650701 ทำไมชีวิตคนเราต้องมาเอานิพพาน พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1negTqw6ykXERJ0tcnWFmHgXk6Ie-fcE4zItE-1wziVM/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1XT901xMEbxy1zUmvA7YwDna2VxLC4V5u/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/d_FARXP5bO/
และ https://youtu.be/wM0_KECyfoc
สมณะเดินดิน… วันนี้วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ภายหลังที่ปลดล็อคกัญชาไม่ใช่ยาเสพติด เนื่องด้วยมีการรณรงค์ให้กัญชาเอาไปใช้ในทางการแพทย์ แต่พอต่อๆไป กลายเป็นไม่เป็นการแพทย์ วางขายกันเกลื่อนกลาด โดยเฉพาะที่ถนนข้าวสาร เขาก็ไปแจ้งเทศกิจมา ตำรวจเทศกิจก็บอกว่าอย่ามาทำประเจิดประเจ้อ
ประเทศเพื่อนบ้านเราก็เดือดร้อน กงศุลแจ้งว่า ประเทศญี่ปุ่นห้าม ถ้าเอากัญชาเข้าไปจำคุกไม่เกิน 7 ปี แต่ถ้าจำหน่ายที่ญี่ปุ่นจำคุกไม่เกิน 10 ปีปรับไม่เกิน 1 ล้านเยน ประเทศเวียดนามห้ามเด็ดขาดเลย ปรับตั้งแต่ 5 ถึง 500 ล้านเวียดนาม หรือลงโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต อินเดียปรับ 1 ล้านรูเปียจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต
สิ่งที่เขาเป็นห่วงคือเด็กและเยาวชนจะมาอยู่ในวงจรพวกนี้ ไม่รู้ว่าจะสกัดกันอยู่หรือเปล่า แต่สิ่งที่เมายิ่งกว่านั้น การมองวัตถุยังพอมองเห็น แต่เมาในอารมณ์ โดยเฉพาะเมาเรื่องภพเรื่องอัตตา ไม่มีใครมองเห็นเลย มองเห็นว่าเป็นสิ่งสูงสุดของการปฏิบัติธรรม
เขาบอกว่าพ่อครูไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย ความหมายคือไม่ได้ไปนั่งหลับตาอย่างที่เขาคิด ซึ่งเป็นความเมาขั้นละเอียดระดับยิ่งกว่ากัญชา เป็นเรื่องยากมากเลย ทำให้พ่อครูต้องใช้พลังงานใช้ความพยายามให้ชาวพุทธตื่นตัวในเรื่องนี้
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 27 มิ.ย. 2565
_*Koithaitik Carp (คอยใคร)* : กราบเคารพพ่อครูครับ ผมเป็นคนไม่ชอบเข้าวัดตั้งนานมาแล้วครับ แต่วัดของอโศกกลับทำให้ผมอยากเข้ามาศึกษาธรรมะ เพราะได้ฟังธรรมจากพ่อครู ส่วนวัดของคนโลกๆ ที่ผมเห็นมีดีอยู่เรื่องเดียวคือ อาหารที่เหลือจากพระฉันแล้ว บางวัดจะให้ไปแจกนักเรียนยากจน หรือไม่ก็จะมีผู้มารับไปแจกให้ผู้สูงอายุคนพิการที่ไม่มีคนเลี้ยงคนดูแลได้มีอาหารกิน นี่คือข้อดีของวัดคนโลกๆที่ผมเห็นครับ นอกนั้นตั้งหน้าตั้งตาหาเงินกับขายของขลังเท่านั้นครับ
พ่อครูว่า…คุณตกหล่นนะ เขาตั้งหน้าตั้งตาหลับตาจะไปนิพพาน คุณอาจจะรู้แต่ตกหล่นไป
_*วสันต์ จันทร์เพ็ชร* : ที่ผ่านมา 6-7 ปีที่สมัครเป็นลูกพ่อนะครับ ตอนพ่อพูดรู้นะมีคนสมัครเป็นลูกหลาน กระผมนายวสันต์ จันทร์เพ็ชร..ผ่านมาหลายวัดหลายลัทธิทั่วเมืองไทย มาเจอพ่อท่าน..รู้รักบ้านเมืองรักคนไทยมากๆ ขึ้น นานวันก็ยิ่งศรัทธาพ่อมากขึ้นทุกวัน ทุกคำพูดเป็นจริงเสมอ… บริสุทธิ์จริง ใจของพ่อท่านสดใส…เป็นผู้สว่างชี้ทางชัดเจนที่สุดของลูก ลูกขอสมาสาธุ ขอน้อมกราบด้วยความเคารพอย่างสูง ตลอดมา..พ่อครูทำได้สูงสุดในทางธรรม สร้างงาน สร้างคนให้เจริญได้จริงแท้ คนจนที่มีความสุขอย่างมหัศจรรย์แบ่งปัน เป็นคนจนที่มีความสุขมากที่สุดในโลก ขอเดินตามรอยเท้าพ่อท่าน และร่วมทางเดินพี่น้องที่เจริญธรรมทั้งหลายตลอดไป ขอกราบ สาธุสาธุสาธุ
_*Mong Trongtham (มุ่ง ตรงธรรม)* : กราบนมัสการพ่อครู ด้วยความเคารพนอบน้อมสุดเกล้า สุดเศียร สุดจิต สุดใจครับ ฟังธรรมพ่อครูเทศยิ่งฟังยิ่งสนุ๊ก ยิ่งสนุก ยิ่งรู้สึกถึงความลึกซึ้ง ในสารธรรมที่พ่อครูสื่อเป็นภาษาสมมุติบัญญัติ พ่อครูสื่อภาษาบัญญัติให้เข้าใจง่าย ทั้งที่โดยสภาวะแล้วนั้นรู้ตามได้ยากยิ่งครับ / จากที่ฟังพ่อครูอ่านข้อความของคุณเดชา อัมพร แล้วเรื่องสติ ของท่านพระสารีบุตรเถรเจ้า ท่านกลับเข้าใจไม่ได้ว่าพระอรหันต์นั้นเป็นผู้มีสติเต็มร้อย แล้วยกไว้ซึ่งวินัย สำหรับพระอรหันต์ จะนำเอาวินัยมาจับอิริยาบท ของพระอรหันต์นั้นไม่ได้ ยิ่งผู้ยังเป็นปุถุชน ย่อมคาดเดาวิสัยของพระอรหันต์นั้นย่อมไม่ใช่ฐานะที่จะทำได้เลย
ต้องแยกสุขทุกข์ออกจากดีชั่วให้ออกจึงเข้าโลกุตระ
_*สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ* : ประเด็นธรรมทางบ้านไม่ได้มีแต่ทางบ้านในอโศก’ ยังมีนอกอโศกจากพุทธเทวะนิยมกระแสหลัก บางอันก็ไม่เชิงมาติชมติงเตือนด่า แต่มีมาปกป้องพระเกจิเก่าแก่เยอะ ที่ฟังกันบ่อยก็มาลองภูมิธรรมพ่อครูก็มากหลายแล้ว ทุกคำตอบประเด็นธรรมพ่อครูตอบชัดเจนสัจธรรมความเป็นจริง’ทำให้แฟนบุญนิยมได้อานิสงส์รู้ชัดแจ้งโลกุตระเพิ่มพูนธรรมะสาธุ🙇 / ผู้น้อยขอสารภาพว่าตนจะเรียนรู้โลกุตระธ.พ่อครูอย่างไรก็ยังคงเคารพหลวงตามหาบัว โดยมิได้มองว่าท่านจะเป็นพระอรหันต์ฤาไม่ เราศรัทธาท่านช่วยปลดหนี้ imf รวมพลังศรัทธามหาชนพุทธสยามด้วยผ้าป่ากู้ชาติพ้นหนี้สาธารณะได้ เรามองแต่หลักธรรมคำสอนพระสงฆ์ องค์ใดพาไปสู่ทางความพ้นทุกข์ได้ แล้วแต่จริตเราถูกตรงทางมาด้วยกันไหม
