650617 อานาปานสติอย่างพุทธ ไม่มีนัตถิกทิฏฐิ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1_U0KT9P9Ctc7Ht3hwmDnfTRO2mxPyh0dSuwPMlaHaVk/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/15JwWmsQ4b_d_z7Kx6MujkpvsFFg6syXV/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/i_8IcQ8-5qU
และ https://fb.watch/dI6uNtmanm/
สมณะเดินดิน… วันนี้วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงโควิดทำให้เราปิดหมู่บ้าน ทำให้ลงหลักปักฐานกันได้ดี แต่ตอนนี้การ์ดก็ตกกันมากแล้ว เขาถือว่าเป็น เหมือนโรคหวัดแล้ว แต่ก็อันตรายสำหรับคนที่มีความเสี่ยง พวกเราควรระมัดระวังต่อไป เพราะพวกเราเป็นครอบครัวใหญ่ อยู่กันหลายร้อยคน ติดคนเดียวอาจลามไปยกหมู่บ้านได้
พ่อครูว่า…เราก็มีอะไรจะให้ยิ่งกว่าทุเรียนอีกนะ แต่เราให้ก็มีขีดจำกัดของมันให้เท่านี้เท่าที่จะแจกกันได้ ถ้าเรามีมากกว่านี้ก็แจกได้มากกว่านี้ เรากินบ้างแจกบ้าง
ที่จริงว่ากันไปแล้วพวกเราก็ไม่กินกันเต็มที่ทั่วถึงเท่าไหร่หรอก คนเป็นหลายร้อยอยู่ แต่เราก็ต้องฝึกแจกด้วย พวกเราบางทีก็ต้องหัดลดหัดอดอะไรบ้างก็ว่ากันไป หมุนเวียนกันไป เพราะมันมีหมุนเวียนมาเรื่อยๆ กว่าจะหมดฤดูกาล เป็นร้อยลูก ก็พอถูไถ เฉลี่ยแล้วก็คงจะถึง 500 ลูก ได้กินกันคนละลูก เพราะว่าคนอยู่ประมาณ 500 คนขนาดนี้
*SMS* วันที่ 15-16 มิ.ย. 2565
กโลบาย กับกุสโลบาย ต่างกันอย่างไร
_เดชา อำพร · การ”เสียรู้(ถูกหลอก)แล้วทำทาน”อาจทำให้”ทานของเรา”ถูกนำไปใช้ในทาง”ผิดศีลธรรม”ก็เป็นได้ครับ…จึงไม่ควร”เสียรู้ในการทำทาน”ด้วยประการทั้งปวง..
นี่แหละทำไมจึงบอกว่า”พุทธอาจเป็นแค่ปรัชญา”ที่มักถูกค้านแย้งได้อยู่เสมอ..
แม้พระพุทธเจ้าก็ใช้”กลเม็ดหรือแท็คติก”ที่เรียกว่า”กโลบาย”หรือ”กุศโลบาย”ต่อ”เทวทัต”ในหลายๆชาติ.. เช่น การตีมือที่กำทรายของเทวทัต และไม่คืนนกที่บาดเจ็บให้กับเจ้าของนกคือเทวทัต เช่นเดียวกัน นั่นไง..
ผู้นำอโศกก็ใช้กลเม็ด(แท็คติก)ที่พูดว่า”อาตมาไม่ขอตอบใดๆ” เช่นเดียวกันนั่นไง..
แต่พระเยซูไม่ใช้กลเม็ดหรือแท็คติก จนต้องถูกจับไปตรึงกางเขน นั่นไงล่ะ..
รวมทั้ง”คานธี”ก็มีการ”ประท้วงแบบตรงๆ”(เดินไปให้เขาตีแล้วไม่สู้).. ไม่ใช้กลเม็ดหรือแท็คติกใดๆ.. และที่สุดถูกพวกเสียผลประโยชน์ยิงตายไงล่ะ
พ่อครูว่า…คุณจะนิยมชมชื่นฝ่ายไหนอย่างไร อาตมาก็ไปละลาบละล้วงของคุณไม่ได้หรอก คุณจะชื่นชมฝ่ายไหนก็เลือกเอา แยกง่ายๆ สัทธานุสารี หรือธัมมานุสารี หรือสายศรัทธากับสายปัญญา อาตมาเป็นสายปัญญาโดยตรง สายเดียวกันกับพระสมณโคดม ส่วนคานธีหรือพระเยซูเป็นสายศรัทธา ไม่ใช่สายปัญญาโดยตรงอย่างอาตมา ก็เป็นธรรมดาเพราะว่าสายปัญญากับสายศรัทธาพระพุทธเจ้าแบ่งไว้ชัด มันเป็นเรื่องของจริต เป็นเรื่องของแต่ละคนสั่งสมเป็นตระกูลเลย เป็น DNA ปัญญากับ DNA ศรัทธา เป็นอย่างนั้นมาแต่ไหนแต่ไร ในโลกก็มี 2 ชนิด คนก็มี 2 ชนิดใหญ่ๆนี่แหละ
อย่างสายศรัทธาเป็นเทวนิยม มีเยอะ สายปัญญานี่ อเทวนิยม รู้แจ้งรู้จบในเทวะ แล้วก็ไม่ติดใจในเทวะ สูงสุดถึงขนาดนั้น มีปัญญา
เพราะฉะนั้นคนที่จะมีปัญญาสูงสุด จนกระทั่งถึงขั้นเข้าใจคนมี 2 ตระกูล แล้วก็เห็นใจเขา อนุโลมปฏิโลม แต่ก็รู้ว่าคนตระกูลปัญญาสูงกว่าศรัทธา หรือเทวนิยมโดยตรง
สายศรัทธาโดยตรงจะเลือกเอา เลือกเอาการซื่อๆอย่างเดียว ไม่มีแทคติกหรือกุศโลบายหรือกโลบาย
ก็ขอขยายคำว่ากุศโลบาย หรืออุบายที่เป็นกุศล ถ้ากโลบายนี้ไม่ใช่กุศล เป็นคำกลางๆ เป็นกล กโลบาย แต่กุศโลบายถือเป็นกุศล กุศลโดยตรงแปลว่าฉลาด แปลว่าดีงาม
อุบาย บาลีคือ อุปายะ แปลว่าหนทางหรือวิธี ผู้มีปัญญาก็จะใช้หนทางหรือใช้วิธีที่ฉลาดหรือที่ดีงาม อุบายโกศลคือวิธีของคนผู้มีปัญญา จะใช้วิธีหรือหนทางที่ดีงามหรือฉลาด
ก็เข้าใจจิตที่เป็นกุศล คุณก็สะอาดดีในความเป็นกุศล อกุศล ในความเป็นโลกียะ เราก็เลือกกุศล ไม่เป็นอกุศลเด็ดขาด เพราะว่าเป็นผู้ซื่อสัตย์สุจริต รู้กุศล อกุศล และไม่ทำอกุศลเด็ดขาด
ส่วนคนที่ไม่ซื่อสัตย์ ไม่สุจริต เขาก็ใช้อุบายอกุศล ใช้กลเม็ดแทคติกอะไรที่คุณว่ามานี้แน่ๆ เพราะฉะนั้นมันก็มีความจริงใจจริงจังที่ต่างกันแน่นอน
ที่นี้คุณจะเอายังไงก็ตามแต่คุณจะชอบ ส่วนคุณจะไม่ชอบอย่างไหนเลย จะเหลาะๆแหละๆ ไม่เอาอย่างนั้นอย่างนี้ให้เด็ดขาด คุณไม่มีที่จบในตัวเอง นาน คนพวกนี้ก็เป็นคนพวกวิริยาธิกะ จะใช้เวลานานถึง 80 เท่า ถ้าเป็นปัญญาจะใช้เวลาประมาณ 20 หน่วย ส่วนศรัทธาเขาก็ใช้ความตรงของเขาจะใช้เวลานานถึง 40 หน่วย 40 เท่า ส่วนวิริยาธิกะ เหลาะๆแหละๆใช้ เวลาถึง 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป จะจบไม่จบแหล่
