650627 สภาวะฌานของพุทธโดยพิสดาร รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 43
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1VTQbfJEMT0zDMEoSj161aNZr0BjdQzNNoquKvRuiAkY/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1rQssPSm1o60PPzYo9fbnaSgZC_MT3zHx/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่
และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1023006668332705
_สู่แดนธรรม…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก วันจันทร์แรม 13 ค่ำเดือน 7 ในช่วงนี้พ่อครูได้เทศนาถึง การระลึกชาติ ซึ่ง การระลึกชาติแบบตัวตนบุคคลเราเขานั้นเป็นเรื่องของพระอรหันต์และพระโพธิสัตว์ชั้นสูง ส่วนการระลึกชาติที่พวกเราสามารถระลึกได้คือการระลึกชาติทางนามธรรม ทางปรมัตถธรรม เช่นการทำฌาน คือ ไฟเผากิเลสได้เป็นต้น
พ่อครูว่า… อาตมาได้เตรียมเอาไว้ทีเดียว ตั้งใจพูดเรื่อง ฌาน ยิ่งลงมาแล้ว เห็นเด็กนักเรียนอายุ 10 กว่าขวบไม่ถึง 20 นั่งเต็มกันพรึ่บเลยมานั่งฟังวันนี้ แล้วก็จะต้องอธิบายเรื่อง ฌาน ให้เด็กอายุไม่ถึง 20 ขวบฟัง
SMS วันที่ 24-26 มิ.ย. 2565
_*Koithaitik Carp (คอยใคร)* : ในหลวงร.9 ไม่เคยสนใจ ชาวอโศกเพราะคงรู้ว่าชาวอโศกอยู่ได้ด้วยตัวเองไม่ต้องงอมืองอเท้าขอความช่วยเหลือ และรู้ว่าพ่อครูสอนให้ชาวอโศกเดินตามทางพุทธะอย่างถูกวิธีครับ / ปีใหม่บ้านราชเปิดให้คนนอกเข้า ผมขออนุญาตไปอยู่สัก 1 เดือนได้ไหมครับ กราบขอบพระคุณพ่อครูครับ
พ่อครูว่า…อันนี้จริง ในหลวงทรงรู้อันนี้แน่นอน
ถ้าหมู่บ้านเปิดเมื่อไหร่คุณมาได้ ไม่ใช่แค่เดือนเดียวเท่านั้นนะ มาอยู่ตลอดชีวิตก็ยังได้
_*มุ่ง ตรงธรรม* : ธรรมะที่พ่อครูแสดงลึกซึ้งปานฉะนี้ แต่กลับมีเพียงน้อยคน ที่สามารถฟังแล้วซึมซับเอาธรรมรสอันเป็นรสธรรมแท้นี้ได้ จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่งที่นักปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ยังยึดถือเอาความจำเก่าของตนไว้อย่างเหนียวแน่น เลยพลาดโอกาสในกาสที่จะอาศัยหลัก กาลามสูตร พิสูจน์ธรรมตามหลักพุทธองค์ทรงพระเมตตาตรัสไว้ เพียงแค่เขาฉุกคิด จิตฉลาดเฉลียวหน่อย ก็คงพอจะเฉลียวใจได้โดยไม่ยาก เมื่อได้ยินภาษาธรรมที่พ่อครูสื่อออกมาแต่ละถ้อยธรรม คงมีโอกาสซึมซับยอดธรรมตามหลัก อานิสงส์ของการฟังธรรม 5 ประการได้บ้างครับ
พ่อครูว่า…ก็จริงนี่ มันลึกซึ้ง มันยาก ไม่ใช่ที่คนจะเข้าใจได้ง่ายๆ เป็นเรื่องจริง คนก็ฟังได้ รู้ได้ มีคนจำนวนหนึ่ง เป็นคนที่ต้องเอาใจใส่จริงๆ แล้วศึกษามีภูมิธรรมพอฟังได้
