650511 อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของ นาม 5 รูป 28 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1zwCqUhQxo4olgxLczZmfb3MFI-BWpYIoUTYNUsIGcwk/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1R1uUC5SnlGkhOtHceI46sMji1IVOFWZU/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/cXpR5ukmWN/
และ https://youtu.be/2KflKLwAjPQ
สมณะฟ้าไท… วันนี้เป็นวันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้เราศึกษาธรรมะกับพ่อครูเป็นธรรมะที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตอนนี้พ่อครูให้เรียนรู้อภิภายตนะ 8 อันนี้ เราก็ปีนต้นตาลฟังกันได้
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 9 พ.ค. 2565
_Sangaroon Sungkomsilp แสงอรุณ สังคมศิลป์ · รายการตุ้ม ตะลุ่มตุ้มม้ง ของวันจันทร์ที่ 9 พ.ค. 65 นี้หลวงปู่แสดงธรรมขั้นสูง เทปนี้ต้องฟังแล้วฟังอีกหลายๆ รอบเลยค่ะ
พ่อครูว่า… คุณแสงอรุณก็ได้รับทราบ ผู้ที่ติดตามฟังก็ได้ฟังด้วยกันด้วย ส่วนใครรู้สึกว่ายากก็มี บางคนก็รู้สึกว่าไม่ยากเย็นอะไรก็มี แล้วแต่บารมีของคน
นานาสังวาสาสของชาวอโศกกับเถรสมาคม
_Duangjai Jeab ดวงใจ เจี๊ยบ · ข้าพเจ้าฟังธรรมะของพ่อครู โดยที่ไม่รู้จักประวัติเบื้องหลังพ่อครูมาก่อนเลย แต่เข้ามาฟังอย่างต่อเนื่องเพราะรู้สึกว่าใช่ รู้สึกว่าเจริญขึ้น และเห็นว่า คนที่ไม่ถูกจริตกับธรรมะพ่อครู คงจะตัดสินจากภูมิหลังพ่อครู ที่ออกมาปฏิบัติแบบนานาสังวาส โดยมิได้พิจารณาเนื้อหาธรรมะ นึกแล้วก็เสียดายแทนค่ะ กราาบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า… มีส่วนถูกต้อง ผู้ไม่รู้จักเบื้องหลังอาจจะมาเลยมาติดตามฟังธรรมเอาสาระธรรม ก็ชัดเจน เพราะมันไม่มีอะไรกวน เพราะถ้ารู้จักเบื้องหลังหรือติดตามประวัติมา อาตมาถูกดิสเครดิต ถูกถล่มทลายจากเถรสมาคมหรือว่าคณะกระแสหลักของประเทศ ที่เขาต้องนับถือ พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงนับถือขนาดนั้น แน่นอนเขาก็จะต้องยกให้คณะนั้นว่าถูกต้องดีแท้ แต่อาตมากลับมาซัดเลยว่านั่นแหละคือความเสื่อม เถรสมาคมนั่นแหละคือความเสื่อม คือผิดออกไปหมดเลย เรียกว่าเล่น นานาสังวาส เลย และ อาตมาก็เอาหลักนานาสังวาสที่เป็นหลักธรรมวินัยมายืนยัน และปฏิบัติตามนานาสังวาสที่อาตมาเข้าใจธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าในหลักนานาสังวาสดี แล้วก็ทำมาถูกต้อง ทางโน้นกลับไม่รู้เรื่อง
ตอนแรกก็งงๆ ปล่อยให้อาตมาประกาศนานาสังวาสมาตั้งแต่ พ.ศ.2518 มาถึง พ.ศ. 2532 วันร้ายคืนร้ายไปกินยาผิดอย่างไรไม่รู้ กลับมาดึงอาตมาไปเล่นงาน นี่ก็ผิดพระธรรมวินัยแล้ว การประกาศนานาสังวาสก็จะมาทำอธิกรณ์อะไรกันไม่ได้เลย
ดีไม่ดีก็เอาธรรมยุตและมหานิกายมารวมกันรุมอาตมาเลย มันก็ยิ่งแสดงชัดเจนว่าทำไมไม่ประสีประสากับธรรมวินัยเลย แค่ คณปูรกะ ต่างคณะกันแล้วจะร่วมกันสังฆกรรมไม่ได้ มาร่วมกันโจมตีอาตมา โดยเรียกว่าเป็น คณะการกสงฆ์ ทำสังฆกรรม ซึ่งทำไม่ได้ มันเป็นอาบัติ แต่ท่านไม่รู้หรอกว่า มันเป็นอาบัติ ก็ยิ่งแสดงความเสื่อมชัดเจน คณะทั้งคณะไม่รู้ความผิดของพระธรรมวินัย และละเมิด เป็นอาบัติในธรรมวินัยเองเลยแล้วมันจะยังไง
