650502 แยกกายแยกจิตอย่างไรให้ถึงอรหันต์ รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 36
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1dTVoe1csVQ0J2fE7k5I06rx_6E88xQmGkFGId9Patu8/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1cWTCJsU5j14P6pPuYi3_k9hkYonb1PY1/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/cLzq7iXKsV/
และ
การตลาดแบบโลกุตระคือเช่นไร
สู่แดนธรรม…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก …..
ชาวโลกุตระต้องมีการตลาดหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า…จำเป็น คำว่าการตลาด หมายความว่า ยุคพระพุทธเจ้ามันไม่มีตลาด ยุคนี้ เราก็ต้องเข้ากับสมัย สมัยนี้มันมีตลาด ประชาชนทั้งหมด ทั้งเราไม่ได้สงวนสิทธิ์ว่า โลกุตระนั้นจะเผยแพร่ให้แต่ชาวโลกุตระจำนวนเดียว จำนวนหนึ่ง เท่านั้น เราต้องให้เผยแพร่ เท่าที่ผู้ที่ควรจะได้ มีความจำเป็นและเหมาะสมที่ควรจะได้ก็ต้องให้กระจายไปด้วยกัน เป็นภาษาคำว่าตลาด การตลาด เพราะฉะนั้นโลกุตรธรรม แม้ว่าจะเป็นโลกุตระ แต่ก็ต้องได้ไปจากชาวโลกที่นั่นแหละ จึงจะเป็นผู้รับสินค้าต่อมาเป็นลำดับๆๆ ชาวโลกุตระก็ได้โลกุตระ แต่ก็จะคนที่เป็นโลกียะนั่นแหละจะเป็นมวลเป็นผู้ที่รับจากผู้ที่มีแล้ว แบ่งไป หรือจำหน่ายให้แจกให้ พยายามยื่นให้แก่ใครที่รับได้เขาก็จะรับ จึงจะเพิ่มมวล ไม่ใช่อยู่แค่จำกัดขอบเขตแล้วก็ไม่เพิ่มอีกไม่ใช่ มันต้องเพิ่มสิมันต้องแพร่ขยายไป นี่คือสัจจะมันต้องเป็นเช่นนั้น ก็เรียกด้วยภาษาสมัยใหม่ แต่สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีภาษาว่าการตลาด สมัยใหม่นั้นมี เราก็ต้องทันสมัย
สู่แดนธรรม.. ครั้งนี้ โลกุตรธรรมแบบพ่อท่านเผยแพร่ คำมันย้อนแย้งกันนะครับ เราทำการตลาดแต่เราก็ทำกันอย่างไม่ต้องการบริวาร พ่อท่านจะมีหลักเกณฑ์
พ่อครูว่า… คำว่าบริวารมันเป็นโวหารที่ซับซ้อนลึกซึ้ง โลกียะเขาต้องการมวลเป็นหลัก ปริมาณเป็นหลัก แต่ของเราเอาคุณภาพเอาเนื้อหาสาระเป็นหลักซึ่งมันต่างกัน ซึ่งมันก็เป็น 2 สภาวะเรียกว่า เทวะ เพราะฉะนั้นถ้าเราจัดสรรมันให้เหมาะสมกับ กาละเทศะฐานะ
กาละ ทุกวันนี้ เป็นกาละที่เปิด ไม่ใช่ยุคพระพุทธเจ้า สถานที่ก็เป็นสถานที่ไม่ใช่สถานที่อยู่ในอินเดียเท่านั้น มันกระจายออกมาจนถึงประเทศไทย เพราะฉะนั้นแต่ละฐานะบุคคล คนจะไปดูถูก หรือจะไปจำกัดบุคคลแต่ละบุคคลเท่านั้นไม่ได้ ทุกคนมีสิทธิ์ เป็นแต่เพียงว่า แต่ละคนผู้ใดล่ะ เขาจะสามารถรับได้ มีภูมิธรรม มีบารมี มีความสามารถรับได้ก็ต้องให้โอกาสเขา จึงเรียกว่า เป็นการตลาด เป็นคำศัพท์สมัยใหม่
สู่แดนธรรม.. แล้ว สินค้าของพ่อท่าน รู้สึกว่าไม่ใช่สินค้าแบบ mass นะครับ
พ่อครูว่า… มันก็ต้องไป จำนวนที่เพิ่มขึ้น แต่ถึงอย่างไรไม่ใช่เป็นจำนวนส่วนใหญ่ มันก็เป็นส่วนน้อยอยู่ดี ถึงอย่างไรอย่างไรก็เป็นส่วนใหญ่ไปแทนที่ โลกียะไม่ได้หรอก เพราะโลกุตระเป็นยอดพีระมิด เป็นส่วนไปหายอดพีระมิด ไม่ใช่ส่วนไปหาฐานพีระมิด เป็นสัจจะที่มันต้องจบ ถ้าเข้าใจมันก็จบ ถ้าไม่เข้าใจมันก็ไม่จบ
สู่แดนธรรม… สินค้าที่เป็น mass ของพ่อท่านไม่ใช่ความต้องการของคนส่วนใหญ่ เช่น สอนให้คนมาเสียสละ มาลดละความโลภ คนจะต้องหันมาจน หันมาพัฒนาประเทศชาติด้วยกันมาจน ใครจะไปอยากได้ครับ
พ่อครูว่า… ไม่ต้องอยากได้ คนที่อยากได้จะต้องเป็นคนที่มีภูมิปัญญา ผู้มีภูมิปัญญาจึงมีปรารถนาอยากได้ ว่า อันนี้เป็นสิ่งที่ควรจะอยากได้เรียกว่าเป็นสัญญาที่ไม่วิปลาส ผู้ที่มีสัญญาสัมมาทิฏฐิ สัญญาถูกต้องไม่วิปลาส กำหนดถูกว่า อ๋อ! อันนี้เป็นสิ่งควรได้ คนนั้นมีสัญญาได้อย่างนี้ก็เพราะคนคนนั้นอยู่ในฐานะของจิต ที่จะพัฒนาทิฏฐิ พัฒนาความรู้ความเห็นความเข้าใจขึ้นมาเห็นอันนี้ได้ ก็มีการพัฒนาที่ดีขึ้นมานั่นเอง
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่วิปลาสทั้ง 3 ทั้ง สัญญา ทิฏฐิ และจิต ก็ก้าวหน้าพัฒนาได้ ส่วนผู้ที่ยังวิปลาสถาวร จิตก็วิปลาส สัญญาก็วิปลาส ทิฏฐิก็วิปลาส คนเหล่านั้นจึงมีวิปลาส 4
จะเห็นความทุกข์เป็นความสุข เห็นความไม่เที่ยงเป็นความเที่ยง เห็นความไม่มีตัวตนเป็นมีตัวตน เห็นอสุภะ เป็นสุภะ เห็นความไม่น่าได้น่ามีน่าเป็น เป็นความน่าได้น่ามีน่าเป็น มันก็เป็นความลงตัวตามพระพุทธเจ้าตรัสทุกอย่างแล้วทุกวันนี้ คนก็วิปลาสโดยไม่นึกว่าตัวเองวิปลาส
สู่แดนธรรม.. มีนักข่าวเคยถามว่าท่านจะอุตสาหะ วิริยะ ทำไม เพราะมวลของท่านมีน้อย จะไปสู้กับมวลของทางโลกได้อย่างไร ตอนนั้นพ่อท่านตอบว่าเราไม่จำเป็นต้องไปหามวลของชาวโลกุตระให้มีน้ำหนักเท่าเทียมกับชาวโลก เรามีน้ำหนักแค่ 1 ใน 10 สามารถงัด เหมือนคานงัด
พ่อครูว่า… เหมือนปรอทกับโฟม ปรอทมีก้อนนิดเดียวแต่มีน้ำหนักมากกว่าโฟม มันเป็นสัจจะของมัน เราอยู่ของเรามีจำนวนมีมวลน้อย แต่อยู่ได้ คานได้ ทางโน้นมาจะบอกว่ามาทำลายมาล้มล้างจำนวนน้อยนี่แหละไม่ได้หรอก มันเป็นสัจจะ ความไม่จริงมันไม่มีน้ำหนัก
สู่แดนธรรม… เพราะว่าพลังรวมของพวกเขาไม่ได้เป็นแผ่นเดียวกัน ใช่ไหมครับ เมื่อถึงวาระใดวาระหนึ่งความเห็นแก่ตัวเขาทำงานต่างคนต่างแยกย้ายกันไป แต่ชาวโลกุตรธรรมอย่างชาวอโศกมีสภาวะเป็น เอกีภาวะ
พ่อครูว่า… ใช่ แน่นมาก หนักมาก ส่วนของทางโลกนั้นฟ่ามไม่หนัก เบา งัดนิดเดียวก็กระเด็นได้ง่ายๆ
สู่แดนธรรม.. สินค้าของพ่อท่านยังมีอีกอันหนึ่งที่คนโลกมองว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีเรื่องของการเป็นสาธารณะกุศล แม้แต่เรื่องการเมืองได้ด้วยหรือ
พ่อครูว่า… ก็พูดถึงอยู่เสมอเรื่องการเมือง ถ้าเข้าใจนะ ถ้ามีปัญญาเข้าใจจริงๆว่า การเมืองเป็นเรื่องของใคร การเมืองก็เป็นเรื่องของคน เมื่อมีคนก็ต้องมีการเมือง และคำว่าเมืองก็ต่างจากป่า การเมืองก็คือการที่เป็นลักษณะอย่างเมือง ไม่ใช่ลักษณะอย่างป่า
ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นลักษณะของเมือง ไม่ใช่ลักษณะของป่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ลักษณะของคนเถื่อนคนป่า เป็นอาริยกะ ไม่ใช่มิลักขะ
พูดหลายทีแล้ววนเวียนซ้ำซาก แต่คนไม่เข้าใจเขาก็ไม่เข้าใจ เขาเข้าใจไม่ได้ ไม่ใช่เขาไม่อยากเข้าใจ เขาอยากเข้าใจแต่เขายังเข้าใจไม่ได้ ไปบังคับไม่ได้หรอกคนที่ยังไม่มีภูมิขึ้นมา จะไปบังคับให้ดอกไม้มันบาน ไม่ถึงเวลาวาระที่มันจะบาน มันก็บานไม่ได้เป็นธรรมดาธรรมชาติอย่างนี้เป็นต้น เราก็ได้แต่แพร่ สร้างการตลาดให้มันขยายตลาดออกไปเรื่อยๆ ผู้ที่เขาแสวงหา ไม่มีอคติ ตั้งใจแสวงหาจริงๆ หรือมีอคติก็ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม… ผู้ที่แสวงหา ถึงแม้จะมีอคติ ผมมองไปที่จุดเริ่มต้น ผู้แสวงหาได้ยินได้ฟังสิ่งใหม่ แม้ว่าจะมีอคติ แต่เมื่อเวลาผ่านไป คิดว่าทิฏฐินี้จะค่อยๆถูกขัดเกลาถูกซักฟอกให้สะอาดยอมเปลี่ยนแปลงลดความเป็นอคติได้เช่นกัน
พ่อครูว่า… ใช่ นอกจากคนที่ยึดมั่นถือมั่นอย่างหน้ามืดตามัว หลงติดยึดไม่เปลี่ยนแปลงไม่มี ปรโตโฆษะ เขาก็ไม่มีโยนิโสมนสิการ เป็นจริงตามพระพุทธเจ้าตรัสทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นจริงๆ ผู้ที่หลงตัวว่าตัวเองเป็นปราชญ์ เป็นปราชญ์ทางพุทธศาสนา ยึดมั่นถือมั่นของตนเอง แล้วก็หมิ่นหยามผู้อื่น ถือว่ารู้มาก ตนเองรู้ยิ่ง รู้จริง เหมือนตัวเองเป็นพระเจ้า ผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นจะเป็นอย่างนั้น บอกว่าไม่มีใครเท่าเทียมหรอก พวกนี้ก็นอนไปแก้ไขเขาไม่ได้หรอกเขายึดมั่นถือมั่นเสียแล้ว เปลี่ยนแปลงเขาไม่ได้ก็น่าสงสารก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ไปเอาอะไรกับเขาไม่ได้ก็ต้องปล่อยเขาไป
แต่เราก็ต้องเอาเขาเป็นเป้า เป็นเป้าตัวอย่างที่จะตีงูให้กากิน แก้ไขไม่ได้แล้ว ก็ต้องจำเป็น งูจะฉกบ้างก็ต้องหลบเลี่ยงเอา เราต้องฉลาดพอที่จะตีงูไม่ให้มันมาทำร้ายเราให้ได้ นี่ก็เป็นการประมาณของสัตบุรุษ
สู่แดนธรรม… วันนี้พ่อท่านเตรียมอะไรบ้างครับ มีรายงานจากสันติอโศก วันนี้ชาวชุมชนสันติอโศกชาวสวนบุญผักพืชและศิษย์เก่ารวมตัวกันมาฟังธรรมประมาณ 40 คนครับ
40 คนมาร่วมกันเกี่ยวข้าวต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว
พ่อครูว่า… ของเราไม่มีการจ้าง มาทำงานอย่างผู้รับใช้ ไม่ใช่ผู้มารับจ้าง แต่ผู้ทำงานอย่างรับใช้ สำคัญมากเลยคำว่ารับจ้างกับรับใช้ ผู้รับใช้คือนักประชาธิปไตย หรือผู้มีคุณค่าและประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ เป็นผู้อนุเคราะห์โลก เป็นผู้รับใช้โลก เป็นผู้ช่วยเหลือโลกอยู่
ชาวอโศกใช้บุญมาล่อหรือไม่
สู่แดนธรรม…มีคนแย้งว่า พวกคุณไม่ได้เอาทรัพย์สินมาล่อแต่เอาบุญมาล่อ
พ่อครูว่า… จะใช้คำว่าบุญก็ได้ บุญหมายความว่าเป็นการชำระกิเลส แล้วเราก็ขยายความคำว่าบุญ ให้รู้ชัดเจนเลยว่ามาจัดการกิเลสของตนเองนะ มาไหม ใครจะเอา มาๆๆ มาเอา ที่จริงเอาไม่ได้หรอก มาทำมาสร้างจิตให้เป็นบุญให้เป็นพลังงานขจัดกิเลสให้ได้ แล้วคุณเสียด้วยซ้ำไปคือ กิเลสนั่นแหละถูกเสียไป ที่ในหลวงบอกว่าเราเสียนี่แหละคือเราได้ มันเป็น 2 สภาวะ สิริมหามายาเป็น dialectic พูดอีกอย่างหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่งโดยเป็นความจริงด้วยไม่ได้เป็นมายากล ประเด็นนี้แหละเป็นประเด็นสัจจะที่ ยอดยาก ยอดจริง ที่จะต้องยอดรู้ให้ได้