อนุปสัมบันไม่ฟังหรอก ผู้มีภูมิถึงเป็นอุปสัมบันเท่านั้นจึงจะฟัง คนที่ไม่มีภูมิ เปิดมาพบช่องนี้ฟังเขาก็ผ่านแล้วฟังไม่รู้เรื่องหรอก ฉะนั้นคนเขาจะเป็นห่วงว่าอาตมาจะเป็นอาบัติ พูดอวดอุตริมนุสธรรมให้อนุปสัมบันฟังนั้น อาตมาไม่ต้องอาบัติหรอก โดยสัจจะ แต่จะมายึดถือตามบัญญัตินั้นก็ว่ากันไป ที่เขาตีความ อนุปสัมบันคือ ฆราวาส ส่วนอุปสัมบันคือ พระที่บวชตามประเพณี เท่านั้น เป็นการยึดถือแต่เปลือกหรือรูปแบบธรรมดา เข้าไม่ถึงสภาวธรรม ภูมิธรรมที่แท้จริง
จริงอย่างที่คุณ มุ่งตรงธรรมว่า มันก็น่าเสียดาย แต่มันก็บังคับกันไม่ได้ อันนี้เป็นข้อด้อยของอาตมาที่อาตมาจำเป็นที่จะต้องเทศน์ธรรมะ สูงๆหน่อย สูง จนยังไม่เคยมีใครเทศน์กัน เพราะว่าต้องเทศน์เอาไว้ นี่ก็อายุย่างเข้า 89 แล้ว มันก็จำเป็น ไม่เทศน์เอาไว้เดี๋ยวตายไปกับอาตมาเท่านั้น ยิ่งต่อไปก็ยิ่งจะยาก กว่าที่อาตมาจะมาเกิดอีก ก็ทำไป
_*ช่อทิพ หนูทอง* · สมัยนี้คนบรรลุธรรมยาก ขนาดคนอยู่บวรมายี่สิบปียังเป็นพญานาคเลย
พ่อครูว่า… พญานาคคือคนนี้แหละ มาหลอกบวช นาค โดยสภาวะคือคนขี้หลับขี้นอน ตัวยาวเหมือนงูเลย งูก็คือพญานาคนี่แหละ
_*Bua Lukpho (บัว ลูกโพธิ์)* · โรคส่วนตัวสูง คือ อัตตาจัด เหมือนดิฉันเป็นอยู่ ล้างยากจริงค่ะ สาธุค่ะ
พ่อครูว่า… ดีที่คุณสามารถรู้ตัวเองได้ ก็พยายามสิ แก้ไข จะไปมีโรคอยู่ทำไม เรียกถูกด้วยว่าเป็นโรคส่วนตัว เป็นโรคส่วนตัวสูง เราพยายามตัดส่วนตัวออกมาเป็นส่วนรวม มาอยู่กันอย่างเป็นองค์รวม เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นเอกภาพ เป็นสามัคคียะ รวมกัน ก็เข้าใจ เพราะฉะนั้นก็พยายาม เลิกละอาการนั้น จิตยึดถืออย่างนั้น พยายามละเลิกมาตามลำดับให้ได้
_*สุรัตนา น้อยศรี* : ติดของหวานค่ะท่านสมณะ รู้เลยว่าทำไมนน.ไม่ลด จะกินแบบหมอเขียวยังไม่ได้ค่ะ กิเลสยังมากต้องฝึกอีกเยอะเลยค่ะ ได้ฟังธรรมมากๆช่วงนี้ก้อจะฝึกลดอยู่ค่ะ
พ่อครูว่า… ติดมันทำไมกันนักกันหนา ติดของหวานก็รู้ ก็ดี รู้ตัวเอง อย่างนี้ก็มีหวัง ตั้งใจพัฒนา
ไม่ควรยินดีหรือยินร้ายกับการตาย แล้วก่อนตายควรได้โลกุตระสมบัติ
_*Rittichai Zhang Tia (ฤทธิชัย จาง เทีย)* : ทำอย่างไรให้ยินดีกับการตายครับ ให้ต้อนรับกับการตาย คือปัจจุบันนี้ผมยังกลัวตาย
พ่อครูว่า… จะไปยินดีกับการตายเลย แต่มันต้องตายคุณไม่ต้องกลัวหรอก เข้าใจให้ได้ว่ามันต้องตาย จะไปยินดีทำไม ยินดียินร้ายก็ไม่ต้อง มันเป็นธรรมชาติของไตรลักษณ์ เกิดขึ้นตั้งอยู่ตายไปเป็นธรรมชาติหมุนเวียน ถ้ายังไม่เลิก ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป คุณก็ยังเวียนตายเวียนเกิดอย่างนี้แหละ แม้พระอรหันต์ก็ต้องเวียนกลับเวียนเกิด นอกจากพระอรหันต์ที่ไม่ตั้งจิตโพธิสัตว์ ท่านก็ตายโดยแยกธาตุตัวเองเป็นดินน้ำไฟลมไป เป็นอุตุธาตุไป ซึ่งอาตมาก็อธิบายสัจธรรม อธิบายความจริงละเอียดลออพวกนี้มาหมดแล้ว ไม่ต้องไปยินดีกับการตาย