พ่อครูว่า…ประเด็นที่ว่ามาคือประเด็นความดีกับประเด็นความถูกต้องของโลกุตรธรรม หรือประเด็นในเรื่องความสุขความทุกข์ ซึ่งมันต้องแยกออกให้ได้ ถ้าเข้าใจประเด็นความดีความชั่วเท่านั้น ยังไม่ชัดในเรื่องความสุขความทุกข์ ว่า เป็นคู่ ดีชั่วเป็นเทวะคู่หนึ่งเป็นโลกียะเท่านั้น ส่วนสุขทุกข์นั้นเป็นธรรมะอีกคู่หนึ่งของโลกุตระ เป็นคู่เทวะ เป็นธรรมะคู่ ถ้าเอาไปปนกันแล้วเละแน่
อาตมายอมรับความดีงามของมหาบัวที่ทำความดี ยอมรับท่านมีความดีอันนี้ แต่อาตมารักษาธรรมะพระพุทธเจ้าตรงที่เนื้อหาโลกุตรธรรม มหาบัวไม่มีเลย ไม่รู้เรื่องสุขทุกข์เลย ติดเสพสุขกินหมากจั๊บๆ ก็ยังไม่รู้ เท่านี้แหละมันตื้นๆ ไม่รู้ความติดสุขติดทุกข์ ตัวเองเสพสุขในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แค่ไปติดหมากพลูไม่ขาดปาก ไม่มีความรู้ในโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า
ทำความดีแบบโลกีย์แบบเทวนิยมเขาเหมือนชาวโลกเทวนิยมโลกีย์เขาทั้งหลาย ยังไม่เข้าเกณฑ์โลกุตระเลย แล้วไปหลงกันว่าเป็นพระอรหันต์ นี่เป็นความหลงผิดที่อาตมาจำเป็นจะต้องขย้ำ ขย่ม อย่างหนัก เพราะมันไม่น่าจะซ้อนเนียนกันจนกระทั่งแยกไม่ออก
โลกโลกียะ มันมีแต่ความดีความชั่ว ละชั่วประพฤติดี ก็ไม่เคยละทิ้งความสุขความทุกข์เขาไม่เคย อาจเข้าใจเผินๆว่า จะไม่เอาทุกข์ จะทิ้งทุกข์ แต่เขาจะเอาสุข เขาไม่รู้จริงๆว่าสุขกับทุกข์เป็นคู่แฝดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่แยกกันไม่ออก มันเป็นมายา เป็นเทวะที่ตีไม่แตกสำหรับคนโลกีย์ แยกไม่ออก
ทำไมอรหันต์รุ่นแรกมีการฆ่าตัวตายได้ด้วย
_*เดชา อำพร* : โปรดอธิบายเรื่อง”พระฉันนะ”ที่ทนทรมานจากป่วยไข้ไม่ไหวจนต้องทำอัตตวินิบาตตนเอง.. ทั้งๆ ที่เป็นอรหันต์แล้ว.. ด้วยครับ..
พ่อครูว่า…อันนี้เป็นเรื่องของเบื้องต้นที่ยังไม่เข้าใจรอบในเรื่องพระอรหันต์ ความเป็นพระอรหันต์นี้ไม่ติดในสมมติแล้วมีแต่ปรมัตถ์
พระอรหันต์ในยุคแรกๆที่พระพุทธเจ้ายังเทศนาไม่ครบบริบูรณ์ อรหันต์รุ่นแรกๆใหม่ๆ พระพุทธเจ้าเทศน์ให้เบื่อหน่ายร่างกายภายนอกนี้มาก กายร่างข้างนอกมันน่าเบื่อมาก เป็นภาระจริงๆ เป็นสัมภาระ ที่โอ้โห เหมือนอาตมาทุกวันนี้ลำบาก เป็นสัมภาระของร่างกายขันธ์ 5 ต้องกินให้มัน ต้องออกกำลังกายให้มัน เห็นพระเรื่องของขันธ์ 5 นี้สุดๆเลย
พระอรหันต์รุ่นแรกๆที่ดวงตาเห็นอันนี้ เบื่อขันธ์หนักมาก จึงให้คนอื่นฆ่าให้ตัวเองตาย ซึ่งตอนนั้นก็ไม่มีกฎหมายโดยเฉพาะนักบวชตอนนั้นก็เป็นเช่นนั้น นี่เรื่องของพระฉันนะก็อยู่ในเกณฑ์เดียวกัน ก็เลยทำ อัตวินิบาต ถ้าเข้าใจสภาพทั้งบัญญัติและความจริง จิตที่มันรู้สึก ภาราหเวปัญจขันธา ขันธ์ 5 นี้เป็นภาระที่หนัก จึงน่าเบื่อ จนกระทั่งมาบรรลุพระอรหันต์อย่างบริบูรณ์ บริบูรณ์ขั้น อุภโตภาควิมุติ ก็จะเป็นผู้ อนุปคัมมะ คือจะรู้สิ่งมีและไม่มี
พระโพธิสัตว์จะมีสิทธิ์เป็น อนุปคัมมะ กับอภิภู แต่พระอรหันต์ไม่เป็นโพธิสัตว์จะไม่มีความรู้เรื่อง อภิภูเลย อภิภู เป็นความรู้โพธิสัตว์ระดับเป็นภูมิธรรมของโพธิสัตว์ระดับ 8 กว่าจะเป็นอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีความละเอียดจากพระอรหันต์ไปหาพระพุทธเจ้าอีกไกลสูงมาก
เป็นอรหันต์ง่ายๆไม่มีปัญหา รู้จักกิเลสแล้วตัดกิเลสละกิเลสให้หมด แล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จบพระอรหันต์ แต่ผู้ที่จะเป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 ระดับ 6 ระดับ 7 ระดับ 8 โอ้โห เพราะฉะนั้นคุณจะเข้าใจความเป็นโพธิสัตว์ไม่ได้ง่ายๆ
ก็อยากจะพูดความจริงอีกอันนึงว่า คุณธรรมที่พระโพธิสัตว์แต่ละองค์สร้างขึ้น เป็นการขยายเป็นการช่วยพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง ช่วยขยายรายละเอียดที่มากมายสุขุมในความเป็นโลก ในความเป็นอัตตา ให้คนได้รู้รายละเอียดต่างๆพวกนี้อีกเยอะ
พระพุทธเจ้าสมณโคดม ทำกิจ แค่ 45 พรรษาและปรินิพพานไปสั้นมากน้อยมาก แล้วท่านก็สอนแค่ กรอบเล็กแค่อรหันต์เท่านั้น ความเป็นโพธิสัตว์ที่จะมีภูมิธรรมโพธิสัตว์จากพระอรหันต์ จนเป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 6 7 8 จนถึงระดับ 9 มันหนักหนาสาหัส เพราะต้องทำงานกับมนุษยชาติ กว่าที่ตนเองทำงานอยู่ทางโลกในการแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมันง่ายมาก แย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมันง่ายที่สุด จริงที่สุดมันก็เลยง่าย
จะฉลาดมารู้จักภูมิธรรมทางอรหันต์ โพธิสัตว์ระดับ 5 ขึ้นไปเป็นผู้ที่มี อรหัตตผล มีความเป็นอรหันต์เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆจนกว่าจะเป็นอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ก็ต้องมีขั้นตอนไปเรื่อยๆจนกว่าจะครบถึงพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์แต่ละองค์ก็ต้องเพิ่มภูมิอรหันต์
ระดับอนุโพธิสัตว์ อรหัตตผลในระดับ อนุโพธิสัตว์ ไปเป็น อนิยตโพธิสัตว์ มาเป็นนิยตโพธิสัตว์ มาเป็นมหาโพธิสัตว์จนกว่าจะเป็นอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า
