด มีกิเลสตัณหาอุปาทาน มีสังขารปนในจิตหรือเปล่า แยกให้ออกแล้วพิจารณาให้กิเลสมันลดละจางคลายหายไป ด้วยปัญญาอันยิ่ง หรือให้เกิดฌาน เป็นพลังงานที่จะเผาผลาญ ทำให้เกิดปัญญานั้นแหละ หรือ จะทำให้เกิดบุญ ก็คือ ว่าฌานนั้นจะมีอำนาจมีฤทธิ์เผา ฌานนี่แปลว่าเผาหรือแปลว่าไฟ เผากิเลสให้ได้จริงๆ อาตมาอธิบายเป็นสภาวะธรรมแท้ๆ ที่ท่านสายหลับตาอธิบายอย่างอาตมาไม่ได้หรอก ต่อให้ร้อยมหาบัวก็อธิบายไม่ได้ ไม่ได้ดูถูกดูแคลนนะ เพราะเขาไม่ได้ศึกษาอย่างนี้ เขาศึกษาแต่การสะกดจิต แล้วไม่ได้เรียนรายละเอียดของจิตเจตสิกต่างๆ เพราะฉะนั้นจึงอธิบายอย่างอาตมาไม่ได้ ตั้งใจฟังให้ดีๆ อาตมาไม่ได้ลบหลู่ ไม่ได้ยกตนข่มท่าน แต่ว่าอธิบายสัจธรรม สภาวธรรม อธิบายวิชาการให้ฟัง เพราะฉะนั้นตั้งใจดีๆ อาตมาเอาชีวิตมาทิ้งทางนี้ตั้ง 50 ปีแล้ว ตั้งแต่อยู่ทางโลกอาตมาก็ไม่มีปัญหาทางโลกอาตมาก็เจริญอยู่ ถ้าอยู่ทางโลกป่านนี้ก็ร่ำรวยเป็นเศรษฐีร้อยล้านพันล้านไป ตามประสาทำมาหากิน ทางธุรกิจบันเทิง แต่อาตมาไม่เอา เลิกมา มาทำงานทางศาสนาทิ้งโลกธรรมต่างๆ มาทำงานเป็นโลกุตระ แสดงตน พากเพียรพยายามพาคนที่สนใจมาปฏิบัติธรรมตาม เกิดโลกุตรธรรม อาตมาขอยืนยันว่าชาวอโศกเป็นพวกโลกุตรธรรม สามารถที่จะเรียนรู้จักกิเลส อ่านจิตเป็น ลดละกิเลสได้จริง เป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ได้จริง รวมกันเป็นหมวดหมู่สังคมจนกระทั่งเกิด สาราณียธรรม 6 เป็นชุมชนเป็นหมู่กลุ่ม ชาวอโศกกระจายอยู่ทั่วประเทศ มี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม มีสาธารณโภคี มีลาภธัมมิกา (ได้ลาภมาโดยธรรม) ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา กินใช้เป็นส่วนกลางไม่ยึดเป็นของตัวของตน ซึ่งเป็นเศรษฐกิจชั้นหนึ่งของมนุษยชาติ โลกเขาเป็นกันไม่ได้ง่ายๆ แต่ชาวอโศกเป็นได้ นำหน้าคนทั้งโลก พูดนี้ดูเหมือนใหญ่แต่มันใหญ่จริงๆ ชาวอโศกปฏิบัติสัทธรรมปฏิบัติธรรม อธิบายเป็นแบบเศรษฐกิจ ก็เป็นเศรษฐกิจชั้น 1 เป็นเศรษฐศาสตร์ชั้น 1 เป็นเศรษฐศาสตร์ที่คนทุกคนเสียภาษีอย่างเต็มใจ เสียภาษีคือมีรายได้เท่าไหร่ก็มาหักภาษี ชาวอโศกมีรายได้เท่าไหร่ไม่ต้องหักภาษี เอาเข้ากองกลาง 100% ไม่มีโลกไหนเขาทำได้ มีโลกชาวอโศกนี่แหละทำได้ เรียกเป็นโลกเลยนะ ไม่ใช่แค่เรียกประเทศหรือรัฐ เรียกเป็น โลกชาวอโศกเลย ทำได้ ไม่ได้คุยโม้ ไม่ได้พูดหลงใหลตัวเอง เป็นเรื่องจริงเป็นสัจธรรมที่ตรวจสอบได้ ให้มาเรียนรู้ มันเป็นเรื่องยากเรื่องใหญ่เรื่องสูง ที่เขาไม่เชื่อกันง่ายๆ ยังไม่รู้ว่าอะไรคืออะไรแท้จริง สภาวธรรมของโลกุตระขั้นสาธารณโภคี 2 แม้ว่าเขาพอเข้าใจเขาก็จะเชื่อ แต่เขาไม่เชื่อว่าคนจะเป็นไปได้ มีชาวอโศกทำได้ ทำได้ในยุคนี้ ในยุคที่ศาสนาเสื่อม 2500 กว่าปี เรื่องนี้ถึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเลย ซึ่งเราทำแล้วคนก็ฟังไม่ค่อยออก ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง หรือรู้เรื่องก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง เขาก็รอแต่ว่า ดูเหมือนมันจะเป็นไปได้ เขาว่าอย่างนั้น เป็นสาธารณโภคี เป็นสังคมที่มีศีลกันจริงๆ มีอธิจิต มีสัมมาทิฏฐิจริงๆ มีปัญญา 8 มีวิมุติจริงๆ มันก็ดูเหมือนเข้าทีนะ แต่มันดูเหมือนแกล้งเป็น พยายามเสแสร้งให้มันถูกตรงตามพยัญชนะ ดูซิว่ามันจะอดกลั้น พยายามเสแสร้งให้ได้นานขนาดไหน พยายามจะดูๆๆ นี่ก็ 50 กว่าปีแล้ว มีแต่ความแน่น แข็งแรงมากยิ่งขึ้น เพราะถ้าเป็นจริงแล้ว มันจะไม่มีเสื่อม มีแต่แข็งแรงยิ่งขึ้นๆ เป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา มากยิ่งขึ้น อาตมาสบายใจ ภาคภูมิใจที่เอาภาษาบาลีอย่างนี้มาอ้างอิงยืนยันอย่างกับเก่งบาลี แท้จริงเราไม่ได้เก่งบาลี แต่เรามีสภาวะอย่างนี้ เอาภาษาบาลีมาจับก็ตรง เอาป้ายยามาติดเนื้อยาที่อาตมามี พอป้ายนี้ก็จำได้ง่ายเพราะมีสภาวะ เอามาพูดเอามาใช้อยู่ทุกวัน วิชชาจรณสมบ้ติและบุญ เพราะฉะนั้นจรณะ 15 อาตมาขอขึ้นข้อ 162 วิชชาจรณสัมปทา [162] อัมพัฏฐมาณพทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉน. พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอัมพัฏฐะ ในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม เขาไม่พูดอ้างชาติอ้างโคตรหรืออ้างมานะว่า พ่อครูว่า…คือ เรื่องของวิชชา