ยิ่งทุกวันนี้ บริหารจัดแจงไม่ได้ ปล่อยให้ออกมา มีผู้ประกาศตนเป็นพระบิดา มีพระปาราชิกอะไรออกมา มีคดีผู้หญิงบ้าง เรื่องเงินเรื่องทองบ้าง 2 เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องเงินเรื่องทองกับเรื่องผู้หญิง มันจะเต็มไปหมด
อาตมาเคยพูดและก็ขอพูดอีกว่า แม้แต่ในคณะใหญ่นั่นแหละรู้กัน ปาราชิกเรื่องผู้หญิงหรือเรื่องเงินก็ตาม แต่ก็กลบปิดกัน เละกันอยู่ในคณะเอง อาตมารับผิดชอบคำพูดนี้ ว่า ไม่ได้ใส่ไคล้ใส่ความ มันก็มีเรื่องมีหลักฐานออกมาตั้งเยอะแยะ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาก็เห็นใจนะ ที่จริงก็เห็นใจ ให้อาตมาหรือให้คณะอาตมาไปบริหารคณะสงฆ์เป็นคณะสงฆ์ อาตมาก็ไม่รับหรอก พูดตรงๆเลยว่า อาตมาทำไม่ได้เพราะมันเละเกิน อาตมาไม่มีแรง ไม่มีๆความสามารถที่จะไปจัดการสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะอาตมาไม่ครบพร้อมไม่หยาบพอ อะไรก็แล้วแต่มันทําไม่ได้ มันก็ต้องเป็นปรากฏการณ์อย่างนี้แหละ เราก็ทำ ทางโน้นเขาก็ต้องทำ มันเป็นภาวะที่ยังไม่ลงตัว ก็ต้องให้เป็นอย่างนี้ไปก่อน ค่อยเป็นไป
ก็ยังไม่รู้ได้ว่าอาตมาเกิดมาในชาตินี้ทำอย่างนี้แล้ว จนอาตมาตายไปอีก จะต้องเกิดมาทำอีกไหม ซึ่งก็ยังรู้สึกอยู่เลยว่าถ้ามันจะต้องเกิดอีก เพราะมันดูคงไปไม่รอดจริงๆอีก 2 พันกว่าปี กว่าจะถึง 5,000 ปีของศาสนาพระสมณโคดมครบ ดูท่าทีแล้ว ว่าไหม ดูท่าทีแล้วมันไม่ไหวมั้ง
ที่นับถือกันเป็นพระอรหันต์ก็เป็นพระอรหันต์เก๊ แล้วหลงเชื่อมั่นกันจริงๆว่าเป็นพระอรหันต์ที่เขานับถือกันอยู่ทุกวันนี้ อาตมาก็ยืนยันว่าไม่ใช่ อรหันต์คืออาตมา เขาได้ยินก็หัวเราะฟันร่วงเลย ว่าอย่างพระโพธิรักษ์หรือเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ของเขาต้องนิ่งๆหยุดๆ ไม่พูดจา ไม่ว่าใคร เหมือนหลวงปู่เกษม หลวงพ่อเกษม เหมือนใครอีกหลายอย่าง ก็สาธยายหยิบเอามาวิจารณ์ มาแจกแจงด้วยใจบริสุทธิ์ จริงใจไม่ได้ไปข่มไปเบ่งอะไรหรอก สาธยายให้รู้ด้วยหลักวิชาการด้วยหลักความจริงที่ถูกต้อง พูดไป
เขาก็ยิ่งหาว่า ยกตัว หลงตัวหลงตนไปอีก สำหรับผู้รู้ผู้ที่แสวงหาอย่างไม่มีอคติก็จะได้ ตั้งใจศึกษาติดตามก็จะได้ นับวันดีขึ้น ดีวันดีคืน แต่ดียังช้าอยู่ อัตราการก้าวหน้าของความเข้าใจมันยังน้อยอยู่ ยังไม่มากพอ ก็ไม่เป็นไร ยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ นี่ว่าไปอย่างนั้น สรุปลงตรงนี้
อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของ นาม 5 รูป 28
_แพรกลีบบัว · ช่วงนี้ผัสสะที่จับอาการของจิตได้เร็วคือ ผัสสะจากลูกชายค่ะ เป็นความเห็นต่างเรื่องการบ้านการเมืองเหมือนเดิม แต่อาการของใจที่เกิด มันเบากว่าเดิมมาก ไม่ยึดเท่าเดิม แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกับลูกได้โดยไม่ทุกข์เท่าเดิม เห็นว่ามันยังมีทุกข์บ้างนิดๆ เห็นความแตกต่างความหนักเบาของตัวยึด เข้าใจที่พ่อครูย้ำว่าการปฏิบัติของพุทธให้เรียนรู้ที่ อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ไม่ใช่หลับตา
