650513 อรหันต์แม้เป็นอัลไซเมอร์ก็ไม่มีพฤติกรรมกามเมถุน พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1-_myFUfHxVkMrrg7FoqqXozWiKpeD4T8oGpZGaIXY4k/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1PCWL203A4G3RDjUV3dMd3S5SpJl5vVo0/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/R6nA1soxivE และ https://fb.watch/c_2-q4jV64/ สมณะเดินดิน… วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก อีกไม่กี่วันก็จะถึงวิสาขบูชา แต่ดูเหมือนว่าข่าวคราวในสังคมก็มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องของพระกันแทบทุกวัน พ่อครูทำงานศาสนามา 50 ปี พ่อครูก็กำชับพวกเราเสมอว่า นักบวชต้องระวังเสือ 2 ตัวคือสตางค์กับสตรี ซึ่งข่าวออกมาของพระก็มักจะจบที่เรื่องของสตางค์กับสตรี สิ่งที่ทำให้ตัดสินได้ยากคือเรื่องความเชื่อ โดยเฉพาะความเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า พระองค์ทรงเห็นโทษภัยจึง อึดอัด(อัฏฏิยามิ) ระอา(หรายามิ) เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ) ในอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์ แต่ทรงยกย่องให้สอน ให้ทำใจ ให้เข้าถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์ แต่ทุกวันนี้คนเชื่อกันว่า ถ้าเกจิรูปไหนทำสิ่งเหล่านี้ได้ก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์เป็นเรื่องเกิดความศรัทธาในศาสนาอย่างยิ่ง ข่าวของพระบิดา พูดถึงเรื่องอาหาร ทุกคนจะรู้สึกเป็นสิ่งน่ารังเกียจไม่น่าชอบใจ แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า พระองค์ทรงเห็นโทษภัยจึง อึดอัด(อัฏฏิยามิ) ระอา(หรายามิ) เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ) ในอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์ แต่ทรงยกย่องให้สอน ให้ทำใจ ให้เข้าถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ลูกศิษย์มีความเชื่อว่า ให้พระอาจารย์ไปจับตรงนั้นตรงนี้ถึงจะหายจากมะเร็งก็เลยเอาไปให้ อาจารย์จับ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าอึดอัดระอาเกลียดชัง พวกเราถูกพ่อครูปลูกฝังเรื่องแบบนี้ตลอด จึงทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องสตรีกับสตางค์และเรื่องปาฏิหาริย์กัน พ่อครูว่า… ขอเอา sms ก่อน SMS วันที่ 11-12 พ.ค. 2565 _โกศล สุขเล็ก · กราบคารวะพ่อท่าน..รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส..กระทบตา หู จหมูก ลิ้น กาย..แล้วใจเป็นตัวประมวลผล..ความพอใจหรือไม่พอใจ..ผู้มีปัญญาย่อมรู้เท่าทันกับสิ่งที่เกิดในจิตนั้น..แล้วทำลายความรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจนั้นเสีย.. พ่อครูว่า… นี่เป็นความเข้าใจของคุณ โกศล สุขเล็ก.. ถูกต้อง ทำลายทั้งความพอใจหรือไม่พอใจ สรุปได้ดี ชัดเจน _Bua Lukpo บัว ลูกโพธิ์ · ขอบพระคุณพ่อมากค่ะ ความที่อยู่ในวังวน(วัฎฎะ) เพราะเรามีนิสัยฤาษี และจะทำให้เป็นโลกุตระลืมตาต่อไปๆเพื่อเรียนรู้ผัสสะ เวทนา สาธุค่ะ พ่อครูว่า… ดีแล้วที่เริ่มเข้าใจแล้วรู้ว่านิสัยฤาษีเป็นอย่างไร ถ้าลึกเข้าไปถึงวิสัยฤาษี หนักเหมือนกัน ยิ่งเข้าไปถึงขั้น อนุสัยฤาษี ทีนี้หนัก ดึกดำบรรพ์เลย พาดพิงไปก่อนแล้วค่อยฟังกันต่อไป _สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ · ตอนที่ลุงจำลองเป็นผู้ว่าบางกอก’ มนุษย์หูเทียมอย่างข้าพเจ้า ค้าตลาดนัดกรุงขายของผ่อน คาราวานตจว.เดินทางเข้าออกกรุงฯ ราว พ.ศ ๒๕๓๓-๒๕๓๕ ใจคนบางกอกยุคนั้นใจรักสงบสันติอหิงสธรรม ใจเดียวกับใจผู้ว่าม่อฮ่อมมังสวิรัติมื้อเดียว เหมือนกับใจคุณรสนาที่อยู่ที่ตรงไหน ที่นั่นก็สงบสันติอหิงสธรรม (พ่อครูไอตัดออกด้วย) ไร้วิกฤติภัยหัวรุนแรง ทุกกิจกรรมเพื่อประโยชน์ชาติสิทธิปชช. จริงจัง การทำงานสุจริตกรรมจริงใจ😷 _Ka Por กล้า พอ · รับฟังรายการพุทธศาสนาตามภูมิผ่าน ZENO APP. _Mong Trongtham มุ่ง ตรงธรรม · กิเลสมันหลงไหลหลงชอบยึดกายอร่อย มันมักมองข้ามทุกข์ในความอร่อยท่าน มันมีอสุรกายจะปล่อยก็กลัวไม่ได้เสพอร่อยอีก เห็นมันแล้วยางเหนียวจริงๆครับ / รับชมจากประเทศพม่าภาพเสียงชัด ฟังท่านสิกมาตุกล้าข้ามฝันท่านย่อยธรรมสนุกมากครับ เข้าใจง่ายครับ อรหันต์แม้เป็นอัลไซเมอร์ก็ไม่มีพฤติกรรมกามเมถุน _@(ฝากถามให้ด้วยนะครับ ขอสงวนชื่อในการถามพ่อท่านครับ ..) หลวงปู่แสง ตามข่าว ขอความรู้ ได้ไหมครับ ? มีธรรม ที่น่าคิด หลายประเด็น ในข่าวหลวงปู่แสง อายุ ร้อยกว่าปี ศิษย์หลวงปู่มั่น เขานับถือว่า เป็นอรหันต์ มีสาวเข้าไปหา เรียกเข้ามาใกล้ๆ มีพระเลขาและศิษย์ ผช. อยู่ 2 ข้าง หลวงปู่ล้วงนม จับมาหอม มีคลิป หมอปลาและคณะไปหาและสอบถาม เรื่องดัง เป็น 2 ฝ่าย บ้างหาว่า หมอปลาและพวก ไปเอาพระหาแสงฯ ยอดไลท์ ทำลายพระดี บ้างว่าลูกศิษย์เอาพระแก่หมดสภาพมาหากิน … พระเลขาอ้างว่า หลวงปู่แสงเป็นอัลไซเมอร์ ไม่รู้เรื่องใดๆ แล้ว หมอปลา ว่า ทำไมลูกศิษย์ และพระเลขาไม่ดูแล ปล่อยให้ทำแบบนี้ได้ไง ข่าวว่า มีสาวโดนแบบนี้เหมือนกันหลายคน … คำถาม(พ่อท่าน) หรือสมณะผู้รู้ … อรหันต์จริง แก่มากๆ สมองเสื่อมจะลามกได้ใช่ไหมครับ มีพระวินัย พระไตรปิฏก ยกเว้นไว้อย่างไร ครับ พ่อครูว่า… ตอบ ไม่มีพระวินัยที่ให้ยกเว้น แค่มีความกําหนัดจับต้องกายหญิง ก็เป็นอาบัติรองจากปาราชิก คืออาบัติสังฆาทิเสส รองจากปาราชิก หนักมาถึงประเด็นพระอรหันต์จริง แก่มากๆ สมองเสื่อมด้วย จะลามกได้ใช่ไหมครับ ตอบ ถ้าเป็นอรหันต์แล้วกิเลสถือว่าดับหมด ไม่มีเหตุปัจจัยจะมากระตุ้น จะแก่ขนาดไหนก็ตาม ยิ่งสมองยิ่งเสื่อมด้วย ยิ่งไม่มีสิทธิ์เลย ประเด็นมันชัดเจนอย่างนี้ สมองนี้เป็นอุปกรณ์ให้จิตวิญญาณทำงาน เพราะฉะนั้น อรหันต์นั้นกิเลสอาสวะสิ้นแล้ว ไม่มีทางจะไปลามกจกเปรตอย่างนี้ ไม่มีทางแล้ว สมองยิ่งเสื่อมไปอีกเครื่องมืออุปกรณ์ที่จะให้จิตวิญญาณทำงานยิ่งไม่เป็นเครื่องมือร่วมด้วยอีก แล้วมันจะเอาอะไรมาทำงานออกมา มาล้วงเลิ้ง มาแสดงออกทางกาย ชัดเจนนะ จะไม่พูดยาวแล้วตรงนี้ มันยังจะเป็นประเด็นรายละเอียดอื่นๆที่อาตมาจะอธิบายธรรมะให้เข้าใจชัดเจน เอา หลวงปู่แสง เป็นตัวอย่าง รูปแบบของเรื่องที่จะเอามาอธิบาย หลวงปู่แสงเป็นลูกศิษย์อาจารย์มั่นสายหลับตา สายพวกนี้ ที่อาตมาพูดเลยว่า พวกนี้มิจฉาทิฏฐิ หลับตาปฏิบัติ อันเดียวไม่เข้าใจในเรื่องของโลกุตระเลย ไม่มาลืมตาพูดไม่มาขยายสภาวะของจิตเจตสิกรูปนิพพาน ปฏิจจสมุปบาทรายละเอียดของอะไรต่างๆนานา เรียนเปรียญ 9 กันก็เยอะ ภาษาบาลีเหล่านี่รู้หมดในพยัญชนะ แต่พระสายหลับตาปฏิบัติเรียนเปรียญ 9 ก็เยอะ จบเปรียญ 9 เปรียญ 8 เปรียญ 7 มหาบัวก็จบเปรียญ แต่พูดไม่ได้ อาตมาไม่จบสักเปรียญ แต่อาตมาว่าอาตมาเข้าใจและรู้ชัดในสภาวธรรมพวกนั้น แปลภาษาบาลีที่มีก็เรียนด้วยตัวเอง ไม่ได้ไปเรียนเปรียญธรรมอะไร ก็ยังสามารถนำมาพูดได้ขยายความทำงานมาตั้ง 40-50 ปีแล้ว ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ไม่ผิดเพี้ยน อาจจะมีผิดเพี้ยนบ้าง มันยังไม่เก่ง ตอนใหม่ๆมหาประยุทธ์จับผิดอาตมา ตอนเขียนหนังสือทางเอก ก็จับความผิดในพยัญชนะอาตมา แต่ยืนยันว่าสภาวะของอาตมาไม่ผิด จะผิดก็เอาฝาตัวของพยัญชนะไปใส่สภาวะผิดเพี้ยนไป ท่านยึดพยัญชนะอย่างที่ท่านยึด ซึ่งมันแปลผิดไป แล้วก็มาตู่ว่าอาตมาผิด จริงๆแล้วอาตมาผิดที่เอาพยัญชนะที่ท่านยึดว่าผิดมาพูด แต่ท่านกลับกัน ซึ่งมันวน พยัญชนะกับสภาวะ สลับไปสลับมา มันเลยกลับซับซ้อนไปว่า ท่านเองใช้สภาวะผิด ทำให้ผิดพยัญชนะด้วย ทำให้ผิดไปทั้ง 2 อย่าง สลับไปสลับมา ผิดไป 4 มุม 8 มุม 16 มุม ซึ่งมันเข้าใจยาก เป็นสภาวะหมุนรอบเชิงซ้อน สายหลับตาปฏิบัติ ปฏิบัติอยู่ในความมืด แล้วมันจะไปสว่างยังไง ปฏิบัติที่ไปคิดเอง ปรุงเอง หลับตานี้คิดเอง ปรุงเอง จิตตัวเองอยู่คนเดียว ไม่ได้มีสิ่งอื่นร่วมด้วย ถ้าเป็นประชาธิปไตยก็ไม่มีฝ่ายค้าน เผด็จการทุกอย่างเลย เผด็จการรัฐสภา เผด็จการทุกอย่าง Absolute หมดเลย เพราะฉะนั้นคุณจะคิดจะไปยังไงก็ได้ ไปอย่างไงก็ได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า พวกเจโตสมาธิ คือนั่งหลับตาสมาธิหรือมีสมาธิทางสายเจโต ไม่ใช่สายปัญญา สมาธิเจโต พวกสายหลับตาอยู่ในภพตัวเองทั้งนั้น ไม่ว่าจะไปยุคสมัยพระพุทธเจ้าและยุคสมัยนี้ คำว่าเจโตสมาธิหมายถึงสมาธิชนิดเจโต ไม่ใช่สมาธิชนิดปัญญา เพราะฉะนั้นสายนี้ปฏิบัติได้แล้วจะได้มิจฉาทิฏฐิทั้งหมด มีมิจฉาทิฏฐิไปทางอดีตขันธ์ 18 มิจฉาทิฏฐิไปทางอนาคตขันธ์ ไปอีก 44 ในพรหมชาลสูตร เพราะมันทิ้งหมด พระพุทธเจ้าก็จบด้วยนิพพานต้องมีทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ต้องมีทิฏฐิที่รู้ปัจจุบันชาติเรียกว่า ทิฏฐธรรม นิพพานของศาสนาพุทธ ต้องมี ในปัจจุบันชาติ หมายความว่าต้องยืนยันในปัจจุบันที่ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต และไม่ใช่ปัจจุบันอยู่ในการหลับตา ในภพด้วย เป็น ปัจจุบันที่มี จักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา อาโลก นี่ก็เป็นหลักฐานที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าท่านตรัสรู้ด้วย จักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา อาโลก คือต้องมีตาลืมลืมตา มีตาเปิดเห็น และมีปัญญา หรือญาณหรือวิชชา จะขยายด้วยปัญญาเริ่มต้น ญาณสูงขึ้น วิชชาที่สุดเป็นต้น แล้วต้องมีแสงสว่างของพระอาทิตย์ อาโลก ไม่ใช่แสงสว่างที่คุณไปสร้างอะไรอยู่ในภพชาติเป็นอุปาทานแสง อยู่ในจิต อยู่ในอุปาทาน ไม่ใช่ ต้องเป็นแสงสว่างของพระอาทิตย์แสงสว่างของโลกลืมตามาเห็นแสงสว่าง นี่คือ หลักฐานเหตุปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบ ในการที่จะตรัสรู้หรือว่าบรรลุธรรม ไปหลับตาไม่มีบรรลุธรรม มันน่าสงสารตรงที่ว่า พระพุทธเจ้า ประกาศตนเป็นผู้ตรัสรู้ในวันเพ็ญขึ้น15ค่ำ เดือน 6 พระพุทธเจ้านั่งสมาธิแต่ท่านระลึกได้ นั่งสมาธิ ตามในยุคนั้นที่ไม่มีศาสนาพุทธคนก็นั่งสมาธิกันท่านก็นั่งหลับตาตามเขา แต่นั่งหลับตาสมาธิ พระพุทธเจ้าท่านบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณมาแล้ว ก่อนจะมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านบรรลุเป็นพระพุทธเจ้ามาแล้ว