650609 พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึก ปี 2565 ณ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1YaChAPP920N0yADu356m2cj1H6crepS61eL0UfIqH6g/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1iVsgMqCJYMs3YaTREQC5ZnYY0ur0oH2l/view?usp=sharing
ดูวิดีโอที่ https://youtu.be/5a4PwZI0cwI
และ https://fb.watch/dxGX6FG6Xf/
ความสำคัญของการบูชาพระบรมสารีริธาตุ
พ่อครูว่า…วันนี้เราถือว่าเป็นวันบูชาพระบรมสารีริกธาตุกัน ทุกปีเราจะไปบูชากันที่สันติอโศก ที่มีพระเจดีย์อยู่ เราบรรจุพระบรมสารีริกธาตุบรรจุพระพุทธรูป บรรจุอะไรต่ออะไรไว้ในเจดีย์นั้น เยอะแยะหลายอย่าง พร้อมทั้งแผ่นทองคำ เสร็จอยู่ในนั้น
ตอนหลังแม้แต่ไปทำพิธีกันกลางถนน ข้างถนน อยู่ที่ถนนราชดำเนินเราก็เคยไปทำในวาระที่เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ ซึ่งคนเราก็ถือกันว่าพิธีการต่างๆของมนุษย์ไม่ว่าชาติไหน แต่ละชาติก็จะมีพิธีการกัน ซึ่งเป็นความรู้ของมนุษย์ที่สร้างขึ้นมา แล้วก็จัดทำ เป็นวิธีทำให้จิตวิญญาณของคน เกิดความศรัทธาเลื่อมใส เกิดปัญญา เกิดอินทรีย์ 5 พละ 5 ขึ้นมา เพื่อที่จะได้มีกำลัง มีอินทรีย์มีพละในการสร้างสรรต่างๆ ไว้อาศัยและสร้างชีวิตมนุษย์ในสังคมที่อยู่ร่วมกันให้เป็นไปด้วยดีที่สุด
เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นหมวดหมู่ ที่อยู่กันเป็นกลุ่มหมู่ นับถือเช่นเดียวกันมีทิฏฐิเดียวกัน ก็มีพิธีการเดียวกัน มียิฏฐังเดียวกัน ก็จะทำกันอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละศาสนา แต่ละลัทธิ
ของพุทธเราเองแท้ๆก็ยังทำ พิธีการ ต่างกัน
มีพิธีเคารพบูชาพระพุทธเจ้าโดยเอาพระบรมสารีริกธาตุมาเป็นเครื่องหมาย ในการบูชาระลึกถึงพระพุทธเจ้า ก็ทำกัน
เราถือว่าพระบรมสารีริกธาตุ เป็นส่วนที่เป็นที่เหลือ เป็นวัตถุรูปของพระพุทธเจ้า คือพระอัฏฐิ หรือคือกระดูกของพระพุทธเจ้า เมื่อเวลาสลายสรีระพระพุทธเจ้าแล้ว เมื่อสลายแล้วก็จะเหลือกระดูก เป็นพระบรมสารีริกธาตุ แล้วก็ถือว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เหลือ มาจาก 2,500 ปีที่แล้ว มาถึงวันนี้ ก็ถือว่าอันนี้เป็นสิ่งที่เหลือ จากพระสรีระของพระพุทธเจ้า ก็มีพระอัฏฐิ ที่เรียกกันว่าพระบรมสารีริกธาตุ ให้ระลึกเป็นเครื่องหมายว่ามีคนจึงมีมนุษย์สิ่งที่ได้ตรัสรู้และประกาศตนขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาในโลก ไม่ใช่ว่าไม่มีหลักฐานยืนยัน มีพระอัฏฐินี้ยืนยันอยู่อย่างนี้เป็นต้น
ส่วนคนบางคนจะบอกว่าพระอัฏฐิธาตุบรมสารีริกธาตุจะจริงหรือไม่มีจริง ไม่มีใครรับรองว่าจริงหรือไม่จริง มันอยู่ที่คนนับถือ แล้วก็สมมุติขึ้นมา มันเป็นสมมุติไม่ใช่ปรมัตถ์ไม่ได้หมายถึงจิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นรูปธรรมของพระพุทธเจ้า จะจริงหรือไม่จริง ก็เป็นสิ่งแทน
