650624 วิตกวิจารเป็นฌานวิสัยของผู้มีจรณะวิชชา พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1fmslECb2I1m9T8JpDAvP4w59XuwbOj2KLIPAV5Dsvm8/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/16rJ4qOlA21azm5gqDzQYHDN2di7HiC-J/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/dRlQOY6b-K/
และ https://youtu.be/q1HsN3XjKDM
สมณะเดินดิน… วันนี้วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย จากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย พ่อครูบอกว่า หัวใจของประชาธิปไตยคือไม่มีตัวตนซื่อสัตย์และรับใช้ประชาชน
ตอนนี้ท่านขยายไปเป็นความไม่มีตัวตน ความซื่อสัตย์และการรับใช้ประชาชน ขยายมาเป็นหัวใจของมนุษยชาติ และสังคม จาก 1 ไม่มีตัวตนก็เป็นไม่เห็นแก่ตัว 2 ความซื่อสัตย์ ความมีปัญญา 3 เป็นคนขยัน ขยันรับใช้ประชาชน
อีก 20 กว่าวันก็เป็นวันเข้าพรรษา พ่อครูมีนโยบายปีนี้ว่า สมณะที่ไปอยู่รูปเดียวเดี่ยวๆ ให้กลับเข้ามารวมกลุ่ม ตอนนี้ท่านดวงดี มาอยู่ศีรษะอโศกเรียบร้อยแล้ว ชาวเชียงราย ก็จะมีสมณะหมุนเวียนไปอยู่แล้ว แต่ช่วงเข้าพรรษาให้มารวมตัวกัน
ช่วงหลังเข้าพรรษาจะเป็นมหาปวารณา ปีนี้ครบพ่อครูบวช 52 พรรษา หลังงานมหาปวารณาอีกเดือนหนึ่ง เดือนธันวาคมก็จะเป็นงานเพื่อฟ้าดิน พ่อครูดำริว่า งานเพื่อฟ้าดินงานขึ้นปีใหม่ปี 2566 คิดว่า เป็นเวลาที่น่าจะได้เปิดตัวชุมชนราชธานีอโศก ฉลองการจากไปของโควิด ที่ทุกวันนี้มีแนวโน้มลดลง
ให้พวกเราไปคิดกันว่า งานเพื่อฟ้าดินเปิดชุมชน คงมีการฉลองแบบพวกเรา คือฉลองจะได้ช่วยมนุษยชาติให้มากขึ้นได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ฝากให้ชาวบวรต่างๆ ใครจะมาร่วมฉลองงานปีใหม่ให้ครึกครื้น คือ มาช่วยประชาชนได้มากอย่างไร
งานอโศกรำลึกปีนี้มีทุเรียนโมเดลเป็นตัวอย่าง ตอนนี้ชาวบ้านเข้ามาทักทายปฏิสันถารกันมากขึ้น เป็นที่ประทับใจของหมู่บ้านใกล้เรือนเคียงเป็นอันมาก
ความจริงสุดยอด Axiom คือ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน
พ่อครูว่า..ธรรมะพระพุทธเจ้าวิเศษจริงๆ พระพุทธเจ้าใช้คำว่าอุตตริมนุสสธรรม เกินกว่าธรรมดาสามัญมนุษย์ในโลกจริงๆ ที่เขาไม่สามารถเป็นได้อย่างธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้า อันนี้เราก็คงเข้าใจกันเพราะ เราได้เราเป็นเรามี
แต่คนทั้งโลกส่วนใหญ่เลยทั้งโลก เป็นเทวนิยมเป็นโลกียะธรรมดา เขามีแต่ความดีกับความชั่ว เรียนรู้การจัดความดีกับความชั่ว แล้วก็พยายามปฏิบัติให้เป็นคนดีดีๆให้เที่ยง เป็นคนดีให้เที่ยง อย่าเสื่อมไปเป็นชั่วเด็ดขาด เขาก็พยายามทำ แต่มันไม่เที่ยงหรอก
อาจจะเที่ยงได้ทั้งชาตินี้ ชาตินี้เป็นศาสดา ทำความดีไม่ทำความชั่วเลยตามสมมติของแต่ละศาสดา แต่ละศาสนา เพราะฉะนั้นความดีก็ไม่ตรงกันทุกๆศาสนา ไม่ว่าจะเป็นเทวนิยมหรือ อเทวนิยมอย่างชาวพุทธก็ตาม มันเป็นสมมติสัจจะ มันไม่ตรงกัน ตรงกันมันมีแต่นิพพานอันเดียวจบ เป็นหนึ่งเดียว นอกนั้นแย้งกันได้หมด มากบ้างน้อยบ้างก็แล้วแต่
อาตมาพยายามเน้นชี้ให้เห็นว่าความพิเศษคือความพ้นทุกข์พ้นสุข หรือพ้นสุขพ้นทุกข์นี่แหละ เป็นเรื่องที่เทวนิยมเขาไม่ได้ศึกษา และไม่รู้เรื่องไม่ใส่ใจด้วย เพราะไม่เห็นเป็นสำคัญ ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อันนี้แหละสุขทุกข์นี่แหละ เป็นประเด็นเหตุที่ทำให้ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงจิตวิญญาณที่จริง อัตตาที่จริง พระเจ้าที่จริง เทวฺที่จริง
เมื่อศึกษาศาสนาพุทธแล้ว มีโลกุตระธรรมบรรลุอรหันต์ จึงจะรู้จักจิตวิญญาณจริง อัตตาที่จริง ที่เขาเป็นกันด้วยความไม่รู้อวิชชา แล้วหลงว่าเป็นพระเจ้า ศาสนาพุทธก็รู้หมดแล้วเลิกหมดเลย เลิกอัตตา เลิกจิตวิญญาณ เลิกความเป็นเทวะใดๆ เทวะคือ ความเป็น 2 เลิกความเป็นพระเจ้า เลิกความเป็นเทวะ จิตวิญญาณหายไป ไม่มีจิตวิญญาณของผู้นั้นอีก ปรินิพพาน เป็นปริโยสาน ไม่มีชีวะอายุในมหาจักรวาล ในกาละอีกเลย แต่ความเป็นกาละนี้มีอยู่นิรันดร
สิ่งเหล่านี้ยังเป็นความยากมากๆ ผู้จะรู้ได้เห็นได้เข้าใจได้แล้วก็เลิก มาเรียนรู้ เลิกจบ หมดสุขหมดทุกข์เป็นอรหันต์ ตาย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย นี่คือคุณวิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คนที่ไม่มีภูมิธรรมมีบารมีพอจะฟังรู้เรื่อง ก็ไม่รู้เรื่องหรอกว่าสำคัญถึงขนาดไหน มีความสุขอยู่ดีๆจะไปเลิกความสุขได้อย่างไร ไม่เอาทุกข์ก็เอาแต่สุขก็พอแล้วจะเลิกทำไมสุข ก็ไม่พยายามทุกข์ ไม่มีเงินแล้วทุกข์ก็พยายามหาเงินให้ได้มากๆ ไม่มีลาภยศสรรเสริญก็พยายามทำให้ได้ มันก็เป็นสุขเอง เขาไม่รู้ไม่เข้าใจว่า สุข มันเป็นโลกีย์ขึ้นอยู่กับโลกธรรม
ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เพราะคุณมีสุข คุณก็มีทุกข์ เพราะความทุกข์กับความสุขมันเป็นเทวฺเป็น 2 ที่แยกกันไม่ได้ นี่คือความจริง ความแยกกันไม่ได้นี่แหละของทุกข์กับสุขต้องเป็น 1 หรือ เมื่อเป็น 1 ได้แล้วก็เป็น 0 ได้ ผู้บรรลุ 1 ได้จะบรรลุ 0 ได้ เพราะบรรลุความเป็น 2 คือ บรรลุทั้งความดีความชั่ว บรรลุทั้งไม่สุขไม่ทุกข์ เรียกว่า เรียกว่าเทวะ
หรือไม่สุขไม่ทุกข์นี่ เหมือน 0 แต่ถ้าคุณยังมีชีวะอยู่ คุณก็เป็น 1 ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เลิกไม่เป็นชีวะไม่เป็นที่ 1 อีกแล้ว ก็เป็น 0 เลย
ทั้งโลกเขาไม่รู้หรอก อะไร 0 อะไร 1 อะไร 2 มันเป็นสุดยอดความเป็น อัตตา ความเป็นชีวะ ของมวลมนุษยชาติที่วนเวียนอยู่ใน 0 1 2 เลิกแล้วไม่วนเวียนอีกแล้วให้ความเป็นไตรลักษณ์ จบเลยสัมบูรณ์ Absolute Ultimate ไม่มีอะไรต่อเลย Axiom เลย สุดแล้วจริงที่สุดแล้วนี่คือความจริงที่สุดยอด
SMS วันที่ 22-23 มิ.ย. 2565
_*Sun Taan สุนทาน* · บ้านราชเมืองเรือ อโศก เปิดปกติ ยังคะ ?
พ่อครูว่า… ยังไม่เปิด จะเปิดปีใหม่ รออีกหน่อยอีก 6 เดือน
_*สุรัตนา น้อยศรี* · รอไปบ้านราชธานีอโศกมีเพื่อนไปด้วยค่ะ 5 คน
_*โกศล สุขเล็ก* · กราบคารวะพ่อท่าน..บุคคลไทยโดยทั่วไปเขาบอกว่าเป็นพุทธแต่ไม่รู้ว่าคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไรรวมถึงพระในมหาเถรสมาคม
พ่อครูว่า… จริงไหม (โยมตอบว่าจริง) ที่เราพูดมันเป็นความจริงอยู่ คนที่มีอัตตามานะเขายืนยันว่าเขาเก่งเขาถูกเขาอยู่ในวงการกระแสหลักของพุทธศาสนา โพธิรักษ์ จะมาพาไปจริงกว่ามหาเถรสมาคมหรือกระแสหลักของประเทศได้อย่างไร มันก็น่าเห็นใจเขาเหมือนกัน
_*อัมพร กุลศักดิ์ศิริ* · อยากให้พ่อครูตำหนิรัฐบาลบ้างครับ / รัฐบาลนี้จะแจกเตาอั่งโล่ พ่อครูเห็นด้วยใหม?ครับ
พ่อครูว่า… ไม่ได้ไปดูตอนเขาแจกก็เลยไม่เห็น ตอบอย่างนั้นก็แล้วกัน ให้ตำหนิรัฐบาล ก็ตำหนิ จะตำหนิเดี๋ยวนี้ก็ทำได้ “ทำไมรัฐบาลไม่ทำชั่วบ้าง” นี่ตำหนิแล้วนะ จะหาว่าไม่ทำตามคำขอร้อง
_*Bua Lukpho บัว ลูกโพธิ์* · บางครั้งนะท่าน เวลาใครถามว่าดิฉันทำไมมาสันติอโศก ดิฉันอึดอัดใจมาก บางครั้งอโศกเราก็ไม่ควรไปเจาะลึกประวัติใครมาก เพราะดิฉันคนหนึ่งที่ไม่อยากให้ใครมาล้วงลึกเลย นอกจากบอกเอง สาธุค่ะ /
ดิฉันต้องกินมังสวิรัติอร่อยไว้ก่อน สั่งปรุงให้อร่อย ไม่งั้นตกล่วง เพราะติดเนื้อสัตว์มาก กินเนื้อสัตว์มาตลอดไม่ยอมกินผักเลย
เพราะเหตุไรคะ ผู้ชายสมัยนี้มาปฏิบัติธรรมกับอโศก จึงไม่บวช หรืออโศก มีแต่ผู้หญิงมากกว่าชาย สาธุค่ะ
พ่อครูว่า… น่าคิดเหมือนกัน ทำไมผู้ชายไม่มาบวชช่วยให้สมณะชาวอโศกมีเป็นพัน ถ้ามีเป็นพันนี่ มีอนุสาสนีปาฏิหาริย์อย่างสำคัญเลยเชียว เอ้า! เป็นไปตามธรรม
ยุคนี้ปางนี้ชาตินี้ อาตมามีบารมีเท่านี้ก็ทำได้เท่านี้
แต่โลกทั้งโลก ผู้หญิงเป็นจอมแฟชั่น ไม่ต้องห่วงหรอก จะรู้ให้เห็นว่าอะไรดีก็ไปก่อนเลย ผู้หญิงตาเหยี่ยวเห็นก่อน ผู้ชายไม่เห็นง่ายๆ ก็เป็นธรรมดา
_*Fei Huang เฟย ฮวง* · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ การระลึกชาติที่ถูกต้องคือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ และ จุตูปปาตญาณ อย่างนี้ใช่ไหมคะ หรืออย่างไร ลูกน้อมกราบนิมนต์พ่อครูเมตตาช่วยอธิบายเรื่องระลึกชาติอย่างสัมมาทิฏฐิ ให้ลูกเข้าใจด้วยค่ะ น้อมกราบนมัสการด้วยเศียรเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า… เรื่องระลึกชาติ ฝากไว้หน่อย เดี๋ยวอธิบาย
