650608 พ่อครูเทศน์รายการภาคค่ำ งานอโศกรำลึก 2565 กำจัดผีในตนจึงเป็นคนโลกุตระ ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/19FazfdrgWgd2pZGsPWZFHdXsw45KTdo76MkJ5u-BhVc/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/18JQeaDibaidRse3zQXl3zvniz9ggIKfo/view?usp=sharing ยูทูป https://fb.watch/dwkPPA-INM/ และ https://youtu.be/FGkJx32dPVg พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 9 ค่ำเดือน 7 ปีขาล เมื่อไม่เข้ากระแสโลกุตระก็ไม่มีทางหลุดพ้น _มุ่ง ตรงธรรม · นอบน้อมกราบนมัสการพ่อครู ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ กราบนมัสการท่านสมณะ สิกขมาตุทุกรูปครับ ฟังจากที่พ่อครูได้กล่าวไว้ก่อนหน้าและฟังจากที่พ่อครู ได้ตอบคำถามเรื่องความเจริญของโลกุตระ ดำรงอยู่เพียง 500 ปีจากนี้ไป หลัง 500 ปีนี้ก็ย่อมมีแต่จิตวิญญาณที่มาเกิดย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำแทบจะส่วนเดียว หากใครเกิดในยุคนี้ ย่อมหาความเจริญขึ้นคงยากแสนอยากยิ่ง เพราะโลกุตระ เสื่อมจากโลก วนอยู่ในพลังงานโลกีย์ที่เต็มรูปแบบก็ยากแสนยากยิ่งที่ผู้เกิดในยุคนี้จะต้านโลกีย์ขึ้นมาสู่โลกุตระ ทำให้ลูกต้องหันกลับมาสำเหนียกตนให้มาก หากเราไม่อาจพ้นภัยอย่างเที่ยงแท้แล้ว โอกาสที่วิบากนำพามาเกิดหลังโลกุตระ สูญจากโลกนี้ย่อมมีสูงยิ่ง แค่คิดก็ขนลุกแล้วครับ น่าขยาดยิ่ง เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า วิบากจะออกฤทธิ์ จัดสรรค์วิบากในกาละไหนในโอกาสการเกิดร่างใหม่ของภพชาติถัดไป เผลอวิบากจัดสรรลงในยุคของกลียุคแล้วละก็ แสนน่าสะพรึงกลัว ครับ พ่อครูว่า… หมายความว่า จากอาตมาเกิดมา 36 ปีเป็นฆราวาส หลังจากนั้น มาบวช อยู่มาจนถึงอายุ 88 ก็จะต่อไปอีกเป็น 100 ปี 200 ปี 300 ปี 400 ปี 500 ปี โลกุตระจะขึ้นตามกราฟ จะค่อยๆ พีคขึ้นไป 500 ปีจะถึงพีคสูงสุด แล้วก็จะเสื่อม ตอนนี้ขึ้น พอถึง 500 ปี อาตมาก็คงต้องมาเกิดอีก ดูท่าทีแล้วเกิดมาแค่อายุ 100-200 นี้ ยังเอาเนื้อของโลกุตระมา สถาปนาลงไปในมนุษยชาติ ดูท่าทีแล้วยังไม่พอ จะต้องมาเติมเสริมต่อยอดขึ้นไปอีก แม้ปางนี้ชาตินี้ อายุไปถึง 133 ปี มันก็คงจะต้องเกิดมาต่อยอดอีกชาติ จึงจะต่อยอดมีพลังของโลกุตระ ขึ้นไปเองถึงพีคสุด จะเกิดพลังสูงขึ้นโดยที่อาตมายังไม่ต้องเกิด แต่ประชาชนชาวพุทธจะรับช่วงโลกุตรธรรมขึ้นไปได้ จะมีมวลปริมาณทั้งบุคคลทั้งเนื้อปรมัตถธรรม สภาวะธรรมที่เป็นไปได้ มันจะมีมากพอที่จะนำพาโลกุตระธรรมไปสู่จุดพีคสูงสุด แล้วจึงจะหมดความสูงขึ้นไปได้อีก แล้วมีแต่จะลงต่ำ แรงเฉื่อยหรือชรตาจะเกิดแล้วไม่มีฟื้นมาดีขึ้น มีแต่จะเสื่อมไป จนสุดท้ายจบ 5,000 ปี หรือ จากนี้ไปอีก 2,000 กว่าปีก็สิ้นสุด ไม่เหลือเชื้อของศาสนาพุทธ แม้จะมีศาสนาพุทธ โลกุตรธรรม ก็ไม่ไปถึง 5,000 ปี อย่างมากสุดนี่แหละ ที่อาตมาเกิดมาจนกระทั่งถึง 500 ปี ขึ้น โลกุตรธรรมจะเจริญขึ้นไปอีก แม้ อาตมาตายแล้วไม่มาเกิดอีก โลกุตระจะมีคนรับต่อช่วงไปถึงจุดพีคสูงสุด จากนั้นแล้วมีแต่จะเสื่อมไป นี่คือ 500 ปี หากไม่มีโลกุตรจิตถึงขั้น นิยตะ เที่ยงแท้ ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา โสดาบัน แปลว่าเข้ากระแส อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ เมื่อเข้ากระแสแล้วจะมีเชื้อของโลกุตระเข้าไป 25 ส่วน อวินิปาตธรรม เรียกว่ายึกยัก ๆ แต่ไม่ตกต่ำ ไม่ตกไปจากโสดาทีเดียว แต่มันก็ยึกยักอยู่นานกว่าจะมาถึง 50 ส่วน แล้วถึงจะเที่ยง พอ 50 ก็ไม่ยึกยักแล้ว ขึ้นไปได้จนกว่าจะถึง 75 ก็เที่ยงเลย สัมโพธิปรายนะ สู่ที่สูงที่สุดแต่ถ่ายเดียว คนที่มารู้จักว่าเราเกิดมาเป็นคนนี้ เราเห็นความสำคัญของโลกุตระ ผู้ที่เข้ากระแสแล้วจะเห็นถ้าเห็นจริงเลย มันก็จะมี จิต ที่หยั่งเป็นอนุสัยของผู้ที่ได้ซับซาบโลกุตรธรรม มันจะมีธรรมชาติของปัญญาชัดเจนว่า โอ้โห! เกิดมาเป็นมนุษย์ถ้าไม่ได้มีโลกุตรธรรม ไม่ได้ถึงนิพพาน ก็จะวนเวียนสุขๆทุกข์ๆดีๆชั่วๆ ดีๆอย่างนั้นแหละเป็นล้านปี ก็หมุนเวียนอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่มาพบศาสนาพุทธ ไม่ได้มารับรู้ อัญญธาตุ คือธาตุ จิตวิญญาณที่จะไปสู่โลกุตรธรรม มันก็จะหลงวนเวียนอยู่นั่นแหละ 7,000 ล้าน เป็นเทวนิยมไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แม้แต่ประเทศไทยเป็นพุทธซึ่งเป็นโลกุตรธรรม ก็ยังเสื่อมไป จนอาตมาต้องเอาโลกุตรธรรมมาตั้ง มาหยั่งมาประกาศขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่ของอาตมาเป็นผู้ตรัสรู้นะเป็นของพระพุทธเจ้า แต่ว่าอาตมาต้องนำมาเพราะมันเสื่อมไปหมดสิ้นไม่เหลือ ตอนนี้ก็พูดชัดๆอย่างนี้ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหา อาตมาพูดสัจจะความจริง เพราะฉะนั้นท่านที่รู้ศาสนาพุทธอยู่ทุกวันนี้ ถ้าไม่มาชัดเจน ตามที่อาตมาพูด อธิบาย ท่านก็ยังวนเวียนอยู่ในโลกียะ อยู่ในเทวนิยมยังงั้นแหละ เราไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าวิบากจะออกฤทธิ์จัดสรรขึ้นมาตอนไหนในโอกาสเกิดร่างใหม่ของภพชาติถัดไป เกิดชาติหน้ามันจะไม่มีจุดที่สั่งสมในอนุสัย