650411 ปัญญา สมาธิและสันติภาพแบบพ่อครู รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 34
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1BZSSAX-djLCVn7CXcv5cILJpI03dPcBvjEbXK1NBZYs/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1h8CiGem4wMk4ent4nnU3brCnEFDXsiFx/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/cjTPIX1Dos/ และ https://youtu.be/T2qGLcCtNO4
_สู่แดนธรรม… วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เราจะทำรายการโดยไม่ให้พ่อท่านต้องปรุงมาก ต้องเหนื่อยในการที่จะแสดงธรรม เราจะไปกันเรื่อยๆ
สมณะเดินดิน… จริงๆแล้วร่างกายพ่อครูยังไม่พร้อมเท่าไหร่หรอก พวกเราก็เป็นห่วงจึงขอให้พ่อครูปรากฏตัวหน่อย ญาติโยมจะได้สบายใจขึ้น วันนี้คงจะช่วยกัน ก็เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์อนิจจังแล้วแต่พ่อครูจะมีแรงไหม
สู่แดนธรรม… เมื่อเช้าได้ฟังพ่อครูพูดคุยช่วงเช้า มีสาระสำคัญคือ ทำอย่างไรพวกเราจะมีความรู้สึก ละอาย เกรงกลัว เคารพรัก อย่างแรงกล้าต่อพ่อครู
สมณะเดินดิน… ในมุมนี้พ่อครูมองว่า คนข้างนอกหรือแม้แต่พระที่ได้รับความนับถืออยู่ภายนอก เขาจะเกิดความละอายอย่างแรงกล้าไม่ได้หรอก ก็ไม่ได้ปฏิบัติศาสนาอย่างถึงสภาวะ เขาจำเนื้อหาพยัญชนะภาษาของศาสนาได้หมดแล้ว ทำนองเดียวกันในแวดวงชาวอโศก ฟังพ่อครูพูดไปหมดแล้ว ก็จะไม่เกิดความรู้สึกแรงกล้าเช่นกัน แต่หากเราว่าเราไม่ค่อยรู้ เราก็จะเกิดความเคารพ ความรักอย่างแรงกล้า ความศรัทธาอย่างแรงกล้าได้ง่ายกว่า
สู่แดนธรรม… สมัยก่อนมีคนถามพ่อครูว่า คนเราอยากปรับปรุงตัวเองต้องทำอย่างไร พ่อท่านบอกว่า ถ้าคนคนนั้นถ้ายังเห็นข้อบกพร่องตัวเองอยู่คนนั้นจึงยอมรับการแก้ไข แต่ถ้าเขารู้สึกว่าฉันดีแล้วจะไปแก้ไขทำไม คนแบบนี้ก็ไม่ต้องหวังว่าเขาจะแก้ไขอะไรได้
พ่อครูว่า…เจริญธรรม เข้ารายการแล้วไง แล้วมีอะไรต่อ
ปัญญา 8 ประการอย่างบูรณาการ
สู่แดนธรรม… พ่อท่านเคยตอบเอาไว้ว่า ถ้าคนไหนที่คิดว่าเขาไม่มีข้อบกพร่อง หรือเขาไม่ยอมรับข้อบกพร่องของเขา เขาจะไปแก้ไขอะไรขึ้นมาได้ แล้วถ้าสำหรับควรจะปรับปรุงแก้ไขอะไรได้ควรทำอย่างไร
พ่อครูว่า… ผู้ทีไม่เห็นความบกพร่องของตนเอง แน่นอน เขาก็รู้ตัวเขาเอง เขาไม่มีข้อบกพร่องแล้วเขาจะไปแก้ไขทำไม เพราะเขาไม่เห็นข้อบกพร่องตัวเอง ไม่รู้จักข้อบกพร่องตัวเอง ดีไม่ดี เข้าใจว่าตัวเองนี้ ไม่ใช่บกพร่อง แต่รู้ดีรู้ครบรู้เต็ม รู้ถูกรู้ยิ่งใหญ่กว่าใครๆอีกด้วย เขาจะไปแก้ไขอะไร
