650620 อรหันต์คือมนุษย์พืชที่มีกายแต่ไม่มีกาย รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 42
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1yJpHX8r3pgik85kNZdD4OAphU5RcqRIvNSuM-WvyhqQ/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1DE_K3bkwsV5Gng-1gflaGH1nKRvAoXuK/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/PDclrZ2xCzo
และ https://fb.watch/dM3P1sm7ND/
_สู่แดนธรรม…วันนี้วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ผู้มีชื่อเสียง ในวงการศาสนาพุทธประเทศไทยผู้รู้ทางศาสนามักจะมองว่าพ่อท่านไม่มีลักษณะของ นักปฏิบัติธรรมเลย พ่อท่านก็บอกว่าในชาตินี้อาตมาไม่ได้มาบวชเพื่อปฏิบัติธรรมเลย แต่อาตมามาบวชเพื่อกอบกู้ศาสนา
พ่อครูว่า… เป็นความจริงอย่างนั้น อาตมาปฏิบัติธรรมเป็นโพธิสัตว์ หลุดพ้นจากความเป็นโลกียะมาเป็นอรหันต์ เป็นโลกุตระมาแล้วแต่ชาติปางก่อน ดังที่ได้พูดเปิดเผยมาแล้ว อาตมามาชาตินี้ไม่ได้มีครูบาอาจารย์ ไม่ได้มีสำนัก อาตมาเอาของอาตมามาเอง ที่ได้มาแล้วบรรลุมาแล้ว เป็นสมบัติของตนเองแล้ว มีจรณะวิชชาสมบัติมาแล้ว เอามาเปิดเผย เอามากอบกู้ด้วยซ้ำ
เพราะยุค 2,500 ปีนี้ ครึ่งหนึ่งของพุทธกัป ศาสนาพุทธได้เสื่อมไปอย่างหนักหนาสาหัะส โดยเฉพาะโลกุตรธรรม ศาสนาอื่นใด ก็ไม่ได้มีโลกุตรธรรมอย่างศาสนาพุทธ
โลกุตรธรรมนั้นเป็นธรรมะที่ดับสุขดับทุกข์ได้อย่างสนิท ของพระพุทธเจ้านั้นดับสุขดับทุกข์ คนในโลกนั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องการดับสุขดับทุกข์ที่จะเป็นอุเบกขา จิตเป็นกลางตลอดเวลา ไม่สุขไม่ทุกข์อยู่ตลอดเวลา แล้วก็จะมี อภิปโมทยังจิตตัง จะเป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบานร่าเริงอยู่ตลอด ไม่มีเศร้าสร้อยหงอยเหงา ซึ่งเป็นคุณวิเศษอันยิ่งของมนุษย์ ไม่ต้องไปทำ แต่เป็นอัตโนมัติเลย ได้แล้วเป็นอัตโนมัติในตัวเอง ไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องสังวรระวัง ได้แล้วจบถึงขั้นเป็นอัตโนมัติในตัวแล้วนั่นเอง
ที่อาตมาพูดไปนั้นเป็นคุณวิเศษที่เป็นสมบัติของพระพุทธเจ้า เป็นคุณสมบัติที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เอามาประกาศให้แก่มนุษย์โลกได้รู้จักรู้แจ้ง แล้วก็พิสูจน์กันจนกระทั่งถึงขั้น รู้จริง จบกิจเลย
*SMS* วันที่ 17-19 มิ.ย. 2565