วิจารณ์พลเอกประยุทธ์ นายกฯ
*อัมพร กุลศักดิ์ศิริ* : อยากให้พ่อครูตักเตือนรัฐบาลที่อ่อนข้อให้กลุ่มทุนพลังงาน จนชาวบ้านจะหมดความอดทนแล้ว สนธิ-จตุพร-ทนายนกเขา พูดเป็นเสียงเดียวกันแล้ว มีพ่อครูอาจให้สติทุกฝ่ายใด้ครับ
พ่อครูว่า… พวก สามคนนี้ดูเหมือนจะติงพลเอกประยุทธ์ แต่ทั้ง 3 คนมีความเห็นไม่ตรงกันทีเดียวหรอก อาตมาจะไปสอนสังฆราชก็คงจะไม่ถูก เพราะคุณสนธิ คุณจตุพร คุณทนายนกเขาก็มีสังฆราชของเขา อาตมาไม่ได้เป็นสังฆราชหรอก อาตมาเป็นนักปฏิบัติธรรมเข้าใจธรรมะแล้วก็พยายามเผยแพร่ธรรมะเท่านั้นนะ ก็คงไม่เหมือนเขา อาตมาก็คงไม่กล้าไปติงเตือนเขามากมายหรอกเพราะเขารู้มากกว่าอาตมาเยอะ อาตมามีความรู้ทางโลกสู้คุณสนธิไม่ได้ แม้แต่จตุพรก็ตาม หรือแม้แต่ทนายนกเขา อาตมาไม่มีความรู้ทางโลกโลกีย์อะไรมากมาย แต่อาตมาขอบอกตรงๆว่าอาตมามีความรู้ทางโลกุตระ อาตมามีเหนือใครหมด นี่ก็พูดด้วยความจริงใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ได้เจตนาจากข่มเบ่ง หรือทำให้ตัวเองรู้สึกสูงส่งในทางโลกุตระ เพราะโลกุตระนั้นสูงส่งกว่าโลกีย์จริงๆ คุณสนธิ คุณจตุพร คุณนกเขา เขาบอกว่าเขายังไม่มีโลกุตรธรรมหรอก ยังเป็นเทวนิยมยังเป็นโลกีย์อยู่ ยังไม่เข้ากระแสโสดาบัน นี่ก็พูดความจริง จริงๆให้ฟัง
เพราะฉะนั้น อาตมาจะไปวิจารณ์คุณสนธิ คุณจตุพร คุณนกเขา อาตมาไปวิจารณ์ไม่ได้เพราะอาตมาสู้ความรู้ทางโลกเขาไม่ได้ เขารู้มากกว่าอาตมาจริงๆ พูดยังไม่ได้พูดผิดด้วยมันเป็นความจริงเลย ถ้าเขาบอกโลกุตระผิดเมื่อไหร่ บอกอาตมา มาเลย เขาไม่เห็นพูดโลกุตระเลย
อาตมาอยู่อีกโลกหนึ่งคือ สอนอธิบาย ให้มนุษย์นี้ได้โลกุตระ คนไม่เห็นความสำคัญของโลกุตระน่าสงสารมาก
สมณะเดินดิน… ดูเหมือนเขาอยากให้พ่อครูติงรัฐบาลด้วย
พ่อครูว่า… อาตมาไม่มีความรู้ในเรื่องทางโลกแบบนั้น ที่ว่าไปอ่อนข้อ อาตมาก็เห็นแต่ว่า พลเอกประยุทธ์นี้ บริหารประเทศโดยเอาคุณธรรมทางธรรมมาใช้ มันเข้าเกณฑ์โลกุตระ ซึ่งมีไม่น้อย อาตมาไม่อยากบอกว่า พลเอกประยุทธ์นี้เป็นโพธิสัตว์คนหนึ่ง ไม่อยากพูด เพราะมันยังไม่มาก มันยังน้อยอยู่ แต่ก็เป็นโพธิสัตว์ เพราะฉะนั้นจึงทำการบริหารประเทศอย่างมีเนื้อหาของโลกุตระ ประนีประนอมได้ดี
ประนีประนอมทั้งในไทยและต่างประเทศได้ พลเอกประยุทธ์ได้ชื่อว่า โลกเขาตราว่าเป็นเผด็จการ เป็นการปฏิวัติรัฐประหาร
รัฐประหาร ถ้าสำเร็จก็ได้บริหาร แต่ถ้าไม่สำเร็จก็เป็นกบฏ มีรัฐประหารที่ไม่เป็นกบฏอยู่อย่างเดียวในประชาธิปไตยคือประชาชนทำรัฐประหาร ส่วนใหญ่ของประชาชนในประเทศทำรัฐประหารด้วยความสงบ ไม่มีอาวุธ เอาความจริงที่จริงมาไล่รัฐบาล หรือไล่ทรราชนั้น จนกระทั่งประชาชนชนะอย่างที่ประเทศไทยทำ นี่คือตัวอย่าง นี่คือสัจธรรมที่ ในโลกยังมีไม่ได้
คนอาจจะบอกว่ามีบางประเทศทำ แต่ประเทศไทยนี้ทำถึง 4 รัฐบาล นี่คือสิ่งที่ยืนยันอีก ไม่มีประเทศไหนที่ทำได้ถึง 4 รัฐบาล โดยความเข้าใจของคนโลกุตรธรรม กลุ่มที่เข้าใจโลกุตรธรรมของประเทศ ก็มีชาวโลกุตรธรรมที่มีชาวอโศกเป็นแกนหลัก แล้วก็มีประชาชนที่มีเชื้อของโลกุตระมารวม จนกระทั่งสุดท้าย สุเทพ เทือกสุบรรณรวมคนมาช่วย มีคนมาช่วยเป็น 10 ล้าน นี่คือสัจจะที่ไม่ได้รู้กันง่ายๆ ต่างคนที่มาเป็น 10 ล้านนี้ มากันอย่างเป็นเอกภาพ ไม่ได้ทำอย่างม็อบ แต่มาอย่าง Protest มาอย่างประท้วงด้วยความสงบ ไม่ใช่ประท้วงด้วยความรุนแรง มึงมาพาโวยอย่างที่เขาทำ ไม่ใช่ เอาไปเอามาก็ขว้างปา หนักเข้าก็มีลูกระเบิด มีแก๊สน้ำตาอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งมันผิดกัน
เราประท้วง ที่เป็นม็อบกับประท้วงด้วย Protest ก็ต่างกัน พวกที่ประท้วงอยู่ตอนนี้เป็นม็อบเสียเยอะ แต่ที่ผ่านมามีประเทศไทยประท้วงด้วย Protest แล้วก็ทำงานสำเร็จ
ต่อต้านรัฐบาล คว่ำรัฐบาลลงด้วยความถูกต้องด้วยสิ่งที่เขามีความทุจริตกับสุจริต เอาความถูกต้องความสุจริตไปชี้ว่าเขาทุจริตต่างๆนานา ชนะด้วยความมีสัจจะทำด้วยความยุติธรรมมีธรรมะอย่างนั้น
นักรัฐศาสตร์จะต้องศึกษาดีๆ ว่าประวัติศาสตร์ของเมืองไทย รัฐประศาสนศาสตร์มีความเป็นมาอย่างไร เรียกว่ารัฐประศาสนศาสตร์ ก็ยังเข้าใจความเป็นรัฐศาสตร์ที่เป็นแกนของศาสนายังไม่ง่าย เพราะว่าต้องเอาเนื้อธรรมะจริงๆเข้าไปใส่เป็นศาสนา เป็นคุณธรรมที่โดยเฉพาะของพุทธ
พุทธศาสนานั้น โลกียะเทวนิยมตะวันตก อเมริกา ยุโรป ที่ไหนๆ ยิ่งตะวันออกกลางยังไม่ต้องพูดถึงเลย ยังไกลมาก เขายังไม่เข้าใจโลกุตระธรรม เขายังไม่เข้าใจถึงเรื่องการเมืองประชาธิปไตยแบบโลกุตระหรือแบบพุทธเลย เพราะเขาไม่ได้เป็นพุทธกัน ไม่มีเชื้อพุทธเลย มีแต่รู้ว่าเป็นพุทธ โดยเฉพาะเชื้อของโลกุตรธรรมเขาไม่มีเลย ซึ่งมันไม่ได้มีกันง่ายๆ