พ่อครูว่า… เอ่อ ประเด็นนี้แจ๋ว อธิบายตรงนี้ ย้ำ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ขยายความอันนี้ให้ชัดๆก่อน
ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อาตมาจำได้ว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่อง อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 เรื่อง เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย ก็อยู่ในข้อนี้เหมือนกัน
ถ้าผู้ใดเข้าใจ อาการ ลิงค นิมิต จากอุเทส
อุเทส คือ คำอธิบาย คำที่อาตมากำลังสาธยายชี้แจงขยายความอยู่นี่แหละนี่คือ อุเทส
เพราะฉะนั้นผู้ที่ฟังคำอธิบายขยายความนี้แล้วเข้าใจอาการเข้าใจนิมิตเข้าใจความแตกต่างของอาการก็ดี เข้าใจความแตกต่างของนิมิตก็ดี นิมิตอันนี้เป็นเครื่องหมายบอกอย่างนี้นิมิตอันนี้เป็นเครื่องหมายบอกอย่างนี้ เทียบกันแล้วอาการแตกต่าง
พยัญชนะบอกอาการพยัญชนะบอกว่า นิมิต มันเป็นเครื่องหมายให้เรากำหนด ภาษาคำว่านิมิต มันเป็นคำชี้บ่งเชิง Static ความเป็นอาการเป็นเชิงชี้บ่งของ Dynamic
หมายความว่านิมิตนี้มันเหมือนกับตัวตน เป็นกระแส ส่วนอาการ เหมือนความเคลื่อน แรงเคลื่อน ตัวนี้ตัวหยุด ตัวนี้ตัวเคลื่อน อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็อ่านความต่าง อาการตัวเคลื่อน นิมิตตัวหยุด อาการกับนิมิตมันก็ต่างกันแล้ว แถมอย่างนิมิตกับนิมิต ถ้ามีก็จับที่นิมิต ก็ต้องแตกต่างกันในนิมิตกับนิมิตอีก อาการกับอาการ ก็ต้องอ่านอาการกับอาการมันก็มีแตกต่างกันอีก ในอาการของอาการต่างๆ
ทุกวินาที ทุกการเดินทางของ กาละ กาละนี้ ปึ๊บๆๆ มันไม่ได้หยุด เพราะฉะนั้นความต่างความไม่เที่ยง ความไม่คงที่ มันมีอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก มันมีอยู่ทุกการเคลื่อนที่ของมหาจักรวาล การเคลื่อนที่ของโลก การเคลื่อนที่ของเวลา เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสรุปได้ว่า ทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง ไม่คงที่ ไม่ว่ารูปและนาม นี่ยิ่งใหญ่มาก อันนี้ยิ่งใหญ่มาก
เวลา คือ อรูป
อาการของจิต เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเป็นอาการของ นาม
อาการและนิมิต มันก็ใช้พยัญชนะ สื่อสภาวะธรรมแต่ละอย่าง
สู่แดนธรรม… เหมือนเราปวดท้องก็มีนิมิตแสดงอาการให้เห็น ถ้าจิตป่วยก็น่าจะมีนิมิต
พ่อครูว่า… ใช่ๆเหมือนกัน มันต้องมีลักษณะนั้นชี้บ่งหมาย เราจับนิมิต จับอาการได้
_คนบ้านราชฯ…_ผมได้ยินเสียงออกอากาศทางวิทยุ ออกอากาศจากวัดปากน้ำ อ.เมือง จ.อุบลฯ สิ่งที่ได้ฟังคือการสอนสมาธิแก่ญาติโยม สรุปได้ว่า ถ้าสมาธิเข้าหรือเข้าสมาธิ ได้ เป็นสมาธิแน่ๆแล้ว แขนขาจะไม่ตก อยู่ท่าไหนก็จะอยู่ท่านั้นเหมือนเดิม ถ้ายกตัวผู้นั้นขึ้นก็จะอยู่ท่านั้นเดิม เวรกรรมจริงๆ มิน่าพ่อครูถึงต้องอยู่ให้นานขึ้น น่าเวทนาสงสารชาวพุทธผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่มากเลยค่ะ
มีสมาธิแล้วทำให้คนแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ ศาสนาพุทธจะมีความหมายอย่างไรคะ
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัส….