คุณก็เปิดจิต พยายามทำปัญญาให้เข้าใจให้ได้ว่า ถึงเวลาจะตายแล้ว มันมีเหตุมีปัจจัย ในบางทีคุณไม่คิดว่ามันจะตาย มันมาอย่างปัจจุบันทันด่วน พรึ่บ! ถ้าไม่รู้ตัวก็แน่นอนคุณก็ดับมืดไปไม่รู้เรื่อง มันก็ตายไปอย่างสงบ ถ้ารู้ตัวก็จะต้องรู้ว่าตอนนี้อาการหนัก เกิดมาต้องตาย
เพราะฉะนั้นก่อนจะตายนี้แหละ ต้องมาสร้างสมบัติใส่ตัวเองไว้ ใส่กรรมวิบากไว้ สมบัติที่ควรสร้างนั้นคือ โลกุตรทรัพย์ คือวิชชาจรณสัมปันโน คือ จรณะ 15 วิชชา 8 นี่คือ
อาริยทรัพย์ ปฏิบัติให้ได้และจะเป็นโลกุตรธรรม ศึกษาดีๆเป็นโลกุตรธรรม
โลกุตรธรรมนี้ก็เป็นอย่างหนึ่ง โลกของชาวพุทธคนเสื่อมจากโลกุตรธรรมดังที่พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ไว้ใน อาณิสูตร กลองอานกะ มาถึงวันนี้แล้ว กลองอานกะก็เลยเพี้ยนไปหมด เรียกชื่อเป็น กลองอานกะอย่างเก่า แต่เนื้อธรรมะหรือเนื้อกลอง ถูกเปลี่ยนหมด ถูกปลอมแปลงใส่ใหม่หมด เหลือแต่ชื่อ เหมือนพุทธทุกวันนี้เหลือแต่ชื่อ เนื้อแท้ของพุทธปลอมแปลงเปลี่ยนใหม่หมด เป็นความแปลกปลอมที่ เละจริงๆ
เราชาวอโศก กลับมาฟื้นคืนพุทธศาสนา มามีสังคมพุทธที่มีพุทธบริษัท 4 มีอุบาสกอุบาสิกา มีนักบวชหญิง นักบวชชาย ส่วนนักบวชหญิงนั้นเราไม่มีภิกษุณี ตามบัญญัติ แต่โดยคุณธรรมเราไม่มีปัญหา แต่บัญญัติสมมุติเรียกกันก็แค่ อาตมาก็ตั้งชื่อนักบวชหญิงว่า
สิกขมาตุ คือ สิกขา มาตุ คือนักบวชเพศหญิง แล้วก็ปฏิบัติไปไม่ได้ปิดกั้นว่าจะเป็นอะไร มีผู้หญิงที่บรรลุเป็นอรหันต์ในพวกเราก็มีแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร
เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้จักสัมมาทิฏฐิ มาปฏิบัติสมบัติที่เป็นโลกุตระสมบัติ หรืออาริยสมบัติ คือจรณะ 15 วิชชา 8 มีศีลเป็นข้อต้น อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7
แล้วจะเกิดฌานแบบพระพุทธเจ้า ฌานแบบเดียรถีย์ เขาก็มีอยู่แล้ว นั่งตั้งกายตรง ดำรงสติคงมั่น แล้วนั่งสมาธิหลับตากันอยู่เต็มป่า ทุกวันนี้ก็ไปหลงว่าแบบนั้นเป็นของพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่ใช่ มันเสื่อมไปนานแลวไม่มีพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็อุบัติขึ้นมา แต่ท่านก็หลงเป็นลิงอมข้าวพองออกมาได้ 6 ปี แล้วเพิ่งฟื้นคืนได้ว่า เราเป็นพระพุทธเจ้าในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 อ้อ! เราเป็นพระเจ้านี่
แต่ท่านก็ยังอยู่ที่ป่านั้น ท่านก็เลยสอนพวกที่เป็นผู้ที่ใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรมในป่านั่นก่อน จนได้อรหันต์ 60 รูปแรก ก็ส่งออกไปเผยแพร่ธรรมะ แต่ละรูปอย่าไปทางเดียวกัน ไปเผยแพร่ธรรมะพุทธที่เกิดขึ้นใหม่ 60 องค์แรกก็ไป แล้วท่านก็สอนต่อ จนได้อรหันต์เพิ่มขึ้นมาอีก
