650613 คนโง่ซวย รวยเด่น และเป็นกลาง รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 41 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1Ro6Hxx3mWwOJxgvbwPY69PWLbS8H2zi8MpDQwltJZFs/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1EOpv1CI3ENQWb-thCieoMkg85ntMEkuR/view?usp=sharing ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/dCR3Ser-oJ/ และ https://youtu.be/AHQQEwm6M3s _สู่แดนธรรม…วันนี้วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก พ่อครูสอนเรื่องโลกุตรธรรม ที่เป็นไปเพื่อเบื่อหน่ายคลายกำหนัด เป็นไปเพื่อความสงบรำงับความดับทุกข์ เป็นความยากที่จะสร้างสังคมโลกุตระขึ้นมาได้ พ่อครูว่า… SMS วันที่ 8-9 มิ.ย. 2565 _วันชัย ลิ้มตระกูล · ฟังเสียงพ่อท่านตั้งแต่ปี 2525 จนวันนี้ เสียงพ่อไม่เปลี่ยนเลย พ่อครูว่า…อาตมาว่าเสียงเปลี่ยนไปนะ ไม่เหมือนตอนหนุ่มๆที่ทั้งเร็วไวและเสียงแรงกว่านี้ เห็นความต่างของเสียงที่มันต่างไปบ้าง แต่โทนลึกๆ ไม่ทิ้ง DNA ของเสียงเดิมของเรา จะมีคาแรคเตอร์มีความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งเสียงของแต่ละคนจะไม่เหมือนกันทีเดียว ผู้บรรลุอรหันต์ จะบอกได้ว่าตนเป็นอรหันต์อย่างไม่เก้อยาก _Weerasak Kamsui • วีรศักดิ์ คำซุย 55555 อรหันต์ก็มีหลายแบบ หลายลัทธิ แต่อรหันต์แบบพระพุทธเจ้า ก็อีกแบบ พระอรหันต์ที่แท้จริง เมื่อมีคนถามท่านกลับตอบว่า”มีแต่ “หัน” หน้า หัน หลัง” นี่แหละ…มีแต่กล่าวว่า “เราสิ้นทุกข์แล้ว” เราไม่ได้เป็นอะไร เราไม่มีอะไร ไม่เอาอะไร…ส่วนอรหันต์ “แบบ โพธิรักษ์” กล่าวว่าเรา “เป็น” เราคือ “อรหันต์” ต่างกันนะครับ55 พ่อครูว่า…ไม่กล้ากล่าวคำว่าเราเป็นอะไร ไม่ง่ายนะ คนเราจะรู้คำว่าอรหันต์นี้ยิ่งใหญ่ ชาวพุทธเรารู้ว่ายิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นมันมีจิตตัวที่รู้มั่นใจ แน่ใจ ชัดเจนจริงๆ จึงจะกล้ากล่าว จึงจะมีอาสโภ แกล้วกล้าอาจหาญจะกล่าว จิตตัวนี้สำคัญมาก อาสโภ จะกล้ากล่าวว่าตัวเองเป็นอรหันต์และกล่าวยังไม่ มังกุ ไม่มีจิตไหว มีแต่แน่นิ่งแน่วจริงตรงเป๊ะไม่เคลื่อนไม่ไหวไม่มีอายเกื้อเขินยากไม่มี มีแต่ความจริงใจ ตรงหนึ่งชัดเจนมั่นใจ เพราะฉะนั้น อรหันต์จริงจะกล้ากล่าว ต้องไปศึกษาคำสอนในพระไตรปิฎกดีๆ ใน ปัจเวกขณ์ 10 ถ้ามีผู้ถามว่าท่านบรรลุธรรมอะไรบ้าง เราจะตอบได้อย่างไม่มีมังกุ (เก้อยาก) ไม่มีจิตสะดุดที่จะลำบากที่จะตอบ ในนี้ในโลหิจสูตร แย้งกันว่า ผู้บรรลุย่อมไม่บอกใคร(มิจฉาทิฏฐิ) พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสกับ โลหิจจพราหมณ์ โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่… ฯลฯ ” . พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ ๒ คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง (พตปฎ. เล่ม ๙ ข้อ ๓๕๘) สรุปว่า เพราะไปเข้าใจผิดว่าผู้บรรลุแล้วบอกตัวเองว่าบรรลุไม่ได้ จนกระทั่งมีปราชญ์ในเมืองไทยบอกไว้ว่า ผู้ที่บอกว่าตัวเองบรรลุ ผู้นั้นไม่บรรลุ บอกว่าอย่างนี้เลยซึ่งขัดแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้าที่กล่าวใน โลหิจสูตรหรือ อภิณหปัจเวกขณ์ ข้อที่ 10 ซึ่งมันตรงกันข้ามไปหมด เมื่อมีความเข้าใจผิดกันมา และเป็นความซับซ้อนของคน คือ คนที่ไม่บอกไม่อยากให้ใครมาบอกว่าตัวเองบรรลุหรอก เพราะฉะนั้น มันจะมีข้อเปรียบเทียบขึ้นมา เราก็ทำทีว่าเราเป็นอรหันต์ แล้วบอกว่าผู้บรรลุแล้วไม่บอกใครหรอก เพราะว่าบอกว่าพูดแล้วจะเกิดการเปรียบเทียบ บอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ ทีนี้อย่างอาตามาบอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ กับผู้ไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ก็เพราะว่าท่านไม่กล้า ท่านจึงพูดว่าพูดกันว่าเป็นอรหันต์แล้วบอกไม่ได้ เพราะคนบอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์แล้ว ปาราชิกเลยนะ แม้จะมีคุณธรรมเป็นอรหันต์จริง ก็บอกไม่ได้ บอกอ้างไปในพระวินัยเลย ขืนบอกกับฆราวาส บอกกับอนุปสัมบัน แล้วผู้นี้เข้าใจอนุปสัมบันแค่ตื้นๆว่า ผู้บวชเพียงพิธีกรรม ไม่เข้าใจอนุปสัมบันว่า ผู้ไม่มีภูมิธรรมจะรับได้ต่างหาก