จรณะ คนทุกคนมีสิทธิ์หมดไม่ว่าคลอดในสกุลไหน อิสรเสรีภาพที่จะมีวิชชาและจรณะได้ ไม่ได้เป็นอย่างที่อัมพัฏฐะเข้าใจว่า พราหมณ์ เท่านั้นที่จะมีจรณะวิชชา โดยเฉพาะไปเข้าใจว่าคฤหัสถ์ไม่สามารถมีได้ แม้แต่เป็นกษัตริย์ก็มีไม่ได้อย่างที่เขาเข้าใจนั้นผิดหมดเลย อย่างนี้เป็นต้น อย่างอัมพัฏฐะมีจิตถือดี มีมานะว่าตนเท่านั้น เป็นพราหมณ์ ถึงสามารถมีวิชชาจรณะได้ ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เราอาวาหมงคล วิวาหมงคล หรืออาวาหวิวาหมงคล มีในที่ใด ในที่นั้นเขาจึงจะพูดอ้างชาติบ้างอ้างโคตรบ้าง หรืออ้างมานะบ้างว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เรา ชนเหล่าใดยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ หรือยังเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล ชนเหล่านั้น ชื่อว่ายังห่างไกลจากวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม การทำให้แจ้งซึ่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมย่อมมีได้เพราะละการเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ และความเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล. พ่อครูว่า…เข้าใจศีล ปฏิบัติอปัณณกปฏิปทา 3 แล้วเกิด สัทธรรม 7 คำว่าฌาน 1 2 3 4 ของศาสนาพุทธจึงเกิดจากศีล จากอปัณณกปฏิปทา 3 แล้วจิตพัฒนาเป็น สัทธรรม 7 ตามขั้นตอน เริ่มต้นได้เป็นฌาน 1 วิตกวิจาร รู้จิตในรูปนาม อ่านแล้วจัดการให้ได้ จนสามารถรู้กิเลส ทำกิเลสลดได้ วิตกรู้ดำริ แล้วมาจับพฤติต่างๆ ในมโนปวิจาร แยกกิเลสให้ออก แล้ว พิจารณาเห็นว่ากิเลสมันไม่เที่ยง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ มันไม่ใช่ตัวตนอะไรเลย นี่คือการพิจารณาให้เห็น ไอ้การที่จะเห็น ปัญญาจะเห็นได้ว่ามันไม่เที่ยง อะไรเกิดมันก็ไม่เที่ยงหรอก แล้วมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ด้วย แท้จริงมันไม่ได้จับตัวกันเป็นตัวตนเลย มันชั่วคราวแล้วมันก็แยกกันไปเดี๋ยวมันก็จางคลาย เดี๋ยวมันก็ไปอยู่อย่างเก่า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นจะไปยึดมั่นถือมั่นเอาไม่ได้ อาตมาไม่ยึดมั่นถือมั่นเพราะเห็นของจริงอย่างนี้ที่พูดให้ฟัง อาตมาบรรลุอรหันต์ บรรลุโพธิสัตว์มาตั้งแต่ระดับ 7 อาตมาพูดอย่างสบายใจเปิดเผยหมดแล้ว เพราะทุกวันนี้คนจะไม่ค่อยรู้แล้ว อาตมาพูดไปแล้วก็ต้องอธิบายกรรมกับพระโพธิสัตว์รู้อย่างนี้ อรหันต์รู้อย่างนี้อธิบายได้อย่างนี้ ด้วยภาษาไทยภาษาที่คนเข้าใจกันได้ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมณะเดินดิน… พ่อครูไล่เรียงการเกิดฌาน ไม่ได้เกิดจากการหลับตาแต่ประการใด พ่อครูว่า… การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติแล้วบรรลุธรรม แล้วจะรู้โลกเรียกว่า โลกวิทู บรรลุแล้วจะรู้อัตตา ภาษาว่าอัตตาคือ รู้ จิต เจตสิก รูป นิพพาน รู้เป็นรูปเป็นนาม แล้วก็ศึกษารูปนามเหล่านี้ เรียนรู้ตามลำดับ หลักธรรมพระพุทธเจ้า ปฏิจจสมุปบาทหรือโพธิปักขิยธรรม 37 เรียนรู้จนละกิเลสได้ จิตสะอาดจากกิเลส อย่างรู้แจ้งเห็นจริง รู้เลยว่า อาการของกิเลสมันเกิดแล้วก็สร้างให้เกิดพลังงานฌาน พลังงานบุญ ฌานก็ปัญญา บุญก็ปัญญา แต่เขาไม่เอาบุญมาเรียกปัญญา เพราะบุญเป็นเอกังสะ บุญเป็นสภาพธาตุเลว ธาตุประหาร ทำหน้าที่ประหาร ซึ่ง อาตมาว่า ถ้าอาตมาไม่เกิดมาชาตินี้ คนจะไม่เข้าใจแล้วว่าบุญคืออะไร จะไปเข้าใจว่าบุญคือกุศลเป็นสมบัติ แต่ที่จริงบุญคือวิบัติ เป็นตัวทำวิบัติ เอกังสะ อย่างเดียว มีปฏิ เป็น วิ ไม่ใช่ ปฏิเป็นสมะ ปฏิ หรือปันนะ ปัตตะ แปลว่าบรรลุ หรือว่าเข้าถึง หรือว่าเป็นความจริง ทำได้อย่างนั้น โดยการฆ่าอย่างเดียว ไม่ได้สะสมอะไรเลยด้วย ฆ่าแล้วหาย ฆ่าแล้วสูญ จึงเป็นนิพพาน จึงเป็นสุญญตา หากฆ่าแล้วมีอะไรเหลือก็เมื่อไหร่จะหมดสักที บุญ ซึ่งเป็นการทำให้สิ้นเพียงกิเลส อนุปาทิเสสนิพพานเลย บุญนี่ เป็นตัวสุดท้ายแล้วเมื่อเสร็จหน้าที่ของบุญก็หายไปด้วยบุญไม่มีอยู่ในสถานที่ ไม่ได้อยู่ใน กาละ อะไรเลย อยู่ในปัจจุบันเท่านั้น กาละมีแต่ปัจจุบันเท่านั้นทำงานปัจจุบันแล้วหายไป ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีตกค้างไว้ในที่ไหนเลย ตกค้างอยู่ในจิตเป็นอนาคตก็ไม่มี เป็นตัวเดียวๆ ไม่เกี่ยวกับใคร