คือจิตใต้ก้นบึ้ง จะสั่งสมลงในอนุสัยเลย เมื่อไม่มีก็จะวนเวียนเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย พอเริ่มต้น มีจุดเริ่มต้นของโลกุตรธรรมขึ้นไป คนนี้ถึงจะต่อชาติ อาจจะมีวิบากของแต่ละคนไปก็แล้วกัน อันนี้บอกไม่ได้ อจินไตย มาเจอแล้วต้องไปใช้วิบากอีก กว่าจะได้มาเริ่มต้นต่อก็แล้วแต่ละคน _สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกพบว่า เวลาลูกมีจิตเบิกบาน ปิติในธรรม ก็มีสภาวะอยากปรึกษาเปิดเผยสารภาพกิเลส ของลูกให้สมณะฟัง ครั้นจิตเศร้าหมองกลับอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ แทนที่จะอยากพบสมณะ แปลกมากค่ะ จิตคน น้อมกราบพ่อครูด้วยด้วยเศียรเกล้าค่ะ _”ปรารถนา ความเจริญทางจิตวิญญาน” · ดิฉันมีเพื่อนบ้านคนหนึ่งเขาเป็นคนมีปัญหาทางจิต ทำให้เกิดผัสสะกันอยู่เนืองๆ ผลจากการที่ดิฉันได้พยายามต่อสู้กับกิเลสของตัวเองก็คือทุกวันนี้เมื่อมีผัสสะดิฉันไม่มีปฏิกิริยาออกมาทางกายและวาจาแต่อย่างใด(โดยปกติดิฉันจะตอบโต้เขาเสมอ) คงเหลือก็แต่ใจเท่านั้นที่มีอาการสั่นระริกๆแทน ดิฉันจะทำอย่างไรดีเพื่อทำให้อาการนี้หมดไปโดยสิ้นเชิง 2.เนื่องจากหน้าที่รับผิดชอบในการงานของบวรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ดิฉันต้องไปมีผัสสะกับอาท่านหนึ่งคือไปเบรกไปขัดใจเขาอย่างแรง ทำให้เขาเสียหน้าเสียตา หลัง จากนั้นดิฉันก็ทักทายพนมือเจริญธรรมเขาตามปกติ อาเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบรับแต่อย่างใด ผ่านไป 3 ครั้ง ดิฉันจึงไม่ได้เจริญธรรมกับอาเขาอีก ทุกวันนี้ใจดิฉันไม่มีปัญหาไม่ติดใจอะไรกับเขาแล้ว จะให้ทักทายอีกหรือทำเฉยๆเหมือนไม่เห็นเขาก็ได้ แต่ดิฉันคิดว่าเราอายุน้อยกว่าเราควรจะมีสัมมาคารวะกับผู้มีอายุมากกว่า ดิฉันตัดสินไม่ถูกว่าดิฉันควรจะทำอย่างไร ขอความกรุณาพ่อครูชี้แนะดิฉันด้วยค่ะ เขาเป็นสายผูกค่ะ.. พ่อครูว่า…ในข้อ 1 ก็อย่าไปติดใจ อย่าไปถือสาเลย แต่ก็พอรู้ แต่ใช้การกดข่มก็เลยสั่นระริก แต่ถ้ารู้ด้วยปัญญาไปตามลำดับจะไม่เป็นอย่างนั้น ไม่สั่นระริก 2 ก็ให้เขาผูกคนเดียว คุณก็อย่าไปผูกกับเขา อย่างที่คุณทำนั้นดีแล้วล่ะ ไม่ต้องไปนั่นอะไร SMS วันที่ 7 มิ.ย. 2565 ๏ แปดสิบแปดพรรษ์ผ่านแล้ว ท่านพ่อครู ห้ามิถุนาพรายพรู ผ่องหล้า ขอสมเด็จบรมครู เสริมส่ง ให้ท่านแกร่งเก่งกล้า กาจสู้หมู่พาลฯ ๏ เหล่ามารผลาญพุทธให้ เป็นอธรรม ศาสนิกหลงลำนำ ติดตื้น มีเพียงพ่อครูคลำ ทางสว่าง แสดงแฮ เผยแก่หมู่ศิษย์ชื่น ฉ่ำด้วยพจมานฯ ๏ กาลอโศกรำลึกถ้วน แต่ละปี เทิดท่านผู้ปูชนีย์ นั่นแล้ ให้ท่านอยู่เป็นศรี ชาวอโศก จนตราบหมู่มารแพ้ พ่ายทั้งปฐพีฯ เพื่อนของ สมณะเด่นตะวัน ประพันธ์ _สมสมัย นันจะโภค · เมื่อปี 32 ถือว่าเป็นปีที่เศร้าโศกของชาวอโศกทุกคน ลูกเองก็เสียน้ำตาไปหลายหยด แต่ข้างในลึกๆก็เชื่อว่าพ่อครูทำถูกแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งพิสูจน์ความบริสุทธิ์ถูกต้องของพ่อครูยิ่งขึ้นกราบสาธุค่ะ พ่อครูว่า… สัจจะเป็นความจริงมันไม่เปลี่ยนแปลงและไม่มีตาย สถาปนาลงไปมีแต่จะเจริญขึ้นเรื่อยๆ อาตมาจึงไม่ได้กังวลไม่ได้ตกใจอะไร จะมีคนต่อต้านจะมีคนล้มล้างก็เข้าใจเขา แล้วเราก็ทำงานไป จนทำมาถึงทุกวันนี้ 50 กว่าปีแล้ว มันก็ไม่มีปัญหา มีแต่คนมีปัญหากับอาตมา อาตมาเป็นคนมีปัญญา ก็แก้ไขสิ่งที่เขามาก็ใช้ปัญญาแก้ไขที่เขามามีปัญหากับเราไปเรื่อยๆ จนทุกวันนี้นี่ ก็โล่งโปร่งนะอาตมาว่าเราทำงานได้ ทำงานศาสนาทำงานธรรมะไปได้ ที่จริงได้เต็มที่ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ติดกฎระเบียบกฎหมายทางโลก ทางธรรมะก็ไม่มีใครมาตอแยต่อต้าน มีแต่คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็แสดงออกก็เป็นธรรมดาธรรมชาติไม่มีปัญหาอะไร _ตรงเตือน นาวาบุญนิยม · พ่อครูยอมแพ้ เพื่อรักษาศีลให้สะอาดบริสุทธิ์ ยอมเพื่อรักษาความสงบสุขของสังคม เมื่อกาลเวลาผ่านไปก็จะเห็นว่า ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด มาถึงวันนี้สังคมบุญนิยมอยู่กันได้อย่างผาสุก เพราะมีคนถือศีล ศีลจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ตนเองต้องใส่ใจและทำศีลให้บริสุทธิ์ ได้ฟังย้อนอดีตของชาวอโศกในวันนี้ ต้องหันมาเป็นลูกอโศกที่มีศีลเคร่งและยอมเป็น การยอมจะช่วยทำให้สังคมอโศกผาสุก ดิฉันจะตั้งใจทำงานและฝึกลดตัวลดตนให้ได้ค่ะ น้อมกราบนมัสการค่ะ _Kasem Santhong เกษม สันทอง · พ่อท่านไม่หนีคดีไปไหนแม้เพียงครึ่งก้าว ไม่ลงใต้ดินแม้เพียงครึ่งเมล็ดงา …ลูก ๆ ของพ่อท่านสงบเรียบร้อย ไม่หยาบคายเมื่อมีผู้อื่นด่าทอพ่อท่านอย่างสาดเสียเทเสีย …แต่ลูกศิษย์ของอาจารย์องค์อื่นจะทนไม่ได้เมื่อมีคนติเตียนอาจารย์ของตน และตอบโต้อย่างดุเดือดรุนแรงอย่างหยาบคาย มันช่างแตกต่างกันโดยแท้ พ่อครูว่า…นี่เป็นจิตของอาตมา เปิดเผย ไม่ลงใต้ดินแม้ครึ่งเมล็ดงา จริงที่สุดมันช่างแตกต่างกันโดยแท้ คนที่ไม่มั่นคงแน่วแน่ๆกับความถูกต้องหรือความจริงที่ตนเองมีก็จะเป็นอย่างนั้นแหละจะเดือดร้อน แต่อาตมาไม่ได้พาพวกคุณเดือดร้อนอะไร พวกคุณก็สงบตามที่อาตมาพาทำ มีบางคนเท่านั้นที่ไปย้อนแย้งกับเขาบ้าง ก็ไม่มีอะไรนักหนา แต่มันมีความแตกต่างกันอย่างที่คุณเกษมเขียนตั้งข้อสังเกตมา จริงที่สุด กำจัดผีในตนจึงเป็นคนโลกุตระ _ฉลวย วิฆเนศ ….