อาจจะมีที่พยายามศึกษากัน แต่ไม่ง่าย ถ้าคนเข้ากระแสของโลกุตรธรรมแล้ว จะมาศึกษาทางนี้จะมาเป็นคนพุทธทางเมืองไทย เป็นพระมาบวชเลย เป็นชาวต่างชาติมา ชาวต่างชาติ มีอเมริกัน มียุโรป อิสลามยังไม่เคยมีมาบวช อาตมายังไม่อยากวิจารณ์มาก เขายังแรงอยู่เขาเอาตาย อาตมาก็ยังรักษาท่าทีว่าไม่ให้เขามาทำบาปทำอะไรแก่อาตมา ซึ่งมันไม่ดีเพราะเขาไม่รู้จริงๆ อาตมารู้จักละเว้นในสิ่งที่ควรละเว้น อย่างคริสต์อธิบายกันได้ เพราะตัวตนลดลงกว่าอิสลามเยอะ หรือศาสนาอื่น ฮินดูก็ตาม ศาสนาอื่นก็ตาม ยังพอแตะกันได้ อันที่แตะกันไม่ได้ก็อย่าไปแตะ
จุดสูงสุดของมนุษยชาติคือความเป็นพระพุทธเจ้า
พ่อครูว่า… เรื่องของมนุษยชาติ เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วคนเรายังไม่รู้จุดสูงสุดของความประเสริฐ พระพุทธเจ้า เกิดมาเป็นคนเหมือนเราทุกคน เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ต่อมารู้ว่า ตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าก็เลิกเลย ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ที่ว่าเป็นความประเสริฐก็เลิกเลยเลิกเด็ดขาด เลิกอย่างทิ้งเลย ทิ้งดิ่งมาเป็นคนติดดินเลย อยู่ป่าช้า อยู่ป่าเขา
แล้วไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าเห็นว่า ป่าเขาเป็นแดนของ อาริยกะ แต่ท่านเห็นว่าเป็นแดนมิลักขะ แต่ท่านจำนน เพราะคนเข้าป่ามา ตรัสรู้ในป่า จากนั้นท่านก็ไปสอนคนในเมือง เพราะว่าจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่มีขคนในป่าที่จะรับได้ คนในป่าคนหลงป่า รับจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ได้ ให้ไปสอนในเมือง
พระอรหันต์ 60 องค์แรกจงไปในที่ต่างกัน ที่ละองค์ อย่าไปซ้ำซ้อนกัน ไปสอนในเมือง เราก็จะไปอุรุเวลาเสนานิคม นิคมคือเมือง มีรายละเอียดอีกเยอะที่คนยังเข้าใจไม่ได้
สรุปแล้วศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาของคนป่า คนที่ยังหลงป่า ไม่ใช่ อย่างนั้นเป็นพวก มิลักขะ ไม่ใช่อาริยกะ เป็นคนเถื่อนอยู่ เป็นคนไม่งอกเงย ในความเป็นภูมิปัญญาในความเป็นโลกสังคมมนุษยชาติ จะเอาแต่อัตตาๆๆ สั่งสมจิตเป็นอัตตา ตัวอสัญญีสัตว์ เป็นตัวใหญ่เลย นอกนั้นก็เป็นตัว สัตตาวาส 9 เขาไม่รู้หรอก เขาไม่เข้าใจ
สายหลับตาเข้าป่าเป็นผู้ที่หลงสะสมสัตตาวาส 9 อย่างเนียนโดยไม่รู้ตัว ไม่เข้าใจ พูดแล้วก็น่าสงสารเห็นใจ ทำอย่างไรเขาจะรู้ตัวกัน ติดยึดจนกระทั่งแทงด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวัน เย็น ก็ยังเป็นโจรปล้นศาสนาหลับตา ทำลายศาสนาพุทธอยู่อย่างนั้น มันบาปนะ พวกหลับตาปฏิบัติธรรมนี้มันบาป อาตมาไม่ได้ใส่ความ อาตมาพูดความจริง ไปงมงายนั่งหลับตา แล้วยืนยันการหลับตาปฏิบัติเป็นภูมิธรรมของศาสนาพุทธ ผู้นั้นกำลังทำลายศาสนา พาตัวเองเสื่อมแล้วพาผู้อื่นเสื่อมตาม
ความประเสริฐของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเกิดมาเป็นคนเหมือนเราทุกคน มีอาริยภูมิเต็มสุด ท่านก็เลิกทางโลก ถ้าท่านอยู่ต่อจะได้เป็นจอมจักรพรรดิ ท่านก็ไม่แยแสเลย พราหมณ์ที่มีความแม่นยำทำนาย 1 คนบอกว่าเป็นพระพุทธเจ้าคติเดียว อีก 7 คนบอกว่ามี 2 คติ
ความประเสริฐสุดของโลกุตระจึงเป็นเรื่องของมนุษย์จะต้องเอา พระพุทธเจ้ารู้วิชาทางโลก 18 วิชชา ที่ตักสิลาสอน เป็นเหมือนมหาวิทยาลัยในยุคโน้น สอน 18 สาขาวิชา พระพุทธเจ้าเรียนหมด ได้เกียรตินิยมทั้งนั้น แล้วท่านทิ้งหมดเลย มาเอาธรรมะของท่านหรือมาเอาธรรมะถ่ายเดียว แล้วความรู้ 18 วิชาเป็นโลกโลกีย์ท่านไม่เอา ทำแต่โลกุตระนี้จบสุด เป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มีปัญหาในเรื่องความรู้ทางโลก อีก18 วิชา เพราะพระอรหันต์จะค่อยๆช่วย 18 แขนง 18 ฝ่าย
แต่ละองค์จะมีจริต มีความถนัดจะมีบารมี มีวาสนาที่ตัวเองถนัดต่างกัน บางคนถนัดทางเศรษฐศาสตร์ บางคนถนัดทางประวัติศาสตร์ บางคนถนัดทางรัฐศาสตร์ บางคนถนัดไปทางเกษตรศาสตร์อะไรพวกนี้ บางคนก็ถนัดในทางกระยาสารท
รายละเอียดของความประเสริฐที่ว่านี้ หรืออาริยะ อาตมาพยายามใช้คำว่า อาริยะ เพราะคำว่า อารยะก็เพี้ยนไปจากสัจธรรมลึกซึ้งแล้ว คำว่า อริยะ ก็ผิดเพี้ยนไปจากสัจธรรมลึกซึ้งแล้วอาตมาจึงขอใช้ อาริยะ ในคัมภีร์พระศรีอริยเมตไตรย
ความเป็นมนุษย์ที่มีความประเสริฐ ความวิเศษสุดๆ ก็คือมาศึกษาให้บรรลุนิพพาน ให้บรรลุโลกุตรธรรม เพราะฉะนั้นนิพพานนี้จึงไม่ใช่ของลึกลับ ไม่ใช่ของที่อยู่ไกล ไม่ใช่ของที่มนุษย์เอายาก แต่คนที่ยากเพราะเขาปฏิเสธก่อน ก็เลยยาก
ที่จริงมันไม่ยากหรอก ถ้าปฏิบัติตามลำดับของพระพุทธเจ้า ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 แล้วเกิดฌานของพุทธ เกิดการกำจัดกิเลสตามลำดับตามวิชชา 8 จะเป็นพระอรหันต์ได้ไม่นานเลย ถ้าเรียงตามลำดับอย่างสนิทเนียนสัมมาทิฏฐิ
พวกเรานี้ เป็นกายสักขี เป็นสักขีพยานแก่ชาวโลกว่าพวกนี้ไม่ใช่ชาวโลกีย์ มาสนใจทางด้านนี้ ฟังธรรมะทุกวันฟังธรรมะที่รีรัน ฟังแล้วก็ฟังอีก ฟังอีกก็ฟังแล้ว ไม่เบื่อ เป็นธรรมรสเป็นวิมุตติรส แล้วพวกคนนั้นไม่ใช่ธรรมดา แต่มันตัดรอบว่าตัวเองเป็นปัญญาวิมุติ เป็นอรหันต์เป็นหรือไม่เท่านั้น ที่จริงพวกเราตัดรอบเป็นอรหันต์กันได้ อรหันต์เยอะ มีปัญญาวิมุติ มีปัญญาพอที่จะตัดรอบ แต่เป็นกายสักขีแล้ว เห็นได้ว่าต่างกันกับชาวโลก