อย่างอาตมานี่ก็ มันเป็นตัวอย่างของโลกจริงๆ เพราะ โลกนับถือค่านิยมของคนอื่นยกให้ ไม่ใช่เขาไม่มีปัญญา หรือมีความรู้ มีปฏิภาณปัญญารู้เองว่า อ๋อ! คนนี้มีความรู้ มีปรมัตถธรรม มีโลกุตระธรรมอย่างแท้จริง ธรรมดาเขาจะไม่รู้อย่างนี้ได้ง่ายๆ ถ้ายิ่งทุกวันนี้ มันเป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ไว้แล้ว ในอาณิสูตรว่า
ในอนาคตนั้นศาสนาพุทธเสื่อม เสื่อม จนไม่มีโลกุตระ เหลือ โลกุตรธรรมไม่เหลือ ท่านเปรียบเหมือนกลอง อานกะหรือตะโพนอานกะ ที่ได้กล่าวอยู่บ่อยๆหลายทีแล้ว
ที่ท่านพยากรณ์นั้นตอนนั้นยังเริ่มศาสนายังไม่ได้เสื่อมอะไร พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ แล้วท่านก็พยากรณ์เอาไว้ คำพยากรณ์ก็คือวาระนี้ ที่จริงมันเสื่อมไปเรื่อยๆแต่ไม่มีผู้รู้ ไม่มีผู้รู้เรากดตรงนั้นเข้ามาทักท้วง เขาก็ยิ่งหลงๆ ของเขาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งมีผู้เข้ามาทักท้วงอย่างในยุคนี้ ของศาสนาพุทธ ผ่านไป 2,500 กว่าปีแล้วเสื่อมมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเสื่อมจนไม่เหลือ ไม่เหลือจริงๆ อาตมากล่าวได้ว่าอย่างนั้น
อาตมาต้องมาสถาปนาลงไปใหม่ ทีนี้ มันก็เป็นสัมภาระวิบากของอาตมาเอง อาตมาก็จะต้องแสดงธรรมเพียวๆ เอาโลกุตรธรรมแท้ๆ เนี่ย มาแสดง มายืนยัน มาอธิบาย มาทำความเข้าใจให้คนรับรู้ได้
เพราะฉะนั้นผู้ที่มีธุลีในดวงตาน้อย ถึงจะเห็นได้เข้าใจได้ เมื่อ สามารถเข้าใจได้ก็มาปฏิบัติตาม ตั้งแต่อาตมาเริ่ม ทำงานศาสนามา ก็เริ่มมีผู้ปฏิบัติตาม ผู้ที่พอรู้ได้ มีธุลีในดวงตาน้อยมาเรื่อยๆ ก็เกิด จนกระทั่ง อาตมาทำงานศาสนาก่อนที่จะบวช ก่อน พ.ศ. 2513 อาตมาบวช พ.ศ. 2513 วันที่ 7 พฤศจิกายน 2513 อาตมาก็เอามาปฏิบัติเองอย่างที่ยืนยันว่าอาตมาเป็นสยังอภิญญา ไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่มีลูกศิษย์ลูกหาร่วมสำนัก พอรู้ด้วยตัวเองก็เอามาพูดตรงๆเขาจึงหมั่นไส้ ยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้เขาหมั่นไส้หนักเข้าไปอีกว่า หนอย.. บอกว่าเป็นผู้รู้ด้วยตัวเอง เป็นพระพุทธเจ้าหรืออย่างไร อาตมาก็ไม่เคยประกาศตัวเองว่าอาตมาเป็นพระพุทธเจ้า ก็บอกว่าเป็นพระโพธิสัตว์ ได้เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ด้วย นี่ก็ค่อยกระเตื้องๆ มา 50 ปีแล้ว ก็บอกว่าเริ่มเข้าไปหาระดับ 8 แล้วนะ