พระราชดำรัสในการเปิดประชุมใหญ่ของสมาคมพุทธศาสนาทั่วราชอาณาจักรที่เชียงใหม่ วันที่ 27 ตุลาคม 2515 ถ้าสังคมพุทธมีแต่ความงมงายอยู่อย่างนี้ เห็นทีพ่อครูคงเหนื่อยไปอีกนานจนกว่าจะตายนะคะ
พ่อครูว่า… สรุปความคือเป็นวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่หยิบยกมาพูดกันแล้วใช้ปัญญาไตร่ตรองตามที่ตามสัมผัสและรู้กันได้เอามาขยายความกันได้
กลับมาสู่ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส มีเงื่อนไขว่าไม่ใช่หลับตา มีอาการ เพราะ อาการนั้นเกิดจากผัสสะ เมื่อเกิดผัสสะ มีอาการแล้วก็มีนิมิตอีกที เป็นคำสรุปรวมจากอาการนั้นล่ะ
จาก สัมผัสกันเป็นอายตนะ สรุปความเป็นสภาพรวมได้เลย สภาพที่สรุปรวมลงได้เรียกว่า เวทนา ตามหลักปฏิจจสมุปบาท วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา
นามรูปคือ 2 สภาพ กระทบผัสสะกันเข้า เกิดอายตนะ เป็นสภาพ 2 นี่แหละรวมเป็นเวทนา 1 ความรู้สึกอายตนะ 2 กระทบกัน แล้วก็เกิดอาการขึ้นมาให้รู้เรียกว่า เวทนา เกิดอาการความรู้สึกของแต่ละคน ก็ให้มาศึกษาที่ตัวเวทนา ในเวทนานี้มีเหตุแห่งทุกข์ที่ชื่อว่า ตัณหาอุปาทาน ผู้ที่ยังแก้ตัณหาอุปาทาน ล้างตัณหาอุปาทานไปได้หมดก็เหลือภพชาติ
เมื่อมีภพชาติ ก็เหลือ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ ก็เป็นอันหวังได้
เพราะฉะนั้น จุดสำคัญที่สุดที่จะต้องปฏิบัติคือ เวทนา พระพุทธเจ้าจึงแจกเวทนาออกในกระบวนการเวทนาเป็นเวทนา 108 เพราะฉะนั้นผู้ที่จะศึกษาธรรมะพุทธเจ้าไม่รู้จักเวทนา 108 พูดกันไม่รู้เรื่อง ปิดประตูที่จะบรรลุอรหันต์อีกเหมือนกัน ไม่พูดถึงเวทนา 108 โดยเฉพาะไม่เข้าใจเคหสิตะ กับ เนกขัมสิตเวทนา ที่พระพุทธเจ้าท่านแจกแจงเอาไว้เรียกว่าอาการของมโน 18 พฤติกรรมของมโนปวิจาร พฤติกรรมของอาการของจิต
อาการของจิตอย่างเป็นโลกียะเรียกว่า เคหสิตะ รู้จักกิเลส จับกิเลส เอากิเลสออกอย่างมีปัญญาเข้าไปล้างกิเลส กิเลสก็ลดก็ดับ จนหมด จนถึงขั้นเป็นอุเบกขาเป็นผลสุดท้ายของ เนกขัมสิตะ
เคหสิตะ 16 เขาก็มีอุเบกขาของเขาเหมือนกัน อุเบกขาของเคหสิตะกับอุเบกขาของเนกขัมมะ คนละอย่าง อันนี่แหละคือสัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิที่แท้จริง
วิธีทำอุเบกขาของ เคหสิตะ เรานั่งหลับตาสะกดจิตให้หยุดนิ่ง แล้วแปลอุเบกขาว่า
อทุกขมสุข ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข นิ่ง หยุด เขาเรียกอนัตตา สุญญตาเลยด้วย และเรียกว่านิโรธหรือนิพพาน ในสัญญาความกำหนดรู้ กำหนดหมาย ของเขาเป็นอย่างนี้ แล้วเขาก็ได้นามรูป หรือ กาย
กาย เป็นอย่างนี้คือนิ่ง สัญญาเป็นอย่างนี้
คำว่า กาย อย่างนี้ก็ผิดเพราะว่า กายของเขา ไม่มีภายนอก กาย ของเขานั่งหลับตาไม่มีภายนอก
เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจคำว่า กาย ไม่มีภายนอกก็เป็นมิจฉาทิฏฐิในสังโยชน์ข้อที่ 1 ก็เข้าใจ กาย ยังไม่สัมมาทิฏฐิตั้งแต่ต้น