พวกนั้นเขายังไม่มาเขายังรู้เลยว่าพวกนี้พวกชาวอโศก นั่นแหละเขาเห็นว่ากายของชาวอโศกนี้ต่างจากเขา เป็นพวก อัญญะ ไม่ใช่อัญญเดียรถีย์นะ แต่เป็นอัญญะอาริยะ ที่เป็น อัญญธาตุ เป็นโลกุตระเป็นปัญญา
เพราะฉะนั้นพวกที่ไม่เห็นคุณค่าของความเป็นนิพพาน และก็นึกว่านิพพานมันก็ไม่มีรส มันก็ไม่สุขไม่สนุก มันไม่ต้องเต้นต้องดีด ไม่ต้องมีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส อะไรต่ออะไร จิต ลึกๆมีโลกียะ มากก็เลยไม่อยาก อย่าไปพูดถึง ไม่กล้าเลย เขาไม่อยากทิ้ง
เขาเห็นว่านิพพานเป็นเรื่องสุดเอื้อม เขาคิดอย่างนั้น อย่าไปพูดถึงอรหันต์เลย เห็นชาวโลกุตระพูดถึงโสดาบันเขาก็ว่าไกลสุดเอื้อมแล้ว เพราะไม่ได้มาศึกษาให้ดีๆ โสดาบันจะไปมีขี้หมาอะไรมากมาย มันเริ่มเป็นทองคำนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่ใช่ขี้หมาเลยโสดา เป็นทองคำนิดๆ 4 สลึงเป็น 1 บาท โสดาบันนี้คือ 25 สตางค์ คือ 1 สลึง สกิทาคามีก็ 2 สลึง อนาคามีก็ 3 สลึง อรหันต์ก็ 4 สลึงเป็น 1 บาท เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นเมื่อเขาปฏิเสธตั้งแต่ต้นทางว่ามันยาก โสดาบันเขาจะเป็นได้อย่างไร เพราะไม่เข้าใจความจริงของสัจธรรมก็เลยไม่เอาบอกว่าไม่ดีแล้ว
อาตมามันมีวิบาก ชาตินี้มีวิบาก ยากแสนยาก ถูกนักเลงหัวไม้ พยายามเงื้อง่า แล้วก็ไล่ทุกข์อยู่แล้วเป็นจำนวนมากเลยนะพวกนักเลงหัวไม้มีเยอะด้วย อาตมาก็เลยรู้ว่ากว่าจะได้พวกที่ออกมาจากกรอบของนักเลงหัวไม้ที่เขาคุมอำนาจอยู่นี้ ได้มาเท่านี้ก็เก่งแล้ว มันต้องยากเป็นธรรมดา ถ้าไม่อยากก็ไม่ใช่โพธิสัตว์ระดับ 7 หรอก ถ้าไม่อยากก็ไม่ใช่โพธิสัตว์ ระดับ 7 หรอก มันต้องชกกับรองแชมป์ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ กว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าต้องชกกับรองแชมป์ระดับ 8 ซึ่งยังมีอีกหลายชั้นไม่รู้กี่ชั้น ก็จะเป็นแชมป์เปี้ยนของโลกเลยต้องชนะ แชมป์เปี้ยน ของโลกนี้เสร็จก่อนใช่ไหม ถึงจะได้เป็นแชมป์เปี้ยนจริงๆเหมือนกับพระพุทธเจ้า
ประเด็นที่คนเข้าใจไม่ได้ ไม่ยากเลยที่พระพุทธเจ้าสอนมา อาตมาก็นำมาสอน คนสอนกันเข้าใจกันแต่ว่าคุณธรรม คุณวิเศษต่างๆนานา เหมือนกับมหาบัว ทำความดี เข้าใจแต่ความดีความชั่ว เขาไม่เข้าใจว่าความสุขความทุกข์นั้นเป็นโลกุตระ ไม่มาเรียนความสุขความทุกข์ ทางเทวนิยม ทางยุโรป อเมริกา ไม่ต้องพูดถึงตะวันออกกลางหรอก ไม่มีสักนิดน้อยเลย ที่จะมีไหวพริบ คิดว่ามันต้องมาเรียนรู้ความสุขความทุกข์นะ ความสุขความทุกข์มันเป็นเทวะคู่เอกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเขาจะไม่รู้ว่าสุขทุกข์นั้นแยกออกจากกันไม่ได้
เขามีความสุขเพราะลาภยศสรรเสริญ อัตตา อัตตนียา สร้างภพชาติให้แก่ตัวเอง เขาเป็นได้เท่านั้น ตามสมมุติที่จะสร้างวิมานเอง หรืออุปาทานเองได้หมด
ความรู้ที่คนจะมารู้สึกรู้ทุกข์ แล้วเป็นผู้หมดสุขหมดทุกข์อย่างสัมมาทิฏฐิ คำว่าหมดทุกข์หมดทุกอย่างสัมมาทิฏฐินี้ยิ่งใหญ่มาก พวกนักปฏิบัติธรรมที่มีมิจฉาทิฏฐิ ทำความหมดสุขหมดทุกข์ได้เหมือนกัน นั่งหลับตาสะกดจิต ดับสุขดับทุกข์ เขาก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ดับ กดได้เก่งเหมือนกับ อาฬารดาบส อุทกดาบส ตายแล้วเขาก็เสพติดในภพ ดับอย่างที่สะกดจิตไว้ อาจได้หลายร้อยปี ไปแล้วก็วนกลับมาเกิดอีก กลับมาติดอยู่ในภพที่ตัวเองเสพติด ดับอย่างนี้อีก
เหมือนอย่างที่หลวงปู่มั่น บอกว่าตัวเองไปเกิดเป็นหมาตั้ง 500 ชาติ นั่นแหละโง่แล้วโง่อีกที่อยู่ในภพ สะกดจิตนี่แหละคือหมา 500 ชาติ ไม่ได้เป็นอย่างอื่นหรอก คำว่า หมาคำนี้ เป็นคำที่แทนสิ่งที่ตัวเองมัวเมาในโลกที่ยังวน ในความวนของโลกียะ แล้วไม่ใช่โลกียะแบบ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่มาหลงว่า อันนี้เป็นสุข มาหลงว่าเป็นการหยุดอยู่นิ่งๆ แล้วได้รู้จักสวรรค์วิมานรู้จักภพ ได้สอนเทวดาหรือ พระพุทธเจ้ามาฟังธรรมหลวงปู่มั่น เฮ้ย พระอรหันต์ของพระพุทธเจ้ามาฟังธรรมหลวงปู่มั่น ลูกศิษย์ลูกหาเขาเขียนถึงขนาดนั้นเลย เรียกว่าละเมอเพ้อพกไป
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน… หลวงปู่มั่น ในประวัตินั้นพระพุทธเจ้ามาแสดงธรรมให้หลวงปู่มั่นฟัง แต่พ่อท่านบอกสลับกัน แล้ว ไม่ใช่พระพุทธเจ้าองค์เดียวด้วย มีพระพุทธเจ้าหลายองค์มาแสดงธรรมให้หลวงปู่มั่นฟัง
พ่อครูว่า… เลยคิดดูสิ อย่างนี้ พระพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานยังมีจิตวิญญาณพระพุทธเจ้าอยู่มาสอนหลวงปู่มั่น คิดดูสิ แล้วเมื่อไหร่มันจะมีปรินิพานเป็นปริโยสาน
สมณะเดินดิน… เขาถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้ามีรูปร่างอยู่ เขาก็ว่า พระพุทธเจ้า เนรมิตตัวเองมาใหม่