ไม่เกี่ยวกับจิตเจตสิกอย่างอื่นเลยมีหน้าที่ ฆ่า เป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่จิตขึ้นมาสร้างในปัจจุบันนั้นเป็น ทิฏฐธรรม ทิฏฐกาละ เป็นสิ่งที่เกิดดับในตัวปัจจุบัน มันเกิดดับในปัจจุบัน เกิดในขณะนั้นถ้าใครมีสติสัมปชัญญะ มีความรู้ความสามารถมนสิการทำจิตในจิตของตนเองให้เป็นพฤติการณ์ของการฆ่า คือการเกิดปฏิกิริยานั้น ฆ่ากิเลสตาย ฆ่าไม่ผิดด้วยบุญเนี่ย เพราะฌาน เป็นปัญญานำมาก่อน แล้วก็นำการฆ่ามาด้วย บุญก็ร่วมฆ่า เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย ยืนยันว่าต้องตายเด็ดขาด เจอดาบของบุญแล้วกิเลสต้องตาย ดาบที่ 1 2 3 ยังไม่ตายเจอดาบที่ 4หรือดาบที่ 5 บางทีอภิธรรมเขาก็ถือว่ามี 5 ฌาน มี 5 ตายเด็ดขาดเลย อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเรื่องรายละเอียดพวกนี้มันเป็นเรื่องที่คิดเอาเองไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่ต้องมีความรู้จริง มีสภาวะธรรมจริง อาตมาเป็นคนจริง เป็นคนบรรลุธรรมมาจริง พูดแต่ความจริง ไม่ได้พูด เหลาะแหละ หรือ ผิดไปจากความจริงเลย พูดแล้วก็น่าหมั่นไส้แต่พูดความจริงบอกความจริงอีก ถ้าคุณไม่มีจิตอคติไม่เพ่งโทษ ฟังอาตมาให้ดีๆ จะรู้ว่า คนอย่างอาตมานี้ คนลอกเลียนการพูดอย่างอาตมา ลอกเลียนไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า ท่านอุบัติขึ้นมาในโลก เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ นี่ ในพุทธคุณข้อที่ 3 อันที่ 1 เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว ตถาคต อุบัติขึ้นมาในโลก เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นสัมมาสัมพุทโธ รู้เองที่เรียกว่าตรัสรู้เอง พอเริ่มเป็นอรหันต์ หมายความว่า รู้จักกิเลสล้างกิเลสอาสวะได้ เริ่มต้นเป็นอรหันต์ทำได้หน่วยกิตแรก แล้วก็ทำอีกๆ เป็นโพธิสัตว์เพิ่มขึ้น เป็นผู้ที่มีธาตุรู้เป็นโพธิ ความรู้ที่เรียกเต็มๆว่าตรัสรู้ได้ ก็ทำเพิ่มขึ้นอีก เป็นโพธิสัตว์หรือเป็นอรหันต์ที่สูงขึ้น เป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 อนุโพธิสัตว์ จากนั้นเป็น อนิยตโพธิสัตว์ เป็นโพธิสัตว์ที่เจริญขึ้นไปอีกที่จะไปเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้ให้เที่ยงแท้ พัฒนาไป อนิยตโพธิสัตว์ยาว จนเข้าเขตโพธิสัตว์ระดับ 7 จาก 6 ไป ก็เป็นนิยตะ เป็นผู้ที่เที่ยงแท้ต่อการเป็นพระพุทธเจ้า เพิ่มบารมีจากระดับ 6 ไปถึงระดับ 7 ถึงเที่ยงต่อการตรัสรู้ก็พัฒนาตัวเองขึ้นไปจนเป็นมหาโพธิสัตว์ คือระดับที่ 8 เข้าลำดับที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นลำดับที่ 9 ก็เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อใดเป็นพระพุทธเจ้าคือระดับ 9 แล้ว ก็ถือว่าเป็นธรรมสามี เป็นเจ้าของศาสนาเป็นเจ้าของธรรมะ แม้จะเป็นพระพุทธเจ้าที่ขึ้นไปเริ่มแรกก็เริ่มมีหน่วยกิต เมื่อบําเพ็ญ ก็ได้สั่งสมสภาพที่เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นไป สภาพ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นพระพุทธเจ้าที่ยิ่งมีบารมีสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตามลำดับ ที่จะมารอคิวอยู่ในดุสิต ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ทางมหายาน อธิบายว่ารอคิวอยู่ที่พุทธเกษตร แล้ว พระพุทธเจ้าต่างๆเหล่านั้นก็ถึงคิว เข้ามาประกาศศาสนาเป็นของตน ในทำเนียบของโลก ว่า อันนี้ พระพุทธเจ้ากัสสปะ พระพุทธเจ้าโกนาคะมะนะ จนถึงพระพุทธเจ้าสมณโคดม อย่างนี้เป็นต้น ให้โลกรับรู้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เดาไม่ได้ อจินไตย แต่อาตมา โพธิสัตว์ระดับ 7 มีตำราเหล่านี้แล้ว แม้อาตมาไม่ใช่ที่จะไปรอคิวเป็นพระพุทธเจ้าที่ดุสิตก็ตาม อาตมาก็รู้มาหมดแล้ว เอาตำรามาพูด อาตมาไม่ได้บอกว่าอาตมาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ยังนะ ไม่ได้สับสน ไม่ได้วิปลาส อะไร กำหนดถูกต้องอยู่ แต่อาตมาอธิบายล่วงหน้าไป คนก็เอาล่วงหน้ามาตู่ว่า พูดเหมือนเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ ตัวเองเหมือนอ่านแผนที่ยืนยันให้ฟัง ขณะนี้อาตมาเป็นระดับ 7 กำลังเหลื่อมไปหาระดับ 8 จะเป็น 8 ไปกี่เปอร์เซ็นต์ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ธรรมะต่างๆที่อาตมาพูด