650506 อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของผู้มีอภิภายตนะ 8 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1NygD6d2lofShyefG6tGGGxVJJcEQY1izjsfVlXRQBAU/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1QbhKehua8W6BjJyTrntMp9qnLhYJw8F9/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/WX5cmhibdwI และ https://fb.watch/cQQnZKoeTY/ สมณะเดินดิน… วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้มีข่าวพระข้างนอกจะเยอะมากเลย ข่าวตลกอันหนึ่ง ติดป้ายใหญ่เลยห้ามหมอปลาเข้าวัดนี้ ชวนกันต่อต้านหมอปลา เมื่อก่อนหมอปลาปราบผี เดี๋ยวนี้เลื่อนเป็นมือปราบอลัชชี ไปจัดการพระที่ร้ายๆ ที่ว่าตลกก็เพราะว่า เขาตามหาใครเป็นคนติดป้ายที่วัดนี้ เจ้าอาวาสออกมาปฏิเสธไม่รู้เรื่องเลย แต่สุดท้าย ตัวเองสั่งให้ทำป้ายเอง แถมกินเหล้าและมากินหมูกระทะด้วย สุดท้ายก็สารภาพออกมาอย่างนั้น และบอกว่าญาติโยมไม่พอใจจะสึกภายใน 3 วัน มีคนบอกว่าสึกวันนี้ใจได้ไหม มีรองเจ้าอาวาสออกมาให้สัมภาษณ์ว่าพระดีๆอย่างนี้ไม่ควรบีบบังคับให้สึกหรอก ทำให้เห็นว่าค่านิยมของสังคม แย่จริงๆเลย ฆราวาสเขาเห็นไส้เห็นพุงหมดแล้วยังมีหน้าออกมาสนับสนุนว่าพระดีๆอย่างนี้ไม่ควรจะไปสึก ทำให้เห็นว่าสังคมนี้สิ่งเลวร้ายเขาไม่รู้สึกรู้สากลายเป็นเรื่องดีๆไปหมด มีคนตั้งข้อสังเกตว่าทำไมคุณรสนา หาเสียงที่กทม. ทำไมไม่เป็นที่ตอบรับอะไร ทั้งที่มีผลงานต่อต้านการโกง ปราบทุจริต มาทั้งชีวิต ก็เพราะว่า คนเขาไม่ต้องการคนปราบโกงแต่ต้องการคนทำอะไรให้เขาได้มีเศรษฐกิจดี แต่เมื่อมีคุณรสนามาพูดอย่างนี้ เรื่องคอรัปชั่น ปรากฏว่าผู้สมัครคนอื่นก็เริ่มพูดเรื่องนี้กัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยจะพูดเรื่องนี้กัน ญาติธรรมที่อยู่ในกทม.และปริมณฑล ก็น่าจะร่วมมือในการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ครั้งนี้ ทำให้คนดีได้ขึ้นมาดูแลปกครองบ้านเมือง ตามในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสไว้ ประชาธิปไตยจะสมบูรณ์ได้ต้องมีโลกุตระ ความไม่มีตัวตน ความเป็นคนรับใช้ มีความซื่อสัตย์เป็นองค์ประกอบสำคัญ แม้เราไม่ใช่นักการเมือง เราก็สามารถทำการเมืองโลกุตระได้ พ่อครูว่า…SMS วันที่ 04 – 05 พ.ค. 2565 รู้นิยาม 5 พ้นวิปลาส 4 _สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ ภูมิของพระโสดาบัน ในเรื่องการละเนื้อสัตว์ ต้องละได้ขนาดไหน เพราะลูกไม่ได้กินเนื้อมาเกือบ ๒ ปีแล้วค่ะ หากจะให้ไปกิน ก็จะทุกข์ใจ อาจจะอาเจียนได้ จิตผู้บรรลุพระโสดาบันจะมีอาการแบบนี้ไหมคะ หรือไม่กินเนื้อสัตว์ก็ได้ ให้กินเนื้อสัตว์ก็ได้ ลูกยังไม่เข้าใจค่ะ พ่อครูว่า…ไม่กินเนื้อสัตว์ มันเป็นเครื่องชี้บ่งชนิดหนึ่ง ซึ่งจริงๆแล้วมันลึกซึ้งมาก ลึกซึ้งซับซ้อนเห็นสัตว์เป็นเพื่อนทุกข์ เป็นสัตว์โลกที่มีชีวะ มีชีวิต พูดด้วยภาษาวิทยาศาสตร์ว่า มีเซลลของชีวะ ของชีวิต ในระดับสัตว์ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็แยกไว้ชัดเจนว่า สิ่งที่ปรุงแต่งกันอยู่ในระดับอุตุนิยาม มีทั้งสสารพลังงานมันก็ปรุงแต่งกันอยู่อย่างนั้น ยังไม่เป็นชีวะ เรารู้กรอบขอบเขตของอุตุนิยม ที่มีสสารพลังงานทำงานร่วมทำงานกันอยู่มากมายหลายระดับ ดวงอาทิตย์ หรือระดับ Nebula ยิ่งใหญ่ และอีกชั้น 1 พัฒนาจากพลังงานสสารธรรมดา อุตุนิยาม ขึ้นมาเป็นชีวะ เป็นระดับที่ 2 ท่านเรียกว่า ชีวะระดับของพีชนิยาม พีชนิยามนี้ มีชีวะที่ยังไม่ถึงขั้นจิตนิยาม ยังแยกละเอียดไปถึงเจตสิก ยังไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ มีแค่สัญญากับสังขาร มีรูปแล้วก็นามธรรม ก็แค่สัญญากับสังขารยังไม่เป็นเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ อย่างนี้เป็นต้น ภาษาบาลีที่กำกับสภาวะพวกนี้ ผู้ศึกษากันดีๆจะรู้จักรู้จริงรู้แจ้งได้ ถ้าเผื่อว่าไม่ได้ศึกษากันจริงๆ ศึกษาอย่างมีสภาวะรองรับ แล้วค่อยๆตามรู้ รู้ในของตน เป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ รู้ได้สัมผัสอ่านอาการลิงคนิมิต ตามคำบรรยายของผู้รู้ อุเทส ต่างๆ คำบรรยายของพระพุทธเจ้า ของผู้รู้ ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น รู้จนกระทั่งรู้แจ้งเห็นจริง แล้วมันจะตรงกันกับผู้รู้ ตั้งแต่พระพุทธเจ้า สัตบุรุษผู้อยู่ในฐานะของครูที่สัมมาทิฏฐิแล้วจะตรงกันหมด จึงเรียกว่าสัจจะมีหนึ่งเดียว จะรู้ไปหมด เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมะนี้ ขั้นที่พระพุทธเจ้านำมาประกาศแก่โลกนี้เรียกว่าโลกุตรธรรม เป็นธรรมะที่ พวกเราเข้าใจ ถ้าอาตมาจะอธิบายไปต่อไปนี้ แต่คนข้างนอกเทวนิยมต่างๆจะยังไม่เข้าใจ ที่อาตมาจะอธิบายต่อก็คือ จะสามารถรู้โลกียะ โลกุตระอันนั้นมันต่างกันจริงๆ ต่างกันคนละโลก ต่างกันคนละดวงดาว ต่างกันชนิดทวนกระแสเลย คนนึงเห็นดำ คนนึงเห็นขาว ต่างกันเป็นดำกับขาวเลย ผู้ที่ยังไม่รู้ก็จะปน เห็นดำเป็นขาว เห็นขาวเป็นดำ เป็นวิปลาส สลับกันไปสลับกันมา ไม่แน่ ไม่ชัดเจน สุดท้ายก็หลงผิดจนกระทั่งเห็นดำเป็นขาว เช่น เห็นทุกข์เป็นสุข วิปลาสแน่แท้ เห็นความไม่เที่ยงเป็นความเที่ยง เห็นว่าไม่ใช่ตนเป็นต่อ เห็นความไม่ได้น่ามีน่าเป็น เป็นความน่าได้น่ามีน่าเป็น ครบวิปลาส 4 อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งที่พูดไปแล้วนั้นเป็นสัจธรรมทั้งสิ้น ผู้ที่ไม่ศึกษาดีๆ แม้แค่วิปลาส 4 ที่อาตมาพูดไปแล้วนั้น อาจจะฟังภาษาเข้าใจ แต่สภาวะยากที่จะมี สัจจะของสภาวะ วิปลาส 4 ที่จะรู้แจ้งเห็นจริงและหลุดพ้นผ่านมาแล้วเป็นคนผู้ที่ไม่วิปลาสแล้ว เพราะเขายังเป็นคนที่มีวิปลาส 3 อยู่แล้วสมบูรณ์แบบ วิปลาส 3 คือมีสัญญาวิปลาส มีทิฏฐิวิปลาส มีจิตวิปลาส หรือมี สัญญาวิปลาส มีจิตวิปลาส มีทิฏฐิวิปลาส หมายความว่า ฐานจิตของเขาวิปลาส เพราะฉะนั้นทิฐิของเขาวิปลาส เมื่อจิตวิปลาส ทิฐิวิปลาสเพราะฉะนั้นสัญญาของเขาก็จึงวิปลาส วิปลาส 3 ก็เป็นอันหวังได้ว่าจะมีวิปลาส 4 แน่นอน ดังที่เป็นกันอยู่ เทวนิยม หลงความทุกข์เป็นความสุข อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็ไม่รู้ว่า ทุกข์ สุขนี้ไม่สามารถเรียนรู้จนสามารถตีแตกหรือแยกแยะได้ เพราะจริงๆแล้วมันเป็นสภาพ2 แต่เขาไปหลงยัง 1 วิปลาสว่ามันเป็น 1 หลงว่ามันเป็นสุขอย่างนี้เป็นต้นทั้งที่มันมีสุขมีทุกข์ซึ่งมันแยกกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงชัดเจนในสัจจะว่าสุขทุกข์แยกกันไม่ได้ เมื่อแยกไม่ได้ก็ไม่เอามันทั้งคู่มันทั้งสองเลย เป็นคนไม่สุขไม่ทุกข์ แล้วจะรู้ความสุขความทุกข์คืออะไรก็คือเวทนา คือความรู้สึก นี่สิเป็นจุดสำคัญ ก็ลงไปเรียนรู้ที่เวทนา แยกแยะไปทีละ 2ๆๆ จนกระทั่งรู้หมดเลยเป็นลำดับๆ ตั้งแต่ขั้นอบายมุข ขั้นกาม แยกเป็น 2 จนกระทั่งรู้แจ้งว่า อบายมุข เป็นมายา กามเป็นมายา เหลือรูปจิต อรูปจิต ก็ศึกษาอีกว่ามันเป็นมายา แท้จริงมันเป็นมายาทั้งหมดเลย ไม่ต้องเอามันเลยก็เป็นอนัตตา ผู้ที่รู้แจ้งเห็นจริงหรือว่าสิ่งที่ไม่มีหรืออนัตตา ไม่ใช่ตัวใช่ตนไม่มีตัวตนอะไร แต่เรายังมีชีวชีวิตอยู่ ก็รู้ความจริง อนุปคัมมะ อ๋อ! แท้จริงที่หลงว่ามันมี แท้จริงคือมันสิ่งที่ไม่มี แต่สภาวะปัจจุบันขณะนี้เรายังมีธาตุรู้ มีปัญญามีตัวรู้แจ้งเห็นจริง เป็นอภิภู เป็นผู้ที่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ปรุงแต่งกันอยู่ทุกอย่าง โดยอิสระ เรียกว่า อภิภายตนะ 8 ซึ่งเตรียมจะอธิบายอยู่ _สินอโศก : ดิฉันเข้าใจพ่อครูอย่างหมดสิ้นข้อสงสัย และหากเป็นไปได้ก็อยากมาเป็นชาวอโศกเจ้าค่ะ แต่อาจจะต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาเจ้าค่ะ🙏 พ่อครูว่า… ก็เป็นสัมภาระวิบากของคุณ สินอโศก ไปอยู่ต่างประเทศมีสามีและลูกอยู่ต่างประเทศ จนติดตามกันมา อาตมาเห็นภาวะของสามี ยังไม่สามารถนำพาเข้ามาอยู่ในนี้ได้ มาแล้วก็ไปซื้อที่อยู่ที่คำกลาง สร้างบ้านอาศัยอยู่ตรงนั้นก็ศึกษาตาม ก็ยิ่งรู้ยิ่งเข้าใจอย่างที่ส่งข้อความมา นิมิตต่างๆเอาไว้ใช้เป็นเครื่องศึกษาสภาวะ แต่ระวังรู้มากยากนาน _เดชา อำพร : ไม่ใช่เรื่องที่มีสาระมากมายหรอกครับ.. สำหรับเรื่อง”งูมาพันกัน7ตัว”นั้นน่ะ.. ดูจะเป็นความงมงายเสียด้วยซ้ำไป..ถ้าจะให้ตีความให้เป็น”ธรรมะ”ก็ต้องบอกว่า.. มันมาแสดงให้รู้ล่วงหน้าว่า.. “แดนอโศกจะไม่ยั่งยืน.. จะมีเรื่องของ”กามเมถุนทางเพศ”ของ”นักบวชบางท่าน”(จนถึงขั้นต้อง”สิกขาลาเพศ”ไปในที่สุด..