650622 ประสบการณ์พ่อครูในอิทธิปาฏิหาริย์และการออกป่า พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1M5I-0DlG_5vVvt14o30O65CfWMmmqYXv_dALsvBrlas/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1FzBuZxElaHOJdXtBWrPQDw3ALQV4FZs2/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/dOIuL100Gt/
และ https://youtu.be/v0NlekYHi88
สมณะฟ้าไท… วันนี้เป็นวันพุธที่ 22 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ถ้านับตามจันทรคติวันนี้ก็เป็นวันเกิดพ่อครู เราก็ผ่านอโศกรำลึกมาแล้ว เข้าสู่เข้าพรรษาต่อไป ภันเตเดินดิน ก็บอกว่าพ่อครูดำริจะเปิดหมู่บ้าน ตอนปีใหม่ เรารู้สึกว่าปิดหมู่บ้านก็สบายดีแล้ว เราติดสบายหรือเปล่านะ หรือว่าเราอายุมากขึ้นแล้ว แต่ก็น่าเห็นใจผู้ที่อยากจะเข้ามาในชุมชน ทั้งแม่ค้าแม่ขายที่เคยเข้ามาขายของในอาคารบวร คนมาดูงานต่างๆ
พ่อครูว่า..SMS วันที่ 20-21 มิ.ย. 2565
เข้าใจคำว่า กายผิด ปฏิบัติธรรมผิดไปตลอดทาง
_*Uamphon Aoi Bringsoe อ๋อย เอื้อมพร* · ฟังธรรมพุทธศาสนาตามภูมิ ภาคทบทวน วันอังคารที่ 21 มิ.ย. 65 ได้ประโยชน์มากค่ะ กราบขอบพระคุณท่านสมณะ และสิกขมาตุทั้งสามที่ช่วยกรุณาแจกแจงความละเอียดของความทุกข์ ความสุข และความไม่ทุกข์ไม่สุข ที่สำคัญคือตอกย้ำความหมายความละเอียดของคำว่า “กาย”
พ่อครูว่า…ดี ศึกษาเข้าไปจะได้เห็นความละเอียดของความเป็น กาย ซึ่งคนได้เข้าใจเพี้ยนผิดไป เข้าใจไม่เป็นโลกุตระ เข้าใจไม่ถูกต้อง ไปเข้าใจว่า กาย คือสรีระ คือภายนอกอย่างเดียว คือร่างภายนอก คือสิ่งที่เกี่ยวข้องอยู่ทางภายนอก ไม่เกี่ยวข้องกับภายใน ไม่มีจิตเข้าร่วมเลย นี่แหละเป็นประเด็นที่ยิ่งใหญ่ที่ผิดเพี้ยนไป
เพราะคำว่ากายคำนี้
-
ถ้าเข้าใจผิดแล้ว สังโยชน์ เบื้องต้นข้อที่ 1 ก็ไม่พ้น สักกายทิฏฐิ เพราะเข้าใจ กายผิด เริ่มต้นผิดตั้งแต่ต้น กระดุมเม็ดแรกผิด ถึงได้ผิดบานปลายต่อไปทั้งหมด ถ้าผิดเริ่มต้นจุดนี้ก็ออกไปกว้างไปเรื่อยๆ มันก็ไปกันใหญ่ นั้นหนึ่ง เข้าใจกายไม่ได้ไม่ผ่าน สังโยชน์ ข้อที่ 1
-
แยกกายแยกจิตไม่ได้ เมื่อใดจิตมีความเป็นกาย เมื่อใด จิตไม่มีความเป็นกาย ต้องรู้ว่า กาย มีสมบัติอย่างไร
สมบัติของความเป็นกาย คือ สภาพที่ปรุงแต่งกันอยู่เป็นรูปนาม เป็นภายนอกภายใน และสำคัญก็คือ เป็นทั้งกายภายนอกและจิตภายใน ที่ปรุงแต่งกันขึ้นมาเป็น อภิสังขาร
อภิสังขารนี้ มีคำถามของปีกบุญเขียนมาว่า
อปุญญาภิสังขารไม่ใช่อภิสังขารมาร
_ปีกบุญ...…ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่แปลคำว่า อปุญญาภิสังขาร เป็นบาปหรืออกุศล ทั้งนี้เพราะภาษาบาลีมีกำกับไว้ว่า
“กุศลเจตนา กามาวจรา ปุญญาภิสังขารา” และ “อกุศลเจตนา กามาวจรา อปุญญาภิสังขารา”
อีกอย่างนึงเรื่องมาร 5 มีคำว่า อภิสังขารมาร อยู่ด้วย ดิฉันจึงคิดว่า คำว่า อภิ ใช้ได้ทั้งกับเรื่องดีและไม่ดี
ขอเรียนถามว่า
-
คำว่า อปุญญาภิสังขาร จะมีความหมายคล้ายกับคำว่า อภิสังขารมาร ได้ไหมคะ?
-
ถ้าไม่แปลคำว่า “อกุศลเจตนา กามาวจรา” ว่าเป็นบาปแล้ว พ่อครูหมายถึง อกุศลเจตนา นั้น เป็นการสลัดคืน (ปฏินิสสัคคะ) หรือเป็นการอนุโลมปฎิโลมเพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ เช่น พ่อครูเจตนาร้องเพลง “กสิกรรมแข็งขลัง เป็นกระดูกสันหลังของชาติ” เพื่อประกอบการบรรยายเรื่องอาชีพกสิกรรม เป็นต้น
กราบขออภัยถ้าคำถามของดิฉันเป็นการไม่สมควร เพราะเป็นคนด้อยปัญญา มีบารมีน้อย
ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
ปีกบุญ
พ่อครูว่า… เรื่องดี แปลว่ากุศล เรื่องไม่ดีคือ อกุศล แต่เรื่องดีของโลกุตระอภิสังขารคือฆ่ามารเลย ไม่เป็นมารเลย คำว่า มาร 5 คือตัวบาป ตัวกิเลส เพราะฉะนั้น ต้องฆ่ากิเลส ต้องฆ่าบาป บาปกิเลสคือ มาร
มารตัวนี้ ถ้าเป็นทางโลกียะก็เป็นมารจริง อย่างเทวนิยม มารของเขาฆ่าไม่ได้เลย เขามีอภิสังขารมารตลอดกาล คือพระเจ้ามีซาตานอยู่ตลอดกาล ไม่รู้จักซาตานไม่ได้เรียนรู้เรื่องซาตาน ไม่คิดจะฆ่าซาตานด้วย
พุทธรู้จักมารซาตาน และมีปุญญภิสังขารฆ่ามาร ยังไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
อปุญญาภิสังขารแปลว่า ไม่เป็นบุญอีกแล้ว จะมีความหมายคล้ายอภิสังขารมาร ไม่ได้เลย เพราะหมดมารแล้วไม่ต้องทำบุญอีก คือ อปุญญา