สู่แดนธรรม… ไม่ได้ปฏิเสธว่าเอาบุญมาล่อ
พ่อครูว่า… จะว่าล่อก็ได้ แต่คนที่จะมาเอาต้องฉลาด แล้วเราก็ไม่ได้ไปหลอกด้วย จะว่าล่อก็ล่อ จะบอกความจริง บุญ เป็นอย่างนี้นะ สันตานังปุนาติ วิโสเทติ คนที่เข้าใจถึงเนื้อถึงสาระแท้ก็จะมาเอา แต่คนที่ไม่เข้าใจคำว่าบุญ เข้าใจเพียงแต่กุศลก็มาหลงได้ แต่เขาก็พยายามทำความหลงของเขาให้ชัดเจนให้เข้าใจให้ได้ อย่าไปหลงผิด ให้ไปคิดถูกให้ได้ก็เพิ่มอ้วนขึ้นตามลำดับ จะบอกว่าล่อก็ได้ แต่ไม่ได้ลวงไม่ได้หลอกไม่ได้ทำให้หลง ทำให้ถูกต้อง
สู่แดนธรรม… ไม่ใช่เป็นการล่อ แต่เป็นการเชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ เอหิปัสสิโก ถ้าหากวัดไหนสามารถเชื้อเชิญให้คนมาลดละกิเลสได้ ไม่ว่าจะลดแลกแจกแถมให้คนมาลดกิเลสให้ได้
พ่อครูว่า… ที่จริงถ้ามีการล่อหลอก มันจะทำหลายชั้น เสียเวลาเมื่อย ตรงๆแล้วไม่เมื่อย ไปคัดเลือกผู้ที่มีปัญญาจะเอาจริง ขนาดนั้นมันยังยากเลย ผู้ที่ถูกคัดเลือกและมีปัญญาเฉลียวฉลาดจริงรู้ว่าเป็นเป้าหมายที่จะมาเอาจริงยังไม่ง่ายเลย แล้วเราจะขนขยะมาทำไมอีกมากมาย ทางโลกีย์เขาชอบมวลมากๆ แต่ของเรานี้เอาคุณภาพ
SMS วันที่ 29 เม.ย. – 1 พ.ค. 2564
_ยายทอง ตาเซียน · รู้สึกปลื้มปิติมากครับที่เห็นพ่อครูสุขภาพและกำลังดีขึ้นเป็นลำดับๆครับผม น้อมกราบสาธุ ๆ ๆ ครับ
พ่อครูว่า… อนุโมทนา
_Jantana Saeeaw จันทนา แซ่อิว · อยากให้คนกทม.ได้ฟังอาจารย์ปานเทพพูดถึงคุณรสนาก่อนตัดสินใจเลือกผู้ว่าฯ น่าจะตัดตอนที่อาจารย์ปานเทพพูดแล้วเผยแพร่ในโซเชียลให้มากที่สุด ชาวกทม.จะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นเสียที
พ่อครูว่า…เอาสิใครสามารถช่วยทำได้ทำเลย อาตมาเชียร์คุณรสนาจริงๆนะ เพราะว่าอยากให้ผู้หญิงมาเป็นผู้ว่าฯ กทม.คนแรก แล้วเป็นผู้หญิงที่มีความตั้งใจ มีเจตนารมณ์ ถือว่าเป็นคนมีกึ๋น ที่จะทำ ไม่ใช่มาทำงานเลี้ยงชีวิตเฉยๆ แต่มาทำงานเพื่อเนื้อหาสาระ เป็นเรื่องต่างกัน แต่แน่นอนทุกคนเขาก็ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ไม่มีเนื้อหาสาระ แต่มันก็ต่างกันนะ
_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ เนื่องด้วยตอนนี้ก็ใกล้วันเลือกตั้ง ขอให้พ่อท่านพูดถึงคุณรสนา โตสิตระกูล ว่าเธอมีพฤติกรรมเป็นเช่นไรในสายตาของพ่อท่าน ซึ่งตอนนี้เธอได้ลงสมัครเป็นผู้ว่า กทม. เพื่อให้ญาติธรรมหรือที่ไม่ได้เป็นก็ตาม ให้ตัดสินใจที่จะไปเลือกเธอ ในฐานะที่ผมก็เป็นชาวกรุงคนหนึ่งผมก็จะไปเลือกเธอครับ และก็ได้ช่วยเธอโดยการแชร์บทความและภาพที่เธอทำไว้ขึ้นใน face book ด้วย ผมทำไปโดยไม่หวังในลาภยศ สรรเสริญ หรือเงินทองใด ๆ เลยจะทำจนกว่าจะถึงวันเลือกตั้งเลยครับ ถือว่ามันเป็นหน้าที่ของชาวกทม.ที่พึงทำได้ครับในระบบประชาธิปไตย อยากกราบเรียนพ่อท่านได้ให้สัมมาทิฏฐิด้วยครับ กราบนมัสการขอบคุณกับพ่อท่านอย่างสูงครับ
พ่อครูว่า…ก็พูดแล้วพูดอีกเป็นเช่นไร พูดทวนไปจนกระทั่งเบื่อปากตัวเองแล้ว
คุณก็มีสัมมาทิฏฐิที่ดีขึ้นมาพอสมควรทีเดียว ซึ่งเข้าใจสัจธรรมอันนี้ เข้าใจสัจธรรมที่กำลังเป็นกำลังเกิดขณะนี้ เมื่อต่างคนต่างเห็นสอดคล้องกันก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็ช่วยกันผลักดันให้มันเกิด เกิดก็เกิด ไม่เกิดก็ไม่มีปัญหา แต่เราทำด้วยความจริงใจด้วยความสุจริตใจก็ทำไป มันเป็นเรื่องของสังคม เป็นเรื่องของการตลาดเป็นเรื่องของยุคสมัยต้องเป็นอย่างนี้ เราก็ทำไป
_8784 น้อมกราบ พ่อครู ด้วยความเคารพอย่างสูง.. สังฆังสะระณัง คัจฉามิ.. วันนี้น่าจะหมายถึง ชุมชนสาธารณะโภคี ผมเข้าใจถูกไหมครับ
สู่แดนธรรม… เขาเอาที่อื่นพึ่งพาไม่ได้แล้ว สังคมที่มีผู้ประพฤติดีปฏิบัติดีก็น่าจะเป็นสังคมชาวอโศก
พ่อครูว่า…งั้น ตอบว่าถูกต้องแล้ว สังฆังสะระณังคัจฉามินี่แหละ คือชุมชนสาธารณโภคี แต่คนเข้าใจถึงสาธารณโภคีไม่ได้ ทั้งๆที่มีชุมชนสาธารณโภคีเกิดขึ้นในโลกเกิดขึ้นมาในประเทศไทยแล้ว เกิดมานานตั้ง 50 ปีแล้วด้วย ขยายผลอยู่ สาธยายชี้แจงอธิบายให้เข้าใจกันอยู่ ยาก ยากทั้งรู้ ยากทั้งเป็นได้ เพราะฉะนั้นก็เลยต้องพากเพียรไป ให้เขารู้นะ จะให้มาเป็นก็ยังยากถ้าเขารู้แล้วเห็นดีเห็นงามก็เข้ามาเอามาเป็นได้ ก็จะเป็นไปตามลำดับค่อยๆเป็นไป