ก็ไม่เป็นไร อาตมาว่าก็ขอมองตามประสาอาตมาว่า ผู้ที่ใช้นามว่า เดชา อัมพร และโพสต์มาตลอดเวลา ก็ดีนะ ให้เราได้คิด ได้รู้ว่าโลกจินตา การคิดของชาวโลกมันสารพัดสารเพ จะคิดอะไรก็ได้ บ้าๆ บอๆ บวมๆ บางทีเราก็เหนื่อยเหมือนกันกับพวกที่คิดว่าบ้าๆบอๆ จะไม่โอภาปราศรัยเสียเลยก็ไม่ได้ ก็เลยพูดบ้าง เอาละ สำหรับวันนี้ คุณเดชา อัมพร ก็ขอบคุณ ส่งมาอีกนะ มีแง่คิดอะไรดีๆ และคุณก็ศึกษาดีๆ ปฏิบัติด้วย แล้วหาสัมมาทิฏฐิให้เจอ แล้วก็มุ่งมั่นตามสัมมาทิฏฐิที่คุณแน่ใจ อันนี้มันบังคับกันไม่ได้ คุณก็ต้องเลือก คุณไปเลือกสัมมาทิฏฐิผิด คุณไปหลงมิจฉาทิฏฐิว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ อันนี้ก็ได้แต่สงสารเท่านั้นเอง ก็ขอให้คุณเลือกสัมมาทิฏฐิได้ถูกต้องนะ จบตรงนี้ก็แล้วกัน
_ช่อทิพ หนูทอง · อยากไปอยู่บ้านราช จัง
พ่อครูว่า…ขอเชิญมาได้ มีหลักเกณฑ์ถือศีล 5 รับประทานอาหารมังสวิรัติ ไม่มีอบายมุข ก็มาได้ในชุมชนชาวอโศกทั่วประเทศ
_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม · กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง เห็นพ่อเมตตาตอบ คอมเม้นท์ของผู้ทีเขียนถามทุกคำถามไม่ว่าชมหรือติ พร้อมตอบด้วยความเมตตา กราบสาธุค่ะ
_Bua Lukpho บัว ลูกโพธิ์* · ดิฉันกินมังสวิรัติ ไม่ได้กินของปลอมแล้วแต่กินโดยใช้กะทิแกงปรุงรสให้ดี โดยใส่ถั่วทุกถั่ว กินกับผักสด เพราะติดรสอย่างคนภาคกลางกินค่ะ ยกเว้นน้ำพริกเผ็ด ๆ ไม่เอาเลย ทำน้ำพริกต้องไม่เผ็ด จึงจะอร่อย เพราะติดรส และอีกอย่าง จะไม่นึกถึงเนื้อสัตว์ / เมื่อก่อนรู้แต่ว่า การไปทำบุญ ทำทาน ตักบาตร ที่บ้านนอก เป็นการได้บุญแล้ว แต่มาสะดุดใจเมื่อตอนไปเที่ยวไหว้พระ 9 วัด ที่จ. อยุธยา จองตั๋ว ขสมก. จัดไป ดูสนุกสนานมาก เพราะไปเที่ยวเป็นกลุ่ม ๆ กับเพื่อน มีพระวัดหนึ่ง มาถึงบอกกับกลุ่มเราว่า ให้ทำบุญ คือ พุทธัง เอาสตังค์ ใส่ตู้ ธรรมัง เอาสตังค์ใส่ตู้ สังฆัง เอาสตังค์ใส่ตู้ คราวนี้ วงแตกเลย จะไม่ให้ ถ้าคนอื่นมาแนะนำอย่างนี้ ….ประสบการณ์อย่างไร้สาระค่ะ
กฐิน-ผ้าป่าตามพระธรรมวินัยเป็นอย่างไร
_วรวุฒิ สีแก่ว
ผ้าป่าและกฐิน มันเป็นวัฒนธรรมทางศาสนา ไม่ใช่มาจากหลักคำสอน ต้องแยกให้ออก ไม่มีอะไรถูกสองด้าน ยกตัวอย่างชาวอโศกให้ผู้หญิงบิณฑบาตเหมือนพระยิ่งผิดร้ายแรง ส่วนตัวมองเห็นแต่มานะตัวตนในตัวชาวอโศก
พ่อครูว่า…ก็ไม่เป็นไรก็พยายามศึกษาตามๆกันไป
ขอพูดถึงเรื่องผ้าป่าและกฐินก่อน ที่บอกว่ามันเป็นวัฒนธรรมทางศาสนาก็ใช่ แล้วบอกว่าไม่ใช่มาจากหลักคำสอน ต้องแยกให้ออกว่าอย่างนั้นนะ
อันนี้ก็ขออธิบายแสดงความเห็นร่วมกับคุณวรวุฒิ สีแก่ว
ผ้าป่าและกฐิน อยู่ในพระวินัยเลย เป็นวัฒนธรรมทางศาสนาจริงๆ ต้องเข้าใจให้สัมมาทิฏฐิ
ผ้าป่าเป็นผ้าที่เขาทิ้งแล้วเรียกว่า ผ้าบังสุกุล แปลว่า ของเขาทิ้งแล้ว ทิ้งขว้าง เช่น ผ้าห่อศพเป็นต้น หรือผ้าที่เขาทิ้งแล้วไม่มีเจ้าของ ไม่มีผู้แสดงตัวเป็นเจ้าของแล้ว เลยเรียกว่า ผ้าบังสกุล ผ้าที่ไม่มีเจ้าของ ก็ต้องไม่มีผู้เป็นเจ้าของมายืนยันให้คนอื่นรู้ พระพุทธเจ้าตรัสเขตไว้อย่างนี้
ผ้าอันนี้ไม่มีเจ้าของแล้วเราก็รู้ชัดว่าไม่มีเจ้าของ เป็นผ้าที่เขาทิ้งเด็ดขาด ไม่มีใครเขามาตู่เอาคืนแล้ว ถ้าผ้านี้ยังมีเจ้าของแล้วมายืนยันว่าทอดผ้าป่า ซึ่งมีเจ้าของอยู่ทนโท่ อย่างนี้ไม่ใช่ผ้าป่า อันนี้มันผ้าขี้ตู่ เป็นผ้าที่มันไม่เข้าท่า มันเรื่องวินัย มันผิดวินัยแล้ว ผ้าป่าสามัคคีขี้หมาอะไร มันออกนอกรีต นอกธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ผ้าป่าเป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของ เป็นผ้าที่เขาทิ้งไว้แล้วจริงๆ ถ้าผ้านี้ยืนยันว่ามีคนเป็นเจ้าของ ฉันหามาเป็นต้น คนที่มีเงินมีทองมีสิทธิ์จะซื้อหามาถวายพระได้ เป็นผ้าที่มีเจ้าของ ต่างกันกับผ้าป่า
เดี๋ยวนี้เอาคำว่าผ้าป่ามาทอดกัน คือ ผ้าป่า จะหาได้เป็นผ้าที่เขาทิ้งและไม่มีเจ้าของเก็บเท่าไหร่ก็ได้ ไม่มีกำหนดเวลา ไม่มีลิมิต ไม่มีจำกัด
ต่างกันกับผ้ากฐิน คือผ้ามีเจ้าของ ไม่ใช่ผ้าป่า กฐินเป็นผ้าที่มีเจ้าของ แม้จะไปเก็บผ้าบังสกุล ผ้าที่เขาทิ้งแล้ว ได้มา เอามาเย็บ กฐิน แปลว่าสะดึง ใหญ่ๆ ผ้าที่เขาทิ้งแล้วมันไม่มีผืนใหญ่เต็มจีวรผืนเดียว ผ้าห่อศพไม่ได้ผืนใหญ่ขนาดนั้น จีวรผืนนึงนั้นกว้างยาวไม่ใช่น้อย