คนเข้าใจยากเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ ถ้าง่ายมันก็ไม่ใช่โลกุตรธรรม มันยากจริงๆ เพราะฉะนั้นผู้จะรู้ได้จะต้องรู้ตามปัญญา 8 ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้
จะต้องได้ยินจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง หรือแม้ยุคไหน ไม่มีพระพุทธเจ้าก็ต้องได้ยินจากสัตบุรุษหรือ สยังอภิญญา หรือไม่เช่นนั้น ก็ต้องได้ยินจากผู้อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิ ต้องได้ยินว่าอ๋อ!..โลกุตระเป็นอย่างนี้
ผู้ได้ยินได้ฟังแล้วมีปฏิภาณจับติดเลยว่า ความรู้นี้สุดยอดนะนี่ โลกุตรธรรมนะ แต่ยังไม่รู้ภาษาว่าโลกุตระคืออะไร ก็แล้วแต่ ก็ไม่เป็นไร แต่รู้ว่าอันนี้มันใหม่อันนี้มันแปลกนะ ใหม่ๆแปลกๆที่น่าทึ่ง ไม่ใช่ว่าแปลกๆใหม่ๆ แปลกๆที่พิเรนทร์ วิตถารไม่เข้าท่า แต่มันมีความแปลกที่มีความลึกซึ้งอะไรที่มีผู้ที่มีปฏิภาณของตัวเองชัดเจน จะรู้ได้เลยว่า อันนี้ไม่ธรรมดา เหนือธรรมดาแน่นอนก็จะปฏิบัติตาม ฟังแล้วฟังอีก ฟังแล้วฟังอีกให้บริบูรณ์
พระพุทธเจ้าจึงกำชับว่าต้องคบหาสัตบุรุษให้บริบูรณ์ ฟังสัทธรรมจากสัตบุรุษให้บริบูรณ์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ท่านเป็นมิตรดีสหายดีของทุกคน ต้องฟังต้องติดตามฟัง เข้าไปซักถาม ในปัญญาข้อที่ 2 ฟังจนกว่าจะเข้าใจว่า โอ้โห! ลึกซึ้งอย่างนี้เอง จึงจะรู้ความสงบ 2 ประการ ว่าโอ้โห!
ความสงบที่แท้จริง 2 ประการ 1. มันเป็นโลกุตระ 2. มันเป็นโลกียะ มันเป็นเช่นนี้เอง มันไม่ใช่ว่า จะบอกว่าใช่ก็ได้ ความสงบมี 2 ประการคือ สงบอย่างโลกียะเขาสงบ อย่างผู้คนทั้งหลายเขารู้กันเลย สงบ เขาก็ถือว่าเป็นความสงบเหมือนกัน สงบ 2 อย่างเหมือนกัน สงบที่คนทั่วไปรู้ก็คือ
1.สงบประเภทที่เรียกว่า ไม่ได้มีฌาน กดข่มจิตไว้
ส่วนสงบอีกอย่างหนึ่งคือการสะกดจิตไว้ คือโลกียะ ก็ทำกันทั่วโลก เทวนิยมก็ฝึกฝนกันไปก็สงบ คนไม่ได้ฝึกก็ไม่สงบ นั่นโลกีย์เขาก็บอกว่ามีความสงบ 2 อย่าง ก็เลยสะกดจิตหลับตา ฝึกฝน หรือแม้แต่ลืมตาก็ทำความสงบสมถะอย่างลืมตาก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น
แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ สงบ 2 อย่างคือ 1. โลกุตระ อีกอย่างหนึ่งคือโลกียะ ซึ่งต่างกันแน่นอน สงบอย่างโลกุตระนั้นซับซ้อน เพราะความสงบของอย่างโลกุตระ ไม่ต้องหลับตาเลย ตื่นเต็มเสียด้วยซ้ำ แล้วไม่ได้หยุดนิ่งเฉยด้วย คล่องแคล่วว่องไว ทั้งสภาพภายนอก นัจจะ คีตะ วาทิตะ ท่าทีลีลา สุ้มเสียงสำเนียง แคล่วคล่องปราดเปรียว ได้ชัดเจน สาธยายเต็มที่ แต่สงบ
เพราะคำว่าสงบนั้นหมายถึง กิเลสมันสงบ กิเลสมันหยุดทำการ กิเลสมันไม่มี สงบเพราะจิตไม่มีตัวกวน จิตไม่มีกิเลสเข้ามากวนเลย เริ่มต้นตั้งแต่มันลดลงๆ ก็สงบลงไปเรื่อยๆ จนมันหมดมันดับ กิเลสตายหมด สงบ ยิ่งสงบยิ่งตื่น ยิ่งสงบยิ่งรู้ทั่ว เป็นโลกวิทู เป็นโลกุตรจิต จิตยิ่งเยี่ยมยอด
เพราะฉะนั้นการสงบ คำเดียวนี่ ความสงบคำเดียวนี่ ถึงไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญ ทั่วโลก ผู้สามารถแยกความสงบ ที่เป็นโลกุตระได้ นั่นแหละคือผู้มีปัญญา เป็นปัญญาข้อที่ 3
เพราะฉะนั้นเมื่อชัดเจน ศรัทธาเลื่อมใส มีความศรัทธาอย่างแรงกล้า เลื่อมใสอย่างแรงกล้า ก็จะเริ่มปฏิบัติตาม เพราะฉะนั้นการปฏิบัติตามของพระพุทธเจ้าก็คือเริ่มจาก ศีล เป็นปัญญาข้อที่ 4
เริ่มจากศีลเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 สรุปก็เรียกว่าไตรสิกขา แต่เดี๋ยวนี้ไปเอาไตรสิกขาไปตีกินหมดแล้ว ขยายความเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ก็ยังค่อยยังชั่ว พอเขามาเจอเข้าก็ละเอียดขึ้นมาหน่อย ถึงจรณะ 15 วิชชา 8 มีศีล แล้วก็มี อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นตัวปฏิบัติที่ชัดเจนแล้วเกิดผลเป็นสัทธรรม 7 ไปตามลำดับและมีปัญญาเป็นยาดำ ซ้อนเรียงแทรกให้เป็นตัวรู้เข้าไปตลอดเวลา ไม่ได้แยกจากกันเลย มีปัญญาเข้าไปช่วยรู้ไปเรื่อยๆ
มีศีล มีการปฏิบัติเป็นมรรคเป็นผลก็เกิด พหูสูต เป็นปัญญาข้อที่ 5 เป็นผู้รู้ยิ่ง เขาไปแปลพหูสูตรว่าเป็นผู้รู้มาก ในพยัญชนะ แล้วรู้มากรู้แต่ตรรกะ รู้แต่บัญญัติ รู้แต่ความรู้ไม่เข้าไปถึงสภาวะ อันนั้นก็ผิด แต่พหูสูตของพระพุทธเจ้านั้น รู้สัจธรรม หรืออีกคำว่า เรียก พาหุสัจจะ เป็นความจริงที่มากหลาย
อธิบายต่างกัน ท่านมหาประยุทธ์หรือท่านพุทธโฆษาจารย์ อาตมาอธิบาย ท่านก็แย้งไปตามความเห็นของท่าน แต่ก่อนก็ไม่ได้อธิบายอย่างวิจิตรพิสดาร ทุกวันนี้อธิบายละเอียดวิจิตรพิสดาร
