650425 จิตวิญญาณแห่งสาธารณโภคีที่มีในชาวอโศก รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 35
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1oepKxGGbcoqb6MYDQAo5PhiTnW1c1eLX51-SCiJMaYw/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/19ITn3RNZ0SJ7X-y5KSseYgGq6KOGUNL8/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/cCkc3IdRQW/
และ https://youtu.be/s5Fx3u5-uuE
สู่แดนธรรม…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก พ่อท่านไม่ได้เทศน์สดหลายวัน หลายคนคงเป็นห่วงว่าเป็นอะไร พ่อท่านก็ไม่ได้เป็นอะไร เพียงแต่พักผ่อนให้เพียงพอเท่านั้น ชาวอโศกฝึกฝนตนให้เป็นคนที่ลดกิเลส ลดความเห็นแก่ตัว ก็จะมีพลังงานไปช่วยเหลือผู้อื่นได้มากขึ้น และอยู่กันอย่างสาธารณโภคี พ่อท่านเอาไอเดียความคิดเรื่องสาธารณโภคีมาจากไหน
สาธารณโภคีมีสภาวะเช่นใด
พ่อครูว่า…ถามประเด็นนี้ก็ดีเหมือนกัน พยัญชนะ สาธารณโภคี แล้วจะมาเอาสภาวะ ว่าสภาวะของสาธารณโภคีจะมีอย่างไรบ้าง น่าคิดเหมือนกันนะตรงนี้
สู่แดนธรรม… สิ่งแรกที่เห็นก็คือกินใช้ร่วมกัน
พ่อครูว่า… พยัญชนะคือ สาธารณะ กับโภคี คือการบริโภค รวมก็คือบริโภคเป็นสาธารณะ รวมบริโภคคือกินใช้ร่วมกัน ทั้งกินทั้งใช้ สิ่งของที่กินไม่ได้ก็ใช้ ไม่ถือว่าเป็นของตัวของตน ใครมีก็ใช้ ไม่หวงแหน ร่วมกันใช้เป็นของกองกลาง การกินก็แบ่งกันกิน ต่างคนต่างกินเลี้ยงชีวิตแต่ไม่ได้หวงแหน ช่วยกันสร้างสรร ช่วยกันกอบก่อสร้างสรร อะไรต้องกินต้องใช้ก็สร้างทำขึ้นมาได้ ของกินเราทำได้อย่างมั่นใจ ส่วนของใช้หลายอย่างเราทำไม่เป็น เป็นอุตสาหกรรมหลาย อย่าง ส่วนทางกสิกรรมเราใช้ได้เราทำกินทำใช้ได้ ซึ่งอาตมาก็เห็นอยู่ว่าอันนี้แหละ
และก็เป็นเรื่องตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลก อาหารนี่ ที่จริงมันก็หมายถึงเครื่องกินเครื่องใช้เหมือนกัน แต่มันหมายถึงเครื่องกินเป็นหลัก บริโภค
เราก็สามารถสร้างอาหารแล้วเอามาร่วมกินร่วมใช้กัน โดยฝึกจิต แต่ละคนๆ ฝึกจิตตามศีลตามธรรม ของพระพุทธเจ้าให้ลดละกิเลสจริงๆ อาตมามองเห็นอยู่อย่างเดียวที่ชัดเจนที่สุดก็คือ พวกเราชาวอโศกลดกิเลสได้จริง นี่ มองเห็นอันนี้จริงๆ
อาตมามั่นใจว่า อาตมารู้จักอาการของจิตที่เรียกว่าเป็นกิเลส มันเป็น กลิ หรือ กิเลส หรือ กิละ + เอสะ อย่างนั้นอาการเป็นโทษเป็นภัย มันเป็นอาการอย่างนั้น ชัดเจนสภาวะอย่างนั้นอย่างนั้นเกิดจริงๆในชีวิต แล้วเราก็มีความรู้ความสามารถ ที่จะทำให้ไอ้ตัวนี้แหละ ตัวกิเลสนี่แหละ มันจางคลายหายไปดับไปจากจิตได้ นี่เป็นความสามารถอันยิ่งใหญ่ จริงๆเลย
ไม่ว่าจะเป็นศาสนาไหนอาจารย์ไหนศาสดาองค์ใด รู้จริงๆเห็นจริงๆเข้าใจจริงๆถึงความจริงอันนี้ว่า อาการอย่างนี้ในจิตคน มันเป็นตัวโทษตัวภัย เป็นตัวกลิ แล้วฆ่ามันกำจัดมันได้จริงๆ
คนมันมีอันนี้จริงๆนะมันเกิดอันนี้จริงๆในคนที่ไม่ได้ศึกษาที่มีอวิชชา มันเกิด ให้คนทุกคนตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานมาเลยมันไม่รู้เรื่องหรอก จนกระทั่งมาเป็นเวไนยสัตว์ มนุษย์โลกุตระที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ จึงสามารถรู้จริงเห็นจริงในจิตแล้วสามารถกำจัด มันได้จริงๆ
เมื่อกำจัดมันได้จริง คนที่แต่ละคน กำจัดได้อย่างนี้จริงๆตรงกัน ตรงกันได้จำนวนหนึ่ง ก็จะมารวมตัวกัน น้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมันอย่างนั้นน่ะ ก็มารวมกันจริงๆ เพราะมันเป็นธาตุเดียวกัน เป็นธาตุที่เรียกว่าสามัญญตา มันมาทิศทางเดียวกันจริงๆเลย จึงมาเกิดรวมกันขึ้นโดยธรรมดาธรรมชาติของธรรมะ มันจึงเกิดอย่างนี้เป็นจริง
อาตมาไม่ได้เที่ยวไปไล่ต้อน หรือโฆษณาอะไรต่ออะไร แสดงสัจจะออกไปเท่านั้น พวกเราแต่ละคนรู้ว่าใช่ก็มา นี่มารวมกันอย่างนี้ จนเกิดเป็นคนกลุ่มสังคม แล้วมีทิฏฐิสามัญญตา มีศีลสามัญญตา หมายความว่ามีศีลร่วมกัน เสมอสมานกัน ตามหลักของพระพุทธเจ้า ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล
ซึ่งเอามายืนยัน เอามาเทียบเอามาวัด มันใช่หมดเลย ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ระมัดระวังในกามคุณ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อะไรพวกนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นศีลหลัก 3 ข้อของพระพุทธเจ้า
สู่แดนธรรม… แสดงว่าในสูตรสาราณียธรรม 6 ความสำคัญอยู่ที่ศีล
พ่อครูว่า… เป็นตัวยืนยัน Phenomenology เกิดจริงๆเป็นตัวยืนยัน ลาภธัมมิกา กินใช้ร่วมกันจริงๆ
สู่แดนธรรม… คนอื่นเขาพยายามทำแต่ไม่มีเรื่องของศีล
พ่อครูว่า… ใช่ เขาไม่มีหลักมรรคมีองค์ 8 ไม่มีหลักจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่มีหลักธรรมพวกนี้ เข้าใจคนละอย่าง ศีลก็ปฏิบัติกันคนละอย่างเรียกว่าไม่มีสัมมาทิฏฐิ ไม่เป็นสามัญญตา ยังออกนอกทางไม่เป็นสัมมาทิฏฐิทางถูกต้องที่พระพุทธเจ้าปฏิบัติ มันก็ไม่รวมกัน ไม่มีผลที่ร่วมกัน
เมื่อสัมมาทิฏฐิรวมกันตรงกัน ผลมันก็เกิดรวมกัน ก็เกิดเป็น สามัคคียะ เอกีภาวะ เกิดมาจริงเป็นพฤติกรรมสอดคล้องมีความสงบสบาย สามัคคียะ เอกีภาวะ
สู่แดนธรรม… สังคมอื่นก็มีศีล
พ่อครูว่า… เข้าใจเป็น สีลัพพตปรามาส ศีล มีแนวคิดแตกต่างกันไปประพฤติตามเหตุที่เขาเข้าใจแตกต่างกันไป กายต่างกันสัญญาต่างกัน
สู่แดนธรรม… ที่เขารวมกันไม่ได้ เพราะทิฏฐิเขาไม่เสมอสมานกัน
พ่อครูว่า… แตกแยกกัน จึงกลายเป็นแข่งดีแข่งเด่นกันด้วย ซึ่งในสังคมมนุษย์โลกมันมีตั้งแต่กลุ่มเล็ก ขยายขึ้นๆ จนถึงเป็นกลุ่มใหญ่ในระดับโลก มันเป็นจริงทั้งนั้นเลย อยู่ไปเถอะอายุยืนยาวอ่านความจริงสังเกตจะเห็นจะเข้าใจอย่างยิ่ง เลย
อาตมามั่นใจที่สุดในธรรมะพระพุทธเจ้า มันยืนยันต่อการพิสูจน์ว่ามันเป็นเอก มันเป็นหนึ่งในโลก มันยิ่งใหญ่ พูดไปแล้วก็เห็นใจคนที่เขาหาว่าหลงตัวหลงตน ยกย่องตัวเอง หลงตัวเองยิ่งใหญ่อะไรต่างๆนานา ซึ่งเราก็ไม่ต้องย้ำหรอก เขาจะเข้าใจว่า มันไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร แต่เราพูดความจริงเท่านั้นเอง พูดความจริงสู่ฟัง ยืนยัน เขาจะเข้าใจไม่ได้หรือไม่ยอมไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร
เพราะฉะนั้นในโลกมนุษย์นี้นะ นับอายุมันไม่ได้ โลกที่มันเกิดมามีชีวะขึ้นมาในโลก จนกระทั่งกลายเป็นสัตว์มนุษย์ ตั้งแต่ ชาร์ล ดาร์วิน คิดทฤษฎีวิวัฒนาการ ตั้งแต่เป็นสัตว์เดรัจฉานจนมาเป็นสัตว์คน แม้แต่ลัทธิฮินดูก็มีตั้งแต่สัตว์คนแคระ สัตว์เป็นหมู กระทั่งมาถึงเป็นคนค่อยๆพัฒนาขึ้นมา ตามที่เขามีไม่รู้กี่ตั้งตำรา มันก็ใกล้เคียงกันทั้งนั้นแหละใช้ได้ ไม่รู้กี่ล้านๆๆปีมา อายุเวลาพวกนี้ ไม่ต้องไปนับมันหรอก เราสามารถพิสูจน์ได้ตามอายุเวลาที่เราพิสูจน์ได้ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ อายุขัยของมนุษย์แค่ 100 ปีสูงสุดแล้ว ไม่ค่อยถึงกันเท่าไหร่
เพราะฉะนั้นผู้ที่อยู่ได้ถึง 100 ปีขึ้นไป จึงเป็นพิเศษ เป็นคนพิเศษ ที่จะสามารถพิสูจน์อะไรต่ออะไรต่างๆ ยืนยันแก่มนุษยชาติให้เห็นได้
จริงๆแล้ว อาตมาพูดซ้ำซากมาหลายทีแล้ว พระพุทธเจ้าก็เป็นคนเหมือนกันกับเรา พัฒนาจาก ตั้งแต่เป็นสัตว์ มาเป็นคนแคระ มาเป็นคนที่มีปัญญา มีความรู้ มีสมอง ธาตุรู้ที่เจริญพัฒนาจนกระทั่งมาเป็นเวไนยสัตว์ มาเป็นอรหันต์ มาเป็นโพธิสัตว์
จนกระทั่งถึงโพธิสัตว์เจริญขึ้นไปอีก จนกระทั่งสูงสุดแล้วเรายกให้ ว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สูงสุดในความเป็นคนที่จะพัฒนาได้ ว่ารู้รอบจริงๆเลยในวัฏสงสารในการเกิดเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลก ทั้งความเป็นสัตว์และความเป็นโลกที่ต้องสัมพันธ์กันเกี่ยวข้องกัน แล้วก็มีธาตุรู้ที่เราเรียกด้วยพยัญชนะว่า ปัญญาก็ดี ญาณก็ดี วิชชาก็ดี ซึ่งท่านก็กำกับ