นางวิสาขา เป็นต้นบัญญัติไปขอพระพุทธเจ้า ให้ผู้มีเงินมีสตางค์พอจะซื้อผ้าจีวรไตรจีวร 3 ผืนนี้ถวายพระได้ ถือว่าเป็นผ้าคหบดี พระพุทธเจ้าก็อนุโลม เพราะฉะนั้นกฐินทอดได้ มีเจ้าของมายืนยันได้ ให้เวลาทอดกฐินได้แค่ 1 เดือนออกพรรษา เลย 1 เดือนไปก็ทอดกฐินไม่ได้ ทอดได้ในเวลา 1 เดือน แล้ววัดหนึ่งทอดได้ 1 เจ้า มากกว่า 1 เจ้าก็ไม่ได้ ไม่ได้มีเงินมีทองมาเกี่ยวอะไร มีแต่ผ้า เดี๋ยวนี้ผ้าป่าก็เป็นเงิน กฐินก็เป็นเงิน หาวิธีหาแทคติกที่จะหาเงินให้ได้มากที่สุดโดยเลี่ยงบาลีกันไป บาปกินหัวกันเลอะเทอะ
อาตมาเริ่มต้นทำงานศาสนามา ตอนแรกก็ให้เขาทอดกฐิน มันไม่เป็นไปเลย อาตมาก็เลยทอดกฐินแค่ครั้งเดียว มันเละเทะไปหมดเลย มันไม่เข้าเรื่องเข้าราว เป็นกระทะทองแดง อาตมาใช้คำว่า ทอดกระทะทองแดง พวกเรานี่แหละจะหาแต่เงิน ถ้าขืนทำอันนี้ขึ้นมาไปหาแต่เงิน เสียศาสนา เสียธรรมะพุทธเจ้าหมด
เพราะ กฐิน เป็นผ้าที่มีเจ้าของได้ ไม่ใช่ของทิ้ง แล้วก็เอาผ้ามาทอด ไม่ใช่เอาเงินมา ทอด ถ้าเอาเงินมาทอดนั้น กระทะทองแดง ได้นรก ทอดกฐินเนี่ย ไม่ใช่ทอดเงิน เพราะฉะนั้น ยังเบี้ยวบาลีที่จะไปทอดกฐินก็คือให้เงิน แล้วไปเบี้ยวบาลีว่าเป็นปัจจัยด้วย คือเงิน แล้วเอาไปซื้อผ้าทีหลัง เดี๋ยวนี้คนมีผ้าจีวรแบ่งกันนุ่งห่มกัน โอ้โห! พระไม่กี่แสนรูป เหลือเฟือ แล้วยังซื้อมาถวายกันไม่หยุดหย่อน เฟ้อ ไม่เข้าเรื่อง
สรุปคำว่าผ้ากฐินกับผ้าป่าต่างกัน ผ้าป่าต้องเป็นผ้าที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของจริงๆ เขาทิ้งแล้ว ส่วนผ้ากฐินนั้นมีเจ้าของได้ ทอดได้ แล้วทอดได้ 1 ครั้งต่อปีภายในเวลา 1 เดือน เลยจากนั้นก็ไม่ได้แล้ว อย่างนี้เป็นต้น
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน… พุทธประสงค์ในเรื่องการทำกฐิน เพราะจะไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน นางวิสาขาที่เป็นอุปัฏฐากใหญ่สงสารพระสงฆ์ ก็บอกว่าให้ชาวบ้านที่มีเงินถวายจีวรเครื่องนุ่งห่มให้ภิกษุได้ แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นเรื่องหาเงินสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวพุทธอย่างมาก ถือว่าได้เงินมากยิ่งดีซะอีก พระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้สาวกสร้างความเดือดร้อนแม้แต่น้อย ขนาดผ้าก็ยังให้หาที่เขาทิ้งแล้วมาเย็บรวมกัน
นัตถิกทิฏฐิ และ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่มีที่จบ
พ่อครูว่า… ที่บอกว่าให้ผู้หญิงบวชและเป็นความผิดร้ายแรงเห็นมานะอัตตาในชาวอโศก …ก็มองให้ดีให้ถึงความไม่มีตัวตนของชาวอโศกบ้าง อาตมาบอกไม่ได้หรอก ก็ขอยืนยันว่าผู้หญิงชาวอโศกที่บวชเป็นสิกขมาตุ เป็นผู้ที่ไม่ใช้เงินทองแล้ว จริงๆ ไม่ใช่เหร่าะแหละไม่ซื้อไม่ขาย เหมือนสามเณรขึ้นไปถือศีล 10 แต่สิกขมาตุเราไม่ใช้เงินถือว่าเป็นพระจริงๆถือว่าเป็นเณรจริงๆ ศีลของเณรศีลของพระไม่มีเงินไม่ใช้เงิน ใช้เงินก็ผิดศีล 10 ขึ้นไป ผู้ที่มีศีล 10 ขึ้นไปไม่ใช่เงินไม่ซื้อไม่ขาย ต้องพึ่งพาตนเองเลี้ยงตนเองด้วยปลีแข้ง หมายความว่าต้องเดินบิณฑบาต เพราะฉะนั้นผู้หญิงก็ตามหรือเณรก็ตามที่มีศีล 10 ขึ้นไปแล้ว จริง ไม่ใช้เงิน แล้วจริง จึงมีสิทธิ์จะบิณฑบาตเลี้ยงตนเองด้วยปลีแข้ง เป็นสัมมาอาชีพ
เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังเข้าใจไม่ได้อย่างคุณเดชา อัมพร หรือวรวุฒิ สีแก่ว เข้าใจดีๆ โดยเฉพาะคุณเดชา อัมพร ที่มีความคิดแบบนี้ นัตถิกทิฏฐิ คือผู้ที่มีมิจฉาทิฐิชนิดหนึ่ง ที่ยึดถือว่าอะไรๆ ก็ไม่มี ไม่เป็น เป็นความเข้าใจ เป็นความยึดถือชนิดหนึ่ง ว่าไม่มีไม่เป็นทั้งนั้น มีแต่สมมุติ สมมุติอย่างเดียว เป็นสมมุติสัจจะ ยังไม่มีปัญญารู้ในเรื่องปรมัตถ์สัจจะเลย คุณคนนี้ ยังไม่รู้ ยังไม่เข้าถึงจิต มองออกข้างนอก มองอะไรเป็นสมมุติหมด บอกว่าทุกอย่างเป็นสมมุติ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างอนัตตาไม่มีตัวตน คุณกินก็เป็นตัวตนนะ คุณนุ่งห่มก็เป็นตัวตนนะ เพราะถ้าสุดโต่งไปมากก็จะกลายเป็นพวกเชน
เดี๋ยวนี้อยู่ในอินเดียก็ยังมี ไม่เอาอะไรทั้งนั้นเลย ส่วนเรื่องการกินมันจำนน ไม่กินไม่ได้ กินให้น้อยที่สุด อย่าว่าแต่มื้อเดียวเลย มื้อเดียวเขาก็ประหยัดน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ ถึงผอมอย่างนั้น เชนจริงๆ ไม่มีอ้วนเลยซักคนเดียว ส่วนเชนปลอม ก็มีที่แฝงเยอะ ไม่นุ่งผ้า พุงพลุ้ย แต่เชนจริงๆ ไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ นานๆจะขึ้นมาโชว์เชฟ เดินโชว์ จนมีผู้หญิงไปทดสอบ จูบจู๋ นับถือที่สุดเลย แต่จิตเขาต้องการทดสอบหรือ อะไรของเขาก็แล้วแต่เคยมีภาพอย่างนี้มาด้วย แต่พวกเชนก็ไม่เอาอะไรเลย มันสุดโต่งไป ไม่รู้จักสมมติที่เป็นสภาพ 2 อย่างตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส เทวะ ความเป็น 2 ยิ่งใหญ่ที่สุด ทุกวันนี้อาตมาตายลงไปชาตินี้ก็ยังอธิบายคำว่าเทวะไม่หมด อธิบายให้เข้าใจไม่ได้เต็มที่แน่ๆ รู้ฝีมือตัวเองเลย
