650509 อภิภายตนสูตร ตอนที่ 1 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 37
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1kHLLGLu831Fyelqik3Nwe7YsEcOXE7UlkvWiyXzkui8/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/10lZjDVdKBhdmn-YagZyYtMaJ3_8XMlSy/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/cUNso5WoCG/
และ https://youtu.be/FiN_QUFFTn0
_สู่แดนธรรม…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก พ่อท่านเคยตอบคนที่สงสัยเกี่ยวกับ ความตั้งใจบวช ว่า พ่อท่านบรรลุธรรมตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว ผมก็เลยรู้สึกประทับใจตรงจุดนี้
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 6-8 พ.ค. 2565
ทำไมไม่มีการศึกษาโพธิสัตว์ระดับต่างๆในประเทศไทย
_สติพล จนพัฒนา · โพธิสัตว์ที่เคยศึกษามาก่อนๆไม่เห็นมีระดับเลยครับหรือว่าท่านไม่ได้แจกแจงไว้?.
พ่อครูว่า…ศาสนาพุทธในไทยเป็นศาสนาพุทธหีนยาน พระไตรปิฎกก็ใช้ฉบับที่พระมหากัสสปะเป็นผู้ทำการสังคายนา เป็นศาสนาหินยาน 100% เป็นศาสนาพุทธที่เอาแต่อรหันต์ ไม่ศึกษาโพธิสัตว์เลย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเรื่องพระโพธิสัตว์ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐนี้ กล่าวถึงพระโพธิสัตว์ตามที่จะต้องอ้างอิงเท่านั้น ไม่เคยอธิบายขยายความอะไร แต่อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เป็นผู้ที่ตั้งใจจะต่อภพต่อภูมิ คือจบอรหันต์แล้วก็ต่อภพต่อภูมิโพธิสัตว์ต่อไปอีก
เป็นโพธิสัตว์ในระดับอรหันต์ คือโพธิสัตว์ระดับ 4 ระดับ 5 6 7 8 ระดับ 9 ก็เป็นพระพุทธเจ้า เขาไม่รู้กันไม่ได้เรียนกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่เห็นมีระดับ อย่าว่าแต่ระดับเลย สักแต่ว่าอธิบาย ความเป็นโพธิสัตว์ก็ไม่มี แล้วพระพุทธเจ้าสมณโคดมก็ตรัสยืนยันด้วยว่า ท่านสอนใบไม้กำมือเดียว ไม่ได้สอนใบไม้ทั้งป่า ก็หมายความว่าสอนแต่เฉพาะอรหันต์ จบแล้วก็เลิก ปรินิพพานไป สอน 45 ปีทำงาน 45 ปีแล้วก็ไปปรินิพพาน ถ้าจะอยู่ถึงร้อยปีหรือเกินกว่าร้อยปีก็ได้ แต่ 80 ปีท่านก็ไปแล้ว
เพราะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปลายแล้ว เมื่อยแสนเมื่อย สุดท้ายท่านก็ไม่เอาถึงร้อยปี ที่ท่านบอกว่าท่านจะอยู่ไปถึง 1 กัปหรือเกินกว่ากัปก็ได้ ท่านบอกว่าร่างกายเราเหมือนเกวียนเก่าคร่ำคร่าทรุดโทรมเสื่อมแล้ว ก็ค่อยๆศึกษาไปเรื่อยๆ จะรู้เข้าใจไปตามลำดับ
_Danuthum Virulhsirikul ดนุธรรม วิรุฬห์ศิริกุล· “กราบนมัสการ” พ่อท่าน ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ.. ผมจะใช้คำนี้ตลอดไปครับ..ด้วยความศรัทธาของผมเองอย่างจริงใจ..ไม่ได้เชื่อใครและไม่ได้ตามใคร.. ก็อยู่ที่ภูมิของใครที่จะรู้และคิดได้เอง… พระพุทธเจ้า.. ท่านได้สอนไว้.. ไหว้คนที่ควรไหว้ บูชาคนที่ควรบูชา ผมเองก่อนที่จะมาฟัง”ธรรมะ” ของพ่อท่าน.. ก็ฟังพระดังดังมาหมดแล้ว…แต่เป็นทิศทางเดียวกันหมด..หลวงพ่อที่ดังๆเขาก็บอกเป็น”พระอรหันต์” กันทั้งนั้น.. พอผมถาม จะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร… พระเขาก็ตอบว่าต้องหลับตา.. (ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง)..ตอนนี้คงมี”พระอรหันต์” เต็มประเทศแล้ว..เพราะ.. ปฏิบัติธรรมที่ไหนไหน.??ก็ให้หลับตากันหมด..ใครๆก็อยากเป็น รวมถึงตัวผมเองก็อยากเป็น”พระอรหันต์” แต่ไม่มีใครอธิบายได้ ..มาฟัง”พ่อท่าน” จึงเข้าใจและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง.. จากการอธิบาย”จากพ่อท่าน”…ฟังธรรมะ”จากพ่อท่าน”