พระพุทธเจ้ากำกับไว้ว่า ปัญญา ญาณ วิชชา เป็นความรู้ที่จะขาด จักษุ ขาดอาโลก อีก 2 ตัวนี้ไม่ได้ หมายความว่า ขาดธาตุประสาท หรือตัว วิสยรูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่รับภายนอก กับอาโลก ที่มีแสงสว่างของพระอาทิตย์ สาดมากระทบแล้วเข้าตาหรือมาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสได้ รับรู้ได้ ครบถ้วนไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง มันถึงจะครบความเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ไม่ลึกลับไม่บกพร่อง
แล้วมันก็อยู่ร่วมกัน สังเคราะห์กัน มีทั้งผลักทั้งดูด หรือมีทั้งปฏิปักษ์ต่อกัน หรือว่าดึงดูดต่อกัน เกาะติดกัน ซึ่งเป็นสภาวะ 2 แต่ละคู่ๆ เยอะแยะคู่ เรียนรู้สภาพสอง ไม่รู้ กี่คู่ต่อกี่คู่ แล้วก็พิสูจน์ยืนยันได้
อาตมาทำงานศาสนามา 50 ปีพาพิสูจน์ความรู้อันนี้ ซึ่งมีสภาวะธรรมเกิดจริงเป็นจริงได้อย่างไม่น้อยหรอก แต่คนยังไม่สามารถที่จะมีดวงตาหรือมีธาตุปัญญารับรู้ได้ เพราะมันสูงเกินภูมิที่เขาจะรู้ พูดไปแล้วก็น่าหมั่นไส้เหมือนคนหลงตัวเอง เหมือนสูงเกินกว่าที่เขาจะรู้ ที่อาตมาพาทำ มันสูงกว่าที่เขาจะรู้ มันมีจำนวนเหมือนยอดพีระมิด มีจำนวนน้อย นอกนั้นเป็นฐานพีระมิด มองเห็นก็ไม่เข้าใจก็มันเล็กมันละเอียดมันลึกซึ้ง จนเขาวิจัยไม่ออก วิจัยไม่ได้ว่ามันจะมีคุณวิเศษ มีค่าอะไรได้อย่างไร มันเป็นสภาพทวนกระแส
ถ้ามันใหญ่ มันหยาบคนก็เห็นได้ แต่ที่มันเล็กละเอียดน้อยนั้น คนเห็นไม่ได้ เข้าใจไม่ได้ จนกว่าเขาจะมีธาตุปัญญาที่ลึกซึ้งมากพอ ที่เขาจะสามารถรับรู้ได้
อาตมาเองอาตมาไม่แปลกใจที่คนไม่รู้ว่าอาตมาทำอะไรอยู่ พาทำอะไร อาตมาขอยืนยันว่าพาทำในสิ่งที่ดี สิ่งที่วิเศษ แต่เขาไม่รู้ว่าวิเศษอย่างไรวะ ไม่เห็นรู้เรื่อง ไม่เห็นเข้าใจ มันก็เป็นอย่างนั้น อาตมาไม่ได้แปลก ไม่ได้ประหลาดใจ ไม่ได้งง ไม่ได้สงสัยว่าทำไมเขาไม่รู้ ก็จะไปบังคับเขาได้อย่างไรเขายังรู้ไม่ถึง พูดไปแล้วก็เหมือนกับยกตัวเอง ซึ่งมันก็เป็นความจริงอย่างนี้
เพราะฉะนั้นแม้จะไม่มีคนรับรองว่าอาตมาทำสิ่งที่ดีสิ่งที่ประเสริฐ มันก็ไม่แปลก คนเขาไม่รู้ว่าอันนี้ดีหรือไม่ดี เขาไม่เข้าใจ แต่พวกคุณเข้าใจ คุณก็มาเอาๆ ไล่ก็ไม่ไป นอกจากคุณจะเลวมาก ไล่ก็ไม่ไป จนต้องเอาตำรวจมาเอาออกไป แบบนั้นมันก็มีไม่มาก คนดื้อด้านดึงดันขนาดนั้นจนเราต้องอาศัยตำรวจมาดึงออกไป มันก็ไม่มีนะ
มันซ้อน คนดีเท่านั้นที่จะมาอยู่ในนี้ เพราะฉะนั้นคนที่มีสำนึกประมาณหนึ่ง เข้ามาในนี้เขารู้ว่าเขาไม่ดีพอเขาก็จะไปเอง ไม่ต้องถึงขั้นเอาตำรวจมาไล่มาลากออกไป เพราะปฏิภาณปัญญาของเขาจะสูงพอที่จะไม่ทำถึงขนาดนั้น มันน่าอาย ฉะนั้นคนที่จะอยู่ได้ อย่างอดทน ถึงขนาดดึงดันดื้อด้านต้องให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจทางสังคมมาดึงออกไป ไม่ต้องถึงขนาดนั้นในสังคมชาวอโศก ยังไม่มีกรณีถึงขนาดนั้น เป็นสภาวะที่ซับซ้อนลึกซึ้ง ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นสิ่งที่ประเสริฐสิ่งที่สูงส่ง จะมีธรรมะคุ้มครองตน ธัมโมหะเวรักขะติธัมมะจาริง ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ไม่มีภัยจะเข้าถึงตัวเขา ได้ง่ายๆหรอก ไม่มีความไม่ดีหรือความเลวร้ายเข้ามาถึงตัวได้ง่ายๆ
มันเป็นสัจจะที่ลึกซึ้งซับซ้อนมาก พูดอย่างไรก็ไม่ค่อยถึง แต่พิสูจน์ไปเถอะมันก็จะเจริญขึ้น เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธที่มีคุณธรรม พวกเราชาวอโศกเป็นแก่นแกนของโลกุตรธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตรว่า ต่อไปพุทธศาสนาจะเสื่อมเหมือนกลองอานกะ
ซึ่งในยุค 2,500 ปีนี่แหละ เห็นแล้วเราก็ยืนยันได้ว่า มันเสื่อมจริงๆ คนที่เขาไม่รู้ เขาก็หลงตัวเองว่าเขาถูก อย่างเช่น เถรสมาคมหรือผู้รู้ทางยศตำแหน่ง พอเรามาแสดงความจริงเขาถึงจะเอาเราตาย แต่เอาไปเอามา เขาก็ทำได้เท่าานั้น เสร็จแล้วต่อจากนี้ไปมันไม่ได้แล้ว
