650615 หากเลิกหลับตาปฏิบัติได้ประเทศไทยเจริญ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1U84rYgyDdr3SYcu5tQMQb4_3yH3en7ZGumwS1HjLXWk/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1uBWGMilXhegkfTeUJwiQBT8X4uJSuCRD/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/NXt6yGKDqcc และ https://fb.watch/dFub8ELUAy/ สมณะฟ้าไท… วันนี้เป็นวันพุธที่ 15 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ฤดูฝนฟ้าอากาศร้อน ที่จังหวัดอุบลราชธานีมีคนถ่ายภาพพระอาทิตย์เห็นมี 5 ดวง มีที่ต่างประเทศร้อนจัดทำให้วัวไม่กินข้าวกินน้ำจนตาย สิ่งแวดล้อมทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงรุนแรง เศรษฐกิจก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงรุนแรง ที่ราชธานีอโศกเราพยายามพึ่งตัวเองให้ได้ ตามในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่ว่าจะเป็นการใช้โซล่าเซลล์ การทำกสิกรรม โลกเดือดร้อน โลกเดือดร้อน สิ่งที่จะช่วยได้คือธรรมะโลกุตระ มาอยู่รวมหมู่กลุ่มเป็นสังคมสาธารณโภคี จึงจะช่วยได้ พ่อครูว่า… sms 13-14 มิ.ย. 65 _ขอเชิญท่านผู้สนใจ เข้าร่วม ค่ายอุโบสถศีลชาวอโศก ออนไลน์ ครั้งที่ 7 “88 ปีพ่อครู น้อมกตัญญูบูชา” วันศุกร์ที่ 17 – อาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน 2565 ท่านสามารถเข้าร่วมค่ายโดยรับใบสมัครและรับลิงค์ zoom เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมค่ายออนไลน์โดย สแกนคิวอาร์โค้ดที่หน้าจอ เพื่อเข้าร่วมห้องไลน์ Open chat ค่ายออนไลน์ชาวอโศก เพื่อรับข่าวสารการจัดค่ายต่อไป พ่อครูว่า…เราก็ทำไปเผยแพร่ธรรมะพุทธเจ้าไป ไม่มีใครจ้างไม่ได้เงินได้ทองเสียเงินด้วยซ้ำ เพราะเกิดมาเป็นคนต้องช่วยคนด้วยกัน ให้หลุดพ้นทุกข์อาริยสัจกันให้ได้ ใช้ตำแหน่งทำงานอย่างไรไม่เป็นบาป _น้ำนวลดิน นาวาบุญนิยม . กราบนมัสการพ่อครูค่ะ 🙏💝☺️🌸☘️🌿กลุ่มชนที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมกลอุบาย วางแผนเพื่อให้ได้อำนาจ/ตำแหน่ง เพื่อจะได้ใช้ตำแหน่งนั้นๆ เป็นเครื่องมือในการทำความดี พ่อครูว่าคนแบบนี้ดีจริงหรือไม่ และสามารถทำได้หรือไม่ และเป็นบาปหรือไม่คะ พ่อครูว่า.. การใช้ตำแหน่งยศศักดิ์ตำแหน่งที่แต่งตั้งขึ้นมา ดีจริงหรือไม่ ตอบคือได้ จริงไปตามสมมติสัจจะโลก ดีได้ ถ้าทำให้บริสุทธิ์ใจตั้งใจตามภูมิธรรม แต่จิตผู้ที่ว่านี่ ยังเข้าใจยังจะต้องอาศัย ตำแหน่งหน้าที่ เป็นเครื่องมืออย่างนี้ มันก็ไม่ใช่ตัวเองจริงๆ มันยังแฝงไปด้วยตำแหน่งอำนาจหน้าที่ทางโลกที่เขาสวมมงกุฎสวมหัว สวมอำนาจสวมอะไรต่ออะไรให้ มันก็ยังไม่แน่จริง ขออภัย แน่จริงต้องโพธิรักษ์ ไม่มีหัวโขนเลย ดีไม่ดีเขาสวมหัวยักษ์หัวมารให้ด้วย แต่อาตมาไม่ได้เป็นยักษ์มาร สามารถทำได้หรือไม่ เขาทำกันอยู่ เป็นบาปหรือไม่ ตอบซิ เป็นอกุศลอยู่ เป็นบาปอยู่ มันไม่ดีงามเท่าไหร่ ใช้ตำแหน่งหน้าที่แค่นั้น สังเกตนะ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรามีตำแหน่งหน้าที่สูงสุด เป็นรัฏฐาธิปัตย์ของประเทศ แต่ท่านพยายามที่จะลง ใช้ศัพท์ไทยๆ ติดดิน เห็นไหม แต่ท่านปลด ตำแหน่งหน้าที่ ที่เป็นสมมุติโลก มัน born to be ท่านก็ต้องทำหน้าที่ตามตำแหน่งของท่าน ท่านยังอยู่ในฐานะที่ต้องอาศัยตำแหน่งหน้าที่บ้างตามนี้ ทำในฐานะของพระองค์ ที่เป็น พระโพธิสัตว์ระดับหนึ่งมาในยุคธรรมิกราช 2 รูปคือ ท่านกับอาตมานี่ นี่ก็พูดอย่างไม่ได้เก้อเขิน ไม่ได้มังกุ อุทธัจจะ เหนียมอายอะไร เหมือนหน้าด้านแต่ไม่ได้หน้าด้านหรอก พูดความจริง มันเป็นความจริง ใครจะเชื่อไม่เชื่อไม่มีปัญหาหรอก ว่ายุคนี้ ผู้รู้เก่าๆ ท่านก็ทำนายไว้แล้วว่าจะมีธรรมิกราช 2 รูป ใครจะมาแย่งตำแหน่งกับอาตมาก็มาปรากฏตัวสิ ในหลวงร.9 ท่านแสดงพระองค์ไปแล้ว ใครจะยอมรับว่าท่านเป็นธรรมิกราชหรือไม่ก็แล้วแต่ อาตมาอธิบายธรรมะพุทธเจ้าละเอียดลออมากมายไม่ใช่ธรรมดา ที่จะเป็นผู้อธิบายธรรมะละเอียดลอออย่างนี้ได้ นี่พูดด้วยความจริงและจริงใจ ซื่อๆด้วย ไม่ได้มาชมตัวเอง อะไร ใครจะหาว่าชมตัวเองก็แล้วแต่ จะไปกดความจริงที่ดีทำไม ก็โง่ตาย