ถ้ายิ่งจริงก็ดี ถ้าไม่จริง เป็นอันอื่นเป็นพระธาตุปลอม เป็นต้น แล้วก็มานับถือว่าเป็นพระธาตุจริง ก็ไม่เป็นไร เพราะจริงมันมี แต่มันพิสูจน์กันยาก เขามีวิธีพิสูจน์หลายอย่างหลายประการ แล้วก็ไม่มีใครตัดสินว่าจริงหรือไม่จริง
อย่าว่าแต่แค่พระธาตุจะจริงหรือไม่จริงเลย พระพุทธรูปสร้างขึ้นมาเป็นสมมติ หล่อขึ้นมาสลักขึ้นมา แม้แต่วาดภาพขึ้นมา เราก็ถือว่านี่คือสิ่งแทนพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน โดยตำนาน โดยประวัติศาสตร์ โดยหลักฐานอะไรต่างๆ พระพุทธเจ้าก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่อุบัติขึ้นมาในโลก หรือประสูติขึ้นมา แล้วก็มาเป็นพระพุทธเจ้า นำเอาความตรัสรู้มาประกาศขึ้นมาในโลก ให้เราได้รับรู้เรียนรู้ปฏิบัติตาม จนเราเจริญ เป็นคนประเสริฐ เป็นคนดี เป็นคนเจริญ
ที่สำคัญที่สุดก็คือ เป็นผู้หมดสุขหมดทุกข์ หรือลดสุขลดทุกข์ที่ไปยึดมั่นถือมั่นได้ อันนี้แหละ สุขทุกข์ เป็นสิ่งที่แตกต่างจากศาสนาทุกศาสนา ศาสนาพุทธเรานี่ มีความแตกต่างที่เรียกว่าโลกุตรธรรมอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงที่ รู้จักว่า คนเรานี้ อาศัยสุขและทุกข์ และ เขาก็ไม่รู้จักความจริงว่า ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ส่วนสุขนั้น เป็นคู่มายาของทุกข์ เรียกว่าเทวะ คือสภาพ 2 หรือสภาวะ 2 เขาไม่รู้และแยกไม่ออกด้วย สุขทุกข์เป็นคู่ที่แยกไม่ออก โดยสภาวะ สัจจะแยกไม่ออก แต่โดยปรมัตถธรรม สามารถแยกได้
อารมณ์สุขเกิดจากเวทนา อารมณ์ทุกข์ก็เกิดอยู่ที่เวทนา หรือแม้แต่อารมณ์ไม่สุขไม่ทุกข์ ก็ทำให้เกิดที่เวทนาได้ เพราะฉะนั้นวิธีปฏิบัติโดยผู้ที่เห็นดีเห็นงามในการอาศัยจิตไม่สุขไม่ทุกข์ ก็มีวิธีเหมือนกัน แต่ยังไม่ใช่วิธีที่สัมมาทิฏฐิ เป็นวิธีที่ มิจฉาทิฏฐิอยู่
ชาวอโศกพิสูจน์พุทธคุณข้อจรณะและวิชชาสมบัติได้สำเร็จ
_พ่อครูว่า… พุทธคุณเช่น ที่พระป่า พระที่เขาเรียก พระกรรมฐาน พระธุดงค์ พระที่ยังมิจฉาทิฏฐิ ยังหลับตาปฏิบัติ ให้เกิดจิตเป็นสมาธิ แล้วก็ทำให้จิตไม่สุขไม่ทุกข์ เรียกว่า อทุกขมสุข ได้ โดยวิธีการซึ่งเป็นวิธีการกดข่มสะกดจิตทำได้ อาฬารดาบส อุทกดาบส เป็นต้น ทำมาก่อนทำมานาน
พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา ภูมิของพระพุทธเจ้ายังไม่ขึ้น ได้นิมิต 4 เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ได้เห็นสมณะ เป็นเทวทูตทั้ง 4 แล้วท่านก็เหมือนคนชื่อ เกิดมาถูกมอมเมา ถูกพระราชบิดามอมเมา ไม่ให้พระพุทธเจ้าที่ตอนนั้นเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ รู้จักเลยว่า คนเกิดเป็นอย่างไร คนเจ็บคนป่วยเป็นอย่างไร คนแก่เป็นอย่างไร หรือสมณะนักบวชเป็นอย่างไร ไม่ให้รู้จัก
จนอยู่มาวันหนึ่งออกจากวัง ไปกับนายฉันนะ ก็ไปเจอคนเกิด อุแว้ๆ อะไรท่านไม่รู้จัก คนเกิดมา มีด้วยเหรอคนเกิดมา นายฉันนะก็บอกว่ามีพะยะค่ะ คนเกิดนี้นะ มีด้วย มี แม้พระองค์ก็เกิดมาเช่นเดียวกัน หา!