ในวันมาฆบูชา อรหันต์อีกมากมาประชุมกันตั้ง 1,250 โดยไม่ได้นัดหมายอย่างนี้เป็นต้น ยังอยู่ในป่าทั้งนั้น คนไม่เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าจำเป็นต้องสอนในป่าอยู่ จนกระทั่งพอได้ ผู้ที่จะเป็นจริต ชอบป่าก็จะอยู่ป่า อย่างเช่น พระมหากัสสปะ เป็นต้น ผู้ที่ชัดเจนแล้วก็ไม่ต้องเข้าป่า เพราะจริงๆแล้วไม่ใช่ศาสนาอยู่ป่า แต่มีจริตอยู่ป่าก็มีบ้างแต่มีน้อย พระมหากัสสปะ เป็นต้น
เพราะฉะนั้นพุทธจริงๆอยู่ป่าบ้าง แต่น้อยมาก อยู่ในเมืองในกรุง ปฏิบัติลืมตาปฏิบัติอยู่ในเมือง พระศาสนาพุทธเป็นศาสนาเมือง ไม่ใช่ศาสนาหลับตา ไม่ใช่ศาสนาปลีกหลีกเร้น เป็นศาสนาเผชิญ เผชิญกับโลกธรรม เผชิญกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เผชิญกับลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสูข แล้วหลุดพ้นจริงๆ
หลุดพ้นก็ต้องออกมาสิแล้วไปจมอยู่ในตำแหน่งของเถรสมาคม มีตำแหน่งเป็นพระครูและเป็นเจ้าคุณไม่รู้กี่ชั้น เจ้าคุณ ชั้นราช ชั้นเทพ ชั้นธรรม จนกระทั่งถึงสมเด็จ เป็นโลกียะเป็นโลกธรรมทั้งนั้น แล้วแถมมีเงินเดือนด้วยนะ แล้วเลี่ยงบาลี ไปเรียกว่านิตยภัต ไปบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ บาปกินหัวไปทั้งนั้น นี่คือเขาไม่รู้จักผิด เขาทำบาปไปบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ และประพฤติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ประพฤติ เขาบอกว่าในยุคนี้ไม่มีเงินไม่มีทองไม่ได้ แล้วชาวอโศกไม่ใช่คนหรือไง ชาวอโศก นักบวชก็ไม่มีเงินมีทอง ก็อยู่กันได้ อยู่จนตายเลยก็อยู่ได้ บวชเป็นนักบวช จนตายคานักบวชนี่แหละ ทั้งนักบวชหญิงนักบวชชาย พระในศาสนาพุทธที่อาตมาพาทำนี้มา 52 ปีแล้ว ยืนยันในยุคเดียวกัน จริงมีน้อย เพราะโลกุตระไม่ใช่ของธรรมดา มันเป็นของยอดพีระมิดเป็นของส่วนน้อยคือยอด พวกฐานพีระมิดจะมีมากเป็นธรรมดา เป็นปกติสามัญ มันก็เป็นอย่างนั้น
เริ่มต้นในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ที่พระพุทธเจ้าได้สอนเรื่อง อัมพัฏฐสูตร ที่ได้พูดถึงเรื่องของจรณะ 15 วิชชา 8 นี่แหละคือเนื้อแท้ คือสมบัติของศาสนาพุทธ อัมพัฏฐะ ก็ถือตัวว่า ตัวเองมีวิชชาจรณสัมปันโน เถียงกับพระพุทธเจ้าใหญ่ สุดท้ายจำนน มีแต่ภาษาบัญญัติ แล้วรู้ผิดๆด้วย จนกลายเป็นพราหมณ์มหาศาล แปลว่า ผู้ร่ำรวย มหาศาล มากมาย เป็นพราหมณ์ผู้ร่ำรวยด้วยอำนาจยศศักดิ์ เงินทอง ฐานะ มีพื้นแผ่นดินของตัวเองอีก ยิ่งใหญ่เหมือนยุคนี้ อย่างเช่น ธัมมชโย ล่าแผ่นดินไปได้ตั้งหลายพันไร่ แล้วมีในที่อื่นอีก ในที่ที่เฉพาะธรรมกาย มีเป็นหลายพันไร่ แล้ว 2-3 พันไร่ นี้ก็เลี่ยงด้วยนะ จดชื่อตัวเองเป็นเจ้าของที่ดิน แล้วมีชื่อที่ดินเป็นของมูลนิธิธรรมกายแค่ 9 ไร่แต่เดิม นั่นแหละมหาศาล เป็นพระมหาศาลในยุคนี้ สมัยก่อนเรียกพราหมณ์มหาศาล ในยุคนี้เรียกพระมหาศาล