ความชั่วต่างหากต้องถูกข่ม ความดีจะไปข่มทำไม เพราะงั้นอาตมาก็แสดงธรรมไป พิสูจน์ตัวเองไป ศาสนาโลกีย์นั้นมีมากมาย แต่ศาสนาโลกุตระนั้นมีศาสนาเดียว มีพระพุทธเจ้าที่จะมาประกาศในแต่ละกัป พุทธกัป ของพระสมณโคดมนี้ก็จะมีอายุ 5,000 ปี มาถึง 2,500 ปีนี้เสื่อมชัดเจน ครึ่งพุทธศตวรรษ อาตมาต้องมาฟื้นคืน ก็บอกชัดเจนว่าอาตมาเป็น สยังอภิญญา ก็ไม่มีใครกล้ามายืนยันว่าเป็นครูบาอาจารย์ของอาตมานี่ อาตมาก็ไม่ได้เรียนจากสำนักนั้นสำนักนี้ มีศิษย์พี่ศิษย์น้อง หรือมีครูบาอาจารย์ ก็ไม่ได้เรียนจากสำนักไหน อาตมาเป็นคนไม่มีสำนัก ไม่มีครูบาอาจารย์ แล้วอาตมาก็มาประกาศตนเอง ซึ่งอันนี้แหละในหนังกำลังภายในเขาก็ยากที่จะพูดได้ชัดเจน ว่า เป็นผู้ที่ สยังอภิญญา ไม่มีครูบาอาจารย์ หนังกำลังภายใน เขาก็ยังไม่มีใครกล้าพูดอย่างที่อาตมาพูดแล้วแสดงตัวจริงๆ เป็นจอมยุทธ์ที่ไม่มีสำนัก ไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้อง ไม่มีครูบาอาจารย์ เขาไม่มีศัพท์คำว่า สยังอภิญญา ที่เป็นผู้รู้ด้วยตัวเองข้ามชาติมา คนสร้างหนังกำลังภายในยังไม่มีความรู้โลกุตระ อาตมาทำได้ในระดับ born to be ในระดับอาตมา ในหลวงก็ทำได้ระดับ born to be ในระดับในหลวง _ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม · กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพอย่างสูงค่ะ อโศกรำลึกผ่านไป แต่กระแสการให้ยังมีต่อ กระแสการเสียสละติดกระแสแล้ว เป็นการให้ ที่เราชาวอโศก นำในเรื่องสละการที่ยากยิ่ง เช่นให้ทุเรียนของหายาก กราบสาธุค่ะ พ่อครูว่า… จริงหรือเปล่า อาตมาว่า ยังไม่ติดกระแสสังคมเขาทีเดียวหรอก ยังอยู่เล็กๆในวงเล็กๆในอโศกเรานี่แหละ อยู่ที่เชียงใหม่ก็คงจะครื้นเครง สำหรับผู้รับ แต่ผู้ให้ก็คงจะอยู่ในกรอบของพวกเรานี่แหละ ก็มีผู้เห็นดีร่วมด้วยบ้างเล็กๆน้อยๆ _Bua Lukpho บัว ลูกโพธิ์ · ดิฉันจะฟังธรรมด้วย และทำงานด้วย ทำไม่ได้เลย……. เพราะจะไม่รู้เรื่องในการฟังธรรมพ่อ งานก็ไม่ได้ดี หูฟังธรรมก็ไม่ครบถ้วน ต้องทิ้งงานและมานั่งจดจ่อฟังธรรมอย่างเดียว จึงจะรู้เรื่อง ………..นึกถึงว่า คนวัด ทำงานด้วย ฟังธรรมด้วย ได้ประโยชน์ 2 อย่าง คือเขาฝึกมาแล้ว สำหรับดิฉัน ฤาษี ที่ออกมาจากหลับตาได้ไม่นาน ต้องใช้ 1 อย่างเดียว จึงจะได้ผล พ่อครูว่า… เห็นใจมันไม่ง่าย คนที่จะมีปฏิภาณแววไหว รู้ทั้งภายนอกภายในพร้อมกันนี้ ไม่ง่าย ถูกหลอกให้เสียเปรียบได้กุศลอย่างไร และดิฉันได้เกิดความรู้ก็เพราะคำพ่อว่า เสียเปรียบ อย่างเสียรู้ (ถูกหลอก) เราก็ได้กุศลแล้ว ตอนแรกคิดไม่ออกเลยว่าเราได้กุศลยังไง…….. มีแต่ความเสียใจที่ถูกหลอก เสียรู้เขาไปแล้ว เสียเปรียบเขาไปแล้ว…….. พอปฏิบัติทางนี้ จึงรู้ว่า เข้าใจเองนะ ……คือ ใช้วิบากด้วย ได้ทำใจให้เห็นธรรม ………..เราเอาเปรียบเขามา เขาก็มาเอาคืนไป จำใจต้องเสีย เพราะถูกหลอกไปแล้ว ……….และ ถ้าไม่โกรธแค้น ขั้นต่อไปคือยินดีเสียสละ แม้รู้ว่าถูกหลอก ……….และยินดีเสียสละ ว่า ให้ได้อย่างไม่ต้องการผลตอบแทน คือ บุญ กราบสาธุด้วยเศียรเกล้าที่มีอยู่ค่ะ พ่อครูว่า…ผู้ถูกหลอก แล้วก็รู้ว่าถูกหลอก เราเริ่มมีปัญญาแล้วว่าเขาหลอก พอเขาหลอก แล้วเราก็ยอมเสียให้เขา เราสละไป ไม่เป็นไร ให้ได้ก็ให้ เพราะหลอกมันเป็นของไม่ดี คุณทำคุณก็ได้อกุศล เราก็ยอมเสียสละให้ไปเลย ทั้งๆที่รู้ ไม่ต้องเสียใจ เราได้กุศลแล้ว แต่เรายังถือว่า เราถูกหลอก หรือ เขาจะหลอกจริงๆก็ตาม แต่คนที่ไม่หลร มาสอนทานให้จริงๆ เลยว่าดีนะ ทานให้ไปเถอะ แม้เขาจะใช้เล่ห์เหลี่ยมขี้โกงทุจริตอย่างไร คุณก็ให้เสียไป เราเสียสละแล้ว เราก็ยังอยู่ได้ ไม่ได้เดือดร้อนจนเกินการ หรือแม้จะเดือดร้อนก็ขวนขวายช่วยตัวเอง เพราะเราโง่เลยถูกหลอก เริ่มต้นต้องฉลาดทันความหลอกของคน เพราะฉะนั้นแม้รู้ว่าถูกหลอกก็ไม่ต้องเสียใจ ยิ่งมีปัญญา รู้ว่าเขาหลอกก็เป็นกรรมของเขา กรรมที่ไปหลอกคน เหมือนอย่างนักหลอกๆทั้งหลายแหล่ เช่น ทักษิณ เป็นต้น ไปชวนน้องมาหลอก กำลังชวนลูกมาหลอกอีก แล้วใครต่อใครที่ถูกทักษิณหลอก สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ ล้วนแล้ว จะถูกหลอกให้มาครอบงำมนุษยชาติ เดี๋ยวนี้เขารู้ทันแล้วก็ชักไม่ค่อยออก ยังจะดัน ลูกสาวมาหลอกอีก คนอะไรใจร้ายจังเลย ที่จริงมันไม่ใจร้ายหรอก แต่มันโง่ ทักษิณนี่ ขออภัยที่พูดชัดเจน โง่ที่ทำกรรมวิบากใส่ตัวเองในสิ่งที่ไม่ฉลาด เป็นกรรมวิบากของเขา นี่พูดสัจธรรมวิชาการ ชาตินี้เสียชาติเกิดจริงๆ เพราะชาตินี้ทั้งชาติกระทำความชั่ว ทำความหลอก ทำความโกง ก็โกงบ้านโกงเมือง ไปไม่รู้กี่แสนล้านเดี๋ยวนี้ก็ยังกินดอก ดอกแกหลายนะทุกวันนี้ เพราะแกเอาต้นไปฝากแบงค์ข้างนอกลงทุนไว้ แกก็ได้เพราะว่ามีความรู้ความชำนาญในการลงทุนและได้ผลวิธีการแบบทุนนิยมเลวร้าย บาปมหาศาล แกจบ ดร.ทางอาชญวิทยา ก็เลยเอาความรู้ทางอาชญวิทยาไปทำเลวร้ายทไปทำผิดซวยมหาซวย แล้วตัวเองก็โง่ที่จะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองได้มา ทั้งเรียนรู้วิชาการที่เลวร้าย อาชญวิทยา เขาเอามาปราบคนที่เป็นอาชญากร แต่ตัวเองเอาไปทำอาชญากรรมเสียเอง ไม่รู้จะโง่ซับโง่ซ้อนเท่าไหร่ แต่ตัวเองไปเป็นยิ่งกว่าอาชญากรสามานย์เสียอีก ทักษิณหนอ…น่าสงสารจริงๆ _เดชา อำพร…..ท่านผู้นำอโศกไม่รู้หรอกว่า.. ทุกวันนี้นี่แหละ.. ที่เราได้ฝึกเป็นผู้ที่”ยอมเสียเปรียบ,เสียสละ”ได้แล้ว.. เมื่อได้ฟัง”คำสอน”หรือโศลกธรรม”เรื่อง”การเป็นผู้ยอมเสียเปรียบ”ของท่านผู้นำอโศก.. มาตั้งแต่ครั้งแรกๆที่ได้ฟัง(เมื่อหลายปีดีดักมาแล้ว)..นั่นเลยเทียว.. ปล.รวมทั้งเราได้ฝึก”การเป็นผู้ยอมรับคำตำหนิ”ด้วย”ใจและกิริยาที่นอบน้อมอย่างยิ่ง”ได้ด้วยแล้วนะ.. จากการฟัง”คำชี้สอน”ของ”ท่านผู้นำอโศก”เป็น”มูลเหตุ,ต้นทาง”ด้วยเช่นกัน..อีกนั่นล่ะ.. อีกเรื่องที่เราได้รับประโยชน์จาก”คำสอนของผู้นำอโศก”หรือจาก”โศลกเรื่องความโกรธ”.. ก็คือ.. “อารมณ์โกรธต้องสลัดตัดทิ้งไปเลย.. ไม่ต้องให้มีในตัวเราเลย.. ไม่ว่าด้วยกาละและเหตุผลใดๆ”.. และเราได้”พัฒนาต่อยอด”ไปจนกระทั่งเห็น(“ปัสสนา”)โทษภัยของ”อารมณ์โกรธ”แม้เล็กๆน้อยๆ(มีประมาณน้อย)ว่า.. อาจพัฒนาไปจนเป็น”ความโกรธ,โมโหใหญ่ๆ”ถึงขั้น”กระทำฆาตกรรม”ต่อ”ผู้ที่เราโกรธ”นั้น.. โดยที่เราอาจ”เผลอตัว”จน”ควบคุมไม่ได้”ด้วยนะ.. จนเราได้ปฏิญาณในใจตนเองว่า.. เราจะไม่ให้มี”อารมณ์โกรธ”เกิดขึ้นในใจเด็ดขาด(ตราบเท่าที่เรามีสติรู้ตัวเต็ม100)เลยนั่นเทียว..(ทั้งๆที่เราเป็น”ผู้มักโกรธง่าย”มาก่อนด้วยล่ะ).. ปล.ยินดีให้นำโพสต์”คำพยานของเรา”ข้างบนนี้.. เพื่อไปเผยแพร่ให้เกิดประโยชน์.. ได้ด้วยนะครับ.. พ่อครูว่า… ดีเกิดประโยชน์ได้ด้วย สมณะฟ้าไท… สู่แดนธรรม… มีคนฝากคำถามมาก่อนเข้ารายการ ว่า…พ่อท่านเคยบอกว่า มีข้อบกพร่อง ของชาวอโศกในยุคนั้นมี 4 ข้อ 1.ขี้เกียจ 2.ดูถูกคน 3.ลืมหน้าที่ที่เคยตั้งปณิธานไว้ 4.เขานึกไม่ออกเขาไม่รู้ก็เลยถามพ่อท่านว่าคืออะไร พ่อครูว่า… อาตมาก็จำไม่ได้ เอาแค่ 3 ข้อก็ได้ บอกว่า ขี้เกียจไม่มีในพระโพธิสัตว์ พ่อครูว่า… เรื่องของคำแต่ละคำ คำว่า ขี้เกียจ ถ้าพูดถึงคำนี้แล้ว อาตมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งอายุป่านนี้แล้ว ยังรู้สึกว่าความขี้เกียจนี้ อาตมาว่าอาตมาไม่มี ตอนนี้ก็แพ้สังขารตัวเองเท่านั้นว่า มันอายุมากก็เลยทำอะไรเร็วๆเยอะๆ ต่างๆนานา อย่างหนักอย่างมาก ไม่ได้เหมือนตอนหนุ่มๆเท่านั้นเอง แต่ก็ทำไปอยู่ ซึ่งโดยสัจจะมันก็จะต้องผ่อน ต้องพักผ่อน ต้องพักให้สมดุลกับเพียรให้มากขึ้น อายุมากแล้วต้องพักมากกว่าเพียร อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเขาก็พยายามอยู่ คนก็ช่วยพยายามที่จะให้อาตมาพักมากกว่าเพียร ความเพียร มันก็มากกว่าพักอยู่ ก็พยายามอยู่ มันก็ได้ และเป็นการพิสูจน์สัมประสิทธิ์ Co-efficient ความซ้อนให้เกิดพลังงานทด ไม่ยอมให้เป็นตามปกติสามัญเราต้องฝืน ปกติสามัญ ให้เป็นไปได้ อาตมาได้พิสูจน์ตัวเองมา รู้ก่อนอายุ 72 ปีแล้วก็ได้เตรียมตัวสร้าง Co-efficient จึงทำได้ สร้างสัมประสิทธิ์ได้ ว่าจะต้องอยู่ให้เกิน 72 อยู่มาได้ถึง 84 ปีก็เกินมา 1 นักษัตร แล้วจะอยู่ต่อไปให้ถึง 96 ปี สองนักษัตร แล้วจะอยู่ต่อไปอีกนะ ตอนนี้ย่างเข้า 89 ปีมาแล้ว 10 วันแล้ว ก็จะพิสูจน์ไปอีก ดูซิว่าอายุ 90 ปีจะมีพลังงานทดขึ้นมาอีกเท่าไหร่ มันจะพอรู้ตัวเอง