ยิ่งผู้ใดสามารถทำให้เกิดพหูสูตจริง ก็ยิ่งมีวิริยารัมภะ เป็นปัญญาข้อที่ 6 ยิ่งพากยิ่งเพียร เห็นความเจริญงอกงามไพบูลย์ ยิ่งมีความเจริญ ความงอกงามความไพบูลย์ของปัญญายิ่งขึ้นๆ ยิ่งเป็นความเห็นที่จริงเป็นความรู้ที่จริงเป็นสัจจะที่จริง ที่เกิดหากทำให้ถูกเหตุปัจจัยแล้วผลก็เกิดดังที่ว่า ผลก็เกิดอย่างนี้จนกระทั่งเต็ม อย่างน้อยเป็นอรหันต์ ก็เป็นปัญญาข้อที่ 7
อย่างน้อยเป็นอรหันต์ประมาณหนึ่ง เป็นอรหันต์ระดับ 4 ก็สมบูรณ์แบบ เป็นรอบของความบริบูรณ์ ในความเป็นใบไม้กำมือเดียวที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมตรัส ว่าท่านสอนใบไม้กำมือเดียวท่านไม่ได้สอนโพธิสัตว์ ในเถรวาท หรือ พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐไม่ได้สอนโพธิสัตว์ สอนแต่เป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์เท่านั้น อรหันต์นี่คือเบื้องต้นของพรหมจรรย์ ก็ตรัสไว้ชัดเจนเช่นนี้แหละ แต่เขาอ่านไม่แตกฉาน
อาตมาผ่านอรหันต์ อรหันต์โสดาบัน อรหันต์สกิทาคามี อรหันต์อนาคามี อรหันต์อรหันต์ ผ่านอรหันต์ระดับ 5 อนุโพธิสัตว์ อรหันต์ระดับ 6 อนิยตโพธิสัตว์ อรหันต์ระดับ 7 นิยตโพธิสัตว์
ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐไม่ได้บันทึกเอาไว้ มหายานเขามี มีจนเกิน อาตมาก็ไม่ได้ไปเอาพระไตรปิฎกมหาญาณมาอ้างอิงยืนยันมากมาย เพื่อที่จะขยายนัก ก็ขยายแค่ธรรมดาไม่ต้องถึงขั้นไปเอาตำราของมหายานอันอื่นๆเข้ามา อาตมาก็ว่าเหลือแหล่แล่ว ทุกวันนี้อธิบายก็ยังไม่จบไม่หมดก็ว่ากันไป
จนกระทั่งถึงปัญญาข้อที่ 8 รู้ครบถ้วนเลยการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ของทั้ง ขันธ์ 5 รูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วปฏิบัติได้ครบถ้วนที่จริงก็ถือว่าเป็น อุภโตภาควิมุติ
ผู้ที่เป็นปัญญาวิมุติ ก็ยังเหลือภพเหลือชาติ เป็นสุทธาวาส อีก 5 ภพชาติ เป็นต้น แต่ยังไม่ขยายความใน สุทธาวาส 5 ระดับก็ขอพักไว้ก่อน
อาตมาเองอาตมา จริงๆแล้วนี่ อาตมาเกิดมาในชาตินี้ตอนแรกก็ไม่รู้ตัวละเอียดลอออะไรมากมายหรอก ก็ค่อยๆรู้ตัวขึ้นมาเรื่อยๆ ก็รู้ตัวว่าเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วก็มาทำงานจนกระทั่งฟื้นสัญญาเก่า ภพเก่า ความรู้เก่า สัมภาระวิบากเก่า เอามาสาธยาย สิ่งที่ศาสนาใดที่พูดไปแล้วมันก็ไม่มีใครมี เพราะยังไม่มีโพธิสัตว์โดยเฉพาะโพธิสัตว์ระดับ 7 ยังไม่มี