ไม่ใช่เรื่องไม่เป็นอุตริมนุษยธรรม เป็นอุตตริมนุสสธรรม ไม่ได้อวดอ้าง แต่เอามาแสดง แสดง อุตตริมนุสสธรรมให้ฟังให้รู้ อันที่อาตมายังไม่ใช่ก็บอกว่าไม่ใช่ อันไหนที่เป็นแล้วก็บอกว่าเป็น ไม่ได้ผิดกาละ รู้อดีต ปัจจุบัน อนาคต กำหนดสภาพสภาวะต่างๆถูกตรงสภาวะอยู่ สิ่งที่จะเกิดได้โดยชอบอย่างนี้ ก็คือ ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้ายืนยันว่า วิชชาและจรณะ เรานี่แหละคือธรรมสามี เรานี่แหละเป็นเจ้าของ พูดกับอัมพัฏฐะ แต่อัมพัฏฐะ ยืนยันว่าตัวเองมีจรณะ มีวิชชา ท่องพยัญชนะเก่ง จนคนอื่นคิดว่าเขามีวิชชาและจรณะ แต่สุดท้ายไล่จริงๆก็สารภาพตามที่เราอ่าน ว่า วิชชาเป็นไฉน จรณะเป็นไฉน หนูก็คือหนูไม่รู้ ท่านเป็นนกท่านรู้ ก็บอกหน่อย นกนี่นกรู้นะ แต่หนูนี่หนูไม่รู้ ขออภัยพูดเหมือนพูดเล่นผสมเรื่องสัจจะ ช ถึงพร้อมด้วยวิชาจรณะ เป็นธรรมสามี ได้ดีแล้ว เป็นตถาคต เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว หมายความว่า ท่านมีของตัวเองถึงแล้ว ท่านไปไหนก็ไปดีหมด สุคะโต ดำเนินไปอยู่ที่ไหนก็เป็นกรรมกิริยา เป็นตัวเองเป็นอัตโนมัติ เป็นอย่างนี้เป็นอื่นไปไม่ได้ด้วย ขออภัยเหมือนกับอาตมาเป็น แค่อาตมายังไม่ถึงขั้นพระพุทธเจ้า แต่เข้าขีด มีบทบาท มีอะไรต่ออะไรอย่างที่พระพุทธเจ้าเป็น ระดับ 7 ระดับ 8 จะเป็นอัตโนมัติ เป็นเจ้าของมากยิ่งขึ้น เป็นระดับ 9 ก็เป็นเจ้าของเต็มๆ เพราะฉะนั้นเสด็จไปดีแล้ว ไปกับตัวเอง อยู่กับตัวเอง ไปดี นี่เรียกว่า เป็นพุทธคุณ 9 อรหํ เป็นพระอรหันต์ สมฺมาสมฺพุทโธ ตรัสรู้เองโดยชอบ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ สุคโต เสด็จไปดีแล้ว โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ มีความรู้เหนือ และเป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ไม่มีใครยิ่งกว่า สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พุทฺโธ เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว ภควา ติ เป็นความจบในความเจริญ เคยได้ยินกันแล้ว แต่ที่จริงมีรายละเอียดเยอะนะ ของเก่าคุณก็เคยได้ยินได้ฟัง หูแฉะ จำได้เก่งกว่าอาตมาอีก เป็นอรหันต์ อรหันต์เป็นเช่นใด เริ่มต้นคุณปฏิบัติธรรม ปฏิบัติไปเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อรหันต์คือ รู้จักกิเลสอาสวะ แล้วมีปัญญารู้ว่า กิเลสอาสวะ จนเกิด ฌาน เกิดกำลังของจิตเป็นพลังงานที่เก่ง ฌานที่เก่ง เป็นพลังงานที่เหนือกว่า สราค สาโทสะ สโมหะ พลังงานฌาน จนเผาผลาญตามบารมี ถ้าฌาน แก่กล้าก็เผาราคะ โทสะ โมหะ ได้เร็ว แรง เกลี้ยง ก็ต้องบำเพ็ญสั่งสมพลังงานนั้นด้วยการปฏิบัติเรียนรู้ไป ไปซื้อตามร้านขายยา ห้างสรรพสินค้าไม่มีขาย ต้องเรียนรู้ฝึกฝนอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งให้ได้เอง แล้วมาสร้างพลังงาน ฌาน เผาเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ พอได้เป็นอรหันต์ก็บำเพ็ญโพธิสัตว์ โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระดับ 9 จึงเป็นสัมมาสัมพุทโธ เป็นพระพุทธเจ้า ตรัสรู้เองโดยชอบ อรหันต์จะเริ่มมีคุณสมบัติที่รู้อัตตา ดับอัตตาได้ มีคุณธรรมของตนเองดับตนเองได้ เป็นอันดับที่ 1 อรหันต์ลำดับต่อไปเป็น โพธิสัตว์ระดับ 5 ก็เรียนรู้จากของคนอื่นๆ ดีไม่ดีต้องไปเกิดอย่างคนอื่นเป็น แม้ที่สุด ไปเป็นเดรัจฉานบางตัว เพื่อจะรู้ว่าความเป็นจริงเป็นอย่างไร โพธิสัตว์จึงมีสัมภาระวิบาก เกิดเป็นใครต่อใคร ตามที่ตัวเองยังข้องใจ ไม่ได้หมายความว่ารู้เฉพาะอ่านตำราแล้วนึกคิดเอาเอง แต่ต้องเป็นต้องมีเอง เพราะฉะนั้นสัมภาระวิบากของพระโพธิสัตว์จึงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ต้องไปเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน จนกระทั่งเป็นเจ้าของคือธรรมสามี ถือว่าเป็นสัมมาสัมพุทโธเป็นเจ้าของธรรมะ เพราะธรรมะทุกอย่างที่ประดามนุษยชาติมี เป็นโลกุตระธรรม เป็นอนัตตาด้วย อนัตตาตามชนิด ไม่ว่าจะเป็นศรัทธาจริต หรือพุทธิจริต ทั้งสายศรัทธาเจโตปัญญา ต้องเป็นมาหมด เพราะฉะนั้นจึงมีปฏิสัมภิทาญาณ ผู้ที่เป็นปฏิสัมภิทาญาณ เป็นมาทั้ง เจโตทั้งปัญญา แม้ตัวเองจะมีจะติดอย่างไรถ้าจะเป็นโพธิสัตว์ต้องเป็นมาทุกอย่างไม่ใช่มานั่งคิดเอาเองแต่บัญญัติเท่านั้น ต้องตัวเองเป็นได้ มาเป็น เพราะฉะนั้นจึงพูดถูก