กราบเรียนพ่อครู ตั้งแต่ผมรู้ความหมาย ชีวิตของผมเต็มไปด้วยความกลัวผี กลัวเจ้ากลัวศาลพระภูมิ กลัวต้นไม้ที่เขาเอาผ้าหลากสีมาผูกไว้ ( พ่อครูว่า… ใครเป็นอาการอย่างนี้บ้างสมัยก่อนๆ ) ผมเห็นสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปหมด พบเห็นที่ไหนก็ต้องยกมือไหว้ หลังจากที่ได้พบอโศกได้ฟังธรรมจากพ่อครูและความกลัวสิ่งเหล่านั้นก็หายไปหมด พ่อครูบอกว่า ผี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายไม่มีจริงในโลก ทุกวันนี้จิตใจผมเป็นอิสระไม่ได้กลัวสิ่งนั้นอีกเลย ทุกวันนี้มีจิตมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามที่พ่อครูสอน ถ้าชาตินี้กิเลสยังหลุดพ้นไม่หมดจะเกิดมาต่อชาติหน้า และชาติต่อๆไป ก็คงจะได้เป็นพระอรหันต์สักชาติหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่แทนพ่อครู หลังจากที่พ่อครูได้ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว พ่อครูว่า… ดีมากเลย คนนี้เขาเป็นพ่อมด คือพ่อของมดถึงดิน ได้ข่าวว่าไปอ้วนอยู่ที่ไหน อยู่ที่นี่ไม่ค่อยอ้วน มาพูดถึงผี เจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นเรื่องของทิฏฐิ ธาตุรู้ของแต่ละคนที่ไม่เข้าใจความจริงของความเป็นจิตวิญญาณ จิตวิญญาณที่ชั่วที่เลว ที่โง่ เลวชั่วก็คือโง่ด้วย แต่เป็นโลกียะ แต่โง่ที่อาตมาหมายถึงความโง่ทางโลกุตระคือ ไม่รู้จักสุขทุกข์ แยกให้ดีนะ ดีชั่วกับสุขทุกข์มันต่างกัน ศาสนาเทวนิยมทั้งหมดไม่รู้เรื่องจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นไม่รู้เรื่องของผี พระเจ้านี้คือผีหลอกคน พระเจ้าของเทวนิยมคือผีคือซาตาน คือมาร มันเป็นตัวเดียวกันอยู่ในคน พระเจ้าเป็นเจ้าของความสุข มารคือตัวทุกข์ มันเป็นตัวเดียวกัน เขาไม่รู้จักจิตวิญญาณ เขาแยกไม่ออก แต่เขาก็มีแต่ความติดอยู่ในสุข มุ่งเอาแต่สุข มุ่งมาที่สุข เอาแต่สุขเสพสุข ทุกข์มันจะเล่นงานเท่าไหร่ กิเลสเป็นเหตุแห่งทุกข์ ทำให้เขาทำ มุ่งจะสนใจในสิ่งที่ เป็นอัตตา วิญญาณนี้คือ อัตตา หากมีอวิชชา เขาจะแสดงตัวเป็นผีอยู่ตลอดเวลาแต่เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นผี เขานึกว่าเขาเป็นเจ้าโลก เป็นคนชนะ เป็นคนยิ่งใหญ่ ตั้งแต่ง่ายๆ ก็คือ ยิ่งใหญ่ เพราะฉันมี ลาภเยอะ รวยเหนือกว่าใครเลย เป็นเจ้าโลกเพราะรวย รวยทรัพย์สินมีเงินทองข้าวของทรัพย์ศฤงคารอะไรก็แล้วแต่ ยิ่งใหญ่ นั่นแหละผีหลอกตัวเอง นึกว่าตัวเองเป็นเจ้า นึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของสุขเจ้าของทรัพย์สินใหญ่ที่หลงเอาอันนี้เป็นตัวตั้ง ทรัพย์ศฤงคารเงินทองข้าวของ เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้ก็ตั้งหน้าตั้งตาแย่งโลก กอบโกยเอาทรัพย์ศฤงคาร ตั้งหน้าตั้งตา เอาอันนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งไม่รู้ว่าไปแย่งเอาจากเขาด้วยความรุนแรง เบียดเบียนเขา ฆ่าแกงรบรา เพื่อจะแย่งเอาทรัพย์ศฤงคารพวกนี้มาให้แก่ตัวเองได้เยอะๆ เขาก็ทำมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แย่งกันมา จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็พอมีความรู้ขึ้นมา ก็แย่งอย่างมีท่าทีไม่ให้รู้ว่าฉันแย่งนะ แต่เขาก็รู้ทั้งนั้นแหละไม่ต้องไปทำเป็นอำพรางไปทำกลบเกลื่อนอะไรหรอก แย่งลาภแล้วก็แย่งยศชั้นเป็นอำนาจใหญ่ แม้จะทำทีไม่มียศ แต่ไม่มีประเทศใดไม่มียศ มียศทุกประเทศ ตั้งยศตำแหน่งกัน เสร็จแล้วก็เป็นสรรเสริญ จะสรรเสริญเพราะมี ลาภมาก สรรเสริญ ก็มียศตำแหน่งมากก็สรรเสริญกันแต่ไม่ได้รู้ตัวเองว่าตัวเองติดยึด เขาให้ก็รับ เขาเอาตำแหน่งมาให้เอายศมาให้ก็รับ ก็อยู่กับยศตำแหน่งนั้นไม่ยอมปลดปล่อย ไม่ยอมปฏิเสธ แต่ก็มีแน่นอนเขาให้ตำแหน่งแต่ตัวเองไม่รู้ว่าตัวเองเสพอยู่อย่างพอมีปฏิภาณรู้ว่าอย่าไปแสดงออกว่าเรายินดีนะ แต่คุณก็มียศนั่นแหละ อย่างพระพุทธเจ้าท่านเกิดมา พอท่านรู้ตัวว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าท่านทิ้งหมดเลยยศศักดิ์ตำแหน่ง ออกมาเสมอภาคกับคนทุกคน เคยใส่รองเท้าทองคำก็ถอดพระบาท นุ่งห่มผ้าบังสุกุล ผ้าจากซากศพ นอนโคนไม้โคนไร่ไป ท่านทิ้งชัดๆเลย ท่านไม่ได้ติดยึดในสักการะ แต่ท่านก็รู้จักตามสมมติในโลกหรือปรมัตสัจจะว่าท่านสูงจริง คนที่มีภูมิปัญญามีดวงตารู้ว่าสูงเขาก็มาเคารพ ส่วนคนที่ต้องยอมเคารพด้วยสมมติ เขาก็เคารพไปตามสมมุติ ส่วนคนไม่รู้เขาก็ลบหลู่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร แลบลิ้นหลอก ดีไม่ดีด่าท่าน ท่านก็เข้าใจคน คนมันมีหลากหลายทั้งคนจะยกย่องหรือจะข่ม หมดความโง่ หมดธาตุผี มีแต่ธาตุรู้ ธาตุฉลาด รู้ความจริงตามความเป็นจริง เทวนิยม ไม่หมดความเป็นผี ไม่หมดความเป็นซาตาน (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมณะเดินดิน… นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ … ตอนมีคดีสันติอโศก พ่อครูไม่ได้หวั่นไหวอะไรเลย