เช่น ไปบอกว่า เราบรรลุอรหันต์กับเด็กๆ กับผู้ที่ไม่ประสีประสา พูดไปทำไม ผู้ที่มีภูมิธรรมสามัญก็รู้อยู่แล้วว่าพูดไปทำไม มันเหมือนพูดกับเด็กๆ พูดกับคนไม่รู้เรื่อง อวดตัว ว่าตัวเองเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ แล้วเด็กเขาไม่รู้เรื่องเลย ว่า มันสูงส่งขนาดไหน มันดีอย่างไร พูดไปให้เสียแรงเสียเวลาเสียน้ำลายไปเปล่าๆก็เท่านั้นพูดไปทำไม แค่ปฏิภาณไหวพริบแค่นี้เขาก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจผิดแล้วว่าผู้บรรลุแล้วบอกใครไม่ได้ จึงเกิด ศาสนา เดา ศาสนาพุทธ จึงกลายเป็นศาสนาเดา เดากันเอา เพราะท่านบรรลุเป็นอรหันต์แล้วบอกใครไม่ได้ต้องเดาเอา บอกไม่ได้ เมื่อเข้าใจอย่างนี้จึงพูดแค่เลี่ยงๆว่า เรานี่ เราหันรีหันขวาง เราสิ้นทุกข์แล้วเราไม่ได้เป็นอะไร เราไม่มีอะไร เราไม่เอาอะไร ก็ไม่กล้าตอบว่า เราเป็นอรหันต์ จะพูดแต่ภาษาให้คนอื่นเขาคิดว่า ลักษณะอย่างนั้นมันเป็นอย่างไร ก็ให้อ่านเอาเอง ซึ่งอ่านเอาเองมันก็ไม่ได้ง่าย บอกตรงๆว่าเป็นอรหันต์ก็จะเข้าใจง่ายกว่า แล้วขยายความละเอียดของจิตที่เป็นอรหันต์ อาตมาก็อธิบายจิตที่เป็นอรหันต์ด้วยภาษาทุกอย่าง อ้างอิงเทียบเคียงยืนยันกับพระไตรปิฎกตามคำสอนพระพุทธเจ้ามาตลอด ละเอียดลออความพระไตรปิฎกว่ากันจริงๆ เพราะ ฉบับนี้เป็นของพระมหากัสสปะเป็นประธาน เป็นพระไตรปิฎกที่รวบรวมไว้นิดเดียว แบบเข้มข้นค่อนไปในทางพระป่าด้วย ซึ่งอาตมาไม่ใช่สายพระมหากัสสปะ อาตมาสายธัมมานุสารี มันคนละขั้ว มันต่างกันด้วยสัจจะ อาตมาพูดความจริงที่ตัวเองมีตัวเองเป็น แล้วพูดเป็นเชิงออกจะข่มๆพระมหากัสสปะด้วย เพราะท่านเป็นสายสัทธานุสารี อาตมาสายธัมมานุสารี สายปัญญาวิมุตติ ซึ่งท่านยากจะออกไปสู่ ปัญญาวิมุติ สรุปแล้ว คุณวีรศักดิ์ ควรไปศึกษาให้ดี ยังเข้าใจอาตมาไม่ได้ ไม่ใช่ว่าอาตมารังเกียจไม่สบายใจเพราะคุณไม่เชื่ออาตมา อาตมาก็ยังสบายใจ ให้ติดตามกันไปให้ชัดเจน ยิ่งถ้าเข้ามาอยู่ในหมู่กลุ่มชาวอโศกให้ดีๆ ที่คุณสนใจในธรรมะ อาตมายินดีกับคุณมากเลยที่สนใจศึกษาติดตาม ค้นความถูกความผิดของธรรมะพระพุทธเจ้าให้ดีๆ อาตมาขออนุโมทนาอย่างยิ่ง _Davis Low • เดวิส โลว์ ละลาบละล้วง ดูถูก ด้อยค่าพระอรหันต์เกินไปแล้ว กาย กับ จิต พระอรหันต์ ผ่านการบำเพ็ญบารมีทั้งสิบประการมาชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ ย่อมต่างจาก กาย และ จิต ของคนธรรมดา ดูแต่กายพระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้ จะปฏิสนธิได้ก็เฉพาะในครรภ์ผู้อธิษฐานจิตเป็นพุทธมารดาเท่านั้น หาได้ปฏิสนธิเรี่ยราดในครรภ์ทั่วไปไม่ ครรภ์อื่นรับกายชนิดนี้ไม่ได้ จิตของพระโพธิสัตว์จะจุติ ก็จุตได้เฉพาะกายนี้ จะไปกายอื่นไม่ได้ คุณภาพกายไม่ถึงจิตพระโพธิสัตว์ กายและจิตชนิดนี้ คุณภาพย่อมสูงกว่ากายและจิตทั่วไป เมื่อจิตบำเพ็ญอิทธิบาทสี่บริบูรณ์ กายก็สามารถดำรงค์อยู่ได้ชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ ซึ่งกายและจิตคนธรรมดาทำไม่ได้ ส่วนที่ไครอ้างเป็นพระอรหันต์ ก็เรื่องของเขา ต้องดูว่าคุณสมบัติถึงใหม ยังประกอบมิจฉาอาชีวะไหม ยังอยู่ตึกหลายชั้นใหม นอนห้องแอร์หรือปล่าว มีรถราคาหลายล้านกี่คัน มีที่กี่แปลง บ้านกี่หลัง เมียกี่คน ถ้ามีก็ไม่ใช่ เพราะพระพุทธเจ้าท่านทิ้งหมด จึงตรังสรู้ได้ ถ้ายังมีอยู่ตรัสรู้ไม่ได้ มันเป็นปฏิปักข์กันโดยธรรมชาติ ถ้าได้ก็ไม่ต้องออกจากวังทิ้งลูกทิ้งเมียให้ลำบากแล้ว แสวงทางหลุดพ้นอยู่ในวังไม่ดีหรือ สะบายกว่ากันเยอะเลย พ่อครูว่า…คุณพูดถึงความลึกซึ้งซับซ้อนมากในเรื่องบารมีของกรรมวิบากของมนุษยชาติอย่างลึกซึ้ง แต่คุณพูดอย่างเข้าใจอย่างเจโต คนทุกคน บรรลุเป็นสิทธัตถะ บำเพ็ญบารมีเป็นสิริมหามายาได้อย่างเป็นสภาวะธรรม ซึ่งไม่ใช่เป็นตัวตนบุคคลเหล่านั้น แต่เป็นสภาวะธรรมเลย ถ้าจะไปรอเป็นตัวตนบุคคล มันก็ผ่านไปหมดแล้ว พระนางสิริมหามายาสิ้นพระชนม์แล้ว เจ้าชายสิทธัตถะหรือเป็นพระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว ก็ได้แต่พูดถึงตำนานเท่านั้น เรื่องนี้จะพิสูจน์กันยาก แต่การพิสูจน์สัจธรรมที่เป็นสภาวะธรรมปัจจุบันนั้นทำได้ พิสูจน์ตรงกัน