เพราะตัวเองเคยเป็นมาแล้ว ผู้นี้แหละเป็นธรรมสามี เป็นเจ้าของวิชชาจรณะ พร้อมด้วยวิชชาจรณะจึงจบ ทีนี้ ต่อจากนั้นไป ท่านจะ ปรินิพพานเป็นปริโยสานหรือไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ท่านก็ยังมีเชื้อ อุปาธิ จึงเรียกว่า ตถาคโต คือผู้จะเสด็จไปดีแล้วจะเป็นไปไหนอย่างไรก็มีอันนี้แล้วสมบูรณ์แบบ ถ้าสุคโตก็เป็นเพียงว่าไปดี ไปเจริญมากขึ้นๆ ส่วนตถาคโต ก็จบเลย ไม่มีอะไรเจริญกว่านี้อีกแล้ว ไปไหนก็มีแต่ตัวเจริญเต็มที่ ไม่มีมนุษย์ ที่จะเจริญกว่านี้อีกแล้ว ตถาคโต ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะไปดี ไปได้ดี ไปเอาดี ได้เท่านี้อีกแล้ว ตถาคโต ดีเต็มที่ดีที่สุดแล้ว ถือว่าท่านไม่มีดีกว่านี้อีก แต่ท่านจะดีกว่าอีกก็เป็นเรื่องของท่านเพราะไม่มีใครจะไปไล่ทันท่าน ไม่มีใครจะมีภูมิจะไปวัดท่าน เพราะว่าคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำอย่างนั้นเพราะเป็นพุทธพิสัยที่สุดเอื้อม ที่คุณจะไปตัดสินไปทำไปล่วงรู้ พุทธพิสัยสุดยอดอันนี้ ไม่มีทางไปเดาเอาเอง เพราะฉะนั้นผู้ที่เสด็จไปดีแล้ว ตถาคโต จึงทรงรู้แจ้งโลก โลกทั้งหมด ในคำว่าโลก โลกกาม รูปโลก อรูปโลก หรือโลกแห่งความรู้ที่ซับซ้อน ก็เป็นโพธิสัตว์จนกระทั่งเป็นสัมมาสัมพุทธะ รู้แจ้งหมดเลยทุกโลก โลกข้างนอกโลกข้างใน โลกสมมุติหยาบใหญ่ขนาดไหนโลกที่ละเอียดเข้าไปในจิตลึก จนกระทั่งสุด แห่งที่สุดของโลก เพราะฉะนั้น อย่างโรหิตัส ไปตามหาที่สุดของโลก ไปเที่ยวได้ถามว่าใครรู้ที่สุดของโลกว่าอยู่ที่ไหน ไปเจอ พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ก็อยู่ที่คุณนั่นแหละ คุณจะไปตามที่ไหน คุณจะไปตามที่สุดของโลก โลก มันไม่ใช่ที่อื่น มันอยู่ที่ตัวเอง คุณทำที่สุดแห่งโลกได้อยู่ที่ตัวคุณนั่นแหละ มันซับซ้อนอย่างนี้ ความเป็นโลกคือความที่ประกอบกันในสภาพภายนอก ภายใน สภาพรูปนาม สภาพข้างนอกข้างใน สังขารกันอยู่ เป็นสังขารโลก สังขารโลกคือนามกับรูป รวมกันสนิทแล้วก็เป็นวิญญาณ ที่วิญญาณเป็นธาตุรู้ ถ้าคุณเป็นสัมภเวสีหลับตา คุณไปอยู่กับโลกที่เป็นภวภพ เป็นภพที่ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย มีแต่จิตกับจิต แล้วก็ขาดสภาพภายนอก ไม่มีสรีระ มีแต่จิตในจิต เพราะฉะนั้นทรงรู้แจ้งโลก รู้โลกสารพัดต่างๆ ซึ่งเอามาพูด คนก็ไม่รู้เรื่องด้วย ก็เอามาพูดเฉพาะที่คนสามารถรู้เรื่องร่วมกันได้ตั้งแต่ต้นๆหยาบๆ ประกอบด้วยตาหูจมูกลิ้นกาย หรือรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ทุกคนมีตาหูจมูกลิ้นกาย ยกเว้นคนตาบอดไม่มีตา ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะรู้ เพราะตา เป็นองค์ประกอบใหญ่ เป็นสิ่งที่ครบพร้อมทั้ง อาโลก มีแสงสว่างมีพระอาทิตย์ เห็นท้องฟ้าได้คนตาบอดไม่เห็น ส่วนเรื่อง เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นเรื่องรอง ตาจึงเป็นเอก เมื่อรู้แจ้งโลกทั้งหมด โลกวิทู รู้เรื่องโลกทุกอย่าง แล้วก็รู้จักมนุสโส เป็นสารถี ผู้ที่ฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ ท่านไม่ใช้คำว่ามนุษย์ แต่ใช้คำว่าบุรุษ บุรุษคือปุริสภาวะ ผู้ที่เป็นอิตถีภาวะยังสอนยาก เป็นอเวไนยสัตว์ ผู้ที่เป็นปุริสภาวะสอนง่ายกว่า ไม่สะดิ้งสะดีดแล้ว อิตถีภาวะยังสะดิ้งสะดีดอยู่ จับไม่ค่อยอยู่ แต่ปุริสภาวะ ขนาดไม่สะดิ้งแล้ว ตั้งใจเรียน ก็ยังยาก พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าไม่อวดเก่งอวดดีที่จะไปสอนอิตถี ท่านสอนปุริสภาวะ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าบางองค์ ไม่รับหญิงมาบวช แต่ พระสมณโคดม เอาละ อนุโลมยอมรับ ผู้หญิงมาบวช ท่านก็บอกว่า ศาสนาจะไปไม่ไกลนะ หากว่าเอาผู้หญิงมาบวช นี่พูดเป็นเรื่องอจินไตย คิดเอาไม่ได้ มีในหลักฐานตำราอยู่นะ พระพุทธเจ้าก็ยอม แทนที่ศาสนาจะอยู่เป็นหมื่นปี เอาแค่ 5,000 ก็ได้เพราะเห็นใจผู้หญิง อย่างนี้เป็นต้น นี่คือ ผู้หญิงจงสำนึกให้ดี อย่างพระน้านางที่บอกว่า เป็นสุดยอดที่ท่านจะมีเมตตา ให้ผู้หญิงได้มาบวช เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นผู้หญิงจะต้องปฏิบัติ คุรุธรรม 8 ประการ พระอานนท์ถาม ว่าผู้หญิงบรรลุอรหันต์ได้ไหม โดยสัจจะแล้วผู้หญิงก็ไม่ได้กำหนดว่าไม่ให้ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 