พระอรหันต์ทำไมต้องตำหนิหลวงตามหาบัว
_SMS จากyoutube 1-2 เดือนที่ผ่านมา ตอน พระอรหันต์ทำไมต้องตำหนิหลวงตามหาบัว
พ่อครูว่า…ถ้าไม่ใช่อรหันต์จริงไปตำหนิหลวงตามหาบัวยากนะ หลวงตามหาบัวนี้ฉลาด เฉโก ยอด ถ้าไม่ใช่อรหันต์จริงจับส้นไม่อยู่หรอก สุดดิ้น สุดหลุกหลิก สุดมายากลเลย มหาบัวนี่
เพราะฉะนั้นอรหันต์จึงมีหน้าที่ พระมหาบัวมาปลอมแปลงตัวหลอกโลกว่าเป็นอรหันต์ เพราะฉะนั้นอรหันต์ตัวจริง จึงจำเป็นจะต้องยืนยันชี้บอกว่าเป็นกบฏ เป็นโจรมาหลอกโลกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ ถ้าอรหันต์ไม่ทำหน้าที่ อรหันต์มีความผิด เป็นหน้าที่ของอรหันต์โดยตรงที่จะต้องยืนยันว่า เฮ้ย! มีตัวปลอมเข้ามาแทรกอยู่ในอรหันต์จริง หลอกมนุษย์หลอกโลกเขา แล้วได้มวลได้บริวารด้วย ก็ต้องน่าสงสารพวกมวลพวกบริวารสิ ให้หลอกอยู่ได้อย่างไร มันทั้งผิดจากสัจธรรมมันทั้งเป็นบาป มันทั้งทำลายมนุษยชาติ โดยเฉพาะทำร้ายสัจธรรม ทำลายธรรมะของพระพุทธเจ้า สรุปแล้วมันบาปไปหมด
ตัวเองเป็นบาปใจแล้วมาชวนอื่นลงนรกเป็นบาปไปด้วยกันมันก็ต้องช่วยกัน เพราะเขาชวนกันดึงกันลงนรก อาตมาก็ต้องมีเมตตาก็ต้องช่วย ช่วยมหาบัว การตำหนิมหาบัวให้รู้ตัวรู้ตนว่าผิดนี้เป็นเมตตาเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลมหาบัว เข้าใจไหมที่พูดนี้ ไม่ได้หมายความว่าเป็นการพูดเล่นแต่พูดสัจธรรม
ทำไมอรหันต์ต้องตำหนิมหาบัว ก็เพราะว่าถ้าไม่ใช่อรหันต์จริงตำหนิมหาบัวไม่ได้ มหาบัวและลูกศิษย์ดีดเอาแน่ ต้องมีภูมิพอมีกึ๋นพอที่จะตำหนิมหาบัว มหาบัวมาอธิบายสาธยายสัจธรรมอย่างที่อาตมาแจกแจงไม่ได้หรอก แยกโลกุตระกับโลกียะไม่ได้ แยกไม่ออก ไม่รู้ประสีประสาด้วย แม้แต่แค่ตัวเองเสพติดอยู่ในสิ่งเสพติด ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเสพติด แล้วมันจะไปรู้อะไรมากไปกว่านั้น ก็ยังเสพติดแล้วหลอกผู้คนว่าไม่ใช่สิ่งเสพติด โดนหลอกไปด้วยภาษาว่านี่คือเรื่องของกายขันธ์ กายกับจิตคืออะไร มหาบัวหมดสิทธิ์ที่จะรู้ว่ากายกับจิตคืออะไร
กาย คือจิต คือมโน คือวิญญาณ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส มหาบัวเอาหัวตีดินเลยจะไปรู้เรื่องอะไร ลูกศิษย์มหาบัวก็ตาม จะไปรู้เรื่องได้อย่างไร เป็นภาษาโลกุตระที่ยากเย็นขนาดนี้
เพราะฉะนั้นถ้าอรหันต์ไม่ขยายความ ไม่จี้ไม่บอกความผิดความถูกแล้วจะให้ใครบอก จะให้ใครมาเป็นคนยืนยันชี้ความผิดความถูก มันก็ต้องพูดที่รู้ผิดรู้ถูกที่แท้จริงจะเป็นผู้ที่ชี้ผิดชี้ถูกได้จริงๆ
_พัชรกมล ทองสิน • ผู้มีธรรมย่อมไม่เพ่งโทษผู้อื่น
พ่อครูว่า… ถูกต้องที่สุด ผู้ที่ไม่มีธรรมะที่ยังมีอวิชชา ผู้ที่ยังไม่บริบูรณ์ก็ชี้ผู้อื่นด้วยหรอว่าตัวเองรู้ แต่ตัวเองเพ่งโทษ มองแต่โทษของผู้อื่น โดยที่ผิดๆถูกๆตัวเองก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้นผู้ที่มีธรรมะจึงไม่เพ่งโทษผู้อื่น เพราะฉะนั้นผู้ที่เพ่งโทษผู้อื่นอยู่ก็จึงเป็นผู้ที่ไม่มีธรรมะก็ถูกแล้ว
สู่แดนธรรม… เขาบอกว่าพ่อท่านเป็นผู้ที่มีธรรมะแล้วทำไมไปเพ่งโทษอีก
พ่อครูว่า… คนที่พูดมาว่าอาตมานั่นแหละ เขาไม่มีความรู้ เขาไม่มีปัญญา เขาไม่มีปฏิภาณที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง อาตมามีความจริงตามความเป็นจริง
อย่างจริงที่สุดอันแรก จริงที่หนึ่งคืออาตมาเป็นพระอรหันต์ อาตมาเปิดเผยจนหมดแล้วพูดสบายๆ ยืนยันพูดหน้าตาเฉยว่าตัวเองเป็นอรหันต์สบายๆแล้ว ไม่ใช่เรื่องโกหกไม่ใช่เรื่องมดเท็จไม่ใช่เรื่องหลอกลวงแต่จริงที่สุด แล้วไม่ใช่ ให้อรหันต์ไปพูดความจริงจะให้ใครไปพูดความจริง ตำหนิก็ต้องตำหนิจริง ยอมรับก็ต้องยอมรับอย่างแท้จริง
การเพ่งโทษเป็นเรื่องของผู้ที่ไม่จริงไม่มีความรู้ ไปเพ่งเอา ถ้าไม่เพ่งมันก็รู้อยู่โดยไม่ต้องเพ่ง แต่ถ้ายังไปเพ่งอยู่ก็แสดงว่ายังไม่รู้ ไม่สมบูรณ์ เป็นพวกสมถะหรือเป็นพวกเพ่งฌาน เกร็งอยู่ พวกยังไม่ปกติ ถ้าคนปกติ รู้แล้วสมบูรณ์แบบไม่ต้องเพ่ง พูดโดยสภาวะนะ
สู่แดนธรรม… พ่อท่านไปเห็นเองเลยใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… โทษก็เห็นเป็นโทษ คุณก็รู้ว่าเป็นคุณ เห็นแล้วก็รู้เลยไม่ต้องไปเพ่งหรือไม่ต้องไป concentrate ไม่ต้องรวมจิตเพ่ง เห็นปุ๊บก็รู้เลยเป็นอภิภายตนะ 8 สามารถรู้รายละเอียดเล็กใหญ่ๆข้างนอก สุพรรณะ ทุพรรณะ รู้ทันที สีเขียวอย่างนั้นอย่างนี้ยังโน้นอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อภิภายตนะ รู้จักว่ารายละเอียดของมันต่างกันก็รู้ แยกมวล เขียวคือเขียว แดงคือแดง เหลืองคือเหลือง ขาวคือขาว ยิ่งจะรู้ง่าย ก็รู้แล้วว่ามันต่างกันอย่างไร
สู่แดนธรรม… คาแรคเตอร์ของพระพุทธศาสนา ยกย่องการตำหนิติเตียนเพ่งโทษไหมครับ
พ่อครูว่า… ยกย่อง ผู้รู้จะกระหนาบแล้วกระหนาบอีก ไม่มีหยุดด้วยคำตำหนิ แต่สรรเสริญ ไม่เพียงพอให้ลดละหนายคลาย มีแต่การตำหนินี่แหละจะพาเจริญ เพราะการตำหนิเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญยกย่อง ส่วนการชมเชยสรรเสริญเป็นการน่าตำหนิไม่ใช่ยกย่อง มันกลับกันอย่างนี้สัจธรรม ทุกวันนี้ไปสงสัยจะทำคนละขั้วเอาหัวไปหาเอาหางกลายเป็นหัวไปหมด
_เอกรินทร์ เฉื่อยกลาง • ผมก็แปลกใจทำไมท่านมาพูดตอนพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงตามหาบัวเสีย ทำไมตอนองค์หลวงตาอยู่ไม่พูด
แล้วท่านรู้ได้ไงว่าองค์หลวงตาพิจารณายังไง ท่านไม่ใช่องค์หลวงตา
พ่อครูว่า…หลวงตาอยู่อาตมาก็พูด ไม่ใช่ไม่พูด
สู่แดนธรรม… พูดจนหลวงตาตอบโต้ว่า เป็นพวกนิสัยไม่ดี
พ่อครูว่า… คุณไม่รู้เรื่อง แต่ ประเด็นท่านรู้ได้อย่างไรว่าหลวงตาพิจารณาอย่างไร ก็รู้เพราะแสดงออกทนโท่มีปรากฏการณ์จริง ไปรู้ได้ไงว่าหลวงตาพิจารณาอย่างไร
อาตมาจะวิเคราะห์ให้ฟังง่ายๆ มหาบัวไม่รู้เรื่องหลงอยู่ในภพนั่งหลับตาแล้วฝันเฟื่องไปเพ้อพกเพ้อเจ้อไป เป็นนิรมาณกาย เลอะเทอะไปหมด แล้วก็เอาเรื่องเหล่านั้นมาพูด คนที่ฟังเป็นลูกศิษย์มหาบัว แต่เป็นคนตาบอดชวนคนตาบอดไปดูหนังใบ้ หลวงตาบัวก็พูดไป คนที่ฟังก็คือคนตาบอดชวนคนตาบอดไปดูหนังใบ้ บอกว่าท้องฟ้าสีสวยจังเลยอย่างนี้เป็นต้น หลอกกันไปจนงมงายไปหมดเลย เพ้อเจ้อเพ้อพกแล้วไม่รู้ตัวว่าเพ้อเจ้อเพ้อพกอะไร
เพราะฉะนั้นจึงพิจารณาเห็นอยู่จริงๆเลยว่าหลวงตาบัวไม่รู้แม้กระทั่ง โลกของคำว่า กาม คือ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสหยาบๆ เรียกว่ากามคุณ 5 ผู้เสพผู้ติดอยู่ คืออย่างไร หลวงตาบัวก็เสพก็ติด แล้วก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเสพติด หลงว่าตัวเองนี้หลุดพ้น ก็การเสพติดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอยู่หยาบๆ เรียกว่าขั้นอบายมุขติดสิ่งเสพติดหมากพลูบุหรี่ ยานัตถุ์ ยาดม ยาสูบพวกนี้ มันเป็นเรื่องชั้นต่ำ เสพติดขั้นนี้ก็เห็นๆอยู่ จะบอกว่ารู้ได้อย่างไร มาใช่องค์หลวงตาบัว องค์หลวงตาบัวจะไปรู้ได้อย่างไรเพราะว่าองค์หลวงตาบัวนั้นโง่ไม่รู้สัจธรรม นี่พูดกันชัดๆอย่างนี้ไม่ใช่ว่าไปลงโทษ ไปข่มหลวงตาบัว แต่เอาความจริงมาพูดมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ อาตมาพูดอะไรมีแต่ความจริงไม่มีอะไรที่ไม่จริง ถ้าจะมาพูดความจริงไม่เป็น นี่ก็พูดความจริงสู่ฟังจนหมดเปลือกแล้ว ที่พูดไปนี้ยืนยันว่าถูกต้องทั้งนั้นไม่มีความไม่จริง อาตมาพูดความจริงไม่เป็น พูดสิ่งที่ผิดไม่เป็น พูดแต่สิ่งที่ถูก ฟังดูแล้วก็น่าหมั่นไส้ ไม่รู้จะทำอะไรก็เป็นความจริงอัตโนมัติ ก็ยืนยันความจริงเท่านั้นเอง
แต่คุณไม่รู้ คุณก็แย้ง คุณก็เถียงมันก็เป็นธรรมดาอีกนั่นแหละ ถ้าคนที่รู้ก็ไม่เถียง คนเขาก็เพิ่งรู้เพิ่งเข้าใจได้ประโยชน์จากอาตมา แต่คนไม่ได้ประโยชน์ก็ไม่ได้ประโยชน์ ยิ่งยึดมั่นถือมั่นว่าของตัวเองถูกทั้งที่ของตัวเองผิดอยู่เข้าใจผิดอยู่ ก็เลยไปกันใหญ่เลย
_Z’Zak Hongsawadee แซดแซค หงสาวดี • คุณพูดผิด การกินหมากมันเรื่องของกาย เหมือนคุณหิว คุณกิน ก็ไม่ใช่เพราะจิตหรอที่อยากกินข้าว อยากหยุดกระหายข้าว ขันธ์ 5 มันว่าเรื่องของกายและใจ ธรรมชาติของกายและใจเป็นแบบไหนก็เป็นอย่างที่มันเป็นของโลก ถ้าพูดแบบนี้ คุณห้ามกินข้าวนะถ้าคุณหิว เพราะนั่นก็คือกิเลสคือความอยาก เหมือนกัน #กรุณาแยกด้วยนะว่า อาการของจิต กับการหลงไปกับจิต
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
ลดกิเลสได้จริงสามารถไปประท้วงรัฐบาลชั่วให้ออกไปได้
สู่แดนธรรม… ผมติดตามศึกษากับพ่อท่านมาหลายสิบปีแล้ว เคยอยู่ในสายโน้นมาก่อน หลับตาทำสมาธิ แต่ของพ่อท่านสอน นั้น ให้พิสูจน์อย่างลืมตา
พ่อครูว่า…พวกหนึ่งสะกดกลั้น ไม่ให้กิเลสเข้า กับอีกพวกหนึ่งสัมผัสทุกทวารเปิดรู้ แต่กิเลสเข้าไม่ได้
สู่แดนธรรม… กิเลสเข้าได้อยู่เหมือนกันแต่สู้กับกิเลสได้ มีวิธีสู้กับกิเลสได้เหมือนกัน ต้องเอาแบบอนุบาลก่อน