พ่อครูว่า…ถ้าเป็นผู้ที่น่าเคารพสิ่งใช้ภาษาที่ตรงกับความจริง อาตมาก็ไม่ได้ มังกุ หรือเขินอะไร แต่ไม่ใช่หน้าด้านนะ
ดีตั้งใจฟังดีๆอย่าเพิ่งปักใจมั่นจนเกินไป
อภิสังขาร ต่างกับสังขารทั่วไปอย่างไร
_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก · แค่อายตนะ6ยังยากหาที่สุด อภิภายตนะ 8 นี่ โลกแห่งธรรมช่างกว้างใหญ่เสียนี่ กระไร🙏
พ่อครูว่า…คุณคนนี้คงมีปฏิภาณว่าอาตมาได้แยกแยะ ว่าในคนมีอายตนะ 6 หมายถึงอายตนะจริงๆของคนมีรูปนามสัมผัสกันจึงเกิดอายตนะขึ้น มีทั้งหมด 5 คู่ภายนอกและ 1 คู่ภายใน แล้วก็มีอายตนะ 6 แค่นี้ก็บอกว่ายากแล้ว แล้วอภิภายตนะ 8 มันไม่ได้หมายถึงอายตนะ 1 และไม่ได้หมายถึงอายตนะ 6 เป็นอภิภายตนะ เป็นสภาพความรู้ที่เกิดจากรูปนามเกิดจากการสัมผัสกัน แต่มันเป็นความรู้ของผู้ที่เป็น อภิภูขึ้นไป จึงจะมีอภิภายตนะ 8
อันนี้ก็สูงกว่า สยังอภิญญา ธรรมดา เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่มีภูมิธรรมถึงขั้นโพธิสัตว์ระดับ 7 ขึ้นไป จะฟังรู้เรื่องยากมาก พวกเราก็พยายามฟังก็ฟังเถอะ ก็คิดว่ายังจะไม่ค่อยรู้สภาวะที่แท้จริง แต่ก็รู้บัญญัติไปเถอะ ส่วนผู้ที่ยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เหมือนไม่ใช่พวกคุณ รับรองว่าไม่รู้เรื่องเลย จะแยกแยะไม่ออก อย่างที่อาตมาเคยอธิบาย อายตนะ 6 และอภิภายตนะ 8 ซึ่งพวกคุณพอเข้าใจนะ แต่ข้างนอกจะสงสัย อภิภายตนะอะไร อายตนะอะไร
ซึ่งอายตนะก็ธรรมดาคนก็ใช้แทนสิ่งที่มีรูปนาม มีสิ่ง 2 สิ่งสัมผัสกัน ที่นี้เป็นอภิ มันก็ยิ่งกว่าอายตนะ มันต้องอีกชั้นหนึ่งถึงจะรู้ถึงความเป็นอภิ
อย่างเช่นสังขาร ซึ่งก็เป็นการปรุงแต่งกันธรรมดา ปรุงแต่งดี ปรุงแต่งเลวได้ แต่เมื่อเป็นอภิสังขารแล้ว เริ่มตั้งแต่ ปุญญาภิสังขาร ก็ขั้นสังขารอย่างอภิ ไม่ใช่สังขารธรรมดาแล้วแต่เป็นสังขารอย่างมีวิชชา
ธรรมดาสังขารของคนก็มีแต่ อวิชชา เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมีสังขารถึงขั้นอภิสังขาร หรือมีวิชชามีปัญญามีญาณที่สัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้าเข้าไปประกอบมันจึงเป็นอีกชั้นหนึ่งที่รู้กิเลสแท้รู้วิธีทำให้กิเลสลดได้จริงๆเรียกว่าทำอภิสังขาร
ทีนี้ สังขารธรรมดาซึ่งคนก็ต้องเรียนรู้จะรู้ตัวสังขารแท้ๆก็ยังยาก ที่นี้รู้อภิสังขารก็เริ่มตั้งแต่ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร
ซึ่งคำว่าบุญมันไม่ง่าย อาตมาก็อธิบายมามาก เขียนหนังสือเรื่องเปิดยุคบุญนิยม เป็นคอลัมน์ในหนังสือเราคิดอะไรจนเอามารวมเล่มมา 2-3 เล่มแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องที่ขยายความละเอียดละออ ขึ้นมามากกว่าเก่า เพราะอาตมาเจริญ พูดง่ายๆว่าอาตมาเจริญกว่าพระสารีบุตร
พระสารีบุตรในยุคพระพุทธเจ้าก็มีภูมิเท่านั้น แต่อาตมามาชาตินี้ ถ้าใครคิดว่าอาตมาเป็นพระสารีบุตรมีเชื้อเจริญมาเป็นพระโพธิรักษ์ ก็ต้องสูงกว่าเก่า จะไปย้ำต๊อก อยู่ที่เก่าไม่ได้