อย่างพวกเรานี้ไม่มีใครทำ ไม่มีใครหลงผิดไปทำอย่างนั้น เพราะว่าเป็นสัจจะแท้ๆของพระพุทธเจ้า มาปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 อย่างแท้จริง กลับฟื้นคืนเอา ฌาน ของพระพุทธเจ้าที่เกิดจากการปฏิบัติจรณะ 15 เกิดจากการปฏิบัติข้อปฏิบัติ 11
คือ ศีล 1 อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรมอีก 7 รวมกันแล้วเป็น 11 ฌานก็เกิดตามศีล อปัณณกปฏิปทา 3 และสัทธรรม 7 เกิดฌาน ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วเกิดฌาน การนั่งหลับตาเกิดฌานนั้น พูดแล้วพูดอีก อาตมาก็พูดด้วยความสงสาร เลิกได้ แต่ไม่ได้ไปรังเกียจการหลับตา เพราะการหลับตาเป็นอุปการะมาก จะใช้ในการพักผ่อน เป็นฌาน ต้องเข้าใจอย่างสัมมาทิฏฐิ คือหลับเข้าไปในภพข้างใน เรียกภวังค์ พักผ่อน สงบ
หรือจะทบทวนธรรม หลักธรรมข้อธรรมต่างๆ หรือจะทำ เตวิชโช คือตรวจสอบหลักธรรมที่ผ่านมาแล้ว เราได้ปฏิบัติหรือยัง อะไรเกิดอะไรดับ อะไรทำให้เกิดทำให้ดับ เรียบร้อยหรือยัง หมดอาสวะหรือยัง สามหลัก เตวิชโช
หรือหลับตาเข้าไปเล่นฤทธิ์เล่นเดชอย่างสายอาจารย์มั่น สายหลับตาที่ยังหลงเลอะเทอะ แล้วสร้างภพชาติมีเทวดาเป็นตัวตน มีอำนาจฤทธิ์เดชทางใจหยั่งรู้อย่างนั้นอย่างนี้ ออกนอกรีตหมด อ.มั่นก็ตาม มหาบัวก็ตามลูกศิษย์ก็ตาม มันเพี้ยนมันเสื่อมเยอะ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ เยอะกว่าโพธิรักษ์มาก
อาตมาทำงานมา 52 ปี อาจารย์มั่นทำงานมาตั้งแต่บวชจนกระทั่งอายุเท่าไหร่ 80 กว่าไม่ถึง 90 หรือไม่นะ
อาตมาพูดมีเชิงข่ม เพราะว่าเป็นสิ่งที่ผิดก็ต้องตำหนิหรือข่ม เป็นธรรมดาธรรมชาติของสัจธรรม อย่าไปหาว่าอาตมาไปดูถูกไปข่ม ก็ไม่ข่มสิ่งที่ผิดสิ อาตมาจะไปยกอยู่ อาตมาก็เป็นคนผิดเพราะไปยกสิ่งที่ผิด มันไม่ได้ มันทำไม่ได้ มันเป็นเรื่องสัจธรรม และอาตมาต้องพูด เพราะเขายังเยอะ เป็นพุทธศาสนิกชนด้วยกัน เป็นชาวพุทธด้วยกัน ผู้รู้แต่ไม่พูด ใจดำอำมหิต ไม่ชี้ให้เขารู้ตัวนั้นใจดำอำมหิต การชี้เขาให้รู้ตัว ที่ให้ลูกศิษย์รู้ว่า อาจารย์พิจารณาตัวเองหลงผิดแล้วนะ เพราะฉะนั้นจะบอกว่าตายไปแล้วจะไปว่าทำไม เขาก็ยังสืบทอดต่อไปนะ ก็ต้องตำหนิต่ออีก เพราะเป็นธรรมะที่ผิดเหมือนกัน มันต้องเปลี่ยนแปลง ต้องฟัง
เช่น ฌาน นี่แหละ
เอาภาษาก่อน ขยายความเป็นภาษาและค่อยลึกเข้าไปหาตัวเนื้อแท้
ฌานคือไฟร้อนเผากิเลส ไม่ใช่ไฟเย็นแช่แข็งกิเลส
ฌาน คำว่า ฌานนี่แปลว่า ไฟ หรือ พลังงานชนิดหนึ่งเรียกว่า อุณหธาตุ เป็นพลังงานที่คนต้องปฏิบัติ คนอย่างลูกศิษย์พระพุทธเจ้านี่แหละ ทุกคนต้องสร้างฌาน ต้องทำฌาน ต้องสร้างพลังงานฌานให้ได้ พูดกับชาวอโศกให้สร้างพลังงานฌานอย่างสัมมาทิฏฐิ โดยคนไม่ต้องใช้ภาษาเรียกว่าฌานหรอก แต่สร้างทำพลังงานฌานนี้ได้