บอกแล้วว่าไม่ได้กำหนดใคร ใครสามารถปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ก็มีสิทธิ์บรรลุจนสิ้นอาสวะได้ทุกคน ท่านบอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่ได้จำกัดโคตร ไม่ได้จำกัดใคร ใครเข้าถึงธรรมะก็บรรลุธรรมะได้ทุกคน ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย พระพุทธเจ้าก็ปฏิเสธไม่ได้ พระแม่น้านางมาก็ต้องให้บวช จึงจำนนต่อสัจจะ ให้ผู้หญิงมาบวช แล้วก็มีผู้หญิงที่บรรลุอรหันต์ได้จริงๆ แต่ศาสนาอายุจะลดลง เพราะมันจะเป็นสหศึกษา เหมือนอย่างชาวอโศก พวกเรานี้ผู้หญิงผู้ชายอยู่ร่วมกัน คนเขาหวั่นใจมากว่าจะมีลูกเณรออกมา คอยดูๆ แต่เราทุกวันนี้ก็ยังปลอดภัยกันดีอยู่ สะอาดสะอ้าน ใช้ได้ ไม่ดูเปรอะๆเลอะเทอะอะไร อย่างนี้เป็นต้น นี่คือสิ่งที่พูดได้เพราะว่าผ่านมา 50 กว่าปี มีหลักฐาน มีสิ่งที่ผ่านมาอ้างอิงยืนยันได้ว่า เราพูดอย่างมีหลักฐาน ที่ได้พิสูจน์มาแล้วนี่ ไม่ได้หมายความว่าเลอะเทอะ เพราะฉะนั้นความจริงหรือความถูกต้องตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า อโศกหรืออาตมาพาทำ อาตมายืนยันว่า มันเป็นเนื้อแท้ของศาสนาพระพุทธเจ้า ขอพูดตรงๆอย่างนี้ เถรสมาคมหรือสายโน้นที่ ไม่เคารพศรัทธาอาตมาเลย ฟังแล้วจะหมั่นไส้ ก็ขออภัย เป็นผู้ฝึกบุรุษ ซึ่งไม่มีใครยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าจริงๆ อาตมาชาตินี้ก็พยายามฝึกบุรุษที่สมควรฝึก ผู้หญิงที่มาเรียนกับอาตมา มีปุริสสภาวะอยู่ในตัว ถ้าเป็นอิตถีภาวะ ก็จะอยู่ไม่ได้นาน เพราะฉะนั้นจึงได้รับการฝึก ได้ง่ายได้ดี เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นอาจารย์ ศาสดา เป็นผู้สอนธรรมะของเทวดาและมนุษย์ เทวะหรือเทวตา ตาเป็นปัจจัยเสริมให้คำว่าเทวะเป็นคำนาม ไม่ใช่คำกิริยา คำว่าเทวะเดี่ยวๆก็เป็นได้ทั้งคำนามและคำกิริยา แต่ถ้าเอาตามาใส่ก็บอกสภาวะของนามธรรม หรือเป็นสภาวะธรรมแท้ๆ ถ้าเป็นเทวะ แปลว่า 2 คำว่า 2 นี่แหละ เป็นคำที่ใหญ่ที่สุดในมหาจักรวาล ยิ่งใหญ่อย่างไร ถ้าโลกนี้มีแต่ ดิน น้ำ ไฟ ลม เหมือนอย่างพระอาทิตย์ มนุษย์ก็ไปเกิดไม่ได้ ชีวะแม้แต่ระดับพีชะก็เกิดไม่ได้ อย่าว่าแต่พีชะเลย ลักษณะเป็นน้ำก็ยังเกิดไม่ได้เลยในพระอาทิตย์ นี่เป็นรายละเอียด สภาวะที่จะเกิดได้ก็ต้องมีเหตุปัจจัย นี่ท่านแยกธาตุเอาไว้เป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม แล้วก็มาถึงชีวะ เช่นโลกที่โลกมันเย็นลง จากพลังงานระดับที่น้ำยังเป็นไม่ได้ โลกค่อยๆเย็นลง จึงจะมีน้ำในดาวดวงนั้น เกิดน้ำแล้วจึงจะเกิดชีวะขึ้นมาเป็นพืช มันก็จะเป็นการวิวัฒนาการอย่างนั้นขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาเป็นจิตนิยาม เป็นคน เป็นมนุสโส เทวะ ยังก้ำกึ่ง เป็นสภาพ 2 มีรูปมีนาม แต่มนุสโส คือผู้มีจิตที่สูงกว่าเทวะแล้ว มนุสโส มนุษย์จริงๆ จึงสูงกว่าเทวะ เทวะนี่ยังเป็นคำกลางๆ พระพุทธเจ้าแยกเทวะไว้ 3 อย่าง 1.สมมติเทพ 2.อุบัติเหตุ 3.วิสุทธิเทพ สมมติเทพเป็น โลกีย์ทั้งหมด เพราะฉะนั้นในเทวนิยมไม่มีอุบัติเทพ วิสุทธิเทพ เทวนิยม100% คือสายที่ไม่รู้โลกุตระเลย อุบัติเทพจึงเริ่มเป็นโลกุตระ สมมุติเทพเป็นโลกีย์ล้วนๆ มีสวรรค์ มีนรก มีสุข มีทุกข์ แน่นอนมีดีมีชั่ว เพราะดีชั่วนั้นเป็นโลกียะ แต่ความสุขความทุกข์เป็นโลกุตระ เทวนิยม ไม่ได้เรียนรู้สุขทุกข์ หลงยึดสุข เป็นสุขนิยม ไม่รู้จักทุกข์ ไม่เรียนรู้ทุกข์ คนที่เรียนรู้ความทุกข์นั้นเป็นอาริยะ เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า ทุกขอาริยสัจ ก็เรียนรู้ทุกข์ เป็นอาริยะ เป็นสัจจะในระดับปรมัตถ์ เพราะฉะนั้นโลกียะเป็นสมมติเทพ ไม่มีอุบัติเทพเลย อุบัติเทพเป็นโลกุตระ เป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อรหันค์คือวิสุทธิเทพ เป็นเทวะ ผู้บริสุทธิ์จากกิเลส สิ้นอาสวะขึ้นไป เรียก วิสุทธิเทพ หรือเรียกอีกภาษาว่า พรหม เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ก็ไม่ชัดเท่าคำว่า วิสุทธิเทพ เป็นเทพผู้สะอาดบริสุทธิ์จากกิเลส พรหม นั้น คือผู้บริสุทธิ์ แต่ผู้ไม่รู้ก็ไปเข้าใจว่าเป็น พรหม คือ เป็นสภาพที่มี 16 ชั้น รูปพรหม อรูปพรหมอีก 4 ชั้น เป็น 20 ชั้น ก็เป็นสมมุติไปหมด ศาสนาพุทธไม่มีหรอก รูปพรหมอรูปพรหมอะไรหรอก ไม่มีภพไม่มีชาติ อรหันต์ไม่มีภพชาติ พหรม 20 