กรรมใดของผู้ อปุญญาภิสังขาร ถอนอาสวะสิ้นแล้วก็คือไม่ต้องทำบุญอีก อปุญญาก็มันหมดแล้วหมดเลย ธรรมะของพระพุทธเจ้าทำกิเลสหมดแล้วไม่ต้องหมุนกลับไปกลับมาอีก อย่างไม่รู้จักจบ
เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่เข้าใจโลกุตระจะไม่รู้จบ บุญก็เป็น two way ทั้งที่บุญเป็น one way บุญไม่มี 2 ทาง บุญมีทางเดียว เสร็จปั๊บหายไปเลย จบ ไม่ใช่บุญ ไปทางนี้แล้วยังย้อนกลับมาได้อีก แล้วเมื่อไหร่มันจะปรินิพพาน เป็นปริโยสาน หรือหมดอาสวะ หมดแล้วจริงๆ ไม่มีวนกลับมาอีกเลย ถ้าใครยังไม่เข้าใจความวนอยู่ ก็ไม่จบโลก
ผู้ที่จบแล้ว อนุปคัมมะ จะไม่เข้าไปติดทั้งความมีและไม่มี อย่างไม่ได้กดข่ม อย่าง อาฬารดาบส หรือ อุทกดาบส อย่างสายอาจารย์มั่น ที่กดข่มได้ ชาติเดียวอาจจะกดข่มได้ แต่ชาติต่อไปกิเลสอาสวะไม่สิ้น มันก็ขึ้นมาใหม่ แล้วคุณจำชาติไม่ได้หรอก เกิดมาอีกคุณจำชาติไม่ได้หรอก คุณจำคุณธรรมที่คุณจะมีกิเลสหรือไม่มีกิเลส คุณจำไม่ได้ ระลึกชาติ อนุสาสนีปาฏิหาริย์คือมีกิเลสหรือไม่มีกิเลส ไม่ใช่ไประลึกชาติแบบเป็นนาย ก. นาย ข. นาย ค. ตัวตนบุคคลเราเขา ไม่ใช่ แต่ระลึกชาติอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ระลึกเนื้อหาธรรมะอย่างที่อาตมาอธิบายอย่างนี้ อาตมาก็ดึงเอาของเก่าที่เรียนรู้จากพระพุทธเจ้ามาบรรยายทั้งนั้น และต่างกันกับที่เถระสมาคมและปราชญ์ทางศาสนาพุทธในยุคนี้เขาเข้าใจ ซึ่งย้อนแย้งกับเขา อาตมาต้องมาตีย้อนแย้ง ปฏินิสสัคคะ
ที่อาตมาร้องเพลง กสิกรแข็งขันเป็นกระดูกสันหลังของชาติ อันนี้เป็นปฏินิสสัคคะใช่ เหมือนร้องเพลงเล่น เขาก็หาว่าอาตมาเป็นการติดร้องเพลง แต่ที่จริงเป็นจิต อภิปโมทยังจิตตังของอาตมา เป็นจิตเบิกบานร่าเริงของอาตมา เป็นจิตที่สบายแล้ว ทำกายสังขารรังปัสสัมภยัง จิตสังขารังปัสสัมภยังจบแล้ว จึงมี อภิปโมทยังจิตตัง จึงเบิกบานร่าเริงอยู่เสมอ
คนที่เข้าใจว่า นั่งหลับตา ถ้านั่งหลับตาแล้วจะต้องไปทำกายสังขารรังปัสสัมภยัง ทำไม เพราะว่านั่งอยู่แล้วมันไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย มันมีแต่ลมหายใจเข้าออกที่เหลืออยู่ 1 เดียวเท่านั้นใน 6 ทวาร อีก 5 มันไม่มี มีเหลืออีกสิ่งเดียวคือ กาย คุณจะขาดรอนๆแล้วนะ แล้วจะปฏิบัติธรรมอะไร กับสิ่งที่นิดเดียว รอนๆ ต้องมาปฏิบัติกับทวารทั้ง 6 เต็มๆสิ ปฏิบัติกับทวาร 5 นิดเดียวติ่งๆมันจะได้อะไรทั้งหมดเล่า ก็เข้าใจกันไม่รอบไม่ได้กัน อ่านพระบาลีพระพุทธเจ้าแล้วเข้าใจไม่ได้
ดี คนมีบารมีน้อยเข้าใจได้ขนาดนี้ อาตมาก็สบายใจ ถ้าคนมีบารมีมากก็เป็นอรหันต์กันแล้วตามจริง คุณเอาดีๆ เผลอๆ ก็รู้เสียแล้ว เราสำเร็จแล้วยังไม่รู้ พอนึกขึ้นมาก็สายเสียแล้ว ทำไม ที่จริงเราสำเร็จแล้ว ปัดโธ่! ลุกขึ้นมา สว่างแล้วทำไมยังมืดมิด มันสายแล้วยังมืดอยู่หรือ ก็คุณสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้นรู้ตัวก็ สายเสียแล้วอีก พอรู้ตัวก็สำเร็จเสียแล้ว คุณก็หมดไม่ต้องสาย ไม่ต้องมืดอีกแล้ว มืดแล้วต้องมีสว่างมีสาย พอสำเร็จแล้ว สายก็รู้สาย สุภกิณหา สายก็รู้สาย สว่างก็รู้ รู้สว่าง มืดก็รู้มืด มืดไม่ใช่นิโรธ
แต่ผู้ที่มิจฉาทิฏฐิ กายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน คำว่ามืด แต่มิจฉาทิฏฐิจะเห็นว่ามืดนั้นคือนิโรธ สัมมาทิฏฐิเห็นความมืดก็คือความมืดธรรมดา ตรงกันข้ามกับความสว่าง
เศรษฐศาสตร์แบบชาวอโศกไม่กลัวชาวโลกที่ขายของแพง
_*Aumporn Kul อัมพร กุล* · ของแพงชาวอโศกเดือดร้อนไหมครับ / แปลกผู้นำประเทศไทยส่วนมากจะรักประชาชนตอนหมดอำนาจ เป็นเพราะอะไรครับ
พ่อครูว่า… ไม่เดือดร้อนเลย จะปิดประเทศปิดสังคม อโศกไม่เดือดร้อน แต่ที่อื่นเขาเดือดร้อนกัน แต่อโศก สบม ทมด ปกต หห จจ ปกต หห จจ มชยลล คือ สัปปายะ ครบสัปปายะ 4 เพราะมีเสนาสนสัปปายะ มีบุคคลสัปปายะ มีอาหารสัปปายะและมีธรรมะสัปปายะ
สถานที่ เราก็สบาย เย็นนี้ก็เดินไปเห็นเด็กเราโดดน้ำ ตูมๆที่บุ่งเรา สบาย สนุกสนาน เด็กเขาก็มีที่เล่น ขนาดเราไม่เปิดน้ำตก ไม่เปิดน้ำตู้ด(สไลเดอร์ ) ไม่เปิดน้ำตกผาแหงน ไม่เปิดน้ำโตน เขาก็โดดน้ำเล่นสบาย เป็นสถานที่ เด็กก็อยู่สบาย ผู้ใหญ่ก็อยู่สบาย มี อาณาบริเวณที่ไม่ต้องมีรั้ว