ฌานคือ พลังงานที่เผากิเลส ล้างกิเลส ถูกตัวถูกตนมีมรรคมีผล อาจจะไม่ต้องรู้ภาษาว่า มีฌานหรือไม่มีฌาน แต่ชาวอโศกมีฌาน ชาวมหาเถรสมาคม พระป่า มหาบัว อาจารย์มั่นไม่มีฌาน แต่มีฌานฤาษี ไม่ใช่ไฟ ไม่ใช่พลังงาน อุณหธาตุ เป็นพลังงานสมถะ เป็นพลังงานเย็น ไม่ใช่พลังงานร้อน ไม่ใช่พลังงานไฟ พลังงานที่มีฤทธิ์ร้อน ที่สามารถเหนือชั้นกว่าไฟราคะ โทสะ โมหะ จึงจะทำลายกันได้ เป็นพลังงานเหนือชั้น
ถ้าใช้พลังงานเย็นมาสู้กับพลังงานร้อน เอาไฟเย็น สมถะ มาสู้กับไฟราคะ เกิดปฏิกิริยาทะเลาะกัน ตีกัน ระเบิด ไม่สำเร็จหรอก มันเป็นภาวะซับซ้อนเป็นภาวะที่รู้ยากอยู่
ฌาน เขาไม่แปลกันว่าไฟแล้ว ทุกวันนี้ แต่เขาไปแปลว่าการเพ่ง จริง การสำรวมจิต ไม่ถึงขั้นจะต้องไปหลับตาเพ่ง ปี๋ ก็เพ่ง อย่างลืมตาตื่นๆ จะว่าเพ่งก็คือการสำรวม เข้าไปหาจุดหนึ่ง เป็นหนึ่งจริงๆ เป็นเอกัคคตาจริงๆ
เพื่อให้พลังงานจิตของเรา ได้รับทั้งการกระทบทางตาหูจมูกลิ้นกาย และเอามาเป็นองค์ประกอบ เป็นสปริขาโร เป็นสอุปนิโส เป็นองค์ประกอบ เป็นบริขาร เป็นเหตุ เป็นเหตุเพื่อที่จะให้ไปเผากิเลส สร้างพลังงานฌานเป็นเหตุ เพื่อให้ไปเผากิเลส
เพราะฉะนั้นต้องมีภูมิปัญญามาก ภาษาคำว่าฌาน เขาเกือบจะลืมเลือนไปแล้ว ในพจนานุกรมบาลี-ไทย คำว่าฌาน ไม่ได้มีคำว่า ไฟ หรือเพลิงกองใหญ่ มีแต่คำว่าเพ่ง ในพจนานุกรมบาลีหลายฉบับ แต่มีพจนานุกรมบางฉบับซึ่งเป็นส่วนน้อย ยังมีคำว่าฌานแปลว่าไฟ แปลว่าเพลิงกองใหญ่ ยังมีอยู่
ฌาน มันมีคำที่เขาผัน ไปตามลักษณะไวยากรณ์บาลี
ฌาน ถ้าเผื่อว่าแยกไปเป็น
ฌายติ เขาก็ไปแปลว่า อัน….ย่อมไหม้ ไหม้มันก็คือ พลังงานเผาไหม้ พลังงานไฟ
ฌายันตะ แปลว่า ยัง…ให้เผาอยู่ หรือ โชติช่วงอยู่ หรือ อัน…ไหม้อยู่ มันยังมีปฏิกิริยากันของเป็นปัจจุบัน
ฌายิตวา แปลว่า เผาแล้ว เป็น Past perfect tense
ฌาปิตะ แปลว่า อัน…เผาแล้ว
ฌาปัตวา แปลว่า ยัง…ให้ไหม้แล้ว ยังอะไร ยังกิเลส
ฌาปัตติ แปลว่า ย่อมให้ไหม้
ฌาปัตตะ แปลว่า ยัง…ให้ไหม้อยู่
ฌาเปติ ฌาปยติแปลว่า …ย่อมเผา
ฌาเปสิ ฌาปยิ แปลว่า เผาแล้ว
เป็นลักษณะพลังงานของ อุณหธาตุ ของไฟทั้งนั้น ฌาน
ฌาเปหิ …แปลว่า จงเผา
ฌามะ แปลว่า อันเผาแล้ว
ฌายติ …แปลว่า ย่อมไหม้
นั่นคือบัญญัติต่างๆสรุปแล้ว ฌานเป็นพลังงานชนิดหนึ่งเป็น อุณหธาตุ เป็นสิ่งที่จะเผาจะไหม้ เป็นพลังงานที่จะเผาจะไหม้ หรือ อุณหธาตุ เป็นพลังงานที่มีความร้อนแรงมีพลังงานสูง องศาพลังงานนั้นต้องสูงกว่ากิเลส เป็นราคะโทสะ เป็นต้น
พลังงานนี้ต้องเหนือชั้นกว่าพลังงานราคะโทสะมันถึงจะสลายอันนี้ได้ โดยสงบ ฌาน ไฟ ราคะโทสะโมหะคือไฟ ก็มีไฟที่เหนือกว่าไปทำแล้วสู้กันได้ สงบไม่เดือดร้อน ไม่ทะเลาะกัน
ถ้าเอาความเย็นไปสู้กับความร้อน ก็ทะเลาะกันเพราะมันเป็นคนละตระกูล แต่นี่ ตระกูลไฟมีความไม่เหมือนกัน ไฟราคะโทสะโมหะ ถ้าเป็นตระกูลเดียวกันกับ ไฟฌาน ฟังดีๆ