แต่ก็รู้สึกว่ากระฉับกระเฉงขึ้นมากว่าตอนที่มันไม่ค่อยดี ตอนนี้ก็รู้สึกว่าดีขึ้นหน่อย ต่างคนก็ต่างดู จะต้องโด๊ปด้วยอะไรต่ออะไร อาตมาพยายามจะโด๊ปด้วยอาหาร พยายามกินอาหารให้มันอร่อย มันก็กินอาหารไม่อร่อยมาหลายสิบปีแล้ว มันไม่รู้จักว่าอร่อย แต่รู้จักว่าขันธ์มันต้องกิน ซึ่งใช้เวลาในการกินนาน 2-3 ชั่วโมงกว่าจะได้ปริมาณ ให้มันได้รับธาตุที่ใช้มากพอหรือเกินพอ ก็พยายามทำตามความรู้ที่พอรู้ มันไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไรมากมาย ก็พากเพียรไป ส่วนจิตนั้นมันนำไปหน้าแล้ว พยายามพัฒนาให้มันยาวยืน ก็พยายามดูว่าโรคที่จะทำให้เราตายมันไม่มีทีเดียว มันก็มี กระเปาะที่คอทำให้ไอ ส่วนโรคที่จะทำให้ตายก็มีมะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาตมาก็ไม่ได้ไปสำคัญมั่นหมายกับมัน เอ็งอย่ามาเล็งอาตมามากนะ อาตมาเล็งเอ็งก็ได้นะ จริงๆอาตมาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะก็ยังไม่มีอาการหนักหนาสาหัสอะไรมากมาย ถ้ามะเร็งในต่อมน้ำเหลือง มันจะเก่งหนักหนาอย่างไร อาตมาว่า น้ำเหลืองมันเป็นน้ำ มะเร็งในน้ำเหลืองมันเป็นมะเร็งในธาตุน้ำจะร้ายแรงเท่ามะเร็งในธาตุดินหรือไม่นะ ที่เป็นเนื้อร้าย แต่นี่น้ำร้ายมันเกิด เราไม่รู้เราก็ช่างมันเถอะ อาตมาว่ามันจะมีมันก็มีมา เราไม่ได้ซื้อหามา มันมาเอง หนูเปล่านะเขามาเอง อาตมาก็มีอารมณ์ขันอย่างนี้แหละ สู่แดนธรรม… ในยุคผมเป็นแอดมิน Page ธรรมะนำทาง มีผู้แสดงความเห็นวิจารณ์ว่าพระอรหันต์จะไม่เป็นมะเร็ง เขาสันนิษฐานว่ามะเร็งเกิดจากอารมณ์เครียด พระอรหันต์ไม่มีความทุกข์ความเครียดแล้ว พระอรหันต์ย่อมไม่มีสิทธิ์เป็นมะเร็ง อันนี้เขาเดาเอาใช่ไหมครับ พ่อครูว่า… เขาเดาเอา ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องวิบาก หรือไปหามาเอง อาตมาบอกแล้วไม่ได้ไปซื้อตามร้านขายยา ห้างสรรพสินค้าอะไรมาเลย เจ้ามะเร็งนี้ แล้วมะเร็งก็ไม่ใช่เป็นโรคเหมือนโควิด ที่เป็นโรคติดต่อ เป็นเรื่องที่เขายังพิจารณาตัดสินไม่ได้ มันเป็นกรรมพันธุ์หรือเปล่า ทุกวันนี้เขาก็ยังพิจารณากันไม่ได้ว่าเป็นกรรมพันธุ์หรือเปล่า เพราะมันไม่เหมือนกันกับโควิด โควิดนี้ไม่เป็นกรรมพันธุ์หรอก อย่าเผลอ มันเอาเจ้าแน่ แต่มะเร็งนี้ เอาเชื้อมะเร็งไปต่อให้ มันไม่ติดต่อ ไม่ใช่โรคติดต่อเลย เขาถึงนึกว่ามันเป็นเรื่องของโรคกรรมพันธุ์หรือเปล่าด้วยซ้ำ สู่แดนธรรม… เพราะฉะนั้น ถ้าไปวินิจฉัยว่ามะเร็งเกิดจากความเครียดอย่างเดียว ไม่ได้ใช่ไหมครับ มันเกิดจากความผิดปกติทางฮอร์โมนได้ไหม พ่อครูว่า… ก็ไม่ทีเดียว เขาว่าเป็นเพราะกรรมพันธุ์หรือเปล่า มันไม่ใช่โรคติดต่อ เขายังรู้ต้นตอหรือสมุฏฐานของมะเร็งไม่ได้ แต่มันก็เกิดในแต่ละคนๆโดยที่ยุคนี้มันเป็นยุคที่หลอก ทั้งกิน ทั้งเต้น ทั้งดีด ทั้งหลง ทั้งคิด ทั้งอะไร มันเป็นหมดเลย มันทำให้พิกลพิการในร่างกาย สับสน เยอะแยะ มันก็เกิดการไม่สมดุลในอาการ 32 ของตนเอง เมื่อมันไม่สมดุล มันก็เกิดความพิกลพิการ นั่นแหละไอ้ตัวมะเร็งก็คืออย่างนั้นแหละ มันมากมายเลยที่ไปผสมผสานอยู่ในชีวิต เพราะฉะนั้นผู้ใดไปยุ่งอยู่กับทางโลกมากๆ ไม่ปลอดภัยจากมะเร็งหรอก แต่ผู้ที่ไม่ค่อยไปยุ่งกับทางโลกมากๆ มีโอกาสปลอดมะเร็งได้มาก นอกจากจะเป็นวิบาก เป็นกรรมวิบากของคุณที่ติดมา คุณก็เป็นโรคชนิดหนึ่ง ที่เป็นโรคที่จะทำให้ตายได้ จนกระทั่งถือว่า มะเร็งเป็นโรคร้าย แต่ค่อยๆช่วยกันได้ขึ้นมาเรื่อยๆ ก็มียาสามารถบำบัด อาตมาไม่รู้ว่าขี้เกียจคืออะไร จนมีแต่คนบอกขยันเกิน ดูถูกคน อันนี้อาตมาทำ อาตมาดูถูก คนที่ชั่วก็ต้องดูถูก และต้องข่มคนชั่ว คนดีก็ยก ทีนี้คนดีที่จะยก อาตมาก็ไม่อยากไปยกคนดีทางโลกีย์เท่าไหร่ บอกตรงๆ เพราะยกคนดีแล้วเหลิงและลอย สำหรับคนดีทางโลก เพราะเขายังเป็นโลกียะ ยังหลงใน รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ลาภยศสรรเสริญสุข ถ้าไปทำแล้วจะยิ่งเสริมให้เขาหลงติดเยอะขึ้นไป ควรข่ม ควรบอกจุดไม่ดีของเขา คือ ดูถูกเขาให้เยอะๆ เพราะเขาไม่ดีอย่างไร บอก ต้องอย่างไร ต้องพูดต้องข่ม ต้องสาธยาย ต้องกระหน่ำแล้วกระหน่ำอีกว่าเขามีจุดบกพร่องอะไร ดีก็ดีแล้วส่วนดี