แม้จะไม่ใช่พระพุทธเจ้าแต่เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 อย่างอาตมาก็ตาม จะมีสภาวะธรรมที่ร้อยเรียงตามคำสอนมาเป็นลำดับๆ แน่นอน ศึกษาให้ดีๆ คุณตัดสินได้หรือไม่ว่าองค์นี้เป็นพระอรหันต์ คุณมีภูมิถึงขั้นนั้นจริงหรือ อาตมาขอตอบสรุปก็แล้วกันว่า เพราะคุณคนนี้ยังไกล ยังสับสน ขอตอบสรุปก็แล้วกันว่าคุณสับสนระหว่างโพธิสัตว์กับพระพุทธเจ้า คุณเอาคุณสมบัติของพระพุทธเจ้ามาพูด ในขณะที่คุณกำลังพูดกับพระโพธิสัตว์ แล้วคุณจะให้พระโพธิสัตว์มีคุณสมบัติเหมือนกับพระพุทธเจ้า คุณผิดแล้ว มันไม่ใช่ คนละฝา คนละตัว คนละขนาด แต่คุณสับสน คุณพูดผิด ไปไตร่ตรองตรวจทานที่คุณพูดมาให้ดี อาตมายังไม่เคยบอกว่าตัวเองมีกรรมกิริยา มีพฤติกรรม อะไรต่างๆนานา เป็นพระพุทธเจ้า อาตมาไม่เคยบอก แต่บอกเสมอว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ แค่ระดับ 7 และพยายามขึ้นเป็นระดับ 8 อย่างนี้เป็นต้น พูดมาทำมาเป็น 50 ปีกว่าแล้ว ติดตามให้ดีๆ อย่าโมเม จับแพะชนแกะ มันบาป พูดผิดคนอื่นเขาฟังเชื่อตาม มันบาปนะคุณ คนที่พูดแล้วทำให้คนหลงผิดหลงเชื่อความผิด มีกรรมวิบากเป็นอกุศลกรรม บาป เข้าใจอันนี้ให้ได้ก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นอย่าพยายามพูดในสิ่งผิด มันเป็นกรรมที่เป็นอันทำนะ คุณทำผิดจะบอกว่าไม่เอาอันนี้แล้วลบล้างทิ้งก็ไม่ได้ กรรมเป็นอันทำ แม้การคิดก็เป็นกรรมเป็นอันทำ พูดก็เป็นอันทำ ออกทางกายวาจาใจก็ครบเต็มรูป กรรมเลยเป็นกัมมันตะ _ใบแพร นาวาบุญนิยม พ่อครูว่า… ผู้ศรัทธาอาตมา มีปัญญาลึก จึงเจตนาพูดออกมาให้คนอื่นรู้ เช่น พูดว่าด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง เป็นการส่อเจตนาเขา อาตมาไม่เคยไปแนะนำให้เขาพูดว่าเคารพอย่างสูงยิ่ง ไม่ได้มีวิธีการอย่างนี้เลย แต่จิตลึกๆของเขา เขาเข้าใจของเขา เขาเชื่อมั่นของเขาจริง พูดคำๆนี้ มันเป็นสัจจะอันเกิดจริงเป็นจริงตามความเป็นจริงที่เขารู้สึกที่เขาเองเขาเกิด เกิดความเป็นจริงของจิตเขา เพราะฉะนั้นเขาศรัทธาในผู้นำ ใช่ เพราะอโศกคือผู้สืบทอดศาสนาก็ใช่อีก เพราะอโศกคือศาสนา จะตีความว่า อโศกคือศาสนา ก็โดยปริยาย โดยความเข้าใจปริยาย ได้ ภาษาคำว่าอโศก แต่สภาวธรรมเป็นศาสนา ตั้งแต่อาตมาทำงานมา ออกบวชมาก็ได้ฉายาชาวอโศก ก็เป็นเรื่องของศาสนาทั้งนั้นโดยเฉพาะศาสนาพุทธ ที่เป็นโลกุตระด้วย อโศกคือ ผู้สืบทอดศาสนา ใช่ที่สุด ใครที่คิดจะทำลายอโศกก็คือทำลายศาสนาอันนี้ก็จริง ใบแพรเขาพูดก็ถูก แต่คนตื้นๆ เขาจะไม่รู้สึกหรอกใครทำลายโพธิรักษ์ หรือใครทำลายอโศก คือผู้ทำลายศาสนาพุทธ เขาจะไม่ลึกซึ้งปานนั้น คุณเข้าใจก็ดีแล้ว เอาละ ของคนอื่นบ้าง … มีกลอนของเพื่อนสมณะเด่นตะวัน ๏ จันทร์สามสิบพฤษภ์สิ้น วิสาข์ มาสแฮ เดือนดับลับโลกา มืดกลุ้ม แต่จันทร์ไม่ปลาสนา ไปตลอด ย่อมเปลี่ยนเวียนแสงชุ่ม- ฉ่ำให้โลกเย็น.ฯ ๏ เป็นคติมีชั่วแล้ว เจ็ดที ย่อมจักเกิดสิ่งดี ส่งให้ ดีครบเจ็ดหนมี มาสู่ รอเถิดรอ,รอมาได้ เกือบจะแล้วแปดฉนำ.ฯ ๏ วันนี้ทำจิตให้ สว่างงาม เลิกลุ่มหลงพวกทราม สุดร้าย อย่าปล่อยให้โลกหยาม ย่ำเหยียด มองว่าเมืองไทยคล้าย โลกล้านปีคง.๚ะ๛ พ่อท่านว่างๆ. ให้ดูโคลงบทนี้ว่าถูกต้องดีไหม. เพื่อนผมส่งมาให้. ผมไม่เก่งหรือเรียกว่าไม่รู้เรื่องโคลงเลยดีกว่า สมณะเด่นตะวัน…. พ่อครูว่า… ก็ใช้ได้มีภาษาโคลง อาตมาแต่งโคลงตั้งแต่เรียน ม.3 ม.4 อ.ภา ศรีจันทร์ สอนที่ รร.วัดกลาง อาตมาเริ่มเรื่องกวีโคลงกลอนฉันทลักษณ์มาตั้งแต่บัดนั้น ก็มีความรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่บัดนั้นมา 70 กว่าเกือบจะ 80 ปีแล้ว ก็เข้าใจ มันมีทั้งสำเนียง และอีกหลายอย่างของความไพเราะในโคลงสี่สุภาพ เรียนรู้ดีๆ อาตมาไม่วิจารณ์ต่อ _บ้านเล็กเมืองน้อย… กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยความเคารพรักยิ่ง ขอร่วมรำลึกถึง “บุคคลผู้หนึ่ง” ผู้ได้เพียรพยายามมุ่งที่จะสอนให้ผู้คน ได้รู้จักเส้นทางแห่งการพ้นทุกข์ ด้วยสูตรใบไม้กำมือเดียวของพระพุทธเจ้า อย่างเต็มความสามารถ แต่กลับถูกตราหน้าเป็นขบถศาสนา ถูกย่ำยีจากผู้มีอำนาจที่เสียผลประโยชน์ในสังคม เป็นเหตุให้ถูกพุทธศาสนิกชนเหยียดหยามรุมประณาม จนแทบจะไม่มีที่ยืน แต่ผู้แพ้อย่างท่าน…. ก็ยังคงเดินหน้าเปิดเผยสัทธรรมแท้ ยืนหยัดทวนกระแสอย่างมุ่งมั่นดุจเดิม ทุ่มเทชีวิตอุทิศจิตวิญญาณ เพื่อกอบกู้พุทธศาสนา ให้ “ศีล” หยั่ง..