_*บัว ลูกโพธิ์* · เราถามตัวเอง ว่าจำเป็นไหม ที่เราจะหาข้อดีของกัญชา ตอบตัวเองทันทีว่า ไม่จำเป็น เราก็รู้ว่า กัญชา ก็อยู่ในศีลข้อ 5 ส่วนใครจะวิจัยเอาไปใช้ในส่วนดี ยกให้กับ นักวิชาการเภสัช และแพทย์ สรุปเราควรให้ลูกหลานไปยุ่งเกี่ยวกับพวกนี้ไหม ไม่ควร เป็นอย่างยิ่ง ความคิดเห็นส่วนตัวค่ะ เมาอย่างอื่น เราก็เมามากอยู่แล้ว ดิฉันเทน้ำชาออกเหลือแค่ครึ่งถ้วย และมองด้วยใจเป็นธรรม ในส่วนของตัวเอง สาธุค่ะ / ดิฉันสังเกตเห็นนะคะ เอกลักษณ์ของคนอโศกอย่างหนึ่ง ไม่ว่านักบวชหรือ ฆราวาส ฟันแต่ละองค์ แต่ละคน เรียงแถวสวย แข็งแรง อย่างตอนนี้ นักบวชฟันสวย ดูแข็งแรง ไม่เหมือนคนทางโลก มีแต่ฟันปลอม เรียงสวย
พ่อครูว่า…อาตมานี่ฟันกราม เป็นฟันปลอม ใส่รากเทียม ส่วนฟันหน้าทั้งหมดยังอยู่ครบหมดเลย ตั้งแต่ฟันบักจก(ฟันหน้า) จนฟันเขี้ยว มีตัดประสาท เอาประสาทออก เพราะว่ามันจะเสียแล้ว มันปวดมันเจ็บก็เลยให้หมอเขาดู หมอเขาก็บอกว่าต้องตัดประสาท เขาก็เลยทำซะนานเลยกว่าจะเรียบร้อย ตัดประสาท ตกลงฟันบักจกนี่ ไม่มีประสาท เป็นตอฟัน นานมาแล้ว 50 กว่าปีมาแล้ว อยู่สบาย
_*ครู สา* · ไม่ได้อยู่ในชุมชนอโศกแต่ได้ความหมายในการใช้ชีวิตจากคำสอนของพ่อครูในการใช้ชีวิตประจำวันการงานกับการปฏิบัติธรรม(จบที่ตัวเรา)แม้บางอย่างยังทำไม่ได้แต่”ไม่หลุดครรลอง”
_*กิตติมา เอกมาไพศาล* · โยมได้มาอยู่บ้านราชธานีอโศก ตามที่วาดหวังไว้ แม้จะชั่วระยะเวลาไม่ถึงเดือน แต่มีความประทับใจในทุกอย่างที่ประกอบรวมเป็นบวรราชธานีอโศกค่ะ โยมจะสร้างโอกาสให้ตัวเองให้ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ทำงานรับใช้มวลมนุษยชาติร่วมกับหมู่กลุ่มชาวอโศก และได้ปฏิบัติธรรมที่ถูกตรงไปด้วยตามที่พ่อครู หมู่สมณะ และสิกขมาตุพาทำ กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า…ขอให้สมหวังดังที่ตั้งปณิธานไว้เร็วๆวัน
ชาวอโศกฝึกทำทานอย่างไม่มีความหวัง
_*ตุ๊ก อัศวิน* · ได้เห็นคลิปที่พ่อครูเมตตาแจกทุเรียนแก่ชาวบ้านแล้ว..ปลื้มปีติยิ่งนัก..เจ้าค่ะ ทึ่ง และ ประทับใจ ในดำริของพ่อครู..เรื่องการให้ ‘การให้.ไม่มีที่สิ้นสุด’และ ‘ผู้ให้…ย่อมเป็นที่รัก’ พ่อครูเมตตาและกรุณายิ่ง ท่านให้สัมมาทิฎฐิ….จนล่าสุดให้ทุเรียน..(ทุเรียนปันสุข คนละพู)..ช่างงดงาม เรียบร้อย เข้ากับกาละและเทศะ ยิ่งนักแล….เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…เราไม่มีทานที่จะต้องได้อะไรกลับมา
ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง
อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว
-
ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ
-
มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ
-
มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ
-
ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ
อโศกเราสอนเรื่องทาน ตัดเลยแม้แต่ สาเปกโข จะได้อะไรตอบแทนตัดไปเลย ไม่ต้องไปพูดถึงจะยินดีผูกพันในของที่ให้ หรือว่าจะสั่งสมเป็นสันนิธิ เป็นคลังของอัตตามานะ หรือว่าจะต้องเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขาอยู่ หรือเป็นเรื่องที่จะต้องตายไปแล้ว จะได้มีกินมีอยู่ ซึ่งมันเป็นนามธรรม จะไปกินวัตถุได้อย่างไร ที่เป็นวัตถุอยู่ในโลกใบนี้แล้วจะส่งไปในโลกนามธรรม เช่น ส่งทุเรียนไปให้ผู้ตายโดยผ่านพระ พระก็สวดมนต์ยะถาวาริวะหาฯ หยาดน้ำด้วยนะ ถามว่าทุเรียนออกจากท้องพระไหม (โยมว่าออก ตอนเช้า) ตอนเช้ามันออกไม่ใช่ทุเรียนนี่ เอาธาตุของทุเรียนไปสังเคราะห์ร่างกายเหลือแต่กากเศษกับก๊าซไข่เน่า
ศาสนาพุทธไม่ออกมีการแบ่งแยกด้วยความรู้ด้วยวิชชา
_คนเหนือฟ้า เอื้ออาทร •….กราบนมัสการค่ะ ท่านเทศคำสอนพระพุทธเจ้าพูดถึงแต่กิเลสทำให้คนฟังทุกคนที่ยังมีกิเลสอยู่เจ็บปวดเพราะเรามีกิเลสตัวนั้นอยู่จะมากหรือน้อยขึ้นแต่ละบุคคลที่ปฎิบัติได้ตามคำสอนพระพุทธเจ้า(ทำกิเลสตัวทิฐิมานะยากจังโดยเฉพาะการแบ่งเขาเราดีชั่วถูกผิดตัวอุปกิเลสนะค่ะ)
พ่อครูว่า… การแบ่งเขาแบ่งเรา มันเป็นการแบ่งด้วยความรู้ ด้วยปัญญา ด้วยวิชชา เขาคนไหนเขาปฏิบัติได้แล้ว ได้แล้ว ก็ยก เขาคนไหนยังปฏิบัติไม่ได้มันก็ต้องแตกต่างกัน มันไม่ได้ไปแบ่ง แต่มันก็แบ่ง ภาษามันแบ่งมันแยกให้ชัดเจนว่ามันต่างกัน แม้แต่ดีชั่วมันก็ยังต่างกัน แต่ผู้ที่ล้างกิเลส ไม่ใช่แค่แยกทำดีแล้วก็ไม่ทำชั่วให้ได้เท่านั้น ของโลกุตระของพระพุทธเจ้านั้นทำดีด้วยไม่ต้องทำชั่วให้ได้เด็ดขาดเที่ยงแท้ และต้องดับสุขดับทุกข์ อันนี้เป็นโลกุตระ ดีชั่วนั้นเป็นแค่โลกียะ
ศาสนาเทวนิยมไม่มีโลกุตระ ไม่ศึกษาสุขทุกข์ไม่ได้ดับสุขแน่นอนเด็ดขาดเลย เขาจึงวนเวียนอยู่กับ สุข-ทุกข์ นรก-สวรรค์ เป็นสิ่งที่แยกให้ชัดเจนว่าศาสนาพุทธนั้นต่างจากศาสนาอื่นๆที่เป็นเทวนิยมทั้งโลก ของพระพุทธเจ้านี้สมบูรณ์สุด
ที่เทวนิยมเขามีดีที่สุดอย่างไรศาสนาพุทธพาทำ ทำได้ แถมยังรู้จักจิต รู้จักพระเจ้า รู้จักวิญญาณ รู้จักอัตตา ดับสิ้น สลายเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม ไปได้เลย นี่เป็นสุดยอดของศาสนาพุทธ
เพราะฉะนั้นการเกิดมาเป็นคน และเลิกวนเวียนเกิดมาเป็นคนอีกเลย ตายแล้วสามารถทำปรินิพพานเป็นปริโยสานได้เลย สลายกิเลสได้ตามลำดับ
อนุปสัมบันคืออะไร ลืมตาปฏิบัตินี่แหละรู้ทั้งนอกและใน