เพราะฉะนั้นมาปฏิบัตินั่งหลับตาสร้าง ฌานที่มันเป็นฌานเย็น เป็นฌานสงบเย็น หยุดเร่าร้อน แต่ไม่ใช่หยุดเร่าร้อน แต่หยุดเย็น ชืด ตายไม่มีพลังงานด้วย มันตรงกันข้ามกันเลยกับที่เขาปฏิบัติ มันไม่มีวันจะบรรลุธรรมดอก ไม่มี แล้วออกนอกรีตไปเลยไปปรุงแต่งกันนอกโลกแบบโลกีย์สารพัด เป็นเรื่องโลกีย์เต็มไปหมด ไปแย่งลาภยศสรรเสริญ แย่งสักการะ แย่งฐานันดร แย่งภพชาติที่มันเป็นสวรรค์วิมานอะไรต่ออะไรไป โดยไม่รู้จัก ว่า จิตตน เข้ามาปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า
ถ้าเผื่อว่ารู้ พวกอยู่ในเถรสมาคมที่มีตำแหน่งยศศักดิ์จะไม่อยู่แบบนั้นหรอก ก็พระพุทธเจ้ามีตำแหน่งยศศักดิ์ เป็นจักรพรรดิ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นผู้ร่ำรวย ก็ทิ้งออกมาหมดเลย มาเดินพระบาทเปล่า พูดแล้วเข้าใจบ้างไหม นี่ยังจมอยู่ มีทั้งยศศักดิ์ มีทั้งสภาพอะไรต่ออะไรอยู่ รูปธรรมก็ยังอยู่ แม้จะบอกว่า เขาตั้งให้ก็ตั้งไป ก็ไปเอาทำไม แสดงออกให้จริงๆเลย อย่ามาตั้ง
สุดท้ายพระพุทธเจ้าออกมาไม่มีใครตั้งให้เป็นเจ้าคุณ ไม่มีใครตั้งยศชั้น เป็นอาจารย์เป็นครูอะไรให้เลย ไม่เห็นมี
สภาวะโดยละเอียดของ วิตก วิจาร ในฌาน 1
เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจ ฌาน ทีนี้มาสู่สภาวะ ฌาน
ฌาน ที่เป็นวิสัย วิสัยคือการยังอยู่ สยะ การเป็นตัวเรา อันวิเศษ วิ ตัวนี้คือ วิเศษ เป็นคุณวิเศษ เป็นอจินไตย วิสัยของฌานพุทธ
ทีนี้เป็นฌานของเดียรถีย์ พวกนอกรีต จะเรียกฌานวิสัยก็ได้ แต่ วิ ตอนนี้ไม่ใช่ วิเศษ แต่เป็น วิ ที่แปลว่า ไม่ใช่ ตรงกันข้ามกันกับวิเศษ วิเศษก็ชนิดลงเหวเลย ตรงกันข้ามกัน ฌานของ เดียรถีย์
เพราะฉะนั้นความเป็นฌาน จึงไม่ใช่เรื่องที่รู้ได้ง่ายๆ จะเข้าใจว่าสิ่งที่ถูก เป็นฌานวิสัยของศาสนาพุทธ ไม่ง่าย
พวกชาวพุทธทุกคน มีฌานแล้ว โดยคุณไม่ต้องรู้ว่ามีฌาน แต่มีฌาน รู้ยาก ยิ่งกว่าอรูป
ถ้าความเป็นได้และยิ่งกว่า อรูป อรูปก็เป็นบัญญัติ รูปฌานก็เป็นบัญญัติ เป็นภาษา
เช่น ฌาน 1 ภาษาว่ามี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
วิตกวิจาร พวกคุณมี โดยพวกคุณไม่ต้องมีคำว่า ฌาน
ปีติ ของคุณมีแน่ สุข คุณมีแน่ พวกคุณมี เอกัคคตา แน่
วิตก คืออะไร วิจาร คืออะไร
ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา พวกคุณฟังมาแล้ว วจีสังขารา นี่คือองค์ทั้ง 7 ของสังขาร
สังกัปปะ คือ การปรุงแต่งของจิต เป็นอภิสังขาร ที่รู้จิตเจตสิก รูป นิพพาน รู้สภาวะของจิต
เมื่อจิตเริ่มก่อเกิดมาเรียกว่า ตักกะ อวิชชา หรือ มิจฉาทิฏฐิ หรือพวกยังไม่สัมมาทิฏฐิจะเข้าใจ ตักกะ เป็นความนึกคิด แต่โดยปรมัตถ์แล้ว ตักกะคือจิตที่เริ่มดำริขึ้นมา เริ่มมีสภาวะ
เสร็จแล้วรู้นัยยะละเอียดของ ตักกะ เรียกว่า วิตักกะ แล้วทำนัยละเอียดของจิต มีจิตเจตสิก นัย ละเอียดคือแยกจิต โดยเฉพาะจิต ท่านแยกที่ตรงที่เวทนา เจตสิก เวทนาเป็นเจตสิกของจิต