จนต้องเลิกล้ม”สำนักแดนอโศก”ลงไปในที่สุด..ต่างหาก.. อย่างนี้จึงจะเรียกว่า..สื่อ”สัญญะ”ให้เป็น”ธรรมะที่มีประโยชน์,ไม่งมงาย”..ดีกว่าครับ).. ชาวอโศกก็อย่าได้หมกมุ่นในเรื่องเหล่านี้ให้มากนักเลย.. เราทุกคนล้วนไม่มี”เจโตปริยญาณ”ที่จะสามารถรู้ถึง”จิตของงูทั้ง7ตัว”ได้.. ว่ามันมี”สังขารในจิต”ของมันอย่างไร?.. ก็อย่างที่ท่านผู้นำอโศกบอกนั่นแหละคือ.. มันมาพันกันด้วยสัญลักษณ์ในเรื่อง”ความพึงพอใจทางเพศ”.. ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องของ”ธรรมะ”ใดๆเลย.. และระดับ”สามัญสำนึกอย่างงู”มีได้แค่”สัญชาตญาณของสัตว์”เพื่อดำรงชีวิตให้อยู่รอดและสืบพันธุ์, ขยายเผ่าพันธุ์ต่อไป..เท่านั้นเองครับ.. เหมือนอย่างที่”คนไทยบางส่วน”มักมองเห็น”ก้อนเมฆ”ในเวลาบางวาระ,บางกิจกรรมของ”บุคคลสำคัญบางท่าน”ว่าเป็น”ภาพนั่น,ภาพนี่”.. ก็มีนัยยะ”การปรุงแต่งของจิต”ที่ไม่ต่างจากเรื่อง”งู7ตัวที่แดนอโศก”เช่นเดียวกันนั่นเอง.. พ่อครูว่า… คุณพูดถูกต้องหมด แม้แต่รู้ประวัติอันนี้ มี ผู้ที่เสพเมถุนแล้วมีปาราชิก ก็ต้องออกมาเพราะเป็นที่ดินของเขา ชาวอโศกไม่ได้หมกมุ่น แต่เรียนนิมิตเป็นเครื่องหมายต่างๆเป็นการศึกษาให้รู้ งู 7 ตัวที่ว่าก็เป็นนิมิตที่ชาวอโศกใช้เป็นเครื่องหมายศึกษา เรารู้ทั้งเครื่องหมายบัญญัติกับสภาวะธรรม เป็นเทวะเป็นธรรมะ 2 เรียนรู้คู่กันแล้วจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วย แล้วการจะรู้ 2 เป็น 1 1 ใน 2 สลับไปสลับมาแยกกันไม่ได้เป็นอันขาด แต่เป็นเครื่องหมายที่ทดแทนกันได้อย่างสนิทเนียน ผู้จะรู้สิ่งนี้ได้ก็จะไม่พูดอย่างคุณเดชา แต่เพราะว่าคุณเดชายังไกลความรู้ ยังห่างความรู้ชนิดนี้ จึงยังพูดอย่างที่คุณเดชาพูดว่าไร้สาระ ไร้สาระคือ ยังไม่รู้อย่างที่อาตมารู้ สาระก็คือ สิ่งที่อาตมารู้เป็นสาระ แต่คุณยังไม่รู้เป็นสาระอย่างที่อาตมารู้ คุณจึงท้วงอาตมา ถ้าคุณรู้อย่างที่อาตมารู้ คุณจะไม่ท้วงอาตมาเลย ขออภัยที่พูดวันนี้ไม่ได้ไป ข่ม เบ่งทับคุณ ว่าคุณ ไม่ให้คุณว่ามา ก็พูดกันมาเลย อาตมาเห็นว่าคุณเดชาเป็นคนจริงใจเป็นคนน่าคบ แต่ก็น่าคัน คือมันยั่วให้คัน คันก็เกา อาตมาว่าอาตมารู้ว่า จิตของงูมันสังขาร มันเป็นเรื่องของเพศ มันไม่รู้เรื่องเรารู้หรอก อาตมาว่าอาตมารู้ไม่ผิด ที่มันทำอยู่ตอนนั้นเป็นเรื่องเพศแย่งกัน ผสมพันธุ์ 7 ตัว คุณเดชาก็รู้ นี่เขาเรียกรู้มากยากนาน จะยังจบยาก เป็นการรู้ที่รู้เยอะ แล้วก็สรุปไม่ลง จบไม่ลง น่าสงสาร ตัดสินไม่ลง จบไม่ลงโดยเฉพาะไม่ไปเรียนรู้ตามคำสอนพระพุทธเจ้าที่ให้รู้กิเลส รู้จิตและกิเลส แล้วก็ชัดเจนว่าสามารถมีวิธี วิธีที่จะทำได้ก็คือสร้างปัญญาให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง แล้วมันก็จะหยุด จบสิ่งที่ควรจบ ดับสิ่งที่ควรดับได้สนิทเลย แต่นี่มันไม่เป็นไปตามนัยยะสำคัญอย่างที่อาตมาว่า มันก็เลยยังไม่ได้ ลักษณะนี้มีเยอะ อาตมาเห็นแล้ว เป็นคนหลงความรู้ รู้มากยากนานรู้ กลายเป็นผู้ ปทปรมะ คล้ายเป็นพวกโลกจินตา รู้ความรู้พระพุทธเจ้าก็รู้ รู้อาจาริยวาทก็รู้ ใครจะรู้อะไร เราก็เก็บมารู้หมดเต็มไปหมดเลยแต่ไม่บรรลุธรรมในชาตินั้นสรุปไม่ลง ดับสนิทเป็นนิพพานไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ ที่อาตมาเห็นใจผู้รู้เช่น เห็นใจท่านประยุทธ์ ปยุตโต เป็นต้น ท่านรู้มากรู้อย่างน่านับถือเลย แต่ตรงที่ท่าน สรุปแล้วก็จบให้เป็นวิมุติหรือเป็นนิพพานไม่ได้ อันนี้มันน่าสงสารตรงนี้ สงสาร คือ เห็นความวนเวียน แต่คุณพูดผิดที่ว่า การอุปาทานไปนั้นไปนี่กับงูที่มีเมถุน มันคนละเรื่องกัน แค่นี้คุณก็ยังไม่ลงตัวสรุปไม่ได้ว่าเรื่องนี้ต่างกันหรือเหมือนกัน เมื่อคุณสรุปเรื่องต่างกันไม่เหมือนกัน เหมือนกันไม่ใช่ต่างกัน แค่นี้คุณไม่ได้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ความรู้ของคุณเดชาก็มีเท่ากับความรู้ของคุณเดชา แต่ความรู้ของอาตมา มันก็เป็นของอาตมา อาตมาไม่อยากบอกว่าอาตมารู้มากกว่าคุณ อาตมาก็รู้ไม่น้อยไปกว่าคุณหรอก แล้วก็รู้ที่ว่ารู้ยิ่งกว่าหรือมากกว่านั้น มันนี่ยังมีมากมายอยู่และเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ มีอย่างนั้นจริงๆ มีขั้นตอนตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ที่มีศีลเป็นหลักต้นสำคัญมาก ใช้ยึดถือแล้วก็ศึกษา ปฏิบัติให้บรรลุไปตามลำดับ ลาดหลุม ราบรื่น เหมือนฝั่งทะเล เหมือนทรายไม่มีขรุขระโขลกเขลกเลย ก็คงจะพบกันอีกสำหรับคุณเดชาไม่มากก็น้อย แต่คงไม่น้อย _สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ : คำอวยพรปีใหม่ไทยพ่อครูฯ ขอให้หมดสุขหมดทุกข์ ‘เป็นได้จริงเมื่อหมดอยาก สาธุ🙇 พ่อครูว่า…นี่ เป็นภาษาสั้นๆง่ายๆซึ่งจะต้องเรียนรู้สภาวะจริงๆว่า อยากคืออะไร อยากคือตัณหา อยากคืออะไร ต้องเรียนรู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส คำว่าอยากให้ชัดเจน พ่อครูเคยแสดงความโกรธหรือไม่ _ดิฉันรู้สึกว่าเป็นการยากมากที่จะเปลี่ยนใจเหล่าศิษย์ยานุศิษย์องค์ท่านหลวงตามหาบัว เพราะท่านเหล่านั้นไม่มีความศรัทธาในตัวพ่อครูเลย และไม่เชื่อว่าพ่อครูคือพระอรหันต์ แต่คงมีสักคน ที่มีอคติน้อย ฉุกคิดบ้างว่า ทำไมพ่อครูจึงเพียรพยายามพูดแล้วพูดอีก ย้ำแล้วย้ำอีก มานานหลายสิบปี แม้จะถูกตอบโต้หรือจะถูกด่าว่า ก็ยอม ดิฉันเชื่อว่าพ่อครูคือพระอรหันต์ด้วยเหตุผลมากมาย ความเป็นอรหันต์คือผู้ที่ไม่มีกิเลส โลภ โกรธ หลง พ่อครูทิ้ง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ในทางโลกออกมาบวช แม้แต่แฟนสาวก็ทิ้งมา เรื่องติดใน รูปรส อาหารการกิน ก็ฝึกลดลงมาอย่างหนักมากแล้ว เรื่องความโกรธ ตลอดเวลา 10 ปีที่ฉันรู้จักชาวอโศกมา พ่อครูไม่เคยแสดงความโกรธปรากฏออกมาเลยให้เห็นเลยสักครั้ง อาจจะมีตำหนิหรือ ดุบ้าง เป็นบางครั้งเท่านั้น พ่อครูว่า… จริงไหม…อาตมาว่าจริง อันนี้อาตมาก็ว่า อาตมาโกรธ? ระลึกถึงตั้งแต่ฆราวาสเคยโกรธ อาการโกรธเป็นอย่างไร ก็พอระลึกได้อยู่เหมือนกัน อาการโกรธไม่ชอบใจ แต่ไม่ได้ไปโกรธ ไปเที่ยวไปมึงมาพาโวยกับใคร ยิ่งไปตบไปตีไม่เคยกับใครเลยในชีวิต มึงมาพาโวยก็มีบ้าง ถ้าไม่ชอบใจก็จะไปพูดกันเจรจากัน มีเหตุการณ์ที่อาตมารู้สึกว่าเขาก็รุนแรงกับเรา เท่าที่จำได้มีอยู่คนหนึ่ง ชื่อถนัดเป็นเพื่อนกันนี่แหละ อยู่หอพักเดียวกันเรียนด้วยกันเวลากินข้าวก็มากินโรงอาหารเดียวกันพร้อมกัน เสร็จแล้วเขาโกรธอาตมา เขาก็ร่อนจานข้าวใส่อาตมาเลย เฉียดหน้าไปเลย อาตมาก็รู้สึกว่าคนนี้ทำไมทำหยาบคายอย่างนี้ อาตมาคิดว่าเป็นเช่นนั้น ไม่ควร ขอนั่งอยู่โต๊ะโน้น อาตมาก็ลุกเดินไปหาเขา เพื่อจะไปถามไถ่คุยกันให้รู้ว่า มันอะไรกันนักกันหนา ที่โกรธกันถึงขนาดร่อนจานใส่กัน ถูกหน้าก็หน้าแหกเลยนะ ร่อนจานมีน้ำหนัก มีอาหารติดมาในนั้น อาตมาจะเดินเข้าไปเพื่อนมันก็ดึงแยกไม่ให้มาเจอกัน นี่คือครั้งหนึ่ง ระลึกดูว่าอาการจิตของเราไม่ได้โกรธ แต่รู้สึกว่า ทำไมเพื่อนกันทำอย่างนี้ มันอาการเป็นอย่างไรถึงต้องทำถึงขนาดนี้ นั่นคือครั้งหนึ่ง อีกครั้งหนึ่ง เพื่อนคนนี้เป็นทหารแผนที่ เป็นนักบิน สุดท้ายมาเป็นนักบินพาณิชย์หากิน ชื่อทองพิณ แต่งงานกับเพื่อนรุ่นเดียวกันอยู่จังหวัดอุบลนี่แหละ อยู่หอพักเดียวกัน เขาก็มีท่าทางยียวนอาตมาตลอดเวลา จนกระทั่งอาตมาก็คิดว่าทำไมเขาไม่ชอบใจอะไรเรา มีอยู่วันหนึ่ง อาตมาก็เดินไปจากห้องจะไปคุยไปถามให้ชัดเจน ไม่ได้จะไปหาความรุนแรงอะไร เพื่อนเขารู้ก็ตามมาดึงเอาไว้ ออกมาอีก ก็เลยไม่ได้พูดกันไม่ได้เจรจากัน ตั้งแต่บัดนั้นก็แยกกันไปทำการงานคนละอาชีพไม่ได้เจอกันเลย ก็เลยไม่ได้รู้เรื่อง ก็มีอยู่เท่านี้ อาการที่ระลึกได้ว่าอาการไม่ชอบใจ มันไม่ใช่โกรธ ไม่เคยถึงขั้นโกรธ _พ่อครูไม่เคยแสดงความโกรธปรากฏออกมาเลยให้เห็นเลยสักครั้ง อาจจะมีตำหนิหรือ ดุบ้าง เป็นบางครั้งเท่านั้น ยังมีเหตุผลอีกมากมายจนสาธยายไม่ไหว ดูแต่เวลาคนส่ง SMS มาด่าว่าพ่อครูอย่างหยาบคาย พ่อครูก็มีอาการสงบ ไม่ได้ตอบโต้ด้วยความโกรธเลย อย่าว่าแต่พ่อครูเลย แม้แต่พวกเราชาวอโศกก็ไม่เห็นมีใครแสดงความโกรธ คนเรานั้นเลย เพราะเราลดละความโกรธได้จริง คนเรากินอาหารยังกินเป็นเวลา แล้วการเคี้ยวหมากเพราะเหตุใดจึงต้องเคี้ยววันละหลายครั้งไม่ทราบได้ พ่อครูว่า… ทำไมจะไม่ทราบได้ ก็เพราะว่าเขาติด เท่าที่เห็นอย่างมหาบัวกินหมากไม่ขาดปาก ก็เขาติดเขายึด โดยที่เขาไม่รู้เขาโง่งมงาย การกินการเคี้ยวเกิดขึ้นทางกาย แต่ความติดเกิดขึ้นที่ทวารใจ จึงเรียกว่า ติดอกติดใจ ไงคะ ถูกไหมคะ พ่อครู พ่อครูว่า…ถูกต้อง ก็ดูมันง่ายๆ เป็นเรื่องพื้นๆ แต่เป็นเรื่องลึก อย่างมหาบัวเป็นเรื่องลึกสำหรับเขาจนตายไป คนก็ยังหลงว่าเป็นอรหันต์ แล้วก็เชื่อถือกันอยู่ ก็ศึกษาไป เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร คนเราจะไปบังคับความเชื่อความถือกันไม่ได้หรอก มันก็ต้องดูไป ปฏิบัติกันไปพิสูจน์กันไป ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะเดินดิน… จะดูว่าใครโกรธหรือไม่ต้องดูตอนที่ไม่ได้ดั่งใจ ตอนที่ขาดแคลนปัจจัย 4 ไม่ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ ชีวิตพ่อครู ทำงานไปแล้ว คนก็ไม่ชอบเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าทวนกระแสกิเลส ก็คงต้องดูกันว่า บางที เราเห็นพระที่ท่านเรียบร้อย สงบเสงี่ยม พระพุทธเจ้าบอกว่ายังตัดสินไม่ได้หรอก เพราะว่าปัจจัย 4 ครบพร้อม ยศฐาบรรดาศักดิ์ครบพร้อม แต่คนไม่ได้มีลาภยศ มีแต่คนตำหนิติเตียนแล้วมีความสุขได้ก็ยังเป็นผลพิสูจน์ได้ เป็นความจริงมากกว่า กาลเวลาพิสูจน์คน เราอยู่กับพ่อครูมาหลายเหตุการณ์แล้วที่เฉียดเข้าคุกมาตลอด อย่างเหตุการณ์คดีสันติอโศก พ่อครูก็แต่งเพลงตอบโต้ตลอด ญาติธรรมเราเป็นพยาบาลบอกว่า พวกเราไปขอยาโรคกระเพาะกันเยอะเลยเพราะว่ามีแรงกดดันเยอะ แต่พ่อครูก็แต่งเพลงออกมาอย่างไพเราะได้ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของผู้มีอภิภายตนะ 8 พ่อครูว่า… ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน นั่นแหละ เพราะฉะนั้นจึงทำให้อาตมาต้องเลี้ยงขันธ์ 5 ไป จนทุกวันนี้มันก็ ลากขันธ์กันไปอีก ก็เป็นการพิสูจน์ coefficients พยายามจะเติมพลังงานใหม่ให้มันสังขารเพิ่มใหม่ สังเคราะห์ ดินน้ำไฟลมกับจิตวิญญาณในร่างกายของเรานี้ มันจะหนุ่มขึ้นอีกได้ไหม จะให้เป็นเด็กและเป็นหนุ่มไปตามลำดับไม่ได้ แต่ว่าจะต้องดูว่าหนุ่มแน่นสดชื่นแข็งแรงขึ้น กว่าที่ควร ถ้าจะว่าไปจริงๆแล้ว อาตมา อายุจะเต็ม 88 ในวันที่ 5 มิถุนายน อีกไม่ถึง 1 เดือน ก็ครบ 88 ขึ้น 89 อาตมาก็ว่าอาตมาตอนนี้ใช้พลังงานที่จะเพิ่มสัมประสิทธิ์ อย่างมากเลย ดูซิว่าอีกปี 2 ปี ที่จริงเพิ่มมาตั้งแต่อายุ 72 แล้ว มาถึงตอนนี้จะเพิ่มพลัง x พลังยกกำลังขึ้นไป เป็นระดับเป็นคูณที่เป็นสัมประสิทธิ์ และยกกำลังขึ้นไป กำลัง 2 กำลัง 3 ดูซิว่าอายุ 89 90 อีกสัก 2 ปีจะเห็นสภาพที่มีอัตราการก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรมที่พออยู่ได้ไหม พวกเราจะดูได้ลึกซึ้งมาก คำว่าราย ละเอียด มันลึกซึ้งอย่างไร ฟัง ณ บัดนี้ ผู้ที่มีรายละเอียดดีมาก พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า อภิภู แปลว่า ผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่เกินกว่า สยังอภิญญา คำว่า สยังอภิญญา คือผู้รู้ได้เองข้ามชาติมา อาตมาเองยืนยันตนเองเป็น สยังอภิญญา มาบัดนี้จะเพิ่มเป็นขั้นที่ 8 อาตมานี้กำลังจะขึ้นโพธิสัตว์ขั้นที่ 7 ขึ้น 8 จะเข้าไปหา อภิภู ก็เริ่มต้น ที่จะมีอภิภู ดีขึ้นๆ อภิภู ดีขึ้น คือ สามารถรู้จัก อภิภายตนะ ฟัง พยัญชนะด้วย สภาวะด้วยกันดีๆนะ คำว่า อภิภู คือ ผู้เจริญด้วยอภิภายตนะ 8 อภิภายตนะ 8 ไม่ใช่แค่ อายตนะธรรมดา แต่ก็คืออายตนะ อายตนะคือสภาวะเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสิ่ง 2 สิ่ง รูปกับนาม เป็นต้น หรือ นามกับนามก็ตาม หรือแม้แต่รูปกับรูป พลังงานทางฟิสิกส์บวกกับลบก็ตาม รู้สภาวะ 2 ที่มันปรุงแต่งกัน ทีนี้ มันปรุงแต่งกันอยู่มันจะเกิดการปรุงแต่งมันต้องมีอายตนะมีผัสสะ หรือ เกิดอายตนะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย มันผัสสะกันขึ้น จึงเกิดอายตนะ คำว่า อายตนะ คือ สภาพสภาพหนึ่งที่คุณต้องรู้ ในคนมี อายตนะได้ถึง 5 ถึง 6 อายตนะที่พูดทั้งหลายแหล่ ที่พูดอยู่นี้ยังไม่ใช่อภิภายตนะ 8 พวกสัตว์เดรัจฉานหรือว่าคน อเวไนยสัตว์ไม่สามารถรู้จักได้ คนที่เป็นเวไนยสัตว์หรืออริยะจึงสามารถรู้จักอายตนะที่เป็นสภาวะและพยัญชนะถูกต้องลงกัน เมื่อผู้ที่เป็น อภิภู รู้จักอายตนะ เมื่อรู้จักอายตนะแล้ว ก็เข้าใจ อายตนะได้ เป็นขั้น อภิ อภิ รวม อายตนะก็เป็น อภิภายตนะ เรียกว่า อายตนะที่ยิ่งขึ้น เจริญขึ้นยิ่งใหญ่ขึ้น