_จาก *ห้องชมรมพุทธ* · ความดีมีละเอียด ควรวิเคราะห์แง่ดี แง่ลบแค่ภายในไม่ออกสื่อ(อวดอุตริฯกับอนุฯอยู่ร่ำไป) ต้องขอบคุณพ่อครูโพธิรักษ์ที่วิจารณ์อย่างท้าทายท่านอาจพลาดที่ตัดสินบนข้อมูลอันน้อยนิด พระสายอาจารย์มั่นอรหันต์เก้ โสดาก็ยังไม่ได้ สอนแต่เรื่องนั่งสมาธิหลับตา ผมไม่สนใจเรื่องพระรูปไหนจะเป็นอรหันต์ อรหมุน แต่สนใจพระวิจารณ์อย่างท้าทาย มันมีความจริงอะไรอยู่ในนั้น ทำให้ผมเปิดฟังพระสายอาจารย์มั่นที่มีอยู่ในยูทูปแทบทุกรูป โดยเฉพาะหลวงตามหาบัว พระที่น่าสงสารในสายตาพ่อครูโพธิรักษ์ ยิ่งฟังลึกเข้าไป ยิ่งเห็นแต่เรื่องเจริญปัญญาไม่สนับสนุนสมาธิหลับตาแม้แต่น้อย ยังตำหนิอีกต่างหาก
เมื่อฟังเรื่องที่ท่านสอนวิปัสสนาพระในระดับลึก ผมรู้สึกคล้ายท่านจูงมือผม ขี้ชวนให้ดูความจริงบางอย่างในตัวผมเอง และมันก็เป็นไปตามนั้น อาจต่างกันบ้างในรายละเอียด เพราะยืนคนละจุด แต่มันเป็นดอกไม้ดอกเดียวกัน
น่าเสียดายถ้าใครฟังการวิจารณ์แล้วเชื่อตามนั้น เขาจะพลาดโอกาสที่จะเรียนรู้สู่ภายใน จากคนที่ทุ่มชีวิตทั้งชีวิตให้กับธรรม
บ่อยครั้งที่เราตัดสินผู้อื่นด้วยข้อมูลเพียงน้อยนิด และผมเองก็อาจเป็นเช่นนั้น
พ่อครูว่า… ออกสื่อไปอาตมาเป็นโลกุตตรธรรมจริง และหาว่าอาตมา อวดอุตริมนุสธรรมกับอนุปสัมบัน แต่ขอยืนยันว่า อนุปสัมบัน ไม่มาเปิดดูช่องนี้หรอก เขาเปิดผ่านไปเท่านั้นแหละ แต่คนที่จะมาดูช่องนี้เป็นผู้ที่เป็น อุปสัมบัน เป็นผู้ใส่ใจ เป็นผู้มีภูมิความรู้พอที่จะรับได้ ส่วน อนุปสัมบันเขาไม่มาเปิดดูหรอก อาตมาพูดไม่รู้กี่ทีก็ยังไม่เข้าใจ เขาก็ขี้ตู่กับอาตมานั่นแหละ
อนุปสัมบันคือ ผู้ไม่มีภูมิพอจะรับธรรมะโลกุตรธรรมได้ อย่าไปเทศน์กับเขาเลย อย่าไปสนอย่าไปบรรยาย แต่มันก็ต้องเริ่มจาก อนุปสัมบันนี่แหละ ถ้าไม่เริ่มให้เขาได้ยินเลยมันจะได้อะไรขึ้นมา ต้องเริ่มให้มีหน่วยของโลกุตรธรรมเป็น อัญญธาตุ เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆหรือเขาก็ต้องพากเพียรฟัง คุณอย่าไปตัดรอนคนที่เขาควรจะได้ หรือคุณจะตัดรอนตัวคุณเอง เลยไม่ฟังอาตมาไม่ฟังโลกุตรธรรม เพราะซื่อสัตย์ต่อธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างมิจฉาทิฏฐิอยู่ว่า อวดอุตริมนุสธรรมออกสื่อบอกสอนต่อ อนุปสัมบันทำไมมันผิดจากคำสอนพระพุทธเจ้า
ฟังเข้าใจชัดขึ้นไหม เพราะฉะนั้นอย่ามาขี้ตู่ว่าอาตมาอวดอุตริมนุสธรรมกับอนุปสัมบัน ซึ่ง อนุปสัมบัน เขาไม่มาฟังอาตมาหรอกเขาก็เปิดผ่านเท่านั้น เขาไม่รู้หรอก อาจจะดูมาจับผิดบ้าง หรือจะดูอย่างตลกบ้าง หรือดูอย่างมนุษย์อาบน้ำกลัวเปียกแล้วมันจะได้อาบน้ำไหม