อโศกไม่ต้องเสียสตางค์ค่ารั้ว ไม่ว่ารั้วไม้อ่อน ไม้ไผ่ รั้วไม้แข็ง รั้วไม้แก่น รั้วลวดหนาม รั้วกำแพง หรือรั้วเหล็ก ไม่ต้อง แค่รั้วคิดดูซิ ในหมู่บ้านในสังคมเขาเปลืองเท่าไหร่ ขนาดทำรั้วแล้วยังเอาเศษแก้วที่หักแตกเสียบข้างบน ทำรั้วเหล็กก็ต้องทำเป็นเหล็กแหลมเป็นลูกศรเสียบเข้าไปอีก มันหวงมันแหนมันกลัว เห็นความทุกข์ของคนมั้ย มันขี้กลัว กลัวเขาจะมาแย่งชิง กลัวเขาจะมาเบียดเบียน กลัวเขาจะมาอะไรก็ไม่รู้
ของแพงอโศกเราไม่เดือดร้อนเราเย็นสบายอบอุ่นดีด้วย
ที่ว่าแปลก ผู้นำประเทศไทยจะรักประชาชนตอนหมดอำนาจ ถามว่าเพราะอะไร
ตอนนี้อำนาจอยู่เขาไม่ได้รักประชาชนหรือ เขารักประชาชนนะ ผู้บริหารประเทศผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่ ทุกคนก็ทำงานเพื่อประชาชน แต่คุณมองอย่างไร ว่าเขาไม่รักประชาชน
แสดงว่า มันมีอะไรที่ทำให้คุณอัมพร กุล มองออกว่าเขาไม่รักประชาชนจริง
เพราะเขาไม่รู้ว่า เขาจะรักประชาชนหรือรักตัวเอง รักสมบัติของตัวเอง รักยศเกียรติ ของตัวเอง รักตำแหน่งหน้าที่ของตัวเอง คนนั้นเขาไม่รู้ เจ้าหน้าที่หรือนักการเมืองเขาไม่รู้ แม้แต่ข้าราชการก็ตาม เขาไม่รู้ มีแต่ ประชาชน 100% ไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่อะไร จะรักตัวเองก็ไม่ได้ประหลาดอะไร เพราะไม่ได้มีสัญญาว่าจะรับใช้ประชาชน จะเป็นผู้แทนประชาชนจะมาทำงานเพื่อประชาชน เขาก็เลี้ยงชีพของเขาไป ก็ไม่ได้ไปสัญญา คนก็ไม่ได้บอกว่า คนนี้จะรับใช้ประชาชน เขาก็หากินอย่างยากลำบาก เพราะคนก็เอาไปกองไว้กับตัวเอง มากมายเป็นหมื่นล้านแสนล้านเสร็จแล้วก็เอามีธนบัตรเยอะไปใช้ จะซื้อจะกินอะไรก็เอาไปใช้ แล้วคนจะตายอีกมากมายก็ไม่นึกถึง
การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้วยการทำให้คนมารวย หรือคิดว่าจะต้องหาเงินให้รวยไม่สำเร็จ แก้ปัญาหา เศรษฐกิจด้วยการตื้นตื้นแบบโลกียะ ที่จะทำให้คนรวยขึ้นมา นักเศรษฐศาสตร์ นักปรัชญา นักอะไรก็แล้วแต่ ยังเข้าใจไม่ได้ทั้งนั้น ว่า นัยยะสำคัญ ประเด็นที่ว่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจก็คือ จะต้องทำให้คนรวยขึ้นมาในสังคม ไม่มีทางทำสำเร็จเด็ดขาด อีกเมื่อไหร่คุณจะหลงตัวเองว่าคุณแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่สำเร็จอย่างไร เหมือนกับประเทศจีนขณะนี้ เหมือนกับว่าเขาแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ
อาตมายังไม่เก่งยังไม่สามารถมองรายละเอียดของประเทศจีนขณะนี้ที่เขาสงบบ้างแล้ว คนเขาเยอะเป็นพันกว่าล้านเขาทำให้สงบได้ จะเป็นเพราะเหตุปัจจัยอะไรบ้าง ละเอียดลออ
จะเพราะคนของเขาสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารกินเพียงพอ หรือว่า เพราะสร้างเทคโนโลยีของใช้อะไรต่างๆ มันขายดีพอ แล้วได้เงินทองไปเฉลี่ยกัน
แต่ที่จริงก็คือ สีจิ้นผิงนี่เก่ง เขาไม่โลภ เขาไม่กอบโกย เขาไม่โกงมาเพื่อตัวเองมาก และที่สำคัญก็คือสีจิ้นผิงเป็นคอมมิวนิสต์ที่ทำให้คณะบริหารของเขานี้ ทำเหมือนหัวหน้า คือสีจิ้นผิงทำ เพราะฉะนั้นคณะบริหารของจีนจึงได้รับการยอมรับจากประชาชนในประเทศ ศรัทธาและก็มองว่า คณะบริหารเขาไม่กอบโกย เขาไม่โกงกิน ก็ไม่โลภมากมาย แล้วเขาก็สอนให้ทำมาหากินให้ขยันๆ มีเศรษฐศาสตร์คือ ขายของให้ถูก จีนนี่ เขาชนะตรงนี้ เหมือนเราทำ(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท… จะเห็นว่าของประเทศจีนมาขายในประเทศไทยราคาถูกและทำได้ไม่ดี แต่ทุกวันนี้ทำได้ดีขึ้น ทุกวันนี้ของรอบตัวเราแทบไม่มีสิ่งไหนที่ไม่ใช่มาจากจีน ของใช้ต่างๆนานามาจากจีนหมด แม้แต่อาหารบางอย่าง ของจีน เข้ามาในประเทศไทย ขายไปทั่วโลก
พ่อครูว่า…สรุปแล้วที่บอกว่าประเทศไทยมีผู้นำที่จะรักประชาชนตอนหมดอำนาจ ง่ายๆ ผู้ที่บริหารประเทศหลงอำนาจและเบ่งอำนาจอย่างที่คุณว่า ผู้บริหารพอได้ตำแหน่งจะรักประเทศตอนหมดอำนาจ