ทำไมต้องตำหนิสายวัดป่าหลับตาปฏิบัติ
_*ซึ้งซื่อ วิเชียร* กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ ผมมีความในใจจะขอสัมมาทิฏฐิจากพ่อท่านครับคือ ลูกชายของผมมาระบายกับผมว่า เขาบอกว่า ในหลวง ร.๙ กราบพระองค์ไหนเขาก็เคารพพระองค์นั้นด้วย และก็ระบายอีกเรื่องหนึ่งว่าดูใน t.v ที่ผมเปิดให้เขาดู เขาเห็นแต่พ่อท่านกับสมณะและสิกขมาตเที่ยวว่าพระมหาบัว ว่าทำไม่ถูก เขาว่ามหาบัวได้เอาเงินทองไปช่วยชาติเป็นอย่างมาก เขาจึงไม่ชอบใจเรื่องนี้ แต่เขาถูกใจท่านเพาะพุทธ จันทเสฏโฐว่าเข้าได้กับทุกฝ่าย ผมจึงกราบพ่อท่านให้ทราบครับ กราบนมัสการพ่อท่านครับ ถ้าเห็นว่าไม่สมควรออกก็ Cancel ไปได้ครับ ขอบคุณ
พ่อครูว่า… เอา ออกไปแล้วไม่มี cancel มันเป็นเรื่อง อจินไตย เป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนหลายอย่าง จริงๆก็ไม่อยากอธิบายขยายความมากหรอกเพราะเป็นเรื่องที่ยาก เป็น อจินไตย เป็นเรื่องเกินคิดเป็นเรื่องกรรมวิบาก อาตมามี สัมภาระวิบากกรรม เกิดมาชาตินี้มีอะไรหลายอย่างที่คนไม่สามารถหยั่งรู้ตามที่อาตมาเป็นได้ มันก็เลยบอกได้อธิบายได้เฉพาะที่พอพูดได้เท่านั้น
เรื่องมหาบัว ที่อาตมาต้องพูดต้องว่า เพราะไม่มีใครว่ามหาบัวหรอก มหาบัวนี่เก่งคือกันได้ไม่มีให้ใครว่าก็คือพยายามเรี่ยไรเอาเงินมาเข้ามาโชว์เข้าประเทศ นี่เป็นความฉลาดแกมโกงของมหาบัวแล้วก็ได้สรรเสริญ ใครก็เห็นทั้งนั้นมันเป็นสมมติสัจจะเป็นโลกิยะทั้งนั้นมันไม่ใช่โลกุตระเลยมหาบัวยังไม่มีโลกุตระ
และเป็นความซับซ้อนคือทำเพื่อจะได้สรรเสริญ ตัวเอง ก็ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองติดสรรเสริญ ทำเฉย แต่ภาคภูมิใจไม่เคยหยุด แล้วก็หลงในเรื่องหลับตา เอาเป็นเอาตาย ธรรมะของมหาบัวก็มีแค่นี้ ปฏิบัติเอาเป็นเอาตายจนบรรลุ ทะลุฝาทะลุกำแพงเลย บรรลุ มิจฉาอรหันต์ มิจฉานิโรธ มิจฉาวิมุติ แต่เขาไม่รู้จริงๆ
ทำไมต้องพูดต้องตำหนิ ทำไมต้องตำหนิ บอกว่า เขาไม่ตำหนิใคร แต่ศาสนาพระพุทธเจ้านั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า อานนท์เราจะตำหนิแล้วตำหนิอีก แต่ผู้ที่เขาไม่ตำหนิ เพราะเขาตำหนิไม่ได้ เขาไม่กล้า เขาไม่มีอาสโภ เขาไม่มีความกล้าหาญที่จะตำหนิ ถ้าตำหนิแล้วโดนศอกกลับก็หน้าแตก เพราะเขาไม่มีทางปรับปวาทะ ให้คนเหล่านั้นยอมจำนนด้วย เขาก็กลัว เขาไม่มีภูมิจริงๆ แล้วเขาก็กลัว เขายังไม่พ้นความกลัวหรอก เขายังไม่พ้นอสุรกาย เขายังเป็นอสุรกายอยู่ มีภยาคติ
สู่แดนธรรม… ทุกคำที่พ่อครูเทศน์ไป เขาไม่ได้ยิน เพราะ youtube ไม่มีเสียง แต่เฟสบุ๊คมีเสียง
พ่อครูว่า… อาตมาจำเป็นต้องพูดสัจจะ อาตมาไม่เดือดร้อนหรอก อาตมาเกิดมาชาตินี้มีหน้าที่แสดงธรรมโลกุตระ เป็นเรื่องของบารมีคนไม่มีบารมีฟังให้ตายก็ไม่ติดไม่เสพไม่อร่อยไม่รับ จะบอกว่าอะไรก็ไม่รู้ แต่คนที่มีปฏิภาณปัญญาจะเห็นว่าอันนี้น่าฟัง จนกระทั่งรู้ว่าอันนี้ใช่เลย มันจะมี เราก็ได้ขึ้นไปอย่างนั้น ไปบังคับใครไม่ได้ตามบารมีของเขา
_*ดินงาม นาวาบุญนิยม* · ฟังเทศน์วันนี้แล้ว ร้อนใจอยากหมดกิเลสเร็วๆ แต่เป็นไปไม่ได้ แต่จะเพียรพยามให้ยิ่งขึ้น คงต้องปฏิรูปอย่างมากจึงเจริญได้
พ่อครูว่า… ใจเย็นๆไปตามธรรมดา อย่าให้มันเป็นตัณหาล้ำหน้าก็แล้วกัน
ดับสุขดับทุกข์จนถึงอุเบกขา
_ลูกหมาน้อย…สรุปความตามความเข้าใจ การทำสมาธิ ไม่ใช่การนั่งหลับตา แต่เป็นการปฏิบัติ 24 ชั่วโมง ที่เราสามารถอ่านเวทนา(ความรู้สึก) ขณะที่เราดำรงชีวิตอยู่ (การนั่งนอนการกินการทำงาน) โดย รู้สัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายว่ามีความรู้สึก (ผัสสะที่มากระทบ) เกิดทุกข์โดยใช้หลักอริยสัจ 4 มาพิจารณา