แต่ส่วนไม่ดีต้องกระหน่ำเลย เริ่มต้นเช่นมีภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติที่ผิดแล้วจะยิ่งแย่ หากเลิกหลับตาปฏิบัติได้ประเทศไทยเจริญ เรื่องที่จะพูดนี้คือเรื่องของ ทิฏฐิ ในการเห็นหลักปฏิบัติผิดเพี้ยนเรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ หลักปฏิบัติของพระพุทธเจ้าในเรื่องของคำว่า อานาปานสติ ผู้มิจฉาทิฏฐิจะปฏิบัติอานาปานสติในขณะหลับตาหนีเข้าป่า แล้วเห็นว่าหลับตาหนีเข้าป่าปฏิบัตินี่แหละจะได้สมบัติที่ชื่อว่า จรณะ วิชชา หลงว่า จะได้วิชชา จรณะ ด้วยการหนีเข้าป่าแล้วไปนั่งหลับตาสะกดจิต หลับตาสะกดจิต คำนี้ก็ยังเข้าใจกันยาก มันต่างกัน อาตมาก็ยังไม่เก่งเท่าไหร่ พยายามอธิบายแต่ยังเข้าใจกันไม่ได้ ในบรรดาพุทธคุณทั้ง 9 ของพระพุทธเจ้า มีข้อเดียวเท่านั้นที่พูดถึงภาคประพฤติและผลของการประพฤติ คือจรณะ 15 วิชชา 8 หรือวิชชาจรณะสัมปันโน ใน 9 ข้อนั้นอีก 8 ข้อเป็นคำยกย่องพระพุทธเจ้าทั้งนั้น เป็นฉายาที่ยกย่องท่านทั้งนั้นไม่ใช่ตัวคำสอนและภาคที่จะปฏิบัติให้เกิดผล เป็นของพระพุทธเจ้าโดยตรงอีก 8 ข้อ ส่วนข้อวิชชาและจรณะ เป็นของทุกๆคน ที่จะต้องเรียนรู้ตาม และปฏิบัติตาม ให้เกิดผลตามจนกว่าคุณจะได้เป็นพระพุทธเจ้าและได้รับฉายาอีก 8 ข้อนี้ตามท่าน เพราะฉะนั้นในความสำคัญของพุทธคุณ 9 เนื้อแท้จึงอยู่ที่จรณะวิชชา เรียกเต็มๆว่า วิชชาจรณะสมบัติ คือภาคประพฤติและปัญญา วิชชาคือปัญญา จรณะ คือ ความประพฤติ ภาคปฏิบัติมีตั้งแต่ เรียนรู้จักคำสอนซึ่งไม่ใช่คำสั่ง คำสั่งเป็นเรื่องของแบบศรัทธาเขาทำ สายปัญญาไม่ใช้คำสั่ง แต่ใช้คำสอน สอนแล้วใครเต็มใจยินดีพอใจก็มาเอา มารับไปปฏิบัติ คำว่า อานากับอาปานะ กับ สติ มีคำอยู่ 3 คำ อานา กับ อาปานะ จะใช้อันไหนสลับกันระหว่างลมหายใจเข้า ลมหายใจออกก็ได้ ไม่เป็นไร เป็นสิริมหามายาเป็นคำสลับไปสลับมาได้ กำหนดให้ถูกก็แล้วกัน สัญญาอย่างไร กายอย่างใด ให้ตรงกันก็แล้วกัน อานาอาปานะ สรุป การปฏิบัติอานาปานสติอย่างมิจฉาทิฏฐิ เหมือนสายอาจารย์มั่น สายมหาบัว การปฏิบัติมิจฉาทิฏฐิ ใช้ลมหายใจเข้าออกเหมือนกัน โดยลไปเข้าใจว่า การปฏิบัติที่ใช้ลมหายใจเข้าออกนี่แหละ เป็นเครื่องยังสติสัมปชัญญะแล้วให้เกิดปัญญา ด้วยการนั่งอยู่กับที่และหลับตาด้วย ตัดทวารทั้ง 5 ข้างนอกอีก ไม่รู้ว่ามิจฉาทิฏฐิอย่างนี้ เต็มๆรูปอย่างนี้ มันจะอวิชชาหรือมันจะโง่ไปถึงไหน มันจะบรรลุธรรมไม่ได้ เพราะมันไม่มีความฉลาด มันไม่มี ฉฬายตนะ ไม่มีความรู้ทั้ง 6 ทวาร มีแต่ความรู้ทางทวารเดียว คนมันมีความรู้ทั้ง 6 ทวาร ข้างนอกตั้ง 5 ทวาร ตาหูจมูกลิ้นกาย และไปปิดมัน แล้วไปหลับตา คำว่า กาย เป็นคำกลาง ที่มีทั้งภายนอกและภายใน 2 อย่าง และของศาสนาพุทธอย่าทิ้งภายนอก ถ้าทิ้งภายนอกไปเอาแต่ภายใน ไม่เอาภายนอกเลยนั่นคือ มิจฉาทิฏฐิ 100% การปฏิบัติอย่างสายหลับตาอาจารย์มั่น สายมหาบัว จึงเป็นสายมิจฉาทิฏฐิ ที่เรียกว่า 100% เลย ทิ้งได้เลย เลิก มาลืมตาเริ่มต้นปฏิบัติไปตามลำดับ ที่พาฝึกพาเรียนรู้ ไปตามขั้นตอน ศีล สมาธิ ปัญญา หรือศีล แล้ว อปัณณกปฏิปทา 3 เกิดสัทธรรม 7 เกิดฌาน ฌานเป็นมรรค บุญเป็นผล แต่ฌานกับการปฏิบัติ ฌานจะเป็นผลจากการปฏิบัติ ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 หลักปฏิบัติไม่ผิด อปัณณกปฏิปทา 3 ของศาสนาพุทธ ถ้าไม่มี 3 ข้อนี้ผิดเลย เพราะไปหลับตาเข้าแล้วไม่ตื่น ไม่พยายามตื่น แต่พยายามหลับ พยายามสะกดจิตดับไปเลย หนักเข้าเป็น อสัญญีสัตว์ แล้วไปหลงว่า อสัญญีสัตว์เป็นนิโรธหรือนิพพาน ซึ่งเป็นมิจฉาทิฐิไปใหญ่หมดเลย เพราะฉะนั้น เมื่อลมหายใจออก ลมหายใจเข้าของเรายังมี แสดงว่า คนยังไม่ตาย คนนี้ยังมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นชีวิตสามัญที่เราจะทำอะไรต่ออะไรได้ กาย วาจา ใจ ครบ กัมมันตะทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมอย่างตื่นๆ ถ้าคุณหลับไปก็จะมีแต่มโนกรรมอย่างเดียวเลยโดยที่คุณควบคุมมันไม่ได้ เพราะฉะนั้นคุณต้องตื่นมาควบคุมมันได้ พยายามควบคุม พยายามตื่นรู้ด้วยชาคริยานุโยคะ ตื่นรอบรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจให้ตื่นเต็มร้อย