เขาไม่ได้รักประชาชนตอนมีอำนาจ เขาก็รู้ว่า การช่วยประชาชน การรักประชาชน มันดีมันจริง แต่เมื่อเป็นคนได้อำนาจมีอำนาจหน้าที่ตำแหน่งบริหาร ก็กลายเป็นคนที่ไม่รักประชาชนจริง ก็เป็นเพราะเขายังโง่ ยังไม่รู้ สรุปง่ายๆ เขายังไม่มีปัญญาพอว่า ถ้าจริงมันมี one way มันมีความจริงอันเดียว มันไม่กลับไปกลับมาหรอก แต่นี่ บอกว่ารักประชาชน อยากได้อำนาจ แต่เมื่อได้อำนาจแล้วไม่ได้รักประชาชนจริง เป็นนักมายากลหลอกคน กลับไปกลับมา โดยไม่รู้ตัวเองว่าหลอกล่อกับหลอกตัวเอง กิเลสมันล่ออำนาจลาภยศสรรเสริญสักการะต่างๆ มันทำให้คนเลว มันทำให้คนหลง มันทำให้คนกลับกลอก ตลบตะแลงเป็นนักมายากล
_*ซึ้งซื่อ วิเชียร* : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าผมมีเรื่องในใจจะเล่าให้พ่อท่านฟังครับ
๑. ทุกวันผมได้ใช้ปฏิบัติศีล ๕ ในอธิศีลและศีล ๘ อยู่ครับ
๒. แล้วผมก็ระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเกือบตลอดเวลา
๓. ผมได้กินใช้อย่างรู้จักประมาณมาตลอด
๔. พอถึงเวลาตี ๒ ก็ตื่นขึ้นมาออกกำลังกายและสวดมนต์ปฏิบัติธรรม
๕. ผมเชื่อมั่นในพ่อท่านหลังจากพิสูจน์แล้วได้ผลที่ตน
๖. มีความละอายกลัวไม่ทำผิดกาย วาจา ใจ อยู่ครับ
๗. พยายามระวังกลัวไม่กล้าทำทุจริต กาย วาจา ใจ
๘. มีการฟังพ่อท่านเทศน์สอนเกือบทุกครั้งและเข้าใจบ้าง
๙. ผมพยายามทำความเพียรมาตลอด
๑๐. พยายามไม่ปล่อยตัวปล่อยใจอยู่ครับ
๑๑. รู้ว่าอันไหนเป็นกิเลสก็ไม่ทำ
๑๒. และผมขอสัมมาทิฏฐิว่า ๑ วิตกวิจาร ๒ ปีติ ๓ สุข ๔ และอุเบกขาด้วยครับ
กราบนมัสการด้วยความเมตตาครับขอให้พ่อท่านมีสุขภาพแข็งแรงอยู่กับพวกเรา
ไปอีกนาน ๆ ครับ
พ่อครูว่า…วิตกวิจาร มันเป็นองค์ธรรมของคนที่ปฏิบัติแล้วได้ฌาน ที่เขาปฏิบัติการทั่วไปทุกวันนี้เขาไม่ได้ ฌานวิสัยของพระพุทธเจ้า ในประเทศไทยนี้ยังไม่มี จะได้อธิบายในภายหลัง
การระลึกชาติ แบบอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์
_*เดชา อำพร* · เท่าที่เราฟังธรรมของผู้นำอโศกมาตั้งแต่เมื่อราว46ปีก่อน..
เราไม่เคยได้ยินท่านเล่าบอกเลยว่า..ท่านระลึกชาติได้ด้วยวิธีอย่างไร?..
พ่อครูว่า…คุณเดชา จะไม่รู้หรอกว่าการระลึกชาติอย่างอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ระลึกได้ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง หมื่นชาติบาง แสนชาติบ้าง เป็นกัปบ้าง เป็นคำสอนพระพุทธเจ้า ระลึกด้วยคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะ ไม่ได้ระลึกถึงเป็นตัวตนบุคคลเราเขา ถ้าไประลึกถึงตัวตนบุคคลเราเขาอยู่มันก็บ้ากันทั้งนั้น คุณเดชา ไปนึกว่า การระลึกชาติเป็นการระลึกถึงตัวตนบุคคลเราเขา ที่จริง มันเป็นปรมัตถธรรมทั้งนั้น แต่ไม่เข้าใจเป็นสมมติธรรม เป็นบัญญัติภาษา มันก็เลยเป็นตัวตนบุคคลเราเขาหมดเลย ยังอีกนานเนาะคุณเดชาจะเข้าใจสัจจะที่เป็นธรรมะ ถ้าไปอยู่กับอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ก็จะบอกว่า ไอ้ที่พูดนี้เป็นธรรมะหรือเปล่านะ ซึ่งที่พูดมายังไม่เป็นธรรมะเลย ยังติดในตัวตนบุคคลเราเขา พูดสมมุติธรรมอยู่ทั้งนั้นเลย
อาตมาระลึกชาติ เจอ ธรรมะอาตมาก็รู้แล้วว่าแปลว่าอะไรแล้วแปลไม่เหมือนเขาด้วย นี่ล่ะคือธรรมะ โดยอาตมาบอกว่าอาตมามีของเก่ามาแต่ชาติก่อน ก็มาบอกว่าธรรมะนี้คืออย่างนี้อย่างนี้ไม่เหมือนกับที่เขาสอน ไม่เหมือนที่คุณเดชารู้อยู่ยึดอยู่อย่างนี้แหละ ไม่เหมือน คุณฟังอาตมาเข้าใจได้ยาก ยังยาก คุณเอ๋ย
_คุณเดชา….(ต่อ) “นั่งหลับตา,ทำฌานฤาษี”แล้วระลึกชาติอดีตได้?..หรืออยู่ไม่อยู่,ลืมตาโพลงๆ..แล้วก็ปัง(แบบ”มหาบ.”)..รู้ขึ้นมาเอง.. อย่างนั้นหรือไม่?..แล้วระลึกเป็นภาพ,ภาพสี,หรือภาพขาวดำ?..และระลึกแบบ”มีเสียงพูด”แบบ”ภาษาบาลีในครั้งพุทธกาล”ด้วยหรือไม่?..เรายอมรับว่า..อยากรู้และอยากให้ท่านลองเล่าดูจริงๆเลยครับ..
ผู้นำอโศกท่านนิยมพูดบางเรื่องให้เป็น”ฮิวเมอริสต์”(ติดตลก)..
อย่างเรื่อง”การทำทานถวายทุเรียนกับพระ”แล้วจะไปถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้หรือไม่?นั้น.. เป็นความเชื่อ,มโนจิตของเขา.. ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าจะถึงหรือไม่ถึง?.. เขาจึงทำเผื่อไว้ก่อน.. อย่างน้อยก็ทำให้สบายใจเฉพาะหน้าแน่นอน..ไม่ใช่ว่าเขาจะโง่จนไม่รู้ว่า.. ทุเรียนจะกลายเป็น”กากอาหารในลำไส้ใหญ่”.. และต้องขับถ่ายออกมาเป็น”อุจจาระ”ในที่สุด..แต่เขาน่าจะมองว่า.. “แรงบุญหรือแรงใจหรือแรงกุศล”อาจส่งเป็น”สภาวะทิพย์”ของ”ทุเรียน”ไปถึงผู้ล่วงลับไปแล้วก็เป็นได้..