ในพุทธศาสนาเมืองไทยก่อนอาตมาจะมาเกิด เข้าใจว่า กาย คือภายนอกเป็นวัตถุเท่านั้น ไม่ได้เข้าใจว่า กาย นี้มีจิตร่วม กายนี้ ไม่มีนามธรรมร่วม ไม่ได้ เป็นมิจฉาทิฏฐิ
กาย อยู่เอกเทศ เป็นสาระของวัตถุเท่านั้น ผิด ก่อนอาตมามาเกิด เข้าใจว่า กายคือ สาระทางวัตถุเท่านั้น อาตมามาเกิดแล้วก็มาสาธยาย มาเปิด อาตมาไม่ได้เปิดทันทีด้วย มาเปิดเผยรายละเอียดของกายนี้ภายหลัง แรกๆ ก็ไม่ได้อธิบาย
คำว่า บุญ ก็ดี คำว่า กาย ก็ดี อธิบายสมาธิมาก่อนทั้งนั้น ฌานก็ยังไม่ได้อธิบายชัดนัก แต่ตอนนี้นี่ ได้ขยายความมาหมดแล้ว คิดว่าหมดแล้วด้วย หมดในรอบที่จะเป็นอรหันต์ได้ หมดในสาระที่จะเป็นอรหันต์ได้ หมด
เพราะฉะนั้นฟังอาตมาแล้วจึงมีอรหันต์เกิด พวกเราจึงเกิดอรหันต์ แล้วมีอรหันต์จริง ซึ่งเขายังเข้าใจยาก เข้าใจไม่ง่าย
ความเป็นอรหันต์คือผู้มีนิพพาน
พ่อครูบอกให้ค้นหาที่เขียนไว้ในหนังสือปัญญา 8 เล่ม 2 เพื่อจะใช้อธิบาย
สอุปาทิเสสนิพพาน กับ อนุปาทิเสสนิพพาน
อุปาทิ คือเชื้อ คือคำว่าวิบากคือผล ปฏิบัติแล้วก็เกิดผล รวมเป็นขันธ์ขึ้นมา เพราะฉะนั้นเมื่อได้ปฏิบัติธรรมแล้วก็ทำให้ขันธ์เรานี้สะอาดขึ้น ขันธ์ของเราคือ รูป เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ ถ้าเฉพาะนามก็คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เวลาศึกษาปฏิบัติ พระพุทธเจ้ามีหลักปฏิบัติคือ นาม 5 รูป 28
เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดไม่สามารถ แยกนาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ถ้าหากไม่มี 5 ประการนี้ที่เป็นเจตสิก ปฏิบัติไม่ได้
มีนาม 5 แล้วก็มีรูป 28
รูปนี้ อธิบายขยายความยากกว่านามอีก ที่จริงรูปสำหรับอย่างตื้น อธิบายง่ายกว่า แต่อธิบายละเอียดแล้วอธิบายยากกว่า
รูป 28
4 ข้อต้นคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ง่ายเข้าใจแล้วเป็นวัตถุรูปภายนอก แต่เมื่อเข้าไปเกี่ยวข้อง ปฏิสังเคราะห์ สังขารกัน มันก็จะมีตาหูจมูกลิ้นกาย หรือ เมื่อมันเกิดสภาวะ กระทบกันแล้ว มันก็จะมีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส
เป็นรูปที่ถูกรู้ ที่นาม 5 นั้น ต้องมีผัสสะ จึงจะเกิด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ต้องมีสัมผัสจึงจะเกิดรูปรสกลิ่นเสียง แล้วก็ทางกาย สัมผัสก็คือทางกาย แต่ต้องมีใจร่วมศึกษารู้อยู่ตลอดเวลา ต้องมีผัสสะ
ถ้าไม่มีผัสสะ ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 อ่านให้แตกฉาน ไม่มีผัสสะ ไม่มีเวทนา ไม่มีที่ตั้งแห่งการปฏิบัติ ไม่มีฐานให้ปฏิบัติ ไม่มีผัสสะ ไม่มีเวทนา เป็นที่ตั้งไม่มีฐานให้ปฏิบัติ นี่คือตัวโมฆะในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พรหมชาลสูตร เป็นตัวสำคัญตรงนี้ ว่า จะปฏิบัติได้หรือไม่ได้ ก็คือ มีผัสสะ มีเวทนา เป็นฐานปฏิบัติหรือไม่ ถ้าไม่มี ผัสสะ เวทนาเป็นฐานปฏิบัติเลิกล้มได้ นี่คือตัวสำคัญมากสำหรับการปฏิบัติธรรม พรหมชาลสูตร
เวทนา สัญญา เจตนา
สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ทำงานตั้งแต่ต้นจนจบ จบบรรลุแล้วตรวจสอบก็ต้องใช้สัญญาทั้งนั้นตรวจใน วิญญาณฐีติ 7