พ่อครูว่า… คือ วิธีมันมี 2 วิธีอย่างนี้ที่แยกกันใหญ่ๆ สะกดกั้น ไม่ให้กิเลสเข้า เขาก็ทำกันทั่วไปเป็นวิธีที่ง่าย แต่มันไม่ได้จริง มันไม่ถาวร มันไม่ยั่งยืน มันไม่เสร็จไม่จบ มันไม่แล้วหรอก มันวนเวียน ได้แล้วก็กลับคืนมาเป็นกิเลสอีก กิเลสมันก็ยังเป็นอยู่ เพราะมันยังไม่รู้จักกิเลสไม่ได้ฆ่ากิเลสให้มันวอดวายตายสนิท มันไม่ได้ฆ่าตัวโจรจริงๆให้ตายสนิทเลย ใช้โวหารพูดกันให้ชัด เป็นพฤติกรรมของตัวโจรที่เลวร้าย เพราะฉะนั้นต้องประหารก็เป็นภาษาที่เป็นโวหาร ฟังด้วยภาษาคนแล้วเหมือนฆ่าแกงประหารกัน แต่ก็คือการกำจัด การชำระการทำลายให้มันหมดไป มันก็เป็นเช่นนั้น
เพราะฉะนั้นของพุทธจึงชัดเจนว่า ไม่ปิดไม่สะกด ไม่ป้องแต่ทำเป็นลำดับ ทำในจำนวนหนึ่ง เอาแต่เหตุในแง่หนึ่งตามหลักของธรรมของศีลของพระพุทธเจ้าแต่ละข้อ จัดการประพฤติ สัมผัสอย่างนี้ก่อนอันอื่นๆเอาไว้ก่อน มันจะสัมผัสอย่างไรก็ไม่รับ เอาตัวนี้กำหนดของมัน เช่น ไม่ฆ่าสัตว์
เอาเรื่องไม่ฆ่าสัตว์เสียก่อน ไม่ฆ่าแล้ว ก็ไม่ไปทำร้าย ไม่ไปเบียดเบียนอะไร นอกจากไม่ทำร้ายไม่เบียดเบียน ไม่มีอาวุธ ไม่มี ทัณฑะ ไม่มีอะไรไปทำร้ายแล้วยังมีตาหูจมูกลิ้นกายมีมือมีเท้าอะไรก็ตาม ก็ไม่ไปทำร้ายไปทำร้ายไปเบียดเบียนกัน มีความกรุณามีความเอ็นดูหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ นี่คือสำนวนของศีลข้อที่ 1 มีรายละเอียดดังนี้ ก็เอามาปฏิบัติให้ได้จริงๆ
คนที่ปฏิบัติสำเร็จ บรรลุผลที่แท้จริงจนเป็นอัตโนมัติ บรรลุผลเป็นอย่างนั้นจริงๆมันเป็นเช่นนั้นเองเป็นปกติของชีวิต เรียกว่าเป็นผู้ที่มีศีล เป็นผู้ที่มีความปรารถนา หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่จริงๆเลย ไม่ทำร้าย แม้ว่าสัตว์อื่นจะทำร้ายเรา เราก็ไม่คิดโกรธเคืองอาฆาตพยาบาทอะไรเลย ถึงปานนั้น เพราะเราห้ามสัตว์อื่นที่ยังโหดร้ายยังทำร้ายผู้อื่นอยู่ เราห้ามไม่ได้ เราต้องฉลาดพอที่จะไม่ให้สัตว์มันทำร้ายเรา เช่น
เอาง่ายๆ ว่า ผู้ที่เขายังผิด มันเป็นการกระทบนะไปว่าผู้ที่เขายังผิด อย่าให้ผู้ที่รับการตำหนินั้น สะท้อนตอบจนมาทำร้ายเราได้ คุณต้องมีความสามารถถึงป่านฉะนี้ แล้วคุณถึงจะทำได้และรอบตัว โดยลักษณะโลกแล้ว ว่าเหมือนอย่างอาตมาว่าแรงเขาก็ตอบไม่ได้เพราะว่าอาตมาเอาสัจจะของพระพุทธเจ้า เอาธรรมะของพระพุทธเจ้า มาตอบรับ มันก็สู้ธรรมะสัจจะของพระพุทธเจ้าไม่ได้ มันเป็นสัจจะที่ชนะสิ่งที่เหนือชั้นกว่าจริง ถูกต้องกว่าจริง มันก็ชนะจริง
เช่น อาตมานำเอาความจริงอันนี้มาปฏิบัติประพฤติ ไปประท้วงปฏิวัติรัฐบาลทรราชด้วยหลักอันนี้เลย เอาแต่ความจริง ไข ความจริงออกมาให้มากๆหมด จนทางโน้นจำนนความจริงว่าเขาชั่วจริงเขาผิดจริงเขาหมดสิทธิ์ที่จะเป็นจริง ประชาชนรับรู้ ประชาชนเข้าใจแล้วว่าผิดจริง รัฐบาลทรราชจริง จึงรวมตัวเป็นมวลชาวประชาธิปไตยเห็นพ้องกันเป็นพลังมวลของประชาชน ยอมรับอันนี้ว่าเป็นความจริงถูกต้องอันนั้นผิดอันนั้นออกไป ทรราชจึงเข้าไม่ได้ ทรราชจึงต้องระเห็จออกไป
นี่เอาพฤติการณ์จริงของสังคมประเทศชาติที่ได้ทำมาแล้ว ไม่ใช่ปฏิวัติหรือประหารรัฐบาลเดียว แต่ประหารตั้งหลายรัฐบาล นี่เป็นเรื่องของประชาธิปไตยเมืองไทย เอาความสงบสยบความรุนแรง เอาความจริงเข้ามาไล่ความผิด แล้วเขาก็จำนนในความผิดของเขาอย่างเรียบร้อยราบเรียบ ราบรื่นง่ายงาม ไม่เกิดอะไร นอกจากพวกที่ Error มายงมายิงกันก็คือพวกรัฐบาลทรราชนั่นแหละทำ พวกเราไม่ได้ไปทำเลย ไม่ได้ไปสร้างความรุนแรง แต่พวกนั้นไปสร้างแรงกระเพื่อมเอง ในรายละเอียดเป็นเช่นนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องสูงส่ง
นักรัฐศาสตร์จบดอกเตอร์มาก็ไม่รู้ว่านี่คือสิ่งที่เกิดจริงเป็นจริงปรากฏการณ์ ที่เกิดในไทยแล้ว เป็นรัฐศาสตร์ตัวอย่างของโลก พิสูจน์ตามกฎสากลหรือว่าความสงบสยบความรุนแรง อย่าไปสร้างความรุนแรง ผู้ชนะด้วยความสงบชนะด้วยความไม่มีอาวุธเอาแต่ความจริงมาเป็นตัวชนะ ยังไม่มีใครทำได้นอกจากประเทศไทย ประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ เท่าที่มันสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่มีในโลกในปัจจุบันนี้ ใน200 กว่าประเทศ ที่เป็นประเทศประชาธิปไตย อาตมาพูดอย่างนี้ นักภาษาศาสตร์ฟังแล้วเอาไปตรวจสอบความเป็นจริง ไม่ใช่ดูถูกดูแคลนว่าอาตมาไม่ได้เรียนจบดอกเตอร์ทางรัฐศาสตร์ ไม่ได้มีความรู้ ไม่ได้เคยปกครองบ้านเมืองอะไรต่ออะไรไป อาตมาไม่ต้องปกครองบ้านเมือง ไม่ต้องปกครองมวลเท่านั้น อาตมาปกครองพวกโลกุตระ ถ้าจะว่าจริงๆซับซ้อน ยากกว่าพวกที่จะมาปกครองโลกียะอยู่ พูดแล้วเหมือนน่าหมั่นไส้แต่เป็นเรื่องจริง ก็มีตัวอย่างเป็นมาได้ถึง 50 ปีแล้วแหละ