_ชาญชัย เปลี่ยนแม้น
อรหันต์เป็นสมมุติบัญญัติ…ไม่มีอะไรเลยสำหรับความว่างบนโลกใบนี้ คำพูดที่ พูดมานั้นมันให้ค่าอะไรไม่ได้เลยเป็นคำพูดที่เป็นสังขารธรรมทั่วโลกที่ใช้ภาษาเอามาแสดงการสื่อสารให้เข้าใจชั่วคราวๆเท่านั่นเอง…แต่มีประโยชน์นำมาใช้ให้ไปเข้าใจในวิสังขาร…ไม่เคยรู้ไง….พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า….แม้แต่คำของศาสดาที่ออกจากพระโอษฐ์….ก็ยังเป็นสังขารธรรม…งงมั้ย…แม้แต่ที่พิมพ์มานี้ก็ยังเชื่อไม่ได้.โปรดอย่าเชื่อและก็อย่าเชื่อ?
พ่อครูว่า…ไม่งงหรอก เข้าใจที่คุณสื่อมาด้วย ไม่ต้องบังคับอาตมา อาตมาจะยังไม่เชื่อคุณหรอก รับรู้เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นคุณเดชาก็ดี ศึกษาให้ดียังมีอีกเยอะแยะคนที่จะมีแนวคิดอย่างนี้ คือ เอนไปข้างวิตักกจริตหรือนัตถิกทิฏฐิ ยังไม่ลงตัวยังจับจุดที่จะเริ่มต้นไม่ได้ ยังแกว่งอยู่อย่างนั้น อันนี้ใช่หรือไม่ใช่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ จะว่าใช่ก็ไม่ใช่ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ คือ ยังยากมากเลย
เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังมีจิต นัตถิกทิฏฐิ หรือเต็มไปด้วย เนวสัญญานาสัญญายตนะ ยังแกว่งอยู่ เพราะฉะนั้นวิญญาณฐีติ 7 ของพระพุทธเจ้าจึงไม่มี เนวสัญญานาสัญญายตนะ จบที่ อากิญจัญยายตนะ ไม่ใช่ยังมีอะไรเหลือ จะใช่หรือไม่ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ไม่มี
เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือผู้ที่ยังแกว่ง ยังจับจุดจบจุดมั่นจุดตายอะไรยังไม่ได้ ยิ่งมีทิฏฐิเนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็เลิกกันเลย เป็นพวกยาวนาน เป็นศรัทธาก็ไม่ได้ ยิ่งเป็นปัญญาก็ไม่ได้ใหญ่
คนที่มีศรัทธา ทิฏฐิจะเป็นหนึ่ง 1 แน่ๆไปเลย คนศรัทธานี่เอาจริง วันหนึ่งเขาจะถึงที่จบ ส่วนวิตักกะ จะกลับไปกลับมา มาๆไปๆ ไม่ถึงที่เสร็จสักที แกว่งอยู่อย่างนั้น ส่วนปัญญาธิกะนั้น แม่นตรงไม่เสียเวลา ตรงที่สุด เร็วที่สุด ไวที่สุด แม่นมาก ถึงจะสำเร็จ
อนุโมทนาสาธุที่คุณศึกษาตาม
_จีราวัฒน์ พิมพ์พงษ์
ศาสนากับวิทยาศาสตร์เริ่มเข้ามาหากันและมีเหตผลเกี่ยวโยงกันตามวิวัฒนาการของสายพันธุ์มนุษย์ชาติ เรื่องภพชาติเกี่ยวโยงกับมิติเชิงซ้อน ข้อสันนิษฐานวิทยาศาสตร์เกี่ยวของกับศาสนาพุทธโดยตรง ศาสนาไม่ได้มีจุดประสงค์ให้คนบรรลุอรหันต์ ไม่ได้มีจุดประสงค์ให้คนบรรลุนิพพาน แต่ผลที่เกิดจากเหตุเป็นแค่ผลพลอยได้ วัตถุประสงค์ของพระพุทธเจ้าคือสร้างสมดุลย์ให้สังคมมีความสงบสุขแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนทั้งโลกจะเป็นคนดีทั้งหมดไม่ได้ เพราะแต่ละคนมีกรรมเป็นของตัวเอง กำเนิดเกิดก่อมาจากกรรมทั้งนั้น ทรงค้นพบสัจธรรมคือธรรมที่เป็นจริงและคนทั้งโลกปฎิเสธไม่ได้เลย แต่ก็ไม่เคยปฎิเสธอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ อภิญญาญาณ แต่พระองค์บอกว่าเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ไม่ใช่หนทางในการดับทุกข์ พระสงฆ์จึงตั้งกฎอวดอุตริขึ้นมาเพื่อปรามกิเลสส่วนหนึ่งของตัวเอง คนที่ประกาศตัวเองเป็นพระอรหันต์ต้องแสดงฤทธิ์แสดงธรรมให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลกแล้วล่ะครับ เหมือนพระพุทธองค์ที่ตรัสรู้แล้วประกาศตัวเองว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วรู้จริงทำได้จริง ไม่ใช่มาเปิดหนังสืออ่านให้คนฟัง แถมโต้แย้งพระพุทธเจ้าหมด เหมือนประกาศตัวเองว่าอยู่เหนือพระพุทธเจ้าแต่เอาตำราเขามาอ่าน และก็หนีไม่พ้นรากเหง้าเดิมของศาสนาพุทธ ถ้าโต้แย้งสัจธรรมได้ก็สุดโต่งแล้วล่ะครับ อวดดีอวดรู้เถียงความเป็นจริงแบบข้างๆคูๆ สาวกที่หลงเชื่องมงายไปตามกัน เมื่อพวกทั่นตายไป จะไม่มีนรกสวรรค์ พวกท่านไปสู่ภพภูมินอกศาสนาพุทธ ไปสู่มิติอื่น เพราะพวกท่านคือคนนอกศาสนา