ในคนก็มีความเจริญ รู้อายตนะ รู้อภิภายตนะได้ ส่วน อภิภายตนะ 8 นั้นเป็นนัยยะของสิ่ฟงที่ขยายให้รู้ว่า มันเหนือชั้นกว่าคำว่าอภิภายตนะ 3 อย่างไร อภิภายตนะก็คือรู้อายตนะได้ดียิ่ง ส่วน อภิภายตนะ 8 คือการมีความรู้ขั้น อภิภายตนะที่วิเศษ เกินกว่าสามัญที่จะรู้ได้ เช่น พระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 100 อภิภายตนะ 8 ประการ [๑๐๐] ดูกรอานนท์ อภิภายตนะ ๘ ประการ เหล่านี้แล ๘ ประการเป็นไฉน คือ ผู้หนึ่งมีความสำคัญในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กซึ่งมีผิวพรรณดีและมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้เราเห็น อันนี้ เป็นอภิภายตนะข้อที่หนึ่ง ฯ [๑๐๐] อฏฺฐ โข อิมานิ อานนฺท อภิภายตนานิฯ กตมานิอฏฺฐฯ อชฺฌตฺตํรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธารูปานิ ปสฺสติ ปริตฺตานิสุวณฺณทุพฺพณฺณานิ ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ ปสฺสามีติ เอวํสญฺญีโหติ อิทํ ปฐมํ อภิภายตนํ ฯ พ่อครูว่า… ผู้ที่เป็น อภิภู คือผู้รู้จักอายตนะ 8 มันคือความพิเศษรู้อย่างละเอียด รู้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิภาพของ อภิภูคือ จะมีสัญญามีการกำหนดรู้เป็นอัตโนมัติในตัวผู้ที่มี อภิภูแล้ว สัมผัสปั๊บ จะรู้รูปภายในและรูปภายนอก พร้อมกันเลย เช่น ตาเห็นรูป จิตภายใน ก็รู้รูปนี้ และรู้ด้วยว่า อันนี้ ปริตตัง สุพรรณัง หรือทุพรรณัง ในข้อ 1 ข้อเดียวนี้รู้ไปพร้อมกันเลยนะ ละเอียดรู้พร้อมกันเลย คนที่ไม่ถึงอภิภู รู้ไม่ได้ละเอียดขนาดนี้หรอก ก็จะเป็นอัตโนมัติเอารูปพร้อมกันหมดทุกแง่มุมทุกมิติ นี่คือความสามารถความวิเศษของความรู้ อธิบายมุมไหนมิติไหนก็ติดต่อกันไปเพราะมันรู้ครบหมดแล้ว แต่คนยังไม่รู้หมดก็ค่อยๆนึกหรือยังนึกไม่ออก มันก็ไม่ใช่คนรู้ เพราะฉะนั้นคนที่รู้ได้เร็วรู้ได้สามารถอย่างที่ว่านี้ก็เป็นจริง มีจริง อาตมาพอรู้ กำลังเริ่ม อันดับ 8 นะนี่ อาตมากำลังเริ่มเข้าอันดับ 8 อันดับ 7 จะเต็มก็เหลื่อมไปหา 8 บอกความเป็นจริงที่อาตมาประมาณตนเองหรือรู้ตนเองไม่ได้เลอะเถอะเท่านี้ก็ว่าเท่านี้ แน่นอน มันมากกว่าคนสามัญที่จะรู้ ก็ใคร เป็นไก่ตัวพี่ ที่จะรู้อย่างนี้มาช่วยแสดงตัว ถ้าเป็นจริงรู้กว่าอาตมาก็มาช่วยอธิบายสิ ไปปิดตัวอยู่ทำไม ช่วยกันสิ เพราะว่าศาสนาไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ของอาตมา ไม่ใช่ของท่าน แต่เป็นของโลก ความรู้นี้เป็นของกลาง ใช่ไหม ก็มา สาธยายกระจายความรู้ให้คนอื่นรู้ เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าท่านรู้ก็เอามาเปิดเผยให้คนได้รู้ตามและเอาไปปฏิบัติตามก็ได้บรรลุตาม แล้วพ้นทุกข์ตาม สุดท้ายก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปด้วยกันได้หมด หรือยังไม่ยอม จะปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณจะอยู่เหมือนพระอวโลกิเตศวร จะสอนคน หรือ อย่างเจ้าแม่กวนอิม เป็นอวตาร มาเป็นเพศหญิงก็ได้ อันเดียวกันถ้าเข้าใจ เพราะฉะนั้นใครจะสามารถรู้อย่างที่อาตมาสาธยายก็เกิดจากความจริงที่ตนเองรู้ แล้วก็เอามาเปิดเผยมาชี้นำ แก่ผู้ยังไม่รู้ให้พยายามศึกษาตาม จนสามารถรู้บัญญัติพยัญชนะ รู้การปฏิบัติจนเกิดเป็นสภาวะจริง พอรู้ครบสองสภาพทั้งพยัญชนะหรือบัญญัติกับสภาวะจริง รวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกัน ปุ๊บเลย สัจจะเป็นหนึ่งเดียวกันจาก 2 เพราะฉะนั้นอันที่ 1 อภิภายตนะ ข้อที่ 1 ฟังดีๆนะ ที่อาตมาบอกว่า มันไม่ใช่แค่อายตนะสามัญที่ทุกคนมีอยู่แล้วเป็นปกติ คุณมีแล้วเป็นแล้ว 2 สภาพ อายตนะคือ 2 ต่อกันสัมพันธ์กันเกิดสภาพรู้ขึ้นมา แล้วคุณก็มีอายตนะได้ ทางตากับรูป หูกับเสียง… ห้าคู่ภายนอกกับ 1 คู่ภายใน ก็มีก็ได้เป็นปกติทุกคน แต่อภิภายตนะมันรู้พิเศษถึงความมีประสิทธิภาพ รูปภายนอกภายในครบพร้อมกันและมันรู้ต่างๆมากกว่านั้นอีก เริ่มข้อแรกก็รู้ ความรู้ภายนอกภายใน รู้ทั้งปริตตัง ทุพรรณา สุพรรณา ผิวพรรณดีผิวพรรณทราม หรือขั้นดีขั้นไม่ดี ขั้นนิดหน่อย ปริตตา ถ้าข้อ 2 อัปปมาณา วรรณะคือขั้นทรามที่ดี กับขั้นชั้นที่เลวก็ต่างกัน คือสุพรรณะ ทุพรรณะท่านก็แปลว่า ผิวพรรณดีผิวพรรณทราม ซึ่งก็มีด้วย ขั้นชั้นสูงคือขั้นไปสู่ความเจริญ คุณก็มีความเจริญอย่างนี้ แล้วขั้นต่อมาท่านบอกว่า …. ผู้หนึ่งมีความสำคัญในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ใหญ่ ซึ่งมีผิวพรรณดี และมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้วมีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้ เป็นอภิภายตนะข้อที่ 2 ฯ {๑๐๐.๑} อชฺฌตฺตํรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธารูปานิ ปสฺสติ อปฺปมาณานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิ ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ ปสฺสามีติ เอวํสญฺญี โหติ(เอวังคือจบความรู้นี้) อิทํ ทุติยํ อภิภายตนํ ฯ พ่อครูว่า… อย่างที่เคยพูดไว้ว่าอาตมาพูดแต่ความจริง พูดความจริงไม่เป็น ซึ่งคนเขาก็อาจจะสงสัย เขาเอาตัวเขามาเทียบเพราะเขาเองก็พูดความไม่จริงหลายที ดีไม่ดีเจตนาพูดความจริงจะน่าโกหกด้วย เขาจะรู้สึกว่าคนที่พูดความไม่จริงไม่เป็น พูดเป็นแต่ความจริง เขาจะรู้สึกว่ามันมากไปไหม สู่แดนธรรม… ผมก็อยากช่วยให้ญาติธรรมเข้าใจข้อที่ 1 ก็หมายเอาที่การครอบงำรูปได้ ผู้ที่จะรู้รายละเอียด คุณภาพของจิตจะต้องได้ อภิภุยยะ คือครอบงำรูปอยู่ แม้แต่ว่ารูปนั้นเป็นรูปภายนอก เราต้องเปิดผัสสะมองเห็น แล้วเราก็กำหนดภายในก็ไม่มีกามราคะครอบงำเราได้ เราจึงรู้ความไม่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เพราะไม่มีอะไรเกิด พ่อครูว่า… ไม่ได้หลบหลับตาหรือเข้าป่า สู่แดนธรรม.. เห็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ส่วนข้อ 2 จึงเป็นขั้นที่ใหญ่ขึ้น พ่อครูว่า… พอไหวกันไหมนี่ ..ไหว ชั้นสูงจริงๆนะ อาตมาจะบอกว่าจำเป็นก็จำเป็นที่จะต้องนำสิ่งที่เป็นธรรมะพระพุทธเจ้าที่เป็นอภิธรรมที่ละเอียดสูงอย่างนี้ เอามาอธิบายสาธยายเปิดเผยขึ้น ขนาดเปิดเผยขึ้น ย้ำแล้วย้ำอีก ขยายความแล้วขยายความอีกมันยังไม่ง่ายใช่ไหม มันจำเป็นที่จะต้องต่อยอดธรรมะพระพุทธเจ้าโลกุตรธรรมเอาไว้ ยังไม่สูงสุดหรอกนะ รู้ไว้ด้วย ยังไม่สูงสุดหรอก แต่ผู้ที่พอใจเรียนก็เรียนไปเถอะ ผู้ที่ไม่พอใจเรียนก็เรียนไปเถอะ ผู้ไม่เอาเขาจะบอกว่าพูดอะไรนะ ซึ่งมันน่าเห็นใจเขาไม่รู้เรื่อง เขาจับไม่ติด เหมือนเด็กๆ เด็กๆที่ไม่เดียงสาเขาก็ฟัง เอ๊! ไม่รู้เรื่อง มันก็ไม่เอา ก็มันไม่รู้เรื่องจะไปรับเอาอย่างไร แต่ผู้ที่พากเพียร โตแล้ว มีวุฒิภาวะที่ควรศึกษานะอันนี้ แล้วอาตมาก็ขอย้ำเลยว่า มันไม่มีอะไรน่าศึกษาเท่าโลกุตรธรรม หรืออภิธรรมของพระพุทธเจ้า มันไม่มีความรู้อะไรที่ยอดเยี่ยมเท่าความรู้อันนี้ อธิบายไปไม่รู้กี่ทีแล้ว พระพุทธเจ้านี้มีความรู้ที่รู้กันในยุคของท่าน มี 18 คณะในอยู่ในตักสิลา ท่านเรียนจบหมดทุกคณะ ได้เกียรตินิยมหมดทุกคณะ 18 วิชานั้น ท่านไม่เอา ท่านมาเอาวิชาของท่าน คือวิชาโลกุตระ เพราะฉะนั้นวิชาในตักสิลาที่เรียนมาในยุคโน้น ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยของยุคนั้น ในยุคนี้จะมีกี่ศาสตร์ มีเป็น100 ร้อยศาสตร์ คุณก็เรียนรู้ให้ครบ แต่ถ้าจะเรียนรู้ให้ครบหมดจะเกิดมาอีกกี่ชาติ พระพุทธเจ้านั้นกี่ 100 ชาติก็ตาม มันรวมอยู่ในชาตินี้ชาติเดียว ให้รู้ศาสตร์นี้เป็นโลกุตระศาสตร์ โลกยศาสตร์นั้น จะถูกครอบงำได้หมด อันนี้เป็นเรื่องที่อาตมาไม่ได้พูดเกินจริง แต่เป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ คุณพิสูจน์ก็แล้วกันแล้วคุณจะรู้ อย่างอาตมาพิสูจน์ อาตมาไม่ต้องไปเรียนในมหาวิทยาลัยที่เขาเรียนกัน ปริญญาคณะต่างๆไม่ต้อง อาตมาเรียนโลกุตรศาสตร์คณะเดียว จากมหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้า เรียนมาแล้วตั้งแต่ชาติเก่าๆ มาชาตินี้ไม่มีโรงเรียนนี้เลย ไม่มีเลย ในโลกปัจจุบันนี้ยุคนี้ พ.