พ่อครูว่า…ไม่ต้องระลึกถึงแบบมหาบัวหรอก อาตมาระลึกถึงได้ง่ายๆ บรรยายมาตั้งแต่สมัยก่อนที่เขาเอามารีรัน บรรยายอยู่กับมหาเถระสมาคม บรรยายกับพระนิสิต พูดเร็ว แต่เย็นนี้ไม่ต้องเร็วขนาดนั้น ตอนนั้นไม่ต้องคิดเลย และไม่ได้รู้เอง แต่เป็นสยังอภิญญา
แต่คุณเดชาบอกว่า ระลึกเป็นภาพขาวดำหรือภาพสี แสดงว่าคุณระลึกเป็นบุคคลตัวตนทั้งนั้น มีทั้งเสียงพูดอีก อาตมาระลึกถึง เป็นภาษาบาลีได้ ระลึกถึงเป็นอนุสาสนีของพระพุทธเจ้าได้ อาตมาก็ระลึกถึงพยัญชนะเหล่านั้นได้ อาตมาเล่าให้ฟังแล้วว่า อาตมาเข้าใจไปไกลกว่าคุณ คุณยังต้วมเตี้ยม สับสนระหว่างธรรมะสภาวะกับตัวตนบุคคลเราเขา คุณยังไปยึดตัวตนบุคคลเราเขามาเป็นธรรมะอยู่เลย เพราะฉะนั้นจะอธิบายจะพูด คุณก็ยังเข้าใจไม่ได้ พูดไปอีก คุณก็ยังเข้าใจไม่ได้
ที่อาตมาสอน อธิบายต่างๆมา ตลอดเวลาที่อาตมามาบวชและทำงานมา 52 ปี อาตมาสอน อาตมาเล่า อาตมาสาธยาย อาตมามาพูดถึงสัจธรรม ที่เป็นปรมัตถ์เป็นโลกุตระทั้งนั้น คุณยังต้วมเตี้ยมงมงายวนอยู่ในโลกียธรรม เพราะฉะนั้นต้องพยายามหน่อย
สู่แดนธรรม… ส่วนมากคนแบบนี้ที่ได้ฟังอาจารย์วัดป่าที่บอกว่าเคยเกิดเป็นสัตว์ เคยเกิดเป็นคนในสมัยก่อนมากี่ชาติกี่ชาติ
พ่อครูว่า… เป็นตัวตนบุคคลเราเขาทั้งนั้น มันไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่อนุสาสนีปาฏิหาริย์ กลายเป็นสมมุติธรรมไป
อาตมามีจิต อภิปโมทยังจิตตัง มีจิตใจเบิกบานร่าเริงสนุกสนานอยู่เสมอ ไม่ใช่คนจิตใจเศร้าหมอง อาตมาเคยพูดแล้วพวกเราพ้น โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ แล้วจริงๆ จึงชื่อว่าอโศก ไม่เศร้าโศกแต่เบิกบานร่าเริงแต่ไม่ ร่าซ่า แบบทางโลกเขา หัวเราะจนกระทั่ง…
ที่คุณนึกมา เป็นคิดวิตถาร ที่ว่า มีสภาวะทิพย์ของทุเรียนไปถึงผู้ตายได้ มันเป็นอย่างไร สภาวทิพย์ มันเป็นตัวตนอย่างไร คุณเดชา อัมพร อาตมาอธิบายมามากแล้วแต่ก่อนนี้ว่า การส่งอะไรก็แล้วแต่ไปถึงผู้ตาย แม้แต่พยัญชนะบาลีก็ไปแปลว่า ปรทัตตูชีวกเปรต เขาแปลว่า เปรต ผู้รอรับส่วนบุญ กินของที่เขาให้ ก็ไปแปลเป็น magical เป็นสิ่งลึกลับ เป็นทิพย์ส่งไปให้
อาตมาก็อธิบายแล้ว จิตวิญญาณสัมภเวสี มันไม่มีปากไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายเลย ส่งทุเรียนไปแล้วมันจะไปกินอย่างไร มันไม่มีนะ จิตวิญญาณที่มีแต่จิตวิญญาณก็ไม่มีตา หู จมูกลิ้น กาย มันก็ไม่มีปากไม่มีลิ้น (สู่แดนธรรม… เขาว่ามีปากทิพย์)
คุณเดชาเรียนดูให้ดีๆ คุณมัวแต่เพ่งโทษจับผิดอาตมา ไม่ได้เรียนรู้หรอก คุณรินน้ำชาออกจากถ้วยให้หมดเกลี้ยงแล้วฟังอาตมา สุสูสังละภะเตปัญญัง ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา แต่ถ้าคุณยังฟังจับผิดขอยืนยันว่า
อาตมาเป็นอาริยะ เป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ ไม่ได้มีสิ่งแฝงเป็นความผิด พูดความจริงพูดความถูกต้องเสมอ ตั้งใจศึกษาให้ดีๆแล้วปิดการเพ่งโทษอาตมา นี่ไม่ใช่ไปบังคับคุณ แต่บอกวิธีที่คุณจะเจริญ ถ้าคุณทำได้ คุณเจริญเด็ดขาด คุณทำเป็นไหม แต่ก็ยาก คุณไม่ศรัทธาแต่มาเพราะคุณเข้าใจสิ่งที่ผิดเป็นถูก คุณก็เลยไม่ศรัทธาอาตมา
เมื่อไม่ศรัทธาอาตมาคุณก็ฟังสัตบุรุษไม่บริบูรณ์ เมื่อคุณฟังสัตบุรุษฟังเหมือนอาบน้ำกลัวเปียก คุณจะต้อง 1. คบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ 2. ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ 3. ให้เกิดศรัทธาที่บริบูรณ์ 4. โยนิโสมนสิการให้บริบูรณ์ 5.สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ 6. มีการสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ 7. ทำสุจริต 3 บริบูรณ์ 8. จะเกิดสติปัฏฐาน 4 9. จะเกิดโพชฌงค์ 7 10. จะเกิด วิชชา และวิมุติ นี่คือ คำสอน อวิชชาสูตร
สมณะฟ้าไท… คุณเดชา ฟังพ่อครูมากแล้ว วิจารณ์พ่อครูมาอย่างนี้ พอจะได้ประโยชน์ไหมครับ
พ่อครูว่า… หยุดเลย หยุดเพ่งผิด ตั้งใจจริง เชื่อว่าอาตมาถูกไว้ก่อน หมดไว้ก่อน ไม่เพ่งผิดเพ่งโทษ ซึ่งมันจะไม่มีทางเข้าใจหรอก
สภาวะของปฏิสัมภิทาและอภิญญา 6
_Paijit Detiger • ไพจิตร ดีไทเกอร์ …หลวงปู่มั่นท่านฝึกทั้งสมถะและวิปัสสนาหลวงปู่มั่นจิตไม่บริสุทธิ์และอ่อนแอตรงไหน…ท่านสมณะ..กล่าวแต่อักขระ..ก็เป็นไวยากรณ์แล้วสภาวธรรมเป็นอย่างไรน้อท่าน..เก่ง..อักขระ…แต่สภาวธรรมเป็นอย่างไร น่าจะสอนให้ทำอย่างไร…อย่างหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ…ท่านป่วยก็อัดเทปสอน..และให้เห็นสภาวะธรรมได้ด้วย…และไม่สอนให้ตำหนิผู้อิ่นท่านบอกอรหันต์บรรลุได้หลากหลาย..เช่นสุขวิปัสโก..เตวิชโช….เป็นต้นฯลฯ
พ่อครูว่า… พวกท่านเหล่านี้น ไม่มีอักขระสู้อาตมาไม่ได้สภาวะก็ผิดเพี้ยน อาจารย์มั่นก็ดีมหาบัวก็ดีสายลับตาเพี้ยนทั้งนั้น อาตมาสอนให้ทำอย่างไรพวกคุณเข้าใจไหมเอามาทำไหม …ทำ สำเร็จไปตามลำดับ