พ่อครูว่า… ขอพูดตรงนี้ก่อน ความหมายของพระพุทธเจ้าของคุณ นี่คือความเห็นของคุณ อย่ามาขี้ตู่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นความเห็นของคุณ อาตมาจับได้เลยตรงนี้ ว่าความเห็นของพระพุทธเจ้าไม่ตรงกับความเห็นของคุณหรอก ความเห็นของคุณ คุณยึดถือของคุณ แล้วเอามาตู่ว่าเป็นของพระพุทธเจ้า แล้วก็บอกว่าไม่นับถือความคิดของใครด้วย เอาความคิดของใครมาอ้าง แม้แต่เอาหนังสือมาอ่าน แล้วก็มายืนยันกับหนังสือ แล้วจะให้อ่านหรือไม่ให้อ่านเนี่ย
คุณพูดอย่างนี้คูรก็วนแล้ว ถ้าคุณเองไม่ต้องเอาตำรามาอ่านด้วย คุณจะไปหวงแหนทำไม เขาจะเอาตำรามาอ้างว่าใช่หรือไม่ใช่ คุณก็ปล่อยเขาสิ คุณจะมายุ่งกับเขาทำไม
ไปดูตัวเองสิว่าตัวเองสุดโต่งไปไหม ตรวจให้ดีๆ อาตมาพยายามมาไม่ให้มีข้างไม่ให้มีคู พยายามให้ตรงเป็นหนึ่งเลย
หาว่าพวกเราตายไปจะไม่มีนรกสวรรค์ ก็คงจะไม่วิจารณ์อะไรคุณจิรวัฒน์ เพราะฟังแล้ว คุณไปเรียบเรียงของคุณให้ลงตัวก่อน ก่อนจะมาพูดกับอาตมา อาตมาพูดตรงๆว่า อาตมาตามที่คุณว่า ตรงนั้นตรงนี้ อาตมาเรียงแถวไม่ได้ เพราะของคุณมันวุ่นไปหมด อาตมาเรียงแถวไม่ได้ อาตมาว่า คุณให้เรียงแถวมาพูดกับอาตมาบ้าง อาตมาจะพอไปได้เพราะอาตมาไม่ฉลาดเหมือนคุณ คุณไม่เรียงแถวคุณก็รู้จักเส้นตรงได้ อาตมาไม่สู้ อาตมาจะสู้คนที่ทำเส้นตรงได้ แล้วอาตมาพูดกันได้ คุณยังไม่เข้าแถวที่จะมาเข้าเส้นตรง ตรงนั้นตรงนี้จับมาปนกันเละ บอกว่านี่เส้นตรง อาตมาก็จนปัญญาแล้ว
มีความเห็นแสดงมา อาตมาว่าสู้ไม่ได้ อาตมาก็ยอม
อานาปานสติอย่างพุทธกับแบบฤาษี
มาสู่สิ่งที่อาตมาตั้งใจอธิบาย เป็นประเด็นละเอียดลึกซึ้งอยู่มากคือเรื่องของอานาปานสติ
สายหลับตาเข้าใจอานาปานสติอย่างหนึ่ง อาตมาก็เข้าใจอานาปานสติอย่างหนึ่ง
อานาปานสติของพวกที่บอกว่านั่งกายตรงดำรงสติคงมั่น แล้วนั่งหลับตาหรือไม่หลับตาก็แล้วแต่ ตรวจเข้าไปอยู่ในภพภายใน ส่วนมากก็หลับตา แล้วก็ไม่เข้าใจแม้แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ที่ท่านออกป่าตั้งแต่ตอนต้น ก่อนจะออกมาก็เจอพวกนี้แหละ ซึ่งเป็นมิจฉาทิฐิกันหมดแล้ว หลงว่าผู้ที่จะบรรลุต้องไปอยู่ในป่า ผู้ที่มีจรณะวิชชาสมบัติ คือคนอยู่ในป่า เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับ อัมพัฏฐมานพที่ศึกษา วิชชาจรณะสมบัติ ศึกษาแต่ในตำรา แต่ตัวเองไม่ได้ปฏิบัติไม่รู้เรื่อง ถกกับพระพุทธเจ้ายาว
ที่นี้อานาปานสติที่อาตมาเข้าใจคือ อานาปานสติที่ลืมตามีสติ มีชีวิตเต็มๆธรรมดา ก็คือคนมีลมหายใจเข้าหายใจออก ยังไม่ตาย สามัญปกติชีวิต ไม่ไปจำเพาะกำหนดเอาแต่ว่า ดูแต่ อานาอาปานะ คือ ดูแต่ลมหายใจเข้าออก แต่ผู้ที่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต สายพระป่า นั่งแล้วหลับตาแล้ว ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกอยู่ในอานาปานสติ ท่านก็ตรัสไว้ชัดว่า นี่คือยังมีกาย ผู้ที่รู้จักลมหายใจเข้าออกข้างจมูกและยังมีความรู้สึกกับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ออกคือออกมาภายนอก เข้าก็คือเข้าไปภายใน
แต่ผู้ที่นั่งหลับตานั้น ไม่มีลมหายใจ ไม่รู้สึกไม่รู้จัก ไม่รู้สึกกับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก แล้ว นี่แหละคือประเด็น
สู่แดนธรรม… ผมว่าเกิดจากการที่ท่านตีความว่า เราจักระงับกายสังขาร ท่านก็เลยไประงับสติไม่ให้รู้ลมหายใจเข้าออก
พ่อครูว่า… ก็เข้าใจคำว่า กาย เป็นข้างนอกอย่างเดียว เพราะฉะนั้น กายสังขารก็คือปรุงแต่งแต่เพียงภายนอก จิตของท่านก็เลยไม่ไปปรุงแต่งด้วยเพราะคำว่า กาย ยังไม่สัมมาทิฏฐิในสังโยชน์ข้อที่ 1 นี้คือพวกที่ยังไม่พ้นกาย
เพราะกาย มันแยกข้างนอกข้างในไม่ได้ กาย ต้องมีภายนอกและภายในพร้อมกัน ซึ่งยากมากเลยตรงนี้ แต่ไปเข้าใจว่า กาย คือข้างนอกอย่างเดียว เพราะฉะนั้นเมื่อหลับตาเข้าแล้ว มีแต่ลมหายใจเข้าออกกับความรู้สึก แต่ก็ไปตัดลมหายใจเข้า ลมหายใจออกด้วย เข้าไปอยู่แต่ข้างใน ซึ่งที่จริงๆก็ยังมีลมหายใจนะ แต่ไม่มีเวทนาร่วมรับรู้ ไม่มีสัญญาร่วมรับรู้กับลมหายใจออกลมหายใจเข้า ก็ยังไม่ตาย ยังมีลมหายใจเข้าหายใจออกอยู่ แต่ไม่เอาความรู้สึกหรือไปกำหนดหมายกับลมหายใจเข้าออกข้างนอกแล้ว และแม้ภายในก็ไม่ได้เห็นลมหายใจเข้าออกอะไร เขาจะวิปริตไปเป็นนิรมาณกายเลย
บอกว่าให้เดินลมหายใจเข้าลมหายใจออกอยู่ภายในจิตนั่นแหละ เดี๋ยวลมขึ้นลมลง ลมบนลมล่าง เป็นนิรมาณกาย เป็นความสมมุติเนรมิตเอาเอง ซึ่งมันไม่มีความจริงเลยเป็นอุปาทานทั้งสิ้น แล้วการสร้างอุปาทานในจิตขึ้นมา พวกนั่งหลับตานี้ทั้งนั้นเลย
ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่บรรลุสมบูรณ์แบบแล้ว เป็นพระอรหันต์สมบูรณ์แบบจริงๆแล้ว ไม่มีอุปาทานใดๆ นั่งหลับตาเข้า ในความมืดตอนกลางคืนในที่มืด ถ้ามันมีแสงก็จะมีแสงมาวางมันก็จะสะท้อนเข้าไปข้างในอยู่บ้าง