โดยพิจารณาทุกข์(รู้จักทุกข์ รู้แจ้งในเหตุ รู้แจ้งในการดับ รู้แจ้งในทางแห่งการพ้นทุกข์ )ใช่หรือไม่ (พ่อครูว่า ใช่ ความสุขกับความทุกข์ คนจะรู้ความทุกข์ได้ง่ายได้เร็วได้ไวกว่า พระพุทธเจ้าจึงได้จับจุดทุกข์นี่มาสอน เมื่อดับทุกข์หมดแล้ว สุขก็ไม่มี แต่คนที่หลงว่ามีสุขอยู่ ยังเป็นคนไม่รู้ทุกข์สุขที่เป็นมายา ที่มันหลอกคุณด้วยความสุข ถ้าคุณยังเหลือเศษของความสุขอยู่ มันก็ยังเหลือเศษของความทุกข์อยู่ เพราะฉะนั้นมันจะหมดเกลี้ยงสุขทุกข์เลยเป็นนิพพานหรือปรินิพพาน เป็นนิพพานรอบสิ้นหมดเลยหมดสุขหมดทุกข์
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ได้ศึกษาไม่ได้ฟังอย่างที่อาตมาพูดนี่แหละ เขามีบัญญัติภาษา อทุกขมสุข ที่จริงมันยิ่งกว่า อทุกขมสุข ที่จริงแล้วสาระของอทุกขมสุข คือจิตหมดกิเลสเกลี้ยงไม่เกิดอีกเลย ไม่มีเศษธุลีละอองของกิเลสเลย เป็นจิตบริสุทธิ์หรืออุเบกขา เพราะฉะนั้นอุเบกขานี้จะลึกซึ้งกว่าอทุกขมสุข หรือ ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นปัญญาโลกุตระที่ลึกซึ้งสุด หมดสุขหมดทุกข์
_(คุณหมาน้อย) … แล้วสุข จะใช้อะไรพิจารณา เพื่อให้ไม่ติดอยู่กับสุข อีกประการหนึ่ง เราต้องเรียนรู้และพิจารณาตัวเราให้ดีก่อนใช่ไหม (พ่อครูว่า ใช่ ) ใครจะเป็นอย่างไรก็ไม่ต้องสนใจ
พ่อครูว่า… สนใจบ้างสิ คือ อย่าไปยุ่งกับกิเลสของคนอื่นเขา เอาตัวเองก่อนกิเลสของตัวเอง คนอื่นเขามีกิเลส เราไม่ได้อยู่ในฐานะของคนที่จะไปชี้กิเลสเขา ไปช่วยบอกเขาให้หมดกิเลส ตนเองยังไม่บรรลุ ยังเลิกไม่ได้ไม่ควรไปสอนคน พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ทำคุณอันสมควรให้ตัวเองก่อนแล้วสอนคนอื่นจะได้มัวหมอง อย่างนี้เป็นต้น แต่ทุกวันนี้สอนกันมาก โดยที่ตัวเองไม่บรรลุจริง มันก็เลยทำความซ้อน
คนที่ไม่รู้จริงไม่รู้จริงแล้วมาสอนสิ่งที่ตัวเองไม่บรรลุจริง แล้วมันจะได้ความจริงอย่างไร มันไม่ได้ มันไม่ได้จริงๆเพราะคุณไม่มีภูมิธรรมจริง คุณพูดอย่างไรก็เอียง คุณพูดอย่างไรก็ไม่ตรง คุณพูดอย่างไรมันก็ไม่ใช่ เพราะมันไม่ใช่เรื่องธรรมดา
การลึกชาติแบบสภาวธรรม
เรื่องระลึกชาติ…อาตมาบอกว่า อาตมานี่ระลึกชาติ ระลึกชาติอย่างอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ระลึกชาติตามคำสอนพระพุทธเจ้า ไม่ได้ระลึกชาติเป็นตัวตนบุคคลเราเขา ไอ้นั่นพระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่น่าสนใจ น่าเบื่อหน่ายน่าเกลียดน่าชังน่าระอา มันไม่ได้เรื่องหรอกมันเสียเวลาเพราะมันก็เป็นจริงของมันอยู่อย่างนั้น จริงตามสมมุติ มันก็หมุนเวียนตามสมมุติเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของมันไป มาสนใจอันนี้น่าจะจบบริบูรณ์ อันโน้นมุ่งไปอย่างไรก็ไม่จบ เสียเวลา เพราะฉะนั้นอย่าไปสนใจกับเรื่องที่ทำให้เสียเวลามากนัก
ทีนี้ พระพุทธเจ้าท่านพยายามเลย ชี้ความละเอียดลออลงไป แต่ก็น่าเห็นใจ คนไม่มีปัญญาปฏิภาณละเอียดลออสุขุมปราณีตพอก็จะสับสน มันก็วนไปวนมา วนมาวนไปเป็นพวกวิตักกจริต เป็นพวกที่ศรัทธาแท้ก็ไม่ทำให้ศรัทธาแม่นตรงไป ก็ไปจับจด ไม่ได้แน่นอน เพราะว่าทำศรัทธาไม่บริบูรณ์ มันก็ไม่แน่ ก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาก็เลยเสียเวลา ถ้าศรัทธาจริงแล้วแม่นเลยเอาตามที่ตัวเองต้องการนี่แหละ ตามที่ตัวเองเข้าใจนี่แหละ ทำให้จริงเลย มันก็จะรู้จบเหมือนกันว่ามันไม่ใช่ หรือ มัน บรรลุจริงๆแล้ว มันก็จะถึงที่จบของความจริง ที่ไม่จริงก็จริงที่ไม่จริง ที่จริงก็จะเจอความจริงที่จริงมันจะเจออย่างงั้น
อาตมาไม่ได้ไประลึกอย่างที่ เป็นตัวตนบุคคลเราเขา ระลึกแต่ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วก็เอาธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนนี่แหละ มาเป็นสารัตถะ ที่อาตมาใช้คำว่าอาตมาเป็นสารีบุตรเป็นลูกของสารัตถะ ไม่ใช่เป็นรูปของบุคคลตัวตนใครๆเขานั้นไม่ใช่ เป็นลูกของธรรมะโลกุตระแท้ๆ สารัตถะแท้คือโลกุตระ เพราะฉะนั้นจึงสาธยายโลกุตระตลอดมา 52 พรรษาแล้ว