ลงเป็น “สมาธิ”..ด้วย “ปัญญา” จนธรรมฤทธิ์ วิชิตอวิชชา ปุถุชนหันมาสั่งสมวิชชาจรณะสมบัติ ทั่งจึงได้…กลายเป็นเข็ม เป็นคนอโศกที่มี “วรรณะ” มีบ้าน วัด โรงเรียน เป็น “บวร”.. มีจิต “บุญนิยม”.. ถึงขั้น “สาธารณะโภคี” มี “๓ อาชีพกู้ชาติ” เป็น “อายะ ๓” ช่วยกอบกู้โลก…………… สัทธรรมที่ท่าน “ผู้สยังอภิญญา” ย้ำซ้ำๆมาตลอด ๕๐กว่าปี … เปรียบได้ดั่งปั้นจั่นที่ตอกแก่นแกนวิมุตติ ให้หยั่งลงจนสำเร็จเป็น “แผ่นดินพุทธ” ………… ………แม้จะย่างเข้าสู่วัย๘๘ปี “อภิภู” ผู้คืนชีพแก่กลองอานากะท่านนี้ ยังคงมุ่งมั่นสืบสานพระพุทธศาสนา เพื่อปลุกชมพูทวีปขึ้นมาใหม่ ให้อยู่ต่อไปได้จนถึง ๕๐๐๐ ปี อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ของผู้เป็นตำนานที่ยังมีชีวิต ท่านนี้ ย่อมควรค่าอย่างยิ่งที่จะร่วมรำลึกกัน……………. …………..แต่วัฏจักรของโลกเป็นขาลง ดูดรั้งเข้าสู่กลียุค…. โลกียชนล้นโลกจึงยากจะประจักษ์ได้ สำหรับผู้มีปัญญาพอ จะคาดการณ์การล่มสลายของระบบทุนนิยม ในอนาคตอันใกล้นี้ออก ……..ย่อมจะเข้าใจได้ว่า……… “ประภาคาร” ที่ชาวโลกตีทิ้งอย่างไร้คุณค่า ให้ทนตากแดดคลื่นลมอยู่กลางทะเลในตอนกลางวัน จะกอบกู้ชีวิตจิตวิญญาณได้มากมายเพียงใด ….ในยามค่ำคืนอันมืดมิด ที่ “ทอร์นาโด ระดับ F5” กำลังจะมาเยือน ขอกราบอนุโมทนา บุคคลผู้นั้น… “พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์” อย่างสูงสุดยิ่ง และขอกราบอาราธนาให้พ่อท่านมีสุขพลานามัยแข็งแรง เบิกบานสำราญใจ ………. พักผ่อนให้พอเพียง……เขียนหนังสือแต่พอเหมาะ จะได้มีหนังสือออกใหม่ให้อ่านได้เรื่อยๆ….ไปอีกนานๆ………. ชาวโลกรุ่นหลังๆ ก็จะได้มีโอกาส “รำลึกอย่างอโศก” เข้าสักวัน…………………… พ่อครูว่า… ขอยืนยันว่า ชมพูทวีปได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองไทยในขณะนี้ที่มีธัมมิกราช 2 องค์มากอบกู้ศาสนา ในหลวงท่านสิ้นพระชนม์ไปแล้ว อาตมายังอยู่ แต่คนก็ยังไม่เข้าใจได้ง่ายๆ เพราะนามธรรมนั้นรู้ได้ยากกว่ารูปธรรม คุณคนนี้ทำนายว่า ทอร์นาโด เหมือนภัยธรรมชาติเหมือนสึนามิที่จะทำให้คนในโลกตายอย่างไม่ดี ทอร์นาโดหรือสึนามิมา คนก็ตายโหง ตายเป็นเบือ ตายมากมายก่ายกองเป็นแสนเป็นล้านคน มันใกล้กลียุคจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ปิดบังแต่เรื่องรู้กันทั่ว โดยสามัญผู้สนใจศึกษาศาสนาไม่ว่าศาสนาใดก็รู้ จะเกิดการล้างโลกเกิดกลียุคก็รู้กัน ความรู้ ความฉลาด ความจริง มาพูดถึงเนื้อหาที่อาตมาคิดว่าจะพูดวันนี้ อาตมาตั้งภาษาไว้ 3 คำคือ ความรู้ ความฉลาด ความจริง ความรู้ก็คือความรู้ ทีนี้รู้ขั้นฉลาด ก็คงเข้าใจกัน คำว่ารู้ที่สูงขึ้นจากความรู้ธรรมดา เป็นความฉลาด คนมีธาตุรู้ก็รู้กันทั่วไปทั้งนั้น แต่คนที่จะถือว่าเป็นคนฉลาด (ภาษาไทย) ซึ่งเป็นภาษาที่กร่อนมาจากคำว่า ฉฬายตนะ แปลว่า อายตนะ 6 (ฉฬ แปลว่า 6) คือ มีผัสสะจะเกิดสภาพ 2 จากตากระทบรูป หูระทบเสียง ลิ้นกระทบรส จมูกกระทบกลิ่น กายสัมผัสภายนอก กายและใจ กับใจอีกเป็นอายตนะ 6 ก็จะเกิดรู้ขึ้นมา เกิดรู้ขึ้นมาแล้วสามารถเข้าใจในเรื่องอายตนะ ฉฬายตนะ เรื่อง อภิภายตนะ ขึ้นไปเป็นต้น ความรู้เรื่องอายตนะ 2 ที่เกิดจากผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ล้าง ตัณหาอุปาทานออกไป ก็จะเกิดความเจริญฉลาด ที่เกิดจากกระบวนการของอายตนะ 6 ซึ่งมันเกิดปฏิกิริยา แบบโลกๆขึ้นมา ได้ศึกษาตามบรรลุธรรมขึ้นไปตามความรู้ความฉลาดรู้แจ้งเห็นจริงในความเป็นอายตนะของมนุษย์ เจริญพัฒนาขึ้นไปเป็นความรู้ระดับไปสู่ความจริง ความรู้ความฉลาดความจริง 3 คำนี้ ความจริงคือเป็นสิ่งที่แท้เป็นสิ่งที่จริงเป็นสิ่งที่จบ เป็นสิ่งที่หมดคำอธิบาย เป๋น Axiom เป็นคำสุดท้ายที่เป็นความจริงที่ยืนยันสุดท้ายแล้ว ตามภูมิหรือตามสิทธิ ของคนที่เกิดความเข้าใจ คนที่มีความรู้ความฉลาดจนถึงความจริงที่สูงสุด Axiom มันไม่มีอะไรจะขยายขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว เช่น เทวนิยมเขาเข้าใจว่าพระเจ้าเป็น Axiom ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว คำสอนของพระเจ้าหรือความเป็นพระเจ้าก็ตาม เที่ยงแท้เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว ทีนี้ศาสนาพุทธนั้นอธิบายซ้อนขึ้นไปว่า ความจริงที่เป็นพระเจ้านั้น คือคน ความรู้ความฉลาดจะเกิดกับ อุตุธาตุเกิดกับดินน้ำไฟลมไม่ได้ หรือแม้แต่จะเป็นพืชกับ พีชะ ก็จะสามารถมารู้ความจริงก็ไม่ได้อีก ขนาดความรู้ของจิตนิยาม ความรู้ของธาตุรู้ขั้นจิตนิยาม เป็นมนุษย์ ยังมีขีดขั้น รู้อย่างโง่ๆ รู้อย่างทำบาปอกุศลอีกเยอะมีมากมายในมนุษย์ จนกระทั่งมาทำดีได้ ก็ดีไปตามลำดับของโลกียธรรม กว่าจะเป็นมนุษย์ผู้มีจิตวิญญาณ หรือมีความรู้ ความฉลาด ความจริง เข้าขั้นโลกุตรธรรมนั้น เป็นคนที่ต่างโลกต่างดาวกับเขา ข้ามขั้นไปอันนี้แหละสุดยอดแห่งความลึกซึ้ง ความรู้ ความฉลาด ความจริง ของผู้ที่ถึงขั้นโลกุตรธรรม เลยขีดของโลกียธรรม เพราะฉะนั้นขั้น ความรู้ ความฉลาด ความจริงนั้น ความรู้มีได้ในคนทุกคนเรียกว่าปุถุชน เขามีความรู้สามัญของเขาไป จนกระทั่งมีความฉลาด ความฉลาดของคนที่รู้ยิ่งกว่าความรู้ปุถุชนทั่วไป ก็จะเป็นกัลยาณชน เป็นคนดี ยืนยันความดี แต่ความดีนั้นยังอยู่ในเขตของโลกียธรรม ถึงเรียกว่ากัลยาณชน เป็นคนจริง มีความดีขึ้นไปเรื่อยๆ เลิกกรรมชั่วทำกรรมดี แต่ยังอยู่ในกรอบความวนอยู่ในโลกียะ ยังไม่ออกมาจาก วงวน cyclic order โลกียะ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สู่แดนธรรม… ผมได้เคยฟังธรรมบรรยายของพ่อท่าน มานาน พ่อท่านเคยแบ่งคนเป็น 2 ประเภท คือ เวไนยสัตว์กับอเวไนยสัตว์ อเวไนยสัตว์ก็ยังแบ่งเป็นอเวไนยสัตว์โลกียะกับโลกุตระ คือพวกรู้โลกุตระไม่ได้นั่นเอง คนโง่ซวย รวยเด่น และเป็นกลาง พ่อครูว่า… อาตมากำลังขยายจากสามอย่าง ความรู้ ความฉลาด ความจริง ความรู้อย่างปุถุชนก็รู้กันทั่วไปผิดบ้างถูกบ้างมั่วกันไป พอศึกษาคนอีกชั้นหนึ่ง ขึ้นมาเป็นขั้นกัลยาณชน เรียกว่า เป็นความฉลาด ในความดี ทำดี ไม่ทำชั่ว ละชั่วให้ได้มากๆ ก็มีความรู้เรื่องชั่วเรื่องดี อยู่ในวงของโลกียะ จนกว่าจะข้ามขั้นมาเป็นอาริยชน หรือ เดิมเขาเรียก อริยชน อาตมาไม่ใช้คำว่าอริยชนแล้ว เพราะมันเพี้ยนไปเป็นแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธไปแล้ว เข้าใจผิดในธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้าก็เรียกตนเองว่าอริยะ ดีไม่ดีเรียกตัวเองถึงอรหันต์แต่มันไม่ใช่ อาตมาจึงไม่ขอใช้คำว่าอารยะ แต่มาใช้คำว่า อาริยะแทน ทีนี้คำว่าอาริยชน คนก็มาแย้งอาตมาว่า ไม่มีคำนี้หรอกในภาษาธรรมะ มีแต่อริยะ หรือไม่โลกๆใช้คำว่า อารยะ เขาก็ใช้กันทั่วไป เป็นความเจริญคนโลกๆ เป็นประเทศเจริญ ประเทศอารยะ เขาก็ใช้กันทั่วไปเป็นสากล ส่วน อริยะ เขาใช้กันว่าเป็นผู้เจริญทางธรรมะ ซึ่งมันเพี้ยนไปแล้ว อาตมาก็เลยไม่เอา มาใช้คำว่า อาริยะ ซึ่งเขาแย้งอาตมา อาตมาก็ว่ามี ในศาสนาพุทธมีคำว่า ศรีอาริยเมตไตรย คนที่จะมีภูมิขั้นอาริยะจะต้องมีสัจจะที่จริงเพียงพอ อาตมาให้ความหมายอย่างนั้น ก็เป็นขั้น ปุถุชน กัลยาณชน อาริยชน คนทั่วไปรวมตัวกัน ที่รักความดีไม่ทำความชั่วเขาก็เรียกว่าอารยชน อย่างเก่งได้เป็นกัลยาณชน ในโลกทางตะวันตกเทวนิยมเขาก็เป็นคนดีเป็นกัลยาณชนแต่ดีแบบโลกีย์ ยังข้ามขั้นมาเป็นโลกุตระยังไม่ได้ เพราะฉะนั้นอาริยะชนจึงหมายถึงโลกุตรชน หรือโลกโลกุตระอีกโลกนึง อาตมาก็เลยใช้ ภาษาสรุปว่า คนที่มาเป็นปุถุชนมาเป็นกัลยาณชนมาเป็นอารยชน ปุถุชนก็เป็นสังคมโลกียะ อาตมาก็สรุปว่า ก็ยังอยู่ในความโง่ความซวย โง่ซวย ต่อมาอีกขั้นหนึ่งเป็นขั้นกลาง กัลยาณชน อารยชน ก็ขึ้นมารวยเด่น โง่ซวย แล้วมารวยเด่น จนกว่าจะเป็นอาริยะชนเข้าขั้นโลกุตระจึงจะเป็น กลาง ว่าง สงบ สันติ สบาย(สัปปายะ) คนในระดับต้นเรียกว่า โง่ซวย วนในโง่ซวย แล้วเขาไม่รู้ว่าเขาทำความโง่เขาทำความซวยให้แก่ตัวเองและสังคมเขาไม่รู้ เขาหลงผิดนึกว่าทำความดีแต่แท้จริงทำความชั่ว นึกว่าทำความถูกต้องแต่ที่แท้ทำความผิด คือยังไม่มีความแม่นยำในเรื่องของความจริง ปนกันเละ เรียกว่าโง่ซวย พวก 2 รวยเด่น พวกนี้เป็นกัลยาณชน สูงสุดของกัลยาณชนก็ได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของทางเทวนิยม อย่างที่มีกันอยู่ในโลกเยอะแข่งกันด้วย ศาสดาต่างๆ ศาสนาใหญ่ๆมีไม่กี่ศาสนา ยังมีศาสนาและศาสนาน้อยที่เป็นกัลยาณชน แล้วตัวเองพยายามเป็นคนรวย คนเด่นคนดัง คนกล้าก็แล้วแต่ในโลก โง่ซวย รวยเด่น อันสุดท้ายโลกุตระ อริยชน นั้นคือ เป็นกลาง ทำจิตให้เป็นกลาง คำว่า เป็นกลาง คำนี้ยิ่งใหญ่ ความเป็นกลาง ภาษาบาลีว่า มัชเฌณ ความเป็นกลาง ท่ามกลาง สภาพเป็นกลาง ผู้ที่ปฏิบัติธรรม เข้าถึงความเป็นกลางอยู่ในขั้น 8 เป็นโพธิสัตว์ระดับสูงคือขั้นอภิภู หรือเป็นคนที่มี อนุปคัมมะ เป็นคนที่มีคุณสมบัติ บัญญัติเรียกว่าอภิภู มีคุณสมบัติที่เป็น อนุปคัมมะ คือมีคุณสมบัติขั้น อภิภุยยะ ใช้ ย.