650401 ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 2 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/16mEEFC64bdZ1m3gtIwWthC02jE16avJGSp6rfbbvFco/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1L3zEoreOfK3u5NyT8dFnOg-BQrmm6z-h/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/c6HCHeMQyg/ และ https://youtu.be/xpsTucKfAlI พ่อครูว่า… เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2565 แรม 15 ค่ำเดือน 4 ที่บวรราชธานีอโศก ที่นี้มาเริ่มรายการวันนี้กัน เราก็ใช้เวลาไปอีก 1 ชั่วโมงครึ่ง ในการที่จะแสดงธรรมเทศนาในวันนี้ โอภาปราศรัยกับ SMS เขาหน่อย SMS วันที่ 28-29 มีนาคม 2565 การเตรียมตัวตายมีประโยชน์หรือไม่ _ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ ผมมีเรื่องจะเรียนถามพ่อท่านว่า คนเรามีชีวิตอยู่ประจำวัน มีทั้งสุข มีทั้งทุกข์ พอถึงเวลาจะเสียชีวิตก็คงจะทุกข์ทรมานมากใช่ไหมครับ ฉะนั้น ตอนยังปกติอยู่เราจะต้องเตรียมตัวและเตรียมใจอย่างไรล่วงหน้าพอถึงเวลาจะได้ ทำตัวทำใจได้ถูกต้องครับ กราบนมัสการขอบพระคุณพ่อท่านครับ พ่อครูว่า… ก็ใช้เวลารู้ แล้วก็เตรียมตัวไป ว่าก่อนจะตายเราจะทำใจอย่างไรก็ได้ ที่จริง ทุกอย่างเราจะเตรียมใจก่อนตาย แล้วก็ตายในอารมณ์ที่เราตายนั้น เช่น เราตายในอารมณ์ที่คิดถึงความสุขที่เคยมีมา มันก็ชั่วแวบ พอตายลงไปแล้วมันก็จะอยู่ในภพ หมดอินทรีย์ 5 ข้างนอกควบคุม จะเป็นจิตของตัวเราเอง เป็นสัมภเวสีของเราเองเพียวๆ ที่มันก็จะเป็นไปตามวิบากที่เราได้สั่งสมมา จะทำไปอย่างไรๆก็ไม่ได้อะไรนักหนา ไม่ได้อะไรมากมาย ไม่มีอะไรสู้กรรมวิบากของเราเองที่ทำไปแล้ว แต่ก็ดีที่ทำแล้วสบายใจ เพราะฉะนั้นในเรื่องสุขเรื่องทุกข์นี้ เป็นเรื่องโลกุตระซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากๆเลย อาตมาพูดไปแล้วคนก็ยังไม่เข้าใจลึกซึ้ง เป็นภูมิธรรมเป็นสัมมาสัมโพธิญาณของพระพุทธเจ้าเรื่องสุขเรื่องทุกข์ เพราะฉะนั้นเทวนิยมทั้งหลายแหล่เขาไม่ประสีประสากับเรื่องสุขเรื่องทุกข์ เขาหลงความสุขเป็นสุขนิยม เขาไม่รู้เรื่องทุกข์ พระพุทธเจ้า จึงบอกว่ ผู้ที่รู้ทุกข์เป็นผู้เจริญ เป็นผู้ประเสริฐ เป็นสัจจะของผู้ประเสริฐ ถ้าไม่ใช่ผู้ประเสริฐจริงเป็นมิลักขะอยู่ พวกเทวนิยมทั้งหลายแหล่ พูดไปแล้วก็เหมือนไปข่มเขา ไปข่มชาวเทวนิยมทั้งหลายแหล่เขา ซึ่งมันเป็นสัจจะที่อาตมาพูดไม่รู้กี่ทีแล้ว มันก็มีเชิงข่มแน่นอน เพราะเขายังไม่รู้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ครบถ้วนทุกอย่าง ทั้งสุขและทุกข์ และสุดท้ายก็รู้ว่าเป็นมายา ก็ไม่ไปมีอาการ คนที่จิตไม่มีอาการสุขอาการทุกข์ เรียกว่าอทุกขมสุข มันไม่ใช่เรื่องสามัญ ไปจัดการให้ไม่สุขไม่ทุกข์แบบกดข่มมันก็พอได้ แต่มันไม่ถาวรมันไม่จริงไม่มีปัญญาเข้าไปจัดการเลย เพราะฉะนั้นคำว่าปัญญาคำนี้จึงยิ่งใหญ่มาก เดี๋ยวจะได้อธิบายเรื่องปัญญาต่อ เอาที่เขียนไปแล้วมาอ่านไปแล้ว เดี๋ยวจะได้ต่อเนื่อง _คอยใคร : ผมฟังรายการตอนตี4ที่เป็นบันทึกพ่อครูเทศน์สมัยหนุ่มเสียงดังฟังชัดพูดไว เทียบกับตอนนี้ก็ยังเทศน์เนื้อหาหนักแน่นเหมือนเดิมขาดแค่ความดุดันทางเสียงเท่านั้นครับ เป็นไปตามกาละเวลา กราบขอให้พ่อครูเทศน์ให้ชาวอโศกฟังต่อไปอีกยาว ๆ ครับ จากคนนอกวันคนหนึ่งครับ _เยาวลักษณ์ วัฒนเสรีกุล : หนูอยากทำกุศลจะโอนเข้าบัญชีบ้านราชเมืองเรือ shopได้ไหมค่ะ หนูฟังธรรมมะชาวอโศกมา 7 ปีแล้วค่ะ พ่อครูว่า… ถ้าฟังมา 7 ปีติดต่อมาเรื่อยๆ ก็คงเข้าสามารถเข้าใจได้บ้าง ที่เรามีหลักการรับบริจาคอย่างนั้น คือให้รู้ว่าอโศกเป็นอย่างไร คุณจะทำทานบริจาคเป็นกุศลด้วยนี่ มันคืออะไร ไม่อยากให้งมงายไปถูกหลอก ให้ทำทานบริจาคกันไป ทิ้งๆขว้างๆ ไปช่วยสนับสนุนบาป เป็นพุทธศาสนาด้วยมันน่าสงสาร ก็อยากให้ใช้ปัญญา ใช้สติสัมปชัญญะปัญญารู้เพื่อที่จะได้ทำให้ถูกต้อง ไม่ได้แอ็คอะไรหรอก แต่ต้องการให้มันเป็นความจริง _ตุ๊ก อัศวิน : พ่อครูปรารภว่า..”เบื่อหน่ายสังขารเต็มที..ไม่อยากทรงไว้!!” ฟังแล้วสะท้อน..สะเทือนใจ..ยิ่งนักเจ้าค่ะ ขออารธนาพ่อครู..โปรดดำรงขันธ์เพื่อแสดงให้เกิดสัมมาทิฎฐิให้ปรากฏ..จักได้ยืดอายุพระพุทธศาสนา..ดำรงสืบต่อถึง 5,000 ปี ตามปณิธาน อีกทั้ง เพื่อประโยชน์สุขของมนุษยชาติทั้งมวลด้วยเถิด..เจ้าค่ะ พ่อครูว่า… ก็ตามที่คุณเข้าใจถูกแล้วที่อาตมาพยายามยืดอายุตัวเองอยู่นี่ พยายามกระเสือกกระสนไป จริงๆความจริงคือความจริง อาตมาเห็น ภาราหเวปัญจขันธา ขันธ์ทั้ง 5 เป็นภาระจริงๆเลย ต้องกินให้มัน ต้องนอนให้มัน ต้องอาบน้ำอาบท่าให้มัน โอ้โฮ.. ตลอดเวลาเป็นภาระ เพราะฉะนั้นถึงเวลาวาระที่ต้องอาศัยมันยาก มันเก่า มันค่ำคร่า เหมือนพระพุทธเจ้าท่านตรัสกับพระอานนท์ อานนท์ ร่างกายเราแก่เฒ่าเหมือนเกวียนเก่าคร่ำคร่าไม่แน่นแล้ว เป็นภาระ มันเป็นเรื่องเกิดขึ้นตั้งอยู่เสื่อมไปเป็นสัจจะ ก็พยายามไป เท่าที่มันจะสามารถเอาไว้ได้ ประคองไปได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ความรู้ที่พระพุทธเจ้าค้นพบนั้นจริงและจบที่สุด _สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการท่านสมณะและสิกขมาตุด้วยความเคารพค่ะ ดิฉันเป็นคนปัญญาน้อย และโง่มากค่ะ ดิฉันไม่ได้ถ่อมตน นี้เป็นเรื่องจริง ดิฉันกว่าจะมีภาวะเข้าใจมีเหตุผล 2 ข้อคือ 1.ดิฉันเอาเรื่องนั้นๆมาฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้งเป็นสิบครั้ง 2.พ่อครูเทศน์เรื่องใดๆแล้วไม่ทิ้งเรื่องนั้นๆและยังเอามาเทศน์ซ้ำอีกลึกขึ้นอีกนับสิบๆครั้ง นานอยู่หลายเดือน นับเป็นปีก็มี จบไปแล้วยังเอาเรื่องเก่ามาสอนใหม่อีกเช่นเรื่องกาย ปฏิจสมุปบาท มูลสูตร อาหาร4 วิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วิโมกข์ 8 เป็นต้น กราบนมัสการค่ะ พ่อครูว่า… ก็จริงอาตมาก็ต้องเอาคำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านทรงค้นพบและเอามาประกาศ อาตมาก็ช่วยพระพุทธเจ้าเผยแพร่สืบทอดต่อไป พระยุคกาลนี้พระพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้นมาแล้ว มีแต่พระโพธิสัตว์อย่างอาตมานี่แหละจะมาสืบทอดไป เป็นหน้าที่ จนกว่าศาสนาจะครบ 5,000 ปี ของพระพุทธเจ้าสมณโคดมนี้ ก็ยังเหลืออีก 2,000 กว่าปีก็ต้องพยายามช่วยกันไป เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องหน้าที่ เป็นเรื่องมนุษยชาติที่จะรู้จักสิทธิหน้าที่ของตน ที่ได้มีมา พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์หรือเป็นคนเหมือนกัน เหมือนกับเราทุกๆคน แต่พระพุทธเจ้าท่านใช้เวลานับล้านๆชาติ เกิดแล้วตาย เกิดแล้วตาย เป็นล้านๆชาติ บางยุคกัป อายุยาวตั้งหลายพันปี หลายหมื่นปีกว่าจะตาย ก็ผ่านมาจนไม่รู้มันยาวไกลมากมายเท่า เกิดมาก็เพื่อแสวงหาความรู้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทุกพระองค์ อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าเลย พระโพธิสัตว์ก็พอรู้จบพระอรหันต์แล้ว ก็จะรู้จักความรู้ สิ่งที่มนุษย์พึงรู้ที่สุด มันมีอยู่อันเดียวคือ อริยทรัพย์ อริยสัจ 4 สัจจะของผู้ประเสริฐ เพราะฉะนั้นเป็นโพธิสัตว์โดยเฉพาะยิ่งเป็นพระพุทธเจ้า พอรู้ตัวว่าเป็นพระพุทธเจ้าจึงไม่ทำงานอย่างอื่น พอรู้ตัวเมื่อไหร่ไม่ไปทำงานอย่างอื่น ทำงานนี้มาตลอดเป็นโพธิสัตว์มาจนกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้า เรื่องความรู้ในโลกเยอะแยะ ไม่รู้กี่แขนง กี่อย่าง กี่อัน ทั้งนั้นๆ เป็นพระพุทธเจ้าหรือเป็นพระโพธิสัตว์ก็จะต้องไปรู้จักความรู้พวกนั้นมา แต่ละชาติๆ ก็ต้องไปรู้ตามโลกเขาด้วย ตามระดับของพระโพธิสัตว์ ที่จะพึงรู้ ตามความรู้อะไรก็แล้วแต่ที่มนุษย์ควรรู้กันก็ไปรู้กับเขา โพธิสัตว์ต้องรู้ ไม่ใช่ไปพูดโดยที่ตัวเองไม่รู้ รู้มาแล้ว ผ่านมาแล้ว แล้วเอามาพูด แล้วก็พยายามบอกให้รู้ว่ามันไร้สาระ สาระที่แท้คือวิมุติ ตามมูลสูตร มีวิมุติเป็นแก่น อมตะเป็นที่หยั่งลง เป็นต้น ผู้ที่เข้าใจรู้จักสภาวะ อย่างอาตมาเห็นมูลสูตรแล้ว ก็รู้ว่าเป็นหมวดธรรมที่ยืนยันมาตั้งแต่ต้น มีฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นแดนเกิด มีผัสสะเป็นสมุทัย มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง มีสมาธิเป็นประมุข มีสติเป็นอำนาจใหญ่ มีปัญญาเป็นอุตตระ เป็นความเหนือ มีวิมุติเป็นแก่น มีอมตะเป็นการหยั่งลงของมนุษยชาติ จบที่เป็นอมตะบุคคล เมื่อเป็นอมตะบุคคลแล้วจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็แล้วแต่ท่าน อมตะหมายความว่าจะตายหรือจะเกิดก็ได้ เรื่องของท่าน ตายอย่างชนิดที่เรียกว่า ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายแล้วเลิกเลย เลิกจิตนิยามเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย หมด จบสิ้น จิตนิยามอันนั้น ได้ถึงที่สุด ความรู้ที่พระพุทธเจ้าค้นพบ รู้เรื่องจิตเจตสิกรูปนิพพาน รู้เรื่องของพระเจ้า รู้เรื่องของจิตวิญญาณ รู้เรื่องของอัตตา รู้เรื่องของชีวธาตุที่เป็นธาตุรู้ ธาตุไม่รู้มันไม่รู้อะไร อุตุธาตุ มันไม่รู้เรื่องรู้ราวหรอก มันมีหน้าที่อย่างเดียว เป็นฟิสิกส์ความร้อน แสง เสียง แม่เหล็ก ไฟฟ้า เมื่อเรามีชีวะ เป็นพืช ก็รู้ว่า อ๋อ.. มันมีพลังงานขั้นนี้ ระดับพืช เป็นพลังงานในระดับที่ เป็นชีวะที่ไม่มีวิบาก ไม่มีกรรม ไม่มีบาปไม่มีบุญ โอ้!.. เป็นความตรัสรู้ที่ยิ่งใหญ่จริงๆเลย ในเรื่องของไบโอโลจีของพระพุทธเจ้า ที่ค้นพบของพระพุทธเจ้า มนุษย์อื่นไม่มีทางที่จะมาค้นพบอันนี้ เทวนิยมที่เป็นพระศาสดาแต่ละศาสดาไม่รู้กี่ศาสนา ไม่มีทางที่จะรู้ชีวะ หรือ ไบโอโลจี ที่ไปถึงเวทนาอารมณ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แยกธาตุรู้ออกเป็น 5 ขันธ์ ศาสนาเทวนิยมไม่รู้เรื่อง ชาวพุทธที่มิจฉาทิฏฐิอยู่ ก็พูดตามพยัญชนะไปอย่างนั้นเอง สภาวะจริงๆก็สับสนไม่รู้เรื่อง กำหนดไม่รู้เรื่องหรอก กายอย่างหนึ่ง สัญญาอย่างหนึ่งไป สับสน ไม่ค่อยแม่นไม่ค่อยตรงตามสัจจะที่มันแท้จริงเหมือนอย่างพระอรหันต์ด้วยกัน ที่รู้ด้วยกัน ตรงกันจึงจะสามารถทำนิพพานตรงกันเป็นหนึ่งเดียว สัจจะเป็นหนึ่งเดียวได้ ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นภาษาเรียกว่า ปัญญายิ่งใหญ่ที่สุด คนทุกวันนี้เขาก็พูดถึงปัญญาความรู้ๆปัญญา เฉโกไม่ใช้แล้ว เอาคำว่าปัญญาไปใช้แทนความรู้ ความฉลาดทั้งหลายแหล่ ซึ่งมันไม่ใช่เลย ผู้ที่จะมีสัมมาทิฎฐิมีปัญญาได้ไม่ใช่เรื่องสามัญ มันเป็นเรื่องที่วิสามัญอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นตลอดล้านชาติที่พระพุทธเจ้าแสวงหาความรู้ ให้เป็นปัญญาหรือญาณหรือวิชชา แล้วก็ไปรู้ว่าเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ดับสูญสลายเลยได้ รู้ต้นทาง ต้นธาตุ ต้นธรรม ของธาตุจิตนิยาม แล้วก็ทำจิตนิยามให้สูญ ดับธาตุดับกรรม อันนี้เป็นความยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นผู้รู้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสใช้ภาษาอยู่ว่า ความมีกับความไม่มี เพราะฉะนั้นผู้ที่ตรัสรู้ตามของพระพุทธเจ้าแล้ว รู้ความมีความไม่มี จึงสามารถที่จะอยู่กับความมีหรือความไม่มีทั้ง 2 อย่างนี่แหละแล้วมายึดในฝั่งไหน ไม่ยึดทั้งความมีและความไม่มี เรียกว่า อนุปคัมมะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เรื่องอภิภายตนะ 8 ค่อยๆอธิบายกัน เป็นเรื่องสูง พระโพธิสัตว์ที่จะรู้จักอภิภายตนะ เรื่อง อภิภายตนะ 8 มันยิ่งกว่า สยังอภิญญา ที่เป็นระดับ 7 แต่อภิภูนี้ไต่ระดับ 8 แล้ว ก็ค่อยๆอธิบายไป พระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่รู้แล้ว จึงเป็นสิ่งที่เลิศ ที่สุดยอดที่สุด ที่มนุษย์จะพึงเป็นพึ่งได้ เพราะฉะนั้นตั้งแต่รู้แล้วเป็นโพธิสัตว์ก็รู้ตัวแล้ว ไม่ไปทำงานอื่น