ไปเจอคนเจ็บคนป่วยเข้าอีก ร้องครวญครางทุกข์ทรมา โอ้! ยิ่งแย่ใหญ่เลย คนต้องเป็นอย่างนี้ด้วยหรือต้องเจ็บต้องป่วยอย่างนี้ด้วยหรือ พะยะค่ะ เป็นธรรมชาติที่เลี่ยงไม่พ้นต้องเจ็บป่วย เราก็จะต้องเป็นอย่างนี้ด้วยหรือ พะยะค่ะ โอ้โห! ชักเห็นทุกข์ขึ้นมาในตัว
ซึ่งภูมิธรรมของพุทธเจ้าเป็นพุทธะวิสัย ที่ท่านมีของเก่า มันก็เตือนของเก่านั่นแหละขึ้นมาให้รู้ มนุษย์ไม่รู้จักการเกิดการแก่การเจ็บการตาย เสร็จแล้วก็หลงวนเวียนอยู่ในโลก เกิดแล้วเจ็บป่วยแล้วสร้างวิบากไป เจ็บป่วยหนักหนาอีก ดีไม่ดีแก่ก็แก่ทรมาน อดอยากจนยากหรือแก่อย่างไม่มีคนดูแล แก่อย่างอะไรก็แล้วแต่ทุกข์ทรมานแสนสาหัสเท่าที่จะเป็นไป เสร็จแล้วก็ต้องตาย ตายแล้วต้องวนเวียนกลับมาอีก ตายแล้วเกิดตามวิบาก
เทวนิยมไม่รู้จักการตายอย่างจบที่เป็นปรินิพพาน เทวนิยมไม่รู้จักจุดนี้ มีศาสนาพุทธรู้จักจุดนี้ แต่ตอนใหม่ๆพระพุทธเจ้ายังไม่รู้จัก ภูมิธรรมเดิมของท่านยังไม่ขึ้นมา ยังระลึกของเก่ายังไม่ขึ้น ก็เห็นทุกข์เรียกว่าเทวทูตทั้ง 4 เห็นการเกิดการเจ็บการแก่ และเห็นสมณะ
สมณะคือ ผู้แสวงหาทางหลุดพ้นการเกิดการแก่การเจ็บนี่แหละ อ้อ! ต้องไปทำอย่างนี้เหรอ ต้องแสวงหาอย่างนี้เหรอ ใช่พะยะค่ะ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เราคงต้องแสวงหาอย่างนี้แหละ เพราะคนจะต้องเวียนเกิดแก่ตาย อย่างไม่รู้จักจบสิ้น แล้วเป็นสมณะจะหาทางหลุดพ้นได้
สมัยโบราณยังไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ เขาก็มีลัทธิที่บอกว่าตายไปแล้วไปอยู่กับพระเจ้า สรุปทางเทวนิยม หมดเจ็บ หมดป่วย หมดแก่ ตายไปแล้วจิตวิญญาณก็จะไปอยู่กับพระเจ้าที่สวรรค์ จบอยู่ที่นั่น ความรู้ของเทวนิยมไม่มีต่อ ไม่รู้จักความวนเวียน ไม่รู้จักกรรมวิบาก
กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก
เขาไม่รู้เรื่อง กรรมจำแนกสัตว์ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมเขาก็ไม่รู้เรื่อง เพราะเขาเชื่อพระเจ้า เขาเชื่อก๊อต เขาไม่เชื่อกรรมวิบาก
กรรมวิบากเป็นเรื่องอจินไตยคิดเอาไม่ได้ ต้องเรียนรู้ด้วยความเป็นจริง แล้วเรียนรู้จัดสรรวิบากให้เกิดความเที่ยง ศาสนาพระพุทธเจ้าตรัสรู้ความเที่ยง
-
ถ้ายังมีกรรมหมุนเวียนอยู่ในโลก ก็จะต้องทำแต่กรรมดีไม่ทำกรรมชั่ว รู้เลยว่า กรรมชั่วกรรมดีคืออะไร แล้วก็ทำจิตตั้งมั่นแข็งแรง ไม่ทำกรรมชั่ว สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง ทำแต่ดี ไม่ทำชั่วทำแต่ดี ก็ทำได้ สำเร็จ
สำเร็จด้วยวิธีที่รู้จักเหตุ แล้วดับเหตุที่พาดีพาชั่ว ดับเหตุที่พาชั่วสนิทเลย ถ้ายังมีชีวิตยังเกิดอยู่ ก็ไม่ทำชั่ว ทำแต่ดี เพราะดับเหตุที่พาไปทำชั่วแล้ว เหลือแต่กรรมดี เป็นเครื่องอาศัยของชีวิต