อีกประเด็นหนึ่งบอกว่าความสุขจะเอาอะไรไปพิจารณา เข้าใจทุกข์มันก็จะรู้ในความสุข ว่ามันเป็น สุข อัลลิกะ มันสุขเก๊ สุขไม่จริง จะรู้ความสุขต้องพิจารณาที่เวทนาแล้วจะรู้จักเวทนา 2 เวทนาที่จริงๆๆกับจริงเก๊ แล้วคนก็ไม่เข้าใจได้ง่ายกับเวทนา 2 คนที่รู้จักเวทนา 2 รู้จักจริงเก๊กับจริงๆ เขาก็เลิกเวทนาเก๊ เขาก็เอาแต่เวทนาจริง จิตมันไม่เอา จิตมันมีปัญญาจะเห็นความจริง เราไปเสียเวลาอยู่กับของเก๊ สู้มาทำของจริง มาเป็นความจริงมาสอนความจริงนี้ดีกว่า ซึ่งหายากด้วย คนที่จะเป็นอย่างนั้น ก็จะไปเสียเวลาทำไม แม้แต่เสี้ยวเวลาของวินาทีจะไปเสียเวลาทำงานกับของที่ไม่จริง
อาตมาว่าอาตมาพูดความจริง อาตมาพูดความไม่จริงไม่เป็น พูดแต่ความจริงคนเข้าใจยาก ความไม่จริงจะพูดไปทำไม มันเสียประโยชน์ เสียเราด้วยเสียผลด้วย นอกจากจะวิจัยวิจารณ์ว่าไม่จริงเป็นธรรมะ ตัวเองจะไปพูดทำไมกับธรรมะไม่จริง พูดเป็นบัญญัติภาษาว่าอันนี้จริงอันนี้ไม่จริงกันที่ถูกกับไม่ถูกก็พูดไป
การทำใจในใจต้องทำทุกลมหายใจเข้าออกหรือไม่
_ป้าแจ๊ว .. 1.ดิฉันทักน้องปุณย์ หมดบุญมาเกิดสังขารใหม่
2.ปัจจุบัน การทำใจในใจต้องมีสติทุกลมหายใจเข้าออกเสมอใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า… ใช่
1.ที่ว่าทักน้องปุณย์ คุณพูดมา หมายถึงอะไรอาตมารู้ แต่คนทั่วไปเขาเข้าใจยาก อย่างแจ๊วเขาเข้าใจว่า น้องปุณย์ หมดบุญแล้วมาเกิดใหม่
ที่จริงแล้ว แจ๊ว ก็ยังเข้าใจคำว่าหมดบุญไม่ได้ หมดบุญ หมายความว่าเป็นอรหันต์ ถ้าเป็นอรหันต์แล้วยังมาเกิดอีก ก็โพธิสัตว์ เพราะฉะนั้นก็รอดูไปว่า น้องปุณย์นี่ จะเป็นโพธิสัตว์หรือเปล่า ถ้าเป็นโพธิสัตว์ก็เป็นคนหมดบุญมาเกิดในสังขารใหม่ สรีระใหม่ ก็ดู เมื่อสาธยายธรรมะแล้วก็จะรู้ว่าเป็นคนหมดบุญเป็นโพธิสัตว์มาเกิด หรือจะเป็นโพธิสัตว์ระดับโสดาบันก็จะรู้ภูมิธรรมนั้นของคนนั้น สกิทาคามี อนาคามีก็แล้วแต่ แต่ถ้ายังไม่ใช่ น้องปุณย์ก็ยังไม่หมดบุญมาก่อนเลย
อันที่ 2 ก็น่าพูดถึงการมีสติรู้ลมหายใจเข้าออก
ที่จริงแล้ว ไม่ใช่ต้องมีเท่านั้น มันจะมีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตระ อยู่ประจำเลยว่าเรามีสติ เป็นอัตโนมัติ คนที่มีสติเต็มแล้ว อาตมาเอาของตัวเองพูดให้ฟัง ลืมตามีสติเต็มทั้งกายวาจาใจ หลับตายิ่งง่ายกว่า สติยิ่งเต็ม เพราะฉะนั้นหลับ จะดับไปพักไป ก็ดับได้ หลับไม่ดับ จะปรุงแต่งกับเทวดาตามสำนวนพระพุทธเจ้าก็ว่าไป สำหรับอาตมานั้นหลับก็ไม่ต้องไปดับเลยก็ได้ แล้วเก่งด้วย คือ ปรุงอยู่ตลอดเวลาเก่ง เพราะฉะนั้นก็เลยหลับไม่ได้ดับดิ่งไปทีเดียว จนกระทั่งดับปี๋ไม่รู้เรื่อง ซึ่งมีน้อย เขามีเครื่องจับดูว่า Deep Sleep มีน้อยมาก ส่วนมากไม่ค่อย Deep sleep หรอก เพราะพอ รู้จักพักรู้จักเพียร พอทีเดียว
วิตกวิจารในฌานวิสัย ที่เป็นอจินไตยชนิดหนึ่ง
_มีคุณซึ้งซื่อ ขอ สัมมาทิฏฐิ เรื่องวิตกวิจาร
พ่อครูว่า .. วิตกวิจาร เป็นอาการของจิต ที่ กำลังศึกษา เป็นอาการของจิต วิตกคือจิตเริ่มเกิด ตักกะ แล้วก็รู้ความยิ่ง วิ คือยิ่ง ของการตักกะ
วิจาร จารคือ พฤติ อาการกิริยาของจิต
พอเริ่ม ตักกะวิตักกะ ในสังกัปปะ 7 ก็ต้องเรียนรู้ได้จาก อาการของมันหรือจารหรือพฤติของมันแล้วก็จัดการ กับสิ่งที่มันแฝงมากับ ตักกะ คือจิตเริ่มเกิดมา
พอจิตเริ่มเกิดมา ผู้ที่ยังไม่ได้ศึกษาเลย มันจะมีกิเลส ผู้ที่ยังไม่บรรลุอรหันต์มาก่อน หรือแม้แต่อรหันต์ก็ตาม มาเกิดเป็นโพธิสัตว์อีก จะมีลิงลมอมข้าวพอง จะมีกิเลสโลกีย์ มันร่วมอยู่ด้วยพักหนึ่ง เหมือนแม้แต่ พระพุทธเจ้าก็ต้องตามโลกเขาไป แล้วค่อยรู้ตัวเอง อ๋อ! ไม่เอาแล้ว พอรู้ตัว หายเมาโลกีย์ที่ครอบงำ หายเมาแล้วค่อยรู้ตัว ว่าอยู่ในระดับไหน ถ้าอรหันต์หรือเป็นโพธิสัตว์แท้ๆ ถ้ายังโสดาบันก็ยังนิดหน่อย สกิทาก็เพิ่มขึ้น อนาคามีก็มากขึ้น อรหันต์จึงจะเต็ม รู้จักสุขกับทุกข์
วิตก วิจาร ก็คือ รู้ทั้งดำริ นึกคิดแล้วเรียนรู้จากจาระหรือจรณะนั่นแหละ อาการทั้งหลายแหล่ของการประพฤติ
ผู้ใดสามารถจะทำฌานได้ ฌานของศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปหลับตา หลับตาไม่มีฌานวิสัย ของพระพุทธเจ้าเลย พวกหลับตาที่บอกว่าได้ฌาน เป็นฌานลาภี ที่บอกว่าไม่มีฌาน เป็นสุกขวิปัสสโก หรือปฏิสัมภิทาญาณบ้าง แล้วก็ไม่เก่งกว่าเหรอที่มีปฏิสัมภิทาญาณ