เหมือนอย่างอาตมาตอนที่ไม่รู้ตัวเป็นลิงลมอมข้าวพองก็หลงโลกไป พอรู้ตัวแล้ว ไม่เอา เลิกหมด อาตมาจึงรู้ พระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าเป็นอย่างที่เราเป็นนั่นเอง เราเองเดินตามรอยพระยุคลบาทของพระพุทธเจ้ามา พอมาถึงตรงนี้แล้วไม่มีอะไร เกิดมาเป็นมนุษย์โลก ก็หลงกับความไม่รู้ แล้วก็หลงอยู่กับความมีความไม่มี ยังงมงายกับความมีความไม่มี นัตถิกับอัตถิ โหติกับนโหติ พยัญชนะก็บอก เพราะฉะนั้นท่านตรัสรู้อันนี้แล้วก็จบ เป็นพระโพธิสัตว์ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็เกิดมาเวียนวน สืบทอดศาสนาไปตามหน้าที่ของแต่ละองค์ จนกระทั่งถึงวาระที่ท่านไม่เกิดอีกแล้วในโลก ปล่อยให้ศาสนาไปมีโมเมนตัมของมันไป จนกว่ามันจะสิ้นสุดหมดเชื้อของโลกุตรธรรม ก็เป็นหน้าที่ของโพธิสัตว์ในทุกยุคทุกสมัยทุกกาละ ของพระพุทธเจ้าองค์นี้มีแค่ 5,000 ปี เป็นศาสนาที่มีอายุสั้นที่สุด 5,000 ปี พระพุทธเจ้าองค์อื่นๆมีอายุยืนยาวเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านปี พระพุทธเจ้าองค์สมณโคดมมีศาสนาที่สั้นที่สุดแล้ว หมดจากพระพุทธเจ้าองค์สมณโคดมในองค์สุดท้ายของภัทรกัปนี้ จากนี้ไปศาสนาพุทธก็เหลือโมเมนตัมไป จนกว่าจะสิ้น 5,000 ปีของพระพุทธเจ้าสมณโคดม ก็จบแล้วไม่เหลือ 5,000 ปีก็ไม่เหลือเลย ศาสนาพุทธหมดไป ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 2 เรามาต่อปัญญา 8 ที่อาตมาเอาของพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก มาอธิบาย (1) ปัญญา 8 ในพระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 92 ที่จริงมีปัญญา 10 แต่ยังไม่ได้เอามาอธิบาย เอาเรื่องปัญญา 8 ก่อน ศาสนาเทวนิยมไม่สามารถรู้ได้ มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถรู้ได้ เป็นมนุษย์อย่างพระบุตรของเทวนิยมหรือพระศาสดาของทุกศาสนาเทวนิยม บอกว่าได้ความรู้มาจากพระเจ้าที่เป็นพระบิดา ก็คือความรู้ของพระศาสดาเองนั่นแหละ แต่ท่านไม่รู้ ว่าเป็นความรู้ที่เป็นสัมภาระวิบากที่ท่านสะสมมาของตนเอง กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก ไม่รู้เรื่องกรรมเรื่องวิบาก เขาว่ากันอย่างนั้นแหละ ทั้งนั้นของเทวนิยม ความรู้ที่เอามาประกาศของแต่ละศาสดา ก็บอกว่า ของพระเจ้า ของพระบิดา ตัวเองเป็นผู้นำของพระเจ้ามาประกาศ แต่ที่จริงและของท่านเอง แต่ท่านไม่รู้ตัวเอง พระเจ้านี้ไม่รู้อัตตาไม่รู้ตัวเอง ฟังดีๆชัดๆ พระพุทธเจ้านี้รู้จักอัตตา รู้จักตัวเอง รู้กรรมรู้วิบาก ธาตุรู้นี้สั่งสมมา เราเองทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงรู้ต้นธาตุต้นธรรม แล้วรู้จบปลายธาตุปลายธรรม รู้ที่จบหมดสิ้นไม่มีจิตวิญญาณได้นิรันดร สลายจิตวิญญาณได้นิรันดร หรือจะให้อยู่นิรันดรอย่างพระอวโลกิเตศวรก็ได้ ถ้ามีปณิธานจะอยู่อย่างนั้นก็ได้ เป็นเรื่องพิสูจน์ยืนยันจริง แต่พวกเทวนิยมเขาจะฟังไม่รู้เรื่องหรอก นอกจากผู้มีบารมีบ้างที่ได้เคยติดตามด้วยเคยสะสม อัญญธาตุ ธาตุที่เป็นโลกุตระเป็นธรรมะพระพุทธเจ้าบ้างก็จะค่อยๆได้ค่อยๆไหลเลื่อนเข้ามาหาพุทธ ที่สุดก็จะมาเป็นชาวพุทธ แล้วที่สุดแห่งที่สุดก็จะพยายาม ถ้าเผื่อว่ามีความพยายาม ก็จะสั่งสมความพยายามมาเป็นบารมีให้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเหมือนกันทั้งนั้นแหละ เหมือนกันทั้งนั้น ผู้ที่ไม่คิดจะเป็นก็ไม่เป็นหรอกยังไม่ถึงเวลาวาระ เหมือนคนในโลกสามัญ คนที่ไม่คิดจะเป็นเศรษฐีแต่อยากรวยนะ เศรษฐีก็นับว่าเป็นคนที่มีทรัพย์ศฤงคารอย่างน้อยก็ ร้อยล้านขึ้นไป มีเป็นพันล้านก็เป็นเศรษฐีจริง เป็นหมื่นล้านก็เป็นเศรษฐีแน่ๆ อะไรคนก็บอกให้ชาตินี้เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปเป็นคนมีเป็นพันล้านอย่างเขาก็เยอะเลย ไม่บังอาจที่จะคิด ฉันเดียวกัน ผู้ที่มีภูมิปัญญาแล้ว ไม่มีใครอยากคิดหรอก ส่วนศาสดานั้น ที่จริงเขาเป็นได้ แต่เขาไม่อยากเป็น ศาสดานั้นสงวนสิทธิ์ไว้แล้วว่าใครอย่ามาเป็นศาสดา ต้องเป็นลูกพระเจ้าเท่านั้น ปิดกั้นเลย ตัดสินผู้อื่น บอกว่าพระเจ้าส่งมาพระบิดาส่งมา จะเป็นเองไม่ได้ต้องมีพระบิดาส่งมา เพราะฉะนั้นความรู้ของพระศาสดา มันกลับกัน กลับกันคืออะไร ความรู้ความเป็น ความเป็นศาสดานั้นแย่งกันไม่ได้ แต่แย่งกันมากมายเลย แยกศาสนาไปไม่รู้กี่ศาสนาของเทวนิยม เห็นไหมมันเป็นมายามันหลอกตัวเองยังไม่รู้ ศาสดาของเทวนิยมนี้ ศาสดาบอกว่าแย่งกันไม่ได้ ศาสดาที่จะประกาศศาสนาต้องเป็นพระบุตรทั้งนั้น พระเจ้าส่งมา แย่งกันไม่ได้ แต่เขาก็แย่งกันระเนระนาด ก็เลยมีเยอะเลยศาสนาเทวนิยม แต่ของชาวพุทธนั้นทุกคนมีสิทธิ์ไม่สงวนสิทธิ์จะเป็นพระพุทธเจ้า ใครอยากเป็นก็เป็นคนบำเพ็ญบารมีเอาสั่งสมสัมภาระวิบากเอาเป็นได้ทุกคน มีสิทธิ์ แล้วคุณจะมีสิทธิ์ที่คุณจะเข้าถึงไหมก็สั่งสมเอา ไม่ได้ปิดกั้นอะไรเลย เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงไม่มีใครไปแย่งใคร ไม่มีการทะเลาะกัน ไม่ทะเลาะกันเป็นศาสดา ผู้ที่ยังทะเลาะกันอยู่แย่งกันเป็นใหญ่ในวงการศาสนาพุทธคือคนโง่ คนที่ยังอวิชชา คนที่มีวิชชาแล้วจะเป็นคนที่มีบารมีความจริง มีฐานะอย่างนี้ ผู้นี้ศีล 5 ผู้นี้ศีล 8 ผู้นี้ศีล 10 ผู้นี้มีศีลสูงมีสมาธิ ปัญญา อธิมุติ ตามสัจจะของจิต เจตสิก รูป นิพพาน เข้าใจและรู้ว่าเขาได้เพราะเขาสะสม อยากได้ก็ทำเอาสิ คุณก็มีสิทธิ์ เพราะฉะนั้นจึงไม่ทะเลาะกันไม่แย่งกันเป็นศาสดา นอกจากผู้ที่ไม่รู้ก็หลงตน หลงว่าฉันเป็นพระโพธิสัตว์ หลงว่าฉันเป็นผู้ที่มีความรู้เหนือกว่าคุณนะ คุณมีความรู้ไม่ถูกต้องเท่าฉัน ฉันรู้ถูกต้องฉันรู้มากกว่า ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่มีอวิชชาแฝงอยู่ในความเป็นอัตตา แม้แต่ในศาสนาพุทธมันก็มีจริงๆ เพราะฉะนั้นในศาสนาเทวนิยมไม่ต้องพูดถึงเลย ดีไม่ดีแต่ละศาสนาเขาก็ในศาสนากันเองเขาก็ยังรบกันเลย แต่ศาสนาพุทธไม่มีใครไปรบใครหรอกที่จะไปแย่งเป็นศาสดาเป็นพระพุทธเจ้ากัน