เพราะฉะนั้นถ้าใครมาบอกว่าอาตมาเป็นพระสารีบุตรก็เป็นการดูถูกอาตมา อาตมาไม่ได้เป็นพระสารีบุตร พระสารีบุตรก็ตายไปแล้วตั้งแต่ในยุคพระพุทธเจ้า ถ้าจะบอกว่าสิ่งเชื่อมต่อ อาตมาเชื่อมต่อพระสารีบุตรมา ก็ต้องเจริญกว่าพระสารีบุตร แล้วก็ต้องเป็นคนละคนกันแล้ว ไม่เมานะ ไม่สับสนนะ อาตมาพูดอย่างนี้ก็เป็นการอธิบายที่ละเอียดละออในการเกิดการดับ การเกิดการตาย การเวียนวน เลื่อนชั้น เดินทางไปแต่ละชาติๆ ชาติที่เกิดมาเป็นร่างกายได้ขันธ์ 5 แต่ละชาติ ซึ่งศาสนาพุทธเท่านั้นที่มีรายละเอียดอย่างนี้ อันเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ลักลั่น แต่เป็นลำดับที่เรียงกันอย่าง ต้น กลาง ปลาย เหมือนฝั่งทะเลที่มีหาดทรายทะเลซัดมาราบเรียบ เทียบกับลมพัดทะเลทรายก็เรียบ แต่น้ำนี่ทำได้เรียบราบยิ่งกว่าทะเลทราย หาดทรายที่ทะเลราบเรียบกว่าทรายทะเลทราย เพราะที่ทะเลทรายเป็นลมมันไม่แน่น แต่ทรายของแม่น้ำมันแน่น ไม่เชื่อใครมีกองทรายก็เอาน้ำไปฉีดมันก็ยุบลง มันแน่นเข้า
ถือตนว่าดี สำคัญตนว่าเลวคืออะไร
_ต้อม หนองสรวง · ถือตนว่าดี สำคัญตนว่าเลวคืออะไรครับ
พ่อครูว่า…คนที่ถือตนถือตัว ก็คือคนยึดตัวเองว่า ดี หรือ เมื่อยึดแล้วก็ยึดมั่นถือมั่น สำคัญตน สำคัญตนว่า เลว ก็คือ ผิดไปจากความจริงทั้งคู่
ถือตนว่าดี ถ้าคนที่ดีจริง แล้วก็มองอ่านความจริงว่า ตนเองดีตามที่เป็นความจริงไม่ผิดไม่พลาดว่า คนนั้นจะถือไม่ถือ เขาก็เป็นความจริงของเขา ส่วนคนอื่นที่ถือหรือนับถือคนนี้ เขาแล้วแต่เขาจะนับถือหรือไม่นับถือ เขารู้ความจริงหรือไม่รู้ความจริง เขาจะศรัทธานับถือหรือไม่นับถือ
ส่วนนับถือหรือสำคัญตนว่าเลวนั้นตนเองเลว ตนเองวิปลาสตนเองเข้าใจผิด สำคัญตนว่าเลวก็คือจริงๆตนไม่ได้เลว ก็คือวิปลาส สำคัญตนผิด สำคัญตนว่าตนเองเลว มันก็ไม่ดีเหมือนกันนั่นแหละ มันต้องรู้ความจริงตามความเป็นจริงให้ได้ทั้งหมด เอาละนะ แค่นี้เดี๋ยวจะเยอะเกินไปวนมากไป
ผลงานการทำงานเพื่อประชาชนของคุณรสนา โตสิตระกูล
_สมสมัย นันทะโภค · อยากให้ท่านที่รู้ผลงานของคุณรสนา รวบรวมมาเผยแพร่ในสาธารณะให้มากขึ้น ว่ามีผลงานอะไรบ้าง เผื่อคนที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใครเขาจะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นค่ะ
พ่อครูว่า..มีคนลิสต์มาให้อาตมาอยู่นะ
ประวัติ “รสนา โตสิตระกูล” – รสนา โตสิตระกูล
การทำงาน
บทบาทการทำงานที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องสิทธิผู้โภคและการมีส่วน
ร่วมของผู้บริโภค หรือเป็นกรรมการในฐานะตัวแทนผู้บริโภค
. เลขาธิการ มูลนิธิสุขภาพไทย
. กรรมการอิสระ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)
. กรรมการผู้จัดการ มูลนิธิโกมลคีมทอง
. แกนนำเครือข่าย 30 องค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อผู้บริโภค
. กรรมการเตรียมการจัดตั้งสภาพัฒนาการเมือง และยกร่างแผนแม่บท
พัฒนาการเมือง สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ㆍกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามกระบวนการและมาตรการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภานิติบัญญัติ
ㆍกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
. ประธาน สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค (2 สมัย)
. สมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร ปี 2551 (จากการเลือกตั้ง 2 มีนาคม
2551)
9 ผลงานเด่น ของ “รสนา โตสิตระกูล”
ผู้สมัครผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ในนาม “อิสระ”
(ระหว่าง พ.ศ.2547 – พ.ศ. 2562)
-
พ.ศ.2547 ฟ้องคดีนักการเมืองทุจริต ทำให้ถูกยึดทรัพย์และติดคุก เป็นผลงานคดีแรกของภาคประชาชน
-
พ.ศ.2549 ชนะคดี แปรรูป กฟผ.หยุดยั้งค่าไฟแพงเพื่อตลาดหุ้น
-
พ.ศ.2550 ฟ้องคดีจนศาลสั่ง ปตท. คืนท่อก๊าซสกัดการผูกขาดก๊าซธรรมชาติ
-
พ.ศ.2551 ได้รับเลือกตั้งเป็น สว.กทม. ด้วยคะแนนสูงที่สุดในประเทศไทย