สภาวธรรม ตัวตนบุคคลเราเขาที่เขามี เป็นการออกนอกสัจจะไปเลยเป็นโลกียะเป็นเทวนิยม เป็นพวกทิพย์ทั้งหลายแหล่
ในพระไตรปิฎกในคำสอนพระพุทธเจ้าไม่เคยแบ่งพระอรหันต์เป็นสุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ เหล่านี้ไม่มี นั่นเป็นความคิดของพุทธโฆษาจารย์ที่เขียนคัมภีร์วิสุทธิมรรค หรือจะเอามาจากที่อื่นก็ตาม ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า
เขามีว่า
-
สุกฺขวิปสฺสโก (ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน — bare-insight-worker)
-
เตวิชฺโช (ผู้ได้วิชชา 3 — one with the Threefold Knowledge)
-
ฉฬภิญฺโญ (ผู้ได้อภิญญา 6 — one with the Sixfold Superknowledge)
-
ปฏิสมฺภิทปฺปตฺโต (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา — one having attained the Analytic Insights)
ในสุกขวิปัสสโก เขาว่า เป็นผู้ที่มีอภิญญา ไม่มีความเก่งจะเป็นฤทธิ์เดช อาเทศนาปาฏิหาริย์อะไรก็ไม่มี มีแต่ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ แบบ สุกขวิปัสสโก
หรือ ยิ่งเป็นความเฉลียวฉลาด ปฏิสัมภิทปัตโต ยิ่งไม่มีใหญ่เลย แต่ที่จริงสุกขวิปัสสโกนี่ เป็นผู้มีปฏิภาณไหวพริบแคล่วคล่องว่องไว ขออภัย เหมือนโพธิรักษ์
แล้วทีนี้แวะไปถึงอภิญญา และ ฌานลาภี อาตมาก็มี คือฌาน แบบที่คุณหมายคือแบบหลับตาเป็นฌานโลกียะ หลับตาเป็นฌาน อาตมาก็ทำมา อาตมาเล่นไสยศาสตร์มาถึง 8 ปี ตั้งแต่เป็นฆราวาส ตอนอาตมาบวชนั้นไม่ได้ทำหรอกแบบนั้น เพราะเข้าใจแล้วว่ามันเป็นโลกีย์ เป็นเรื่องเลอะเทอะ เพราะฉะนั้น จะทำฌานแบบนั้นหรือมีอภิญญาแบบนั้น อาตมามี อภิญญาแบบอิทธิเดช อาเทสนาปาฏิหาริย์ มีคนไข้คนป่วยมาอย่างนั้นอย่างนี้ หยั่งรู้ อะไรต่างๆนานา อาเทสนา
สู่แดนธรรม… ตอนพ่อท่านเป็นฆราวาส ส่งจิตไปหาเจ้าคุณนรฯตอนที่ท่านไม่ค่อยรับแขก อันนั้นก็หมายถึงเป็นวิชาของพ่อท่านใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ใช่ มี อาตมามี จะใช้อย่างนั้นก็ได้ แต่ มันไม่ใช่พร่ำเพรื่อ อวด ไม่ใช่ อาตมาใช้เพราะจำเป็น เรื่องนี้ไม่มีใครสามารถติดต่อเจ้าคุณนรฯ ได้เลย ท่านมีแต่ไปทำวัตรแล้วเข้ากุฏิ ไม่มีใครติดต่อได้ต่อไป ตอนฉัน เขาก็เอาอาหารมังสวิรัติไปให้ ก็อยู่ในกุฏิของท่าน ฉันเสร็จก็มีคนมาล้างภาชนะ เขาก็ไปเก็บให้ ท่านไม่ได้ไปบิณฑบาตอะไรเลย ไม่ได้ทำอะไรเลย มีแต่ไปทำวัตรเท่านั้น ไม่ขาดเลยด้วย ท่านไม่รับติดต่อ ไม่พูดไม่คุยทางโลกกับใครเลย
อาตมาเองอาตมาก็เลยลองกับท่านซิ ตามที่อาตมามีอย่างที่โลกเขามี ฤทธิ์เดชอย่างที่โลกเขามี ที่ว่าอาจารย์มั่น ฤาษีลิงดำ มันจะจริงเท่าอาตมาหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่อาตมาผ่านสัจจะพวกนี้เป็นตัวตนบุคคลเราเขาจริง
ตอนนั้นไปกับคุณสรวง น้องชายของนายแพทย์เสริม อักษรานุเคราะห์ เป็นเพื่อนกัน สรวงเขาเป็นศิษย์วัดเทพศิรินทร์ เขาก็เคยบวชที่นั่น ก็เลยพอรู้จักเจ้าคุณนรฯนิดหน่อยก็รับอาสาพาไป ไปถึงก็ว่า ทำยังไง ผมจะได้คุยกับท่านเจ้าคุณนรฯ มาแล้วจะได้พบหรือ ก็เลยไปดูที่กุฏิท่านซึ่งมี 2 ชั้น อาตมาก็ลองทำของอาตมา ท่านเจ้าคุณก็เปิดหน้าต่างออกมา ท่านอยู่ชั้น 2 คุณสรวงตกใจ อาตมาก็ไม่ได้อธิบาย เขาก็ไม่ได้ถามตอนนั้น บอกว่าทำยังไงให้เจ้าคุณนรฯเปิดหน้าต่างออกมาถามว่า มาทำไม
อาตมาก็บอกว่า อยากมากราบคารวะ ก็บอกว่ากราบคารวะที่บ้านก็ได้ อาตมาก็บอกว่าอยากจะมาคุยธรรมะกับท่าน ท่านก็บอกว่าอ่านจากพระไตรปิฎกก็ได้ ท่านจะปิดประตูทั้งนั้นเลย เสร็จแล้วอาตมาก็บอกว่า อาตมาได้ยินกิตติศัพท์ท่าน อยากจะมาคารวะท่าน อาตมาปฏิบัติธรรม อาตมาเป็นฆราวาสตอนนั้น อาตมาพูดไป จากนั้นท่านก็ลงมาจากชั้น 2 มาถึงข้างล่าง เปิดหน้าต่างชั้นแรก อาตมาอยู่ข้างนอกท่านก็อยู่ข้างในคุยธรรมะกันเป็นชั่วโมง
สุดท้ายก็ลากลับ ท่านก็บอกว่าขอให้บรรลุนิพพานไวๆนะ คุณสรวงเขาก็งง อะไรวะ พระมาอวยพรให้ฆราวาสบรรลุนิพพาน
เพราะฉะนั้น นี่เป็นหลักฐานต่างๆนานา คุณเดชา อัมพร เอ๋ย คุณไม่รู้ว่าอาตมาทำมาผ่านมาทั้งนั้น แต่ก็ คุณไม่เข้าใจ คุณก็ยังไปเข้าใจตามทิฐิของคุณ แบบผิดๆของคุณ แบบถูกๆที่อาตมาพูดแบบนี้ อยากให้คุณเข้าใจ สัก 10% 20% บ้างนะ
พ่อครูว่า… คนที่ตำหนิผู้อื่นได้ ต้องมีปัญญา ต้องมีสัจจะมีความจริง ต้องมี อาสโภ ก็มีความกล้าหาญ ความเข้าใจ ต้องมีความจริงที่มั่นใจ คนติคนอื่นแล้วโดนศอกกลับก็มีเยอะ อาตมาเดี๋ยวนี้ตอนนี้เขาก็เห็นเงียบไป ตอนแรกก็เห็นเถียง อาตมายืนยันด้วยพระไตรปิฎก ตอนนี้ก็เงียบเสียง
ประสบการณ์การปฏิบัติออกป่าของพ่อครู
__เกมเมอร์ PPSPP • ถามจริงๆเถอะ ท่านเคยแบกกดเข้าป่าธุดงบ้างไหม!.มรรคมีองค์แปดหนึ่งในนั้น(ก็มีสมาธิ)รวมอยู่ด้วยเป็นแนวทางที่พระท่านยึดถือปฏิบัติกันมาตามแนวทางมรรคผลเพื่อการหลุดพัน!แล้วมันผิดตรงไหนละ!การตอบ แบบแบกตำราก็ใด้ความรู้อยู่แค่ในตำรานั้นแหละ..