เอาให้ชัดๆ นั่งในที่มืด ดับอยู่ในความมืดจริงๆ หลับตามันก็มีความมืดจะไม่เห็นแสงอะไรเลย ผู้ที่หลับตาลงไปแล้วเห็นแสงอยู่ นั่นคือนิรมาณกาย นั่นคือสมมตินั่นคือคนอุปาทานยึดผิด ว่ามันยังมีแสงสีมีภาพมีความสว่าง ที่จริงแล้วไม่มี หลับตามแล้วมีแต่ความมืดอย่างเดียว นี่แหละคือวิญญาณฐีติข้อที่ 4 สุภกิณหา
กิณหา แปลว่ามืดแปลว่าดำ สุภะ แปลว่า น่าได้ น่ามี น่าเป็น
ผู้ที่มิจฉาทิฏฐิจะเห็นความมืดความดำยังไม่ได้ แต่เขาก็จะเอาความมืดวามดำ หลงแค่ความมืดความดำเป็นนิโรธ นี่คือพวกนั่งหลับตา มิจฉาทิฏฐิตรงนี้ เพราะฉะนั้นได้แต่ความมืดความดำ ไม่ใช่นิโรธ นิโรธคือกิเลสหมดจากจิต สว่างด้วย เพราะฉะนั้นผู้ที่ชัดเจนว่าสว่างกับมืด กับนิโรธดับกิเลส กิเลสหมด กับยังมี คือยังมีอุปาทานนั่นเอง
เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังมีอุปาทาน มิจฉาทิฏฐิ แล้วหลงความมืดเป็นนิโรธจึงผิด ไปหลง อสัญญีสัตว์บ้าง เป็นต้น หรือแม้จะหลง อากิญจัญญายตนะ นิดนึงน้อยนึง ก็ไม่มี แล้วไปตีความเหมือนอาฬารดาบส ได้แค่ฌาน 7 ดับ แค่ อากิญจัญญายตนะ ไม่ถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ เหมือนกับอุทกดาบส แต่อาฬารดาบสได้แค่ อากิญจัญยายตนะ นิดนึงหน่อยนึงก็ไม่มี ตายมืดอยู่ตรงนั้น แล้วก็ไปเข้าใจว่าเป็นนิโรธ ผิด
แม้แต่อุทกดาบสนั่งหลับตาแล้วดับได้ดิ่ง สุดท้ายหมดฤทธิ์ของความกดดันมันก็แว้บขึ้นมา นิดนึงน้อยนึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ อุทกดาบสจับได้ ว่ามันยังไม่มีหมด มันยังมีแว้บขึ้นมาเป็นสัญญา แต่เขาก็กดข่มไปอีก เพราะฉะนั้นนิโรธของอุทกดาบสก็ดี จึงเป็นนิโรธของการสะกดจิตดับ แล้วดับได้นานๆ สะกดจิตได้นาน
2 คนนี้ อาฬารดาบส อุทกดาบส อยู่ในสายสะกดจิตได้นาน เพราะฉะนั้นตายไม่มีร่างแล้วเป็นสัมภเวสี จึงยู่ในนรก ดับไม่รู้ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครปลุก ปลุกก็ไม่ได้ จะอยู่ในจิตอย่างนั้นแหละนานเท่าที่ฤทธิ์แรงที่เขาฝึกได้เก่งที่สุด โทษทียกตัวอย่างได้ในศาสนาสมณโคดมก็คืออุทกดาบส อาฬารดาบส เพราะฉะนั้นตายไปสัมภเวสีแล้วนรกมืด 2 องค์นี้อยู่ในนรกมืดนาน จนพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ตาายๆๆ เราคงจะต้อง ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว ไม่ได้โปรด 2 คนนี้แน่ๆ สุดสงสารเลย
อาตมาก็มีนัยยะเดียวกัน สุดสงสารพวกนั่งหลับตาสะกดจิต ก็ต้องพูดย้ำอีกว่า อานาปานสติ นั้น ลืมตา ทุกเวลาที่มีลมหายใจเข้าออกอยู่ ยังมีชีวิต ยังรู้จักทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วปฏิบัติตามหลักจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต
วิธีการที่นั่งหลับตาสะกดจิต มันคนละเรื่องกันกับจรณะ 15 วิชชา 8 มันไม่มีศีล มันดับนั่งหลับตาเฉย แล้วก็บอกว่ามีศีล มันจะมีศีลที่ไหน คุณไม่ได้เกี่ยวกับสัตว์ ดีไม่ดีหลงผิดด้วยเป็นพระป่าแล้วบอกว่าเก่ง มีบารมีสูง เจอเสือก็ไม่ขบไม่กัดเอา เก่งซะอีก ไปกันใหญ่เลย นึกว่าเป็นความบรรลุ เหมือนอย่างคนนี้บอกว่าต้องเหาะได้อะไรพวกนั้น เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ ซึ่งมันยากเหมือนกัน
สรุปแล้วประเด็นของอานาปานสติของพระป่า เป็นอานาปานสติอยู่ในภพอยู่ในภวังค์ แต่ว่าอานาปานสติของโพธิรักษ์หรือของพระพุทธเจ้านี้ ลืมตาปฏิบัติมีสาระนะ 15 วิชชา 8 อยู่กับทุกๆคน แต่อ่านจิตในจิต อ่านเวทนาในเวทนา อ่านกายในกาย แยกธรรมะเป็นโลกุตระเป็นโลกียะได้ รู้ธรรมในธรรม
ที่เป็นโลกุตระคือรู้จักกิเลส กิเลสตั้งแต่ภายนอกคือกาย ฉันยังติดข้างนอก ทุเรียนอย่างนี้เป็นต้น ตามันเห็นทุเรียนแล้วมันขึ้นเลยกิเลส ต้องปฏิบัติตัวนี้แหละ เมื่อตาเห็นทุเรียนหรือจมูกได้กลิ่นทุเรียนมันก็ขึ้นเหมือนกัน จนกระทั่งกิเลสที่ไม่ติดยึดแล้วทุเรียน ตากระทบรูปนี้ก็ไม่เห็นไม่มีกิเลส จมูกได้กลิ่นก็ไม่มีกิเลส ได้ยินเสียงคนพูดว่าทุเรียนเอามาหน่อยนะ ทุเรียนเยอะแยะเลยก็ไม่ขึ้น หรืออยู่ธรรมดานี่แหละ คนเอาทุเรียนมาแตะลิ้น แต่มันคงยากหน่อย หรือเอาทุเรียนมาถูกสัมผัสร่างกาย คือเอาหนามทุเรียนมา บอกว่าหนามอะไร เก่งด้วยนะพอจะรู้ว่าหนามทุเรียนด้วย ไม่ใช่หนามไมยราบยักษ์ ไม่ใช่หนามพุงดอ หนามทุเรียน มันมีหลายตุ่มหน่อย บอกว่าทุเรียนแน่ๆ ไม่ใช่ขนุนด้วยเพราะไม่แหลมขนาดนี้ ไม่แทงลึกขนาดนี้เป็นต้น หรือไม่ใช่ฟักข้าว ก็จะแยกออกมาสัมผัสก็จะแยก แต่คุณมีกิเลสไหมล่ะ