ด้วยคะแนน 743,397 คะแนน
-
พ.ศ.2551 ผลักดันการตั้งกรรมาธิการสามัญตรวจสอบทุจริตของ สว. สำเร็จ เป็นครั้งแรก
-
พ.ศ.2552 – ปัจจุบัน เป็นผู้นำการขับเคลื่อนเพื่อความเป็นธรรมด้าน “พลังงาน “
-
พ.ศ.2558 ร่วมคว่ำมติสภาปฏิรูปแห่งชาติด้านการเปิดส้มปทานปีโตรเลียมที่ไม่โปร่งใส
-
พ.ศ.2562 ร่วมจัดตั้งและระดมทุน “กองทุนแสงอาทิตย์” และติดตั้งโซลารูฟ
เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ 7 โรงพยาบาลใน 4 ภาคของไทย
-
พ.ศ.2562 ร่วมต่อสู้จน ” ยกเลิกสิทธิบัตรกัญชาต่างชาติ” สำเร็จ
พ่อครูว่า… นี่คือผลงานของคุณรสนา ฝีมือผู้หญิงคนหนึ่งทำงานให้แก่ประชาชนให้แก่ชาติแก่ประเทศ ทำระดับชาติมาแล้ว นี่จะทำให้กทม. มันจะเหนือกว่าฝีมือฝีไม้ไปได้อย่างไร ทำให้แก่ชาติมาแล้ว ตอนนี้สมัครมารับผิดชอบเฉพาะ กทม.นะงานเหลือฝีมือเลย นี่ก็พูดชัดๆเจนๆ
_บุญชัย ทองชูเกียรติ · กราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง…ผมไม่ลังเลใจเลย ที่จะไม่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งคุณรสนาฯเป็นผู้ว่ากทม.อย่างแน่นอน
พ่อครูว่า…
ล้างอวิชชาโง่งมงายด้วยวิชชา มี เวทนา 108 เจโตปริยญาณ 16
_ผมได้ยินเสียงออกอากาศทางวิทยุ ออกอากาศจากวัดปากน้ำ อ.เมือง จ.อุบลฯ สิ่งที่ได้ฟังคือการสอนสมาธิแก่ญาติโยม สรุปได้ว่า ถ้าสมาธิเข้าหรือเข้าสมาธิ ได้ เป็นสมาธิแน่ๆแล้ว แขนขาจะไม่ตก อยู่ท่าไหนก็จะอยู่ท่านั้นเหมือนเดิม ถ้ายกตัวผู้นั้นขึ้นก็จะอยู่ท่านั้นเดิม เวรกรรมจริงๆ มิน่าพ่อครูถึงต้องอยู่ให้นานขึ้น น่าเวทนาสงสารชาวพุทธผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่มากเลยค่ะ
มีสมาธิแล้วทำให้คนแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ ศาสนาพุทธจะมีความหมายอย่างไรคะ
พ่อครูว่า… เป็นพรหมลูกฟัก แข็งทื่อ ยกขึ้นมาก็เป็นเท่านั้น กลิ้งไปกลิ้งมาก็อยู่ท่านั้นเรียกว่าพรหมลูกฟัก
จริงเดี๋ยวจะพูดพาดพิงถึงบ้าง สมาธิหมายคนเข้าสมาธิแน่วแน่ๆเหมือนท่อนไม้ แล้วมันจะมีความหมายไปทำอะไร เอาไปทำฟืนก็ไม่ได้ เอาไปทำโต๊ะทำตั้งนั่งก็ไม่ได้ เอาไปทำอะไร คือเป็นความเกลียดเต็มที่เลยคิดที่ดีเถอะ ความเข้าใจของสายที่มิจฉาทิฏฐิ ฟังแล้วมันสุดสังเวชใจ สลดก็สลด สุดสังเวชใจ แล้วก็เป็นไปได้ด้วยนะเพราะเป็นอุปาทานยึดมั่นถือมั่นแล้วมันก็เป็น เหมือนข่าวกำลังออกพระบิดาลัทธิพระบิดา กินเสลด กินขี้ กินเยี่ยว กินขี้ไคลของพระบิดา ก็แสดงให้เห็นถึงความมีอุปาทาน มีอุปาทาน ที่ยึดมั่นถือมั่นอย่างสนิท
คนที่ยึดมั่นถือมั่นสายลับตาเขาก็ยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้น เขาก็เชื่อว่าเป็นจริงอย่างนั้น คนที่ไปศรัทธาเลื่อมใสพระบิดาก็มี ซึ่งพระบิดาก็ยืนยันว่าเขาเป็นพระบิดาของทุกศาสนา นี่ ใหญ่ คนที่ฟังแล้วก็เคลิ้ม เชื่อถือก็มีอุปาทาน เราได้พบผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่ยิ่งใหญ่กว่าผู้ยิ่งใหญ่อีกนะ ศรัทธาจนไม่ลืมหูลืมตาอะไรเลย ให้กินขี้ก็กิน กินเยี่ยวก็กิน กินเสลดก็กิน เอาเสลดมาลูบหน้าลูบตา ไม่ต้องซื้อยาผิวเนียนตามตลาดมาเลย
เป็นเรื่องของอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นทั้งนั้น แล้วมันก็เชื่อไปอย่างนั้นแล้วก็เกิดอาเทสนาปาฏิหาริย์ เป็นได้จริงอย่างนั้นเลย
เช่น คนเล่นไสยศาสตร์ อยู่ยงคงกระพัน หนังเหนียวฟันแทงไม่เข้า มันก็ไม่เข้าเพราะเป็นอุปาทานได้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ตั้งแต่ศรัทธาเลื่อมใสเข้าทรง แล้วดิ้น คนอยู่ดีๆไม่ได้ดิ้นหรอก นึกว่าการแสดงความดิ้นคือการได้แล้ว การเข้าถึงวิชชาที่เขายึดถือแล้ว ที่จริงอวิชชาก็ต้องดิ้นร้องทำท่าทางอะไรต่างๆนานา แล้วแต่ใครจะมีอุปทานมีแม่เทอมแตกต่างกันไปสารพัด มากท่าหลายหลากท่ามากเลย