โลกยังดีตรงที่ว่ายังมีพระไตรปิฎกแล้วก็รับรองกันเป็นฉบับเดียวกัน ตรงกัน แม้จะเป็นฉบับของ พระมหากัสสปะ อาตมาก็ไม่มีปัญหา อาตมาก็ไม่ได้ใช้พระไตรปิฎก ฉบับอื่น มายืนยัน มากมายนะ เอาแต่พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐของพระมหากัสสปะ ที่เป็นพระเจโตหนักมากเลย ไม่ใช่สายปัญญาด้วย เป็นสายเจโต สายศรัทธาที่หนักมาก เอามาใช้ ยังใช้ได้เลย เห็นไหม
แล้วอาตมาคงจะไม่ดิ้นรนเอาฉบับอื่นมาศึกษา แม้แต่ของอรรถกถาจารย์หรือฉบับพระไตรปิฎกมหายาน อาตมาก็ไม่ได้เอามาใช้ประกอบอะไร ก็ใช้แต่พระไตรปิฎกเล่มนี้แหละ
กระแสหลักไม่ใช้พระไตรปิฎกเป็นหลัก แต่เขาใช้คัมภีร์วิสุทธิมรรค ไปใช้ของอรรถกถาจารย์ นี่แหละเถรสมาคมที่เรียนเปรียญกันเขา ใช้คัมภีร์วิสุทธิมรรคเป็นหลัก ไม่ได้เอาพระไตรปิฎกเป็นหลักอย่างที่เราเป็น ซึ่งพระพุทธโฆษาจารย์ยังเป็นเทวนิยมอยู่มาก ยังไม่สัมมาทิฏฐิเท่าไหร่เลย
แต่มันก็ซ้อนที่จริงแล้ว ธรรมนิยาม 5 อยู่ในหนังสือวิสุทธิมรรคของพุทธโฆษาจารย์ อยู่ในพระไตรปิฎกไม่มี มีกระปิดกระปอยไม่พบธรรมนิยาม 5 เพราะอะไร พระมหากัสสปะพระอรหันต์ ที่เป็นเจโต อย่างพระกัสสปะที่มากัน 500 รูปเรียบเรียงพระไตรปิฎกเล่มนี้ขึ้นมา ภูมิยังไม่ถึง พูดได้อย่างนั้น ขอยืนยันยังเก็บเอามาไม่ได้ แอบไปตกหล่นอยู่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค อาตมาเห็นก็จึงคว้ามา อันนี้มันลึกซึ้งมาก
ถ้าคนไม่รู้จักธรรมะนิยาม 5 นี้อย่างดี อย่างสัมมาทิฏฐิ ซึ่งอาตมาก็ยืนยันมีร่องมีรอยอยู่ว่า พระพุทธเจ้าสอนไว้ในธรรมวินัย ของชาวพุทธที่ต่อเชื้อมาในประเทศไทย ให้พระอุปัชฌาย์ต้องอธิบายความแตกต่างของกายกับจิต แยกกาย แยกจิต ตามธรรมะนิยาม 5 นี้โดยใช้ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่เป็นมูลกรรมฐาน 5 มาใช้ยืนยันอธิบายตามที่อาตมาอธิบายให้ฟัง
ซึ่งไม่ง่ายแต่พวกเราก็เข้าใจกันได้ แต่จะให้มาอธิบายเองจริงๆ บางทีก็ยากสับสนอยู่บ้าง ใช่ไหม ลองอธิบายอีกทีก็ได้ ในธรรมะนิยาม 5 มีภาษา 5 คำ
อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม
ธาตุอย่างนี้ อุตุนิยาม คือธาตุที่คือสสาร พลังงาน ไม่เป็นชีวะ เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งยังไม่เป็นชีวะ พอเริ่มเป็นชีวะ จากอุตุมาเป็นชีวะชั้นแรกเรียกว่าพืช โดยยืนยันเริ่ม จะเป็นตัวมันเอง มีประธาน มีตัวที่รวบรวมตัวมาเป็นกลุ่มก้อนตัวเองขึ้นมาอย่างพืชพันธุ์ธัญญาหารที่มีอยู่เต็มโต๊ะนี้ มันก็เริ่มเป็นชีวะ แต่มันมีแค่สัญญากับสังขาร ปรุงแต่งโดยมีการกำหนดรู้ว่า ธาตุนี้เอาธาตุนั้นไม่เอา เอามาปรุงแต่งสังขารเป็นชีวะของพืช ยังไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ แต่มีรูปสัญญา สังขาร แต่ยังไม่มีเวทนาหรือยังไม่มีวิญญาณ ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข ไม่จับตัวกันไปเป็นวิบากต่อเนื่องกันไป
เพราะฉะนั้น พืชพันธุ์ธัญญาหาร จึงเป็นชีวะซึ่งไม่ใช่อุตุ ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ลม ไม่ใช่ไฟ ซึ่งคนเขาไม่ต้องไปถึงขั้น ธาตุดินไปกินบ้าง มีอะไรหลายอย่างในธาตุดิน ต้องกินต้อง ใช้บ้าง แต่เรากินธาตุพืชเป็นหลัก ไม่ต้องไปกินธาตุที่เป็นชีวะถึงขั้นสัตว์ เอาชีวะขั้นพืช ปลอดภัย ไม่มีบาปไม่มีเวร ไม่มีวิบากต่อกันและกัน ไม่จองเวรจองกรรม ไม่มีโทษมีภัยต่อกัน แต่มีประโยชน์ต่อกันอย่างเดียว
นัยยะ ละเอียดลึกซึ้งพวกนี้เป็นความตรัสรู้ลึกซึ้งของพระพุทธเจ้าที่ท่านสอน อาตมารับรู้แล้วเอามาสาธยายให้ฟัง อาตมารู้ได้จำได้ จนกระทั่งทุกวันนี้ เหมือนเอา เป็นของตัวเองแต่ก็จากพระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรียนรู้ตามพระพุทธเจ้ามา ทุกวันนี้ความรู้ทั้งหลายแหล่ของอาตมาเอามาจากพระพุทธเจ้าทั้งนั้น แล้วก็เอามายืนยันพิสูจน์ปลอดภัยที่สุด
ซึ่งสังคมจะต้องเข้ามาสู่จุดนี้ จุดปลอดภัยนี้ แต่คนยังหยาบ ยังเลว ยังเสื่อมอยู่ ยังไม่เหมือนพวกเรา เขายังเป็นภัยอยู่เลย ยังห้ำหั่น ฆ่าแกงกัน ยังไม่รู้จักวิบาก ต่างชาติยังเละกันอยู่เลย แล้วเขาก็บอกว่าพวกเขาเป็นพวกที่เจริญซึ่งเจริญ อย่างโลกียะ อย่างหยาบ ไม่เจริญอย่างสูงเป็นโลกุตระ