สัมผัสแล้วแล้วคุณก็รู้ด้วยไม่ต้องไปหลับตา ไม่ต้องไปปิดจมูกไม่ให้ได้กลิ่น ปิดเสียงหรอก รับรู้เต็มๆ อานาปานสติรับรู้เต็มๆ และอ่านกิเลสโดยเฉพาะอาการของกิเลส อาการ ลิงค นิมิต อุเทส แล้วล้างกิเลส กำจัดกิเลสด้วยปัญญา หรือว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นอนัตตา
อันนี้เป็นปัญญามากเลยคนที่เห็นไตรลักษณ์ในทุกสิ่ง ภาษาพูดเอาแต่ความจริงปัญญาของคุณมีความเป็นเช่นนั้นไหม คือความรู้ความฉลาดของคุณ มันไม่มีแล้ว มันวางจริงๆกิเลสมันรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งเลยไม่ใช่กดข่ม ปัญญานี้รู้ชัดเจนจริงๆว่ามันไม่ใช่ตัวตน มันเกิดขึ้น มันไม่เที่ยงหรอก มันมาหลอกเราอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เป็นวรรค เป็นครั้งคราว มาอีกก็ยังมีอีก หรือนานอดทนได้หลายครั้งหลายคราว แต่ครั้งคราวที่ไม่หมดจริงๆ มันก็จะยังมาอยู่อีก คุณก็ต้องพิสูจน์จริงๆเลย เมื่อใดเมื่อใดๆกระทบสัมผัสอีกเมื่อไหร่ เมื่อไหร่ คุณก็กิเลสด้วยปัญญา ชำระกิเลสด้วยปัญญาอันยิ่ง ตายสนิทเลย จนไม่ต้องชำระอีกแล้ว เรียกว่า อปุญญาภิสังขาร ไม่ต้องใช้ปัญญามาชำระอีกแล้ว อปุญญะ ไม่ต้องเป็นบุญ ไม่ต้องชำระอีกแล้ว ไม่ต้องใช้ หมดบุญแล้ว
อปุญญะไม่ได้แปลว่าบาป ผู้ไปแปล อปุญญะว่าบาป ยังเข้าใจพยัญชนะสลับไปสลับมา ยังไม่รู้จักสภาวะที่แท้ของบุญ หรือปุญญะว่า มันเป็นเครื่องประหารกิเลสอย่างเดียว มันไม่ใช่ตัววน แต่มันทำงานอย่าง one way traffic เอกังสะ หนึ่งเดียว ไม่มีสองเลย กำจัดกิเลสหมดแล้วหมดหน้าที่ ไม่สะสมเป็นสมบัติอะไรที่ไหนอีกเลย อันนี้เข้าใจกันได้ยากมาก ไม่ใช่เล่นๆ
อาตมาอธิบายบุญในคอลัมน์เปิดยุคบุญนิยม เปิดคอลัมน์นี้ในหนังสือเราคิดอะไร จนหยุดไปแล้ว จนเอามารวบรวมเป็นเล่ม เปิดยุคบุญนิยม 3 เล่ม เล่มละ 300, 400 หน้านะ ก็ติดตามศึกษาให้ดีๆ สิ่งเหล่านี้เป็นของพระพุทธเจ้าที่ลึกซึ้ง ซึ่งมันได้เพี้ยน มันได้ผิด มันได้เลอะไปหมดแล้วมันไม่มีโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น อานาปานสติของพระป่าของผู้ที่นั่งหลับตา กับอานาปานสติของอาตมาที่ยืนยันว่าเป็นของพระพุทธเจ้าพาทำ
พระพุทธเจ้าอยู่ในป่าแรกๆไปปฏิบัติแบบนั่งรับการสะกดจิตหมดคือเพราะตอนนั้นเขามิจฉาทิฏฐิหมด เริ่มแรกยังไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ ก็เป็นมิจฉาทิฐิไปหมดเลย ยังไม่มีสิ่งที่สัมมาทิฏฐิเลย พระพุทธเจ้าจึงต้องอุบัติขึ้นมาแล้วมาเปิดโลก เอาโลกุตรธรรมมาสถาปนาลงไป เริ่มต้นท่านเป็นลิงลมข้าวพองเข้าป่า เสียเวลาอยู่ในป่า 6 ปี บำเพ็ญทุกรกิริยา ซึ่งมันไม่เป็นทางบรรลุ หนักหนาสาหัส แบบๆไหนๆ ท่านก็ลองกับเขาหมด แต่มันไม่ใช่ จนท่านมา ระลึกได้เองว่าสิ่งที่ท่านมีมันถูกต้องหมดแล้ว ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ตอนอายุ 35 ปี
ระลึกรู้ว่า อย่างนี้เองๆ ท่านจึงได้เอา เรื่องนี้ มาสถาปนาลงไปในโลกใหม่ ตอนนั้นมันไม่มีแล้ว ท่านบรรลุแล้วจึงเริ่มมาประกาศกับพราหมณ์ 5 รูป ท่านได้ระลึกว่า 2 องค์นี้น่าจะสอนได้แต่ท่านไปพบว่าตายแล้ว 7 วัน
จนกระทั่งโกณฑัญญะเป็นผู้รู้บรรลุคนแรก ศึกษาธรรมะให้ดีๆจะเข้าใจว่า อาตมาไปเอาอะไรมาพูด ไปเอาอะไรมาอธิบาย ในตำรับตำรา แม้แต่ในอรรถกถาจารย์ก็ไม่มีใครมาพูดอย่างที่อาตมาอธิบายสักมุมนัยยะสำคัญ อย่างที่พูดละเอียดลออ ไม่มีหรอก ในอรรถกถาจารย์ใดๆ ก็ไม่มี
ที่ไม่มีก็เป็นอจินไตยอีกอย่างหนึ่ง ไม่มีเพราะแม้แต่ในระยะที่จะบันทึกคำสอน แล้วผู้ที่จะเรียนรู้ตาม จนกระทั่งสู่รู้เป็นอรรถกถาจารย์ สู่รู้ การสู่รู้ของอรรถกถาจารย์มีความผิดเยอะ จะมีถูกบ้างส่วนหนึ่ง แต่ผิดเยอะ
ยิ่งมันเป็นยุคที่พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วว่ายุคนี้โลกุตรธรรมไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นต้องมีผู้ที่รู้โลกุตรธรรมมากพอสมบูรณ์พอ อย่างอาตมา จึงจะเข้ามาสถาปนาโลกุตรธรรมลงไปได้ แล้วเขาก็มีการย้อนแย้ง จนอาตมาพิสูจน์ว่า ที่ย้อนแย้งนั่นแหละคือความจริง
กระแสหลักก็ดีผู้ที่นับถือเขาก็ดี ถ้าเขาถูกก่อนอาตมาเขาก็ต้องนำโลกุตระธรรมก่อนอาตมา พวกคุณก็ต้องไปอยู่ทางนู้นแล้ว แต่เขาไม่ใช่ ก็ที่ไม่ใช่ก็เพราะว่าพิสูจน์ถึงสุดยอดสาธารณโภคีสาราณียธรรม 6 ไม่ได้ อธิบายวรรณะ 9 ก็ไม่ได้ อธิบายสาราณียธรรมหรือพิสูจน์ความเป็นวรรณะ 9 พิสูจน์ความเป็นสาราณียธรรม 6 พิสูจน์ว่ามีพุทธพจน์ 7 สังคมนี้จะมี สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ จริงๆ มีคุณลักษณะ 7 ประการนี้แน่นอน มาตรวจสอบสิ ขออภัยไม่ได้ท้าทายนะ แต่เป็นเอหิปัสสิโกเชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ความจริงนี้ได้ ไม่ได้เชิงท้าทายอะไร อย่าไปเข้าใจผิดเพี้ยน