เพราะฉะนั้น คนเข้าทรงไม่รู้กี่ท่าต่อกี่ท่า รุนแรงก็มีอ่อนช้อยก็มี สนุกสนานรื่นเริงก็มี สารพัด ซึ่งเป็นเรื่องอุปาทานทั้งสิ้น
อาตมาผ่านสิ่งเหล่านี้ศึกษาสิ่งเหล่านี้มา ที่จริงผ่านมาหลายชาติแล้ว แม้ชาตินี้ ก็ยังไปลองอยู่บ้าง แล้วเราไปผ่านสิ่งเหล่านั้นมา อาตมาเล่นไสยศาสตร์ในชาตินี้อยู่ 8 ปีซึ่งไม่ใช่น้อยๆ เล่นก็ลองสารพัด อย่างที่เขาทำกัน
เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่มานึกคิดตรรกะเอาไม่ใช่ อาตมาผ่านมาจริงๆทั้งนั้น จึงเข้าใจเรื่องอุปาทานว่ายิ่งใหญ่ที่สุด อุปาทานคือ Static ของตัณหา ตัณหาคือ Dynamic ตัณหาแสดงออกมาแล้วตกผลึกลงไปเป็นอุปาทาน ตกไปเป็นภพ เป็นชาติ ตาม ปฏิจจสมุปบาท
อาตมาขยายความรายละเอียดของธรรมะ ต่างๆนานา อย่างในปฏิจจสมุปบาท 11-12 หลัก
ความไม่รู้คืออวิชชา คุณไม่รู้คืออวิชชาคุณก็มีหมดทั้งนั้นแหละในอุปาทาน
คนที่อวิชชาสมบูรณ์แบบอุปาทานมีหมดทุกอย่าง ใครจะจูงไปไหนไปได้หมด คนไหนที่ฉลาดเหนือกว่าก็ครอบงำทางความคิดจูงกันไปเป็นบริวารเขาไปหมด
เพราะฉะนั้นเมื่อเริ่มมีวิชชาหรือเริ่มมีความรู้ที่สัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้าเข้ามา จะรู้จักสังขาร การปรุงแต่งหรือว่าการสังเคราะห์สังขารกัน ปรุงแต่งทำงานร่วมกันเป็นองค์ประกอบกันและกัน เป็นพลังงานผสมหรือวิญญาณผสม เจตสิกผสม ปรุงแต่งกันอยู่ เรียกว่า สังขาร
ผู้ที่จะเข้าใจสังขารเป็นอภิสังขาร ซึ่งมีความหมายจำเพาะ ที่สัมมาทิฏฐิ อภิสังขาร หมายความว่าสังขารได้อย่างวิเศษ เป็นอุตตริมนุสสธรรมของพระพุทธเจ้า สังขารคือการจัดการ ปรุงแต่ง
อภิสังขาร คือเป็นคนควบคุมการปรุงแต่งได้ ปรุงแต่งให้มันสะอาดจากกิเลส แยกแยะ จิตเจตสิกต่างๆ แล้วจับตัวปลอมตัวมายาที่มาหลอกลวงคือกิเลสให้ได้ แล้วก็เห็นด้วยปัญญาว่านี่ไม่ใช่ตัวจริง นี่ตัวเก๊ เฮ้ย! ไป เอ็งอย่ามาปลอมอยู่ตรงนี้ ตัวเก๊ แทรกแซง เป็นตัวกลิ เป็นเพทภัย ปัญญามันมีฤทธิ์แรงกิเลสมันเห็นแล้วก็วิ่งหนีเลย จิตก็สะอาดขึ้น วิญญาณก็เป็นวิญญาณที่เป็นวิญญาณก็เพราะ รู้นามรูป มีรูปนาม มีอายตนะ
จิตวิญญาณมีนามรูปอยู่แล้ว จิตวิญญาณมีนามรูปอยู่แล้ว ผู้ที่รู้จักรูป รู้จักนามทำงานด้วยกันก็ต้องมีผัสสะ หากไม่มีผัสสะ รูปนามไม่ทำงาน อายตนะไม่เกิด ก็นิ่ง เป็นหนึ่งๆๆอยู่อย่างนั้นแหละ
มีผัสสะ อยู่สองตัวเป็นเทวะ เป็นภาวะ 2 ที่ต้องสัมผัสกัน ถ้าต่างคนต่างนิ่งก็ไม่เกิดปฏิกิริยาอะไร มันต้องเกิดปฏิกิริยาด้วยการกระทบสัมผัสกัน จึงเกิดสภาพใหม่ขึ้นมา สภาพใหม่ก็คือวิญญาณสำหรับพวกอวิชชา
แต่สำหรับพระพุทธเจ้าแจกแจงต่อไปอีก วิญญาณที่มีเวทนา คือ รายละเอียดของเจตสิกของวิญญาณคือเวทนา ผัสสะแล้วเกิดเป็นเวทนา
เวทนา คือแหล่งกลางที่จะศึกษาด้วยเวทนา 108 โดยเรียนรู้มโนปวิจาร 18
ของโลกีย์ที่ยังมีอวิชชา แล้วเรียนรู้กิเลส เอากิเลสออกได้เรียกว่าเนกขัมมะ ก็มีเนกขัมมะ มโนปวิจาร เนกขัมมะ อีก 18
มันก็เกิดการปรุงแต่งเป็น สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ กับ ทวารทั้ง 6 ตากระทบรูป เกิดความสุขก็ได้ความทุกข์ก็ได้ ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ได้ หูก็กระทบเสียง เกิดความสุขความทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้ …จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกาย ใจ ก็เช่นกัน ทั้งหมดรวมเป็น 18