พ่อครูว่า… พระพุทธเจ้าไม่ได้มีเนื้อหนังแล้วแต่มีตัวตนทางภพชาติ อยู่ในวิมานทางโน้น ยังไม่สูญจริง ยังไม่แยกเป็นดินน้ำไฟลม ยังเป็นจิตวิญญาณอยู่ นั่นแหละคือสิ่งที่ยังเข้าใจไม่ได้หลวงปู่มั่นยังไม่ชัดเจนอะไร ไม่รู้จักภพชาติ แม้ชาติที่ไม่มีชาติแล้วไม่มีเกิดอีกแล้วก็ยังให้ไปเกิดใน อรูป เป็นวิมานอีก ก็ยังมีอยู่
เรียกว่าเรื่องของความมียังมี ยังไม่จบในความมี จนถึงขั้นไม่มี เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้จักความมีกับความไม่มีแล้ว ก็ไม่ติดยึดแม้แต่ความไม่มีในขณะที่ตัวเองยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ยังไม่รู้ว่าในความไม่มี เราก็ยังมี เพราะเรายังไม่ตาย เราก็ต้องรู้ว่าความไม่มีมันยังมี
เพราะฉะนั้นในความหมายของคำว่า อนุปคัมมะ หรืออภิภู ที่รู้เรื่องความมีหรือความไม่มีแล้วไม่เข้าไปยึดติด ไม่เข้าไปใกล้ ไม่เข้าไปเป็น กับความมีหรือความไม่มี เพราะฉะนั้นทั้งความมีและความไม่มี ผู้หลุดพ้นแล้วสูงกว่าความมีและความไม่มี อยู่เหนือลอยตัวอยู่เหนือความมีและความไม่มี เรียกว่าอุตตระ อยู่เหนือ ซึ่งเป็น อจินไตย ที่คิดเอาเอาไม่ได้ง่ายๆ
อาตมาพยายามใช้ภาษาอธิบายแจกแจงแยกแยะด้วยพยัญชนะให้ฟัง เอาสภาวะมาอธิบายซับซ้อนก็จะเข้าใจได้ใช่ไหม พอรู้ แม้จะยังไม่มีสภาวะถึงขั้นที่อาตมาพูดก็ตาม
อภิภายตนะ ยังไม่ใช่พระพุทธเจ้านะยังเป็น อภิภู ไม่ใช่สยัมภู ไม่ใช่เรื่องอันเดียวกัน แต่มันก็ใกล้เคียงกันไป อย่างอาตมารู้จักอภิภู ขึ้นมาแล้ว หรือแม้แต่พุทธวิสัยก็พอรู้ไล่ระดับมาเรื่อยๆ พระอาตมาระดับ 7 ก็แน่นอน ต้องเริ่มเข้าระดับ 8 หรือระดับ 8 มากกว่ารู้จักพุทธวิสัยที่แท้จริง เพราะอาตมามีฌานวิสัยที่กระเถิบเข้าหาพุทธวิสัยไปได้เรื่อยๆ
คนจะเข้าใจเรื่องของ ฌาน จนกระทั่งเป็นฌานวิสัย คนที่จะอาศัยฌาน อาศัยเท่านั้น โดยรู้จักฌานที่เป็นแบบพุทธ จะไม่เข้าใจง่ายๆ ทั้งๆที่เขาก็อาศัย ฌานแบบพุทธอยู่ เขาไม่เข้าใจ เขานึกว่า ฌานแบบพุทธนั้นมันตื้นง่ายๆอย่างนี้เหรอซึ่งเขาคิดว่ามันยากนะ ต้องไปนั่งหลับตา นั่งหลับตาแล้วไม่ได้จะมี ฌาน ได้ง่ายๆนะ ฌาน คืออะไร
ฌาน 1 คือไม่มีนิวรณ์ 5 เพราะฉะนั้นคนที่ลืมตา มีชีวิตสามัญ คุณไม่มีกาม ไม่มีพยาบาท ไม่มีถีนมิทธะ ไม่มีอุทธัจจะกุกกุจจะ มีวิชชาบริบูรณ์ ตอนตื่นๆ คุณต้องรู้ว่าบริบูรณ์ต่อเมื่อคุณสะอาดหมดกิเลสเกลี้ยง แต่คุณจะหมดเกลี้ยงไม่ง่าย
ขั้น โสดาบันก็ประมาณหนึ่งระยะหนึ่ง ดีไม่ดี เวียนกลับง่าย จนกว่าจะเป็นโสดาบันในระดับ นิยตะ จึงจะเที่ยง ในสมัยพุทธกาลมีพระที่บวชถึง 7 ครั้งกว่าจะบรรลุอรหันต์ มีจอบเขวี้ยง ไปถึง 7 ครั้ง จนกว่าจะเที่ยง
เพราะ สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน 7 รอบ เป็นโสดาบันที่แย่สุด เป็นรูปธรรมกายสักขี อย่างนึงในยุคสมัยพระพุทธเจ้า ต้องเวียนมาเข้ากระแสถึง 7 เที่ยว จึงจะเข้าได้ต่อไป นี่คือ สภาวธรรม เป็นเช่นนั้น
พระพุทธเจ้าสอนทำฌานกับเรื่องพื้นๆในชีวิตคน
เอามาเข้าเป้าอีกทีหนึ่งว่า ตั้งใจจะอธิบาย
“ดิฉันรู้สึกว่าช่วงเวลาที่พ่อครูตอบ SMS เป็นเวลาของการ ถก ปัญหาธรรมะอย่างสนุกสนานมาก มีทั้ง คนเห็นด้วยและคัดค้าน บางคนก็กล่าวหาผิดๆ ขาด ข้อมูลความจริง เช่น หาว่าพ่อครู และชาวอโศกเป็นคนนอกศาสนา ตายไปจะไม่มีภพภูมิอยู่ ( พ่อครูว่า… ก็ปรินิพพานสิ ) คนที่สอนผิด ปฏิบัติผิดจากคำสอนของพระศาสดาใช่ไหม (พ่อครูว่า สอนผิดไปจากศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ) ชาวอโศกมีปัญญาพอที่จะรู้ว่าใครผิดใครถูก เรื่องศีล พ่อครูก็สอนว่า การปฏิบัติศีล 5 ข้อเท่านั้น ก็จะบรรลุธรรมได้ โดยอธิบายถึงการปฏิบัติไปตามลำดับ ศีล อธิศีล อเสขศีล ปาริสุทธิศีล ซึ่งสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่บอกว่า สีเลนนิพพุติงยันติ ศีล จะพาไปสู่นิพพาน หรือศีลอันเป็นกุศลย่อมยังความเป็นอรหันต์ได้โดยลำดับ ในกิมัตถิยสููตร ชาวอโศกปฏิบัติศีลอย่างเคร่งครัดจริงจัง แต่ชาวพุทธโดยส่วนใหญ่ ฆ่าสัตว์เป็นว่าเล่น โกหกเป็นปกติ มิหนำซ้ำมีพระมหาบางรูป สอนญาติโยมว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องสวรรค์นิพพานที่ไหนหรอก สอนแค่หญ้าปากคอก เรื่องพื้นๆในชีวิตประจำวันเท่านั้น
พ่อครูว่า… ถ้าจะว่าไปอันนี้คนที่พูดคนนี้ก็เข้าใจดีอยู่เหมือนกัน ว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่องพื้นในชีวิตประจำวันเท่านั้น ก็จริง อยู่ในชีวิตประจำนี่แหละ แล้วรู้ตัวแล้วทำฌานให้ได้ คือ อย่าให้มีกิเลส กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ และอวิชชา ให้มันชัดเจนว่า กามไม่มีแล้วแม้น้อย คุณยังมีอยู่ประมาณนี้ๆ ปฏิฆะก็ตาม ยังเป็นกระแส ผลักชัง ไม่ชอบรุนแรงในการผลัก ถึงขั้นทำร้ายกัน ถีนมิทธะ คือจมหนักในการไม่คิดเป็น อสัญญีสัตว์เป็นต้น
อุทธัจจะกุกกุจจะ ก็คือ ฟุ้งซ่านมากมายไปจนกระทั่งเป็นผู้รู้ธรรมะก็มาก สอนอยู่ก็มาก ทรงจำไว้ก็มาก แล้วยังโลภความรู้อีก เอาของ อรรถกถาจารย์เอาของใครต่อใครมาศึกษาเพิ่มเติมเข้าไปอีกไม่รู้จักจบเป็นโลกจินตา อาตมาก็สงสาร ขณะนี้อาตมาก็พูดถึงอยู่เรื่อย ผู้รู้ว่าอาตมาหมายถึงใครบ้าง สงสารจะช่วยใคร ในชาวพุทธนี้