พ่อครูว่า… ตอบตรงนี้ก่อน ที่คนสงสัยอาตมาเคยทำมาหมด อาตมาเคยเข้าป่าเมืองกาญฯ ไปอยู่จนกระทั่งมีคนไปด้วย แล้วก็ขอ อาตมาว่า คุณอย่าตามไปนะ อาตมาจะขึ้นไป ยอดเขา ให้ไปสร้างกุฏิอยู่บนยอดเขา ตอนกลางคืนมา สัตว์มันออกมาหากินตอนกลางคืน ได้ยินเสียงมันร้องได้กลิ่นของมันตามเรื่องราว เราก็นอนของเรา.. นี่เล่าความหลัง เล่าสิ่งที่ได้ผ่านมาประพฤติมา แม้แต่ได้นั่งสะกดจิตนั่งทำฌานหลับตา อาตมาก็ทำมาหมดแล้ว
ไปอยู่วัดอโศการาม ทิ้งเรื่องข้างนอกแล้ว ก็ไปทำฌานนั่งหลับตา ฌานลืมตาอาตมาก็ปฏิบัติตามประสาอยู่แล้ว แต่อันนี้อาตมาก็ทำ นั่งหลับตาอยู่ภายนอกกุฏิแล้วให้ยุงทะเลมันมาเป็นก้อนๆ มันไม่ได้มาทีละตัวนะ มันรุม อาตมาทิ้งร่างข้างนอก ทิ้งความรู้สึกภายนอก ยุงมันก็กัดก็ไม่รับรู้ หลังจากนั้นเห็นรอยแดงไปทั่วเลย ก็ทำมาหมด ดีนะไม่เป็นโรคจากยุง ทำมาหมดแล้วนี่ไม่ใช่เล่านิยายแต่เล่าสิ่งที่เป็นจริงที่ทำมาให้ฟัง คุณฟังแล้วจะเชื่อกี่ % ก็แล้วแต่
อาตมาทำสิ่งเดียวกับพระพุทธเจ้า ที่ว่า อานนท์ เราจะตำหนิแล้วตำหนิอีก ไม่มีหยุด ผู้มีมรรคผลจะทนอยู่ได้ คนที่จะตำหนิคนอื่นได้จะต้องเป็นคนมีปัญญาและมีอาสโภ มีความกล้าหาญ คุณเอาข้อด้อยมาขายขี้หน้า อาตมาก็ย้อนให้สิ ขออภัยอาตมาไม่ได้ย้อน ด้วยความขุ่นเคืองอยากจะโต้ตอบ พูดถึงความถูก ความผิด ความจริง ความเข้าใจ
สู่แดนธรรม… เป็นธรรมชาติของผู้ที่มี อภิภุยใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ใช่
แล้วคุณไปมั่ว เอามรรคองค์ 8 ไปเป็นสมาธิ แค่นี้ เขาไม่เข้าใจหรอกในมหาจัตตารีสกสูตร ที่ พระพุทธเจ้าบอกว่า สัมมาสมาธิเป็นอย่างไร
สัมมาสมาธิปฏิบัติมีองค์ทั้ง 7 เป็นเหตุเป็นบริขารเป็นองค์ประกอบ ปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์จะเกิดสัมมาสมาธิ ฟังกันไม่ขึ้น ฟังกันไม่เข้าใจ หรือไม่ฟังสูตรนี้ไปฟังแต่สูตรอื่น อาตมาเคยถามว่า มีที่ไหนในพระไตรปิฎกให้นั่งหลับตาปฏิบัติ เช่น อานาปานสติสูตร ที่บอกว่ามีการนั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น แต่ว่าไม่ได้มีบอกว่าหลับตาหรือลืมตา แต่คุณเอาแต่หลับตา ทั้งที่ไม่มีในพระไตรปิฎกแต่คุณไปทำทำไม หลับตามันก็ผิดแล้ว ไม่มี คุณมาถาม
อาตมาก็ถามว่ามีในพระไตรปิฎกไหมที่บอกว่าให้นั่งหลับตาปฏิบัติ ถ้าคุณมีไหวพริบก็จะบอกว่าไม่มี เมื่อไม่มีแล้วคุณไปนั่งหลับตาปฏิบัติทำไม
สรุปแล้ว สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นให้จริงที่สุดก็คือปฏิบัติแล้วจะต้องมีจิต มีเจโตปริยญาณ 16 ซึ่งจะสมบูรณ์ด้วย อนุตตรังจิตตัง ที่ประกอบด้วย สมาหิโตและวิมุติ เป็นคู่สุดท้าย ตรวจสอบว่าเป็นสมาธิตั้งมั่นที่หมดอาสวะแล้วหรือยัง หมดอาสวะแล้วเป็นวิมุติที่มีเศษส่วนยังเหลือหรือไม่ ตรวจวิมุติอีก อาตมาพูดไปก็คงจะเข้าใจยากสำหรับผู้ที่มีภูมิยังไม่เข้าถึง ยังไม่เข้าใจสภาวธรรมอย่างนั้น
สู่แดนธรรม… คนนี้เขาว่าแบกกลด เข้าป่าธุดงค์ การทำสมาธิ
พ่อครูว่า… คำว่า ธุดงค์ มาจาก ธูตะ คือ หน่วยแห่งการปฏิบัติเคร่ง เป็นข้อปฏิบัติหรือศีลเคร่ง ที่พระมหากัสสปะมีธุดงควัตร 13 มันเคร่ง ท่านเป็นคนติดแบบเคร่ง แล้วท่านมีข้อปฏิบัติของท่านแบบนั้น แล้วก็เข้าใจว่า ธุดงค์คือการเดิน จะบ้าหรือ ธุดงค์มันไม่ได้แปลว่าการเดิน นอกจากนั้นเข้าใจธุดงค์ว่าคือการออกป่าอีก เดินเข้าป่าเดินธุดงค์เข้าป่า คือมันผิดเพี้ยนไปไกลมากเลย จะไปเข้าป่าทำไม ข้อปฏิบัติของพระพุทธเจ้าก็ลืมตาทำอยู่ในเมืองนี่แหละ องค์ข้อปฏิบัติก็คือจรณะ 15 วิชชา 8 ก็ปฏิบัติสิ ตามคำสอนพระพุทธเจ้า ตามอนุสาสนี แล้วไปเข้าใจผิดเพี้ยนเอง