ก็รู้กิเลสตัวเหตุของมัน ดับเหตุได้ก็ออกจากมันได้ โดยใช้ ฌาน 1 2 3 4
ขั้นแรกต้องเรียนรู้อย่างมากทั้งวิตก ทั้งวิจาร
วิตก แปลว่า ตัวดำริขึ้นมาแล้วแยกแยะออกมาที่ตัวกิเลสให้ได้ พอแยกแยะออกมาแล้วก็รู้ตัวพฤติกรรมของจิตที่มันสะอาดหรือกำลังทำให้สะอาด แล้วจนสะอาดหมด ก็เห็นอาการของมัน เรียกว่าจาระ คือ วิจาระ เห็นพฤติของมัน หรือจรณะ ก็เห็นมันจนกระทั่ง มันสะอาดหมดกิเลสแล้วก็จบ ทำให้กิเลสหมดก็จบ วิจาร ที่วิเศษแล้ว สั่งสมตกผลึก เป็นสมาธิ ซึ่งใช้ภาษาเรียกว่า สมาหิตะ
ฐานแรกท่านก็เรียก อัปปนา ที่ไปใช้กับฌาน สายหลับตาก็เอาไปใช้ แต่เอาไปอธิบายไม่ได้ต่อจากนั้นไป พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา พวกหลับตาอธิบายไม่ได้ จะไม่กล่าวถึงเพราะไม่รู้รายละเอียด
สมาหิตะ คือ ผู้ที่รู้ได้ต้องมี เจโตปริยญาณ 16
-
สราคจิต (จิตมีราคะ) 2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ) 3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ) 4. วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ) 5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ) 6. วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ) 7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) 8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) 9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) 11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) 12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) . 13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) 14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) 15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) 16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)
ลำดับแรก คู่แรกที่ได้ สายสัทธานุสารี เป็นสังจิตตังจิตตัง สายธัมมานุสารี เป็นวิกขิตตังจิตตัง มันไม่เกาะกันแน่น แต่สังขิตตังจิตตังจะเกาะกันแน่น ส่วนสายสัทธานุสารี สายธัมมานุสารี ก็จะกระจาย แต่ถ้าเป็นมิจฉาทิฐิทาง วิกขิตตัง กระจัดกระจายกันมากเลย ส่วนถ้าเป็นมิจฉาทิฐิทาง สังขิตตัง ว่าจะเกาะกันแน่นเหมือนผมเป็นสังกะตัง ส่วนวิกขิตตังก็จะกระจาย
ต้องแก้ไข สายสัทธานุสารีก็แก้ ธัมมานุสารีก็แก้ เรียนรู้อย่าไปจมอยู่ตรงนั้นทำให้จิตมันเจริญขึ้นเรียกว่า สอุตระ จิตที่ดีขึ้น เจริญขึ้นแต่ดีกว่านั้นยังมีอีกยังไม่จบ ก็จะมีปฏิภาณรู้ว่ายังไม่จบยังไม่เป็น อนุตรังจิตตัง ยังเป็นแค่สอุตระ ยังไม่ใช่อนุตระ ยังไม่สมบูรณ์
ก็ทำให้ดีขึ้นไปอีกต่อจากนั้น จน หลักเกณฑ์ของการจบด้วย อนุตรังจิตตัง คือตั้งมั่นเป็นสมาหิโต สมาหิตัง
สมาหิตัง นั่นคือสมาธิของพุทธ อสมาหิตังคือ ยังไม่ถึงขั้นตั้งมั่น เพราะฉะนั้นจิตตั้งมั่นของศาสนาพุทธที่เป็นฌานก็ดี สมาธิก็ดี จะเป็นวิมุตก็ดี ที่ตั้งมั่นนั้น เรียกว่า สมาหิตัง สมาหิโต
เป็นคำที่ไม่ใช่ของทั่วไปที่เรียกว่า สมาธิหรือเจโตสมาธิเท่านั้น เพราะมีวิมุติจริงๆ
ก็ตรวจดีๆ หลุดพ้นสิ้นกิเลสจริงๆ ไม่ใช่เหลือเศษธุลีเหลือเศษของ อวิมุติอีก หมดเลย วิมุติ อวิมุติ จึงเป็นคู่สุดท้าย นี่คือ เจโตปริยญาณ 16
อาตมามีสภาวะเหล่านี้สมบูรณ์จึงเอามาขยายความเป็นภาษาง่ายๆ ภาษาแม่ Mother tongue เปลี่ยนภาษาไทยสามัญให้พวกคุณฟัง เข้าใจชัดขึ้นไหม
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สู่แดนธรรม…