สรุปอีกทีหนึ่งว่า หลับตา แม้อานาปานสติก็ตาม แม้พวกท่านทั้งหลาย ท่านก็ไม่มีกายแล้ว มันผิดไปสนิทแล้ว อานาปานสติ อ่านดีๆในพระไตรปิฎกฉบับของพระกัสสปะนี้ก็ตาม ก็ยังบอกเลยว่าต้องมีกาย ไม่มีกาย มันผิดแล้ว แล้วกายนั้น ก็เหลือแต่ลมหายใจเข้าออก เท่านี้ มีความรู้สึกกันอยู่เท่านี้ นอกนั้นปิดหมด ตาก็ไม่เห็น หูก็ไม่ได้ยิน ลิ้นก็ไม่ได้รับรสสัมผัสแตะต้องข้างนอก ก็ไม่มีรับรู้สึกอะไร ไปอยู่ข้างในหมด ผิดหมดเลย
เพราะฉะนั้น อันนี้แม้จะอยู่ในพระไตรปิฎก เล่มพระมหากัสสปะ ก็ยังอุตส่าห์เก็บไว้ใน อินทริยภาวนาสูตร
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
๑๐. อินทริยภาวนาสูตร (๑๕๒)
[๘๕๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าไผ่ ในนิคมชื่อกัชชังคลา ครั้งนั้นแล อุตตรมาณพ ศิษย์พราหมณ์ปาราสิริยะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้วทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[๘๕๔] พอนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามดังนี้ว่า ดูกรอุตตระ ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่า ฯ
อุ. แสดง พระโคดมผู้เจริญ ฯ
พ. ดูกรอุตตระ แสดงอย่างใด ด้วยประการใด ฯ
อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยินเสียงด้วยโสต ฯ
พ. ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริยพราหมณ์ ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอดไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตกก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ ฯ
พ่อครูว่า… มันชัดเจนจริงๆ ศาสนาพุทธไม่ได้ให้คนไปปิดหู ปิดตา ปิดการรับรู้ ท่าน มหากัสสปะยังเก็บตกหล่นตรงนี้ได้ มีพระอานนท์ท่านไม่สังกัดทั้งศรัทธาและปัญญา ท่านเก็บหมดทั้งศรัทธาและปัญญา เติมให้ครบ 500 รูปที่ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก ก็เลยเป็นพระไตรปิฎกฉบับที่เป็นเชิงศรัทธาเสียมาก เป็นการบอกใบไม้กำมือเดียว แล้วบอกว่าพระสมณโคดมสอนใบไม้กำมือเดียว ไม่ได้สอนพระโพธิสัตว์ แล้วก็ฝากฝังให้พระโพธิสัตว์ต่างๆมาสืบทอดศาสนาต่อไป แม้อาตมาก็รับฝากฝังไว้ ท่านพอแล้วเมื่อยแล้วปรินิพพานไปก่อนกัปด้วย ท่านยังตรัสไว้บอกว่า ท่านจะอยู่ให้เกินหนึ่งกัปหรืออยู่ให้ถึงกัปก็ได้
ทางศรัทธาหรือทางมหากัสสปะไม่ขัดข้องหรอกในคำพูดว่า เราจะอยู่เกินกว่ากัปหรือถึงกัปก็ได้เขาไม่เกี่ยงหรอกเขาก็ชอบ ไม่มีปัญหาก็บันทึกไว้ แต่เราก็เอามา
ขอให้ผู้ที่นั่งหลับตานี้เลิกไปเลยไม่มีใครพูดหรอกอย่างนี้มีอาตมาพูดจริงๆแล้วย้ำจริงๆว่าโมฆะ แต่การหลับตาแล้วใช้ประโยชน์ได้ไหมใช้ประโยชน์ได้มาก มีอุปการะมาก
อุปการะมากคือเป็นผู้ช่วยไม่ใช่ตัวหลัก แล้วช่วยอะไร
๑. ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก
๒. ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์
๓. เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี ตรวจสอบตรวจสอบบัญชีรายได้ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ หมดสิ้นอาสวะแบบของ พระพุทธเจ้า มี จรณะ 15 วิชชา 8 แล้วเกิดจิต ตกผลึกเป็นสมาหิโต ไม่ใช่หลับตานั่งสมาธิ สมาธิต้องมาจากเจโตปริยญาณ 16 ต้้องไล่เรียงได้คู่ไหนคู่ไหน
-
สราคจิต (จิตมีราคะ) 2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ) 3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ) 4. วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ) 5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ) 6. วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ) 7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) . 8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) 9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) 11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) 12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) . 13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) 14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) 15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) 16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)