แต่เรื่องหลวงตาบัวน่าสงสาร อาตมาว่า จริงๆนะ คือตายฟรีไปชาตินี้เลย แล้วตั้งจิตไม่เกิดอีกแล้ว ตั้งได้ แต่สัจจะความจริงของคุณธรรม ของเราจะถึงขั้นไม่เกิดอีกได้หรือเปล่า อันนี้ต่างหากที่มันเป็นเรื่องจริง เมื่อยังไม่ได้เป็นอรหันต์จริง ยังมิจฉาทิฏฐิเป็นอรหันต์เก๊ มันจะไม่เกิดได้อย่างไร
อันนี้เทวนิยมก็ยังน่าสงสาร แต่ก็ยังน่าสงสารน้อยกว่าชาวพุทธอย่างมหาบัว เพราะเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าแต่กลับไม่ได้ เทวนิยมเขาไม่ได้เรียนก็น่าสงสาร แต่ก็น่าสงสารไม่มากไปกว่ามหาบัว เพราะว่าได้เรียนแท้ๆแต่ยังผิดพลาดไป หลงว่าตนจะไม่เกิดอีกแล้วซะอีก ป่านนี้คงจะเกิดเป็นอะไรต่ออะไรไปแล้ว อาจจะไม่ได้เกิดเป็นคนก็ได้ ไปเกิดเป็นอะไรต่างๆนานา
อาตมาไม่ค่อยได้ส่งเสริมเรื่องหลับตา พูดถึงอยู่ว่า หลับตาเป็นเตวิชโช หลับตาเพื่อพักผ่อน หลับตาเพื่อทบทวนธรรม แต่เราไม่ได้หลับตาเพื่อใช้จิตเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์
อาตมาเคยพูดและก็ใช้คำว่า หลับตานี้มีอุปการะมาก พูดกันนี้เป็นสำนวนในพระไตรปิฎกว่า นั่งหลับตา มีอุปการะมาก แต่ต้องสัมมาทิฏฐิ หากคุณจะนั่งอย่างมิจฉาทิฏฐิ นั่งอย่างหลงว่าเป็นหลักปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งมันไม่ใช่จรณะ 15 วิชชา 8 ฌานที่ได้จึงไม่ใช่ ฌาน ที่ได้จากจรณะ 15 วิชชชา 8 แต่เป็นฌานที่ได้จากการนั่งหลับตาสะกดจิต มันไม่ตื่นเลย
อปัณณกปฏิปทา 3 ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นผู้ตื่น เป็นผู้ที่มีการสำรวมอินทรีย์ 6 นั่นของพุทธ ไอ้หลับตามันไม่ใช่ ประเด็นแค่นี้ถ้าเข้าใจจะสะดุดเลยว่า หลงมานาน แล้วก็จะเกิด หิริ อย่างแรงกล้า ละอายอย่างแรงกล้า เกรงกลัวอย่างแรงกล้า เคารพอย่างแรงกล้า
ลืมตานี่แหละได้เรียนรู้ภายในคุณเอ๋ย เรียนภายในแล้วก็มีภายนอกเป็นอภิภูหรืออนุปคัมมะ จะเรียนรู้ภายนอกภายในพร้อมกัน นี่คือผู้บรรลุธรรมพระพุทธเจ้า หรือผู้จะปฏิบัติให้บรรลุธรรมพระพุทธเจ้า หากรู้แต่เพียงภายในระดับไม่รับรู้ภายนอกเลยนั่น ลงทะเลมหาสมุทรยะเยือกเย็นไปเลย ปลาฉลามกินหมด ไม่ได้เรื่องหรอก
ธรรมดาภายในต้องมีตลอดและภายนอกก็ต้องมีอยู่ตลอดในการปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า แค่ประเด็นแค่นี้เข้าใจกันไม่ค่อยได้ ต้องมี 2 สภาพทั้งนอกและในเรียกว่า กาย เห็นไหม เพราะฉะนั้นเมื่อเพี้ยนแล้วก็กลายเป็นเพี้ยนไป ไปเข้าใจว่ากายมีแต่เพียงภายนอก มิจฉาทิฏฐิขาดลอยเลย เป็นอวิชชาไปสนิทสนมเลย เป็นอวิชชาอย่างถนัดถนี่ไปเลย