ไม่มี มีแต่ง้องแง้ง ฉันรู้มากกว่าคุณ ฉันถูกต้องมากกว่าคุณ ก็คือเจาะเข้าหาความเป็นหนึ่ง ก็เป็นสัจจะธรรมชาติชนิดหนึ่ง มาดูที่อาตมาเขียน หนังสือปัญญา 8 เล่ม 1 (2) “ปัญญา 8”นี้ คือ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ทั้งหมดนั้นคือ คำตรัสของพระพุทธเจ้า ที่“นิยาม”ความเป็น“ปัญญา”ก็คือ“ธาตุรู้”แต่เป็น“ความรู้-ความฉลาด” อันมีที่ไปที่มาชัดเจนว่า เป็นของมนุษย์ที่มนุษย์ด้วยกันสามารถ“สัมผัส”จับต้องร่างกายตัวตนกันได้ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สู่แดนธรรม… เขาว่า ศาสนาพุทธนั้นไม่ถือว่าเป็นศาสนา เพราะไม่มีพระเจ้า สมณะเดินดิน… ต้องไปดูหนังอินเดียที่เขารู้ทันพระเจ้าPK ผู้ชายปาฏิหาริย์ (2021) พ่อครูว่า… พวกเทวนิยมจะค่อยๆรู้จะเปิดสมองรับรู้ ที่พูดไปแล้วมันก็ข่ม ของพุทธรู้จบแต่ของเทวนิยมไม่รู้จบ รู้เท่าที่พระศาสดาแต่ละองค์รู้ แล้วก็นึกว่ารู้ยอดรู้เยี่ยมของแต่ละองค์ ซึ่งก็รู้มากนะไม่ใช่เล่นๆ แต่มันก็ยังไม่หมดไม่เหมือนพระพุทธเจ้าที่รู้ต้น รู้กลาง รู้ปลาย รู้จบ เพราะฉะนั้นจึงรู้จักเทวนิยมทุกอย่าง แต่ว่าเขาไม่ยอมรับกันเท่านั้นเอง นั่นอย่างหนึ่ง สอง เขาไม่มีภูมิพอจะรับ รับอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องฟัง ไม่ต้องเอาพระพุทธเจ้าหรอก เอาอาตมาบรรยายธรรมะก็มีผู้ที่รับได้ก็มีชาวอโศกและผู้แสวงหา ที่จิตไม่มีอคติ มีจิตแสวงหา ก็จะพบว่า โพธิรักษ์พูดนี้มีอะไรใหม่ๆ ฟังแล้วเข้าใจ มีอานิสงส์ในการฟังธรรมเกิดจริงๆในผู้นั้น อานิสงส์ 5 ประการที่เกิดจริงๆ เข้าใจขึ้น สุสูสังลภเตปัญญัง ฟังแล้วได้ความรู้ที่เรียกว่าปัญญาเข้าใจเพิ่มขึ้นได้ฟังอะไรใหม่ๆแปลกๆ รับได้ มันแปลกกว่าที่เคยรู้ อ๋อ!.. มีเหตุมีผลมีหลักการมีสิ่งอ้างอิง มีสิ่งที่เป็นไปได้ ทำให้เข้าใจขึ้น ทำให้ทิฐฏิที่มีอยู่เก่าเปลี่ยนแปลงไป พ้นความสงสัย ขจัดวิจิกิจฉา จิตใจก็โล่ง ได้อานิสงส์แห่งการฟังธรรม 5 ประการเกิดจริงๆ ไม่ใช่ว่าจะต้องได้ตามที่พระเจ้าตรัส เอาไปเปิดเผยได้ตามนี้เท่านั้นนะ ออกนอกจากนี้ไม่ได้นะ ศาสนาใดก็ตีกรอบไว้ ตามศาสนาเทวนิยม ของตนของตนตามแต่ละศาสนา ก็เต็มที่ของแต่ละองค์ของศาสดาแต่ละองค์ มีสิ่งที่คล้ายกันบ้างมีสิ่งที่แปลกแตกต่างกันบ้างมากหรือน้อย ก็อย่างนั้นเท่านั้น ส่วนของพุทธนั้นรู้จบ รู้ต้นรู้จบแล้วก็ไม่ต้องไปแย่ง ซึ่งเขาก็แยกการรู้ไปของแต่ละศาสนาเราก็ตามรู้ของศาสดาแต่ละองค์ให้หมดเลยไม่หวาดไม่ไหว ก็เป็นโลกจินตา เป็นความคิดแบบโลกๆที่จะสร้างอะไรไปออกไปเรื่อยๆ ไม่รู้จักบทสรุป บทเข้ามาหาตัวจบสุดท้าย แล้วหมดสงสัยเลยว่า เกิดมาแล้วหลงสังขาร แล้วก็ดับ ดับโดยไม่รู้แล้วก็เกิดขึ้นมาใหม่ จนสามารถทำปุญญาภิสังขาร รู้สังขารแล้วเลิกสังขารได้ มีอภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร ปุญญาภิสังขารคือ ผู้ชัดเจน กำจัดกิเลส กำจัดกิเลสได้หมดก็ไป อปุญญาภิสังขาร หมดกิเลส ก็เป็นพระโพธิสัตว์สั่งสอน อเนญชาภิสังขาร สั่งสมไป ในโลกจินตาต่างๆนานา เข้าใจไปได้เรื่อยๆ ได้มากเท่าไหร่ เป็นพระพุทธเจ้าก็รู้หมดมากที่สุด อาตมาก็รู้ได้ตามภูมิของตนเอง และคำสอนก็เกิดจากพระโอษฐ์ของผู้เป็นมนุษย์จริงๆที่ตรัสออกมาให้ผู้คนทั้งหลายในโลกได้ยินได้ฟังพร้อมกันมากมายหลายคน ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่ได้ยินได้ฟังกันเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นคนในผู้มีชีวิตอยู่ร่วมกันอยู่ในโลก เป็นความโจ่งแจ้ง เปิดเผย ไม่ใช่คำตรัส“ลึกลับ” ที่“พระศาสดาเพียงคนเดียวเท่านั้นได้ยินได้ฟังมาจากพระเจ้า” แล้วพระศาสดาองค์นั้นค่อยนำมาประกาศต่อโลก อีกทีหนึ่งเหมือนชาว“เทฺวนิยม” แต่“ปัญญา 8”นี้เป็นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงยืนยันว่า “พระธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงนำมาประกาศต่อโลกนั้น“พระพุทธเจ้าเองตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง(สัมมาสัมพุทโธ)” ไม่ใช่“คำสอน”ที่ได้รับมาจาก“พระเจ้า”ผู้“ลึกลับ” หรือจากใครอื่น แต่อย่างใดเลย “ปัญญา”นี้จึงเป็น“ความรู้-ความฉลาด”ที่ครบถ้วน กระจะกระจ่าง พร้อมมวลและประสิทธิภาพทั้ง“ความเห็น-ความกระทบสัมผัสประจักษ์-ยืนหยัดอยู่หลัดๆโต้งๆโทนโท่” ว่า เป็น“ความจริง”บริบูรณ์สัมบูรณ์เปิดเผยไม่มีอะไรแฝงบังหรือลึกลับเลย แม้แต่นิดน้อยเศษละอองธุลีใดๆ และผู้เป็น“เจ้าของความรู้-ความฉลาด(ธรรมสามี)”นี้ ก็ทรงยืนยันพระองค์เองอีกว่า พระพุทธเจ้าเองเป็น“ผู้รู้เอง”(สัมมาสัมพุทโธ) ที่แสดงพระองค์เองต่อโลกมนุษย์ซึ่งสัมผัส“เนื้อตัวร่างกาย(สรีระ)”ของพระองค์ได้จริงๆ ว่า ท่านก็เป็น“คน”ที่มีพร้อมท้ัง“สรีระกับจิตวิญญาณ(ภาวะ 2)”ผู้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แท้ๆ ก็เป็นเช่นเดียวกันกับมนุษย์คนอื่นทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งชี้บ่ง“ความเปิดเผย”กับ“ความลึกลับ”ของ “เทฺว” หรือ“ภาวะ 2”คู่สำคัญในโลกในมหาจักรวาล ว่า “พระเจ้า” กับ“พระพุทธเจ้า”นั้นภาวะไหนชัดเจนยิ่งจริงแท้กว่ากัน (3) พระเจ้ากับพระพุทธเจ้านั้นแตกต่างกันอย่างยิ่ง “พระเจ้า”นั้น“ลึกลับ”แต่“พระพุทธเจ้า”นั้น“เปิดเผย”ยิ่ง “พระพุทธเจ้า”กับ“พระเจ้า” จึงแตกต่างกันหันทิศไปคนละทาง มีทิศเดินทางไปต่างกันถึง ๑๘๐ องศา มุ่งไปตรงกันข้ามทีเดียว หรือหมุนได้ต่างกันชนิด 360 องศาชนิดที่เป็น“คนละโลก”จึงมองไม่เห็นกันเลย เพราะทั้งในกว้าง ทั้งในความไกล ทั้งในความมาก ทั้งในความลึกลับ ทั้ง“ความลึก” และ“ความลับ” ทั้งใน“ความมืดดำ”ทั้งใน“ความเวิ้งว้าง” ส่วน“พระพุทธเจ้า”นั้นสัมผัส“ความจริง”ได้ทุกแง่ทุกเหลี่ยมทุกซอกทุกมุม ทุกนอกทุกใน ทุกหยาบทุกละเอียด ทุกมิติ ทุกนัยะ ทุกประเด็น ทุกโลก ฯลฯ นิรันดร “พระเจ้า”นั้น สัมผัส“ความจริง”ไม่ได้ด้วย“ภาวะ 