แล้วพวกที่ยังเป็นพวก ฌาน หลับตางมงาย ไม่ใช่ ฌาน ของพุทธ มันมีอยู่เยอะมากกว่าคนที่ได้ ฌานวิสัยของพุทธ ที่เป็นอจินไตยจริงๆ อธิบายได้ยากมากเลย
ฌาน คือการทำ พลังงานจิต ให้มันมีพลังงานที่เหนือ(อุตระโลกุตระ) เหนือกว่าพลังงาน ราคะโทสะโมหะ มันก็จะมีฤทธิ์ฆ่า เพราะมันเหนือกว่า ก็มันเป็นพลังงานทางจิตเหมือนกัน แต่ราคะโทสะโมหะ พลังงานทางจิตที่ อวิชชา ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามันไม่จริงหรอก มันเก๊ แต่ทางโลกเขาจะเห็นว่า จริง โลกุตระเขาว่ายาก เขาเข้าไม่ถึงง่ายๆเป็นอจินไตยจริงๆ ฌานวิสัย
ที่พูดเรื่องฌานกันทั่วโลกนั้น มีฌานวิสัยที่แท้จริงอยู่ที่ชาวอโศกเท่านั้น ที่อื่นไม่มีเลย ไม่ใช่ดูถูกนะ อาตมาเกิดมาชาตินี้ได้เคยบอกไว้แล้วว่าโลกุตรธรรมได้เสื่อมไปจากชาวพุทธทั้งหลายในโลกนี้ อาตมาก็หยิบเอาโลกุตรธรรมขึ้นมาสถาปนาลงไปใหม่ ให้พูดความจริงทั้งสิ้นอย่างไม่ได้หลงตัวตน ไม่ได้เบ่ง แต่พูดความจริงให้ฟัง ภาษาสั้นๆมันแรงมันชัด แต่คนที่ยังไม่ศรัทธา อาตมาพูดอย่างไรเขาก็ไม่ชัดหรอก คนศรัทธาแล้วยิ่งศรัทธาจริงๆอย่างพวกคุณ ยกให้ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
อาตมาพูดจริงๆนะถ้าอาตมาไม่เป็นโพธิสัตว์ระดับนี้ อาตมาจะเหนียม ยกย่องยกยอเหลือเกิน แต่อาตมาก็ให้ยกย่องยกยอ บอกเหมือนกัน อะไรมันมาก Over เกินไปก็บอก ที่ยกย่องยกให้ว่า เคารพอย่างสูงยิ่งนั้นดี
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าผู้ที่มีศรัทธา มีสัทธรรม 7 มีความเข้าใจรู้เลยแล้วก็จะเคารพอย่างสูง ยิ่ง ละอายอย่างแรงกล้า เคารพอย่างแรงกล้า คำว่าเคารพอย่างแรงกล้าสูงยิ่งนั้นแหละ เคารพด้วยใจจริง อาตมาไม่เคยไปบอกว่าให้พวกคุณกล่าวว่าเคารพอย่างสูงยิ่ง จริงๆแล้วอาตมาออกจะเหนียมด้วยซ้ำ แต่จริงๆแล้วควรจะให้เขาพูด อาตมาก็ได้แต่ปรามนิดๆหน่อยๆ พวกคุณจะพูดอยู่ก็พูดไป มันเป็นสิริมหามายา
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน… เรื่องฌานที่เกิดจากจรณะ 15 นั้นเขาไม่เข้าใจไม่ได้ทำกันเลย
พ่อครูว่า… เขารู้อยู่ ว่า เป็นธรรมะที่ปฏิบัติไม่ผิดของพระพุทธเจ้า แต่เขาไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 อย่างนี้เลย มันเป็นองค์รวม สมังคี แล้ว สังวรสำรวมปฏิบัติจริงๆกับโภชเนมัตตัญญุตา จนเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้หลุดพ้น ผู้เบิกบาน ชาคริยาขึ้นมาจริงๆ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ
เขามีแต่หลับตา ไม่ตื่น จนกระทั่งเราบอกว่าให้ตื่น เขาก็ไม่ตื่น ปฏิบัติธรรมต้องมีชาคริยาต้องตื่น ถ้ายังไม่ตื่นก็ต้องมีปัญญาให้เข้าใจว่าตื่นอย่างไร ตื่นคือลืมตา ผู้ที่มี จักษุ มีญาณ ปัญญา วิชชา มีอาโลก ลืมตาอยู่กับแสงสว่างของพระอาทิตย์นี้แหละ กลางคืนจะพักก็พักไป แต่กลางวันเป็นเวลาที่ควรจะปฏิบัติอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้นความหลับ ไม่ใช่แน่ ไปหลับตาก็ไม่ใช่เวลาที่มีองค์ประกอบสมพร้อม มันขาดมันแหว่งมันไม่เต็ม คุณจะหลับตาแล้วทำ เตวิชโช จะทบทวนธรรมะบ้างก็ได้หรือไม่ก็พักผ่อน ก็พูดไปหมดแล้ว
มาเข้าสู่ ฌานแท้ๆ ฌาน 4 ของ พระพุทธเจ้า
ผู้ที่ได้ฌาน ก็พูดกันอยู่พยัญชนะเดียวกัน
องค์ฌานที่ 1 มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
เอกัคคตา ความเป็น 1 อย่างยิ่งใหญ่(อัคคะ) เลิศยอดไม่ใช่แค่เอกธรรม เอกธรรมคือ ธรรมะที่เป็นหนึ่ง หรือเอกตา ความเป็น 1 สามัญง่ายๆอย่างที่หลับตาสะกดจิตให้มันเป็นหนึ่ง
ความเป็นหนึ่งของพระพุทธเจ้านั้นรู้โลกอย่างไม่มีอัตตา จะรู้ความเป็น 1 ความเป็น 2 ความเป็น 0 และรู้จัก 2 ต่อไปอีกเป็น 3 4 5 6 7 8 9 ถ้ามันจะไปอีกขยายวง แห่งความรู้
แต่ถ้ายังไม่รู้ มันขยายวงแห่งความรู้ไม่ได้หรอก รู้องค์ 3 เอาสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