ก็เลยยังไม่มีใครที่จะอธิบายขยายความอย่างนี้ ยังดีที่มีโพธิสัตว์ระดับ 6 อุบัติขึ้นมาในโลกนี้ ท่านก็ทรงงานของท่านไป ทรงงานตามสัมภาระวิบากของท่าน เสร็จแล้วก็มีผลเป็นการสร้างรูปให้แก่อาตมาได้ ได้เข้าไป แต่อาตมาก็เป็นอาภัพพบุคคล เป็นบุคคลอาภัพชาตินี้ เป็นภาษาไทยเข้าใจคำว่าอาภัพ เป็นอาภัพพบุคคล คือเป็นบุคคลที่ ตกต่ำ
เป็นคนที่คนไม่ค่อยยอมรับนับถือง่ายๆ เป็นคนอาภัพ เป็นหมากลางตลาด ต้องคอยหลบปังตอ ต้องหลบน้ำร้อน หลบแรงถีบของเจ้าของร้านนั้นร้านนี้ ก็เป็นอย่างนั้น
เกิดมาในชาตินี้อาตมาที่เป็นเช่นนั้น ไม่มีอลังการ ไม่มีความรู้ ไม่มีอะไรยอมรับ ไม่มีสำนักไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่มีอะไรนี่ มีแต่ตัวล่อนจ้อน ไม่มีอลังการอะไร นักธรรมตรีก็ไม่ได้สอบ เปรียญ 2 3 ไม่มีทั้งนั้น แม้แต่ความรู้ทางโลก ปริญญาตรี ก็ไม่ได้กับเขา ได้แค่ปวส. ยังดีไม่ใช่ได้แค่ ปวช.
สู่แดนธรรม… ผมก็ได้แค่ปวช.ครับพ่อท่าน
พ่อครูว่า… ไม่มีปัญหา ความรู้ทางธรรมไม่ได้เทียบกับทางโลก
อาตมาจึงยืนยัน จำเป็นที่จะต้องสาธยาย ให้ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญามีบารมีรับฟังรับรู้ แล้วมาเอา มาปฏิบัติตามจนมีมรรคมีผลขึ้นมา แล้วก็สามารถเกิดมนุษยชาติ จับกลุ่มกันเป็นชุมชนสังคมขึ้นมา เป็นสังคมสาราณียธรรม 6 ก็ยืนยัน ก็พิสูจน์กับชาวโลกเขายืนยัน
ตั้งแต่เรียนอยู่เพาะช่าง มีเพื่อนร่วมรุ่น ปวช.ด้วย อาตมาเรียนวิจิตรศิลป์ ไม่ได้เรียน ปม. อาตมาอยู่หลังสุด(ตามภาพ) อาตมาว่าอาตมายิ้มเท่กว่าใครอยู่นะ เป็นสัญลักษณ์ของตัวเอง
ก็เอาละ อันนั้นก็คือสิ่งที่ผ่านมา แต่ธรรมะนี่สิ มันเป็นของตัวของตนเองแท้ๆ อาตมาก็ขอยืนยันว่ามันเป็นโลกุตรธรรม
สู่แดนธรรม… ผมกำลังได้ยินพ่อท่านพูดถึงว่า ก็คนลดละกิเลสได้มากขึ้นก็จะมาอยู่รวมกันเป็นสังคม ก็เลยว่าพ่อท่านน่าจะพูดถึงสังคมที่คนลดกิเลสได้จะเจริญอย่างไร จะมีผลอย่างไรครับพ่อท่าน
พ่อครูยังคงลากสังขารอยู่ต่อไปเพื่อให้คนไทยเกิดอัญญธาตุ