ชั้นที่มิจฉาและสัมมา คนที่หลงยึดถือ เขาก็ยังมี เป็นอรหันต์แล้วไม่มีภพชาติ เพราะฉะนั้น พรหม16 ชั้น 20 ชั้น ท่านรู้หมดแล้ว รู้แจ้งแล้วก็ไม่มี ผู้ยังไม่บรรลุ ยังไม่รู้แจ้งก็ยังมีภพมีชาติ รูปภพ อรูปภพ รูปพรหม อรูปพรหม 16 อธิบายเป็นแสงสีเป็นลำอะไรต่างๆ พรหม 20 ชั้น ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ (เป็นบริวาร) ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ (เป็นครู) ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ (เป็นหัวหน้า) ต่อมาอีก 3 ชั้นที่ 4 ปริตตาภาภูมิ ( อาภา แปลว่าแสง) ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ หมวด 3 ขั้นที่ 7 ปริตตาสุภา ขั้นที่ 8 อัปปมาณาสุภา ขั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ (หลงเวหา คือพญาครุฑ) ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ ชั้นที่ 17 อากาสานัญจายตนภูมิ ชั้นที่ 18 วิญญาณัญจายตนภูมิ ชั้นที่ 19 อากิญจัญญายตนภูมิ ชั้นที่ 20 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ พวกที่หลงความสว่าง จากนั้นก็คิดว่าเหนือกว่าสว่างก็คือ มืด แต่พรหมแบบมีปัญญาจะรู้ว่า ความดับที่แท้จริงไม่มืด มีแต่สว่างกับสว่าง เพราะว่าจิตวิญญาณที่เอากิเลสออกหมดแล้วมีแต่สว่างไม่ใช่ดับดำมืด ดับดำมืด เป็นสภาวะของสสารไม่ใช่สภาวะของ จิต กิเลสยิ่งหมดไปยิ่งสว่าง ยิ่งสว่างตลอดกาล ไม่มีดับ ไม่มีดำ ไม่มีมืดเลย ส่วน สุทธาวาส 5 มันเป็นของแต่ละบุคคล ถ้าไปตกอยู่ในแดนนั้นแล้วตามบารมี บารมีของผู้ที่ไปตกอยู่ในภูมิของอนาคามีแล้วไม่ยอมเกิดมาอีก ก็จะตกอยู่ในสุทธาวาส 5 ประการ ตามจริตของตัวเอง 12) อวิหา (เหล่าท่านผู้ไม่เสื่อมจากสมบัติของตน หรือผู้ไม่ละไปเร็ว, ผู้คงอยู่นาน — realm of Brahmas who do not fall from prosperity) 13) อตัปปา (เหล่าท่านผู้ไม่ทำความเดือดร้อนแก่ใคร หรือผู้ไม่เดือดร้อนกับใคร — realm of Brahmas who are serene) 14) สุทัสสา (เหล่าท่านผู้งดงามน่าทัศนา — realm of Brahmas who are beautiful) 15) สุทัสสี (เหล่าท่านผู้มองเห็นชัดเจนดี หรือผู้มีทัศนาแจ่มชัด — realm of Brahmas who are clear-sighted) 16) อกนิฏฐา (เหล่าท่านผู้ไม่มีความด้อยหรือเล็กน้อยกว่าใคร, ผู้สูงสุด — realm of the highest or supreme Brahmas) คือ เมื่อเป็นอนาคามี ตายไปแล้วไม่กลับมาเกิดอีกอยู่ในภพของจิตที่จะสลายไปตามนี้ ซึ่งนานมากเพราะไม่มีอุปกรณ์ที่จะปฏิบัติ พระพุทธเจ้าสมณโคดมจะไม่ตกอยู่ในสุทธาวาสทั้ง 5 ท่านจะกลับมาเกิด มีดินน้ำไฟลม มีตาหูจมูกลิ้นกาย จึงเป็นโพธิสัตว์ อาตมาคนหนึ่งเป็นโพธิสัตว์ระดับนี้ จะไม่เอาอย่างนั้นเพราะเสียเวลา มันนานมาก มันไม่ได้ล้างเลย เอาปัจจุบันมาทำตาหูจมูกลิ้นกายดับแล้วปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเลยไม่ต้องค้างอยู่ในภพในอีก ไม่ต้องอยู่ในสุทธาวาส 5 ชั้นที่ 17 อากาสานัญจายตนภูมิ ชั้นที่ 18 วิญญาณัญจายตนภูมิ ชั้นที่ 19 อากิญจัญญายตนภูมิ ชั้นที่ 20 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ อันนี้คืออรูปพรหมชนิดมาเกิดอีกไม่ใช่จมในสุทธาวาส ซึ่ง มีทั้งแบบมิจฉาและสัมมา สัตตาวาส 4 ก็มิจฉาแล้ว ไปเป็นสัตว์หลับตาปฏิบัติ เพราะฉะนั้น ฌาน 1 2 3 4 เป็นฌานหลับตาทั้งนั้น ยิ่งมิจฉาหมด ยิ่งฌาน 5 ดับสัญญาไปเลยแล้วก็ไปหลงไม่เป็นนิโรธ พอถึงสัตตาวาสตัวที่ 5 อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญยายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็เป็นวิหารปลอม เป็นภพปลอม เป็นนิรมาณกาย สัมโภคกาย และ อาทิสมาณกาย เป็นเรื่องเพ้อพกไปหมดเลย แล้วแต่ใครจะสร้างภพชาติของใครของมัน สร้างภพชาติดาวคนละดวงของใครของมัน ตามเรื่อง เพราะฉะนั้น อรูปฌาน 4 ของอสัญญีสัตว์ เป็นเรื่องเละเทะ ทีนี้ สัมมาทิฏฐิ ไม่มีที่จะไปหลับตา ไม่มีอสัญญีเลย ลืมตาโพลงๆ มีกระทบสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย จึงจะเป็นอรูปฌาน 4 อรูปฌาน 4 เป็นอย่างนี้ 1.อากาศ 2.วิญญาณ 3.อากิญจัญยายตนะ 4.