ศาสนาพุทธทำได้อย่างเที่ยงแท้ถาวร นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนานตลอดกาล) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ได้แล้วได้เลย ตายแล้วตายเลย นั่นคือดีและชั่วก็บรรลุสูงสุด สูงสุดเที่ยงแท้ถาวรด้วยในศาสนาพุทธ เรื่องดีกับชั่วก็ทำแต่เรื่องดี ถ้ายังเกิดอยู่ก็มีแต่ดีๆๆๆ ไม่มีชั่วเลย
อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์รู้จักการเวียนตายเวียนเกิด แล้วทำให้ชีวิตเราไม่ทำชั่วอีก ทำแต่ดี ก็ได้ทำมาฝึกฝนมาจนเป็นจริง ถึงเอามาพูดสู่ฟัง ไม่ได้หมายความว่าเรียนรู้มาจากตำราเท่านั้น แต่ได้ฝึกฝนและได้พัฒนาตนเอง เกิดจิต ดับอาสวะ ดับอนุสัย ในสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยเรียกว่ากิเลส ขั้นอาสสวะ ดับอาสวะ ถอนอาสวะ สิ้นไปได้เรียบร้อย ตั้งแต่เป็นอรหันต์ เป็นอนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ ก็ทำซ้ำยิ่งขึ้นๆ จนถึงระดับ 7 นิยตโพธิสัตว์ กำลังขึ้นระดับ 8 มหาโพธิสัตว์
สิ่งนี้เป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องของปรมัตถ์ เป็นเรื่องจิตเจตสิกรูปนิพพาน หรือคำสอนในกระบวนธรรมอื่นๆอีกเยอะแยะ ในปฏิจจสมุปบาทก็ตาม และอีกหลายสูตร ก็มีมุมแง่มิติต่างๆ ของกระบวนธรรม ผู้ศึกษาฝึกฝนก็จะรู้ถึงสัจธรรมตามพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้สมบูรณ์แบบได้
พวกเราที่มาพบศาสนาพุทธ แล้วก็ได้เรียนรู้มาปฏิบัติตาม จนกระทั่งเป็นหมวดหมู่ เป็นกลุ่ม ยุคนี้ เกิดเป็นพุทธแบบโลกุตระ ดังที่อาตมานำมาประกาศลงไปใหม่ในยุคนี้ เพราะ 2,500 ปีมานั้น โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าเสื่อม คนชอบพุทธเดิมเพี้ยน ไปหลงโลกียะแล้วไปยึดได้แค่เทวนิยม ความเป็นโลกุตระ อเทวนิยม ลืมเลือนผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว
อาตมาต้องมาประกาศขึ้นใหม่ยืนยันขึ้น จนเกิดเรื่องกระแสหลักพุทธส่วนใหญ่ เห็นว่าอาตมาประกาศนี้คงไม่เหมือนกับที่เขายึดถืออยู่เขาปฏิบัติกันอยู่ เขาก็หาว่าเป็นกบฏ หาว่าเป็นผู้ที่นอกรีต มาทำลายความเชื่อถือที่เขายึดถือกันอยู่อย่างที่เขาทำกันอยู่ที่เขาว่าถูก
ปฏิบัติเขาต้องปฏิบัติแบบสมาธิหลับตาสะกดจิต การเรียนรู้พยัญชนะภาษาก็อย่างที่เขาเรียนกัน ซึ่งมันก็มีตรรกะภาษาบัญญัติ พยัญชนะไม่เข้าถึงสภาวะธรรมที่แท้จริง
แม้แต่คำว่ากายคำแรกที่จะต้องเรียนรู้สำคัญที่สุด คำว่ากายเป็นคำแรกที่จะต้องเรียนรู้ ต้องพ้น สักกายทิฏฐิ ต้องรู้ว่ากายคืออย่างไรอย่างสัมมาทิฏฐิเลย
พุทธ ในเมืองไทยเพี้ยนไป เช่น กายเขาก็ไปเข้าใจว่ามีแต่เพียงภายนอก มีแต่รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส อย่างเดียว ไม่มีจิตเข้าร่วมด้วย ซึ่งมันผิดธรรมชาติและก็ผิดความจริง
ธรรมชาติของการรู้ต้องมี 2 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส สัมผัส กาย โผฏฐัพพะ ก็ต้องมี 2 ขาด 2 ไม่ได้ มีรูปกับนาม