พ่อครูว่า… ขอพูดประเด็นนี้ก่อน ก็ท้าวความว่าตลอดเวลา พระพุทธเจ้า ทุกพระองค์แม้อาตมาเป็นโพธิสัตว์มาเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นมนุษย์เป็นคนเหมือนกันกับทุกๆคน เสร็จแล้วก็มาเห็นจุดสำคัญของโลกุตรธรรม เริ่มจุดประกายโลกุตรธรรม เป็นอัญญธาตุ ก็สะสม อัญญธาตุ เป็นธาตุอื่นที่แตกต่างจากโลกียะธาตุ เป็นโลกุตรธาตุ จนมี อัญญธาตุ 50 60 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ก็จะมีรังสีออกมาให้เห็นเหมือนกับอัญญาโกณฑัญญะ ซึ่งเป็นตัวอย่างของมนุษย์คนแรกที่รับรู้โลกุตรธรรม แสดงออกความจริง จนพระพุทธเจ้าอุทานว่า โอ้! อัญญาสิ วตโภ โกณฑัญโญ โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ รู้แล้วนะ รู้อะไร รู้สิ่งที่เป็น อัญญธาตุ
อัญญาคือความรู้ที่เป็น อัญญธาตุ เป็นความรู้โลกุตระที่เป็นอื่นจากโลกียะ
อัญญะ แปลว่า อื่น จากอันที่มันมีอยู่แล้ว ก็คือโลกุตรธรรม
เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วพระพุทธเจ้าหยั่งรู้จิตของโกณฑัญญะได้ โอ้! โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ ในบรรดาพราหมณ์ 5 รูป โกณฑัญญะเป็นพราหมณ์หนุ่มกว่าเพื่อน ได้รู้ขึ้นมา โอ้ เสร็จแล้ว เริ่มรู้โลกุตรธรรม ท่านก็เริ่มสอนความรู้โลกุตระธรรมไปตามลำดับ
ท้าวความถึงว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนเหมือนคนอื่นๆ เมื่อท่านเองท่านได้รับกระแสของโลกุตระ หรือ อัญญธาตุ ขึ้นมา ท่านก็ติดตามศึกษา พยายามติดตามศึกษา เรียนรู้ฝึกฝนตาม ซึ่งมันกว่าจะได้พบเกิดสภาพพวกนี้ขึ้นมา นับกาละไม่ได้ ไม่รู้กี่ล้านๆๆๆชาติ ในการเกิดวนเวียนของมนุษยชาติ แต่ละคนแต่ละคนไม่รู้กี่ล้านๆชาติ พระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วไม่รู้กี่ล้านๆชาติ จึงได้มาพบสิ่งนี้ แล้วก็ค่อยๆจุติ สั่งสม อัญญธาตุ จนกระทั่งมีมากพอที่จะทำให้พระพุทธเจ้า หยั่งรู้ได้ เหมือนพระพุทธเจ้าสมณโคดม หยั่งรู้อัญญธาตุในจิตของโกณฑัญญะ
จนกระทั่งสามารถรับรู้ ท่านก็สอนต่อได้เอาโลกุตรธรรมสถาปนาลงไป จนสำเร็จ 45 พรรษา ท่านก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของท่านที่จะสอนโพธิสัตว์ โพธิรักษ์นี่แหละเป็นหน้าที่ บอกตรงๆเลย มีธรรมิกราช 2 พระองค์ คือพระเจ้าแผ่นดิน ร.9 กับโพธิรักษ์ จะนำรูปนามของโลกุตรธรรมเข้ามาสถาปนาลงไปในประเทศไทย
ซึ่งในหลวง ร.9 ท่านก็ทรงของท่าน จนกระทั่งเกิด Bomb of love ซึ่งคนที่รู้ภาษาอังกฤษดีบางคนใช้คำว่า Explosion of love หรือคำอื่นอีก ก็คือ เกิดความเป็นหนึ่งเดียวขึ้นมา แล้วก็ระเบิดขึ้นมาให้โลกได้รับรู้ โอ้โห! อันนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่