เนวสัญญานาสัญญายตนะ ผู้ที่มีมิจฉาทิฏฐิจะมี เนวสัญญานาสัญญายตนะ ส่วนผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิจะไม่มี เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่ต้องไปทวนอีก ประวัติสัมมาทิฏฐิแล้วมาจนถึง อรูป อรูปก็เรียนรู้ 1 อากาศ Space 2 วิญญาณ วิญญาณก็คือวิญญาณ จะเลือกภาษาฝรั่งอะไรก็ตามใจ คือธาตุรู้กับ space กับสภาวะของอวกาศของอากาศ ก็ต้องเป็นคู่อยู่ด้วย เพราะเมื่อเป็นชีวะเป็นจิตนิยามและมันก็ต้องเป็นวิญญาณ ก็จะต้องอยู่กับ จะว่างขนาดไหนก็ตามแต่อากาศ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณก็อยู่กับอากาศว่างที่สุด ว่าง ภาษาพูดก็เป็นเรื่องของสสาร พลังงาน แต่ว่างอย่างปรมัตถ์ก็คือว่างจากกิเลส อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ ก็ว่างจากกิเลสเพราะฉะนั้นอากาศกับวิญญาณแทบจะเป็นอย่างเดียวกัน อากาศคือว่างวิญญาณคือรู้ รู้ว่าง ว่างรู้ ที่จะมีชีวะคือวิญญาณ วิญญาณคือธาตุที่จะเป็นชีวะขึ้นมา ก็อยู่อย่างว่าง ว่างจากอะไรก็ต้องมีเหตุปัจจัย คือว่างจากกิเลส กิเลสไม่มีนิดนึง นิดนึงไม่มีเลย อากิญจัญยายตนะ คือ นิดหนึ่งก็ไม่มี ไม่มีอย่างสัมมาทิฏฐิจึงไม่สงสัยอีกเลยไม่ต้องมี เนวสัญญานาสัญญายตนะ ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิที่สมบูรณ์และวิญญาณฐิติก็มี 7 เองไม่ต้องมี เนวสัญญานาสัญญายตนะ สัมมาทิฏฐิมาตั้งแต่ต้นตั้งแต่ 1 2 3 4 5 6 7 ก็จบ ไม่ต้องมีใช่ ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่พวกที่ยังกั๊กไปกั๊กมา อันนี้ชัดเจนถูกต้องกำหนดสัมมาทิฏฐิมาถูกต้องอากาสคือที่ว่าง วิญญาณคือกิริยาไม่มีกิเลสแล้วก็คือ อากิญจัญยายตนะ ก็จบแล้วนี่ วิญญาณฐิติจึงมีอย่างนี้ สรุปผู้ที่ไม่รู้จักสัจธรรมอย่างสัมมาทิฏฐิก็อธิบายเป็นแสงเป็นสีเป็นอะไรไปหมดเลยเป็นภพเป็นชาติไป เป็นพรหม ตั้งแต่อรูปพรหมยิ่งหยาบ ยิ่งเป็นภพชาติเละเทะ เป็นดินแดนเพ้อเจ้อ พระอรหันต์เจ้าไม่มีภพหรอก พรหม 16 ไปหลงแสงสีอะไร ผู้ที่เป็นอรหันต์อย่างแท้จริง ผู้ที่มีแสงสีอย่างนั้นอยู่ก็ยังมี เราก็ไม่ปฏิเสธว่าสิ่งที่เขามีเพราะเขาไม่รู้เราก็ต้องเข้าใจ..ไอ้น้องเอ๋ย..ยังมีภพอยู่นะ เราก็เอ็นดูเขา เราไปบังคับให้เขาไม่มีก็ไม่ได้ เขายังมีอยู่ เราจึงเป็น อนุปคัมมะ เราไม่มีแล้ว คนที่ยังมีอยู่ก็มี เราก็ไม่ต้องไปถือหางอยู่กับพวกไม่มี มาข่มพวกไม่มีก็ไม่ต้อง ก็มันยังไม่ถึงคราวที่ไม่มี ไม่มีแล้วก็ไม่มีดีแล้วไม่ต้องไปยกตนข่มท่าน ก็จบ เราก็รู้มันจบของเราไม่ต้องไปข่มใคร แต่คำว่าไปข่ม อาตมาพูดเชิงเหมือนข่ม ผู้ผิดผู้ที่ไม่ถูก ผู้ที่ทำลายศาสนา ผู้ที่เป็นโจร โดยโวหารก็ข่มไม่ข่มไม่ได้ แต่คนขี้ตู่ว่าอาตมาข่ม อาตมาจะไปข่มทำไมอาตมาอยู่ของอาตมาดีๆแล้ว อาตมาแสดงธรรม เมื่อยก็ต้องแสดงธรรมก็เป็นโพธิสัตว์เป็นสัมภาระวิบาก เหนื่อยเราก็ไม่เหนื่อย เมื่อยเราก็ไม่เมื่อย เราไล่ไปเรื่อยๆเราไม่เมื่อยเราไม่เหนื่อย ที่จริงแล้วเหนื่อยแทบตาย ไปหลงผิดติดยึด นั่งหลับตาพากันมา 2,500 กว่าปี ไม่รู้จะพูดอย่างไรว่านั่งหลับตานั้นเลิกเสียได้ออกป่าเขาถ้ำก็ให้เลิกเสีย นี่กำลังอ่าน อัมพัฏฐสูตร มันยังไม่ถึงจุดที่จะต้องยืนยันนะ ยังอ่าน ไปไม่ถึงความเสื่อม พระพุทธเจ้าตรัสกับอัมพัฏฐะมาเรื่อย ว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา สถาปนาศาสนาพุทธเอาไว้ ศาสนาพุทธไม่ออกป่าไม่หลับตาปฏิบัติแต่ลืมตามีจรณะ 15 วิชชา 8 จนกระทั่งความเสื่อมเกิดขึ้นมา พอเสื่อมมาก็ออกป่า โดยเข้าใจว่า ผู้ที่มีสมบัติ จรณสมบัติ วิชชาสมบัติคือพระที่อยู่ป่า ซึ่งมันเป็นมิจฉาทิฐิอย่างสนิทเลย วิชชาจรณะ ถ้าจะว่าแล้วอยู่ป่าหรือไม่อยู่ป่าอยู่บ้านไม่อยู่บ้านถ้ามีจรณะ 15 วิชชา 8 แล้ว ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเมือง ไม่ใช่ศาสนาคนป่า เป็นศาสนาสอนคนเมือง ศาสนาอยู่ที่สังคม ไม่ได้เป็นศาสนาที่ไร้สังคม ศาสนาของอาริยะกะ ไม่ใช่ศาสนาของมิลักขะ อาตมาก็พูดมาหมดแล้ว ปฏิบัติธรรมศาสนาพุทธต้องมี อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นคนตื่นอยู่กับสังคม ตาหูจมูกลิ้นกาย ตื่นๆ สรุปว่า ต้องมาลืมตาปฏิบัติ เลิกหลับตาปฏิบัติ สมณะเดินดิน… สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin18 พฤษภาคม 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:ฉบับที่ ๕๓๑(๕๕๓) นสพ.ข่าวอโศก ฉบับปักษ์แรก พฤษภาคม ๒๕๖๕NextNext post:650520 เรียนรู้สภาวะของรูป 28 สู่ความเป็นอรหันต์ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024