2” หรือในความเป็น“เทฺว” เพราะทั้ง“ลึก”ทั้ง“ลับ” ทั้ง“มืดดำ” ทั้ง “เวิ้งว้าง”ควาญหาไม่เจอ“เนื้อตัว”ส่วนใดของ“พระเจ้า”ได้เลย “พระพุทธเจ้า”เป็น“เนื้อหนังมีชีวะ”ทั้งเห็นทั้งได้สัมผัสแตะต้องสรีระที่มี“กาย”กับ“จิต”อันเป็น“2 ใน 1”และ“1 ใน 2”ของ“เทฺว”ได้ในความเป็น“คน”ของโลกในกาละ ส่วน“พระเจ้า”ยืนยันไม่ได้เลย แม้แค่“กาย”ก็ให้มนุษย์สัมผัสไม่ได้ ยิ่ง“จิต”ก็ยิ่งรู้ได้อยู่คนเดียวคือ“พระศาสดา” หรือ“พระบุตร”เท่านั้น นอกนั้นเป็น“สิทธิ์ของพระจิต” หรือ“พระวิญญาณ”ที่เป็น“พระเจ้า”เท่านั้นมีสิทธิ์เด็ดขาดแต่ผู้เดียว ถือกันว่า “พระเจ้า”เป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่งในเอกภพมหาจักรวาลนั้นแต่ผู้เดียว” ทั้งๆที่“พระเจ้า”กับ“พระบุตร”ก็คือ “ภาวะ ๒”แล้ว หรือ“พระเจ้า”กับ“โลกเอกภพมหาจักรวาล”ก็เป็น “ภาวะ ๒”แล้ว หรือ“วัตถุ”กับ“จิต”ก็‘ภาวะ ๒”อยู่แท้ๆ อันมีคู่คือ “เทฺว”หรือ“ภาวะ ๒” และที่สำคัญยิ่งยวดก็คือ มีทั้ง“คำเรียกขาน”และทั้ง“สภาวะแท้”ให้เปรียบเทียบ “ความแตกต่างกัน”ของทุกสรรพสิ่งตั้งแต่“๐ กับ ๑”ก็เป็น“ภาวะ ๒”แล้ว หรือแม้แต่“ภาวะ 2”คือ“0 กับ 0”ก็เทียบกันได้แล้วว่า เป็น“ภาวะ 2 ที่เป็น 1 เดียวกันแล้ว” (แต่ของ พระพุทธเจ้า นิพพานคือสุญญตานั้นเหมือนกันเลย 0 คือสิ้นสุดหายไปเลย) หรือ“ภาวะ 2”คือ“0”กับ“1”ก็เทียบกันได้แล้วว่าเป็น“ภาวะ 2 ที่ไม่เป็น 1 เดียวกันแล้ว” ไม่ว่าจะเป็น“0” หรือเป็น“1” หรือเป็น“2” หรือเป็นคู่ ความเป็น“คู่”ย่อมเปรียบเทียบกันได้ทั้งนั้น ยิ่งเป็น“ภาวะ 2”อันเป็น“ธาตุรู้(วิญญาณ)”กับ“สสาร” หรือ“จิต”กับ“วัตถุ”ก็ยิ่งเทียบกันได้ว่า“แตกต่างกัน”ชัดเจน หรือ“ความมี”กับ“ความไม่มี”ย่อมแตกต่างกันแน่ (อัตถิ กับ นัตถิ หรือ โหติ กับ นโหติ) หรือ“ความลึกลับ”กับ“ความเปิดเผยกระจ่างแจ้ง”นั้นย่อมแตกต่างกัน “พระเจ้า”กับ“พระพุทธเจ้า”ก็แตกต่างกันที่ยืนยัน “ความจริงได้”อย่างมีนัยสำคัญ ต้องศึกษากันดีๆทีเดียว “พระเจ้า”นั้นเห็นจริงได้ยากยิ่งกว่า“พระพุทธเจ้า” เพราะ“ภาวะ 2”นี้มี“ความจริง”ที่สัมผัสได้ กับสัมผัสไม่ได้ เป็นต้น หรือในมิติอื่นก็สามารถพิสูจน์ยืนยันได้อีกมากมิติ (ความจริงที่สัมผัสได้จึงจริงกว่า) ซึ่งเป็น“ภาวะ 2”ที่มีความเป็น“เทฺว”ที่ยิ่งใหญที่สุด คนจะเข้าใจเลยว่า พระเจ้าที่สัมผัสไม่ได้ก็คือไม่จริง เพียงแต่เขาไม่ยอมรับเท่านั้น เขาไม่สามารถมีความรู้ว่าความจริงที่สัมผัสได้มีด้วยหรือ ความรู้ที่สัมผัสได้มันยิ่งใหญ่นะ มีความรู้ที่สัมผัสได้ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกเหรอ แต่เขาบอกว่าความจริงต้องลึกลับความจริงต้องสัมผัสไม่ได้ ก็จะรู้ว่าอย่างนี้มีด้วยหรือ ความจริงนี้ต้องสัมผัสไม่ได้มันลึกลับ แต่ไอ้นี่สัมผัสได้เขาก็บอกว่าจริง จะมีความเชื่ออย่างนี้ด้วยหรือ? สู่แดนธรรม.. ใช่ครับ ความลึกลับความดำมืด มันเลยน่าสนใจกว่าความสว่าง พ่อครูว่า… มันจะรู้จนหมดความสงสัยความลังเลหมดความลึกลับ ไม่ใช่ว่ามีแต่ความสงสัย แต่เต็มไปด้วยความรู้ครบหมดเลยต่างหาก สู่แดนธรรม.. พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ก็มีมารบอกว่าให้ตายเสีย ไม่รู้ความจริงสิ้นสุดแล้วจะอยู่ต่อไปทำไมก็ตายสิ พ่อครูว่า… พระพุทธเจ้าก็บอกว่ายังหลอกมาร เรายังจะต้องจำแนกเปิดเผยให้คนอื่นรู้ตาม จนปรับปวาทะได้ ให้คนอื่นได้รู้ว่ามีความจริงสิ่งอื่นยิ่งใหญ่กว่านะ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะเดินดิน… ที่เห็นคือพ่อครูพยายามทำให้เกิดความกระจ่างด้วยกันเอาพยัญชนะภาษา ไหวพริบปฏิภาณต่างๆมาอธิบายจึงได้เห็นความจริงมากกว่าเป็นวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้มากกว่า สู่แดนธรรม… ในความที่เข้าไม่ถึงพระเจ้าก็คืออยู่ในความมืด หรือสว่างมากก็ทำให้ตาพร่า พ่อครูว่า… ใช่ ตาทั้งมืดตาทั้งสว่างได้ “พระเจ้า”นั้นเห็นจริงได้ยากยิ่งกว่า“พระพุทธเจ้า” เพราะ“ภาวะ 2”นี้มี“ความจริง”ที่สัมผัสได้ กับสัมผัสไม่ได้ เป็นต้น หรือในมิติอื่นก็สามารถพิสูจน์ยืนยันได้อีกมากมิติ (ความจริงที่สัมผัสได้จึงจริงกว่า) ซึ่งเป็น“ภาวะ 2”ที่มีความเป็น“เทฺว”ที่ยิ่งใหญที่สุด (4) ความเป็น“เทฺว” คือ “ภาวะ 2”ที่ครอบจักรวาล ซึ่งความเป็น“เทฺว”นี้ใครจะแยก“เทฺว”ให้ขาดจากกันอย่างเด็ดขาด ไม่ให้เอี่ยวเกี่ยวกันเลยขั้นเด็ดขาดไม่ได้ ถ้าเข้าใจว่ามนุษย์มีวัตถุกับจิตมีกายกับจิต มีธาตุรู้กับดินน้ำไฟลม นั่นแหละเป็นภาวะ 2 ที่ปรุงแต่งกันอยู่อย่างสนิทเนียนของธรรมชาติของการปรุงแต่ง ยิ่งใหญ่มากเลย ออกมาเป็นจิตนิยามยิ่งใหญ่มาก แล้วมันยิ่งใหญ่จนกระทั่งมันจะมีอยู่อย่างนี้แหละ มันก็จะเป็นสภาวะที่เกี่ยวข้องกัน ผู้รู้ก็คือผู้รู้ ผู้ไม่รู้ก็คือผู้ไม่รู้ แต่ถ้าจะไม่ให้“มีเทฺว”เลย ก็ต้อง“ดับเทฺว”ไป“ทั้ง 2 ทั้ง 1”ที่แยกกันเด็ดขาดไม่ได้นั้นแหละ เป็น“0”ไปเลย การจะทำเช่นว่านั้นได้ ก็ต้องมี“ปัญญา” หรือมีฤทธิ์มีอำนาจเหนือกว่าแรงกว่าจริงๆ จึงจะทำได้ ปัญญา 8 นี้ ข้อ 1 ต้องได้ยินจากพระโอษฐ์หรือได้ยินจากผู้อยู่ในฐานะครู ได้ยินอย่างไม่ปิดบังไม่ลึกลับเปิดเผยเลยจากพระโอษฐ์ให้เข้าหู สัตบุรุษก็มีตัว จริง เพราะฉะนั้นพวกคุณยอมรับว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษพวกคุณก็ได้ คนที่เขาไม่เชื่อว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษ เขาก็ไปเชื่ออะไรลึกลับของเขา ขัดแย้งกับที่อาตมาพูดด้วยเขาก็ยังงมงายอยู่กับที่เขาเชื่อ มาพูดเขาก็ไม่เชื่อ เพราะมันขัดแย้งกับที่เขาเชื่อ ก็จะงมโข่งอยู่อย่างนั้นภูมิธรรมของคนเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้นไป เพราะฉะนั้นผู้รู้ที่อาตมาขยายความว่า ถ้าจะดับเทวะเป็น 2 ให้เป็น 1 ก็ได้ อาศัยไม่มี 2 ได้ จะให้ถาวรก็ดับทั้งสองเลยทั้ง 2 และ 1 นี่ออกภาษาตัวเลขอธิบาย ความจริง และ“การดับเทฺว”นี้ ผู้ยังไม่มี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“เทฺว” ยังหลงยึดมั่นถือมั่นว่า “เทฺว”เป็น “อัตตา”เป็นตัวตนของตนเอง ซ้ำมิหนำก็จะหลงผิดว่า “ผู้ดับเทฺว”นั้นไปละลาบละล้วงความเป็น“เทฺว”ที่เขาหลงยึด ทั้งที่ยึดว่า เป็น“พระเจ้า”ผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครไป“ดับท่านได้” ทั้งที่หลงยึดมั่นถือมั่นว่า “เทฺว”เป็น“ตัวตนของตน(อัตตา)นิรันดร ไม่มีสูญหายไปจากกาลเป็นเด็ดขาด จึงไม่สามารถจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงเรื่อง“กรรม” เรื่อง “วิบาก”อย่างถ่องแท้แยบคายบริบูรณ์ได้เลย ในธรรมนิยาม 5 ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งไม่มีอยู่ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เพราะพระกัสสปะเก็บมาไม่หมด ก็ไปอยู่ในมหายาน อยู่ในเล่มอื่น ธรรมนิยาม 5 ถึงไปอยู่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค หรือ อยู่ในอรรถกถาจารย์ องค์อื่น ผู้ที่ยึดถือพระไตรปิฎก ว่าไม่มีธรรมนิยาม 5 ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ก็จะบอกว่าอันนั้นเป็นของอรรถกถาจารย์นอกรีตนอกเรื่อง เขาบอกว่าพระไตรปิฎกต้องเอาเฉพาะที่พระกัสสปะรวบรวมไว้ฉบับสยามรัฐนี่แหละ แต่เป็นการเก็บคำสอนพระพุทธเจ้าอย่างรู้น้อย ไม่ครบ จุดสำคัญอย่างที่ว่า อย่างที่มีธรรมนิยาม 5 อาตมาอธิบาย ถ้าผู้ใดไม่รู้เรื่องธรรมะนิยาม 5 แล้วทำให้จิตเป็นอุตุนิยามเป็น พีชนิยามได้ ทำส่วนของกรรมนิยามไว้แล้วทรงไว้ซึ่งธรรมนิยาม ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ผู้ที่ทำได้จึงเป็นพระอรหันต์โดยเฉพาะเป็นพระโพธิสัตว์ ที่จะรู้อย่างอาตมา เอามาพูดให้เป็นความรู้ของตัวเองเอามาพูดสาธยายให้ฟัง เพราะฉะนั้นสายเทวนิยมจึงไม่มีความรู้ ไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จัก รู้แจ้งรู้จริงเรื่องกรรม เรื่องวิบากไม่รู้อย่างถ่องแท้ กรรมวิบากจึงเป็นเรื่อง อจินไตย มาก สมณะเดินดิน… สรุปจบ แม้จะได้รับคำสอนจากพระศาสดาว่า อย่า“ผูกพยาบาทอาฆาตแก้แค้นนิรันดร” ซึ่งมันเป็น“คู่หู”คือ เป็นภาวะตรงกันข้ามกับ“รักผูกพันนิรันดร” ศาสดาก็ไม่รู้ ว่ามันเป็น“เทฺว”ที่แยกกันไม่ได้ จึงได้แต่สอนกันไป แม้จะทำได้ก็เป็นการ“ผูกพยาบาทอาฆาตแก้แค้นหรือรักกันวนเวียนไม่รู้จบ” เพราะมันเป็น“กรรมวิบาก” อันปรารถนาร้าย-ปรารถนาดีสุดๆ ตามล้างตามฆ่าตามแก้แค้นกัน“เป็นรัก-เป็นชัง”ด้วย“อวิชชา” อันไม่มี“จบ”ลงได้ ดังที่เล่าขานเป็นนิยายนับเรื่องไม่ถ้วน เป็นตำนาน“มหากาพย์-มหารามเกียรติ์”กันอยู่ไม่รู้“จบกิจ” ไม่รู้แล้ว เพราะยังไม่สิ้น“อวิชชา”นั่นเอง มันเป็น“เทวาเทวสงคราม”แห่งอวิชชา สงครามของ“เทฺว” คือ “ภาวะ 2”ของคนที่ไม่มี“ปัญญา”ไม่มี“วิชชา” จึงมีแต่“อวิชชา”ก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“กรรมวิบาก” ซึ่งเป็น“อจินไตย”แท้ๆแน่นอน ว่า มันเป็น“ภาวะ 2”ที่ตามแก้แค้นกัน ผูกพัน คือ รัก-ชัง ชาติแล้วชาติเล่า และการตามรัก การตามแก้แค้นล้างผลาญกันก็มีอยู่จริงในผู้ยัง“อวิชชา” ไม่รู้จบ ไม่รู้แล้ว ไม่มีอภัย ไม่ปล่อยวางจริง ไม่หลุดพ้นไปได้ ไม่มี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า “ทุกสรรพสิ่งล้วนคือ อนัตตา(สัพเพธัมมา อนัตตา)” เพราะตนไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“ตน” เป็น“กาย” เป็น“บุญ” แม้แต่เป็น“ฌาน” เป็น“สมาธิ” ฯลฯ เป็น“อัตตา” เป็น“นิพพาน” เป็น“ปรินิพพาน” และเลิก“ความเป็นตน” ทำ“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ให้แก่ตนสุดท้ายได้สำเร็จแท้ ผู้มี“อวิชชา”ทุกคนนั้นยังไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง “เทฺว”อันคือ “ภาวะ 2”ของตนเองที่“ปรุงแต่ง”กันอยู่ เรียกว่า “สังขาร”ของสัตวโลกที่มีความเป็น“จิตนิยาม”ทั้งหลาย “ศาสดาเทฺวนิยม”ทั้งหลากทั้งหลาย แค่“รู้จัก”ตนเองก็ยังไม่รู้จัก ไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จริงเลย ผู้“อวิชชา”คือ ผู้หลงผิดยึดมั่นถือมั่นว่า “ตนเอง”เป็น“1” ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความเป็น 2”หรือ“ภาวะ 2” แม้แค่“นาม”กับ“รูป”ที่ปรุงแต่งกันอยู่เป็น“วิญญาณ”ตนเอง “นาม”คือ“ธาตุรู้”ของตนนี้ ผู้มี“จิตนิยาม”ซึ่งเป็นสัตวโลกแล้วจะมี“วิญญาณ”ของตนเอง เป็น“ประธาน” ตนเอง บงการตนเอง แต่ไม่ได้เรียนรู้“นาม-รูป”ของตนเอง จึงไม่รู้จัก“วิญญาณตนเอง” ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงสอนว่าเป็น“สังขาร” ที่มี“วิญญาณเป็นปัจจัย” และมี“นามรูป-อายตนะ-ผัสสะ-เวทนา-ตัณหา-อุปาทาน-ภพ-ชาติ ฯลฯ”ซึ่งเรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาท” สัตวโลกหรือคนผู้ยัง“อวิชชา”จึงไม่มี“ปัญญา”ที่ จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ปฏิจจสมุปบาท”ทั้งสายอย่าง“อนุโลม-ปฏิโลม” ผู้มี“ปัญญา”อันเจริญเป็น“ญาณ”เป็น“วิชชา”จึงจะสามารถ“รู้จักรู้แจ้งรู้จริง”ความปรุงแต่งกันอยู่(สังขาร)ของ“ภาวะ 2”หรือ“เทฺว”ที่ครอบจักรวาลอยู่ (5) มี“ปัญญา 8”จึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เทฺว”ได้สัมบูรณ์ “สังขาร”นี้แหละ คือ “ธาตุที่ปรุงแต่งกันอยู่ของ “วิญญาณ”อันมี“ภาวะ 2”ก็คือ “เทฺว”นั่นแหละซึ่งเป็น “นาม-รูป”ปรุงแต่งกันไป เป็นเหตุเป็นปัจจัยกันและกัน ตามหลัก“ปฏิจจสมุปบาท” ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ถ้าไม่มี“ปัญญา”ก็ไม่สามารถจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง “ปฏิจจสมุปบาท”ดังว่านี้ได้จริง เมื่อคนผู้ไม่มี“ปัญญา 8”ก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“ภาวะ 2”ที่“ปรุงแต่งกันอยู่”ของ“เทฺว”ทั้งหลาย จึงมีแต่“อวิชชา” หรือแม้จะมี“ความรู้-ความฉลาด” ก็ไม่ใช่ “วิชชา”ที่เป็น“โลกุตระ” จึงยังคงมีแต่“ความรู้-ความฉลาด”ที่จมงมอยู่แค่ในกรอบของ”โลกียธรรม”ตามเดิม ซึ่งมันยังไม่ใช่“โลกุตรธรรม”อันพระพุทธเจ้าทรงค้นพบ “ความรู้โลกุตรธรรม”จึงจะมี“ปัญญา”ที่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“เทฺว”ได้สมบูรณ์ ก็จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความปรุงแต่งทั้งหลาย” ทั้งของ“อุตุนิยาม-พีชนิยาม-จิตนิยาม-กรรมนิยาม-ธรรมนิยาม” ครบ“ธรรมนิยาม 5”อย่าง“สัมมาทิฏฐิ”จริง คนผู้นี้ก็สามารถ“จัดการปรับจิตปรุงใจ(อภิสังขาร)ของตน”อันคือ“เทฺว”ของตนให้มีภาวะทรงอยู่(ธรรม)”ด้วยความสามารถของ“กรรมของตน”อาศัยดำเนินไปในขณะที่ ผู้นั้นยังเป็น“จิตนิยาม”อยู่ใน“กาล”แห่งเอกภพมหาจักรวาล จนกว่าตนเองจะทำ“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ตายเลิกสลาย“จิตนิยาม”ไป เห็นมั้ยว่า ความเป็น“เทฺว”นั้นเป็นภาวะที่“ยิ่งใหญ่ล้ำลึก” เป็น“1”แท้ๆจริงๆสุด“สูงหล้าฟ้าลึก”ครอบมหาเอกภพจบสิ้นจักรวาลแต่เพียง“1 เดียว”ที่ยากเกินยากกว่ายากใดๆ ที่จะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงกันได้ง่ายๆ ถ้าไม่มี“ปัญญา 8”หรือ“วิชชา 8”ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงค้นพบ แล้วนำมาตรัสสอนมนุษย์ในโลกให้รู้ตาม ก็จะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ควมจริง”นี้ได้ (6) “ปัญญา 8”จึงสามารถครอบงำ“เทฺว”ได้ทั้งหมด ผู้มี“ปัญญา 8”ตามแบบโลกุตระเท่านั้นจริงๆ ที่จะสามารถแยกแยะรายละเอียดของ“เทฺว”น้อยใหญ่ต่างๆ และทำความเป็น“เทฺวน้อยใหญ่”นั้นๆให้“ทรงอยู่(ธรรม)”ไปกับ“สังคม”ได้ด้วยการศึกษาตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น“ครอบจักรวาล” ทั้งหมด และครอบทั้งความเป็น“พระเจ้า”ทั้งหลายด้วย โดยเฉพาะ ครอบทั้งความเป็น“เทฺว”ได้ทั้งหมด ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“เทฺว”ทั้งหมด ก็คือ ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ปัญญา 8”ได้ทั้งหมดครบถ้วน ไพบูลย์ นั่นเอง อาตมากำลังสาธยาย“วิชาการ”เกี่ยวกับ“ความจริง” หรือ“สัจธรรม”ทั้งหลายในเอกภพมหาจักรวาลเท่าที่มีอยู่ใน“กาล” ให้ครบให้ถ้วนทั่ว ไม่ได้โอ่อวดข่มเบ่งแต่อย่างใด ไม่มี“จิต”ที่เป็นอุปกิเลสใดๆเลย ไม่ว่ากำลังยกตน ข่มท่านก็ดี อยากโอ้อวดก็ดี แม้แต่ตีตนเสมอท่านก็ดี ฯลฯ แต่กำลังแสดง“ความรู้-ความจริง”เท่าที่ตนเองมี เปิดเผยออกให้มากๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”ด้วยใจบริสุทธิ์ เท่าที่ตนมีปัญญา“ตามภูมิ”จริงของตน ที่ตนเองมี“ปัญญา”บางแล้วด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิใช่มาอวดดี แต่นำ“ความดีจริงๆของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว”มาสืบทอดต่อไป ศาสนาพุทธจะได้ยืนยาวไปถึง 5,000 ปี ให้ตรง ให้ถูกต้องตามที่เป็นของพระพุทธเจ้า เท่าที่อาตมามี“ความจริง” มี“ความรู้”นั้นๆ ที่อาตมาแน่ใจ มั่นใจใน“ความรู้-ความจริง”นั้นๆ อย่างซื่อสัตย์ที่สุด ที่คนผู้มี“อัญญธาตุ” มี“ปัญญา”จะรู้ได้ รับได้ ส่วนผู้ยังไม่มี“อัญญธาตุ”หรือยังไม่มี“ปัญญา”เลย ก็แน่นอนว่า ย่อมรับ“ความรู้-ความจริง”ที่อาตมาสาธยายไม่ได้ หรือ“ไม่รู้ตามได้” ก็ย่อมย้อนแย้งกับอาตมาเป็นธรรมดา ส่วนใครจะผิดจะถูกนั้น ที่สุดแห่งที่สุดก็ตนเองแต่ละคนนั่นแหละ ที่จะสามารถพิพากษาให้แก่ตนเอง ตนเป็นที่พึ่งของตนเองแท้ๆ นอกจากตนไม่มีใครจะเป็นที่พึ่งแท้ให้แก่ตนได้หรอก (7) อาตมาก็กำลังศึกษาเล่าเรียนฝึกฝน“ปัญญา 8” ซึ่งจริงๆอาตมาก็คือ ผู้กำลังศึกษาเล่าเรียนฝึกฝนอบรมตนเพื่อให้เกิด“ปัญญา 8” เจริญ งอกงาม ไพบูลย์อยู่ ยังไม่“จบกิจ”ไพบูลย์ครบตามที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระสัมมาสัมโพธิญาณ อาตมากำลังสั่งสม“พุทธภูมิ”ก็ บอกตามจริงมานานแล้วว่า อาตมาเป็น“โพธิสัตว์ ระดับ 7” ก็กำลังรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ปัญญา 8”ไปตามลำดับ อันใดมั่นใจว่า“สัมมาทิฏฐิ”แล้วจึงเปิดเผยสาธยายออกมาตามที่รู้นั้นทุกประการ เพื่อสืบทอดพระศาสนาของพระพุทธเจ้าด้วย เพื่อยืนยัน“ความรู้-ความจริง”นั้นด้วย เพื่อผู้ศึกษาจะได้ศึกษาตามด้วย และเพื่อท่านผู้รู้อื่นได้ตรวจสอบอาตมาด้วย แล้วท่านจะได้กรุณาทักท้วงแก้ไขให้อาตมาด้วย อาตมากลัวจริงๆ กลัวตนเองจะสาธยายธรรมออกมา“ผิด” เพราะถ้าผิดอื่นๆใดๆ มันก็เป็น“บาปสามัญโลกีย์” มันก็ไม่กระไรหรอก แต่ถ้า“ทำให้ธรรมของพระพุทธเจ้าผิดเพี้ยนไป” มันบาปหนักหนาสาหัสร้ายแรงยิ่งกว่าทำให้“พระบาทพระพุทธเจ้าห้อเลือด” พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ ข้อ ๔๔๒ ที่พระองค์ทรงบริภาษภิกษุสาติ ว่า เธอ“กล่าวตู่พระพุทธเจ้า(อัพภาจิกขสิ)”ด้วย “ขุดตนเอง(อัตตานัญจ ขนสิ)”ด้วย เพราะทำให้“คำสอนของพระพุทธเจ้า”ผิดเพี้ยนไป มันก็“บาปหนักเป็นอันมาก”แท้ คำว่า “ตู่พระพุทธเจ้า”ก็คือ “ทักท้วงผิดๆ-เอาสิ่งที่ผิดมายัดเยียดใส่ให้แก่พระพุทธเจ้า” คำว่า “ขุดตนเอง”ก็คือ “เจาะลึก-สับแหลกตนเองให้ทำลายให้เสียหายเลวร้ายอย่างโง่ๆ” คนผู้นี้ก็ไม่ได้อะไรจากพระพุทธเจ้า มีแต่ทำผิดบาป แถมทำร้ายตนเองให้ชั่วให้เลวต่ำทรามซ้ำหนาหนักอีกด้วย ตามอวิชชาที่ตนมืดบอดจริงๆ ซึ่งคนผู้“อวิชชา”มืดบอดจริงนั้น ถ้าถึงขั้นเป็น“ปทปรม บุคคล” คือ ผู้รู้พระพุทธพจน์ก็มาก ท่องจำได้ขึ้นใจก็มาก สั่งสอนผู้อื่นอยู่ก็มาก แต่ตนเองไม่ได้บรรลุธรรมเลยในชาตินี้” ก็จะหลงงมงายอยู่กับ“อวิชชา”ที่ตนเองหลงยึดมั่นถือมั่นอยู่นั้นแหละ ไม่ยอมมี“ปรโตโฆสะ” ก็ไม่มี“โยนิโสมนสิการ”เลย “ไม่ยอมฟังผู้อื่น”หรือฟังบ้างเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่เชื่อว่า “ผู้อื่น”นั้นจะ“ถูกแท้ถูกจริง” ก็ยังหลงยึดมั่นถือมั่นอยู่ตามที่ตนยึดมั่นถือมั่นอยู่ตามที่ตนได้เชื่อแล้วอยู่ตามเดิม จึงยากมากที่จะสามารถปลุกคนผู้“ปทปรมะ”ก็ดี คนผู้หลงมืดบอดเพราะไป“หลับตา” หรือทำ“ตา”ตนเองให้บอด ทำ“หู”ตนเองให้หนวก ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 853 ก็ดี ใหั“ตื่นขึ้นมารู้ใหม่”ได้ ผู้ปทปรมะนั้น คือ ผู้รู้มากสอนคนอยู่ในบ้านเมืองนี้เอง ส่วนผู้“หลับตา”ทำให้ตนเป็นคนตาบอดหูหนวกนั้นก็คือคนที่พากัน“หลับตาปฏิบัติ” ออกป่า สู่เขาสู่ถ้ำนั้นแลแท้ๆ ก็เป็นเดียรถีย์ทั้งคู่ คือ ยังไม่มีวิชชา มีแต่อวิชชาอยู่ ซึ่งก็คือ ยังไม่มี“ปัญญา” มีแต่“ความอัปปัญญา”นั่นเอง (8) คำสอนของพระพุทธเจ้ามีลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ที่เรียนตามๆกันมาก็ว่า “หัวใจของศาสนาพุทธ”คือ “อริยสัจ 4 (อาตมาขอใช้คำว่า“อาริยสัจ”) เพราะใน“อาริยสัจ 4”มีทั้ง“ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค” ซึ่งผู้ศึกษานั้นก่อนจะรู้จัก “อาริยสัจ 4” มันก็ต้องมีที่ไปที่มา ที่เป็นเหตุเป็นปัจจัย มาก่อนที่จะสามารถปฏิบัติ“มรรคอันมีองค์ 8”ได้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดว่า “มรรค 8”นั้น เปรียบเหมือน“ดวงอาทิตย์” การจะเห็นดวงอาทิตย์ได้นั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า มันต้อง“เห็นแสงอรุณหรือแสงเงินแสงทอง(สุริยเปยยาล)”ก่อน จึงจะสามารถ“เห็นดวงอาทิตย์“ได้ นั่นคือ ก่อนจะลงมือปฏิบัติ“มรรค 8”ได้นั้น มันก็ต้อง“เห็นแสงอรุณ”ก่อน พระพุทธเจ้าตรัส“แสงอรุณ 7”ไว้(พระไตรปิฎก เล่ม 19 ข้อ 129-136) ว่า ผู้จะสามารถปฏิบัติ“มรรค 8”ได้ผลดีมีผลได้ ครบถ้วนนั้น จะต้องมี 7 เหตุปัจจัยนี้มาก่อน ไม่เช่นนั้น ก็ไม่สามารถจะปฏิบัติ“มรรค 8“ มีผลแท้ คนผู้ใดไม่ได้ผ่านการเห็น“แสงอรุณ 7”มาก่อนแล้ว มาปฏิบัติ“มรรคองค์ 8”กันเลย มันก็ไม่เป็นลำดับ เหตุปัจจัยมันก็ขาดหกตกหล่นไปแน่นอน ย่อมไม่มี“สัมมา มรรค-สัมมาผล”พาตนเจริญไปอย่างมี“สัปปายะ 4”ได้ด้วย“ปัญญา 8”ถ้วนรอบสัมบูรณ์แน่ยิ่งกว่าแน่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า คำสอนหรือธรรมวินัยของ พระองค์นั้น มีการศึกษาไปตามลำดับ การกระทำไปตาม ลำดับ ปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่บรรลุอรหันต์โดยลัดตัดลำดับคำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเอาตามอำเภอใจของตน ความเป็นไปตามลำดับอย่างน่าอัศจรรย์นี้ พระพุทธ เจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 109 มีความน่าอัศจรรย์ที่บอกแจ้งไว้ละเอียดชัดเจนครบพร้อมทั้งมรรคทั้งผลอันเป็นพุทธสมบัติ ผู้สนใจควรหาอ่านดูให้ได้อย่างยิ่ง ผู้ใดหลงผิดไปตามเดียรถีย์คนออกนอกพุทธศาสนา ที่พากันตัดลัดแล้วหลงว่าจะบรรลุมรรคผลได้เลย มันก็บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ได้ แน่ยิ่งกว่าแน่ ผู้หลงผิดไปตามเดียรถีย์ก็ไปได้“มิจฉาผล”กันโน่นแหละ แล้วก็จมงมงายใน“เทฺว”ที่มี“๒” หลงว่ามี“1” ไม่เป็น“เทฺวนิยม”ให้ถูกต้องถ่องแท้ครบครัน นั่นคือ ไม่เป็นผู้มี“ปัญญา 8”ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเป็น“อนุปคัมมะ”หรือเป็น“อภิภู”คือผู้มี“อภิภุยฺย”ใน“อภิภายตนะ 8”อย่างถ่องแท้ลงไปถึงที่เกิด และดับในที่ดับ จึงกลายไปเป็น“เทฺวนิยม”ผู้ผิดเพี้ยนจาก“สัจจะที่ เป็นหนึ่งเดียว” อันมีทั้ง“ความมี”และมีทั้ง“ความไม่มี”เป็นผู้“อนุปคัมมะ” แต่ไม่ไปมีแล้วใน“ทั้งความมี-ทั้งความไม่มี” หรือชื่อว่าเป็นผู้บรรลุ“ความเป็นกลาง”คือ “มัชฌิมา” ในทุกวันนี้ ผู้ที่ยังหลงผิดกันทั้งมรรคทั้งผล เละเทะไปหมด ในชาวพุทธนี่แหละมีอยู่มากมายเหลือเกิน (9) ผู้หลงผิดตั้งแต่เริ่มต้น ไม่รู้ตนเอง ก็น่าสงสารยิ่ง ผู้ปฏิบัติธรรมที่ไม่มีแม้การเริ่มต้นที่“สัมมาทิฏฐิ” ก็ไม่มีลำดับต้น มันก็ไม่สามารถจะมี“ปัญญา 8”และไม่มี “วิชชา 8”ได้ครบถ้วนเด็ดขาด ก็น่าสงสารยิ่งนัก “วิชชา 8”นั้นเป็นสุดยอดแห่งความมี“ปัญญา”ครบ สูตรแห่ง“ปัญญา”ของศาสนาพุทธ ที่เริ่มจาก“วิปัสสนา ญาณ”อันเป็น“สัมมาทิฏฐิ” ซึ่งทุกวันนี้“วิปัสสนาญาณ”ก็ได้ พากันหลงวิตถารพิสดารผิดเพี้ยน“มิจฉาทิฏฐิ”ไปมากมาย ซึ่งผู้“อวิชชา”หรือยังเป็น“เทฺวนิยม”อยู่ ไม่สามารถ แยกความแปลกกัน-ความแตกต่างกันในความเป็น“เทฺว” คือ“ภาวะ 2”ได้นี่เองเป็นสำคัญ เพราะเขาไม่ได้ยินไม่ได้ฟังความเป็น“ปัญญา”จากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้า หรือจากสัตบุรุษ หรือจากคนผู้มี“สัมมาทิฏฐิ”แล้วที่อยู่ในฐานะครู หรือแม้จะได้ยินได้ฟัง แต่เขาก็ยังหลงติดยึดมั่นถือ มั่นใน“มิจฉาทิฏฐิ”เดิมๆอยู่ คงงมงายมืดมนอยู่นั่นแล้ว ยังหลงยึดถือ“เทฺว”หรือ“พระเจ้า”ที่ไม่สามารถแยก ความเป็น“เทฺว”อันมี“กาย”กับ“กรรม”ตนเองได้ จึงไม่สามารถรู้ตนเองว่า ตนเองเป็นใคร ทั้งๆที่ตนเองคือ“พระเจ้า”เอง คือ“ศาสดา”ของชาว เทฺวนิยมซึ่งแสดง“ความรู้เองของตนเองแท้ๆ”ที่ตนเองได้ สั่งสมมาเอง เป็น“วิบาก”ของตนเอง เป็น“มรดกกรรม” (กัมมทายาท)ของตนเอง ไมใช่ของ“พระเจ้า”ใดเลย ก็ไม่รู้สัจธรรมนี้ จึงเป็นผู้ที่น่าสงสารยิ่งอยู่แท้ เพราะยังจม“อยู่ ในสงสาร”กับ“อุปาทาน”กับ“อวิชชา” จึงเป็นผู้น่าสสารยิ่ง (10) เหตุคือไม่มีปัญญารู้จักรู้แจ้งรู้จริง“กรรมวิบาก” เพราะว่า ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“กรรมวิบาก”ที่มี“กรรมเป็นของของตน-ตนเป็นทายาทกรรมของตน-กรรมพาตนเกิดตนเป็นไป-กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ของตน-กรรมของตนเป็นที่พึ่งที่อาศัยพาตนเวียนวนเกิดตาย-ตายเกิดอยู่ไม่รู้จบไม่รู้แล้ว อยู่ตลอดกาล หากยังไม่มี“ปัญญา” จึงลึกลับ หรือไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในสัจจะอยู่นั่นเองว่า แท้ๆแล้ว“พระเจ้า”ก็คือ“ตนเอง” เป็น“นายของอัตตา” เป็น“ผู้บงการกรรมของตน” Category: ศาสนาBy Samanasandin1 เมษายน 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:650328 ไม่มีความไม่จริงในสิ่งที่พ่อครูพูดเรื่องโลกุตระ รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 33NextNext post:ฉบับที่ ๕๒๘(๕๕๐) นสพ.ข่าวอโศก ฉบับปักษ์หลัง มีนาคม ๒๕๖๕Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024