เจตนาเป็นกาม เป็นภพหรือวิภวตัณหา
เจตนา 3 หรือตัณหา 3 มี กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
ผู้ที่เรียนรู้กามตัณหาเบื้องต้น แล้วลดละกำจัดกิเลสกามได้ก็จบเบื้องต้น กาม ต้องมี 5 ตา หู จมูก ลิ้น กาย กาม ไม่ใช่ 1 กามมี กามคุณ 5 ไม่ใช่กามคุณ 1 (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
มหาบัวเกิดหรือยังไม่รู้ เกิดแล้วมานั่งฟังบ้างก็จะดี จะได้รู้กามคุณ 5 หรือมาแอบเกิดในบ้านราชฯก็ไม่รู้
เมื่อคนรู้จักกามตัณหา ล้างกามตัณหาได้หมด ก็เหลือภายใน เรียกว่า ภวตัณหา หรือ รูป อรูป
ภวตัณหาก็แยกเป็น รูป กับ อรูป ก็ล้างรูปตัณหาก่อน ดับให้ได้
ที่เรียกว่าอยู่ภายในไม่ใช่ว่าตาหูจมูกลิ้นกายไม่กระทบสัมผัส แต่กระทบสัมผัสอยู่นั้น กามมันดับแล้ว เราลดละจับมันได้หมดแล้ว มันก็เลยอยู่แต่ภายใน ไม่แสดงออกทางกายทางภายนอกแล้ว แต่มันยังอยู่ภายใน กดข่มก็ได้นะ ยังไม่หมดกาม แต่กดข่มไว้ นั่นแหละยากที่จะรู้ คนกดข่มไว้ สะกดจิตตัวเองเก่งๆ มันก็แสดงออกทางภายนอกอยู่ อันนี้แหละยาก
เพราะฉะนั้นต้องเปิด อย่าไปกดมันไว้ มันจะแสดงออกมีอาการ กาม จนรู้จัก อาการ ลิงค นิมิต อุเทส รู้อาการรู้เครื่องหมายของมันว่า กาม มันเป็นอย่างนี้ มันอยาก เป็นภายนอก เป็นอาการ สราคะ สโทสะ ที่จริง กามหรือปฏิฆะ โทสะนี่ อยู่กันคนละมุมเท่านั้น
โทสะคือไม่ชอบ กามคือชอบ เพราะฉะนั้นถ้าเราล้างกาม ปฏิฆะก็จะลดลงด้วย ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐินะถ้าไม่สัมมาทิฏฐิก็ไปเอาแต่กดข่ม ปฏิฆะก็เกิดได้ หากกดข่มปฏิฆะไม่กดกาม กามมันก็เกิดได้
แต่ถ้าถูกต้อง กาม กับปฏิฆะ เป็นคู่กัน มันจะลดทั้งคู่ แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิมันเร็วกว่า มันได้ครบครัน
เมื่อผู้ใดทำมนสิการเป็น เมื่อผัสสะแล้วจิตมันปรุงแต่งเป็นสังขาร แล้วก็ทำใจในใจ มนสิการแปลว่าการจัดการกับใจ ทำใจในใจของเรานี่แหละ ความหมายของใจในใจ เราทำ จัดการกับจิตในจิต
กาย มี ภายนอกกระทบแล้วมีกิเลส จัดการกิเลส จิตในจิตนี่แหละ สราคะ สโทสะ
สโมหะ ทำให้ลดลงๆ ละจางคลายไปหาความไม่มีเรียกว่า วีตะ
ทำสำเร็จ ทำได้แต่ละเรื่องแต่ละส่วนๆ ได้จนกระทั่ง หยาบลดลง กามก็ลดลง ราคะ ลดลง เหลืออรูปราคะ ในแต่ละเกณฑ์ หยาบ กลาง ละเอียด มันก็มีรายละเอียดของมัน เราก็รู้มันด้วยปัญญา รู้ชัดเจนๆ ด้วยกัน ปัญญากับสัญญาทำงานคู่กัน สัญญากำหนดรู้ ปัญญาเป็นตัวรู้ตัวจบ รู้จนกระทั่งจบก็ได้ ไปเรื่อยๆ ตรวจสอบไปด้วย ซึ่งเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติของการตรวจสอบตัวเอง แม้จะมานั่งเตวิชโช ตรวจสอบตัวเองมันก็เป็นกิจจะลักษณะ แต่โดยปกติมันก็ตรวจสอบของมันเองอยู่เหมือนกัน แต่มันละเอียดกว่า แต่มันทำงานเป็นอัตโนมัติของมันเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใดสามารถที่จะปฏิบัติถูก มีผัสสะ มี มนสิการอย่างสัมมาทิฏฐิแล้ว นาม 5 ก็มาเรียนรู้ เวทนา สัญญา กับเจตนา ผัสสะ มนสิการ