ที่เกิดมาในวัน ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ท่านประสูติท่านก็มีมาแล้วแต่ยังไม่ได้เปิดเผย จนกระทั่งอายุ 29 ออกบวช ก็ไปลิงลมอมข้าวพอง ไปหลงเลอะเทอะอยู่กับเขาอีกตั้ง 6 ปี อายุ 35 ความรู้ที่เป็นสัมมาสัมโพธิญาณจึงปรากฏกับท่าน ในวันที่ท่านนั่งอยู่ที่ริมแม่น้ำเนรัญชรา แล้วท่านรู้ภูมิธรรมที่ท่านมี ท่านระลึกได้ในวันนั้น โดยใช้เตวิชโช จะหลับตาหรือไม่หลับตาก็ตามท่านใช้ Concentration หรือ เจโตสมาธิของท่าน แล้วท่านก็นึกได้ถึงอดีต อนาคตทั้งหมด แต่ของท่านมีปัจจุบันที่มีผลสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่งมันต่างกันกับผู้ยังไม่มีภูมิ ท่านมีภูมิ ท่านระลึกรู้ตัวว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ได้เดินทางไปหาปัญจวัคคีย์ก่อนเพื่อน ว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า มาเปิดเผยกับพราหมณ์ 5 คนที่เป็นลูกศิษย์ ซึ่งเขาเห็นว่าท่านไม่บำเพ็ญทุกรกิริยาแบบที่เขาทำกันก็เลยหนีกันหมด พระพุทธเจ้ามาตามหาพบและเปิดเผย เปิดเผยตอนแรกเขาก็ไม่เชื่อ ท่านก็เลยบอกว่า เราเคยบอกว่าเราตรัสรู้มาก่อนหรือไม่ที่อยู่ด้วยกันมา ซึ่งตอนท่านอุบัติขึ้นมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ คนก็ได้ทำนายไว้แล้วว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า โกณฑัญญะก็ได้เคยพยากรณ์ไว้ว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นองค์เดียวด้วย ส่วนคนอื่นนั้นทำนายเป็น 2 นัยยะ แต่โกณฑัญญะทำนายแค่คติเดียว จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้ มันปนกันกับนั่งหลับตา เตวิชโช ระลึก พวกนี้ คนก็เลยแยกไม่ออกว่า จริงๆพระพุทธเจ้า ตระกูลปัญญา ไม่ใช่ตระกูลศรัทธา ตระกูลปัญญา 100% ด้วย มันมีปัญญาบ้าง หลับตาบ้าง หลายอย่าง แต่พระพุทธเจ้า เพียวๆ ปัญญา 100% ตระกูลปัญญาที่เรียกโดยภาษา ว่าธัมมานุสารี 100% พระพุทธเจ้าแบ่งว่ามี สัทธานุสารี ผู้ที่บรรลุธรรมด้วยการศรัทธาตามปฏิบัติด้วยศรัทธา กับการตามปฏิบัติธรรมด้วยธรรมะ ท่านไม่ได้เรียกปัญญานุสารี พอมีทิฏฐิปัตตะ พอเริ่มบรรลุทิฏฐิที่เป็นสัมมา ก็จะชัดเจนขึ้นมาแบ่งธรรมะเป็นปัญญาขึ้น แต่ยังไม่เรียกว่าปัญญาทีเดียว พอบรรลุก็เรียกปัญญาวิมุติ กายสักขี จะปรากฏออกทางกายก่อน เช่น ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นพระโพธิสัตว์ที่ปรากฏทางกายก่อน จะยังไม่ชัดเจนในทางปัญญา จะออกทางศรัทธา ทางเจโต ทางนี้ก่อน ส่วนสายปัญญา โดยเฉพาะปัญญานั้น ถ้าเป็นสายปัญญาเต็มๆ ทั้งรูปธรรมและนามธรรมจะออกมาพร้อมๆเท่าๆกันพอๆกัน อย่างอาตมานี้สายปัญญา ไม่เต็มที่เดียว กำลังบำเพ็ญอยู่ให้เต็ม ก็ออกมาทางนามธรรมหรือธรรมะมากกว่ารูป มากกว่ารูปธรรม รูปธรรมมีด้วย แต่อย่างที่เห็นอย่างชาวอโศก อย่างในหลวง ร.9 ส่วนมากรูปธรรมเป็นโลกุตระ แต่คนมองไม่ออก แต่ท่านอธิบายนามธรรม ท่านไม่ใช้ปฏิสัมภิทาญาณ ก็เลยได้สาธยายเท่าที่ท่านสาธยายได้พอสมควรอย่างนี้เป็นต้น ทีนี้ หลวงปู่แสงไม่ได้บรรลุธรรมอะไรเลย นอกจากไม่ได้บรรลุธรรมอะไรเลยแล้ว กดข่มกิเลสไว้ จนกระทั่ง 80 พรรษา เพราะบวชตั้งแต่ 20 อายุ 100 80 พรรษา กดข่มมา สุดวิสัยที่จะ กดข่มไว้ จึงประทุออกมา ยิ่งอัลไซเมอร์ สมองไม่เป็นเครื่องมือด้วย ยิ่งมีแต่กิเลส เพียวๆออกมาๆ จนกระทั่งถึงกายกรรมที่มีหลักฐานอยู่ เห็นไหมว่า สายหลับตานี่ มันไม่ทำให้บรรลุอะไรได้เลย นี่ ลูกศิษย์สายอาจารย์มั่น ไม่รู้จะแก่หรืออ่อนกว่ามหาบัว เขาบอกหลวงปู่แสง อายุ 98 ปี 75 พรรษา ให้ 100 เลย แต่ สรุปไว้ว่า นั่งหลับตากดข่มกิเลส กิเลสไม่ได้ลดลงเลย มหาบัวก็กดข่ม มหาบัวนี้ ยิ่งชัดเจนว่าไม่รู้จักกามคุณ 5 เมถุนหรือเรื่องผู้หญิง กามทางราคะเรื่องผู้หญิงผู้ชาย มหาบัวกดข่มได้ดี ไม่มีเรื่องราวพวกนี้เบื้องหลังเราไม่รู้ มีไม่มีก็ไม่รู้ แต่เราไม่ได้ยินข่าวคราวปรากฏเรื่องแบบนี้เลย แต่กามคุณ 5 เสพหมากพลูว่างปากไม่ได้ คนแม้แต่แค่สิ่งเสพติดหมากพลู คือ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ทั้งหมด แล้วไม่ได้ติดเล่นๆ ติดจนตาย จนต้องกลบเกลื่อนว่าไม่ติด เพราะเคยมีหลักฐานมีคนท้วงว่า พยายามเลิก แต่เลิกไม่ได้ ก็เลยกลบเกลื่อนว่าเป็นเรื่องธาตุขันธ์ ใช้ภาษากดข่มไว้ ดีที่มหาบัว ตายไป ไม่ถึง 100 ถ้าอยู่ไปถึง 100 เหมือนหลวงปู่แสงหรือเกินกว่าหลวงปู่แสง ไม่แน่จะประทุออกมา อย่างหนึ่งก็ได้ ขออภัยที่อาตมาพูดธรรมะชัดเจน บอกสาระเรื่องราวรูปเรื่องอะไรต่างๆ มันเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนหมด ไม่ได้ตั้งใจจะมาถล่มทลาย มาพูดให้มันดูหยาบคายอะไร แต่พูดถึงสัจธรรมสู่ฟัง เพราะฉะนั้นติดตามเนื้อหาสาระธรรมให้ดี อาตมาพูดบอกแล้วอีกที อาตมาไม่ได้เกลียดชังมหาบัว ไม่ได้เกลียดชังผู้ใดๆที่เขาทำผิด ยิ่งสงสาร เขาทำผิด มหาบัวก็ดี หลวงปู่แสงก็ดี องค์อื่นๆสายหลับตาก็ดี แม้แต่สายปัญญา อย่างมหาประยุทธ์ พระบ้านก็ตามที่ยังไม่สัมมาทิฏฐิ ยังไม่สัมมาทิฏฐิยังไม่บรรลุผล น่าสงสาร