ชาวโลกุตระมีภูมิปัญญาแยกความผิดความถูก เพราะฉะนั้นชาวอโศกรู้ความผิดความถูกได้ละเอียดกว่าชาวโลกียะ พวกเราผิดเล็กผิดน้อยเดี๋ยวเจอ ตำรวจในชาวอโศกเป็นตำรวจชั้น 1 ตำรวจตาแหลม ตำรวจมีปัญญา ไม่ใช่ตำรวจแบบพื้นๆ
แยกกายแยกจิตอย่างไรให้ถึงอรหันต์
สู่แดนธรรม… ที่ถามว่า คุณพูดผิด การกินหมากมันเรื่องของกาย เหมือนคุณหิว คุณกิน ก็ไม่ใช่เพราะจิตหรอที่อยากกินข้าว อยากหยุดกระหายข้าว ขันธ์ 5 มันว่าเรื่องของกายและใจ ธรรมชาติของกายและใจเป็นแบบไหนก็เป็นอย่างที่มันเป็นของโลก ถ้าพูดแบบนี้ คุณห้ามกินข้าวนะถ้าคุณหิว เพราะนั่นก็คือกิเลสคือความอยาก เหมือนกัน #กรุณาแยกด้วยนะว่า อาการของจิต กับการหลงไปกับจิต
พ่อครูว่า… อันนี้คุณไม่มีสามารถมีความหยั่งรู้ได้ว่าอาตมาไม่หิว ไม่มีความอยากกินข้าว คุณไม่มีสิทธิ์รู้หรอกมันเป็นอจินไตย มันเป็นปัจจัตตังของอาตมา อาตมาเป็น อาตมาไม่เคยอยากกินข้าว ช่วงที่อาตมาบรรลุแล้วนะ คุณไม่รู้สัญญา ไม่รู้เวทนาของอาตมา อาตมาไม่ได้อยากกินข้าว ไม่ได้หิวข้าว ซึ่งยากที่จะเข้าใจ แต่คุณเดาเอาตามที่คนเดา คุณเป็นไม่ได้หรอกที่จะไม่อยากหิวข้าว ภูมิของคุณไม่ถึงหรอก
สู่แดนธรรม… ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า พระขีณาสพสิ้นแล้วซึ่งความกระหาย
พ่อครูว่า… ใช่ ไม่มีความกระหายอยากกิน รู้แต่ว่าไม่กิน มันก็วางลง สังขารมันก็ซูบซีดลงมันก็น้อยลงเป็นธรรมดาธรรมชาติก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง สักวันหนึ่งมันก็ตาย มันก็แห้งหายตายไปหยุด หมดแรง มันก็เป็นธรรมดา ไม่ได้มีปัญหาอะไร
เพราะฉะนั้นที่บอกว่า ขันธ์ทั้ง 5 มันว่าเรื่องของกายและใจ คำว่ากายและใจคุณพูดมาเป็นคำที่ 2 แล้วนะ เมื่อกี้นี้คุณบอกว่าการกินหมากเป็นเรื่องของกาย แล้วคุณเข้าใจคำว่ากายไหมอาตมาอธิบายว่า กายมันมี 2 อย่างต้องมีใจด้วย กายไม่มีใจเป็นประธานไม่ได้ ใจนี้ใหญ่กว่ากาย แต่ต้องมีกาย แล้วกายนี้จะต้องมีกับใจคู่กันอยู่เสมอแยกกันไม่ได้ ทุกวันนี้จึงได้แยกผิดกันใหญ่แยกกายกับใจออกเป็น 2 อย่าง แยกกันโดยไม่เข้ามาร่วมกันด้วยนะ อันนี้แหละเป็นโมฆะบุรุษ เป็นมิจฉาทิฐิที่หมดสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรม
เพราะฉะนั้นธรรมชาติของกาย เป็นแบบไหนก็เป็นแบบอย่างที่มันเป็นของโลก คุณหมายถึงพูดคำกลางๆว่าโลก โลกหมายถึงโลกีย์ก็ถูกแล้ว ถ้าหากโลกุตระแล้วมันเข้าใจการเป็นกายการเป็นจิต โลกุตรจิตจะเข้าใจ
ถ้าคุณพูดอย่างนี้ คุณห้ามกินข้าวนะถ้าคุณหิว ตกลง ถ้าหิวอาตมาก็ไม่กิน แต่อาตมาไม่หิว แต่เขาเอามาให้กินควรกินอาตมากินได้นะ เพราะอาตมาไม่ได้กินด้วยความหิวอย่างที่คุณว่า ที่บอกว่าเป็นกิเลสความอยากมันก็ใช่ความหิว เป็นกิเลสของความอยาก ความรู้คู่ควร ควรกินกับไม่ควรกินนั่นไม่ใช่กิเลส
เพราะนั่นคือ กิเลสคือความอยากเหมือนกันบชก็เพราะว่าคุณยังแยกไม่ออกเลยว่า ไม่หิว ไม่อยาก แต่ควรกิน กับหิว อยาก ที่เป็นกิเลส คุณก็ยังไม่รู้ แล้วคุณไม่มีสิทธิ์รู้ว่าคนไม่อยากไม่หิวมีอยู่หรือ มี อาตมานี่ไง
สู่แดนธรรม… หมากพลูเป็นสิ่งที่ไม่ควรเอาเข้าสู่ร่างกายเหมือนกับข้าวเลย แต่คุณจะใช้หลักเกณฑ์เดียวกันว่าความต้องการข้าวกับความต้องการหมาก มันเป็นเรื่องของกายเท่านั้น จะอ้างเป็นเรื่องของกายหรือเรื่องของจิตหรือเรื่องของขันธ์ 5 กันแน่
พ่อครูว่า… เขาทิ้งท้ายด้วยคำว่า กรุณาแยกด้วยนะ อาการของจิต กับการหลงไปกับจิต ดีคุณใช้ภาษานี้ก็ดี
อาการจิต กับการหลงไปกับจิต นี่ เขาแยกแตกต่าง การตามความกำหนดหมายของเขา อาตมาก็กำหนดหมายตามที่เขาเขียนมา
อาการของจิต ที่มันเป็นจริงอยู่กับการหลง หลงไปกับอาการของจิต เพราะฉะนั้นถ้าใครสามารถเข้าใจอาการของจิต มันก็เป็นความจริงของอาการของจิต เป็นเช่นใดมันก็เป็นเช่นนั้น คุณเป็นคน คุณยังไม่ตาย คุณยังมีชีวิต มีชีวะ มีภูมิปัญญาพอ จะรู้จักอาการของจิต
อาการนี้ต่างกันกับอาการอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า ลิงค หรือเพศ นิมิต คือเครื่องหมายของอาการนั้นๆ กำหนดให้รู้ให้ตรงตาม อุเทส ตามภาษาที่อาตมาพูดก็ดี คุณพูดก็ดี ใครพูดก็ดีที่ชี้แจงออกมานั้น มันตรงกันไหมล่ะ ตรงกันไหมล่ะว่าอาการเดียวกันนิมิตเดียวกัน หรืออาการต่างกัน กับนิมิตต่างกัน แยกได้ไหมล่ะ
ถ้าอยากได้ก็รู้จัก 2 รู้จักการต่างกันมันต้องมี 2 อาการที่ไม่ต่างกันมี 1 มีนิพพานอย่างเดียว 0 ไม่ใช่ 1 ไม่ใช่ 2 แต่ 0 อย่างเดียว คือสูญ หมดจากความไม่รู้ 0 หมดจากความจริงที่จะมาแย้งกัน มันลงตัวคือ 0 มันไม่มี 2 ไม่มี 1 ด้วย