สุข ทุกข์ ก็รู้อาการ 2 อย่าง ไม่สุขไม่ทุกข์จะเรียกว่าอีกอาการนึงก็ได้ แต่ไม่สุขไม่ทุกข์ที่เป็นเดรัจฉาน เดียรถีย์ นั่นคือไม่สุขไม่ทุกข์อย่างที่ไม่ใช่อุเบกขา ไม่สุขไม่ทุกข์อย่างที่จิตไม่บริสุทธิ์สะอาด เพราะฉะนั้นไม่ทุกข์ไม่สุขอย่างโลกุตระสูงสุดเป็นอุเบกขา ที่เป็นธรรมะในระดับฌาน 3 ขึ้นไปถึงฌาน 4 จะมีอุเบกขาเข้าร่วมเกินกว่าเอกัคคตา เท่านั้น
ความยิ่งใหญ่นี้ คุณจะต้องใช้ ฌานที่ 1 ด้วยการรู้ทั้ง 4 องค์ รู้วิตกวิจารแล้วรู้จิตปีติ รู้สุข คุณก็ต้องรู้สุข คุณเอียงสุขนะไม่ไปทางไม่สุขไม่ทุกข์นะ คุณจะไม่กระดิกเรื่องทุกข์เลยสำหรับ เดียรถีย์ คุณจะติดในความสุขด้วยสำหรับการนั่งหลับตาแล้วบอกว่าได้นิโรธ แต่เป็นนิโรธที่ดับสัญญาดับเวทนา อสัญญี นิ่ง
ทั้งที่ดับเวทนาดับสัญญา ไม่ใช่ดับอย่างดับ ไม่ใช่ดับอย่างทำให้มืดทำให้ดำ แต่ดับอย่าง สัญญาเวทยิตตังนิโรธังโหติ มีสัญญาเคล้าเคลียเวทนา อย่างตื่นๆแล้วเห็นมีนิโรธในนั้น ได้ลดแล้วสมบูรณ์แบบโหติ แท้จริงที่สุดมีผลสูงสุด
ฌาน ที่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า สะกดจิตเข้า จิตมีวิตกวิจาร คือคุณกำลังปฏิบัติ คุณกำลังเคร่งคุมอาการจิตให้ได้ อย่างที่คุณมีทิฐิมีความเข้าใจมีความรู้ อย่างโลกีย์มันไม่คิดอะไรแต่ของพระพุทธเจ้ายิ่งแคล่งคล่องว่องไว จิตปาคุญญตา กิเลสออกจากจิต จิตยิ่งมุทุภูตธาตุ ยิ่งไม่มีอะไรขัดข้องเลย อิสระลอยตัวสมบูรณ์แบบเลย
ไม่ใช่เป็นฌานแล้วยิ่งเซื่องยิ่งช้า แต่ยิ่งเร็ว เร็วกว่าอาตมาอีก อาตมาเป็นลิงเท่านั้นเองยังไม่คล่องเท่าไหร่ ฌานนี่ มุทุภูตธาตุ ที่มี กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา คล่อง ยิ่งกว่าที่อาตมาเป็นทุกวันนี้อีก เดี๋ยวนี้มันพูดช้าลงเท่านั้น ตอนหนุ่มๆพูดเร็วกว่านี้ ไปฟังสิ ย้อนหลังดู เทศน์อยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ แต่เดี๋ยวนี้ต้องยอมจำนนว่ามันช้าลง สังขารมันต้องเป็นไป
การเข้าใจฌาน ผิดไปหมดทุกอย่างเลย ไม่หลับตา ไม่เชื่องๆช้าๆ เร็วยิ่งกว่าลิงคล่องแคล่วมีปัญญา มุทุภูตธาตุ ไวเร็ว
สู่แดนธรรม… ตอนพ่อท่าน พูดอย่างเร็วนั้น พ่อท่านน่าจะคิดว่า ช้ากว่าจิตที่ปรุงได้ไวกว่าอีก
พ่อครูว่า… ใช่ เพราะฉะนั้นคนที่จะรู้จัก ฌานวิสัย แบบพุทธอย่างสัมมาทิฏฐินั้นเป็น อจินไตย จริงๆ ยาก อาตมาอธิบาย พยายามไขความให้เห็นว่า ฌาน ของพุทธเจ้าไม่ได้ไปหลับตาเด็ดขาด ฌานของพระพุทธเจ้าเมื่อจะหลับนอนจะหลับตา คุณก็รู้แล้วว่าหลับตาไม่มีแสงอาทิตย์ ไม่มีอาโลก ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย
ฌานของคุณลืมตาของพุทธ กับฌานที่หลับตา มันจะเหมือนกันไหมซึ่งมันไม่เหมือน ฌานลืมตานี้ทำได้ยาก ฌานหลับตาทำได้ง่าย แม้แต่คุณไปหลับตาปฏิบัติมันก็ง่ายกว่าลืมตาปฏิบัติ
ยิ่งผู้ได้ฌาน ลืมตาของพระพุทธเจ้าแล้วไปหลับตาปฏิบัติมันก็ง่ายกว่า เพราะมันไม่มีอะไรกวน ตาหูจมูกลิ้นกาย ฌาน มันก็จะหยุดพักก็ได้ถ้าจะคิดก็คิดได้ โดยไม่ต้องเปลืองพลังงานอะไรมาก ทำพอสมควรคุยกับเทวดาไป เมื่อยก็พักหน่อย จะ Deep Sleep ก็ดี๊บไป ก็เท่านั้นเองไม่มีอะไร
แค่บอกว่า อาตมาพูดประโยคหลังนี่ คนที่ฟังอาตมายังไม่เข้าใจซาบซึ้ง ยังไม่เข้าใจชัดเจนหรอก พวกคุณฟังชัดเจน เพราะเป็นผู้ที่มีภูมิธรรมโลกุตรธรรมที่แท้จริง จะมีปัญญาเข้าใจได้แล้ว แต่เขายังไม่มีปัญญาเขามีแต่ เฉโก
เฉโก กับปัญญา เป็นความฉลาด 2 อย่าง ฉลาดอย่างโลกีย์ก็คือ เฉโก แต่ปัญญานี่คือฉลาดโลกุตระ ตอนนี้เขียนหนังสือ ปัญญา ได้ 800 กว่าหน้าแล้ว มันไม่ใช่มีได้ธรรมดา แต่คนเอาภาษาคำว่า “ปัญญา” ไปใช้กันเละเทะเลย ทั่วโลกก็ใช้บาลีคำว่าปัญญาทั้งนั้น เขาหมายถึงความฉลาดแบบโลกีย์ ซึ่งมันไม่ใช่ ปัญญาเป็นความฉลาดแบบโลกุตระ อย่างเช่นปัญญา 8 เป็นต้น
ปัญญาของพระพุทธเจ้านั้นต้องได้ฟังจากพระโอษฐ์ ได้รับจากพระโอษฐ์ ได้รับธรรมะพระพุทธเจ้าหรือจากสัตบุรุษ หรือผู้ที่เป็นครูที่สัมมาทิฏฐิ แล้วฟังแล้วก็ต้องไปพบพระพุทธเจ้าไปพบสัตบุรุษไปพบผู้ที่มีสัมมาทิฐิให้บริบูรณ์ แล้วก็ฟังแล้วฟังอีก ถามแล้วถามอีก เป็นข้อที่ 2 ของปัญญา 8