มันเจริญด้วยการยึดอำนาจ ยึดวัตถุ ทั้งนั้นเลย แต่มาถึงโลกุตระแล้ว ไม่เอาอำนาจ ไม่เอาวัตถุเป็นหลัก มีพออาศัย แต่เอาคุณธรรมความดีงาม ความไม่มีตัวตน ความมีประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นคุณค่า เครื่องชี้วัดว่า เจริญ ซึ่งวิเศษ
แล้วไม่สงสัยในการเวียนตายเวียนเกิด เมื่อมีความรู้ในจุดหนึ่งเป็นอมตะบุคคล จัดการความตายความเกิดเองเลย จะตายแล้วไม่เกิดอีกได้มีวิมุติแล้วเป็นพระอรหันต์แล้ว จะตายแล้วเกิดก็ได้จะตายแล้วไม่เกิดอีกก็ได้ เรียกว่าทำปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ จะทำหรือไม่ทำก็อยู่ที่ท่านเองนั่นแหละ ไม่มีใครเป็นเจ้าเป็นนาย เหนือกว่าอมตะบุคคล
อมตะบุคคลเป็นเจ้าของธาตุจิตวิญญาณที่จะต่อภพต่อภูมิ หรือไม่ต่อภพต่อภูมิ ตายแล้วแยกเป็นดินน้ำไฟลมเลย แยกกันอย่างเด็ดขาดนิรันดร เลิกกันอย่างเด็ดขาด นิรันดรได้เลย
พวกเราเริ่มเข้าใจได้ไปตามลำดับตั้งแต่โลกอบาย โลกต่ำหยาบ ที่เราเคยเป็นแต่ก่อนเราก็ไม่รู้เราเคยหลงอร่อยสนุกสนานแย่งชิงเขาไปมีชีวิตชีวาเป็นคู่แข่งเขาอยู่ พอรู้แล้วไอ้หยา แบบนั้นไม่เอาแล้ว
เราก็เลิกมาเป็นอย่างที่เราเห็นนี้ ซึ่งเราก็ไม่มีใครเดือดร้อน ไม่เลยไม่ต้องไปแข่งไปแย่งชิงกับเขาหรอก คนที่เขายังหลงใหลเลยเถิดอยู่ก็ปล่อยเขาไป บังคับเขาไม่ได้หรอก บอกความจริงความดีให้เขามาเอาไม่เอา เขาก็ไปทิ้งไปบังคับกัน ไม่ได้ ศาสนาพุทธไม่มีการบังคับใคร เกิดญาณปัญญาปฏิภาณของตนเองเท่านั้น
เพราะฉะนั้น เราเลิกมาเป็นขั้นๆ ตั้งแต่กามหยาบ อบายมุข กามคุณ 5 อย่าง หยาบ กลาง ละเอียด เราก็รู้แล้ว พ้นกามมาเป็นขั้นๆ ไม่ต้องไปไล่ภาษาก็ได้มันก็มีอย่าง หยาบ กลาง ละเอียด จนเรียกภาษา รูปภพอรูปภพอีก กระทบสัมผัสแล้วก็วางเฉย เฉยสนิทบ้าง เฉยไม่สนิทบ้าง
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สู่แดนธรรม.. พ่อท่านไม่ได้ทำตัวสูง แต่พ่อท่านสูงไม่ได้ทำตัวให้งามในทุกอิริยาบถ แต่พ่อท่านไม่มีตัวไม่มีตน ทำไปตามเหตุปัจจัย ทำเพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่น
พระโพธิสัตว์คือผู้ที่ยังยึดอยู่ ทั้งที่ท่านไม่ยึดแล้ว แต่ท่านก็มาแสดงความยึดอยู่
พ่อครูว่า… สำนวนสากลว่า dialectic
สู่แดนธรรม.. เดี๋ยวพ่อท่านก็ว่ายึด เดี๋ยวก็ว่าไม่ยึด ก็เลยเห็นใจคนที่เข้าใจได้ยาก
พ่อครูว่า… อาตมาพยายาม (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม.. ทำไมจะต้องย้อนกลับไปด้วย
พ่อครูว่า… มันก็ต้องย้อนไปย้อนมาต่ำแล้วก็สูง สูงแล้วก็ต่ำ ก็บอกแล้ว ว่าโลกยุคนี้ ความรู้ทางพุทธศาสนาโดยเฉพาะโลกุตระ มันสูญหาย มันต่ำ อาตมาก็ต้องมาเริ่มตั้งแต่ต่ำ ใช่ไหม มันเสื่อมสูญก็ต้องเริ่มต้นต่ำ เหมือนมาเริ่มต้น 1 ใหม่ แล้วก็ 2 3 4 5 ออกไป
คนที่เขายังไม่สูงคิดไม่สูง ก็ว่าจะต้องเอาลงต่ำทำไมสูงแล้ว ด้วยเขาไม่รู้จักอนุโลมปฏิโลม โดยกาละก็แล้วแต่ ความเป็นจริงก็แล้วแต่ มันไม่เที่ยง มันไม่ได้อยู่คงที่ ที่ว่ามันจริงจะต้องอยู่เป็นอย่างนี้ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกาลนาน ซึ่งไม่ใช่ มันไม่ตายตัว มันจะเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาเลยในความเปลี่ยนแปลงนี้
ซึ่งอธิบายอย่างไรก็ยาก ปัจจุบันที่เล็กที่สุดนั่นแหละ คือความจริงที่เป็นได้อยู่น้อยที่สุด เลยจากวินาทีแห่งเศษเสี้ยวแห่งวินาทีแล้ว เปลี่ยนไปหมด ต่างกันไปหมด พยายามใช้ภาษา มันไม่มีอัตราที่เขาตั้งมาไว้ ใช้ภาษามาชี้สภาวะอธิบายให้ฟัง
ความเป็นประชาธิปไตยโลกุตระ
ชาวอโศกรวมตัวกันมีพฤติการ มีพฤติกรรมของความเป็นโลกุตระธรรม ใช้ภาษาหยาบๆและสิ่งยืนยันกันว่า ลาภที่ได้โดยธรรม สิ่งที่ได้มาโดยสุจริตของเราด้วยการใช้เรี่ยวแรงสร้างสรร หรือมีสิทธิ์ในสิ่งนั้น เราก็มีได้มา อาจจะไม่ได้สร้างแต่ว่าคนอื่นเอามาให้ เป็นสิทธิ์ของเราอย่างบริสุทธิ์ เราก็เอามารวม เป็นลาภโดยธรรม มารวมเป็นศูนย์กลาง แล้วแต่ละคนก็ร่วมกันใช้กันกิน