ไปหลับตาก็สายอาจารย์มั่นเป็นหนัก ฝ่ายลืมตาใครก็คิดเอาก็แล้วกัน จริง สุดสงสารอยู่
เพราะฉะนั้นเรื่องให้มารูจักการกินอยู่หลับนอนในชีวิตประจำวันพื้นๆเพราะฉะนั้นเรื่องให้มาอยู่การกินอยู่หลับนอน ในชีวิตประจำวันพื้นๆนี่แหละ เรียนรู้กิเลสแล้วก็ลดลง ลดลง เป็นฌาน ไปตามลำดับ
ฌานคือ พลังงานไฟในการเผากิเลส ตัวไหนที่จับไม่ได้ ก็จับไม่ได้ แต่ตัวที่จับได้ก็เห็นด้วยปัญญาอันยิ่งให้ชัด ไฟปัญญา หรือไฟฌาน ฌานคือปัญญา ฌานอยู่ที่ไหน ปัญญาอยู่ที่นั่น ไฟอันนั้นก็จะฆ่ากิเลสจริงๆเลย คุณจะพึ่งไปคิดตัวใหญ่มาก จะไปฆ่า ตัวใหญ่ตัวยักษ์ ไม่ได้ ต้องฆ่าตัวน้อยๆ เหมือนไวรัสฆ่าไป ไม่ต้องไปตะกละไปฆ่าตัวใหญ่ตัวโตหรอก ในชีวิตประจำวันนี้แหละดีที่สุด
_เรื่องธรรมวินัยทั้งอธิบายว่า คือระเบียบวินัยทั่วไปอย่างชาวบ้าน ไม่ได้พูดถึงธรรมวินัยของพระเลย
พ่อครูว่า… แล้วพวกเป็นพระไม่พูดธรรมวินัยของพระไปพูดถึงธรรมวินัยของชาวบ้าน ซึ่งเป็นเรื่องของชาวบ้านเป็นหลักเกณฑ์ของคฤหัสถ์เขา แล้วก็ไปทำนาของคฤหัสถ์ไม่ทำนาของนักบวช ไม่ดูธรรมวินัยของนักบวช ตัวเองมีธรรมวินัย หยาบ กลาง ละเอียด อีกเยอะ เพราะฉะนั้นจะละเมิดวินัยเล็กๆน้อยๆไม่ละเอียดอีกเยอะเลย หาคนสะอาดบริสุทธิ์ไม่ได้หรอก นี่พูดจริงๆเลยนะ
_พระชาวอโศกเคร่งครัดในวินัยปฏิบัติตาม จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ไม่ปฏิบัติอัคคียันต์ สีญจนยันต์
พ่อครูว่า… นั่นแหละเขาจบแล้วอย่างสมบูรณ์แบบที่ไม่ใช่พุทธ ไม่ใช่พุทธสมบูรณ์แบบ ซึ่งขึ้นไปสุดยอดเป็นรัฐพิธีเลย พูดไปแล้วก็หาว่าอาตมาไปว่า ข้อนี้เป็นสัจธรรมของศาสนาพุทธ
_เขา จุดธูปบูชาไฟ แถมเล่นหวยกันโครมๆทำให้ญาติโยมหลงมัวเมาในอบายมุข หนักมากกว่าเดิม ใครเป็นคนนอกศาสนากันแน่นะคะพ่อครู
พ่อครูว่า… อาตมาไม่ตอบดีกว่า ใครเป็นคนนอกศาสนา
ทำไมชีวิตคนเราต้องมาเอานิพพาน
เข้าเรื่องที่อธิบายค้างไว้
คนไม่เข้าใจว่าชีวิตคนเราต้องมาเอานิพพาน พระพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้ เมื่อรู้ตัวว่าเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่เอาเรื่องความรู้ทางโลกเลย ไม่เอา มาตั้งหน้าตั้งตาสอนนิพพาน สำคัญไหมล่ะ มีชีวิตอยู่จนกระทั่ง ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ทำแต่เรื่องธรรมะที่ไปนิพพานทั้งนั้นความรู้ทางโลกตอนนั้นมี 18 วิชา ท่านก็ไม่เอาทั้งนั้น อย่าว่าแต่คำว่าความรู้ทางโลก คนที่ยังไม่บริบูรณ์ ยังไม่เป็นโลกุตระสูงสุด เป็นพระอรหันต์ มีความรู้แบบโลกๆที่ยึดไว้ ตามฐานานุฐานะ แต่ละฐานะ ที่เขายังไม่รู้ว่าเป็นความรู้ทางโลกอยู่
อาตมาพาพวกเรามาปฏิบัติธรรม เขาจึงดูออกตัดออกว่า พวกอโศก อย่าไปใกล้มันนะ เขาขีดเขตไว้เลย อย่าไปใกล้มันพวกอโศก แล้วเขาว่าอโศกนี้บ้าๆบอๆ เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าเขาไม่ว่าบ้าๆบอๆแล้ว แต่เขาจะบอกว่าปล่อยมันไปเถอะ
คนเข้าใจว่า อ๋อ.. อโศกนี้หรือ เขาดีนะ ในระดับหนึ่งเขาจะเข้าใจว่าดีนะ ก็จะเจือโลกียะ อยู่เยอะ สูงขึ้นอีก อโศกหรือ? อาริยะนะ กว่าคนจะเข้าใจว่า อโศกคือพวกอาริยะนะ พวกอโศกเป็นโลกียะ ก็ดีนะ เขาไม่ได้เป็นคนมาแย่งเราแล้ว ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็ดีแล้วนี่ ยังไม่ใช่ศัตรูคู่ต่อสู้ เพราะฉะนั้นคนโลกียเขาก็แย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสวยลาภ เสวยยศ สรรเสริญ สุข ที่ตนเองเสวยอยู่ในฐานะนั้น
บางคนก็มีกายสักขีอยู่ชัดๆยังไม่ยอมทิ้งหรอก แลวทำตีกินว่า ฉันไม่สนใจหรอก อย่างมหาบัวเป็นเจ้าคุณระดับธรรมนะ ชั้นเทพ ชั้นธรรม คือ พระครูมีอีกหลายชั้น จนกว่าจะขึ้นชั้นเจ้าคุณ เจ้าคุณชั้นสามัญ แล้วยังมีเจ้าคุณชั้นราช แล้วขึ้นสู่เจ้าคุณชั้นเทพ แล้วถึงขึ้นเจ้าคุณชั้นธรรม แล้วถึงจะขึ้นสู่เจ้าคุณชั้นพรหม(หิรัญบัตร) แล้วจึงเป็นสมเด็จ (สุพรรณบัตร) ชั้นเงิน ชั้นทอง จากนั้นจึงเป็นสมเด็จพระสังฆราชเลย
เพราะฉะนั้นคนที่จะเข้าใจถึงชีวิตว่า มาอยู่ในแดนนิพพาน อย่างนี้เป็นแดนนิพพาน ชาวอโศกนี้ ทุกคนมีเขต ขีด ฝั่งโน้นเขามองมา มีเขตขีด ฝั่งเราก็มีเขตขีด จะออกไปก็รู้ตัว ถูกโลกดึงออกไปก็รู้ตัว เข้ามาในเขตโลกุตระก็จะรู้ตัว พวกเรานี้ รู้ขีดเขต ตอนนี้ออกไปหน่อยหนึ่งแล้ว จะหลงโลกไปมาก ก็จะรู้ตัวไม่เอา
บางคนอาจจะมีภาระมีครอบครัว มีลูกมีหลาน มีพ่อมีแม่อย่างหนักหนาสาหัส อยู่ทางโลก ก็วิบากใครวิบากมัน ก็ต้องรับวิบากไปใช้วิบากบ้าง แต่ถ้าคนรู้ฐานะ เช่น ครอบครัวตัวเองฐานะดี คุณออกมาทางนี้เต็มตัว เขาก็อยู่ของเขาได้ ครอบครัวเขาก็อยู่ทางโลกีย์เขาได้ แต่แน่นอนคนโลกียะที่เป็นญาติ เขาก็ไม่อยากให้คนดีอย่างเราคนโลกุตระ ก็ไม่อยากให้มา อยากให้อยู่ อย่างน้อยไม่แย่งมรดกกับเขา ใช้แรงงานกับเขาก็ดีแล้ว หากครอบครัวไม่มีปัญหาก็มา แต่ถ้าครอบครัวมีปัญหาแล้วก็อย่ามาเลย อย่างน้อย พ่อแม่ ลูก ก็ให้เขาอยู่รอดอย่างดีก่อน แต่ถ้าเขาอยู่รอดไม่ดีแล้วมา คุณก็ไม่รับผิดชอบ แต่อย่างน้อยคุณต้องมีพ่อมีแม่ ถ้าพ่อแม่ยังอยู่ในฐานะที่ต้องช่วย คุณก็ต้องช่วยก่อน อันนี้วิบากใครวิบากมัน ก็ละเอียดตามจริง เป็นเรื่องอจินไตย มันต้องเป็นเช่นนั้น มันเป็นเรื่องบอร์นทูบีต้องเกิด ต้องเป็น ไม่มีอะไรบังเอิญไม่มีอะไรผิดสัจจะ สัจจะต้องเป็นสัจจะ