สภาวะอย่างนี้ คุณมีสภาวะกับพยัญชนะภาษาบอกว่า 0 บอกว่า 1 บอกว่า 2 ไหมล่ะ ถ้าคุณมีความรู้สภาวะ และพยัญชนะมันลงกัน คุณก็จบ
เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ท่านลงกันตรงที่สัจจะมีหนึ่งเดียวคือนิพพาน ก็จบด้วยกันทั้งคู่พระอรหันต์ด้วยกัน คนไม่ใช่อรหันต์ก็แย้ง คนยังไม่ใช่เป็น 1 ด้วยกันก็แย้ง มันไม่ใช่เรื่องแปลกไม่ใช่เรื่องพิสดารไม่ใช่เรื่องประหลาด แต่มันเป็นเรื่องจริงๆต้องเป็นธรรมดาธรรมชาติอย่างนั้น
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม… ในข้อสุดท้าย เขาขอร้องพ่อท่านว่า กรุณาแยกแยะอาการของจิต ซึ่งเป็นตัวอาการแท้ๆ ไม่ใช่อาการที่มีกิเลสปรุงแต่งสังขารด้วย เท่าที่ผมรู้มา ครูบาอาจารย์ที่เคยพาหลงไปกับอาการของจิตมากเลย ในขั้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอยู่ในอาการนั้นแล้ว ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสัญญาหรือไม่เป็นสัญญากันแน่ สายวัดป่าทั่วไปจะออกจากตรงนี้ไม่ค่อยได้
พ่อครูว่า… ไม่ได้ เพราะสายหลับตาปฏิบัติไม่ได้ปฏิบัติด้วยจรณะ 15 วิชชา 8 ไปตามลำดับขั้นตอนเหมือนของพระพุทธเจ้าตรงกับของพระพุทธเจ้า จะไม่มีทางที่จะลงเอยด้วย วิญญาณฐิติ 7 มีกาย มีสัญญา
กายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน ถ้าเผื่อว่าเป็นสัตตาวาส อยู่ เป็นสัตตาวาสข้อที่ 4 เหมือนกับวิญญาณฐีติ 7 ข้อที่ 4 เหมือนกัน แต่ของสัตตาวาสนั้นยังมิจฉาทิฏฐิ แม้จะเป็นกายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน ก็ยังมิจฉาทิฏฐิ ในสัตตาวาส 9
วิญญาณฐีติ 7 นั้นกายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน แต่สัมมาทิฏฐิ ไม่มิจฉาทิฐิแล้ว ท่านก็ยกตัวอย่างเหมือน สุภกิณหา เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง
ผู้ที่สัมมาทิฏฐิก็จะเห็น กิณหา แปลว่ามืด แปลว่าดำ ผู้ที่สัมมาทิฏฐิแล้ว จะเห็นความมืด ความดำ เป็นความมืดความดำ ด้วยปัญญา
ผู้ที่มิจฉาทิฏฐิอยู่ ในสัตตาวาสข้อนี้ก็จะเห็นความมืดความดำเหมือนกัน กายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกันแต่ทิฐิคนละอย่าง ความเห็นความเข้าใจคนละอย่าง เห็นความมืดความดำเป็นลักษณะของจิต ผู้ที่มิจฉาทิฏฐิทำจิตให้มืดให้ดำ ส่วนของวิญญาณฐีตินั้น ทำวิญญาณของตนนี้ แยกมืดแยกดำออก มีสว่างกับมืดกับดำ
เพราะฉะนั้นความมืดก็รู้ว่ามืด มืดคือไม่มีแสง ดำคือไม่มีแสง ส่วนความสว่างนั้นมีแสง เพราะฉะนั้นคุณหลับตาลงก็มืด ไม่มีแสง ก็สัมมาทิฏฐิ ลืมตาขึ้นมาก็มีแสงก็สว่าง แต่คุณแยกสว่างลืมตาหลับตาไม่ได้ คุณไปทำความสว่างในความหลับความสว่างอยู่ในการหลับตา เป็นอุปาทานทั้งนั้น จริงๆแล้วหลับตาลงก็มีแต่ความมืดอย่างเดียวสำหรับผู้ที่บรรลุธรรมสมบูรณ์แบบหลับตาก็มืด ยิ่งอยู่ในภาวะที่มืด แสงสว่างไม่มีอยู่ในที่มืด หลับตาลงก็มืดจริงๆไม่มีอะไร แต่ถ้ามีแสงสว่างเกิดขึ้นในภพในความมืดในจิต มันจะเป็นอุปาทานทั้งนั้น มากน้อยก็แล้วแต่เป็นแสงเป็นสีอะไรต่ออะไรต่างๆนานาด้วย แล้วนึกว่าตัวเองเห็นแสงเห็นสีโง่ซ้อนอีก แล้วหลงว่ากูเก่ง แต่ขยายแสงขยายสีได้อีก ยิ่งบ้ากันไปใหญ่เลย
สู่แดนธรรม… ถ้าถึงจุดนั้นต่อมใต้สมองจะหลั่งสารเคมีให้เห็นอย่างนั้นครับ ต้องทำสมาธิให้ถึงขนาดสมองหลั่งสารเคมีออกมาให้เห็นแสงออร่า สุดท้ายนิ่งจริงๆจะเห็นสีขาว เป็นเรื่องของสารเคมีในสมองครับ
พ่อครูว่า… อธิบายไปอาตมาไม่รู้วิทยาศาสตร์ คุณเก่งกว่าอาตมา อาตมาไม่รู้หรอกที่คุณพูด
สู่แดนธรรม… ผมไปคบหากับพวกที่เป็นคุณหมอเรียนรู้มามากก็มาตอบให้กับพวกที่นั่งสมาธิครับ
พ่อครูว่า… อันนี้เป็นความหลงในจิตใช่ พูดไปถึงขั้นอาสวะ ยิ่งยากที่จะพูดกันเข้าใจได้ง่ายๆ ดับอาสวะสิ้น เริ่มต้นตั้งแต่คำว่า “กาย” สังโยชน์ข้อที่ 1 กว่าจะถึงอวิชาสวะ ยากมาก
ศาสนาพุทธทุกวันนี้เสื่อมถึงขั้นคำว่า“กาย”ก็ไม่สัมมาทิฏฐิกันแล้ว ตอนช่วงหลังนี้อาตมาหยิบคำว่า “กาย”ขึ้นมาขยายความให้รู้ ให้เข้าใจถึงคำว่า “กาย”ในสัจธรรมโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า มันตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงปลายสุด
เริ่มต้นคือ 1.ต้องพ้นสักกายทิฏฐิ ตามสังโยชน์ข้อที่ 1
-
ต้องแยกกายแยกจิตโดยต้องรู้จักมูลกรรมฐาน 5 เมื่อใดจิตของเราเป็นกาย เมื่อใดจิตของเราไม่เป็นกาย จิตของเรา ลดฐานะจาก จิตมาเป็นพีชะ พีชะไม่มีกายแล้ว กายต้องมีเวทนาร่วมด้วย มีเวทนามีวิญญาณ แต่เป็นพีชะแล้วไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณก็มีแต่สัญญากับสังขาร