พ่อครูว่า… คนบ้านราชฯ บอกว่า ถ้ามีสมาธิแล้วทำให้คนแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ ศาสนาพุทธ จะมีความหมายอย่างไรค่ะ
พ่อครูว่า… จะมีความหมายอะไรถ้าทำให้คนเป็นท่อนไม้แข็งเฉยๆ ทำให้คนเป็นก้อนอิฐก้อนหิน เป็นท่อนไม้ ก็เอาไว้โขกไว้ทุบอะไรเฉยๆ ก็เอาหินเอาไม้จริงๆไปใช้งานเลยดีกว่า
สู่แดนธรรม… พ่อท่านเคยบอกว่า พระพุทธเจ้าเป็นศาสนาพุทธเพื่อสังคมประเทศชาติมวลมนุษยชาติ มีประโยชน์ต่อมนุษย์ด้วยกัน
พ่อครูว่า… เขาเอาไปทุบอะไรก็เป็นประโยชน์ แต่มันเป็นประโยชน์แบบซื่อบื้อ เรื่องนั้นมันไม่ใช่พุทธ
คนบ้านราชฯว่า สมาธิของพุทธนั้นเกิดจากการปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 หรือจรณะ 15 วิชชา 8 หรือโพธิปักขิยธรรม 37
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับพุทธศาสนา “…พระพุทธศาสนานั้นมีลักษณะพิเศษ ประเสริฐ ในประการที่ อาศัย เหตุผลอันเที่ยงแท้ตามเป็นจริง เป็นพื้นฐาน แสดงคำสั่งสอนที่บุคคลสามารถใช้ปัญญาไตร่ตรองตาม และหยิบยกขึ้นปฏิบัติ เพื่อความสุขความเจริญและความบริสุทธิ์ได้ตามวิสัยของตน จึงเป็นศาสนาที่เข้ากับหลักวิทยาศาสตร์ ง่ายที่จะส่งเสริม …” พระราชดํารัส ในการเปิดประชุมใหญ่สมาคมพุทธศาสนาทั่วราชอาณาจักร ในจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2515
พ่อครูว่า… 2515 อาตมาบวชได้ 3 ปี ย่างขึ้นปีที่ 3
_ถ้าสังคมพุทธมีแต่ความงมงายไร้เหตุผลกันอยู่อย่างนี้ เห็นที พ่อครูจะต้องเหนื่อยอีกนานนะคะ
พ่อครูว่า… เหนื่อยก็เหนื่อยมันเหนื่อยอยู่แล้วล่ะแน่ๆอยู่แล้ว เหนื่อยจริงๆ แต่เหนื่อยแล้วก็พัก พักแล้วก็ช่วยกันโด๊ป โด๊ปขึ้นมาก็มีพลังงาน
อภิภายตนสูตร ตอนที่ 1
เข้าสู่ อภิภายตนะ 8
อายตนะ 8 มันเป็นขั้นแอดวานซ์ ขั้นเจริญเกินกว่าอายตนะ 1 อายตนะ 6
คนเราธรรมดามีอายตนะ 1 คือ มี 2 อย่างรูปนาม สัมผัสกัน กระทบกัน ทำไมต้องกำกับว่ารูปนาม ต้องมีนาม ถ้าพลังงานทางฟิสิกส์ พลังงาน 2 หน่วยซึ่งไม่ใช่นาม ไม่ใช่ชีวะด้านจิตนิยามกระทบกัน มันก็เป็นพลังงานทางฟิสิกส์ ความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า ตามที่ไอน์สไตน์ได้สูตร E = MC2 แต่ของอาตมานั้น E = C(mc2 + A)
ผู้ที่ติดตามศึกษาไปนานอีก จะถึงร้อยปีหรือเปล่ากว่าจะเข้าใจเรื่องนี้ ซึ่งแต่ก่อนนี้อาตมาเคยพูดแต่แค่ E = MC2 + A พูดตั้งแต่ไปบรรยายธรรมะที่ หอประชุมคณะแพทย์ศาสตร์ โดยตั้งชื่อเรื่องว่า แพทย์ศาสตร์เป็นเดรัจฉานวิชา โอ้โห! มากันตรึม แน่นห้อง นักศึกษาแพทยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ไปฟังบรรยายเต็มห้อง ถ้าหากบรรยายแล้ว เขาไม่รู้เรื่องด้วย อาตมาตายเลย หาว่าของเขาเป็นเดรัจฉานวิชา
เขาก็เข้าใจเดรัจฉานวิชาอย่างที่เขาเข้าใจ เข้าใจง่ายๆว่ามันเป็นวิชาของสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งมันไม่ใช่ มันเป็นวิชาที่ไม่พาไปนิพพาน มันขวางทางนิพพาน จะว่าเป็นสัตว์ก็ไม่ผิด ถ้าขยายความ อาตมาก็ขยายความ
สัตว์มันจะไปเรียนรู้ได้ยังไง มันเป็น อเวไนยสัตว์ ไม่ใช่เป็นเวไนยสัตว์ ที่เป็นสัตว์ที่สอนได้โดยเฉพาะโลกุตรธรรม เมื่อไม่รู้เรื่องโลกุตรธรรมก็ไม่มีนิพพาน มันจึงได้ขวางทางนิพพานหมด เรื่องที่ยังไม่ถึงขั้นโลกุตระ ยังไม่ถึงขั้นปัญญาที่แท้จริง
เพราะฉะนั้นเรื่องของอายตนะ 1 แล้วก็มีอายตนะ 6 ก็เป็นธรรมดาของทุกคน เมื่อผู้ที่เป็นอภิภู มีภูมิธรรมครอบงำสิ่งเหล่านี้ได้หมด
อภิภู หมายถึง ผู้ใดที่มีภูมิรู้ขั้นนี้ก็ผู้นั่นแหละคือผู้ยิ่งใหญ่อย่างเอกอุ มีความรู้อย่างเอกอุ อุ นี้ย่อมาจากอุดมหรืออุตระ หรืออุดร หรือ อุตตริมนุสสธรรม มีความรู้ขั้นอุตตริมนุสสธรรม อุดม