เพราะฉะนั้นในสัจจะที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ จึงเป็นเรื่องที่มีอะไรก็ตามแต่ มีหมด แล้วก็มี สูญ สะเด็ด เด็ดขาด พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี้ มีอะไรก็มีรู้หมด ใครจะมีอะไรในส่วนหนึ่งส่วนหนึ่ง แต่ละคน ไม่มีอะไรหมดทุกอย่างหรอก คุณจะไปติดอะไรมาหมดทุกอย่าง ไม่มี
ฉะนั้นคนที่ติดอะไรต่ออะไรอยู่ ก็ อย่างมากก็ไปติดสารพัดอบายมุข อบายมุขที่เป็นของชั้นต่ำที่คนรู้ทั่วไปเช่น เล่นไพ่ กินเหล้ากินยามันรู้ง่ายๆ แต่อบายมุขที่จะไปเป็นเจ้าโลกนี้ รู้ยาก รู้ยาก ติดเนียนติดลึก นี่แหละอบายมุข ตัวใหญ่เลย
พระพุทธเจ้าจะได้เป็นจอมจักรพรรดิ ก็ไม่เอานี่แหละทั้งโลกยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว จอมจักรพรรดิยิ่งกว่าเจงกิสข่าน ยิ่งกว่าอเล็กซานเดอร์มหาราช โอ้โห! ไม่เอา ทุกวันนี้ดูสิแย่งชิงกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นงไบเดน หรือว่าปูติน หรือว่าสีจิ้นผิง พยายามจะเป็นเจ้าโลกอยู่นั่นแหละ
เขาไม่รู้นะว่ามันเป็นอบายมุขใหญ่มากใหญ่อย่างเนียนลึกเลย การที่มากินเหล้ากินยาพวกนี้ มันตื้นง่าย อบายมุขพวกนี้ จมในเรื่องการพนันกินเหล้ากินยา จัดจ้านในทางกามเละเทะ มีเงินเท่าไหร่ก็หมดในเรื่องของกาม อันนี้มันรู้ได้ง่าย แต่อันนั้นมันเนียน
สรุปอีกทีหนึ่ง คนเราเนี่ย คนเรานี้ถ้าคุณจะยังไง 1. คุณเรียนรู้แล้วเป็นคนดี สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปกำลังสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) นี่คือคู่เทวะคู่แรก ทำแต่ดีไม่ทำชั่วเด็ดขาดเลย นี่คือโลกียะ
สจิตตปริโยทปนัง (ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) เป็นโลกุตระ ทำจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลส
ละชั่วประพฤติดี เป็นโลกียะ ทำจิตให้สงบจากกิเลสเป็นโลกุตระ เมื่อกิเลสหมดก็เข้าใจสุขทุกข์ ลดความสุขความทุกข์เป็นโลกุตระ คนเข้าใจสุขทุกข์ไม่ง่าย เรียนรู้สุขทุกข์ ออกจากทุกข์ไม่ง่าย แต่ความรู้พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นออกจากความสุขความทุกข์
ความหมดสุขหมดทุกข์นั้นไม่ใช่เฉยๆไม่ใช่หมดสุขหมดทุกข์เพราะกดข่ม แต่ไม่สุขไม่ทุกข์เพราะกิเลสตัวนั้นตาย ในโลกอบายของคุณ ทำไปได้เป็นลำดับของพวกคุณ ทุกคนพยายามทบทวนดู มาถึงขั้นกามก็ลดความหยาบของโลกกาม กามกับปฏิฆะ ก็เป็นคู่กัน คุณติดในความหยาบอะไร ยังเป็นสุขทุกข์กับมันเรื่องกาม
จนกามหมด จึงเหลือรูป เป็นลำดับๆ ถ้าไม่ทิ้งอบายมุข ไม่ทิ้งกามก่อนแล้วจะมาล้างกิเลสขั้นรูปเป็นเรื่องตลก เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้
คุณจะกินทุเรียน คุณจะเอาเมล็ดของทุเรียนมาทำพันธุ์ โดยที่คุณไม่ลอกออกไม่ทำออก ตั้งแต่เปลือกไปก่อน คุณจะเข้าไปถึงเนื้อทุเรียน คุณจะไปเข้าถึงเม็ดของทุเรียนได้อย่างไร คุณจะล่องหนหายตัวเข้าไปหรือ เพราะว่ากิเลสมันอยู่ที่เนื้อ ต้องไปทำที่เนื้อนั่นแหละ โดยไม่ต้องผ่านเปลือก คุณจะเนรมิตเอาอย่างไร มันเป็นไปไม่ได้
ฉะนั้นใครที่ไม่ปฏิบัติธรรมไปตามลำดับ นั่งหลับตาคุณจะไปเอากิเลสในเม็ดออก ในเปลือกนี้คุณยังไม่รู้เลย อย่างมหาบัว ยังไม่รู้ว่าตัวเองติดหมากพลู ยังไม่รู้ว่าตัวเองติดในภพชาติสรรเสริญเยินยอ ยกย่องยังไม่รู้เลย แล้วจะไปทำกิเลสออกด้วยการนั่งหลับตา นั่งหลับตาโดยไม่เอาเปลือกออกก่อน ไม่เอาอบายมุข ไม่เอากามออกก่อน ไม่เอาเปลือกนอกออกก่อนแล้วไปหลับตานี้มันโมฆะจากศาสนาพุทธ เข้าใจมากขึ้นไหม ผู้ที่นั่งหลับตาทั้งหลาย ศาสนาพุทธ ฌาน ไม่นั่งหลับตา สมาธิ ไม่นั่งหลับตา
ฌานก็ดี สมาธิของพระเจ้าก็ดี สมาธิของ พระพุทธเจ้า คือ สมาหิโต ไม่ใช่เจโตสมาธิ ที่เขาเรียนกันแต่อดีตกับอนาคต ฟุ้งซ่านเป็นอนาคตได้ 44 ทิฐิ ส่วนอดีตนั้นแค่ 18 ทิฏฐิอย่างนี้เป็นต้น เพราะไปเรียนรู้เจโตสมาธิ ภาษาในพระไตรปิฎกก็เรียก เจโตสมาธิ มันไช่สมาหิโต หรือสมาหิตะที่ต้องเรียนรู้ เจโตปริยญาณ 16
-
สราคจิต (จิตมีราคะ) 2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ) 3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ)
สัมผัสกิเลสมันเกิดเมื่อไหร่ต้องเอามันออก ด้วยการพิจารณาให้มากว่าเราไปติดยึดมันทำไมกับราคะอย่างนี้ ค่อยๆทำไป จนได้ระดับหนึ่ง
-
วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ) 5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ) 6. วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)