แล้วแต่ละคนล้วนปฏิบัติตามหลักวรรณะ 9 เป็นคนง่ายๆ เลี้ยงง่าย อยู่ง่าย เป็นไปง่าย ไม่เรื่องมาก พัฒนาให้เจริญได้ง่าย สุโปสะ มักน้อย ศูนย์นั่นแหละน้อยที่สุด แล้วสูญได้เป็นดี ถ้าจะต้องอาศัยก็ .0001 หรือ .00001 ไม่พยายามให้มาก
จะมากก็ต้องสร้างด้วยพลังงานของเรา ด้วยแรงของเราพฤติกรรมของเรา มันเป็นสิทธิ์ของเรา สร้างแล้วเราก็ใช้สิ่งที่เราสร้างนั่นแหละ เหลือจากที่เรากินเราใช้ด้วย แจกจ่ายผู้อื่นมันก็คุ้มตัวเรารอดตัวแล้ว ไม่เป็นหนี้ เพราะเราสร้างเองคุ้มตัวเรา เหลือคนอื่นด้วย ถ้าจะว่าแล้วเป็นเจ้าหนี้ได้เลย แต่เราไม่คิดไม่ยึดว่าเราเป็นเจ้าหนี้ สัจจะมันเป็นสัจจะเองไม่ต้องไปคิด
คนที่มีความรู้อย่างนี้แล้วก็ปฏิบัติได้อย่างนี้จริง จึงเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ร่ำรวย เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ให้คนอื่นพึ่งได้ นอกนั้นมีแต่นักเศรษฐศาสตร์ ที่เรียนอยู่ในโลกียะ มีแต่เศรษฐศาสตร์ขี้โกง เศรษฐศาสตร์ที่จริงก็ต้องเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ผู้อื่นได้รับ ประโยชน์จากเรา แล้วเราก็ไม่ยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรา ไม่นับประเมินประมาณมา เป็นของเรา เราเป็นผู้ที่ได้ให้ เป็นผู้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นอย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้นอาตมาสรุปประชาธิปไตยลงไปในคำสอนพระพุทธเจ้าคือ อายะ 3
พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ อายะคือรายได้ ประโยชน์หรือกำไร หรือ Gain อายะ
-
ประโยชน์ หิตะประโยชน์ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
สุขอย่างไม่ใช่โลกียะด้วย แต่เป็นการอนุโลมตามลำดับ เพราะว่าคนจะให้มาเป็นสุขโลกุตระเป็นปรมังสุขังเลยทันทีไม่ได้ มันต้องอาศัยจนกระทั่ง จางแล้ว ถึงค่อยมาเป็นโลกุตระ มันจึงจะหมดเนื้อหมดตัวจริง
สัจจะที่เป็นประชาธิปไตยที่ 1.ไม่มีตัวตน 2. เป็นคนซื่อสัตย์ 3. รับใช้มนุษยชาติ
นี่คือความหมายถึงประชาธิปไตยแท้ๆ ความหมายเป็นอย่างไร แล้วทำจริงได้ไหม ดังว่า ถ้าทำได้ดังว่าจริง ประชาธิปไตยก็มีจริง เมืองไทยนี่แหละเป็นเมืองที่มีอันนี้ ขอยืนยันว่ามากกว่าทุกประเทศด้วย นี่ไม่ใช่พูดเล่นแต่พูดจริง แต่คนไม่เชื่อเพราะเขาไม่รู้เขาไม่เข้าใจ
จบด็อกเตอร์ประชาธิปไตยทางรัฐศาสตร์มากี่ใบก็แล้วแต่ เขาเรียนรู้แต่เทวนิยม ทั้งนั้น แต่มหาวิทยาลัยโลกุตระที่เป็นพุทธ อยู่ที่นี่ เขาไม่ได้มาเรียนหรอก เขาไม่ถือว่าเป็น มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยต้องอยู่ทางโน้น ก็ต้องเรียนแบบทางเทวนิยม ตำราก็ไป เอาทางเทวนิยม มาเป็นหลัก เป็นดอกเตอร์ทางรัฐศาสตร์ เปรียญ 9 แล้วก็มีความเป็น ประชาธิปไตยแบบเปรียญ 9 ก็ตาม ก็ยังเป็นเทวนิยมเพราะว่าโลกุตระ มันเสื่อม มันมีจริงอยู่ที่นี่
ขออภัยที่พูดนี้เป็นความจริง ไม่ได้ยกตัวอย่างตน ไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มตัวเอง แต่พูดความจริง แล้วความจริงมันไปข่มผู้อื่น มันไปยืนยันของผู้อื่น ว่าผู้อื่นไม่ได้เป็นอย่างที่เราเป็นนี้
ก็ยืนยันอันนี้ไป แต่ละคนพวกคุณนี้มีสัจจะพวกนี้ ก็จะมีความจริงพวกนี้ไปเรื่อยๆ วันแล้ววันเล่า ซึ่งมันไม่ได้รู้กันง่ายๆ เราก็รู้ดีว่ามันไม่ง่ายที่จะรู้ จนกว่าคนตาบอดเห็นได้ ก็ใช้สำนวนมันอย่างนี้แหละ
คนตาบอดชี้ให้คนตาบอดดูด้วยกัน ว่าท้องฟ้าสวยจัง เห็นไหมท้องฟ้าสวยจังเลย จนกระทั่งคนตาบอดอีกคนเห็นด้วยว่า ใช่ๆๆ นั่นแหละ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เป็นการใช้โวหาร ใช้วาทกรรม
สู่แดนธรรม… พ่อท่านคงหมายถึง คนมีดวงตาปัญญาเปิด
พ่อครูว่า… ต้องเป็นตาปัญญา ปัญญาก็เอาของพระพุทธเจ้ามาขยายเลยคือปัญญา 8 ตอนนี้ที่เขียนหนังสือเล่มนี้คงจะเป็น 3 เล่ม อาตมาทำเล่ม 2 เล่ม 3 อยู่ ตอนนี้อาตมาว่า คงใหญ่เกินเล่ม 2 ซึ่งปาเข้าไป 700 กว่าหน้าแล้ว ก็น่าจะแบ่งเป็น 3 เล่ม