แล้วปฏิบัติ หลับตามันปฏิบัติได้ยาก กว่าที่คุณจะคุมสติและสตินี้จะมีพลัง สามารถควบคุมการหลับ โดยที่คุณไม่มีความคิดที่จะมีสัญญากำหนดหมายออกไปฟุ้งซ่าน ไปหาอะไรเลยหรือกิเลสมาครอบงำ สัญญาก็ตกเป็นทาสของกิเลสไป เป็นปุถุชน เป็นกัลยาณชนก็ตกเป็นทาสของกิเลสไป มันต้องเป็นอาริยะชนที่เก่งจะไปควบคุมได้ในขณะหลับ ทีนี้ในขณะหลับ คุณก็ฝึกไปสะกดจิตในขณะหลับตา หลับ คุณก็ใช้สมถะกดข่ม มันก็ได้ผล สูงสุดก็ได้แค่ ฌาน 7 ฌาน 8 ตาม อาฬารดาบส อุทกดาบส มีอยู่ในตำราคำสอนทั้งนั้นอย่างนั้นน่ะเลิกเลย ซึ่งพระพุทธเจ้าก็สุดสงสาร อาฬารดาบส อุทกดาบส ว่าเมื่อตรัสรู้แล้วจะไปโปรด เพราะตั้งแต่บวชมาใหม่ๆ พระพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้จะไปพบกับพราหมณ์ทั้งสองปรากฏว่าตายไปแล้ว 7 วัน พระพุทธเจ้าถึงได้บอกว่าตายไปด้วยทิฐิและมรรคผลสิ่งที่เขาได้แบบนั้นจะจมอยู่ในสัมภเวสี ไม่มีที่เกิด จิตที่ยังจรล่องลอยอยู่แถวไหน ซึ่งจะต้องไปตามกรรมเหมือนกัน ต้องไปตกนรกแล้วทำผิดอย่างนี้ มันจะได้สวรรค์ที่ไหน ย่อมได้นรก นรกหลงด้วยเป็นนรกสงบ ใจสงบนั้นมีความฟุ้งซ่านอยู่ในจิต มันสะกดได้เก่งก็ไม่มีอะไร แต่มันสะกด คุณมีพลังกดหมดพลังกดก็เป็นไปตามวิบากที่คุณมี พอไปตายแล้ว ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายที่จะไปช่วยดึงให้ตื่น มันก็เลยต้องอยู่ในจิต มีแต่หลับกับหลับง่ายที่สุด คุณจะฝืนขึ้นมาเพื่อที่จะตื่น ไม่ได้ คุณจะจมอยู่ในจิตจิตในจิต ซึ่งมันหลับง่าย ไม่มีอะไรสะกิดเลย มันยิ่งจมไปในจิตดับ แล้วคุณก็ไปถนัดความดับ ชอบความดับอีก มันกี่ซับกี่ซ้อน อวิชชา ที่จะต้องเอาดับๆ อสัญญีนี่แหละคือนิโรธ มันก็เลยยิ่งไปกันใหญ่เลย หลับตามันโมฆะบุรุษ แหมอาตมาพูดแรง พูดมาก พูดเยอะตีหลับตา เพราะถ้าสามารถตีหลับตาให้ตื่นได้ แล้วมาเรียนรู้เริ่มต้นตามที่อาตมาอธิบายสาธยายแล้ว แล้วปฏิบัติไปตามลำดับที่อาตมา คุณไม่ต้องมาบอกก็ได้ ไม่ต้องให้ใครรู้ก็ได้ปฏิบัติเอาเองก็ได้ ขอให้ถูกต้องสัมมาทิฏฐิเถอะ ถ้าเมืองไทย เมืองพุทธสามารถถูกต้องสัมมาทิฏฐิ ตื่นมาได้จากการหลับตา เมืองไทยจะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณอย่างหนึ่งเลย แหม… อาตมาทำงานมา 50 กว่าปียากยิ่งกว่าโจรร้ายที่ไปทำลายศาสนา แล้วพระราชาให้ไปฆ่าโจรร้ายนี้ด้วยหอกร้อยเล่ม เช้า หนังเหนียว ไม่รู้สึกรู้สา อย่าว่าถึงตาย พระราชาเจอกลางวันอีกถามว่าตายหรือยัง ก็ยังพระเจ้าค่ะ ก็ไปฆ่าด้วยหอกอีก 100 เล่ม ฆ่าเสร็จแล้วกลับมา ด้วยความเฟล ฆ่าแล้วก็ล้มเหลวอีก จนกระทั่งพระราชามาพบอีก ก็บอกว่า มันตายหรือยัง ให้ไปฆ่าตอนกลางวันด้วย หอก100 เล่มอีกไปแล้วหรือ แล้วมันตายหรือยัง ก็ยังพระเจ้า ก็ให้ไปฆ่าด้วย หอก100 เล่มตอนเย็นอีก ละไว้ในฐานที่เข้าใจ หมดหอก ไปกี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นกี่แสนเล่มอาตมาซัดด้วยหอกอาตมานี่ ยังไม่ตายพะยะค่ะ ผู้ที่ตื่นแล้วแล้วก็มา ใครเคยไปหลงนั่งหลับตาบ้างยกมือขึ้น มาก่อนทั้งนั้น อาตมาก็ยกมือด้วย อาตมาเป็นหลับตาทางไสยศาสตร์ แม้ชาตินี้ก็เป็นลิงลมอมข้าวพองไปหลงไสยศาสตร์อยู่ 8 ปี มันควรจะไปหลงแค่ 6 ปีเหมือนพระพุทธเจ้า แต่ดันไปหลงตั้ง 8 ปี โพธิรักษ์ สู่แดนธรรม… เขาก็เถียงว่าที่พ่อท่านทำมันเป็นไสยศาสตร์ไม่เหมือนที่เขาทำ พ่อครูว่า… ยิ่งกว่าไสยศาสตร์อีกที่เขาทำ ไสยศาสตร์นั้นยังตื่นเต็มนะ พวกนี้หลับเอาหลับเอา พวกที่เต้นผางผางๆออกมาหาเงินหาลูกค้า แต่นี่ไม่เอา นี่เข้าไปหลับๆๆๆ ยิ่งกว่านะ เป็นไสยศาสตร์ที่หนักกว่าไสยศาสตร์อีก ฟังภาษาให้ออก อวิชชามากกว่า สู่แดนธรรม… ถ้าพ่อท่านสามารถช่วยพระสายหลับตาให้มีสมาธิ ทำแบบที่พระพุทธเจ้าสอน อยากจะเห็นภาพในอนาคตว่าประเทศไทยเราจะเจริญขึ้นกว่านี้อย่างไรครับ พ่อครูว่า… ก็จะได้เลิกหลับตางมงายอยู่ในป่าในเขา ให้เอาแรงกาย แรงใจ แรงปัญญาไปจมอยู่ในความโง่ดักดานอย่างนั้น ให้ขึ้นมาพบกับมนุษยชาติทั้งหลายแหล่ มาช่วยมนุษยชาติ ตามบารมี ตามฐานะของตน แม้จะได้น้อย ก็ยังดี ดีกว่าไปหลงจมและจม อย่างนั้น เพราะการที่จะทำประโยชน์ ไม่ใช่เอาตัวเองปลีกไปแล้วนั่งหลับตาบรรลุคนเดียว