มนสิการ ให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ต้องมีผัสสะ ต้องมนสิการ ให้มีสัมมาทิฏฐิก่อน ไม่ถูกผัสสะคุณก็มีมนสิการเหมือนกัน แต่คุณทำใจในใจอย่างไรก็เป็นสัมภเวสี ไม่มีครบพร้อมเป็นสภาพ 2 ภายนอกภายใน เพราะคุณเข้าใจกายผิด ไปหลับตาทิ้งภายนอก
พวกหลับตา ตีหัวเข้าบ้านครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ ให้หยุดทำ พวกหลับตาเป็นโมฆะบุรุษ พระพุทธเจ้าไม่กล้าพูดแบบโพธิรักษ์ เพราะในยุคของท่านหลับตากันหมด แต่ในยุคของอาตมาไม่ใช่ พระพุทธเจ้ามีหลักฐานของท่านอยู่แล้ว ผู้ที่พอเข้าใจมีอยู่แล้ว เชื้อผู้ที่สามารถมีบ้างแล้วแม้ยังไม่ครบอัญญธาตุ ผู้ใดเข้าใจครบอัญญธาตุ ก็สามารถพูดจากับอาตมารู้เรื่องอธิบายให้รู้เรื่องขยายความ อัญญธาตุ เรารู้เรื่องกันนะ
อัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ อุทานว่าโกณฑัญญะเกิดรู้ธรรมะโลกุตระได้ เป็นคนแรกในยุคพระสมณโคดม เพราะฉะนั้นพวกเรามีใครเป็นโกณฑัญญะบ้าง ผ่านโกณฑัญญะ มีอัญญธาตุ สามารถกระทบสัมผัสรู้
นี่พูดอย่างนี้ พวกที่ยังไม่เข้าขั้นจะรู้เลยก็บอกว่าพูดอะไรของมัน เพราะคำว่า อัญญธาตุ คำนี้คำเดียวไม่ง่ายแล้วนะ อัญญะภาษาบาลีแปลว่าอื่น มันมีธาตุชนิดอื่นที่ไม่ใช่ชนิดโลกีย์ที่คุณรู้มาที่เป็นเทวนิยม ที่เป็นชาวโลกปุถุชนเขารู้ อันนี้มันเป็นของใหม่เป็นโลกุตระ ธาตุรู้อันนี้มันสะสมธาตุรู้จนกระทั่งมี อัญญธาตุ ในอัญญธาตุ เกิดธาตุรู้อันใหม่ที่เลย 50-60 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปจึงแสดงตัว ออกมาภายนอกได้
อาตมามาขยายความในปางนี้ ปางเป็นพระโพธิรักษ์ ขยายความละเอียดกว่าสารีบุตรมาก พระสารีบุตรยังไม่ได้ขยายความมากขนาดนี้ ในพระไตรปิฎกไม่มี ยิ่งเป็นพระไตรปิฎกของพระมหากัสสปะด้วย ยิ่งไม่มี ในของมหายานมี แต่อาตมาไม่ได้เคยใช้พระไตรปิฎกมหายานเลย ใช้แต่ฉบับสยามรัฐของพระมหากัสสปะ ที่ใช้กันอยู่แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว ถ้าขืนไปเอามหายานมาอีก อาตมาก็คงตายก่อนนี่แหละ เพราะมันจะเยอะมาก เอาไปตามลำดับอย่างนี้แหละ เอาของพระกัสสปะให้ละเอียดก่อนเถอะ ขออภัยเถอะ สู้ของอาตมาไม่ได้หรอก เพราะว่าท่านหลับตาจะไปรู้สู้อาตมาไม่ได้หรอก อาตมาลืมตามี 5 ทวารรู้ อาตมารู้ 6 ทวาร ภายในก็ต้องรู้ ข้างนอกอีก 5 รวมเป็น 6 พระกัสสปะจะรู้เท่าอาตมาได้อย่างไร โอ้โห! ขออภัย พูดความจริงมากไปหน่อย คนเขาไม่เข้าใจก็หาว่าอวดข่มคนนั้นคนนี้ ไม่ได้พูดข่ม อาตมาพูดสัจธรรม พูดความจริงตามความเป็นจริง อาตมาไม่ได้ไปอยากข่มใครหรอก
เพราะฉะนั้นเมื่อสามารถมี นาม 5 ได้แล้ว ผัสสะมี มนสิการเป็น แล้วคุณก็มาศึกษาเวทนา สัญญา เจตนา
มาเข้าที่รูป 28
รูป 4 ดินน้ำไฟลม เป็นเหตุปัจจัยที่เป็นวัตถุ ยกไว้