เสียงก็คือรูป รสก็คือรูป กลิ่นก็คือรูป สัมผัสเสียดสีภายนอก เย็นร้อนอ่อนแข็งภายนอกก็คือรูป แล้วต้องมีนามธรรมของแต่ละคนๆ ที่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรส สัมผัสเสียดสีทางโผฏฐัพพะทางร่างกายภายนอกตนเองเป็นผู้รับรู้ความรู้สึก แล้วมีสัญญากำหนดรูปของตัวเองได้ คนที่เรียนรู้ผิดศึกษาผิดไม่เข้าใจ เข้าใจก็เพี้ยนๆ ความหมายเพี้ยน สภาวะเพี้ยนไป
ถ้ากำหนดถูก สภาวะถูก ก็สามารถที่จะ เรียนรู้และปฏิบัติบรรลุธรรมได้ เขาไม่บรรลุธรรมตามสัมมาทิฏฐิ แต่ไปบรรลุธรรมแบบเทวนิยม แบบเดียรถีย์ นอกศาสนาพุทธ แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้นที่เขาเข้าใจว่าถูกต้อง ทั้งๆที่มันผิด จนกระทั่งหลงผิดไปถึงขั้นหลงว่าบรรลุอรหันต์ ทั้งที่เป็นวิธีสะกดจิตทั้งนั้น เป็นวิธีหลับตาทำ ออกป่าเขาถ้ำ ออกไปนอกอีก ตามที่อาตมาได้สอน ได้แนะนำ ได้บรรยาย แล้วก็ยืนยันหลักฐาน
แม้ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ซึ่งเป็นฉบับที่เพี้ยนออกไปทางป่ามาก แต่ก็ยังมีร่องรอยของทางสัมมาทิฏฐิอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะว่าได้เก็บเอาคำสอนของพระสารีบุตรไว้ด้วย พระอานนท์ไว้ด้วย ไม่ใช่มีแต่ของพระกัสสปะ
อาตมาใช้พระไตรปิฎกฉบับเดียวกันกับท่านทั้งหลาย ฉบับพระมหากัสสปะนี่แหละ ก็ยังเห็นร่องรอยเหล่านั้น เพราะอาตมาเกิดมาชาตินี้เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็มีความเป็นจริงที่เป็น สยังอภิญญา คือ เป็นผู้รู้เองมาก มาเกิดชาตินี้อาตมาเอาความรู้เดิมมาประกาศ จนกระทั่งมันขัดแย้งกับที่เขายึดถือกันอยู่ เพราะมันได้ผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว มันหมดไปแล้วลกอาตมาก็ต้องเอาโลกุตรธรรมที่ถูกต้องสัมมาทิฏฐิมาประกาศลงไป อย่างที่ได้พูดไปซ้ำซาก จนเกิดเรื่อง คณะสงฆ์หมู่ใหญ่ เขาจะเอาอาตมาดับ ไม่ให้เผยแพร่ความรู้ แบบที่อาตมานำพา
ถ้าจะมาจะเรียกว่าสู้ก็ไม่ได้ไปรบราฆ่าฟัน แต่สู้ยืนหยัดยืนยัน ในความเป็นจริงที่เป็นจริงนี้มา อย่างที่ผ่านเหตุการณ์มา
มี 2 ยุค ยุค 2525 พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ ก็เข้ามาต่อต้าน เมื่อพันตำรวจตรีอนันต์มาต่อต้าน สงฆ์หมู่ใหญ่ทางเถรสมาคมก็ได้คิด
อาตมานำพาก็ เป็นนานาสังวาสด้วยสัจจะ เขายังไม่สะดุด ก็นำพามาได้ อาตมานำพามาตั้งแต่ก่อนประกาศอิสระ พ.ศ. 2518
อาตมาบวช 2513 ก็ทำงานเผยแพร่มาตามแนวคิดของอาตมาแหละ เขาก็ยังไม่สะดุดอะไร เมื่อพันตำรวจตรีอนันต์ทักขึ้นมา เขาก็ได้คิด มันไม่เหมือนกับที่เขายึดถือกันนี่
พ.ศ. 2518 อาตมายิ่งมาประกาศตัวเป็นนานาสังวาส ประกาศเป็นทางการเลย ถูกตรงตามพระธรรมวินัยทุกอย่าง แล้วคนเขาก็ยังไม่รู้จักเรื่องนานาสังวาส แม้เถรสมคมก็เงอะๆงะๆงงๆ ไม่รู้จักนานาสังวาส เพราะเขาเสื่อมไปจากศาสนาพุทธเยอะ แม้ที่สุดรวมตัวกันมา จะเอาอาตมาลงให้ได้ ก็รวมตัวกันทั้งสองนิกาย เขาเป็นนิกายกันด้วยทั้งธรรมยุตและมหานิกาย 2 นิกาย เขาก็ไปรวมตัวกันซึ่งผิดพระธรรมวินัยด้วย เรียกว่าผิดหลักธรรม คณปูรกะ