ไม่ใช่ ศาสนาพุทธไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิหนักหนาขนาดนั้น บรรลุนี้จะต้องมาตื่นรู้และมี จักขุ ปัญญา ญาณ วิชชา อาโลก ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาดับๆไม่รับรู้ ไม่ใช่ไปทำกรรมที่ดับ ดับกรรม ดับกิริยา ดับอาการ ดับอะไรไปทั้งหมด มันไม่ใช่ ขอพูดย้อนพูดซ้ำพูดซากมาหลายทีแล้วโลกุตรธรรมมันเสื่อม เสื่อมอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับ อัมพัฏฐมานพ ว่า ความเสื่อมของศาสนาพุทธคือคนจะหลงออกป่า นึกว่าผู้ที่มีจรณะวิชชาสมบัติคือผู้ที่อยู่ในป่า แล้วไปหลงจมอยู่ในป่า ไปสร้างเรือนไฟอยู่ในป่า 4 ข้อ ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 อัมพัฏฐสูตร และในอินทริยภาวนาสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ๑๐. อินทริยภาวนาสูตร (๑๕๒) [๘๕๔] พอนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามดังนี้ว่า ดูกรอุตตระ ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่า ฯ อุ. แสดง พระโคดมผู้เจริญ ฯ พ. ดูกรอุตตระ แสดงอย่างใด ด้วยประการใด ฯ อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยินเสียงด้วยโสต ฯ พ. ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริยพราหมณ์ ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอดไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตกก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ ฯ [๘๕๕] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า อุตตรมาณพศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นิ่ง คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ จึงรับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ ปาราสิริยพราหมณ์ ย่อมแสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างหนึ่ง ส่วนการเจริญอินทรีย์อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ ย่อมเป็นอีกอย่างหนึ่ง ฯ ท่านพระอานนท์ทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต เป็นการสมควรแล้วที่พระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงการเจริญอินทรีย์อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่า ในวินัยของพระอริยะ ภิกษุทั้งหลายฟังต่อพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ ฯ พ. ดูกรอานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ [๘๕๖] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรอานนท์ ก็การเจริญอินทรีย์อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ เป็นอย่างไร ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้นแล้วเช่นนี้ ก็สิ่งนั้นแล เป็นสังขตะ หยาบอาศัยกันเกิดขึ้น ยังมีสิ่งที่ละเอียด ประณีต นั่นคือ อุเบกขา เธอจึงดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย อุเบกขาจึงดำรงมั่น ดูกรอานนท์ ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ได้เร็วพลันทันที โดยไม่ลำบากเหมือนอย่างบุรุษมีตาดีกระพริบตา ฉะนั้น อุเบกขาย่อมดำรงมั่น ดูกรอานนท์ นี้เราเรียกว่า การเจริญอินทรีย์ในรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ ฯ พ่อครูว่า… ในยุคนี้ สายพระอาจารย์มั่นอาจารย์เสาร์ อาจารย์เสาร์เป็นอาจารย์ของอาจารย์มั่น อาจารย์มั่นเลยเป็นอาจารย์ใหญ่เพราะเก่งกว่าอาจารย์ มหาบัวสอนเก่งกว่าอาจารย์มั่นอีก เลยมีลูกศิษย์ลูกหาเยอะกว่าอีก จนกระทั่งรวยลาภ ยศ สรรเสริญ สักการะ แล้วเลยเหลิงไปกับลาภ ยศ สรรเสริญ สักการะ หนักหนาสาหัส ไปปฏิบัติอานาปานสติโดยมีลมหายใจเข้าออกนะ แต่ไปนั่งหลับตามีลมหายใจเข้าออกแล้วสุดท้ายไปมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิตรงไหน ตรงที่นั่งหลับตาแล้วก็พิจารณากาย พิจารณาลมหายใจเข้า ลมหายใจออกนี่แหละ เหลือเศษเท่านี้ ยังเหลือความเป็นกายแค่ยังมีความรู้สึกกับลมหายออกมีภายนอก ลมหายใจเข้ามีภายใน หนักเข้าตัดลมหายใจออก มีแต่ลมหายใจอยู่ภายใน ที่จริงลมหายใจเข้าออกก็ยังมีอยู่หรอกแต่ตัวเองตัดความรู้สึกตัดความรอบรู้ทั้งสัญญาและเวทนา