ปฏิบัติแบบพุทธต้องลืมตาปฏิบัติให้เกิดฌาน ต้องมีการลืมตา ไปนั่งหลับตาไม่เกิด ฌาน ไปหลับตาไม่มีการรับรู้อะไร แต่ฌานของพุทธ ต้องลืมตาปฏิบัติมีเหตุปัจจัยครบพร้อมจึงมีความสว่างมีความรู้มากเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น ฌานวิสัย จึงเป็น อจินไตย ฌานทั้งรู้และเผาไปในตัว และรู้ด้วยปัญญา ปัญญาคือไฟฌาน ไฟเผากิเลส
มาเข้า อุปาทายรูป 24
ก. ปสาทรูป 5
ข. โคจรรูป, วิสัยรูป 4
ค. ภาวรูป 2 สภาพที่เกิดจากการกระทบสัมผัสระหว่าง ปสาทรูป กับ โคจรรูป
เกิดเป็นภาวะ 2 อย่างคือกระแสกับแรงเคลื่อนหรือ static กับ Dynamic ภาวะ 2 นี่แหละครอบโลกเลยยิ่งใหญ่ที่สุดในคำว่า เทวะ คือ ภาวะ สอง
ใครแยกภาวะ 2 นี้ไม่ออกหรือไม่ยอมให้แยกภาวะ 2 นี้เหมือนชาวเทวนิยม คุณไปกำหนดบังคับเลย จะมาแยกความรู้ที่รวบยอดแล้ว 2 อย่างนี้ให้เป็นหนึ่งเป็นพระเจ้าเป็นยอดความรู้แล้วมีของพระเจ้าเท่านั้น ห้ามแยก ให้ปฏิบัติตามพระเจ้าสั่งเท่านั้น เทวนิยม จึงมีความรู้เท่าพระเจ้าหรือพระศาสดา เจ้าของศาสนาเทวนิยมแต่ละนิกายแต่ละลัทธิ ไม่แจกเป็นอื่นเลย ไม่มีอะไรใหม่ อยู่ในกะลาครอบของศาสดา ศาสดาของเทวนิยม ก็ไม่รู้ว่าตัวเองนั่นแหละมีกรรมวิบากเรียนรู้มา ไม่รู้ว่าได้มาอย่างไร ก็ไม่เรียนรู้ความดับความเกิดแต่ละชาติมีวิบากสั่งสมมาอย่างไร ตัวเองได้สั่งสมกรรมวิบากมาจนกระทั่งรู้มาก ได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของเทวนิยม แล้วก็ต่างกันกับของศาสดาองค์อื่น เดี๋ยวนี้ก็ยังมีศาสดาในศาสนาเทวนิยมมากมายก่ายกอง จนสามารถเป็นศาสนาใหญ่ๆได้ เล็กๆน้อยๆ ที่ไม่พอเรียกศาสนาได้ก็เรียกว่าลัทธิ กะปิดกะปอยอยู่อย่างนี้แหละร้อยพันหมื่นลัทธิ
จนกระทั่งถึงลัทธิ โจเซฟ ทวี คือ ลัทธิพระบิดาที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ ที่นายทวี เขาก็บอกว่าเขาคือโจเซฟเป็นพ่อของศาสดาทุกพระองค์ และพฤติกรรมของลัทธิเขาก็อย่างนั้นที่กำลังมาตีแผ่เปิดเผย สนุก ตัวอย่างในประเทศไทยนี้ เขายิ่งใหญ่นะ ยิ่งใหญ่กว่า ศาสดาทุกองค์ที่เป็นลัทธิศาสนาเทวนิยมทุกองค์นี้เขาใหญ่กว่า เขาเป็นพ่อของทุกองค์ ฟังรู้เรื่องไหมเนี่ย
แล้วก็มีคณะดำเนินการมาหลายสิบปี เพิ่งจะไปค้นพบกันได้ตีแตกต่างตรงนี้ เมืองไทยเป็นตัวอย่างรวมทั้งหมดเลย โพธิรักษ์ก็อยู่ที่นี่ บิดาของโจเซฟก็อยู่ที่นี่ อยู่ที่ประเทศไทย มันมันมีทั้งบวกทั้งลบอยู่ตรงนี้เลย มีทั้งแบบ Positive Negative
สู่แดนธรรม.. แล้วเขาก็มีหน้าตาคล้ายอาจารย์ไม้ร่มด้วยครับ ผมโพสต์ติ๊กต๊อกมีคนมาคอมเม้นว่า หน้าตาคล้ายพระบิดา เป็นญาติกับพระบิดาหรือเปล่า
พ่อครูว่า… เอาแค่นี้ เดี๋ยวเสียเวลา
เวทนาคือฐานรู้ สัญญาคือฐานกำหนดรู้ เมื่อกำหนดรู้แล้ว อ่านเจตนาให้ออก เจตนามีตั้งแต่ กาม ภว และวิภวะ
ก. ปสาทรูป 5
จักขุ (ตา)
โสตะ (หู)
ฆานะ (จมูก)
ชิวหา (ลิ้น)
กายา (กาย)
ข. โคจรรูป, วิสัยรูป 4
รูปะ (รูป)
สัททะ (เสียง)
คันธะ (กลิ่น)
รสะ (รส)
โผฏฐัพพะ (สัมผัส)
(กายกับโผฏฐัพพะ ถือว่าเป็นอันเดียวกัน)
มีโคจรรูปกับปสาทรูปทำงานร่วมกันเกิด ภาวะสอง คือ มีความต่างกัน ภาวรูป 2
ค. ภาวรูป 2
-
อิตถัตตภาวะ, อิตถินทรีย์ (ญ)
-
ปุริสสัตตภาวะ, ปุริสสินทรีย์ (ช)