สู่แดนธรรม… คนตาบอดเห็นได้ ผมก็แปลของผมว่า เครื่องบดบังปัญญา ทำให้ปัญญาเศร้าหมอง
พ่อครูว่า…ความเสื่อมของความรู้ที่เป็นโลกุตระของพุทธเจ้ามันเสื่อมตั้งแต่คำแรกคือคำว่า กาย
กายนี่คือ ก.ไก่ สระ อา แล้วเอาตัวเศษวรรตัวต้น ย ร ล ว ส ห ฬ อ
กายคือสภาพสอง กะ คือ 1 พอ กา ขึ้นมาก็ 2 กา เป็นบวกก็ได้ เป็นคูณก็ได้
แล้วจากบวก จากคูณก็มาเป็นหาร คือ ขีดกลาง มีจุด 2 จุด อยู่บนล่าง
กา ของทางพุทธ มันจะไขว้กัน เป็นบวกก็แปลว่าสมดุล เป็นคูณก็คือ มีความแตกต่างระหว่างองศาเล็กองศาใหญ่ บวกก็รู้ได้ยาก แต่เป็นคูณรู้ได้ง่ายกว่า กระทั่งเป็น 1 สนิท
ถ้า 1 สนิท เทวนิยม แยกออกมาจะเป็นคู่ แต่ของพุทธแยกออกมาเป็นหาร คือจุดล่างจุดบน ระหว่างขีด
พอเริ่ม 3 จะมีตัวตนรู้เรียกว่าประธาน
2 คือ S กับ H คือ บวกกับลบ คือ He กับ She
เสร็จแล้วมันก็มีประธานขึ้นมาอีกตัวนึง เป็นตัวที่รู้ ความต่างของ 2 ตัว และกำหนด 2 ตัวนี้ ควบคุม 2 ตัวนี้ ก็กลายเป็นตัวประธาน มีสามเส้าจัดการกันได้
จากสามเส้าจะออกมาเป็น 4 ก็ต้องที่แรงจะออกมานอก วงวน cyclic order ออกนอกวงที่มีแรงมากเหนือจากจุดกลางออกมาได้ ต้องเป็นแรงที่ 4 ที่สำคัญมากที่เขาเอามาใช้เป็นพลังงานออกไปนอกโลกอะไรต่ออะไรพวกนี้
สู่แดนธรรม… ทางสันติอโศกส่งข่าว เป็นกาละพิเศษที่ทางสันติอโศก รวมตัวกัน มีงานกินข้าวสวน รวมตัวกันเกี่ยวข้าว มีทั้งศิษย์เก่าศิษย์ปัจจุบันรวมตัวกันเกี่ยวข้าวจำนวนกว่า 50 ชีวิต โดยมีศิษย์เก่ามารวมกันถึง 9 คน ก็มี ออย ละไม เจียม ต้า เบนซ์ จาจ้า มิตร กอล์ฟ โด้ ศิษย์ปัจจุบันที่ไม่ได้กลับบ้าน แม้ปิดเทอมก็ไม่กลับ ประมาณ 10 คนก็มี มีชาวชุมชนด้วย ทุกคนรวมตัวกันเกี่ยวข้าวน่าประทับใจอย่างยิ่ง คนเหล่านี้ได้จ้างเขามาไหม
พ่อครูว่า… ไม่ได้จ้างมา คนเหล่านี้มาทำงานฟรีมีจิตใจเห็นว่าควรมาร่วมกันทำ
สู่แดนธรรม… แต่ละคนก็มีงานส่วนตัว
พ่อครูว่า… เขาเห็นใจส่วนรวม
สู่แดนธรรม.. ขอกลับมาสู่สังคม สาธารณโภคี ทำไมต้องมาสุข อยู่กับความจน
พ่อครูว่า… นี่แหละคือสภาพทวนกระแส ในโลกสามัญ จะต้องเป็นสุขในความรวย แต่ในโลกของโลกุตระจะเป็นสุขในความจน เป็นภัยต่อการไปแย่งกันรวย แต่ถ้าไม่แย่งกันรวย แจกไปเลย มันก็ลดสงคราม ลดคู่ต่อสู้ ลดภัย ลดการเบียดเบียน กลายเป็นการแจกจ่ายเจือจานเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แบ่งแจกกัน
ซึ่ง มันก็ใช้ภาษาอธิบายสภาวะอย่างนี้ ใครฟังแล้วเข้าใจซาบซึ้งก็ดี ใครเข้าใจแล้วเท่าไหร่ก็เท่านั้น หรือ ไม่เข้าใจไม่ซาบซึ้งเลยก็บังคับกันไม่ได้ แต่ละคน
สัจจะที่พิสูจน์ทนต่อการพิสูจน์หรือเจริญในการพิสูจน์ มันจะบ่งชี้ตัวมันเอง ไปเรื่อยๆ ทำไปเถอะ สัจจะจริง ใครก็แล้วแต่ จะแกล้งมาทำสิ่งที่ดีก็เอา คุณแกล้งทำสิ่งที่ดีนี้ให้ได้ เถอะ ทำให้ทนทำจนกระทั่งคนไม่ต้องกลับไปทำไม่ดีอีกแล้ว ทำอย่างนี้จนติดเลยจนได้ เลยมันก็ดีไหมล่ะ มาเถอะมาแกล้งดีก็ไม่ว่ากัน อย่าไปแกล้งชั่วเลย ไม่ต้องแกล้ง แต่ดีเอง เลยดีจริงเลย สำเร็จ มันต้องอย่างนี้
แสดงว่า ลึกซึ้งมากในการมาเป็นคนจน การเป็นคนรวยนั้นตื้นมาก ใครก็รู้ใครก็อยากเป็น แต่มาเป็นคนจนนี่แหละมันสุดประเสริฐ ไม่ใช่รู้ง่าย แล้ว ก็มาเป็นไม่ได้ง่ายๆ จะรู้แล้ว เปลี่ยนได้แล้วก็ยิ่งดีๆๆๆ และผู้ที่มาจน มันจะไม่ขาดหมู่ ถ้ามาเป็นคนจนขาดหมู่ ตาย ไม่มีประโยชน์ มีแต่เดินทางไปสู่ความตายอย่าง ไร้ประโยชน์ ไร้คุณค่า เหมือนพวกเชน หมดไม่เอา จนไม่เอาอะไรเลย อยู่ป่าเขาถ้ำแต่ตัวเอง ยังเปลืองลมหายใจอากาศ ยังเปลืองอาหาร เปลืองที่ให้คนยืนคนนั่งไม่มีประโยชน์อะไรเลย
สภาวะสัจจะย้อนสภาพ dialectic กับอายุขัยของพ่อครู
สู่แดนธรรม… เป็นคนจนจะไม่ขาดหมู่ ทำให้เห็นว่า คนจนอาริยะ แต่คนจนที่มีศัตรูมากคือ อริเยอะ คนพวกนั้นไม่มีพวก พึ่งพาหมู่กลุ่มไม่ได้
พ่อครูว่า… แม้พยัญชนะก็ชัดเจนอย่างนี้ เพราะฉะนั้นการพิสูจน์สัจธรรม พิสูจน์เข้าไปเถอะ อย่ารีบตายนะ ใครยังไม่อยากรีบตาย ยกมือซิ …