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
พ่อครูพาลูกๆกล่าว สัจจวาจาบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
สัจจวาจาบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
(พ่อครูกล่าวผู้เดียว)
อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมา สัมพุทโธ
วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตตโร
ปุริสทัมมสารถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ
ขอยอบนอบหมอบกราบคารวะ
ด้วยสุดเกล้าสุดเศียรสุดกระหม่อมของเหล่าข้าน้อยนี้
เกลือกถูรองรับอยู่ใต้ละอองผงคลีแห่งธุลีฝ่าพระบาท ของสมเด็จพ่อ
ผู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระผู้มีพุทธคุณดังกล่าวข้างต้น อย่างสุดเทิดสุดบูชายิ่ง
เหล่าข้าน้อยทั้งหลาย ขอน้อมรำลึกเทิดทูนพระคุณอันหาที่สุดมิได้
ณ กาลศุภสมัย ๙ มิถุนายนนี้ เหล่าข้าน้อยทั้งหลาย
ขอตั้งปณิธานต่อพระมหาบรมสารีริกธาตุ ณ บัดนี้ว่า…
(กล่าวตามพ่อครู)
เลือดและวิญญาณของเหล่าข้าน้อยทั้งหมดนี้
ขอถวายอุทิศแด่พระพุทธศาสนาไปตราบดินสิ้นฟ้า
จนกว่าข้าน้อยแต่ละคนจะปรินิพพาน
ขอได้โปรดรับปณิธานนี้
ด้วยสุดเกล้าสุดเศียรสุดกระหม่อมของเหล่าข้าน้อยทั้งหลายเถิดเทอญ. กราบ
พ่อครูเป็นผู้มาฟื้นคืนโลกุตระในยุคกึ่งพุทธกาล
พ่อครูว่า… ผ่านมา 52 ปี อาตมาอุบัติขึ้นมาในยุคที่ศาสนาเสื่อมหมด โลกุตระมันเสื่อม คำว่าพุทธศาสนายังมีอยู่ ยังมีบุคคลเขานับถือยึดถือศาสนาพุทธอยู่ แต่โลกุตรธรรมมันหมดไปจริงๆตามที่พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ไว้ ในอาณิสูตรว่า (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
ว่า ศาสนาพุทธจะมีความเสื่อม ตามหลักฐานเขามียืนยันไว้ชัดเจน ในพระไตรปิฎก อาณิสูตร แล้วมันก็เป็นจริงพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ไม่มีผิดหรอกเป็นไปตามพยากรณ์ไว้
ที่นี้ความเสื่อมที่ว่ามันมาถึงยุค 2500 กว่าปี ครึ่งหนึ่งของศาสนาพุทธ มันเสื่อมมาก เสื่อมจนโลกุตรธรรมไม่เหลือ ดังที่คำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าตรัสไว้มันไม่เหลือ อาตมาก็เกิดมาในยุคนี้ ในยุค 2500 กว่าปี เกิด พ.ศ. 2477 มีชีวิตแบ่งตามวิบากอยู่ 36 ปีอยู่กับทางโลก แล้วก็ออกมาบวช ออกมาทำงานทั้งนี้ตั้งแต่อายุ 36 จนกระทั่งถึงบัดนี้อายุ 88 ปีแล้ว ทั้งหมด 52 ปี
ก็ได้ผ่านการนำสัจธรรมที่อาตมามั่นใจว่าเป็นสัจธรรมโลกุตระเป็นอย่างที่ว่านี้ ยืนยัน ที่มันผิดเพี้ยนเห็นชัดๆ คำว่ากายก็มิจฉาทิฏฐิคำว่าบุญก็มิจฉาทิฏฐิคำว่าฌานก็เป็นมิจฉาทิฐิ ยิ่งคำว่าสมาธิ จิตที่ตั้งมั่นก็มิจฉาทิฏฐิ