ข้อที่ 1 พบพระพุทธเจ้า หรือพบสัมมาทิฏฐิ
ข้อที่ 2 ก็ต้องไปพบแล้วพบอีกกับผู้ที่สัมมาทิฏฐิ ไปถามแล้วถามอีก แล้วเอามาปฏิบัติ
ข้อที่ 3 คุณจะเริ่มมี อัญญธาตุ ขึ้นมาบ้างว่าความสงบมันมี 2 อย่าง
ความสงบ 2 อย่างมันมี 2 อย่าง 2 คู่
ความสงบคู่หนึ่ง คือ ความสงบที่คุณตื่นลืมตา แล้วคุณก็หลับตา หยุด กายกรรม หยุดวจีกรรม หยุดมโนกรรมไม่ให้คิดอะไรเลยให้มันดับนิ่งเลย นั่นคือความสงบคู่ที่ 1
ส่วนความสงบ ที่ เป็นความสงบ โลกีย์อีกชนิดหนึ่ง คือ เขาไม่รู้หรอกว่าความสงบที่คุณหลับตาลงไปแล้ว คุณก็ยังจิตไม่ฟุ้งซ่านไม่มีกามไม่มีนิวรณ์ คุณจะไม่รู้ คือ จะไม่มีทางรู้ได้ง่ายๆ
ทีนี้ ผู้ที่มีความรู้ถึงความสงบแบบโลกุตระ ลืมตาก็สงบแบบโลกุตระ แต่คนโลกียะ ลืมตาไม่มีโลกุตระ ยิ่งไปปฏิบัติฌานผิด ไม่มีทางด้วยความสงบปรากฏการณ์ แล้วจะไปหลงหลับตา หลงกิณหา ว่าเป็นความมืดความดับเป็นสิ่งดี ทั้งที่ สัญญาเวทยิตนิโรธนี้ ปฏิบัติอย่างลืมตาเต็มๆรู้จักว่า เวทนาสงบจากกิเลส มีอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ลืมตาพิสูจน์อยู่อย่างชัดๆเลย บริสุทธิ์จากกิเลส ยิ่งหลับตาก็ยิ่งสบายเลย ยิ่งบริสุทธิ์ใหญ่ มันง่ายไม่มีอะไรกวนเลย มันไม่ต้องปรุงแต่งกับตาหูจมูกลิ้นกายเลย จะปรุงก็ปรุงในจิตของตนเอง จะปรุงเท่าไหร่ก็สบาย ไม่มีอะไรที่เป็นสองร่วม หรือจะพักก็พักไป จะ Deep Sleep ก็ว่าไป แต่อาตมานั้นมันไม่ค่อย Deep sleep เท่าไหร่ มันพอ
ทุกวันนี้อาตมาก็มีพลังงานเพียงพอ แต่พวกเราก็เห็นว่ามีพลังงานน้อย น้อยก็ทำเต็มที่แล้ว จะให้มากแล้วทำเต็มที่อาตมาก็ตาย ถ้าอาตมาทำงานเต็มที่ อาตมาตาย เพราะพวกคุณอยากให้อาตมาทำงานมากกว่านี้ จึงให้อาตมานอนพักมากกว่านี้ แล้วจะได้มีแรงทำงาน คุณก็เข้าใจตื้นๆว่าการนอนพักทำให้มีแรง ก็เข้าใจตรงที่จุดสมดุลเท่านั้น ถ้านอนพักไม่สมดุล อาตมาก็จะไม่มีเรี่ยวแรง แต่นี่ ไม่ใช่ไม่มีเรี่ยวแรง แต่สังขารมันเป็นไปตามวัยเท่านั้นเอง แต่ถึงอย่างไรสังขารอาตมาทุกวันนี้ 88 ยังแจ๋วนะ เต้นดีดได้จริงๆ แต่อาตมาทำไม่ได้ มันผิดสมณสารูปเท่านั้นเอง จริง เต้น หนุมานชาญสมร อาตมาก็เต้นได้ ไม่ใช่เดินอย่างกะง๊องกะแง๊ง หรือ เดินต้องใช้ไม้เท้าหรือมีคนจูงอย่างพลเอกป้อม ต้องอาศัยคนนั้นคนนี้เดิน ไม่ ยังแข็งแรงคงมั่นอะไรต่ออะไรได้อยู่
อาตมาจึงเชื่อมั่นและพยายามมีสัมประสิทธิ์ในชีวิต ลากไปถึง 100 ให้ได้ อีก 11 ปีกว่า ถ้าถึง 100 ปีจะรู้ว่ามันไหวหรือไม่ไหว มันไม่ไหวเพราะ โอเวอร์โหลดมากแล้วจริงๆ จะตายก็ตายเพราะมันฝืนมากเกินไป เสียสมณสารูป เสีย Character
คนถือไม้เท้านึกว่าแข็งแรงหรือ นอกจากคนหลงผิดถือไม้เท้าด้วยความเท่ห์ความโก้ แต่เขาไม่แข็งแรงเขาจึงถือไม้เท้าจริงๆ อาตมาจะไปถือทำไมไม้เท้า เสียบุคลิกหมด
อาตมาก็คิดว่าปลงอายุสังขารดีกว่าถ้าถึงขั้นจะเดินถือไม้เท้า มันเป็นรายละเอียดพวกนี้ อาตมาหรือว่าผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม ที่ทำตนเองให้มีสรีระแข็งแรง ไม่ใช่เรื่องแกล้งเป็นเอาได้เมื่อไหร่ มันต้องเป็นไปด้วยเหตุปัจจัยที่สังเคราะห์สังขารอยู่ในตัวเรา
แวะมาหาฌานอีก ฌานของพระพุทธเจ้าที่เป็น ฌานวิสัยของพุทธที่เป็นสัมมาทิฏฐิจริงๆนั้น
-
ไม่ใช่เกิดในขณะหลับตา หลับตาไม่มีฌานของพระพุทธเจ้า หลับตามีแต่ในพวกฤาษี นอกจากผู้ที่เป็นอรหันต์ขึ้นไป ถึงจะหลับตาแล้วเป็นฌานวิสัยสมบูรณ์แบบ ยังไม่ถึงอรหันต์ ยังหรอก แม้แต่อนาคามี
เพราะฉะนั้นอนาคามี หลับตาหรือตาย ตั้งจิตให้ตัวเองไม่ต้องกลับมาเกิดอีกในร่างที่มีดินน้ำไฟลมมีสรีระ แล้วก็ไปตายตามบารมีของตัวเอง ซึ่งมี 5 ระดับ เป็น
-
อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)
-
อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)
-
สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)
-
อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)
-
อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร หรือไม่เป็นน้องใครอีก แล้วปรินิพพานไว)