คนที่ไม่อยากรีบตาย อยากจะช้าๆตาย นานๆไปไม่ต้องตายไว เราก็สอนไว้หมดแล้ว 8 อ.จนถึงนามธรรม อยู่กับหมู่ก็แบ่งเบากันทั้งนั้นเลย
สู่แดนธรรม… พ่อท่านพูดอย่างนี้ทำให้ลบล้างคำพูดที่หลายวันก่อน พ่อท่านพูด ว่าอยากตาย
พ่อครูว่า… มันเป็นภาวะ dialectic คือ มันมาคำนึงถึงขันธ์ตัวเอง เหมือนที่พระพุทธเจ้า บอกกับพระอานนท์ว่าเรา ไม่ไหวแล้ว รูปขันธ์เหมือนเกวียนเก่า คร่ำคร่าคำว่า เก่าของท่านนี้ แน่นอนแสดงว่าเสีย พระพุทธเจ้าหมด มันไม่เต็มที่ ที่จะใช้งานได้ อย่างประสิทธิภาพสูงแล้วถือว่าเก่า แต่ถ้าผู้ที่สิ้นไร้ไม้ตอก เก่ามากๆ จะแย่แล้ว เขาก็ถือว่า ต้องใหม่ แต่ผู้ร่ำรวยมาก เก่าเท่านี้ เขาถือว่าเก่ามากแล้ว ทั้งๆที่มันไม่เก่าเลย ต้องเหมาะสมกับท่าน ท่านจะต้องสดใหม่อยู่ประมาณนี้ ถ้าไม่สดใหม่ประมาณนี้ถือว่าเก่า
อย่างอาตมานี่ ถือว่าเก่า ก็พยายามจะให้มันใหม่ พยายามๆไป แต่ละคนก็ เช้าขึ้นมาเจอกันเชียร์ ตอนนี้พ่อท่านหน้าใสดีจัง หน้าชมพูดดีจัง แต่วันนี้หน้าซีด ไม่ค่อยกล้าทักเท่าไหร่ เฉยๆไว้ ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ ไม่อยากให้เสียกำลังใจ
ขณะนี้นายกฯประยุทธ์ยืนหนึ่งและจะไม่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3
จริงๆแล้ว อาตมาทำงานโพธิสัตวภูมิในยุคนี้ มันเป็นยุคที่ สิ้นไร้ไม้ตอกจริงๆ อาตมาเป็นหมากลางตลาดที่ ไม่มีคนช่วย ไม่มีตัวช่วย ฟังดีๆตรงนี้
แม้เกิดมามีพระโพธิสัตว์ธรรมิกราช 1 องค์ กับอาตมา ท่านก็ช่วยอะไรอาตมาไม่ได้มาก เท่าไหร่ เกรงใจส่วนรวม เพราะท่านเป็นกษัตริย์
ท่านจะไม่รับเถรสมาคม ท่านจะไม่รับรองอันนั้น เป็นฐานอาศัยซึ่งมันจำเป็น status quo ในยุคนี้ต้องอาศัยอันนั้น ไม่อาศัยไม่ได้ มาอาศัยโพธิรักษ์จะไปไม่ออกเลย เพราะยังมวลไม่พอ จริงๆแล้วเถรสมาคมจริงๆเลยพูดที่เขาดูดีมีปัญญามันไม่ขี้เหร่หรอก แต่มันมีจำนวนบริวารที่ขี้เหร่มีเยอะ อันนี้ต่างหากที่มันมาล้มล้างจุดเด่นของเถรสมาคมเอง
เพราะฉะนั้นอธิบายไปแล้วก็จะเป็นความซับซ้อนอย่างนี้ มันเป็นไปได้อย่างสมสัดสมส่วนของมันอยู่
ถ้าเถรสมาคมบอกว่าเลิก ยกให้อโศกบริหาร ไหวไหม ไม่ไหว ไม่ไหวจริงๆ อย่างเขานั้นแหละ สามารถจะบริหารคนในฐานะพอๆกันได้ ของพวกเรานี้มันจะเอาอะไร ไปให้เขาได้ล่ะ เรามันไม่มีอะไร เพราะฉะนั้น มันไม่ได้ มันไปไม่ได้หรอก อย่างเขามีอะไร ที่มีอยู่เขามี จี๊เขาก็อู๋ ของเรา บ่จี๊ ไม่อู๋เลย จี๊น่ะ มันไม่ได้ เห็นไหมล่ะแต่ละสัดส่วน พูดไปก็จะชัดเจน มันไม่เหมาะสม มันเป็นไปไม่ได้ แล้วถ้าเราจะมีมากมายมี จี๊หรือเงินมาก มันก็ไม่ถูกตัวเราอีก ไม่เหมาะสมกับตัวเราเองนั่นแหละ มันขัดแย้งในตัวมันเองด้วย เพราะฉะนั้น มันจะต้องเป็นอย่างนี้แหละ เป็นเช่นนั้นแหละ เป็นเช่นนั้นเองเป็นเช่นนี้เอง เป็นพรรค์นั่นแหละ
มันก็ได้ขนาดนี้แหละไปเรื่อยๆ ทีนี้ พาดพิงไปถึง ปัจจุบันธรรม แม้แต่มีนายกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เหมาะสมที่สุดแล้ว แต่คนเขาแย่งอำนาจ เขามองลบหลู่ มองดูถูก ผู้ที่ตะกละอำนาจ แสวงอำนาจ เขาก็ไม่เห็นความจริง เขาก็จะเอาตัวเขา เอาพรรคพวก ของเขาขึ้นมา ทั้งนั้นแหละมันเป็นธรรมชาติธรรมดา แต่สัจจะของธรรมะ พระสยามเทวาธิราชยังมีอยู่ มันยังเป็นไปได้อยู่
ตราบที่ พลเอกประยุทธ์ยังไม่กบฏต่อตัวเอง ยังทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แล้วรักษาสภาพสัจธรรมของตัวเองได้ประมาณนี้ อาตมาว่าไปรอด ก็ดูต่อไป มันไม่ใช่การพยากรณ์ ผู้ที่จะแย่งชิงอำนาจก็ยังมีอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ดำเนินไป ตามหลักเกณฑ์ของสังคมประเทศ มีกฎหมายมีวิธีปฏิบัติ มันก็ไปของมัน ได้ไม่มีปัญหา ก็ดูไป พวกเราไม่ใช่ชาวดูไบ พวกเราเป็นชาวดูไป ก็ดูไปจริงๆ ดูไปเรื่อยๆ
ซึ่งอาตมาก็เห็นว่า ที่อาตมามองออก เห็นชัดๆเลยก็คือ
-
พลเอกประยุทธ์นี้ อดทน
-
ไม่ประชด สำคัญนะตรงนี้ พลเอกประยุทธ์ อดทนและไม่ประชด ดำเนินไปตามเหมาะตามควร ไม่แสดงออกซึ่งการประชด ไม่เอาตัวตนเข้ามารับ ดีมาก