ไฟฌานของพระพุทธเจ้าต้องเกิดจากการลืมตาปฏิบัติ
_k. เป็นกลาง • …อย่ายกพระสูตร แบบฟังไม่ได้ศัพท์จับเอามากระเดียด เพราะพระสูตรบางเล่มก็เป็นเนื้อเรื่องย่อ ปาราสิยะพรามณ์สอนวิธีแก้ปัญหาให้ลูกศิษย์ในการทำสมาธิ(อุตตรมาณพ)แบบชุ่ยๆว่า ก็ให้หลับหูหลับตาเสียโดยสถานเดียว พระศาสดาจึงแย้งว่าถ้า เช่นนั้นก็ไม่ต่างจากคนตาบอด หูหนวก
คล้ายลูกศิษย์มาฟ้องคุณแม่สิริว่า ข้างบ้านทำเสียงดัง รบกวนการทำสมาธิ เดินจงกรมฯลฯ ฯลฯ
คุณแม่ก็ย้อนถามว่าอยากหูดี หรือหูหนวก???….ถ้าอยากหูดีก็ภาวนาต่อว่าได้ยินหนอ ๆๆๆ…… แล้วปล่อยอารมณ์ไป…
พระสูตรนี้แสดงว่า อย่าสุดโต่ง….หลับตา ลืมตา เจริญพระไตรลักษณ์ได้ทั้งนั้น. ต้องผลัดกันทำ…เจริญพระไตรลักษณ์ขณะลืมตาเรียกลักขณูปนิชฌาน
แต่ถ้าทำขณะหลับตาทำฌาน ใช้องค์ฌานเป็นอารมณ์เรียกว่าอารัมณูปนิชฌาน
พระสารีบุตรใช้ทั้งสองอย่างรวมกันโดย พิจารณาไตรลักษณ์ขณะหลับตาทำฌาน คู่กันไปเลย ถือเป็นอุภโตภาค— หาได้ยากยิ่ง
ถ้าเป็นมนุษย์สุดโต่ง..ลืมตาโดยไม่หลับเสียบ้างจึงทำให้กลายเป็นพวกสติเฟื่อง อยู่จนทุกวันนี้
พ่อครูว่า…อาตมายกพระสูตรมาอย่างได้ศัพท์ ไม่ได้จับเอาไปกระเดียดอย่างคุณว่า
คนนี้ยกตัวอย่างว่าวันนี้เราได้กินทุเรียน เท่ากับเราได้ไปว่ายน้ำ พูดคนละเรื่องเลย เอามาเปรียบเทียบ เอามาชนกัน เอาฝากับตัวคนละอันมารวมกัน ฝาก็อย่างหนึ่ง ตัวก็อย่างหนึ่ง เลย
คุณก็สติเฟื่องนั่นแหละ อาตมาทำทั้งหลับตาและลืมตา เวลานอนอาตมาหลับตา พิจารณาธรรมอยู่เยอะ ดีไม่ดีเกือบตลอดทั้งคืน จะไม่พักเอา นี่เรื่องจริงเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นลืมตาก็ทำสิลืมตานั้นของแน่นอนต้องทำรับตาก็ทำ หลับตาเมื่อไหร่อาตมาก็อยู่การคิดพิจารณาธรรมโดยตรวจสอบธรรม เพราะฉะนั้นจะไปเดาจิตของผู้ที่เป็นอภิภู ท่านแปลกันว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่ คือผู้ยิ่งใหญ่ที่โตกว่าเราจริงๆ มันเดาไม่ได้หรอก คนที่ไม่ได้ถึงขั้นนั้น คุณก็ได้แต่เดา ได้แต่จินตนาการ เดาส่งไปเรื่อย ตั้งใจฟัง ตั้งใจศึกษาให้ดีๆ
อาตมาวิจัยวิจารณ์ไปใครฟังแล้วไม่ชอบใจก็ขออภัย อาตมาอธิบายตามจริง
คนที่ไม่เชื่อถืออาตมา ฟังแล้วเขาจะหมั่นไส้ นอกจากพูดแล้วไม่เห็นเหมือนอย่างที่เขาเห็นและเขายังหมั่นไส้ที่ยังอวดตัวตนอีกด้วย
อาตมาอธิบายไปหลายทีแล้วว่า อาตมาจำเป็นต้องบอกว่าอาตมาเป็นผู้บรรลุธรรม เป็นสยังอภิญญา เป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ จำเป็นต้องพูดเพราะศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้เขาไม่รู้เรื่องเหล่านี้แล้ว เขาไม่รู้จักการบรรลุธรรม เขาไม่รู้จักการเป็นอรหันต์ เขาไม่รู้จักกันเป็นโพธิสัตว์ เขาไม่เชื่อด้วยซ้ำไปว่าจะมี