ศ. 2500 มีการพูดถึงโลกุตรธรรมคือท่านพุทธทาสเป็นคนพูดภาษานี้ ทั้งๆที่มันมีอยู่ในตำราอยู่ แต่ไม่มีใครเห็นว่า โลกุตระนี้มันสำคัญ เขานึกว่าศาสนาพุทธก็เป็นศาสนาที่เขาเป็นอยู่ได้เท่านั้น ซึ่งมันเป็นโลกีย์อยู่เท่านั้น มันยังไม่เข้าข่ายของโลกุตระ ไม่เข้าข่าย คืออะไร ไม่เข้าข่ายคือ แยกภาวะ 2 เทวธัมมาไม่ออก แยกตัวแรก คือ กาย อาตมาอธิบายมาหลายทีแล้ว กายตัวแรกเป็น สังโยชน์ ข้อที่ 1 สักกายทิฏฐิ แล้วก็เรียนรู้ กายของตน ไม่ได้ไปเรียนรู้ของคนอื่น ต้องรู้รูปนามของตน วิญญาณของตน แยกให้ออก 2 สภาวะนี้ แล้วสภาวะกาย ต้องมีภายนอกกับภายใน ไม่ขาดจากภายนอก เพราะฉะนั้นที่ไปหลับตาทิ้งภายนอกนี้ เดียรถีย์ ทันที พวกหลับตาปฏิบัติ เดียรถีย์ ทันที ซึ่งมันไม่มีภายนอกมันผิดแล้ว โมฆะแล้ว แล้วเรียนรู้ภายนอกไม่ใช่ง่าย ที่จะรู้ภายนอกและภายใน อย่างที่ อภิภู ท่านมีพร้อม ทั้งรูปภายใน เห็นภายนอกอยู่ าไม่ได้ขาดกัน 2 สภาวะ ต้องทั้งเน้น ทั้งดัง ทั้งย้ำ สู่แดนธรรม… แสดงว่า ถ้าพระปฏิบัติหลับตาไม่สามารถ ครอบงำรูปได้ พ่อครูว่า… ไม่ได้ ไม่เข้าสัมมาทิฏฐิเลยแล้ว มันจะมีสิทธิ์ไปรู้อะไรได้ ยังห่างอภิภายตนะมาก นี่ข้อ 1 นะ อภิภายตนะ ข้อที่ 1 ซึ่งก็รวมอะไรเอาไว้เยอะซึ่งเป็นขั้นอภิภู บุคคลผู้อภิภูแล้ว ฟังแค่ อภิภายตนะ 8 มันไม่ใช่อายตนะสามัญและก็ มาใช้อธิบายลักษณะที่เป็นความรู้แค่อภิธรรมธรรมดา แต่ความรู้ที่ อภิ นี้ขึ้นไปอีก สูงขึ้นไปอีก เฉพาะ ความรู้ขั้น อภิภายตนะ 8 คือประสิทธิภาพของผู้ที่มีอภิภายตนะแบบนี้ มีตั้งไม่รู้กี่ประเด็นกี่มิติอยู่ด้วยกัน แล้วข้อต่อๆไปก็จะมีมิติอื่นอีกเพิ่มขึ้นๆๆ ไปถึง อภิภายตนะข้อที่ 8 เลย ซึ่งอธิบายยากขึ้นมาก แต่ว่าอาตมาตั้งใจจะอธิบายทิ้งไว้ เพราะว่าไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่ไปอีกกี่วันกี่เดือนกี่ปี พากเพียรอยู่นี่ ถ้าสัมประสิทธิ์นี้ไม่สามารถกลับฟื้นคืนขึ้นมาก็ต้องตายแน่นอน สู่แดนธรรม… แสดงว่าพ่อท่านจะเขียนหนังสืออีกเล่มนี้ อภิภายตนะอีกหรือไม่ พ่อครูว่า… ไม่ แต่แทรกอยู่ในหนังสือปัญญา 8 เล่ม1 กำลังจะออกมา เล่ม 2 น่าจะต้องแบ่งเป็นเล่ม 2 ก็จะกลายเป็น 3 เล่ม ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะยาวไปถึง 4 เล่ม มันจะมากไปอย่างไร มันจะเกิน ซึ่งมันก็ไปได้ที่จริงทำได้แต่ก็จะซ้ำซ้อน คนไม่รู้ก็จะหาว่าพูดวน เพราะเขาตีหยาบไม่ออก พูดวนก็ตีให้ความหยาบเป็นความละเอียดเพิ่มขึ้น เพราะวนมีหลายชั้น วนข้างๆ วนเอียงองศาต่างๆ แล้วแทรกนอก ในอีก อาตมาเคยให้ สู่แดนธรรม… เขียนเป็นภาพ แต่ก็เขียนไม่ได้เพราะว่าไม่รู้ว่าจะแทรกซ้อนมุมไหนมากมาย นอกนั้นก็เป็นรังสีราศีหุ้มอยู่ คนที่จะเข้ามาก็จะยาก เป็น อจินไตย ที่พูดไปเหมือนท้าทาย แต่มันเหมือนปาฏิหาริย์ ที่ผู้มีก็ต้องมี เช่น ยกตัวอย่าง ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า ทาง อิทธิปาฏิหาริย์เขาไปฝึกกันได้ แต่ทางอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ไม่ใช่ อาเทสนาปาฏิหาริย์ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ยิงไม่ออกฟันไม่เข้ายิ่งกว่า ซึ่งก็คือเขาไม่อาจจะยิง อาตมามีคนเคยมายิง แต่ยิงแล้ว แป๊ะๆ ลูกหนึ่งก็ได้ลูกที่ 2 ก็ด้าน พอลูกสองด้านก็วิ่งหนีเลย หรือ อาตมา อยู่บนเวทีในวันที่ชุลมุน Sniper ยิงก็โดนแล้ว แต่ไม่มีใครยิงอาตมา เพราะฉะนั้นมันเหลือเศษก็มีคนโยนระเบิด แก๊สน้ำตา เขาไม่ได้โยนใส่อาตมา อาตมาอยู่ในหมู่ก็พลอยรับแก๊สน้ำตานี้ไปด้วย ก็ได้รับกันถ้วนทั่ว คนหนักกว่าอาตมาก็มี อาตมาก็ไม่ได้หนักทีเดียว ก็แค่นั้นแหละคือเศษ สิ่งที่รับเป็นโทษเป็นภัยบ้าง หนักหนาสาหัสนั้นถือว่าหนักหนาสาหัส เพราะฉะนั้นถึงวาระ แก๊สน้ำตาและยังมายืนอยู่วันสุดท้ายอยู่ที่เวที โธ่ คนยิงโป้งๆ สไนเปอร์ไม่ต้องอะไรมากเลยมันก็ตายได้ แต่ก็ไม่มีใครได้มายิง คือใครก็ไม่คิดยิง คือ มันเป็น อจินไตย พูดไปแล้วเหมือนกับอวดดี แล้วไม่ใช่ท้าทาย แต่เป็นการพูดถึงสัจธรรมที่บางสิ่งคนทั่วไปคิดไม่ออก มันไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นได้ มันเป็นปาฏิหาริย์ เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มันเป็นเรื่องจริง สมณะเดินดิน… สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin6 พฤษภาคม 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:650504 พิสูจน์ธรรมะพ่อครู ต้องดูไปไม่ต้องไปดูไบ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯNextNext post:650509 อภิภายตนสูตร ตอนที่ 1 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 37 Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024