สัญญาหรือเจตสิกที่รู้ เวทนาคือเจตสิกที่เป็นตัวรู้สึก เขาตัดกายภายนอกหมด เหลือแต่กายภายใน ที่จริงกายเขาก็ไม่มีด้วยเขาเอาแต่จิต อย่าออกมาภายนอกเลย แล้วก็นั่งสะกดจิต เขาถือว่าสัมมาสมาธิของเขาเกิดจากนั่งหลับตา แต่ที่จริงมิจฉาทิฏฐิกันคนละฟากฝั่งเลย แล้วเขาก็ปฏิบัติอย่างนั้นไป ก็กลายเป็นเรื่องสมมุติ เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เป็นเรื่องสารพัดที่จะเป็นเรื่องโลกจินตา เขาไม่รู้โลกจินตา คือ โลกแห่งความคิด ต่างคนต่างอยู่กับภพของตนเอง เขาก็คิดของเขาคนเดียว ความคิดของคนไม่ได้ไปจับยัดใส่ของคนอื่นได้ เวทนาของใครก็เวทนาของมัน สัญญาของใครก็สัญญาของมัน เขาก็คิดอยู่ในภพของเขาไป เสร็จแล้วไปหลงว่าตรงกับคนนั้นคนนี้แล้วตื่นมาก็บอกว่าตรงกัน แต่ที่จริงไม่ใช่ ต่างคนต่างมีอาทิสมานกาย ต่างคนต่างไม่เห็นของใคร ไม่รู้ของใคร แต่มาพูดกัน ดูเหมือนว่ามันตรงกัน เป็นอุปาทานหมู่ เป็นสัมโภคกาย ร่วมกัน เดา ว่าอย่างเดียวกัน ก็มันเดาไม่ยาก เพราะมันรวมกัน ไปหาหนึ่งเดียว แล้วต่างไปหลงความคิดของตนเอง จะคิดอย่างโลกๆ เพ้อฝันก็ได้ นิรมาณกาย เป็น ของตนเองหมด แล้วมาอุปาทานหมู่สัมโภคกาย แท้จริง อทิสมานกายต่างคนต่างเห็นของตัวเองคิดไปเองทั้งนั้น เพราะฉะนั้น กาย 3 ของมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างนั้น มันต่างจากอานาปานสติแบบลืมตา มันคนละโลกกันเลย กลายเป็นผีสัมภเวสี หลับหูหลับตาจมอยู่อย่างนั้นของตัวใครตัวมัน จะมีก็แค่สัมโภคกาย คือความรู้เป็นอุปทานหมู่ ซึ่งเป็นความโมเม เป็นการไม่รู้เรื่องกัน เดาทั้งนั้น เดาตรงกันก็เลยพูดกันรู้เรื่อง เท่านั้นเอง เป็นความรู้ขั้นเดา ภาษาอังกฤษว่า Doubt เขาอธิบายไม่ได้อย่างอาตมาหรอก รูปขันธ์นามขันธ์เป็นอย่างไร กิเลสเป็นอย่างไร ขันธ์ 5 เป็นอย่างไร อภิสังขารเป็นอย่างไร อธิบายไม่ได้หรอก อภิสังขาร แม้แต่สังขารก็อธิบายไม่ออกได้แต่ดับ ดับฆ่ากิเลส แล้วพูดโวหารรอบโลกเลย คำพูดลวงโลก แล้วคนก็ฟังขึ้นนะ เพราะไปสรรหาคำที่เรียกว่าทำให้คนเข้าใจ ไปในเชิงที่เขาต้องการให้เข้าใจได้ คนก็เลยเข้าใจตามที่เขาสรรหาคำพูดมาพูดเก่ง ถ้าไม่กินหมากจะพูดเก่งกว่านี้อีก แต่นี่ไปกินหมากก็เลยติดขัดบ้าง ขนาดกินหมากพูดเก่งขนาดนี้ ถ้าไม่กินหมากจะพูดเก่งกว่าอาตมาเยอะ แล้วไม่รู้ว่ากินหมากคือการเสพติดขั้นตื้นๆ ลูกศิษย์ก็หลงว่า เป็นพระอรหันต์ ทั้งที่สังคมโลกทุกวันนี้เขาก็เลิกกันหมดแล้วเรื่องการกินหมาก เขารู้ว่าเป็นสิ่งเสพติด มันไม่ใช่ของลึกซึ้งละเอียดลอออะไร เป็นของตื้นๆหยาบๆง่ายๆ ง่ายแค่นี้หลวงตาบัวยังไม่รู้เรื่องเลย ยังซัดกันอยู่เลยพวกสายหลับตาปฏิบัติ กินหมากมีเยอะ แต่คนที่ตื่นมาไม่กินหมากก็ยังพอมีเยอะเหมือนกัน อธิบายอานาปานสติลืมตา กันชัดๆ ตลอดเวลา ที่ยังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ คุณจะต้องรู้จัก กาย ถ้าคุณไม่รู้จักกาย เบื้องต้นต้องรู้จัก 2 อย่าง อันแรกคือรู้จักภายนอกภายใน มีจิตเจตสิกต่างๆ คุณทิ้งไม่ได้กายต้องมี 2 อย่าง ภายนอกภายในต้องมีพร้อมกัน แล้วรู้อื่นๆอีกอยู่ในนั้นโดยการลืมตา นี่เป็นข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ต้องรู้ความเป็นกายที่แยกกายแยกจิต ให้ได้ ว่าเมื่อไหร่มีกายในจิตเจตสิก เมื่อไหร่ไม่มีกายในจิตเจตสิก ก็ต้องเข้าใจกายที่ไม่มีได้ ว่า คำว่า กายนี้ เป็นเรื่องของสิ่ง 2 สิ่ง 2 สิ่ง เทวะ ภาวะ 2 กายก็ภาวะ 2 เทวะก็ภาวะ 2 แต่เทวะ 2 ของ 2 สิ่งนี้คือ สุขทุกข์ เมื่อไหร่มีกาย เมื่อนั้นมีสุขมีทุกข์ เมื่อไหร่ไม่มีกาย เมื่อนั้นไม่มีสุขไม่ทุกข์ ด้วยการดับความสุขความทุกข์ ดับอย่างมีสติสัมปชัญญะ ปัญญา เมื่อนั้นคือ อาริยะ สมณะฟ้าไท… สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin15 มิถุนายน 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:650613 คนโง่ซวย รวยเด่น และเป็นกลาง รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 41NextNext post:ฉบับที่ ๕๓๓(๕๕๕) นสพ.ข่าวอโศก ฉบับปักษ์แรก มิถุนายน ๒๕๖๕Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024