ยังแต่งเพลงคนหยาม ฟ้าไม่หยาม ออกมาได้เป็นอัลบั้ม พลเอกประยุทธ์ ก็ไม่ได้ติดยึดในตำแหน่งนายกไปอย่างไร ถ้าไม่ได้เป็นนายกต่อก็กลับบ้านไปแต่งเพลงเท่านั้นเอง ไม่ได้หวั่นไหว ตั้งเป้าหมายมุ่งทำงานเพื่อประเทศชาติต่อไปอย่างเดียว ตอนนั้นพ่อครูก็ถูกเขาจะจับสึกก็ได้แต่พ่อครูก็ไม่หวั่นไหวแต่งเพลงออกมาสบายๆ พ่อครูว่า… ต่อเรื่องผีต่อ ผีนี่คือ มันซับซ้อนหลายชั้น ผีคือความไม่รู้ คืออวิชชาของคนนี่แหละ 1. มองผีไม่ออกทั้งที่ตัวเองเป็นผี ผีที่หลายซับซ้อนเลยนะ ตัวเองเป็นผีชัดๆแสดงออกมาเป็นผี แต่หลงตัวเองว่าตัวเองเป็นพระเจ้าหรือเป็นเจ้าโลก หลงว่า ตัวเองมีอำนาจ จะบัญชาอะไรต่ออะไรยิ่งใหญ่ไปหมด แล้วก็รู้สึกว่าอยากจะได้ตำแหน่งนี้แหละ ตำแหน่งที่ได้ยิ่งใหญ่ได้บัญชา เป็นเจ้าโลกเลย ยิ่งใหญ่อย่างนั้นแหละ คำตรัสในหลวง ร. 9 ท่านตรัสว่า 1. เราจะต้องเอาอย่างจนเราไม่เอาอย่างรวย มาเป็นคนจนมาเป็นคนขาดทุนไม่ได้เอากำไร กำไรมันเป็นความเสื่อม ไม่เอาความก้าวหน้า อย่างที่เขาหลงใหลความก้าวหน้ากัน มุ่งจะเอาก้าวหน้า ในหลวงบอกว่าเราไม่เอาก้าวหน้าเพราะมันมีแต่จะถอยหลังอย่างน่ากลัว ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองประเทศไหนก็ตามมีแต่จะกระเหี้ยนกระหือรือเอาความก้าวหน้าหรือจะเอาความเป็นเจ้าโลก เป็นเจ้าเหนือชั้นกว่าทุกประเทศเลย แต่รู้แล้วว่า ชักจะเข้าใจว่ามันคงจะเป็นไม่ได้ง่ายๆ ก็เอาแต่ให้ประเทศเราแข็งแรง แล้วให้คนอื่นเขายอมรับ เดี๋ยวนี้ก็คงจะมีปฏิภาณไหวพริบและรู้ขึ้นมาบ้าง ส่วนพุทธประเทศไทยที่มีโลกุตระอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านไม่ได้มีความคิดเหมือนนักบริหารแต่ละประเทศเลย เพราะอันนี้เป็นโลกุตรธรรมอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านตรัส ตรัสอย่างโลกุตรธรรมจริงๆ เพราะท่านเป็นโพธิสัตว์ที่แท้จริง ความรู้ที่ว่านี่แหละเป็นคนที่เข้าใจจิตที่เป็นผีแท้ กลับเป็นผีปลอม ผีปลอมเป็นอะไร ปลอมเป็นเทวดา ปลอมเป็นผู้ที่มีสุข ซึ่งสุขมันก็คือทุกข์ ทุกข์มันก็คือสุข โดยไม่รู้มายา ไม่รู้ความเป็นสุขทุกข์ที่เป็นมายา ศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ไม่เอาทั้งสุขและทุกข์ มันทำให้คนอยู่ในภพความโง่เป็นผีหนัก คนที่หลงเอาทั้งสุขและทุกข์ด้วยก็ยิ่งเป็นผีหนัก เป็นผีใหญ่เลย ผีโง่เอาแต่สุข มันก็โง่แล้ว หรือแม้ผีโง่เอาแต่ทุกข์ พวกซาดิสม์และพวกมาโซคิสม์ (ตัวเองเจ็บแล้วชอบ) นี่พวกนี้กลับจากพวกสุขนิยม เป็นพวกทุกข์นิยม หรือพวกทุกรกิริยาทั้งหลาย อย่างในพวกอินเดียทุกวันนี้ก็ยังมี ทรมานตนเอง นอนบนตะปู ยืนเขย่งขาเดียว สารพัดที่เขาจะทำ เอาหัวลงดินตีนชี้ฟ้า เขาก็ทำไปสารพัด พวกทุกข์นิยม ก็ไม่รู็เรื่องอะไร ไม่รู้ความโง่หรือความเป็นผีในตัวเอง แม้ที่สุดจะเป็นเจ้าโลก เหมือนอย่างที่คนเขาแย่งอำนาจอยู่ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ในโลกขณะนี้กัน เขาก็ไม่รู้ว่าตัวว่าเขาเป็นผี ผีนี่คือ ผู้รู้ได้ตั้งสมมุติไว้ให้ศึกษาว่า เป็น จตุมหาราช เป็นผี เป็นยักษ์สี่หน้าสี่ทิศ ตาโปน มีเขี้ยว ถือดาบถือง้าวรุกรานใครต่อใครหมด นั่นแหละคือพวกที่สร้างระเบิดปรมาณูไปรุกรานใครต่อใคร นั่นแหละคือพวกจตุมหาราช พอได้แล้วก็ดีใจเป็นดาวดึงส์ เป็นจิตขี้เก๊ ตัวที่ 33 เป็นอาการตัวที่ 33 ของจิตที่สร้างขึ้นมาเสพ ตัวที่มันไม่มีอาการจริงใจอย่างไร ธรรมดาคนเรามีอาการ 32 แล้วก็สมมุติขึ้นมาว่ามีอะไรอีกอัน เป็นภพชาติ อาการที่ 33 ขึ้นมาอีกอันหนึ่ง สมใจสุขใจ ชนะเขาแล้ว แย่งลาภได้แล้ว แย่งยศได้แล้ว แย่งสรรเสริญได้แล้ว แย่งสุขได้ แย่ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แย่งความเป็นใหญ่ อัตตาใหญ่ แย่งปรมาตมันได้ โอ้โห! มันมืดบอด มันหลงอยู่ในภพชาติหนักหนาสาหัส ไม่รู้จัก ปฏิจจสมุปบาท เลย เพราะฉะนั้นกว่าคนที่จะมารู้ว่าเรานี่เองเป็นผี ผีใหญ่ โอฬาริกอัตตา ผีในโลกอบายมุข อบายมุข ที่ร้ายแรงก็คือ อบายมุขที่อยากเป็นเจ้าโลก มันโลภใหญ่โลภโต มันจะเอาความเป็นใหญ่เป็นเจ้าโลก ที่ทำกันอยู่นี่ ทุกวันนี้ก็เห็นเด่นชัดที่แสดงตัวเต็มที่ ก็มี สหรัฐ กับ รัสเซีย แสดงความเป็นเจ้าโลก จะเป็นเจ้าโลกให้ได้ รัสเซีย เขาแสดงอย่างมีท่าที ไม่โฉ่งฉ่างเหมือนสหรัฐ สหรัฐแสดงเต็มที่เห็นเป็นตัวอย่าง นี่ อธิบายธรรมะโดยไม่ได้ไปดูถูกดูแคลน ไม่ได้ไปข่มไปว่า แต่แสดงสัจธรรมสู่ฟังว่าคนเป็นอย่างนี้ คนตาดีเห็นผี รู้ผี เข้าใจความเป็นผีของมนุษย์ คนโง่ อวิชชา ไม่รู้จักผี อย่าว่าแต่ตาไม่ดีเลย ตัวเองนี่แหละเป็นผีตัวโต แล้วไม่รู้ว่าตัวเองเป็นผีตัวโต ทีนี้อย่างคุณฉลวยว่า กลัวสิ่งที่ตนเองไม่รู้จัก กลัวผี กลัวเจ้า กลัวศาลพระภูมิ กลัวต้นไม้ที่เขาเอาผ้าหลากสีผูกไว้ กลัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นี่ก็คือสารพัดที่ไม่เข้าใจความจริง อธิบายไล่ไปตั้งแต่ คำว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์ แปลว่า ฐานะ มีฐานะ ถือว่าศักดิ์ เครื่องบอกฐานะคือศักดิ์ สิทธิ์ แปลว่าผู้มีความสำเร็จ ฐานะเจ้าโลก มีศักดินา แล้วก็เป็นผลสำเร็จ ในความเป็นเจ้าโลก