ทำเวทนาที่ มันมีกิเลส เวทนาแท้ เวทนาเก๊ มีกิเลสเข้าไปปรุงแต่งเรียกว่า เวทนาเก๊
โอ้โห! ทุเรียนวันนี้ลูกใหญ่จริงๆ อยากจะหยิบมาโชว์ มันใหญ่กว่าหัวอาตมา 2 หัว
อาตมากินทุกวัน ตอนนี้ชักไม่ไหวเขาต้องลดลงมา เขามาให้กินก็กินได้ แล้วเขาบอกด้วยว่า ทุเรียนนี้ผลิตด้วยปุ๋ยงอกงาม คนนี้ทำมาถวาย 2 รอบแล้วก็ขอบคุณ มีของดีๆ อาตมาก็ฉลองศรัทธาให้
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สู่แดนธรรม… ทุเรียนเหมือนธาตุไฟ แตงโมเหมือนธาตุน้ำ พ่อครูบอกว่า อาตมาบวช ไม่ใช่เพื่อว่าปฏิบัติธรรม แต่ว่ามากอบกู้โลกุตรธรรมกับพุทธศาสนา เช่นเรื่องฌาน ผมเคยได้ศึกษาว่าต้องเพ่งให้หยุดให้นิ่ง แต่ว่าฌานทื่พ่อท่านสอนคือการเผา สลาย ยางเหนียวคือกิเลส
พ่อครูว่า… อาตมาออกมา อาตมาบอกว่าบวชไม่ใช่เพื่อปฏิบัติธรรม เพราะอาตมามีภูมิธรรมอยู่แล้ว แต่อาตมาบวชเพื่อมากอบกู้ศาสนา เปิดเผยไปหมดแล้ว ใครฟังแล้วหมั่นไส้ก็ขออภัย อาตมาพูดความจริงเท่านั้นเอง
อาตมาออกมาทำงานศาสนาทำหนังสือ อโศก เล่ม 1 แต่ก่อนออกนิตยสาร ออกได้ 3 เล่ม ม้วนเสื่อเลิกเลย เพราะอาตมาทำคนเดียวทั้งเล่ม ทำคนเดียวไม่ใช่แค่เขียนเนื้อหาเท่านั้นนะ แต่ว่าออกแบบตั้งแต่หัวหนังสือ ออกแบบเอง One Man Show Production ทุกอย่างเลย อาศัยคนอื่น เช่น ผู้ถ่ายภาพให้บ้างซึ่งก็ไม่มากหรอก นอกนั้นก็ไปเก็บภาพจากที่อื่นมาประกอบ นี่เป็น offset ด้วย เลยเหลือ เขามาทำใหม่ พริ้นมาใหม่ทำมา 3,000 เล่ม ทำตั้งแต่ 2514 คนเห็นค่าก็เลยทำขึ้นมาใหม่ ใครอยากได้ก็รีบมาเอา
ฌานเกิดจากปฏิบัติศีล เป็นอย่างไรให้ชัดเจน
ฌาน คือจิตที่กำลังเกิดปัญญา ปัญญาก็คือพลังงานชนิดหนึ่งของจิต ฌาน ก็คือพลังงานอย่างหนึ่งของจิต ฌานคือปัญญา ปัญญาคือฌาน ที่ใดมีปัญญาที่นั่นมีฌาน ที่ใดมีฌานที่นั่นมีปัญญา คำว่าปัญญาคือ ความรู้แบบโลกุตระของพระพุทธเจ้า ฌานคือ ลักษณะของปัญญาที่เป็นโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า
จะเกิดได้จากการปฏิบัติ ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 ซึ่งเด็กๆของเราปฏิบัติอยู่ ส่วนเถรสมาคม นักปฏิบัติของสายโน้น ไม่มีใครได้ปฏิบัติเหมือนเด็กของเราหรอก เพราะ สำรวมอินทรีย์ เขาสำรวมเหมือนกัน แต่สำรวมเป็นสมถะ ย่างหนอ ก้าวหนอ อยู่กับลมหายใจหนอ อยู่กับรูปเท่านั้น ไม่ได้อยู่กับนาม
แต่เด็กๆของเราได้รับการสอน ให้รู้จัก เห็นอะไรไม่ค่อยจะอยากได้ จนกระทั่งไม่บันยะบันยัง เด็กของเราจะไม่ตะกละตะกลาม ละลาบละล้วง โดยเฉพาะทุจริตถึงในการอยากได้จะต้องขโมยเอา ก็ไม่ทำ การไม่ขโมย สัมผัสแล้วเห็นแล้ว มีความอยากแต่ไม่รุนแรงจนถึงขั้น ไปละลาบละล้วงหรือขโมยเอา ไม่ถึง เพราะฉะนั้นเด็กๆของเราไม่มีขโมย เมื่อไม่มีขโมย จิตเป็นฌาน
-
จิตของเราไม่ทุจริต จากที่ศีลห้ามไว้ ตั้งแต่ศีล ข้อที่ 1