ยักษ์ไม่ใช่ ญ.หญิง ที่เป็นอีกวรรค ที่ ความรู้ยังไม่ถึงขั้น ย.ยักษ์ ฉะนั้นความเป็นกลางของผู้ที่ถึงขั้น เป็นกลาง จะเป็นคนมีปัญญา คนที่เป็นกลางไม่ใช่คนโง่ คนที่เป็นกลางเป็นคนที่มีปัญญาสูงมีทั้งคุณณวิเศษคุณสมบัติข้างใน อย่างที่กล่าวมาแล้ว ผู้ที่ยิ่งใหญ่เอกอุ อาตมาขยายความ อภิภู คือ ผู้ยิ่งใหญ่มีความเป็นเอก เป็นผู้ที่มีโลกุตรธรรม อุตรธรรม อุตระนั้นขั้นปัญญา ความรู้ปัญญา 8 ของพระพุทธเจ้านั้นคนที่เป็นกลางจะมีความรู้ของปัญญาแปด ความรู้ชนิดโลกุตรธรรมต้องสั่งสม อัญญธาตุ คือธาตุโลกุตรธรรมที่จะเข้ามาสู่อีกโลกอีกโลกหนึ่ง คนจะค่อยๆสะสม ถ้าผู้ใดไม่ได้ฟังธรรมะจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า หรือไม่ได้ฟังจากผู้ที่เป็นสัตบุรุษ คือผู้ที่มีความรู้ที่สืบทอดมาจากพระพุทธเจ้า หรือ สยังอภิญญา หรือผู้มีความรู้ที่อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิ ที่สอนสัมมาทิฏฐิได้ แต่ตัวเองไม่บรรลุ รู้ได้ถูกต้อง สอนได้ถูกต้อง แต่ตัวเองไม่ได้บรรลุธรรม เป็น สีลัพพตปรามาส คือรู้แล้ว สัมมาทิฎฐิแต่ตัวเองไม่ได้ปฏิบัติที่ไม่เอาถ่านในตัวเอง นี่คือคนระดับ 1 ถ้า สีลพตุปาทาน คือ คนอีกระดับหนึ่ง คือ คนนับถือศีล ตามจารีตประเพณีที่เขาพาปฏิบัติอย่างโน้นอย่างนี้แต่ไม่สัมมาทิฏฐิเลย มีแต่จารีตประเพณีเป็นกันไป อย่างทุกวันนี้ถือศีลตามจารีตประเพณี บอกได้เลยทางเถรสมาคมปฏิบัติศีลมีแต่จารีตประเพณีไม่เคยเข้าถึงจิตไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่มีสัทธรรม 7 ไม่เกิดฌานจริงเลย ไม่เข้าสู่จรณะ 15 เพราะไม่มีปัญญา ปัญญาตัวแรกเข้าใจตามสัตบุรุษ มันก็ไม่เกิด พระพุทธเจ้าไม่ได้เกิดในยุคนี้ ไม่มีสัตบุรุษมาเกิด ก็ไม่ได้เข้าใจตามสัตบุรุษ เห็นสัตบุรุษเป็นพวกนอกรีตผิดไปอีก กลับ อย่างนั้นด้วยน่าสงสาร จริงๆ เขาเข้าใจผิดน่าสงสารเพราะเขายังหลงวนเวียนอยู่กับโลกเก่าๆ ที่ไม่สัมมาทิฏฐิ ออกจากกรอบโลกโลกีย์ที่มันโง่ซวยไม่ได้เลย อย่างเก่งก็วนอยู่ใน รวยเด่น ซึ่งเป็นอารยธรรมของมนุษยชาติเป็นกัลยาณชนธรรมดา ในกรอบของโลกีย์เท่านั้น ยังไม่เข้าขั้นสัมมาทิฏฐิแม้แต่คำว่า กาย คำว่า กาย ผู้มีปัญญาได้รับสืบทอดจากพระพุทธพระพุทธเจ้าก็ดี เป็นผู้รู้แจ้งรู้จริงในสัมมาทิฏฐิ จะสามารถเข้าใจปัญญาข้อที่ 3 ปัญญาข้อที่ 1 ได้ฟังจากผู้รู้ ปัญญาข้อที่ 2 เข้าไปไต่ถามปัญหาซักถาม อีกตั้งเยอะกว่าจะมีปัญญาเข้าขีด อัญญธาตุ ถึงขั้น 50 หน่วย ถ้าถึง 100 หน่วยก็มี อัญญธาตุ 100 เต็ม ก็จะต้องมีถึง 75 หน่วย สามในสี่จึงจะถือว่าเป็น อัญญธาตุ ที่เที่ยงแท้มีโลกุตระที่จริงที่จะบรรลุได้ ที่จะมี สัมโพธิปรายนะ จะบรรลุไปสู่ที่สูงที่สุดของศาสนาพระพุทธเจ้าได้ ดังที่ พระพุทธเจ้าอุทานกับพระอัญญาโกณฑัญญะว่า อัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ อัญญธาตุ ได้เกิดขึ้นที่จิตของอัญญาโกณฑัญญะแล้วหนอ อัญญธาตุ ที่พระพุทธเจ้าท่านอุทานกับคนคนแรกของศาสนาพุทธ ของพระพุทธเจ้าสมณโคดม เริ่มเปิดเผยธรรมะโลกุตรธรรม ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรพระสูตรแรก โกณฑัญญะก็เข้าใจเลย ถึงเป็นคนแรกของศาสนาพุทธสมณโคดมที่เกิด อัญญธาตุ อัญญะแปลว่าอื่น ต่างจากโลกียะทั้งหมด ที่เป็นโลกอื่นจากโลกีย แยกมา จนเป็นหน่วยที่อาตมาขยายความ ถึง 75 หน่วยเข้าขั้น นิยตะ ถ้าเลย 50 ก็ไปเข้าเขตของผู้รู้จริงแล้วแต่ก็ยังไม่เชื่อว่าเที่ยง ยังยึกยัก แต่ถ้า ไปถึง 75 % 3 ใน 4 แล้วก็มีความเที่ยงไปสู่ที่สูงที่สุด ไปสู่สัมโพธิปรายนะได้ การใช้ศัพท์ไทยๆง่ายๆ ผู้ที่ฟังแล้วเข้าใจ มีสิทธิ์แล้ว จะรู้จักความจริงที่เรียกว่า อัญญธาตุ สั่งสม อัญญธาตุ จนกระทั่งถึงหน่วยที่จะแสดงออกให้คนอื่นเขารู้ได้ ขนาดพระพุทธเจ้าจะรู้ได้นี้ โกณฑัญญะต้องมีหน่วย อัญญธาตุ มีหน่วยของโลกุตรธรรมถึง 50 60 ถึง 75 % ขึ้นไป คิดดูสิมันไม่ง่าย คนที่ยังไม่มี อัญญธาตุ เกิดเลยยังไม่มีหน่วยกิตของโลกุตรธรรม หน่วย 1 ก็ยังไม่เกิด 2 หน่วย 5 หน่วย 10 หน่วย 20 หน่วยยังไม่เกิดเลย ยังวนเวียนอยู่ในโลกียตลอดเวลา ก็ยาก เช่น คนที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังศาสนาพุทธเลย อย่างชาวเทวนิยมในโลกตะวันตก ตะวันออกกลาง ยุโรปทั้งหลาย เป็นต้น ถ้าในโลกของเอเชียมีศาสนาพุทธ หรือในอินเดียมีศาสนาพุทธ ก็ยังพอจะมีบัญญัติผ่านหูเรื่องพุทธศาสนาบ้าง แต่ในโลกของโลกีย์ เทวนิยม ทางยุโรปก็ดี อเมริกาก็ตาม อเมริกาเขาก็เริ่มมีพุทธศาสนา เริ่มมีการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยแล้ว ประกาศปริญญาบัตรระดับศาสนาพุทธเป็นปริญญาเอกด้วย แต่ผู้สอนนั้นเป็นคนที่เป็นคริสต์นั่นแหละ อาจจะเป็นชาวพุทธด้วย แต่ยังไม่ได้มาศึกษาเข้าถึงสภาวะมีแต่ภาษาบัญญัติก็ได้แค่นั้น มั่วๆไม่ชัดเจน ไม่ใช่ดูถูกเขานะ แต่วิจัยตามวิชาการให้ฟัง เพราะฉะนั้นคนที่ยังเป็นโลกีย์ สรุปก่อนว่า ยังโง่ซวย คนเป็นอารยะ หรือกัลยาณชนจะรวยเด่น จนกระทั่งเป็นอาริยชนเป็นโลกุตรธรรม จนกระทั่งสูงสุดถึงขั้นเป็นกลาง อนุปคัมมะ บรรลุความมีและความไม่มี คำว่า เป็นกลาง ผู้ที่บรรลุความเป็นกลางแล้ว ที่คุณวีรศักดิ์ คำซุย หรือคุณเดวิส โลว์ บอกมาก็ตาม ขอขยายความคำว่า อนุปคัมมะ แปลว่า ผู้เป็นกลาง เป็นผู้ที่ควบคุม เป็นผู้ที่มีอิทธิพลครอบงำ คุมภาวะโลกหรืออัตตา บรรลุรัตนยังไม่ส่งสักทีเดียว แต่เข้าขีดอภิภู เป็นผู้ที่มีภูมิโพธิสัตว์ระดับ 8 ขึ้นไปเรื่อยๆ คนๆนี้จะบรรลุธรรมอย่างชนิดที่เรียกว่า จะรู้จักความมีกับความไม่มี อัตถิกับนัตถิหรือโหติกับนโหติ แปลเป็นภาษาไทยว่า มีกับไม่มี แล้วมีอะไรกับไม่มีอะไร คนที่มีความเป็นโลกียะ แม้แต่ความเป็นอารยะ อริยะ อาริยะ รู้รายละเอียดของสิ่งเหล่านี้ บรรลุแล้วด้วย จึงอยู่ในท่ามกลางโลกที่เขามีกับไม่มี มีขนาดระดับโง่สวยเราก็รู้ มีระดับรวยเด่นแล้วก็รู้ มีระดับเป็นกลางเราก็รู้ รู้หมด แล้วเป็นได้ด้วย มีจิตเข้าขีดขั้น ระดับ 8 ระดับ 7 ก็พอรู้แล้วแล้วก็สะสมบารมีที่จะมีความรู้เป็นอภิภู หรือ ความรู้ในระดับ อนุปคัมมะ อย่างอาตมา อาตมามีแล้วเริ่มมีแลว พูดกันว่าอาตมาจะขึ้นระดับ 8 ซึ่งเอาตัวเองเป็นตัวอย่างยืนยันความจริง ให้คุณพิสูจน์ ถ้าอาตมาพิสูจน์แล้วมันผิด อาตมาหน้าแหกหน้าแตกหมอไม่รับเย็บเอง แต่ถ้าอาตมาพิสูจน์ยืนยันคนจะยอมรับและเข้าใจสัจธรรม สัจธรรมก็จะเดินหน้า อาตมาจึงมั่นใจว่าจะให้สัจธรรมเดินหน้า คิดว่าอาตมาไม่มีทางทำให้หน้าแตก ก็อาตมามีความจริงมีความรู้ ไม่ใช่มีความรู้เฉพาะฉลาดเท่านั้น แต่มีทั้งความรู้ความฉลาดความจริง ฉลาดมาจาก ฉฬายตนะ ธรรมดาคนสามัญก็มีอายตนะ 6 หากคนไม่พิการ ก็สามารถรับสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย จิตรับรู้ความรู้สึก หรือมี เวทนาสัญญาสังขารในสิ่งเหล่านี้ คนๆนั้นมีอายตนะฉฬายตนะ ทั้ง 6 แล้ว ยิ่งเป็นคนที่ใฝ่ธรรมศึกษาธรรมเป็นกัลยาณธรรมขึ้นมา ก็เป็นความรู้ขั้นโลกีย์เป็นกัลยาณชน ขั้นอารยะ ที่โลกเขาเป็นกัน ก็จะยังอยู่ในโลกียะ ก็จะทั้งรวยทั้งเด่น แต่คนที่ไม่เอาถ่านอยู่ในนรกก็เป็นคนโง่ซวย คนที่พัฒนาตัวเองขึ้นมาก็เป็นความรวยเด่น เป็นโลกียะ ความเจริญทางวัฒนธรรมทางความประพฤติที่ยอมรับนับถือเป็นสมมติสัจจะซึ่งมันไม่เที่ยง คนดีคนเด่นของโลก เขาก็นับถือกันไป เช่น คนรวยที่สุจริตดี คนเด่น สามารถมีความรู้ความเก่งแล้วแต่ ก็ดีก็เก่งก็สามารถแล้วดีอย่างเก่งด้วยนะ แต่ยังไม่รู้ ยังไม่เก่งเรื่องของโลกุตรธรรม ยังไม่มีความรู้จะออกมาสู่โลกุตระ ก็ยังมาถึงความเป็นโลกุตระยังไม่ได้ ต้องมาพบ ต้องมีปัญญาข้อที่ 1 ต้องได้ฟังจากพระโอษฐ์จากสัตบุรุษจากผู้รู้ที่สัมมาทิฏฐิ ได้ยินได้ฟังมาก ไม่ใช่บอกว่าพระเจ้าส่งความรู้มาให้ เป็นพระบุตร ไม่ใช่ ตัวต่อตัวได้ยินได้ฟัง ได้สัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายอยู่ในโลกมนุษย์เป็นคนเป็นเป็น