นั่นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทีนี้พอโง่ซ้อนเข้าก็ว่า ในโลกนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอำนาจสูง เพราะว่ามีศักดินาสูง แล้วสำเร็จด้วย เป็นนามธรรมก็ไม่รู้ ไม่รู้จะยกให้ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขามีศักดิ์ชั้นจริงๆ แล้วเขามีผลสำเร็จได้แล้ว สาธุ เคารพ เพราะเขามีความสำเร็จ เป็นอะไรก็ไม่รู้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีตัวตน แต่ก็หลงว่ามีสภาพดิ้นได้เป็นนาม ก็ไปหลงว่ามีจิตวิญญาณสิงสู่ มีจิตวิญญาณเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วมาคอยใช้อำนาจอยู่ในโลก ถือว่าเป็นของดี เป็นสิ่งที่มีศักดิ์ชั้นที่สูง แล้วก็ประสบความสำเร็จแล้วด้วย เพราะฉะนั้นท่านมี ศักดิ์สูง เช่นพระเจ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วยด้วย!.. สาธุ สิ่งศักดิ์สิทธิ์อ้อนวอน กราบแล้วกราบอีก ศาสนาเทวนิยมจึงมีแต่การอ้อนวอน อย่างอิสลาม วันละ 5 ครั้ง ละหมาดนั่นเอง อ้อนวอนพระเจ้า กราบเคารพเป็นหลักเลย อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือพระเจ้า คือสิ่งที่ประสบผลสำเร็จแล้ว ที่มีศักดิ์สูงที่สุด พระเจ้าต้องสูงที่สุด เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีแนวคิดแบบนี้อยู่ ก็ไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีขี้หมากองหนึ่งเกิดขึ้นข้างถนน คนใจดีเห็นเข้า เดี๋ยวคนจะมาเหยียบ ก็เอาใบไม้ เอาเศษไม้อะไร เศษดอกไม้ก็ตาม ไปกลบขี้หมาเอาไว้ คนอื่นมาเห็นเข้าอีก เห็นว่ามีขี้หมาอยู่ก็เอาไปกลบอีก คนนี้ฉลาดให้คนอื่นไม่ได้เหยียบขี้หมา คนนั้นคนนี้มาเห็นว่ากองนี้ เขามีการเอาเศษไม้ ใบไม้ ดอกไม้มากลบตรงนี้ มันคงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็เอาดอกไม้มา แสดงคารวะเคารพอีก เอาน้ำแดงมาถวายน้ำเหลืองมาถวาย นี่เป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องเก๊ๆนะ แล้วก็งมงายกันไปอย่างนั้น ฉันเดียวกัน ถ้าเข้าใจโดยปัญญาแล้วว่า พลังงานระดับพระเจ้า พลังงานระดับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หมายถึงจิตวิญญาณที่เป็นชั้นสูงแล้วประสบผลสำเร็จและด้วย ธาตุรู้หรือจิตวิญญาณหรือภูมิปัญญา เออ อันนี้ น่ากราบไหว้บูชายกย่อง เรียนรู้ปฏิบัติตามในนามธรรมนั้นได้คนนั้นมีปัญญาที่จะรู้จักสาระ กระทั่งงมงายเป็นสิ่งลึกลับ เป็นสิ่งที่บันดลบันดาล เป็นสิ่งที่จะมีอำนาจปัจจัย ที่ต้องกลัว ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือมีสิ่งที่เป็นชั้นสูงจริงๆเป็นนามธรรม ถ้าเป็นรูปธรรมเราก็ไปเอาอะไรเขาไม่ได้ รูปธรรมเอาไม่ได้ คนจะเอาได้ก็ต้องได้จากนามธรรม สิ่งที่เป็นสิ่งสูง เป็นสิ่งที่ประสบผลสำเร็จแล้ว เราจะเอาได้ก็เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรมเอามาเป็นตัวเราไม่ได้ เพราะรูปธรรมมันตายตัวแล้ว เป็นนามธรรมมันเป็นตัวเคลื่อนไหว เป็นจิตวิญญาณมีธาตุรู้ เพราะฉะนั้นธาตุรู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดก็คือ สิทธัตถะ คือ ศักดิ์สิทธิ์ สิทธะ สิทธัตถะ สิทธะ + อัตถะ(เนื้อหา) คือเนื้อหาของความสำเร็จแล้ว คือผู้ที่ประสบผลสำเร็จแล้วคือสิทธัตถะ พยัญชนะก็ต้องลงตัวกันกับสภาวะธรรม พวกเรานี้มาหา มาศึกษาเอาสิทธัตถะแท้ๆทั้งนั้น เอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเนื้อสภาวะเรียกว่า อัตถะ คือ สิทธัตถะ อาตมาขยายความใช้พยัญชนะแล้วใช้สภาวธรรม ที่แท้จริง ไม่ได้แปลอย่างที่เขาเรียนกันเป็นเปรียญ เป็นนักศึกษาเรียนกัน ด้วยพยัญชนะ อาตมาไม่ได้แปลตามวิชาการแบบนั้น แต่อาตมาแปลตามอัตโนมัติของสภาวะธรรมกับพยัญชนะ ที่อาตมามีภูมิของอาตมาเอง เพราะฉะนั้นบางทีก็แปลไม่เหมือนอย่างที่ท่านแปลกัน บางทีก็คล้ายๆกัน บางทีก็ตรงกันดี อย่างเช่นคำว่า บุญ คำว่า กาย ทุกวันนี้ความเสื่อมมันมีมาก คำพวกนี้ คำว่ากายคำว่าบุญนี่แหละเป็นตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ ที่พุทธศาสนิกชนเพี้ยนไปไกลลิบเลย คำว่ากาย ก็ไม่รู้จัก โดยเฉพาะคนไทย เขาไปหมายถึงเป็นสรีระ ไม่มีจิต แต่จริงๆแล้วคำว่ากายนี้หมายถึงสรีระเป็นหลัก ข้างนอกเป็นเรื่องหยาบ ต้องผ่านเป็นเบื้องต้น แล้วจิตนั่นแหละมีอีกตั้งเยอะที่จะต้องล้างออก แม้แต่กระทบภายนอกก็ต้องล้างที่จิตไม่ใช่ล้างที่วัตถุธาตุข้างนอก ล้างกิเลส วัตถุธาตุมันไม่มีกิเลสหรอก แม้แต่พืชก็ไม่ถือว่าเป็นกิเลส เพราะมันไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีบาปไม่มีบุญอะไร เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ชัดเจน ท่านรู้ว่า อุตุนิยาม หรือธาตุวัตถุแท้ๆ เป็นพลังงานความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า ไม่ใช่ชีวะ มันก็ทำงานไปตามแบบของมัน เป็นแม่เหล็กมันก็ดูดกัน แสงมันก็ออกมา เสียงมันก็ออกมา แม่เหล็กไฟฟ้ามันก็ทำงานไปตามสภาวะของพลังงานแบบวัตถุ พอมาเป็นชีวะ เริ่มเป็นพืช มีความรับรู้และก็มีความเป็นตนในส่วนหนึ่งแล้ว มะนาวก็เป็นตนของมัน มีช่อเดียวนะ มีหนาม มันก็เป็นตนของมัน ธาตุรู้ของมัน มันก็จะต้องทำงานเพื่อสร้าง เอาเมล็ดไปปลูกอีก มันก็จะสร้างแบบนี้ เอาเมล็ดของลูกใหม่ ไปปลูกมันก็จะสร้างตัว มันเองแบบของมัน แต่มันไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร มันทำแต่ตัวมัน พอมาเป็นจิตนิยามมันทำร้ายผู้อื่นด้วย มีบาปมีบุญ มีดูดมีผักกันแรง แรงจนกระทั่งถึงทำร้ายทำร้ายกัน ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม แล้วท่านก็ตรัสรู้เรื่องกรรมนิยาม และธรรมนิยาม สิ่งที่ทรงไว้ตามระยะเวลา การกระทำ พอเรารู้ทุกอย่างมันเกิดจากกรรม แล้วเราเป็นเจ้าของกรรมที่จะให้เกิดพลังงาน ทำลายหรือสร้างสรร กรรมต่างๆ กรรมที่เป็นการกระทำทำลายหรือสร้างสรร ส่วนเวทนาความรู้สึกนั้น รู้สึกชอบ รู้สึกไม่ชอบ รู้สึกดูดดึง หรือรู้สึกผลัก มันมีตัวตั้งกับตัวที่เจตนา สมเจตนา เมื่อสมเจตนาก็เป็นสุข ไม่สมเจตนาก็เป็นทุกข์ นี่เป็นลักษณะของจิตวิญญาณที่แจกเป็นเจตสิกต่างๆ เจตนาเจตสิก เวทนาเจตสิก สัญญาเจตสิก ตัวที่กำหนดรู้อะไรขึ้นมาก็ดี พระพุทธเจ้าให้ศึกษานาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ พวกที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้เรียนรู้นาม 5 ไม่รู้จักนาม 5 ไม่ศึกษาและปฏิบัติฝึกฝน ยิ่งพวกหลับตา ไม่มีผัสสะไปทำใจในใจ มนสิการเขาก็มีเหมือนกัน มนสิการคือการทำใจในใจ เขาก็ไปทำใจในใจให้สะกดจิตตัวเองลงไป ไม่มีผัสสะภายนอก ไม่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เขาไปอธิบายวิตก วิจาร คือการวิจัยนั่นแหละ ไปอธิบายอะไรก็ไม่รู้ วิจัยอยู่ในภพชาติอยู่ในภวังค์ อยู่ในจิต ไม่วิจัยตั้งแต่หยาบภายนอก สิ่งนี้เป็นอบายมุข เป็นสิ่งเสพติดนะ ไม่รู้จัก ก็เสพติดเฉย เหมือนอย่างมหาบัวเสพติดหมากพลู เป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แล้วเสพติด ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ซับซ้อน เป็นรูป อรูป ติดยึดร่ำรวยมากมาย ได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เป็นผู้ที่หาเงินหาทองคำเข้าพระคลัง แล้วก็ยึดเป็นผู้มีคุณธรรมสูงสุด จนกระทั่งทุกคนเคารพหมด แม้กระทั่งสถาบันชั้นสูงสุดของประเทศ ก็หลง สรรเสริญเยินยอยิ่งใหญ่ แล้วไม่รู้ตัวหรอก มหาบัวไม่รู้ตัว แค่รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสติดหมากพลูก็ยังไม่รู้เลย หยาบทนโท่ แล้วลาภยศสรรเสริญยกย่องเชิดชู ร่ำรวยมหาศาล เป็นเจ้าใหญ่ ว่า เงินคงคลัง ทองคำ ในท้องพระคลัง ฉันหามานะ ใส่คลังไว้ สิ่งเหล่านี้ซับซ้อน ผู้ไม่รู้ก็ไม่รู้ ที่อาตมานำตัวอย่างจากมหาบัวประพฤติหรือมีพฤติการณ์ เอามาเป็นตัวอย่างก็ต้องขอบคุณมหาบัวที่ให้ได้ใช้เป็นตัวอย่างให้มนุษย์ได้ศึกษา เหมือนกับของพระพุทธเจ้าก็เอาพระเทวทัตมาพูดเพื่อให้ศึกษา หรือ พวกที่ไม่ดีๆหลายคนเอามาพูด แม้แต่เทวทัต เขาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนเป็นต้น ยุคนี้ อาตมาก็ไม่ได้ขออนุญาตมหาบัว อาตมาเอามาโดยพลการก็ขออภัย แต่มันเป็นการศึกษาที่มีตัวตนจริง มีพฤติการจริง สามารถที่จะเอามาเรียนรู้ได้ ไม่ใช่ว่าเป็นแค่เพียงตำนาน เป็นเรื่องที่อยู่อย่างเก่าๆแก่ๆ เอามาพูดกันเฉยๆ เป็นชาดก เป็นเรื่องเล่า ไม่ใช่ มันเป็นเรื่องที่พอรู้ตัวตนกัน พอไล่ทันกันอยู่ คนที่แยกออกว่า ผี ก็ดี หรือภาษาอื่นๆ จะใช้คำว่ามารหรือซาตานอะไรก็ตาม ก็คืออันเดียวกัน เป็นธาตุที่ไม่ค่อยเข้าท่า โง่ๆเง่าๆ หรือนึกว่าตัวเองฉลาดตัวเองเป็นเทวดา เทวดาหลงเสพติด ดาวดึงส์ หลงเสพติดจตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามาดุสิต นิมมานรดี ปรนิมิตวสวตี โง่ แค่ชั้นจตุมหาราชก็เป็นกันเต็มโลก ไม่ว่าจะเป็นใคร ทำทีเป็นว่าไม่รุกรานคนอื่นเท่าไหร่ เพราะไม่สามารถรุกรานใคร แต่แสดงอำนาจบาตรใหญ่ป้องกันตัวเหมือนเกาหลีเหนือ ก็แสดงความเป็นเจ้าโลกว่า ฉันมีอำนาจรุนแรงนะเฮ้ย อย่ามาตอแยกับฉันนะ สหรัฐอเมริกาน่ะ ฉันยิงถึงเลยนะ ตูมเดียว จากเกาหลีเหนือไปลงวอชิงตัน ลงนิวยอร์กได้เลยนะ แล้วเขากำหนดได้จริงๆ ด้วยในยุคนี้ ขู่กันอยู่อย่างนั้น ยิ่งตัวใหญ่กว่าเกาหลีเหนือที่เล็กๆ แคบๆ พลเมืองน้อยๆ ก็เบ่งขี้แตกเลย ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา แต่ก่อนนี้ก็ทั้งนั้นแหละ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี ขี้เบ่งทั้งนั้น แต่เสร็จแล้วก็คงเมื่อยก็ปล่อยให้พวกที่ไม่รู้ตัวเบ่งกันไป สักวันขี้แตกแล้วก็หยุดหรอก แม้แต่ปูตินนี่ก็เถอะ เก่งนะไม่ใช่เล่น ดูประเทศใหญ่ 2 ประเทศ จีนกับอินเดีย มาถึงตอนนี้ ยุคนี้อินเดียเขาก็สงบของเขา เขาอยู่แบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร กี่พันปีเขาก็อยู่อย่างนี้ แต่จีนนี้ไปๆมาๆ เดี๋ยวเป็นโน่น เดี๋ยวเป็นนี่ เดี๋บวเป็นอะไรสารพัดที่จะเป็น แต่ตอนนี้สงบลง สวยงามมาก เพราะมีเชิงปัญญาเข้าไปร่วม เสร็จแล้วแปรความโง่ทั้งหลายแหล่ในพลังปัญญานี้ แปรความโง่เอามาสร้าง ต่างๆนานา โดยเฉพาะสร้างสารพัดเครื่องใช้ ใครไม่ใช้ผลงานของจีนบ้าง แม้ที่สุดพืชพรรณธัญญาหาร จีนเขาก็ทำ แข่ง มาแข่งกับทางโซนอบอุ่นทางเรานี่แหละ ทางไทย เวียดนาม พม่า ลาว แล้วเขาก็มีมากมายล้น จนกระทั่งเป็นสินค้าส่งออก