อาตมาอยากให้บรรลุเยอะๆ โดยเฉพาะคนไทยโดยเฉพาะผู้มีชื่อเสียงที่เป็นที่น่านับถือ มันมีประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ถ้าบรรลุจริงก็มีประโยชน์ต่อมนุษยชาติ แต่ถ้าไม่บรรลุจริง ไปเข้าใจสิ่งที่ผิดว่าเป็นสิ่งที่ถูก แล้วเอาสิ่งผิดนั้นมาขยายความว่าถูก มันก็ผิดไปหลายชั้น มันก็แย่กัน ศาสนาก็แย่ ตัวเองก็มีวิบากซับซ้อน ฟังดีๆที่อาตมาขยายความสัจธรรม เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังไม่เข้าใจ วันนี้ อาตมาตั้งใจอธิบายถึงเรื่องของความสงบ 2 แบบ เรื่องนี้มันลึกซึ้งสำคัญยิ่ง ที่ชาวพุทธต้องศึกษาให้ละเอียดๆ กำหนดหมาย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อุเทสคือคำขยายความ ที่อาตมาพูดคืออุเทส ทั้งนั้น ฟังอุเทสของอาตมาให้ดีๆ อุเทส ก็ขยายไปเรื่อยๆ ถ้านิเทส ก็คือเทศน์เป็นส่วนๆครั้งคราว เป็นตอนๆ อุเทสก็ติดต่อไปเรื่อยๆ อาตมาก็อธิบายเรื่อง อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ลิงค คือความแตกต่างของ 2 สภาวะ โดยย่นย่อ เอาคำว่า เทวะคือภาวะ 2 มาใช้เป็นตัวกลางอธิบายทุกอย่าง เพราะทุกอย่างสรุปลงที่ เทวะ คือสภาพ 2 และมีความแตกต่างตั้งแต่คู่แรก คู่หยาบที่สุด จนกระทั่งค่อยๆละเอียดซับซ้อนขึ้น มากคู่มากมายเป็นล้านๆๆคู่ เกิดจากภาวะของเทวะทั้งนั้น เพราะฉะนั้นความสงบ 2 อย่าง ก็คือความสงบอย่างโลกุตระ กับความสงบอย่างโลกียะ มี 2 แบบเท่านี้ ที่เป็นหลัก ความสงบอย่างโลกียะ อาตมาจะไม่ขยายความ เพราะว่ามันมีมากมายเหลือเกินซึ่งเป็นความสงบแบบโลกีย์ แต่ละเจ้า แต่ละอย่าง แต่ละอะไรต่ออะไร ความสงบเป็นนิพพานอย่างยิ่ง ความสงบเป็นความสุขอย่างยิ่ง อะไรก็แล้วแต่ แค่ความสงบเป็นนิพพานอย่างยิ่ง หรือความสงบเป็นสุขอย่างยิ่ง อธิบายพยัญชนะไปก็เยอะแยะของโลกีย์ ยังไม่มีความรู้ใหม่ ความรู้อื่น ที่มันไม่อยู่ในกรอบของโลกียะเลย มันออกนอกกรอบของโลกียะ คนละดาว ดาวคนละดวงแล้ว คนรู้มาเก่า เทวนิยม 100% คือพวกที่ไม่ใช่อยู่ทางสายเอเชีย เป็นพวกทางตะวันตกหรือ อยู่ตะวันออกกลาง ตะวันออกกลางขอยกไว้ หนักแน่นหนา เทวนิยม ยิ่งกว่าทางตะวันตก ทางยุโรป สรุปง่ายๆ เทวนิยม พระเยซูคริสต์ ยังค่อยยังชั่ว แต่เทวนิยมทางอิสลาม อาตมาจะไม่ละลาบละล้วงไปถึงเทวนิยมอิสลาม จะพาดพิงจับมาเทียบเคียงอธิบายในระดับของศาสนาคริสต์ของพระเยซูเท่านั้น เพราะทางอิสลามอย่าเพิ่งแตะ แตะเป็นเรื่อง ขอยกไว้ ท่านจะใหญ่ ท่านจะอะไร ก็ต้องยกให้หมด ที่พูดนี้ก็ขอบอกเอาไว้แล้วนะ อาตมาไม่ได้พาดพิงถึงอิสลามนะ อาตมาจะพาดพิงถึงแค่ศาสนาคริสต์ (นิมนต์พักจิบน้ำ) สมณะเดินดิน… เล่าเรื่องเมื่อเช้าฟังอดีตนายกฯทักษิณพูด ฟังแล้วไม่สอดคล้องกับปัจจุบันเท่าไร คนสายวัดป่า พูดถึงหลวงปู่แสงเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมายาวนานและเป็น 70 ปี แต่หมอปลา ก็มีความเชื่อปัจจุบันที่ว่าเขามีหลายคลิปส่อให้เห็นว่าเป็นความไม่ถูกต้องในศาสนาที่เขาอยากเอามาเปิด ตอนนี้ก็อยู่ที่ว่าคนจะเลือกเชื่อเอาตรงไหน จะเอาให้เชื่อที่ปัจจุบันที่เกิดขึ้น หรือเชื่อที่ทำมายาวนาน พ่อครูว่า…สายหลับตาอยู่ในกะลาครอบอยู่ในโลกแค่ของตัวเอง แต่คิดเอาเอง ว่า พวกนี้มีนรก เขาหลงว่านรกมีเป็นสวรรค์ด้วยอยู่คนเดียวแล้วปั้นสวรรค์เป็นนิรมานกายเอง คนที่เก่งสามารถเนรมิตนิรมาณกายขึ้นมา เนมิตได้ เป็นของตนเองซ้อน อยู่ทั้งนั้นเลย ซึ่งอาตมาก็พยายามอธิบายไปเรื่อยๆซึ่งไม่ได้เข้าใจกันได้ง่ายๆ สรุปตรงนี้เลย คนที่ไม่มีทวาร 5 ภายนอกนั้น ไม่สามารถจะมีความจริง ได้เลย มีแต่ความเก๊ เก๊ๆ แอ่นเดอะเก๊ทั้งนั้น แล้วความจริงนั้นจะต้องมีผู้รู้ร่วมที่มีตาหูจมูกลิ้นกายด้วยกัน เริ่มรับรู้รับรองกันตั้งแต่ 2 ขึ้นไป ยิ่ง 3 ก็ครบ 3 เส้า ยิ่ง 4 5 6 7 8 9 10 ยิ่งเป็นล้านคน ยิ่ง นั่นแหละคือความจริง ความจริงคือสิ่งที่รับรองกันระหว่างคน ที่มีสติสัมปชัญญะ มีตาหู จมูก ลิ้น กาย เปิดรับรู้ร่วมกันได้ ยิ่งจำนวนคนมากเท่าใด ก็ยิ่งคือความจริง จะเรียกว่าประชาธิปไตยก็ได้ อันนี้แหละคือ ความจริง เพราะฉะนั้นพูดมาถึงตรงนี้แล้ว คำว่า หลับตาปฏิบัตินั้นจึงโมฆะทั้งหมด สายหลับตา ฟังอาตมาแล้ว เขาก็เถียงเขาก็แย้งว่าอาจารย์ของเขาบรรลุ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็บรรลุ ก็ขอวกกลับไปอธิบายขยายความซ้ำว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้บรรลุในการนั่งหลับตา พระพุทธเจ้าระลึกของเก่าที่ท่านบรรลุนั้นออกมา ในตอนนั่งหลับตา ไม่ได้บรรลุตอนหลับตา หลับตาไม่ใช่ภาคปฏิบัติของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธต้องลืมตาปฏิบัติทั้งหมด และบรรลุในขณะลืมตา ต้องปฏิบัติในขณะเริ่มตา และบรรลุในขณะลืมตา ฟังให้ดีๆ จึงสรุปลงที่จักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา อาโลก บรรลุต้องลืมตามีแสงสว่างภายนอก รับรู้มีสติเต็ม มีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตตระแท้จริง เพราะฉะนั้นคนที่จะรู้สิ่งเหล่านี้ ก็จะต้องรู้ด้วย 2 ตาเปิด กระทบสัมผัส ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ปฏิจสมุปบาทและเจโตปริยญาณ 16 ขอเอาปฏิจจสมุปบาทมาเป็นหลักในการอธิบาย ผู้ที่มีวิชชาจะรู้สังขาร เมื่อรู้สังขาร ก็จะรู้จักวิญญาณ รู้วิญญาณแล้วก็จะ อ้อ วิญญาณจะรู้ได้ด้วยนามรูป ด้วยสภาวะ 2 เมื่อมีสภาวะ 2 ผัสสะกัน เป็นความซับซ้อนของปฏิจจสมุปบาท สังขาร วิญญาณ นามรูป 3 เส้า พอนามรูปทำงานปั๊บ มีอายตนะต่อกัน ก็เพราะมันเป็นผัสสะ จึงเกิดการพัฒนาเกิดสภาพ 2 นามรูป เมื่อไม่สัมผัสกัน ก็ไม่มีอะไรเกิดให้รับรู้ แต่เมื่อสัมผัสกันก็เกิดสภาพ 2 สภาพ 2 เกิดปัญญาโดยสังขาร แต่เกิดภายในเรียกว่าเวทนา สภาพเดียวกับสังขาร สภาพเดียวกันกับวิญญาณนี้แหละ เมื่อเกิดผัสสะเกิดอายตนะ มันก็เกิดสภาพลึกเข้าไปภายในอีก เรียกว่าเวทนา ก็คือ สังขาร ก็คือวิญญาณ แต่มันเป็นตัวลึกตัวในเป็นเวทนา จึงไปศึกษาที่เวทนา เพราะฉะนั้นตัวศึกษาหลักของศาสนาพุทธคือศึกษาที่เวทนา ถ้าไม่มีเวทนาเป็นที่ตั้งไม่มีเวทนาเป็นฐานในการปฏิบัติ ไม่มีทางบรรลุ นี่ก็ในพระไตรปิฎก พรหมชาลสูตร ท่านยืนยันไว้ตั้งไม่รู้กี่ข้อ ต้องมีผัสสะๆ มีเวทนาเป็นที่ตั้ง ทีนี้ เวทนาจะเกิด ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกายกระทบสัมผัสภายนอก เกิดอายตนะแล้วจึงเกิดวิญญาณ แล้วจึงเกิดเวทนา เวทนาเป็นเจตสิกของวิญญาณ เป็นรายละเอียดย่อยลงไปของวิญญาณ แล้วก็พิจารณา เวทนา เป็นอาการอย่างไร อาการสุขหรืออาการทุกข์หรืออาการไม่สุขไม่ทุกข์ นี่เป็น 3 อาการ ของเวทนา แล้วก็ขยายเป็น 5 เวทนาในเวทนา 108 กายิกเวทนา กับเจตสิกเวทนา กายิกเวทนาคือ เวทนาที่มีกายพร้อม เจตสิกเวทนาคือ เวทนาที่มีแต่จิต ผู้ศึกษาแต่จิตเป็นพวกหลับตาปฏิบัติ เป็นพวกโมฆะ หากกายไม่มีจิตก็ไม่ได้ เมื่อมีกาย ต้องมีเจตสิก ต้องมีจิต ต้องมีธาตุรู้ เพราะคนไม่ใช่วัตถุ คนต้องมีจิต ต้องมีเจตสิก ต้องมีวิญญาณ คนไม่ใช่ศพตาย ถ้าศพตาย มีแต่ดินน้ำไฟลม ก็ไม่มีจิตวิญญาณ แต่คนที่เป็นๆมีธาตุรู้เต็มๆเรียกว่าจิตนิยาม ไม่ใช่มีแค่ พีชะ พีชะสัมผัสไม่มีกาย ขนาดยังไม่ตายก็ยังไม่รู้เรื่องเลย สัมผัสแล้วก็ไม่รู้เรื่อง เพราะว่าไม่มี กาย นี่ก็วนเวียนย้อนไปอธิบายที่เคยอธิบาย สับสนไหม คนที่แม่นๆ จะไม่สับสน เมื่อมีเวทนา เวทนา เป็นตัวฐานที่จะปฏิบัติที่จะเรียนรู้ เพราะฉะนั้นไม่มีผัสสะไม่มีเวทนาไปหลับตาเสีย ปิดประตู สายหลับตาเอ๋ย จะให้ง้องอนเว้าวอน ให้ขอร้องก็ขอร้อง แต่จะให้ซื้อไม่มีตังค์ซื้อ หมดปัญญาตรงนี้ เพราะอาตมาไม่ได้สะสมเงินไปซื้ออะไร เมื่อศึกษาเวทนาในเวทนา เข้าใจสภาพนี้ให้ได้ เวทนาต้องมีกาย ถ้าไม่มีกาย เวทนาไม่มี วิญญาณไม่มี มีแต่สัญญากับสังขารก็เป็นพีช ถ้าไม่มีสัญญา มีแต่สังขาร ก็เป็นวัตถุเป็นอุตุนิยาม ถ้าเริ่มมีสัญญา สังขารมันปรุงแต่งเป็นอุตุนิยาม พลังงาน ความร้อน แสง เสียง แม่เหล็ก ไฟฟ้า มันก็ปรุงแต่งกัน เป็น E=MC2 ของไอสไตน์ ซึ่งเขาก็ใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นพลังงานของสสาร ไม่ใช่ชีวะ ไม่ใช่ไบโอโลจี เพราะฉะนั้นเมื่อมีเวทนา สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ซึ่งเป็นอาการ 3 อย่าง แบ่งแยกได้ ก็แยกภายนอก ภายใน แรงกับเบา ใช้พยัญชนะเรียกว่า ทุกข์ สุข แล้วก็อุเบกขา กับ โสมนัส โทมนัส แล้วก็ อุเบกขาตัวเดียวกัน ก็เป็น 5 สุข ทุกข์ หยาบ รวมเอาภายนอกด้วย มาอธิบายทั้งหมด ถ้าผู้ที่บรรลุภายนอกแล้ว เหลือแต่ภายในก็เรียกว่าเหลือแต่โสมนัสหรือโทมนัส แต่ไม่ได้หมายความว่าภายนอกไม่รู้ รู้แต่ว่าอยู่เหนือแล้วบรรลุแล้ว ลืมตาอยู่สัมผัสมี ไม่ได้หมายความว่าหลับตาจากข้างนอก แล้วค่อยมาเรียนโทมนัสโสมนัส ก็ไม่ใช่ ผู้ที่บรรลุขั้นใน กามภพ ตาหูจมูกลิ้นกายนั้นบรรลุแล้ว แต่ก็มีตาลืม จมูกรับกลิ่น รับทุกอย่างแต่อยู่เหนือแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรแล้วสบายๆลอยตัว ก็มาเหลือแต่ข้างในโสมนัสโทมนัส ก็มาล้างตัวนี้อีก หมดโสมนัสโทมนัส ก็มายึดติดเหลือภายในอีกก็มาล้างกิเลสให้เกลี้ยงให้จิตสะอาดบริสุทธิ์จากกิเลส สะอาดบริสุทธิ์จากกิเลส สะอาดตอนแรกมีภูมิธรรมที่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ไม่เก่ง ก็ไม่ชัด ก็ทำอีก ปฏิบัติอีกก็จะรู้ว่ายังมีสะอาดกว่านี้อีกหรือ สอุตรจิต ไปได้เรื่อยๆ ดี ดียิ่งกว่านี้ยังมีอีกหรือ ดียิ่งกว่านี้ยังมีอีกเหรอ จนกว่าถึงขั้นอนุตตระ ไม่มีดีกว่านี้อีกแล้ว ดีที่สุดแล้ว อนุตตระก็คือจะต้องตรวจสมาธิกับวิมุติ อีก 2 คู่ ของ เจโตปริยญาณ ต้องรู้ สราคะ สโทสะ สโมหะ ต้องรู้ว่าอันนี้มี จนกระทั่งมันเริ่มไม่มี วีตะราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ นี่คือกิเลส 3 คู่ 6 ตัว พอเริ่มต้นปฏิบัติและคุณก็จะเริ่มเกิดผล สายเจโตก็สังขิตตังจิตตัง สายปัญญาก็จะวิกขิตตังจิตตัง แบ่งเป็น 2 ตระกูลเท่านั้นนะ ก็รู้ตัวเองว่าเริ่มทำได้แล้วนะ แต่ว่ายังแตกไม่ออก ได้แล้ว สรุปลงมาเป็นตัวผลที่ได้ ยังไม่ได้ขยายความ ยังตีไม่แตก ก็ต้องพยายามขยายออกให้ได้ ขยายรายละเอียดยังมีอีก ยังมีอีกขั้นหนึ่งแล้วยังมีอีก ยังไม่ใช่ สอุตรัง ต้องให้ดีกว่านี้อีกก็เริ่มดีกว่านี้อีก