ยิ่งมาอธิบายว่าเป็นทั้งอรหันต์ เป็นทั้งโพธิสัตว์ เขายิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่ เพราะมันเสื่อมไปจริงๆเลยศาสนาพุทธ อาตมาต้องพูด ต้องบอกว่า ตัวเองนี่แหละ มีธรรมะอรหันต์โพธิสัตว์ มีจริงๆ แล้วยืนยันอธิบายเอาพระไตรปิฎกมาขยายความมายืนยันด้วยหลักฐานอ้างอิง แล้วพาพวกคุณปฏิบัติ บรรลุธรรมเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ยืนยันจริงๆ อรหันต์ มีแต่ในชาวอโศกนี่แหละ ที่อื่นไม่มี ที่อื่นมีแต่อรหันต์เก๊
ขออภัยที่พูดความจริง ตั้งใจฟังด้วยดีจะเกิดปัญญา สุสูสัง ลภเต ปัญญัง ไม่งั้นก็จะมีแต่ เฉโก ความฉลาดแบบโลกโลกีย์ซึ่งปัญญานั้นเป็นความฉลาดแบบโลกุตระ อธิบายไปมากมายก็ยังยากที่จะเข้าใจ
ธรรมะพระพุทธเจ้ายากจริงๆเป็น อจินไตย พุทธวิสัย แม้ฌานวิสัย ก็เป็นเรื่องยาก
คนเข้าใจแค่ฌานวิสัยแบบโลกีย์ แบบเดียรถีย์ แบบเทวนิยมที่สะกดจิตเป็นฌาน
ฌาน ของพระพุทธเจ้านั้นไม่ต้องหลับตาปฏิบัติสะกดจิต แต่ปฏิบัติ ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 จะเกิดฌาน 1- 4 ตามจรณะ 15 พูดไปอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เพราะภูมิ ไม่ถึง ถ้าภูมิถึงจะเข้าใจ หรือ บางคนอาจจะต้องฟังหลายทีจึงเข้าใจ เพราะปัญญาข้อที่ 2 ต้องฟังแล้วฟังอีกต้องไปถามไถ่แล้วถามไถ่อีก
แม้ได้ฟังแล้วเป็นปัญญาข้อที่ 1 ได้ฟังจากพระโอษฐ์ก็ดี ฟังจากสัตบุรุษก็ดี ฟังจากผู้ที่มีภูมิในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิก็ดี ในปัญญาข้อที่ 1 ก็ต้องเข้าไปฟังแล้วฟังอีก ให้บริบูรณ์ ในอาหารของอวิชชา ในอวิชชาสูตร
-
การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์
-
การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
-
ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์
-
การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
-
สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
-
ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
-
สุจริต 3 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์
-
สติปัฏฐาน 4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .
-
โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์ (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61)