คนหยุดสร้างอาวุธยุทธภัณฑ์ มาสร้างอาหารซะได้ ความเป็นผีคุณก็ลดลง ผีดุร้ายมาเป็นผีตะกละ ผีเปรตไง ผีตะกละ ผีโหดร้ายก็ผีโขมด ก็เสพ เสพความมากความรวย เสพความสวยความงาม เสพรส รสหอมรสอร่อย เสพไป คนเราเรียนรู้เรื่องเสพเรื่องติด เสพติด หมดความอยากสิ้นความเสพได้ รู้อะไรๆ ที่จะอาศัยอะไร ถ้าชีวิตเรายังมีอยู่ก็อาศัย อาตมาตอนนี้มาชัดเจนว่า สรีระ มันก็เป็นสรีระ มีเหตุปัจจัยพอที่จะไปได้ระดับหนึ่ง นามธรรมนี่ มันเก่งกว่าสรีระ มันเก่งกว่าทางวัตถุ อาตมาจึงได้คิดว่า เราจะมาพิสูจน์ พิสูจน์สรีระ จะฝืนสรีระ เอ็งจะเสื่อมจะตายก็ยัง จะพยายามไม่ให้มันเสื่อมง่าย จะพยายามไม่ให้มันตายง่าย ตั้งใจเลย จะพิสูจน์สัจธรรมบทนี้ ถ้าอาตมาอายุถึง 100 ถือว่าเข้าถึงเส้นชัยแล้ว เพราะฉะนั้นจะไปสู่เส้นชัยที่สูงสุด ได้เท่าไหร่ก็สูงเท่านั้น นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะเดินดิน… วันนี้ได้นิยาม แต่ก่อนพ่อครูกำหนด พระคือความจริง ผีคือความหลอก มันก็หลงสุขทุกข์ไปอีกเป็นล้านๆชาติ ตอนนี้พวกเราก็มาลดความสุขความทุกข์ลดผีออกไปได้หลายแล้ว โดยเฉพาะตอนนี้มาลดละผีทุเรียน ตอนนี้ได้ข่าวว่า ทุเรียนมีไม่มากเท่าไหร่แต่เหลือไปถึงท้ายศาลาได้ ก็แปลว่าพวกเราไม่ค่อยกินทุเรียนกัน อโศกเป็นชุมชนคนอนาคามีที่หารางวัลได้ยาก พ่อครูว่า…ถ้าเรียนรู้ได้ว่าผีมารหรือซาตาน เป็นความเป็นเท็จไม่ใช่เป็นความจริง กับสิ่งที่จริงคือสังขาร สิ่งที่ปรุงแต่งกันอยู่ด้วยเหตุและปัจจัยตามหลักปฏิจจสมุปบาท มีวิชชา เริ่มรู้ว่าสังขารเป็นอย่างไร สังขารมันปรุงแต่งมาเป็นวิญญาณ วิญญาณท่านแยกให้ศึกษานามรูป ก็จะรู้จักวิญญาณ ก็จะเรียนรู้วิญญาณ แจกเป็น จิตเจตสิก รูป นิพพานได้ โดยวิธีเรียนรู้รูปนามต้องมีผัสสะ จึงเกิดอายตนะ ตามหลักปฏิจจสมุปบาทเลย มีนามรูป ได้เรียนรู้จะต้องมีผัสสะและมีอายตนะก็จะรู้นามรูป และนามรูปนี้ สิ่งที่ถูกรู้ที่เป็นรูป เราเรียกว่าเวทนา นามที่รู้เราเรียกว่า ปัญญา หรือสัญญากำหนดรู้เวทนา สัญญาที่มีความฉลาดถึงขั้นปัญญาแล้ว กำหนดรู้เวทนาและแยกเวทนาได้ ตรงนี้แหละ คือ ฐานปฏิบัติอันยิ่งใหญ่ เวทนา มี กายยิกเวทนา เจตสิกเวทนา สุขเวทนา ทุกข์เวทนา อทุกขมสุขเวทนา และมีดีกรีมีน้ำหนักของมัน ทุกขเวทนา สุขเวทนา โทมนัสเวทนา โสมนัสเวทนา อุเบกขาเวทนา เราละสุขทุกข์ โทมนัสโสมนัส อยู่ที่อุเบกขา ไม่ทุกข์ไม่สุขกับอุเบกขาก็ต่างกัน อุเบกขาแปลโดยโวหารก็แปลว่าเฉยๆกลางๆ แปลโดยคุณลักษณะแล้วก็คือ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ไม่ทุกข์ไม่สุขเป็นไวพจน์ที่ใช้ทดแทน มันไม่มีสภาพคู่ ความทุกข์ความสุขคือสภาพคู่ ผู้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว เรียนรู้เวทนาแล้วแยก มโนปวิจาร 18 โลกียะเวทนาเรียกว่า เคหสิตเวทนา 18 แล้วทำกิเลสให้ออก เรียกว่าเนกขัมมสิตเวทนา อีก 18 ทำออกได้เรื่อยๆ ตั้งแต่เริ่มต้น โอฬาริกอัตตา รู้จักกามภพ ตั้งแต่อบายภพ การปฏิบัติธรรมของพุทธเจ้าไม่ได้หลับตา แต่ลืมตามีสติตื่นเต็มรับรู้ภายนอก โอฬาริกอัตตา รู้กิเลสที่เกิดแล้วกำจัดกิเลสที่เกิดขึ้นให้หมดได้จริงๆ มันตายจริงๆ ด้วยปัญญาอันยิ่ง มันตายข้างนอก เหลือข้างในเป็นรูปภพอรูปภพ ก็ยังเห็นภายนอกอยู่นั่นแหละ เหตุที่มันทำให้เกิดกิเลส กามมันไม่มีแล้ว มันเหลือภายใน เรียกว่ารูป และลึกเข้าไปอีก เหลืออันสุดท้ายเรียกว่า อรูป ก็ยังกระทบสัมผัสอยู่ภายนอกนี่แหละ ไม่ได้หลับตาเลย สักตอนไหนก็ไม่ใช่ แต่กิเลสมันดับ กิเลสมันหมดมันไม่มี จึงอยู่เหนือเรียกว่าโลกุตระ เหนือโลกกาม เหลือรูปโลก อรูปโลก ก็มาหากิเลสขั้นกลางคือรูปอีก เรียก มโนมยอัตตา มันก็ยังเป็นกิเลสภายนอกอยู่ เป็นมโนมยอัตตาภายนอก หมดแล้วก็เหลือแต่ มโนมยอัตตาภายในแท้ๆ จากนั้นเหลือรูปภพอรูปภพ เป็นภายในแท้ๆก็เหลือ อรูปอัตตาโดยตรง หมดความเป็นมโนมยอัตตา อัตตา 3 โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ผู้ที่เรียนรู้สภาพปรมัตถ์ต่างๆพวกนี้ จิต เจตสิก รูป รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ โดยนามการกำหนดใช้สัญญา ผู้ปฏิบัติธรรมที่ไม่มีนาม 5 ไม่มีผัสสะ ไปทำใจในใจ หลับตาไม่มีผัสสะ พวกนี้นอกรีตเลยไม่มีนาม 5 ในการปฏิบัติ ทำมนสิการ ที่เป็นมูลสูตรข้อที่ 2 ข้อที่ 1 ฉันทะ ข้อที่ 2 มนสิการ เขาก็ทำมนสิการ เขาก็ทำนะแต่มันผิดไปเลย มันไม่มีผัสสะ เพราะฉะนั้นคุณจะรู้จักเจตนาไม่ได้ ไม่มีเจตนาให้เรียน มีเจตนาก็เพียงสัญญากำหนดไป มันเดาเอา มันไม่มีสัจจะความจริง ความจริงจะต้องมี ทิฏฐธรรม มีปัจจุบันชาติ มีปัจจุบันที่ตาหูจมูกลิ้นกายและใจ ร่วมกับคนอื่น มันเป็นความจริง อยู่คนเดียวคิดคนเดียวไม่ถือเป็นความจริงเป็นความเพ้อฝัน เป็นการสร้างขึ้นไปเองเป็นภพชาติ มันจะคิดอย่างไร ก็คิดเอาของเก่ามาบุพเพ คุณจะคิดของใหม่ อนาคต คุณก็คิดไปได้สารพัด ของเก่าก็อาจจะมีของเก่าที่คุณระลึกได้เท่านั้นแหละมี 18 อย่าง ตามที่พระพุทธเจ้าท่านรวบรวมไว้หมด ถ้าของใหม่มีมากที่สุดก็ 44 อย่าง พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้คำสอนพวกนี้ อาตมาก็นำมาวิจัย นำมาแจกแจง