ละเอียดลออกว่านี้ยังมีอีกขยายขึ้นได้ก็จะเป็น มหัคตะ ทั้งมหะและอัคคะ มันมีความดำเนินไป ทั้งความดีและความยิ่งใหญ่ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมณะเดินดิน… สายวัดป่า จะรู้ใจว่า คนอื่นคิดอย่างไร แต่ที่พ่อครูอธิบายคือเจโตปริยญาณของพุทธ พ่อครูว่า… ที่เขารู้นั้นเป็นอาเทศนาปาฏิหาริย์ ไม่ใช่อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ที่อาตมาอธิบายเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ สมณะเดินดิน… แล้ว เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าอธิบายว่า เจโตปริยญาณของพุทธคืออะไร คือ รู้จิตใจตัวเอง พ่อครูว่า… ก็อย่างที่ผมอธิบายเจโตปริยญาณ 16 กำลังอธิบายถึงคู่ สังขิตตังจิตตังกับวิขิตตังจิตตัง กับมหัคตะ กับอมหัคตะ ถ้าไม่เจริญเป็น สอุตรังจิตตัง ดีกว่านี้ยังมีอีกยังไม่จบนะ ถ้าคุณรู้ว่ายังไม่จบ คุณก็เป็นจิตที่ มหัคตะ แต่ถ้าคุณบอกว่ายังไม่ได้ ก็เป็น อมหัคตะ หรือไปหลงผิดว่าจบแล้ว คนนี้ก็ตาย คนนี้ก็ไปไม่ออก คุณไม่มีทางเพราะหลงผิด ซึ่งเป็นได้ไม่น้อยด้วย คนที่คิดว่าจบแล้วได้แค่ สังขิตตัจติตังหรือวิขิตตังจิตตัง แค่นี้ก็มีเยอะนึกว่าหมดแล้ว แต่ที่จริงยังมีดีกว่านี้ สอุตรังจิตตัง แต่คนนี้หลงผิดว่าจบแล้ว คนที่ไม่ได้ถึงขั้นนี้แล้วคิดว่าจบก็มีอีกตั้งเยอะแยะ ขณะนี้ก็ยังดีนะถึงเป็น สังขิตตังจิตตังและวิขกิตตังจิตตัง ทำลายสราคะ สโทสะ สโมหะ มาได้ถึงขั้นนี้ก็ดีระดับหนึ่งแล้ว แต่ที่จริง สอุตรังดีกว่านี้ยังมีอีก จิตที่มีตัวนี้จึงเป็น มหัคตะ แล้วก็รู้ว่า ตัวไหนที่มันยังเหลือยังไม่สูงจริง มันยังไม่จบจริง แต่รู้ดีแล้วว่ามันเจริญ ปัญญา ปฏิภาณ ภูมิธรรม มันสูงขึ้น มันรู้ ก็จัดการเหตุที่มันยังไม่จบ เหตุที่มันยังไม่สมบูรณ์ ก็จัดการเรียนรู้อีก ก็คือจัดการกิเลสตัณหาอุปาทานที่ละเอียดขึ้นนั่นแหละ สราคะ สโมหะ ใครติด ราคะ โทสะ โมหะ ก็แล้วแต่ แต่ที่จริง โมหะคือยังไม่รู้ ยังงง ปนๆ กระจ่างแล้วอยากจะได้ก็เป็น โทสะหรือราคะ พ้นโมหะก็ชัดเจนในราคะหรือโทสะ ที่จริงโทสะต้องดับก่อนราคะ ตามลำดับที่ ถูกต้องที่สุด พอดับได้แล้ว ราคะดับได้ โทสะดับได้ ก็มาได้ สังขิตตังจิตตัง วิกขิตตังจิตตัง พอได้แล้วมหัคตะ พอสูงได้สำเร็จจบ หมดเป็นอนุตรังจิตตัง จนไม่มีอีกแล้วที่จะจัดการล้างอีกไม่มีเหลือความสกปรกที่เป็นเศษธุลีของกิเลส ไม่มีแล้วหมดจริงๆก็ เป็นวิมุติ แล้วก็สั่งสมวิมุตินี่แหละ หลุดพ้น ดับกิเลส ให้เป็นสมาหิโต เป็นจิตที่ตั้งมั่นใช้คำว่า สมาหิโต ไม่ได้ใช้คำว่า เจโตสมาธิ แต่ใช้สมาหิตะ เป็นเอกพจน์นะไม่ได้เป็นพหูพจน์ เฉพาะตน เป็นความตั้งมั่นของจิตที่เอาเจโตปริยญาณมาอธิบาย ได้ ความละเอียดละออสมบูรณ์แบบ เจโตปริยญาณ 16 จึงเป็นมาตรวัดของนักปฏิบัติธรรม ไม่ต้องท่องจำ แต่สภาวะมันจะชัดเจนเป็นลำดับของมันมาเองเลย เข้าใจพยัญชนะตัวบาลีบ้าง ก็จับป้ายถูกกับสภาวะนั้นให้ได้เท่านั้นเอง ไม่ต้องท่องหรอก มันจะเรียงลำดับของมันชัดเจนอย่างที่อธิบายให้ฟัง มันเป็นลำดับที่น่าอัศจรรย์ มันจะไม่สับสน ถ้าสับสนก็คือไม่แจ้งจริง ไม่มีปัญญา ไม่มีความรู้ที่เรียงลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ที่ถูกต้องตามลำดับ ฉะนั้นผู้ที่สามารถสูงสุดได้ สมาหิโต เป็นวิมุติสุดยอด แม้ว่าตั้งมั่นแล้ว ทำให้วิมุติ อวิมุติ เป็น 2 ตัวสุดท้ายอีก ก็ต้องตรวจแล้วตรวจอีกว่าแน่แล้วหรือไม่นะ เหลืออีกเสร็จแล้วเสร็จน้อยหรือเปล่า ที่เอามาตั้งมั่นสะสม เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นสมาธิของพระพุทธเจ้าคือจิตที่หมดอาสวะ สิ้นอาสวะ จิตตัวที่จะมาตกผลึกสะสมลงเป็นสมาหิตัง เป็นจิตตั้งมั่น เป็นจิตที่สิ้นอาสวะ ไม่ใช่ไปนั่งกดข่ม จิตจะมีกิเลสหรือไม่มีกิเลสก็ไม่รู้ กดไว้ให้แน่นเข้าๆ อย่างที่สายเจโต สายศรัทธา สายที่เขาปฏิบัติกันอยู่ หรือสายพระป่าที่ มิจฉาทิฏฐิ เป็นเดียรถีย์เขาทำกันอยู่ จึงใช้ไม่ได้ เขาใช้อยู่ เขาใช้ของเขาได้ แต่มันไม่สมบูรณ์แบบ มันจะสมบูรณ์แบบจะต้องไล่ละเอียดมาอย่างที่อาตมาอธิบาย โดยเอาหลักวิชาเจโตปริยญาณ 16 มาไล่ สู่ฟัง เพราะฉะนั้นจิตในจิต ถ้าดูตำราแล้ว กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม จิตในจิตก็คือเจโตปริยญาณ 16 ส่วนเวทนาในเวทนาก็คือเวทนา 108 ส่วนกายในกายนั้นก็คือ กายนอกกายตั้งแต่ 2 ไม่รู้ตั้งกี่คู่ คุณจะกระทบสัมผัสในฐานศีลของคุณที่เกี่ยวกับสัตว์ เกี่ยวกับของ เกี่ยวกับพืช เกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส อันเป็น 3 ข้อหลักของศีล เป็นขั้นๆๆไป เป็นระดับๆ ตั้งแต่ สุรา เมรยะ มัชชะ ก็เป็น 3 เส้า ทีคุณยัง ท่านเรียกเป็นภาษาว่าเมา สุราก็แรงจัดจ้าน เมรยะก็กลาง มัชชะขั้นปลาย จนกระทั่งไม่เมาแล้วเป็นขั้นปลายมัชชะ ก็ไม่เมา ก็จบหมด อาตมาขยายความพยัญชนะบาลีต่างๆที่พูดเขาเรียนรู้มาทั้งนั้นแหละ อาตมาไม่ได้มาตั้งเอง แต่อาตมารู้สภาวะทั้งนั้น เอามาขยายสู่ฟัง ฟังให้ดีๆ พูดไปแล้วจะหาว่าอวดตัว มันมีของดีจริงก็เอามาพูดให้ฟังมันก็เลยดี ไม่ได้อวดอะไร ไม่มีสาเฐยจิต มันจะพูดความจริงด้วยความจริงใจอย่างใสสะอาด ไม่มีแม้แต่ สาเฐยจิต จิตที่คิดอยากอวดโอ่ ไม่ได้อยากอวด แต่พูดแต่สิ่งที่ดีสิ่งที่เป็นของจริง อาตมาพูดสิ่งที่ไม่จริงไม่เป็น แล้วก็พูดสิ่งที่อวด ก็ไม่เป็นอีก เอาความไม่ถูกต้องมาพูดก็ไม่เป็นอีก พูดแล้วก็ทำให้เขาคันเขี้ยว เขาหมั่นไส้ อาตมาพูดภาษาที่จริงที่สุด แล้วมาหมั่นไส้อาตมา ก็ไม่รู้จะทำยังไง ความสงบ 2 อย่างในปัญญา 8 ประการ เข้ามาหาคำว่า สงบ 2 แบบ สงบแบบฤาษี สงบแบบเดียรถีย์ สงบแบบโโลกียะ ที่ไม่ใช่แบบของพุทธ เขาก็สงบได้ โดยไม่ใช่การรู้จักกิเลสละเอียดเหมือนเจโตปริยญาณ 16 แล้วคุณก็ฆ่ากิเลสจนหมด ฆ่ากิเลสมาเป็นลำดับก็มีจิตที่สงบเป็นลำดับ ซึ่งเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น มาเล่นตีขลุม เอาเข่งมาแล้วเหยียบเข่งให้แบนไปเลย ไม่ได้ถอดออกไปทำลายทีละชิ้นๆ จนกระทั่งเข่งหมดชิ้นที่จะให้ทำลายแล้ว ขอยืมคำว่าเข่งมาใช้อธิบายธรรมะหน่อย ซึ่งมันไม่เป็นอย่างนั้น ความสงบ 2 อย่าง ความสงบของพระพุทธเจ้าจึงมีทุกชิ้นทุกอัน ที่เป็นเหตุแห่งความไม่ดี อกุศลจิต เป็นเหตุที่พาให้เสื่อมเป็นบาป ดับหมดเลย สิ้นบาป สิ้นสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม หมด อย่างถูกูกตัวถูหถูกตน เป็นลำดับๆๆๆ ลำดับลำดา จริงๆ เรียนดีๆ ทำความเข้าใจดีๆ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะรู้จักความสงบ 2 อย่างในปัญญาข้อที่ 3 จึงไม่ใช่เรื่องสามัญ ความสงบ 2 อย่างคือสงบอย่างโลกียะ กับสงบอย่างโลกุตระ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมี อัญญธาตุ เริ่มต้นรู้ รู้หน่วยหนึ่งแล้ว อัญญะหน่วยหนึ่งแล้ว ฟังเทศน์สะสม ใหม่อีก ปัญญาข้อที่ 2 เข้าไปไต่ถามซักไซ้ไล่เลียงอีก ก็จึงจะพอเข้าใจ อัญญธาตุ จึงจะพอเข้าใจโลกุตรธรรมไปตามลำดับ อัญญธาตุได้เป็น 2 ตัว 3 ตัว ต้องเลย 50 ตัวขึ้นไปถึงกึ่งหนึ่งแล้ว เป็น 60 70 จึงจะแสดงตัว ของธาตุโลกุตระหรือธาตุใหม่ที่เรียกว่า อัญญธาตุ โกณฑัญญะเป็นคนแรกของศาสนาพุทธ สมณโคดม พระพุทธเจ้านี้ มีโกณฑัญญะเป็นลูกศิษย์ชุดแรก ที่เริ่มต้นมี อัญญธาตุ เต็ม พอ โกณฑัญญะมี อัญญธาตุ เต็มชัดถึง 50% สูงไปถึง 60% พระพุทธเจ้าจึงอุทานบอกว่า อัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ มีธาตุรู้ที่เป็นโลกุตระเพียงพอแล้วหนอ ท่านก็สถาปนา ศาสนาพุทธขึ้นได้ เพราะมีคนเริ่มรับรู้ได้เป็นคนแรก พราหมณ์อีก 4 คนก็บรรลุได้ตามก็เริ่มจากพราหมณ์ 5 รูป ก็เป็นอรหันต์ชุดแรก 5 รูปแรก จากนั้นเป็นกลุ่มของพระยสะอีก 60 รูป จึงให้ออกกระจายไปแพร่ศาสนาพุทธ ตามประวัติตำนานที่รู้กัน มีต้น มีกลาง มีปลาย ขยายผลไปตามลำดับอย่างนี้ เพราะฉะนั้น มาย้อนเข้าหา พระสารีบุตร พระสารีบุตร เข้ามาสมทบ แล้ว โดยอดีต ได้สั่งสมบารมีสายปัญญา พระโมคคัลลาสั่งสมบารมีสายเจโต มาเป็นคู่สาวกเอกของพระพุทธเจ้าสมณโคดม พอมาถึง เกิดมาในปางนั้น เป็นพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะก็มีภูมิธรรมมาแล้ว เป็นพระโพธิสัตว์เก่ามา สั่งสมบารมีมาเพื่อจะมาเป็นคู่สาวกของพระพุทธเจ้าองค์สมณโคดม ไม่ใช่พึ่งมาเรียนจากพระพุทธเจ้าสมณโคดม ไม่ใช่ว่าเป็นปุถุชนมาเรียนเริ่มต้น ไม่ใช่ สั่งสมบารมีมาแล้วที่จะมาเป็นคู่บารมีของพระพุทธเจ้าที่จะมาช่วยพระพุทธเจ้าทำงานต่างหาก จริง เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่เป็นพระพุทธเจ้าองค์นี้สมณโคดมเท่านั้น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะก็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆมาตั้งหลายองค์แล้ว แต่สั่งสมบารมีมา ก็จะต้องมาทำงานหน้าที่เป็นคู่สาวกเอกของพระสมณโคดม ก็มาทำงาน แล้วต้องตายก่อนพระพุทธเจ้า ทำไมต้องตายก่อน เพราะพระสารีบุตรก็ดี พระโมคคัลลานะก็ดี ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ยังรู้ไม่หมด ถ้าขืนพระพุทธเจ้าตายก่อน 2 องค์นี้อยู่ มันจะเป็นความคิดของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะออกไป เพราะฉะนั้นจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะตายหลังพระพุทธเจ้า จำตรงนี้ไว้ ประเด็น ทำไมพระสาวกอัครสาวกของพระพุทธเจ้าจึงต้องตายก่อนพระพุทธเจ้า จำประเด็นไว้ อย่างนี้เป็นต้น ทำไมอาตมารู้ ก็เพราะว่าอาตมารู้ มันถึงคราวรู้ มันถึงภูมิรู้ คนที่ไม่มีภูมิถึง มันจะแกล้ง มันจะเอาอะไรมาพูด คุณไม่รู้คุณจะเอาอะไรมาพูด ใช่มั้ย แล้วมันไม่เชื่อมั่นว่าจริง คุณก็ไม่กล้าพูดหรอก เพราะฉะนั้นคนจะกล้าพูดออกมานี้ ต้องเชื่อว่าจริงนะ ต้องพูดสิ่งที่จริงนะ พูดสิ่งไม่จริงออกมาก็เยอะ คนที่มีภูมิสูงแล้วเขาจะไม่กล้าพูดสิ่งที่ไม่จริงออกมา เพราะพูดแล้วมันเป็นกรรมเป็นวิบาก คุณเรียนรู้เรื่องกรรมวิบากมาหรือเปล่า กรรมเป็นอันทำ กรรมเป็นความจริงนะ คุณจะโง่ไปถึงไหน คุณเป็นโพธิสัตว์แล้วแค่นี้ไม่รู้ แล้วไปทำกรรมที่ชั่วอยู่ ทำความผิดอยู่ เออ เป็นสัตว์ใต้ต้นโพธิ์ไป เป็นโพธิสัตว์ได้อย่างไร ในขั้นหนึ่งของคนที่ไม่ทำชั่ว สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่ดี) มันรู้ว่ามันผิดมันรู้ว่าชั่ว จะไปทำได้อย่างไร ซึ่งไม่ทำแล้วเด็ดขาด เพราะ สจิตตปริโยทปนัง เพราะท่านเป็นอัตโนมัติที่ท่านจะต้องทำสิ่งจริง ถ้าไม่จริงไม่ทำ ถ้าผู้ที่ยังทำสิ่งไม่จริงอยู่ก็ไม่จริง เข้ามาสู่ความสงบ 2 อย่าง ถ้าไม่ชัดเจนในความสงบ 2 อย่างที่เป็นโลกียะกับโลกุตระ เป็นแบบเดียรถีย์ จะเป็นของพุทธ อย่างเช่นไปหลับตาปฏิบัติไม่ถูกสัมมาทิฏฐิอย่างหลวงปู่แสง เป็นต้น เราไม่รู้รายละเอียดของหลวงปู่แสงที่มีเก็บหลักฐานไว้ แต่มันแสดงออกตอนอายุจะเป็น 100 ที่มีคลิปออกมา หมอปลาเอามาเปิดโปง มีคลิปเป็นภาพไปล้วงไปกอดไปดมไปหอมเขาได้อย่างไร อายุตั้งเป็น 100 แล้ว แล้วบำเพ็ญมาปฏิบัติมาตั้ง 60 80 พรรษา กิเลสอย่างกามแค่นี้ แค่กามลามกแค่นี้ มันสูงกว่านี้ถึงขั้น รูป อรูป ยังมีอีกนะ แค่กามแค่นี้ แล้วกามผู้หญิงผู้ชาย กามหยาบๆแค่นี้ ยังพ้นไม่ได้ นี่แหละ คือผู้ที่หลับตาปฏิบัติ นี่คือสายหลับตาจริงๆ เลิกเสียเถอะ มาตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ฌาน แบบพระป่านั้นไม่ยากหรอก มันต้องทำอยู่บ้าง คุณทำเตวิชโช คุณทำฌาน แบบนั้นทั้งนั้นมันเป็นอัตโนมัติ แต่มันไม่ตั้งมั่นยาวนานน แบบนั่งหลับตาปฏิบัติ แบบนั้นมันก็ทำได้แบบ วิกขัมภนะ ก็ทำได้นาน แต่ มาทำอย่างลืมตาเปิดเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 คุณจะได้เป็นฌานวิสัย ไม่ใช่แค่นิสัย แต่เป็นวิสัย คิดเอาเองไม่ได้ต้องรู้จริงเป็นธรรมจริงเป็นสัมมาทิฏฐิดีแล้วจะได้เป็นวิสัยเป็นอัตโนมัติเป็นปัจจัตตัง ฌานวิสัย ของพระพุทธเจ้ารู้ด้วยตรรกะ ด้วยความคิดเรียนรู้ด้วยภาษาไม่ได้ จะต้องปฏิบัติ คุณจะรู้แจ้งรู้จริง เป็นปัจจัตตัง ฌานวิสัย เพราะฉะนั้นคนทุกวันนี้เข้าใจ ฌานวิสัย ที่เป็นสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้าซึ่งท่านตรัสไว้ในเป็น อจินไตย ข้อ 1 เลย นอกจาก ฌานวิสัย พุทธวิสัย กรรมวิบาก โลกจินตา อจินไตย 4 นี้ ซึ่งรายละเอียดจะมีอีกมาก โลกจินตานี้สารพัด เยอะ เราไม่สามารถไปร่วมคิดถึงคนที่คิดได้อย่างนั้น อย่างพระบิดา คิดอะไรอย่างนั้น ให้ลูกศิษย์ลูกหามากินเสลดกินขี้ ถ้าลูกศิษย์ทำอย่างนี้ได้วิเศษ มันเข้าใจว่าเป็นความวิเศษได้อย่างไร ให้คนมากินขี้ตัวเอง ให้คนมากินเสลดตัวเอง ให้คนมาทำมูตรวัตรขนาดนั้น แล้วมันหลงผิดว่าเป็นพระบิดาของศาสนาอื่น ดีนะ ทวี แกชื่อทวี แกไม่พูดว่าแกเป็นอาจารย์ของพระพุทธเจ้า แกพูดว่าเป็นอาจารย์ของพระเยซู ยังดีนะ ไม่กล้าพูดว่าเป็นอาจารย์ของพระพุทธเจ้า ถ้าเผื่อว่าใครไปนับถือมากขึ้นแกพูดแน่ เพราะมันเป็นความหลงผิด แกพูดแน่ พยากรณ์ได้เลย เพราะว่าจะต้องใหญ่กว่าศาสดาใดๆในโลก ความผยอง ความโง่เง่าที่โมหะ เขาจะต้องเป็นแบบนั้น แต่นี่เขาจับได้ก่อน เป็นบุญของทวี ลัทธิพระบิดา กลับมาหาหลวงปู่แสง เป็นสายอาจารย์มั่น สายหลวงตามหาบัว สายนั่งหลับตาสะกดจิตทั้งหมด ซึ่งไม่เลยเถิดเตลิดเปิดเปิงแบบทวี พระบิดา ก็ดีแล้ว บุญหัวแล้ว เพราะฉะนั้นทำขนาดนี้ เอาแค่สายมหาบัว สายอาจารย์มั่น สายนั่งหลับตา อาตมาเอาพระสูตร คุหัฏฐกสูตร ว่า จะเอามาขยายความให้ละเอียด ก็ยังไม่ได้ทำ สรุปถึงความสงบ 2 อย่าง ถ้าความสงบ 2 อย่างยังเข้าใจไม่ถูกต้อง จะไปต่อปัญญาข้อที่ 4 5 6 7 8 ไม่ได้ ต่อไม่ได้ เพราะคุณเข้าใจความสงบ ความสงบนี้เป็นตัวสำคัญ สงบคืออะไร สงบคือกิเลสดับ เพราะฉะนั้นคุณจะไปเรียนรู้กิเลสดับเข้าไปอีก คุณจะต้องต่อไปปัญญาข้อที่ 4 เอาศีลไปปฏิบัติจนเกิดสมาธิ เกิดปัญญาไปเยอะๆ เรียกว่า พหูสูต สั่งสม อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เกิดวิมุติๆๆไปอีกเยอะจึงเรียกผู้นี้ว่าพหูสูต พหูสูตจะต้องศึกษาอย่างนี้อีกไปอีก ละไว้ในฐานที่เข้าใจ จึงเรียกว่าให้วิริยารัมภะ ให้พากเพียรอย่างที่ได้มาแล้วเพิ่มมากขึ้นๆ เพิ่มเป็นปัญญาเข้าที่ 5 ปัญญาข้อที่ 6 ก็บรรลุความสงบ จะรู้ว่าอย่าเพิ่งไปอวดดี องค์ที่ท่านสงบ องค์ที่ท่านไม่พูด ท่านนิ่งๆ อย่าไปแตะ บางทีเรานั่นแหละจะโดน เพราะว่าเราไม่หยั่งรู้ท่าน เพราะฉะนั้นอยู่ในสภา อยู่ในที่ที่มีบัณฑิตทั้งหลาย จะไม่ประมาท แต่จะไม่กล้า อรหันต์จริงๆจะไม่กล้า เพราะอยู่ในสภาคือผู้รู้ที่เป็นบัณฑิตทั้งนั้น ถึงเวลาควรพูดก็พูด ถึงเวลาไม่ควรพูดก็นิ่ง เราไม่กล้าไปตำหนิผู้ที่ท่านนิ่งไม่พูดเลยว่าท่านไม่รู้ ทำไมกล้าไปทำ นี่คือปัญญาข้อที่ 8 ปัญญาข้อที่ 8 ก็รู้ครบทั้งหมดเลย รู้ความเกิด ความเสื่อม ความดับของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สมณะเดินดิน… สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin13 พฤษภาคม 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:650511 อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของ นาม 5 รูป 28 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯNextNext post:650515 พ่อครูเทศน์กัณฑ์พิเศษ เนื่องในวันวิสาขบูชา พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้วันเพ็ญเดือน 6Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024