อย่างอาตมานี้เป็นนามธรรม กว่าคนจะรู้ มันจะไม่ตื่นเต้นอย่างรูปธรรม รูปธรรมนี้ตื่นเต้น แต่นามธรรมมันค่อยๆรู้เป็นลำดับ ธาตุ ญาณปัญญาจะซึมไปทีละระดับ ไม่โขลกเขลก วูบ เหมือนตกเหวเหมือนพลังภายในแล้วขึ้นไปสู่ที่สูง ไม่ใช่ มันจะมีลำดับยิ่งกว่าฝั่งทะเลเป็นอัศจรรย์
เพราะฉะนั้นไม่ใช่แบบขึ้นภูเขาทางชันไปทีเดียว มีวิชาตัวเบา วิ่งทีเดียว 10 กิโล 100 กิโลได้ทีเดียว ไม่ใช่ ของนามธรรม ไม่ใช่ตื่นเต้นแบบนั้น
อาตมาทำงานจะไม่ตื่นเต้นอย่างของในหลวง ร. 9 ไม่ตื่นเต้นเพราะมีปัญญาที่รู้ไปเป็นลำดับ เนียนไปเลย ไม่ได้รู้อย่างนั้น แต่กว่าคนจะรู้และยอมรับ มีมวล มีปริมาณได้กว้างขวางได้มากพอที่จะเอามาประกาศ อาตมาประมาณไม่ได้ กำหนดไม่ได้เลยว่า มันจะเมื่อไหร่
แต่อาตมาเท่าที่จะรู้สึกว่า ขันธ์นี้ ร่างนี้ คงตายก่อน ตายก่อนที่ ประชากรทั้งโลก หรือไม่ทั้งโลกหรอก แค่ประเทศไทยนี่ จะสามารถลืมตาอ้าปาก ขึ้นมารู้ อ๋อ.. โพธิรักษ์ แสดง โลกุตรธรรมจริงๆนะ ซึ่งมีจำนวนมากพอที่จะเป็นค่านิยมของสังคม ตื่นตาตื่นใจ โอ้โห! ไม่น่าเชื่อ
เพราะว่าสัจธรรมมันขี้เหร่จริง ขี้เหร่จริงหนอ ความจริง ขี้เหร่จริงหนอสัจธรรม มันขี้เหร่จริงๆในยุคนี้ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ คนจะไปหลงใหลที่สวยที่งาม ฟรุ้งฟริ้ง ที่เขาจะสาธยายด้วยภาษาโลกียะอย่างวิจิตรพิสดารต่างๆนานาที่เป็นกันอยู่อย่างที่เห็น ภาษาอย่างโพธิรักษ์ ตอกกิเลสเปรี้ยงๆ เขาฟังไม่สนุกหรอก ฟังแล้วมันโดน ฟังแล้วมัน แหม! คนที่พอใจที่ได้ฟังโลกุตระ ฟังถึงสิ่งที่ตำหนิ สิ่งที่เป็นการชี้บ่งถึงสิ่งที่คุณต้องเลิก ต้องละ ต้องลด
ชี้แล้วผู้ที่ได้ฟัง เปรี้ยงเลย ยอมรับ มันเจ็บมันปวดนะ เพราะฉะนั้นคนที่จะยอมรับที่จะเจ็บปวดนี้ต้องมีปฏิภาณปัญญาลึกซึ้ง ที่จะเปิดรับได้รู้ได้ มันมีความซับซ้อน จึงไม่ใช่เรื่องสามัญที่จะเป็นเรื่องธรรมดาที่คนจะรู้กันได้ง่ายๆ
ซึ่งความซับซ้อนพวกนี้อาตมาค่อยๆไขไปเรื่อยๆให้เห็นความซับซ้อนต่างๆ
นี่ก็พยายามลากสังขาร ลากจริงๆ ลากสังขารจริงๆ ซึ่งก็
-
ที่ลากสังขารนี่ เพราะยังไม่มั่นใจว่า ซึ่งจริงๆก็ยังไม่มั่นใจจริงๆ นั่นแหละ ว่าโลกุตรธรรมที่สาธยายไว้แล้วนี้ เขียนไว้ก็เยอะ สาธยายไว้ก็พอสมควร มันจะมากพอที่คนจะรับได้ จะให้เขาไปเปิดฟังซ้ำซาก ไปอ่านซ้ำซากเอง มันไม่สดเท่ากับต้องพูดเองสดๆ