นำมาขยายความให้พวกเรารู้ละเอียดๆ แม้ตั้งแต่หยาบๆ แล้วพวกคุณก็รู้ไปตั้งแต่เบื้องต้น จึงเป็นการหลุดพ้นมาจากโลกหยาบ มาถึงโลกละเอียด อาตมาพูดไม่รู้กี่ทีว่าชุมชนชาวอโศกเป็นชุมชนอนาคามี มันไม่ใช่เรื่องตื้นๆเล็กๆ หรอก เป็นชุมชนที่ไม่หลงในโลกกาม มาเข้าสู่เรื่องรูป อรูป ในชุมชนชาว อโศก เรื่องกามมันเสพเป็นรูปราคะ อรูปราคะเท่านั้น ไม่ได้หยาบคายเหมือนกามอย่างโลกๆเลย คนจะมีหยาบมากหน่อยก็เอาเถอะ ก็เห็นติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมากหน่อย ก็อาจจะติด แต่ไม่มากเท่ามหาบัว มหาบัว ติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสไม่ขาดปากเลย กินไปเคี้ยวไป หมากจืดคาย เดี๋ยวก็หยิบเคี้ยวหมากและก็เทศน์ไปต่อ แล้วไม่รู้ความเสพติดตั้งแต่หมากแล้วไปหลงว่าเป็นพระอรหันต์ เห็นถึงว่าความเสื่อมในศาสนามันเสื่อมหนักจริงๆ ขนาดเสพติดชัดเจนอย่างนั้นยังไม่รู้เลยว่า เบื้องต้นแท้ๆ เสพติดหยาบ อบายภูมิ ยังไม่รู้ แล้วก็ไปหลงกันว่าเป็นอรหันต์ นี่แหละเป็นความเสื่อมของชาวพุทธ ผู้ที่หลงพระอรหันต์อย่างนั้น คือสายหลับตานั่นแหละ พูดแล้วเหมือนไปดูถูกดูแคลน ไปข่มไปตีทิ้ง ก็อยากจะให้ทิ้งไปนั่นแหละ จะว่าตีก็ตีแต่ไม่ได้ตีไม่ได้ทุบอะไรหรอก แต่พูดเท่านั้นใช้คำพูด ว่ามันไม่น่าจะไปยึดติด ไม่น่าจะไปปฏิบัติประพฤติเสียเวลา แรงงาน ทุนรอน ถ้าเอาคืนมาได้ เวลา แรงงาน ทุนรอน ที่ไปเสียเวลาอยู่ในป่า หรือ ปฏิบัติหลับตาอยู่ โอ้โห! ประเทศไทยจะเศรษฐกิจดีกว่านี้เยอะ แล้วยิ่งมีสัมมาทิฏฐิด้วย สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ก็จะดีกว่านี้อีกเยอะ น่าเสียดาย อาตมาคนเดียว ขออภัยที่พูดอย่างนี้แหละ คนเดียวนี่แหละอาตมาถึงทำ กลุ่มหมู่ของคนโลกุตรธรรมได้สำเร็จยืนยัน ท่านพุทธทาสก็ชี้ไม่ได้ ท่านก็พูดถึงคำว่าโลกุตระบ้าง แต่ท่านก็ชี้ยืนยันชัดเจนเป็นรูปธรรม เอาหลักธรรม พระพุทธเจ้ามาเทียบมายืนยันมาชี้บอกว่าอย่างนี้ใช่ สาธารณโภคีอย่างงี้สาราณียธรรมอย่างนี้ เป็นคนเป็นชุมชนมีอยู่กันอย่างมีวัฒนธรรม อย่างเป็นเอกภาพด้วย แน่นนะ ตีแตกยาก อโศกตีแตกยาก เพราะมีความสมานสามัคคีกันดี มีเอกีภาวะ สามัคคียะ ไม่ทะเลาะวิวาท ใครมาลองมาแหย่ชาวอโศกดูสิ ชาวอโศกที่แต่ก่อนนี้ ที่กัดกันแง่งๆๆ ใครมาแหย่ปั๊บก็รวมตัวกันสู้เลย จริง อย่ามาแหย่เสียให้ยาก แหย่แล้วจะเจอล่ะ อาตมาทำงาน เอาโลกุตรธรรมมาทำงาน ไม่เสียเปล่าประสบผลสำเร็จ พูดแล้วก็ชื่นชมยินดีตัวเอง ที่ทำได้มีผล มีมนุษย์ได้รับมรรคผล จริงๆ ของพระพุทธเจ้า คนไม่รู้ก็หาว่าอาตมาเพ้อหลงตัวเองหลงหมู่กลุ่มบรรลุ ไม่เห็นคนอื่นเขาบรรลุกันเลย เขาบรรลุก็ไปปลีกเดียวอยู่ ใครอยู่มันอยู่ป่า สร้างวังเวียงของตัวเองไป ไม่เหมือนกัน มันมีนัยยะสำคัญที่ต่างกันต่างคนต่างทำ สรุปแล้วเป็นนานาสังวาส มันเห็นต่างกัน ต่างคนต่างปฏิบัติ เข้าใจต่างกัน จะเรียกว่ายึดถือ ก็ยึดถือต่างกัน แต่ยึดถือของเรานั้นไม่ใช่อุปาทาน แต่เป็นสมาทาน ยึดอย่างเป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดอย่างมีปัญญา สัมมาปัญญา แล้วพยายามสร้างสืบทอดต่อยอด ธรรมะของพระพุทธเจ้า ถ้าเผื่อว่ามีเวลายืนยาวต่อไปอีก นับวันคนจะรู้คนจะเห็นโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้ายิ่งขึ้นๆๆ อาตมาไม่สงสัย ไม่กังวล ว่า โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าจะสูญสิ้นไป คนรับไม่ได้ มีแต่จะเจริญยิ่งขึ้นๆ อาตมาตายไปแล้วนั่นแหละ คนถึงจะรู้สึกว่า นี่ โพธิรักษ์เอาอันนี้มาปลูกฝังลงไป ซึ่งมันไม่มีในโลกแล้วมันหายไป เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น มีคนบอกว่า อาตมาจะได้รับ Nobel prize อาตมาบอกว่าคุณอย่าไปคิดฝันคิดหวัง กรรมการNobel prizeไม่มีทางรู้จักโลกุตรธรรมเขาจะมาให้รางวัลอาตมาได้อย่างไร เขาไม่รู้จักคุณค่าของโลกุตรธรรมว่ามันเหนือชั้นกว่าโลกียธรรม อาตมาก็ทำงานไปขนาดนี้ เดี๋ยวนี้ ใน Google มันมีอยู่ เยอะแยะเลย กรรมการพวกนั้นเขาก็รู้แล้วอ่านไม่รู้เรื่อง มีอยู่ใน Google โลกุตตระมีพฤติกรรมอย่างไร เขาก็ไม่เห็นค่าไม่เห็นราคา เพราะเขาเป็นโลกียะเป็นเทวนิยม เพราะฉะนั้นจะให้เขามาให้รางวัลอาตมา ก็เขาไม่รู้จักค่าไม่รู้จักราคาจะให้รางวัลได้อย่างไร อาตมาจึงไม่ได้ประหลาดใจ จริงๆถ้าเขามาให้รางวัลสิอาตมาจะประหลาดใจ อย่าไปดูถูกกรรมการรางวัล nobel prize เมื่อนั้นอาตมาจะขอขมาเลยว่าได้กล่าวละลาบละล้วงไปบ้างแล้ว จริง เพราะฉะนั้นมันเป็นไปไม่ได้ แมนเฮ ให้รางวัลอาตมาเพราะเขาอยู่ในตะวันออก เขารู้จักเขาเป็นพุทธ เขาเข้าใจสิ่งนี้จริง แล้วพุทธ ที่เข้าใจโลกุตระอย่างแมนเฮ มีน้อย แล้วองค์กรอื่นสถาบันอื่นที่ลักษณะอย่างอื่นเขารู้เขาก็จะให้ แต่เขาไม่รู้แล้วเขาจะให้ได้อย่างไร จบ Category: ศาสนาBy Samanasandin8 มิถุนายน 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:650606 พ่อครูเทศน์รายการภาคค่ำ งานอโศกรำลึก 2565 อภิภายตนะ 8NextNext post:650609 พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึก ปี 2565 ณ ราชธานีอโศกRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024