อาตมาก็ไม่ได้เก่งตั้งแต่แรก บวชแล้วก็พูดตรงเป๊ะถูกต้องมาตั้งแต่ต้น ไม่ มันก็ยังไม่ค่อยตรงทีเดียว มาจนกระทั่งค่อยๆตรงๆๆ มา จนกระทั่งมาถึงทุกวันนี้ถึงได้ตรงมาก มีความตรงตามธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างยืนยันได้และแน่ใจ และพวกเราก็เข้าใจตามมาปฏิบัติตามยืนยันความจริงแล้วเราก็จะรู้จักจิตเจตสิกของเราต่างๆ
ว่าแบ่งออกไปแล้วมีจิตที่เป็นตัวธาตุรู้ตัวหลัก จิตธาตุรู้ตัวหลัก กับจิตเก๊ เจตสิกเก๊ ที่มันไม่ใช่ธาตุรู้ตัวจริงตัวหลัก มันมาผสมอยู่ในจิตเรา เราแยกออก ก็ถือว่าธาตุเก๊ จิตมันเป็นความโง่ชนิดหนึ่งมันมีเหตุแล้วก็ดับเหตุ แล้วก็ทำปัญญาให้แจ้ง จนเห็นจริงว่า มันโง่ มันพาหลงผิดจนกระทั่งกลับเข้าสู่ความถูกต้องเป็นสภาพที่เกิดจริงเป็นจริงขึ้นมา
แล้วก็ยืนยันตามหลักธรรมพระพุทธเจ้ามาได้ตลอด จนเกิดผล มารวมหมู่รวมกลุ่มกัน มี ทิฏฐิสามัญญตามีศีลสามัญญตา ก็เลยมารวมกันเป็นรูปธรรม ยืนยันต่อโลกได้ว่าเป็นสังคมโลกุตระ จนกระทั่งอาตมาพาทำไปได้ถึงหมู่มวลฆราวาส มีเศรษฐศาสตร์ถึงระดับสาธารณโภคี
คำว่าเศรษฐศาสตร์เป็นภาษาใหม่ในยุคนี้เรียกว่าเศรษฐศาสตร์ก็คือความรู้ เรียกว่าเศรษฐกิจก็คือได้กระทำ กระทำตามหลักของ เสฏฐะ คือความประเสริฐความเจริญ เจริญในขั้นโลกุตระ ถ้าเศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจเจริญขั้นโลกียะ เขาก็เป็นกันทั่วโลกแบบโลกียะ เขาก็แข่งกันรวยแย่งชิงกันเป็นใหญ่เป็นโต ตามแบบลาภยศสรรเสริญโลกียสุข
แต่ทางพุทธนั้น ข้ามขั้นมาเกินกว่าพวกที่กำลังหาทางออกเหมือนกัน เขาก็พอเห็นแล้วว่าไปแย่ง ลาภยศสรรเสริญ สุข เขายังไม่เข้าใจแท้หรอก ลาภ ยศ สรรเสริญ มันมาแย่งกันอยู่นี่มันไม่ถูก เขาก็พยายามออกเหมือนกัน ก็เป็นเทวนิยมอีกชนิดหนึ่ง มีวิธีสะกดจิต มีวิธีแบบหลายวิธี แต่มันไม่ใช่วิธีของพระพุทธเจ้าที่เข้าไปรู้จิตเจตสิกเข้าไปรู้ปรมัตถ์อย่างละเอียด
มีรูปนามขันธ์ 5 เป็นต้น โดยเฉพาะแยกเวทนาในเวทนาไปถึง 108 ลักษณะ 108 มิติ แยกได้ชัด โดยเฉพาะ มโนปวิจาร 18 อย่างโลกีย์เรียก เคหสิตะ 18 เหมือนกัน เนกขัมมะอีก 18 ก็มีองค์ประกอบ เหมือนกัน
มีองค์ประกอบเกิดจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ 6 ทวาร สัมผัสเกี่ยวข้องกับ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส สัมผัสกาย สัมผัสใจทางทวาร แล้ว 6 ทวารนี่แหละ สัมผัสกันแล้วปรุงแต่งกันแล้ว เป็นสุขก็ได้ เกิดเป็นทุกข์ก็ได้ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้
เพราะฉะนั้นทางตา สุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้ เสียงก็สุขก็ได้ทุกข์ก็ได้ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้ จมูกได้กลิ่นก็เหมือนกัน ลิ้นก็เหมือนกัน โผฏฐัพพะ ก็เช่นกัน ทางใจก็เช่นกัน ทั้งทวารเป็นได้ทั้ง 3 อย่าง 6 ทวาร ก็รวมเป็น 18
โลกียะ จะมีทิฏฐิแบบโลกียะได้สมบูรณ์ได้เต็มที่ รูปก็ได้สมมุติตัวเองเต็มที่ ซึ่งต่างกันไม่เหมือนกันตามสมมุตินะ แต่ละกลุ่มแต่ละหมู่สมมุติรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสอย่างนั้น แล้วแต่จะยึดถือ ได้สมใจตามที่มีอุปาทานยึดถือไว้อย่างนั้นๆ ก็ถือว่าเป็นสุข ซึ่งเป็นมายาเป็นสมมติเป็นสิ่งที่ไม่จริงทั้งนั้น