ผู้ที่มีภูมิรู้ถึงขั้นอุตริมนุสธรรมหรือขั้นโลกุตระ โลกุตระจึงมีขีดมีขั้นความสามารถของผู้ที่มีอภิภูหรือมีอภิภายตนะข้อที่ 1
เมื่อกระทบสัมผัสอะไรแล้วจะมีความพร้อมจะมีธาตุรู้ จะรู้ มีสัญญากำหนดหมายสำคัญหมาย รู้ ในรูป รูปคือ สิ่งที่ถูกรู้
รู้รูปในภายใน รูปที่เกิดในภายในจิต ถูกรู้อยู่ภายใน เห็นรูปในภายนอก
รู้อยู่ภายในและเห็นรูปอยู่ภายนอกด้วย ไม่ได้หลับตา ไม่ได้ปิดหู ไม่ได้ปิดจมูก ลิ้นกายไม่ได้ปิดทวาร ทำงานปกติสามัญเต็มร้อย เห็นคู่เลย พร้อมกัน
ถ้าหลับตาเสีย ไม่มี ตาหูจมูกลิ้นกาย ก็ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้รส ไม่ได้สัมผัส ยิ่งไปจมอยู่ข้างในอย่างเดียว มีแต่ในภายใน ก็ไม่รู้เรื่อง
พวกหลับตาสมาธิจึงเป็นคนปิดประตูที่จะมีนิพพาน ก็มันไม่บริบูรณ์ มันเป็นจิตอยู่ในภวังค์ เป็นสัมภเวสีอยู่ที่ตัวเอง จะนึกจะคิด นึกถึงอดีต นึกถึงอนาคต จะฟุ้งซ่านจะเป็นนิรมาณกายอย่างไรๆๆๆ ก็เพ้อพกไปได้เองสารพัด ฟุ้งซ่านไปได้เต็มที่ เพราะคุณตัวคนเดียวและก็ไม่มีใครรับรอง
เพราะฉะนั้น คนที่นอนหลับ จิตอยู่ในภวังค์ มันก็เป็นสัมภเวสีไปคนเดียว ไปเดี่ยวๆ แม้ คุณออกจากร่างแล้ว ตายไปแล้วเป็นจิตสัมภเวสี ยังหาร่างเกิดไม่ได้ คุณก็อยู่ในภพของคุณเป็นอย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้น ถ้าจิตของคุณไม่ดี คุณก็มีนรก ถ้าจิตคุณดี
หลงไม่ดี เป็นนรกชั่ว หลงดีก็เป็นสวรรค์
ศาสนาพุทธ รู้ว่าดีทำดีได้ เหมือนโลกียะทำดีที่สุด โลกุตระก็ทำดีที่สุดได้เหมือนกันเพราะมันเป็นโลกีย์
ส่วนโลกุตระนั้นไม่ใช่แค่ดีชั่ว เป็นเรื่องของสุขทุกข์ แต่มันเป็นความสุขความทุกข์ แค่นี้ก็ไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายในเรื่องโลกุตระ โลกียะยังบื้อ สุขทุกข์ดีชั่ว
เขาบอกว่าสุขก็ดี ทุกข์มันก็ชั่ว ดึงเอาความสุขความทุกข์มาเป็นอันเดียวกับดีความชั่ว
ซึ่งไม่ใช่ สุขทุกข์เป็นเรื่องของโลกุตระ ดีชั่วเป็นเรื่องของโลกียะ แค่นี้ก็ไม่ใช่ง่าย
เพราะเขาไม่รู้ เขาหลงสนิทติดอุปาทานอยู่ในสุข เป็นสุขนิยม เป็นเทวนิยมทั้งหลายทั้งหลายทั้งปวงเป็นพวกสุขนิยม เป็นความสุขเที่ยง แต่มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ แต่เขาไม่รู้ว่าทุกข์คืออะไร ผู้ที่รู้ทุกข์คือผู้ที่เป็นอาริยะ จึงเรียกว่าทุกข์อริยสัจ เป็นสัจจะขั้นอริยะ อริยบุคคลเท่านั้นที่จะรู้ทุกข์
ไม่ใช่อาริยะชนรู้ทุกข์ไม่ได้ ถูกครอบงำและหลงอยู่กับความสุข สุขัลลิกะ อัลลิกะ คือ เป็นความเก้เป็นความปลอมซึ่งคุณก็ไปหลงอยู่ในสุข ความสุขก็เป็นมายาความทุกข์ก็เป็นมายา สุขก็มายา มันเป็นอนัตตาทั้งคู่ พระพุทธเจ้าทำให้มันหมดตัวตนได้ในความสุขความทุกข์ ทำได้ตั้งแต่เป็นๆ เป็นพระอรหันต์
ผู้หมดสุขหมดทุกข์ มีปัญญาเข้าใจ ทำได้ ไม่ใช่ไปกดข่มแล้วนึกว่าตัวเองได้ เป็นสมถะ มันอทุกขมสุขแบบสมถะได้ก็มี เขาก็ทำกันพวกนั่งหลับตา โดยไม่ได้ล้างเหตุคือไม่รู้จักกิเลสไม่ได้ทำกิเลสให้ดับสนิทจนถาวร ดับจนกระทั่งกิเลสไม่ฟื้น ขึ้นมาอีกเขาทำได้
เพราะฉะนั้นอายตนะนี่คือ ผู้ที่นอกจากจะรู้แล้วก็ทำได้แล้ว เจริญแล้ว จึงรู้จักการปรุงแต่ง หรือการเป็นจิตขั้นที่จะเกิดอายตนะต่างๆที่เจริญขึ้นไปเรื่อยๆ ตั้งแต่อายตนะ 1 จนถึงอายตนะ 8
อายตนะข้อแรกขยายความสรุปว่า อย่างน้อยมันมี 1. รู้จากภายในและเห็นภายนอกด้วยกันทั้ง 2 อย่าง
-
รู้รายละเอียดของสิ่งที่เรียกว่า ปริตตัง เล็ก นิด น้อย ขั้น บริวาร เรียกว่า ปริตตัง