ผู้บอกเป็นพระจริงนะเป็นพระพุทธเจ้าตัวเป็นๆ บอกคนก็เป็นคนเป็นๆไม่ใช่เป็นสิ่งลึกลับแบบพระเจ้า เป็นพระเจ้าขั้นพุทธะ ที่มีความรู้ความจริงสุดยอดอันนี้ มีคนจริง จะไปสมมุติว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่รู้ คนที่อยู่ในถ้ำเทวนิยมนับถือพระเจ้า ถ้ามีความรู้ว่าความรู้ของคนจึงจะมีครบ 6 ทวาร ไม่ใช่สมมติอยู่ในจินตนาการ ไม่ใช่ ลึกลับอยู่อย่างนั้น ขอพูดซ้ำอีกว่าพระศาสดาของเทวนิยม เอาความรู้มาเปิดเผยจนกระทั่งเป็นศาสนาของตนเอง ศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ศาสนาใหญ่ๆก็มี 2 3 ศาสนาในโลกขณะนี้ แล้วก็มีศาสนาย่อยไปอีกเล็กน้อย พยายามจะเป็นเจ้าลัทธิต่างๆ ความรู้ที่เอามาเปิดเผยนั้น ไม่ใช่ความรู้ของพระเจ้า แต่เป็นความรู้ของพระศาสดาเอง ที่ได้สั่งสมมาเป็นกรรมวิบากของตนเอง สั่งสมมาไม่รู้กี่ชาติ แต่อยู่ในกรอบของโลกียะ ก็ได้เป็นคนที่มีความรู้ไปตามประสาของตัวเอง แล้วออกมาประกาศ ประกาศศาสนาขึ้นมาจนได้ ประกาศจนกระทั่งมีคนมายอมรับนับถือ มีมวลปริมาณมากพอ ซึ่งมันรู้ไม่ยากเท่าไหร่หรอกสำหรับโลกียะ โลกุตระนั้นรู้ได้ยากกว่ามาก อย่างคนละส่วนเลย ผู้ที่จะพอรู้ได้ต้องได้ฟังจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า จากผู้รู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ จากสัตบุรุษ แล้วต้องมาไต่ถามซักถามแล้วถามอีก จนกระทั่งรู้แล้วเอาไปปฏิบัติมีศีลมี อปัณณกปฏิปทา 3 มีสัทธรรม 7 จนกระทั่งเกิด ฌาน เจริญเป็นโลกุตระธรรมขึ้นมาเรื่อยๆ จึงจะสามารถรู้ความสงบ 2 อย่าง เป็นปัญญาข้อที่ 3 ความรู้ความสงบ 2 อย่างเป็นเครื่องตัดสินว่า คนจะรู้ถึงความสงบ จะพูดถึงความสงบ จะเรียกสันติภาพ ก็แล้วแต่ กว่าจะรู้ความสงบ 2 อย่าง ความสงบทางโลกียะนั้นเป็นโลกีย์ ไม่เที่ยงแท้ มันสงบเพราะกดข่ม ทำลืม หาวิธีการเลี่ยงความรุนแรงเรื่องความทุกข์ เรื่องความลำบาก กลบเกลื่อนไปบ้าง ดีไม่ดีเอา อำนาจบาตรใหญ่บังคับให้คนอื่นเขาเป็นไปตามใจเรา เช่น อย่างที่มีตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ไบเดนก็ตาม หรือ จะเป็นปูตินก็ตาม ขออภัยที่ยกตัวอย่างตัวจริง จีนเขาก็พอมี เขากำลังเด่น กำลังนำทางธรรม ในประเทศต่างๆ มีคุณธรรมมีหน่วยกิตของ อัญญธาตุ บ้างแล้ว ซึ่งทางจีนประชาชนเป็นพุทธไม่ใช่น้อย จนกระทั่งมีคอมมิวนิสต์ก็กลบศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามไป โดยเป็นศาสนาคอมมิวนิสต์ไป อาตมาบรรยายไปเวลาจะหมดแล้ว ก็ขอตีเข้าเป้า อนุปคัมมะ ผู้เป็นกลาง มีความรู้มีความเป็นได้ ไม่มีกิเลส เป็นคนมี แต่มีความเป็น อนุปคัมมะ คือยังเป็นคน มีชีวิตยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จึงเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือความมีและความไม่มี ไม่ติดทั้งความมีและไม่ติดทั้งความไม่มี แต่ช่วยคนมี มีคุณธรรมบ้างแล้ว หรือคนไม่มีคุณธรรมบ้างเลย ก็ช่วยได้ ช่วยได้ทั้งสองฝ่าย อนุปคัมมะ นี่ อย่างอาตมานี่เป็นตัวอย่าง ช่วยได้ทั้งคนที่สนใจและมาศึกษา แต่คนที่ยังไม่สามารถมี อัญญธาตุ เลยก็ยาก ที่จะมาฟังธรรมะอาตมารู้เรื่อง ก็ตามศึกษาเถอะ อาตมาพยายามต่อชีวิต จะไม่พยายามตายง่ายๆ กำลังเจรจากับยมบาลเป็นอยู่เท่านั้น พยายามพากเพียร พูดเป็นเรื่อง Magic นิดหน่อย แต่ที่จริงไม่ได้ไปสู้กับยมบาลจริงหรอก พยายามรักษาทั้งด้านรูปและนาม เพื่อให้ชีวิตมันยั่งยืนยาวนานไปได้ สำหรับจิต อาตมาก็รับผิดชอบตัวเอง สำหรับรูป คนอื่นเขาช่วยด้วยอะไรต่างๆอีกเยอะ สำหรับจิตก็มีพลังใจจากคนอื่นพยายามเอาใจช่วย ก็มีพลังของคนอื่น เอาใจช่วย ไม่อยากให้อาตมาตายก็พยายามพูดแสดงความจริงใจ อวยพร 88 ปีแล้ว นี่กำลังขึ้น 89 แล้ว ย่าง เข้าไป 89 มาได้ 8 วันแล้ว อาตมาอายุ 88 ปี 8 วันในวันนี้ สู่แดนธรรม… สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin13 มิถุนายน 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:650609 พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึก ปี 2565 ณ ราชธานีอโศกNextNext post:650615 หากเลิกหลับตาปฏิบัติได้ประเทศไทยเจริญ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024