วิธีเดียรถีย์ เขาก็ไม่สัมผัส เขาก็ทำไม่สมมติตาม แต่ปรมัตถ์ของเขาได้แต่กดข่มเท่านั้น หรือหนีทิ้งห่างป่าเขาถ้ำ เตลิดเปิดเปิงใครไม่พบใคร อย่างพวกศาสนาเชน เป็นต้น เป็นพวกทรมานทรกรรม ตัวเองต่างๆนานา สารพัดแบบ เขาก็ทำกันไป
พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้ว ประเด็นที่สำคัญ อาตมาก็บอกแล้ว ในพระไตรปิฎก เล่ม 9 อัมพัฏฐสูตร พระพุทธเจ้าบอกไว้ศาสนาพุทธนั้น มี จรณะ 15 วิชชา 8 ก็ถกกับอัมพัฏฐะ ที่เขาก็เรียนรู้สืบสาน ซึ่งมันไปเป็นพราหมณ์ พราหมณ์ กับพุทธ ก็อันเดียวกัน แต่พอเข้าใจผิด ก็กลายเป็น พราหมณ์ พระพุทธเจ้าก็อุบัติขึ้นมา ปรับใหม่ มาเรียกพุทธ
จรณะ 15 ก็ยังมีบัญญัติเดียวกัน วิชชา 8 ก็ยังมีบัญญัติเดียวกัน
จรณะ15 มีศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 ฌาน 4 รวมเป็น 15 เหมือนกันพยัญชนะเดียวกัน
วิชชา 8 วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิญาณ อิทธิวิธีญาณ โสตทิพย์ญาณ เจโตปริยญาณ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ
พยัญชนะเดียวกันแต่เขาเข้าใจผิดด้วยวิธีปฏิบัติสภาวะธรรมนั้นต่างกันเขาไปนั่งหลับตาปฏิบัติออกป่า เป็นความเสื่อมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ความเสื่อมของศาสนาพุทธนั้นเกิดจากการหลงออกป่า แล้วหลงคิดว่าจรณะ 15 วิชชา 8 จะอยู่กับพระอาจารย์ที่อยู่ในป่า ในเมืองไม่มีหรอก พระอาจารย์ที่มี 15 วิชชา 8 ไม่มีในเมือง เขาเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น
มันเป็นอยู่ 3 แบบ
-
แบบอัมพัฏฐะ แบบสมัยนี้มีพระบ้านกับพระป่า พระบ้านเขาถือว่ามีแต่พยัญชนะไม่มีการปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ส่วนพระป่า ถือว่ามีจรณะ 15 วิชชา 8 แต่ที่จริงเขาไม่ได้มี อาจจะมีผู้ที่ศึกษาพยัญชนะบ้างแต่ก็นั่งหลับตาสะกดจิตออกป่าหลับตาสะกดจิตให้หยุดๆๆ เหมือนอย่างสายอาจารย์มั่น สายมหาบัว พาทำ แม้แต่หลวงปู่แสงพวกนี้ นั่นน่ะเป็นพวกพระป่าทั้งนั้น ซึ่งเข้าใจง่ายไม่มีอะไรยาก นั่งหลับตาอย่างเดียว อย่าไปคิดอะไร อย่าไปนึกอะไร ให้จิตไม่ต้องออกจากตัวสะกดจิตให้มันดับๆๆ แบบ อาฬารดาบส อุทกดาบส ดับกันได้เก่งๆเก่งๆ จนกระทั่งหลงว่าเที่ยง เที่ยงแล้ว อาฬารดาบส ได้ฌาน 7 ก็นึกว่าเที่ยงแล้ว จน อุทกดาบส ก็บอกว่า มันยังไม่เที่ยงนะ นั่งสะกดจิตไปมันก็ยังขึ้นมาอีก แว้บนึง แต่แว้บนี่เป็น เนวสัญญานาสัญญายตนะ แว้บ มันมีอีกยังไม่ดับ ก็ต้องกดดับไปอีก อุทกดาบส เห็นแว้บนี้ แล้วก็ดับขึ้นไปอีกก็ถือว่าเป็น ฌาน 8 ส่วน อุทกดาบส ไม่มีไหวพริบรู้ความละเอียดที่แว้บขึ้นมา ก็เลยหยุดได้แค่ฌาน 7 ซึ่งทั้งคู่ ทั้ง อาฬารดาบส อุทกดาบส สะกดจิตได้ทั้งคู่