ความหมายของคำสอนผิดเพี้ยน คุณก็ไปยึดถือสิ่งที่ผิดตามกันมา อาตมาจับไม่ได้ว่ามิจฉาทิฏฐิมาไกลลิบตั้งแต่เมื่อใด มาถึง 2500 ปีกว่า ศาสนาพุทธผ่านมาไม่รู้ว่าผิดเพี้ยนเมื่อไหร่ จนไปยึดถือความผิดว่าเป็นความถูกกันเกือบทั่วโลก อาตมายกเว้นให้ว่ามันเกือบเท่านั้น จะหาสักคนว่าเข้าใจถูกไหม อาตมาก็ยังไม่พบ อาตมาไม่ได้ไปไหน อาตมาอยู่แต่เมืองไทย เมืองพม่าที่เป็นเมืองพุทธ ก็ไม่ได้ไปไม่รู้ว่ามีหรืเปล่า เมืองญี่ปุ่น เมืองจีนเขาก็มี โดยเฉพาะศรีลังกาเขาก็มีพุทธ อาตมาก็ไม่ได้ไปประเทศไหนเลย ก็เลยไม่รู้
แต่อาตมาก็มั่นใจของอาตมา และทำงานนี้มาตลอด 52 ปี ก็จะตายอยู่ในการสอนธรรมะนี่แหละ การเผยแพร่ต่อยอดธรรมะพระพุทธเจ้านี่แหละ
พวกคุณนั่นแหละได้แต่ในตำรา หรือในตำราก็ไม่ได้ แต่ไปได้สภาวะผิดๆ มรรคผิด มิจฉามรรค มิจฉาผล แล้วไปหลงมิจฉามรรค มิจฉาผล หลงว่าเป็นผล เช่นมหาบัวบอกว่าบรรลุแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายไม่เกิดอีกแล้ว พูดออกมาได้นะ แต่ไม่กล้าพูดว่าตัวเองเป็นอรหันต์ แต่บอกว่าไม่เกิดอีกแล้ว นี่คือประเด็นที่อาตมาจะว่าจับผิดมหาบัวก็ได้ ใช้โวหารภาษาพอฉลาดอยู่บ้าง รู้จักพยัญชนะ แล้วพยายามใช้ภาษาพยัญชนะ
แม้แต่ความขอบคุณก็ไม่ใช้ ใช้แต่คำว่าพอใจ พอใจ ไม่กล้าใช้คำว่าขอบคุณ กลัวจะเป็นกิเลส เขามาถวายอะไรมาช่วยอะไรก็ไม่ได้บอกว่าขอบคุณ ก็เลยบอกว่าพอใจ พอใจ
อาตมา ปฏินิสัคคะ หมดแล้ว พูดอย่างบัญญัติของโลก อนุโลมปฏิโลมกับเขา พูดไปไหนมาสามวาสองศอก พูดกับเด็กก็ใช้สำนวน ความรู้ขนาดนั้น พูดกับคนไม่ประสีประสาธรรมะแม้แต่คนโตก็พูดอย่างนั้น พูดกับคนที่มีภูมิรู้ประสีประสาทางธรรมบ้าง ก็พูดไปตามลำดับ
สมณะชาวอโศกไม่ฉันเนื้อสัตว์ จะเป็นสายพระเทวทัตจริงหรือ
_ทอส เข้ม • ท่านมาสายพระเทวะทัตมั้ยอะเพราะเทวะทัตเสนอให้พระพุทธเจ้าบัญญัติพระสงฆ์ห้ามฉันเนื้อสัตว์แต่พระพุทธองค์ไม่เห็นด้วย แล้วอยากถามท่านว่าพระพุทธเจ้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ด้วยวิธีไหน สมัยที่เรียนวิชาศีลธรรมก็สอนว่าพระพุทธองค์ตั้งสัตย์ว่าจะไม่ลุกขึ้นจากที่ประทับถ้ายังไม่ทรงสำเร็จมรรคผล ดีใจกับท่านที่สร้างวัดสวยไว้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวครับ ชอบแค่ตรงนี้
พ่อครูว่า… ที่คุณบอกว่าพระเทวทัตขอให้บัญญัติเป็นกำหนดระเบียบเลยว่าห้ามภิกษุของพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ พระเทวทัตก็ไม่ชัด พระพุทธเจ้าก็ไม่ฉันเนื้อสัตว์ ข้าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์อยู่ พระเทวทัตจะไปกล้าพูดกับพระพุทธเจ้าหรือว่าไม่ให้ฉันเนื้อสัตว์ แค่นี้ถ้าเข้าใจจะไม่มาแย้งกับอาตมาหรอก
ประวัติพระพุทธเจ้ากับเทวทัตไม่ฉันเนื้อสัตว์ พระเทวทัตก็เลยบอกว่า ทำไมไม่บัญญัติให้พระไม่ฉันเนื้อสัตว์ เพราะว่าพระเทวทัตก็รู้ว่าไม่ฉันเนื้อสัตว์มันถูก พระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อสัตว์ก็ถูก ก็เลยบอกว่าทำไมไม่บังคับเป็นพระวินัยเลยว่าไม่ให้พระภิกษุฉันเนื้อสัตว์
ที่พระพุทธเจ้าไม่กำหนดข้อนี้ก็เพราะว่าคนอินเดียเขาเข้าใจอยู่แล้ว ยิ่งมาบวชแล้วแม้แต่ศาสนาเดียรถีย์ ศาสนาอื่นเขาก็เข้าใจว่าไม่ฉันเนื้อสัตว์อยู่แล้ว มีกันเยอะแยะไป เพราะฉะนั้นเมื่อมันมีอยู่เยอะ จะไปตั้งกฎเกณฑ์ทำไม ก็เขารู้อยู่แล้วว่าไม่ฉันเนื้อสัตว์นั้นคือผู้ที่สูง ผู้ที่เจริญ พวกกินเนื้อสัตว์อยู่คือพวกยังไม่เจริญ
เพราะการไม่ฉันเนื้อสัตว์นั้นเป็นผู้ที่เข้าใจกรรมวิบาก เข้าใจว่าบาปนี้
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก