650601 คุณสมบัติผู้กอบกู้ศาสนาพุทธในยุคกึ่งพุทธกาล พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1_xvysbTI5QhHa58lTnOUncA67BhiRPdCBZbC_A7q6Tc/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1PQ-nG2va8o9zjPBaHq_35y_rSKsxscnd/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/dn0JO-tRLO/ และ https://youtu.be/7F0WD3AuBf8 สมณะฟ้าไท…วันนี้เป็นวันพุธที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ใกล้วันอโศกรำลึก ใกล้วันคล้ายวันเกิดของพ่อครู เราอยากได้ของขวัญอะไรจากพ่อครู ก็คือสุขภาพของพ่อครูแข็งแรงน้ำหนักขึ้น อันนี้คือสิ่งที่พวกเราชาวอโศกอยากได้ พ่อครูแข็งแรงก็มาแสดงธรรมให้พวกเราฟังแน่นอน และให้อายุยืนสัก 100 ปีขึ้นไป ศาสนาจะได้ไปได้ยาวไกลมากยิ่งขึ้น พ่อครูเคยสรุปไว้ว่า วันนี้วันสิ้นปีเก่าต้อนรับปีใหม่ไม่ละเว้นเลยนะนี่ว่าเขา การตำหนิมันละเว้นไม่ได้หรอก การตำหนิมันเป็นเรื่องเจริญ ถ้าไม่มีการตำหนิหรือคนไม่มีปัญญาจะตำหนิเขา ที่นั่นที่ใดไม่มีผู้มีปัญญาที่จะตำหนิคนได้ ที่นั่นไม่ใช่ที่เจริญ ที่ที่มีคนตำหนิคนได้และตำหนิได้ถูกต้องตามสิ่งที่ควรตำหนิด้วย ที่นั่นเจริญ รู้ไหมว่าสังคมนั้นเป็นสังคมที่ไหน …ที่อโศก!(เสียงตอบจากญาติธรรม) โอ้ ทำไมฉลาดจัง รู้ความจริงตามความเป็นจริง พ่อครูว่า… SMS วันที่ 31 พ.ค. – 1 มิ.ย. 2565 เรือนไฟในสมัยนี้ที่เป็นความเสื่อมของพุทธคืออะไร _พันธุ์ พอเพียง · สมัยก่อน สร้างเรือนไฟ เปิดไฟสี่ทิศ เพื่อหาอาจารย์ให้มาสอนวิชชาและจรณะให้ตนเอง ปัจจุบัน สร้างเรือนไฟสี่ทิศ เพื่อล่อให้ลูกศิษย์ มาบริจาค ให้ตนเอง เข้าใจแบบนี้พอจะได้ไหมครับ พ่อครูว่า…คำว่าสร้างเรือนไฟเขาก็ไม่เข้าใจว่าเป็นอย่างไร คือสว่างจ้าเหมือนกับเซเว่นอีเลฟเว่น เดี๋ยวนี้ใช้หลอดแอลอีดีแล้ว สะดุดตาคนผ่านไปผ่านมา เขาก็ใช้วิธีพวกนี้ ไม่ใช่เรือนไฟอย่างนั้น เรือนไฟที่ใช้การจุดไฟบูชา เรียกว่า อัคคียัญ ใช้ไฟเป็นสื่อ เป็นสื่อติดต่อกับเทวดา ติดต่อกับวิญญาณ ติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพระเจ้า มีทิฏฐิเป็นเทวนิยม ยังเป็นชาวโลกีย์เทวนิยมอยู่ เขาก็จะใช้ไฟใช้น้ำเป็นสื่อ อยู่ใต้บาดาลก็มีอยู่บนสวรรค์อยู่บนอากาศอยู่นอกโลกจนกระทั่งเป็นอรูป เขาก็ นิรมาณกาย อุปาทานกันไปหลากหลายเม็ด สรุปว่าสร้างเรือนไฟ คือใช้ไฟเป็นสื่อ ไฟเป็นเปลวมีแสง กับไฟเป็นควัน โบราณเขาจะใช้กำยาน ในเตาถ่านกองถ่าน กำยานบ้าง ขี้เลื่อยบ้าง ข้าวสารบ้าง มันก็ไหม้เป็นควัน ส่วนไฟก็ใช้น้ำมันเปรียงน้ำมันเนยบ้าง แช่น้ำมันแล้วจุดให้มีเปลวลุกไหม้ มาถึงสมัยนี้ก็ใช้เทียนขี้ผึ้งเทียนไขควั่นเป็นแท่งเลย จุดเอาเปลว ส่วนควันก็ทำเป็นธูป จุดให้ควันโขมง คนจีนธูปดอกใหญ่เท่าหัวแม่โป้งเท้าเลย ส่วนธูปอินเดียแท่งเล็กๆ จุดกันทั้งวันทั้งคืน ธูปก็จุดให้เกิดควัน พวกน้ำมันพวกเทียนก็จุดให้เป็นเปลว จุดสิ่งเหล่านี้ในสิ่งที่เรียกว่าเรือนไฟ ใช้เครื่องหมายพวกนี้เชื่อมโยงติดต่อกับจิตวิญญาณ ติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ติดต่อกับพระเจ้ากับเทวดา หรือวิญญาณที่เขาไม่รู้เรื่องเพราะเขาเข้าใจวิญญาณยังไม่สัมมาทิฏฐิเขาก็ยังต้องติดต่อ เพราะเขายังไม่มีปัญญาเข้าใจได้ชัดเจนว่า ความเป็นวิญญาณมันคืออะไรอย่างแท้จริง ที่จริงแล้วจิตวิญญาณอยู่ในตัวของเราเอง อันอื่นๆก็เป็นแต่มิจฉาทิฏฐิก็เป็นไปตามอุปาทานตามความเห็นที่เป็นมโนมยอัตตาเป็นไปตามเรื่อง ที่มันจะสำเร็จด้วยจิตอุปาทานว่ามีอย่างนั้นอย่างนี้ไป มันก็ไม่ง่าย ถ้ามันง่ายก็ไม่ใช่ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ รู้ความจริงของสิ่งเหล่านี้กระจ่างแจ้งหมดทุกอย่าง อาตมาก็สืบทอดมาเอามาขยายความ จนตอนนี้เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ขยายมาหลายชาติ ชาตินี้ก็ขยายอยู่ พวกเราได้รับซับทราบก็ยิ่งเข้าใจมากยิ่งขึ้น มันก็ยังจะต้องละเอียดต่อไปอีก อาตมาก็ยังมั่นใจว่ามันไม่ใช่เข้าใจได้สมบูรณ์แบบได้ง่ายๆเท่าไหร่หรอก แต่ก็สมบูรณ์ไปเรื่อยๆ หมดความยึดติด หมดความไม่รู้ รู้จักรู้แจ้งรู้จริงมากขึ้นเรื่อยๆ มีสัมผัสกับของจริงจนกระทั่งเราไม่ไปยึดถือให้มันเป็นมันมีหรืออาศัยหมดแล้ว มันก็ได้ไปตามลำดับๆๆ เพราะฉะนั้นสร้างเรือนไฟ สี่ทิศ เดี๋ยวนี้ก็สร้างเรือนไฟ 4 ทิศเพื่อจะล่อให้มีคนมาบริจาค คุณที่ถามมา ก็ได้ก็เป็นอยู่น่ะ เนื้อแท้โลกุตระยุคนี้จะเจริญสูงสุดในอีก 500 ปี _กิตติมา เอกมาไพศาล · มาสมัย ณ ปัจจุบันพ่อครู สมณะ สิกขมาตุ และชาวอโศก กำลังขับเคลื่อนอย่างหนักในการรื้อฟื้นจรณะวิชชาสมบัติ ที่ไม่ต้องเข้าป่าไปหาอาจารย์ในป่า มาที่อโศกก็ได้สมบัตินี้แล้ว พ่อครูว่า..อันนี้ก็จริง อธิบายขยายความไปเรื่อยๆ ฟังตามไปเรื่อยๆ จรณะวิชชานี้แหละ เป็นพุทธคุณแท้ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ ในพุทธคุณ 9 ก็มีข้อนี้แหละเป็นข้อที่มีเนื้อๆ นอกนั้นเป็นฉายาของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น เป็นพุทธคุณ 9 อรหํ เป็นพระอรหันต์ สมฺมาสมฺพุทโธ ตรัสรู้เองโดยชอบ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ สุคโต เสด็จไปดีแล้ว โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ มีความรู้เหนือ และเป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ไม่มีใครยิ่งกว่า สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พุทฺโธ เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว ภควา ติ เป็นความจบในความเจริญ ก็มีคำว่าวิชชาจรณะสัมปันโน เป็นเนื้อแท้ของสมบัติเป็นพุทธสมบัติ ค่อยๆฟังไปเรื่อยๆ อาตมาพูดไม่หนี้ไปจากวิชชาจรณะ หนีไม่พ้นจากอันนี้ฟังไปเรื่อยๆแล้วก็จะได้ ฟังแล้วเอาไปปฏิบัติไปตามลำดับ การปฏิบัติคือพิจารณา เกิดบรรลุวิมุติขึ้นมาและมีวิชชา ตามรู้ทั้งในการปฏิบัติตามรู้ทั้งในการปฏิบัติ ไปตามลำดับๆ จนกระทั่งบรรลุหมด จบ ถอนอาสวะก็มีวิมุตติญาณทัสสนะต่อไปอีกด้วย เป็นต้น _แก้วตะวัน พวงบุบผา · น้อมกราบนมัสการพ่อครู ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ.. เป็นเรื่องยากที่จะแยกความแตกต่าง คือระหว่างพระอริยะอรหันต์ ที่รู้แจ้งเห็นจริงสิ่งสำคัญ คำสอนนั้นตรงทางอย่างสัมมา กับผู้เสื่อมจากพุทธพงศ์หลงอามิส มีหลักคิดปิดตาหูอยู่นั้นหนา ปั้นคำสอนชวนหลงใหลใช้อัตตา ให้คนมาหลงเชื่อว่ามีฌาน พ่อครูจึงทำงานหนักสร้างมรรคผล รวบรวมคนชาวอโศกโลกกล่าวขาน แม้คนน้อยแต่แน่นหนาปัญญาญาณ สร้างสืบสานศาสนาห้าร้อยปี พ่อครูว่า..500 ปีก็มีความหมาย อาตมาทำแพทเทิร์นเอาไว้ เป็นรูปสามเหลี่ยม อาตมาจะต้องรับผิดชอบภายใน 500 ปี จะต้องให้ศาสนาพุทธเจริญไปถึงขั้นยอดให้ได้ จะต้องเป็นผู้ที่มาต่อยอด จนกระทั่งมั่นใจว่าสุดยอด จะใช้เวลาภายใน 500 ปี นี่ก็ต่อยอดมาได้พอสมควรแล้ว ตามที่เขียนไว้ มีระยะ 36 ปี 72 ปี แล้วก็ 96 ปี ไปทีละ 1 นักษัตรทีละ 12 ปี มาเรื่อยๆ 500 ปีก็จะขึ้นยอดสามเหลี่ยม ความเจริญก้าวหน้าสูงสุด พยายามจะใช้เวลา 500 ปีต่อยอดต่อไป ให้ความรู้นี้สู่จุดสูงสุด ถึงขั้นนี้แล้วแน่นอนมันต้องเสื่อม อาตมาต้องดูแลรับผิดชอบต่อไปศาสนาก็จะต้องเสื่อม จนกว่าจะหมด ตอนนี้มันเสื่อมมาจนถึง 2,500 กว่าปี เป็นหน้าที่ที่อาตมาต้องมาต่อยอดเนื้อแท้ เมื่อถึงยอดเสร็จแล้วมันก็จะไปตามพลังของพุทธศาสนาในมนุษยชาติ ที่จะอยู่ประคับประคองช่วยเหลือกันไป พัฒนาการอยู่ในตัวเอง แล้วไม่มีอะไรที่จะไม่มีความเสี่ยง อุตส่าห์บอกไว้ว่าความเสื่อมเป็นธรรมดา เป็นปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้า เรียนรู้เวทนาทำจิตให้เป็นพืชเป็นอุตุได้ก็ถึงอรหันต์ _สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกกราบเรียนถามพ่อครูว่า เวทนาที่เกิดจากผัสสะ นำมาประหารเวทนาเทียมได้ พ้นทุกข์ได้ แต่ทุกข์ที่เกิดจากคิดเรื่องเก่า สัญญาเก่า หรือบางครั้งก็ไม่ได้คิด ความทุกข์เศร้ามันเกิดขึ้นมาเอง อย่างนี้เป็นสัมภเวสีไหมคะ และจะแก้ความทุกข์เศร้านี้อย่างไร น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ พ่อครูว่า… ในขณะที่คุณไม่มีผัสสะ จิตของคุณเป็นสัมภเวสี อยู่ในภวังค์ ในขณะหลับตาไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย ก็จะเป็นความคิดอยู่ในภพของเราเองคนเดียว ความคิดเช่นนี้แม้ตอนเป็นๆ ก็เรียกว่า สัมภเวสี เป็นความคิดไม่มีที่ตั้ง ถ้ามีที่ตั้งหมายความว่า ตั้งอยู่ขณะนี้ทางตาออกมารับรู้สัมผัสกับภายนอก เช่นกับคนข้างนอกเขาทั้งหมดเรียกว่า มีที่ตั้ง มีฐานมีฐานะ มีฐานที่ตั้ง ฐีติ วิญญาณฐีตินี่แหละ เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่มีวิญญาณฐีติ ไม่มีข้างนอกรับรู้ ไม่เรียกว่า เวทนาที่เป็นปัจจุบันธรรม เป็นเวทนาที่ไม่ใช่ความจริง เป็นเวทนาที่เป็นแค่ความจำ หลับตาเข้าไปก็เป็นสัญญาความจำ ยิ่งไปหลับปี๋ เป็นสัญญาฟุ้งซ่านเป็นฝันไป หรือคิดไปในขณะหลับตาคุณก็คิด ก็เป็นสัมภเวสีทั้งนั้น ตายร่างกายแตก จิตวิญญาณก็ไม่มีที่ตั้งทางตาหูจมูกลิ้นกายแล้ว แต่มันยังเป็นอัตภาพอยู่ มันยังไม่สูญหาย มันก็เป็นสัมภเวสีที่แท้จริง มันก็จะไปหาที่เกิดตามวิบาก คนที่จะไปเข้าสู่ครรภ์ก็ลงไป คนที่ยังไม่เข้าสู่ครรภ์ก็ล่องลอยลงนรกขึ้นสวรรค์ คุณจะไม่อยากได้นรกแต่คุณจะเป็นจริงตามที่มันเป็น เสร็จแล้วก็เปลี่ยนหมุนเวียนไป เกิดดับเกิดดับไปหมุนเวียนด้วยความไม่เที่ยง ดีบ้างเลวบ้างนับชาติไม่ถ้วน นับล้านชาติ สุดน่าเบื่อแล้วตัวเองก็จำไม่ได้หรอก จำได้บ้างเป็นสัญชาตญาณ ผู้ที่เก่งหน่อยก็ระลึกย้อนได้ สัญญาระลึกบุพเพนิวาสานุสติญาณ ถ้าหากระลึกรู้ได้ลึกเกินกว่าสัญชาตญาณ ก็ได้เพราะมีความรู้ดีขึ้น ยิ่งถ้าหากระลึกได้มาก ก็ยิ่งเป็นผู้ที่มีบุพเพนิวาสานุสติญาณสูงขึ้น อย่างนี้เป็นต้น สิ่งเหล่านี้พิสูจน์ได้ ศาสนาพุทธพิสูจน์หมดพระพุทธเจ้าพิสูจน์มาหมดก่อน อาตมามาพิสูจน์ แล้วเอามาเปิดเผยขยายความ เอามาอธิบายยืนยันพิสูจน์ ให้พวกเรารู้ตามและพวกเราก็ได้ทรัพย์จากนั้นมา ก็เกิดการพ้นทุกข์ พ้นจากการเกี่ยวกับติดอยู่กับโลก โลกอบาย โลกกามคุณ โลกโลกธรรม 8 จนกระทั่งหมดโลกภายนอก เหลือแต่โลกภายใน ก็เหลือนิดหน่อยบางคน โลกภายในละเอียดก็ลดมันอีก ขั้นรูปราคะ ลดได้เหรืออรูปราคะ ลดได้หมดอีก ก็เป็นพระอรหันต์ จะพิสูจน์ได้เราต้องมีญาณอ่านจิตของเรา เรียกว่า กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต อ่านในจิตของเราก็คือในกาย กายคือมีภายนอกอยู่ด้วยร่วมกับจิตของเรา ภายนอกก็ดูไม่ยากตาหูจมูกลิ้นกาย แต่ภายในต้องมีญาณหยั่งรู้ เรียกว่า กายในกาย กายในกายหยาบไปเรื่อยๆ ก็มีความรู้สึกและเวทนา แต่ไม่ขาดจากกายรับรู้ภายนอกนะ เรียกว่ากายกับจิต ดูเวทนาก็รู้ถึงความรู้สึก ในความรู้สึกก็เป็นจิตนี่แหละ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) จิตที่โง่ก็มีกิเลส จิตอวิชชา (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมณะฟ้าไท… พ่อครูเน้นเรื่องการอ่านจิตขณะผัสสะปัจจุบัน ซึ่งสารอโศกเล่มนี้เขียนไว้ ท่านบอกว่า ถ้าคนธรรมดาสามัญไม่ดื้อดึงขนาดไม่รู้จักชั่วดี ก็จะไม่ทำชั่ว นั่นคือโลกีย์ ส่วนโลกุตระคือรู้จักสุขทุกข์และไม่ติดในสุขและทุกข์ก็เป็นความสูงสุด ได้มีความติดยึดที่เรียกด้วยภาษาวิชาการว่า อุปาทาน จำจนติดตัวเป็นอัตโนมัติ เราก็ต้องรู้ให้เท่าทันว่าอาการของใจเราเป็นอย่างนี้เป็นอาการชั่วนะ ผู้ที่อ่านอาการของตัวเองได้เรียกว่าผู้ที่รู้ สักกะ แยกได้ว่า อันนี้เป็นอาการชั่ว ไม่ใช่อาการดี เรียกว่า รู้กาย รู้สักกายะ พระพุทธเจ้าสอนให้รู้สังโยชน์ข้อที่ 1 คือ ให้พ้นสักกายะทิฏฐิ พ่อครูว่า… ขยายไปฟังไป เหมือนคุณสว่างแสงถามมา สัญญาเก่า คิดเรื่องเก่า สัญญาคิดเรื่องเก่านี้ พระพุทธเจ้า บอกพระอานนท์เหมือนกันว่า เรื่องที่จะวางได้ยาก บรรลุพระอรหันต์แล้วบางทีสัญญาก็ยังพิรี้พิไรอยู่ บางทีก็มีเศษ อย่างที่เขาถามมาบางครั้งคิดได้ความทุกข์เศร้า มันเกิดขึ้นมาเอง อย่างนี้มันเป็นสัมภเวสีหรือไม่ ต้องพยายามกำหนดให้แม่น มันไม่ง่ายหรอกแต่เรามาทางนี้ชัดเจนแล้วว่าทางนี้เป็นทางหลุดพ้น ไปโลกีย์อยู่เราก็ชัดเจนนะ มันก็หมุนเวียนสุขๆทุกข์ๆดีๆชั่วๆดีๆนรกสวรรค์สวรรค์นรก ถ้าไปโง่เทวนิยมยิ่งไม่รู้เรื่องเลย ถูกพระเจ้าสอนผิด ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า ไม่ต้องคิดอะไรหรอก ไม่รู้อะไรต่อ เกิดอีกจะมีเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย เป็นนิยายล้านเรื่อง ไม่รู้เรื่องเลย ปิดประตูไปอยู่กับพระเจ้า ยืนหยัดแค่ยืนยันอยู่ว่า ถ้าได้อยู่กับพระเจ้าและเป็นสุข จึงพยายามไปอยู่กับพระเจ้าให้ได้อ้อนวอนประจบประแจงพระเจ้าไป แล้วก็เชื่อคำสอนของพระเจ้า ท่านให้หยุดทำชั่วประพฤติดี ก็ยังดี พยายามประพฤติแต่ดีก็ได้อาศัยความดี แต่มันก็ไม่เที่ยงหรอก ก็ไม่เข้าใจ ก็หมุนไป จนกว่าจะรู้จักดีชั่วที่เป็นเรื่องโลกียะ แล้วเราก็ทำดีให้มั่นคงแข็งแรง ไม่ทำชั่ว สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) ทำกรรมอะไรก็มีแต่ดีไม่มีชั่วเลย คือกุสลสูปกำลังสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) นั่นคือความจริงที่เราจะต้องถึงขั้นนั้นอย่างรับรองตัวเองได้ อยู่กับตัวเอง ตัวเองรับรอง อยู่กับผู้อื่นคนอื่นรับรองได้ด้วย กรรมใดที่เกิดจากเราทำนั้นมีแต่ดี ส่วนลึกเข้าไปถึงเวทนาความรู้สึกสุขทุกข์เป็นโลกุตระ อันนี้เทวนิยมไม่รู้เรื่องบอกว่าเป็นสุขนิยม เป็นพวกติดยึดความสุขอยู่กับพระเจ้าไม่เคยคิดจะดับความสุข แต่ว่าสุขกับทุกข์เป็นมายาที่เขาไม่รู้ว่าเป็นคู่ฉีกออกกันไม่ได้ เป็นเทวะที่ยึดเป็นหนึ่ง แยกเทวไม่ได้ แล้วเทวะนั้นอยู่แบบหน้าเดียวคือหน้าความสุข ก็เลยมืดอยู่กับสุขนั่นแหละ มืดตึ๊ดตื๋ออยู่กับสุข แล้วหลงหมกมุ่นอยู่กับสุข ไม่มีแสงสว่างที่จะรู้เรื่องความทุกข์ การเกิดการตายการหมุนเวียนมีกรรมกิริยามีเหตุปัจจัยสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย ปรุงแต่งสังขารใดๆ ไม่รู้เรื่อง อวิชชาที่ไม่รู้จักสังขาร ก็ไม่รู้จักวิญญาณ ก็แยกวิญญาณนามรูปไม่ออก ก็มาปฏิบัติแบบนี้มีอายตนะมีผัสสะ แล้วก็เกิดเวทนาในปัจจุบันธรรม เวทนาเกิดในปัจจุบันธรรมที่มีตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสอยู่ ไม่มีภายนอก ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัส ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีเวทนา เวทนาไม่มี ต่อเมื่อคุณรู้จักธรรมนิยาม 5 เวทนาที่ไม่มี นั่นคืออวิชชา แต่เวทนาที่สามารถศึกษาฝึกฝนทำจิตให้กลายเป็นพืชได้ มันไม่ง่ายแต่มันต้องทำถ้าไม่ทำก็บรรลุอรหันต์ไม่ได้ ต้องวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารอีกเท่าไหร่ ถ้าจะมาเอาทางนี้ ก็ควรรู้ ธรรมนิยาม 5 คุณต้องรู้อาการของจิตว่า ตอนนี้เป็นอุตุ เป็นดินน้ำไฟลม ไม่มีความรู้สึกนะ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีบาปไม่มีบุญ เด็ดขาด พอมามีชีวะ ชีวะระดับพืชหรือที่คนเราก็รู้อยู่ว่า ผู้ที่เป็นมนุษย์พืช ภายนอกตาหูจมูกลิ้นกายผิวหนังถูกใครสัมผัสแตะต้องก็ไม่รับรู้ อยู่แต่ในจิตตนเอง อันนี้เขาเรียกมนุษย์พืช แต่พระพุทธเจ้า สอนให้เป็นมนุษย์พืชอย่างตื่นๆ กระทบทางจมูกลิ้นกายไม่รู้สึก แต่รู้ รู้ความจริงตามความเป็นจริง ตาเห็นรูปก็รู้อันนี้กลม มะนาวนะ ก็รู้รูป รู้ภาพ รู้สีสันตามคุณลักษณะของตา ที่จะบอกได้ หูได้ยินเสียงเป็นเสียงอย่างนั้นอย่างนี้เสียงต่างๆสารพัดก็รู้ได้ จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรส สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งอย่างไรก็รู้ อย่างนี้เป็นต้น กระทั่งไปถึงจิต แล้วกิเลสมันก็มาร่วมปรุง มีราคะ โทสะ โมหะ เราก็แยกราคะ โทสะออกได้ ว่า ตระกูลนี้อาการโทสะ ตระกูลนี้ราคะ ตระกลูนี้โมหะ แยกราคะ โทสะ โมหะได้ ก็ลดมันไป ปฏิบัติจนอาการราคะโทสะลด ก็มี เจโตปริยญาณ 16 แล้วก็สามารถที่จะรู้สภาวะจิตของเรา สภาวะกิเลสมัน มีขึ้นมา พวกเราทำให้มันไม่เที่ยง ทำให้มันลดลงไปได้ ไม่เที่ยงมี 2 ประการ 1. ไม่เที่ยงเพราะว่ากิเลสเพิ่มขึ้นๆๆ กับมันก็ไม่เที่ยง มันไม่อยู่กับที่หรอกมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเราก็รู้ได้ จะลองทำให้มันลดได้มันก็ไม่เที่ยง ไม่เที่ยงเพราะมันจางคลาย จนกระทั่งถึงดับ จนถึงนิโรธดับ เพราะฉะนั้นถ้าปฏิบัติอย่างรู้ๆ เรารู้เลยว่าเราทำได้ด้วยปัญญา พลังปัญญาหรือพลังงานฌาน ทำให้พลังงานราคะ โทสะ โมหะ ลดลง ส่วนผู้ที่ไม่มีวิชชาของพระพุทธเจ้าก็ไปกดข่มทำลืม มันมาเราก็ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา รู้ นิ่ง เฉย ๆๆ รีบทิ้ง มันก็มีความชำนาญเหมือนกันนะ ฝึกเอา ตอนที่อยู่ตักกศิลา วัดมหาธาตุทางโน้น พอวันอาทิตย์ก็มีนักธรรมะมา มีคนชื่อหลวงอัตถ์ มีสูตรฝึกว่ารู้นิ่งเฉย มันก็เป็นสมถะแบบลืมตา ไปทางสายทางท่านพุทธทาสใช้ปฏิภาณไหวพริบ แต่ว่ามัน เฉโก ไม่ได้เป็นโลกุตระ ไม่ได้เป็นปัญญา มันก็ทำได้ ชำนาญได้เหมือนกัน เรียกว่าสมถะลืมตา ส่วนสมถะหลับตา เข้าป่าเขาถ้ำ ไม่เข้าก็ไปนั่งหลับตาสะกดจิตไปจนชำนาญเป็น อาฬารดาบส อุทกดาบส สังเขปคร่าวๆ สิ่งเหล่านี้ในภาคปฏิบัติ เพราะฉะนั้นผู้ที่สัมมาทิฏฐิและปฏิบัติอย่างที่อาตมาพามาทำ มันก็จะพิสูจน์ แล้วก็จะเข้าใจที่เขาว่า แม้เราไม่ได้ผ่าน ไม่เข้าใจเขา ก็ไม่ประหลาดใจอะไร เห็นได้ว่าเขาเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ไม่เป็นไร เราไม่เป็นก็ใช้ได้แล้ว ก็เรามาเป็นอย่างนี้ให้จบสมบูรณ์เลย จบสมบูรณ์แล้วคุณเป็นพระอรหันต์แล้ว กิเลสของคุณหมด กระทบสัมผัสอะไรตาหูจมูกลิ้นกายแม้เหลือในใจคุณก็ไม่มีกิเลสออก เพราะว่าเป็นอรหันต์แล้ว จบ เป็นอรหันต์แล้วสามารถจะปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ ตายแล้วก็แยกธาตุจิตเป็นดินน้ำไฟลมไปได้เลย ไม่เหลืออัตตา เพราะเรารู้ว่าธรรมนิยาม 5 เป็นอย่างไร เราก็แยกเป็นดินน้ำไฟลม เป็นอุตุไปได้เลย แม้แต่เป็นพืชอยู่ก็ไม่ต้องทำ เพราะฉะนั้นคนที่มาเรียนรายละเอียดของความรู้พระพุทธเจ้า ที่ขยายความไปอย่างนี้ ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ถึงจิตวิญญาณ อัตตาต่างๆเราทำให้แตกสลายแยกได้ด้วยตนเอง ด้วยปัญญาอันยิ่งของตนเอง ไม่มี เป็นอนัตตา จึงพิสูจน์ว่า อัตภาพหรือวิญญาณ เราเป็นเจ้าของไม่ใช่พระเจ้าเป็นเจ้าของ อันนี้แหละ มันจะเป็นเรื่องใหญ่ ฝั่งตะวันตก ตะวันออกกลาง อินเดียที่เป็นเทวนิยมทั้งหลายแหล่ โลกก็ยังมีอีกเยอะ ความรู้ในยุคพระพุทธเจ้าที่มีพลเมืองประมาณนั้นในโลก ในยุคโน้นท่านก็ได้เยอะ จัดเปอร์เซ็นต์แล้วท่านได้เยอะ ของศาสนาพุทธ แต่มาในยุคนี้มันเสื่อมหมด แม้ว่าคำว่าพุทธก็เหลืออยู่ แต่มันเหลือแต่ชื่อ ว่าศาสนาพุทธ แปลศัพท์จากความรู้ความจริง มันเสื่อมจนกระทั่งไม่มีโลกุตระ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงพยากรณ์เอาไว้แล้วตั้งแต่ท่านมีชีวิตใน อาณิสูตร กลองอานกะ ว่ามันจะหมดโลกุตระ อาตมาก็ต้องมาฟื้นใหม่ ตัดเขตอรหันต์ที่ปัญญาวิมุติหมดสิ้นอาสวะ จุดศูนย์กลางของโลกที่มีพุทธศาสนา เรียกว่าชมพูทวีปคือประเทศไทย อาตมาก็มาอุขึ้นในประเทศไทย ก็นำโลกุตระนี่แหละมาสถาปนาลงไป ให้เป็นจริง แล้วมันก็เป็นจริงขึ้นมาได้จนมีมวลหมู่ เกิดสังคม เกิดมนุษยชาติเรียกชื่อฉายาว่า ชาวอโศก แล้วก็มาอยู่รวมกันเป็นสาราณียธรรม 6 รวมตัวเป็นสังคม เป็นหมู่บ้าน ที่อื่นเรียกว่าชุมชนไม่ได้จดทะเบียนเป็นหมู่บ้าน ก็เรียกว่าเป็นชุมชน ชุมชนชาวอโศกกับหมู่บ้านชาวอโศก กระจายตัวเป็นชุมชนจริงๆมีวัฒนธรรม มีสาธารณโภคีทุกชุมชนด้วย ชุมชนเล็กชุมชนใหญ่ ขนาดที่มันเป็นนั่นแหละ ถือว่าขณะนี้ บ้านราช ราชธานีอโศกเป็นชุมชนชาวอโศกใหญ่ที่สุด ที่มีสมาชิกชุมชน บุคคลประมาณ 500 ขึ้น เข้าๆออกๆบ้าง อยู่ประจำบ้าง จะให้ขึ้นไปเป็น 700 เป็น 1,000 ก็ยังหืดขึ้นคออยู่นี่ แต่กระจายอยู่ทั่วไปก็อยู่ แต่อยู่ในชุมชนชาวอโศกอยู่ในประเทศไทย หลายสิบชุมชน จะเรียกว่าถึง 100 ชุมชนหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะถึงไหม มันมีสถานที่ มีที่ดิน แล้วพวกเราก็ไปอยู่ หลายๆชุมชนมีที่ดินเป็นร้อยไร่ แต่มีคนอยู่ไม่ถึง 20 คนก็มี น้อยกว่า 10 คนก็มี เป็น100 คนก็มี แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ เป็น 1,000 นั้นไม่ต้องพูดเลย ยังไม่มี ถือว่าราชธานีอโศกยังไม่ถึง 1,000 พยายามจะให้ถึง 1,000 นายโอ๋ร้องเพลงเท่าไหร่ก็ไม่ถึง แต่ไม่เป็นไร มันเป็นรูปของสังคม เป็นชุมชนที่มีวัฒนธรรม ชุมชนที่แข็งแรง เป็นเอกภาพที่แข็งแรง ไม่แตกง่ายๆ อยู่กันอย่างมีวัฒนธรรม พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ มีสาราณียธรรม สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา มีผลผลิตก็แจกจ่ายกันกินทั่วประเทศ อุดมสมบูรณ์ไม่ขาดแคลนเลยพวกชาวอโศกทั่วประเทศ นี่เป็นสิ่งที่พิสูจน์ แม้เศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์ชาวอโศก หมดปัญหา จนกระทั่งเรื่องเงินนี่ถือว่า 0 ได้ ไม่ต้องมีเลยก็ได้ มีก็แค่อย่างนั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องใช้อะไรมากเลย บางคนจะบำเรอกิเลสก็ติดยึดของตัวเองไป คนไหนรู้จักว่าตัวเองมีกิเลสก็ลดล้างไป จนกระทั่งเป็นอรหันต์ ก็เป็นพระอรหันต์กันหลายคน บางคนก็ไม่รู้ตัว ถ้าตรวจสอบกันจริงๆ ถึงขีดเขตที่เป็นพระอรหันต์ขั้นพื้นฐานก็มีได้ อรหันต์ขั้นพื้นฐาน เริ่มนับเป็นพระอรหันต์ ท่านนับที่ปัญญาวิมุติ มีกายสักขีแล้ว มีสภาพรูปและนามเป็นกายสักขีคือเป็นพยานหลักฐาน อย่างพวกคุณมีพยานยืนยัน เป็นกายสักขี ถ้าตัดเขตได้ก็เป็นปัญญาวิมุติแล้ว สัทธานุสารี ธัมมานุสารี สัทธาวิมุติ ทิฏบิปัตตะ กายสักขี ปัญญาวิมุติ อุภโตภาควิมุติ ถ้าเข้าใจโลกุตรธรรมแล้วเราปฏิบัติได้ถึงขีดถึงเขตที่ชัดเจนแล้ว คุณก็ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) คุณก็อยู่อย่างนี้เที่ยงแท้แน่นอนไม่ไปหรอกยืนอยู่อย่างนี้แหละตลอดกาล ไม่มีแปรเปลี่ยน ไม่มีอะไรมาหักล้าง ความยึด ไม่ใช่ยึดหรอก ถ้ามันรู้ว่าต้องอยู่อย่างนี้แหละไม่มีกลับกำเริบ ไม่มีหมุนเวียนไปเป็นอื่นอีกเลย นี่เป็น ความหมายภาษาที่บอกสภาวะจริงที่แต่ละคนมี แต่ละคนได้ เราก็มาอยู่อย่างนี้ ไม่สุขไม่ทุกข์ จะบอกว่าสุขก็ไป วูปสโมสุข ขอยืมภาษามาใช้เป็นความสุขอย่างสงบ สุข อย่างไม่ต้องบำบัดบำเรอกิเลส ยืม พยัญชนะ วูปสโมสุขหรืออุปสมโมสุข หรือ ปรมังสุขังก็ได้ อาตมาแปลว่า ยิ่งกว่าสุข ไม่ใช่แปลอย่างที่เขาแปลว่า สุขอย่างยิ่ง อันนั้นมันความสุขก็ยิ่งหนาแน่นสิ แต่นี่ยิ่งกว่าสุขนะ คือ อุเบกขาแล้ว มันไม่มีพยัญชนะจะบอกตายตัว อุเบกขาคือจิตบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา จิตที่บริสุทธิ์จากอาสวะ อย่างครบครัน อย่างมีปัญญาประกอบ อุเบกขาที่มีองค์ธรรม 5 ประการ พวกเราก็ท่องพยัญชนะบาลีจำได้ มีสภาวะก็เข้าใจก็มีไปเรื่อย บางคนเขามีหลายตัวที่อันนี้ บริสุทธิ์เที่ยงแท้แล้ว ที่โลกเขาติด เราไม่ติดกับเขาหรอก พวกอบายมุข ติดสิ่งเสพติดหยาบๆ ติดหมากพลู บุหรี่ แม้แต่ลิปสติก เราก็ไม่ติดแล้วจริง ๆ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะฟ้าไท… ชุมชนชาวอโศกมีอยู่ทั่วประเทศ ที่ธรรมชาติอโศกมีผลไม้เยอะ ทุเรียนก็มีเยอะ ที่วังจันท์พฤกษาก็มีผลไม้ มีคนดูแลประจำอยู่ 2 คน เวลาผลไม้ออกก็ส่งมาให้กิน _ดำรงค์ เฮงเฮงเฮง แซ่อุ่ย · กราบพ่อครู ผมดูบุญนิยมทีวีประจำชอบฟัง แต่บางอย่างผมทำไม่ได้ แต่ก็ชอบส่วนมากพ่อครูเทศน่าฟังครับ ส่วนมากที่อโศกทำ ผมชอบ โมทนาสาธุครับ _สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ · หนทางพิสูจน์ม้าฯกาลเวลาพิสูจน์คนฯ บวรอโศกไร้หนี้อบายพิสูจน์จิตบริสุทธ์พ่อครูฯ ประจักษ์บ้านพึ่งตนฯ วัดแบ่งปันฯ โรงเรียนพอเพียงชัดแจ้งสงบสันติสุขบวรสาธารณโภคีวิถีใหม่จริง _ชีวิต อยู่ที่การตั้งค่า · ชีวิตนี้จะมีโอกาสเห็นพ่อครู..องค์เป็น ๆ มั้ยน้อ พ่อครูว่า… คนนี้น่าจะบรรลุธรรมช้าอยู่เพราะตั้งค่าชีวิตเอาตามที่ชอบใจ _ช่อทิพ หนูทอง · รอ..ร่วมงานอโศกรำลึกออนไลน์ อยู่ค่ะ คุณสมบัติผู้กอบกู้ศาสนาพุทธในยุคกึ่งพุทธกาล _สู่แดนธรรม….กราบนมัสการพ่อท่านครับ ผมขอส่งคำถามที่ถามทิ้งท้ายไว้จากรายการ ตุ้มตะลุ่มฯ #40 ว่า “ผู้ที่จะมาบำเพ็ญกอบกู้พระพุทธศาสนาที่มีโลกุตรธรรมและโลกียธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่มวลมนุษยชาตินั้น จะต้องมีคุณสมบัติเป็นอย่างไรบ้างครับ พ่อครูว่า… อาตมายืนยันว่าอาตมาจะมากอบกู้ คุณก็ถามอาตมาตรงๆนี่แหละ จะมีคุณสมบัติอย่างไร ตอบ มีคุณสมบัติอย่างโพธิรักษ์ ตอบอย่างกำปั้นทุบดินถูกแล้ว ก็ต้องขยายความกันต่อ แล้วโพธิรักษ์มีอะไรอย่างไรดูไม่ค่อยออก ก็ต้องบอกกันบ้าง ขยายความอีก โพธิรักษ์มีโลกุตรธรรม โลกุตรธรรมที่ไม่ใช่โลกียธรรมแล้ว โลกุตรธรรมซ้อนอยู่ในโลกียะ ซ้อนอยู่ในลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข ซ้อนอยู่ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ไม่ได้หนีจากรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ตากระทบรูปก็เห็น หูเปิดก็ได้ยินเสียง จมูกก็ได้รับกลิ่น ลิ้นกระทบรสก็รับรู้ เหมือนคนเป็นๆตอนตื่นๆ ไม่ได้หลับตาไม่ได้หนีโลก แต่มีคุณสมบัติไม่มีกิเลสแล้ว ในจิตใจไม่มีกิเลสมาร่วมปรุงแต่งกับสิ่งที่กระทบ ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ หรือลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ไม่มีในจิต คนนี้เป็นพระอรหันต์แน่นอน เป็นพระโพธิสัตว์ ที่รู้กรอบรอบของความปรุงแต่งของตน และความปรุงแต่งของคนอื่นๆในโลก อย่างแท้จริง คือรู้ใบไม้กำมือเดียว เหมือนพระสมณโคดมท่านสอนแต่ เรื่องใบไม้กำมือเดียว คือ ความเป็นพระอรหันต์เท่านั้นแล้วท่านก็อายุ 80 ปี ท่านปรินิพพานเป็นปริโยสานให้ผู้สืบสานติดต่อมา อาตมาก็ต้องรับเต็มๆ เพราะอยู่ในยุคพระพุทธเจ้าก็อยู่ด้วย แล้วท่านก็เชิญมอบหมายให้ด้วย ว่าเธอไปเกิดเป็น สยังอภิญญา แล้วมากอบกู้มารับผิดชอบนะ พูดมาหลายทีก็ย้ำ คนเขาฟังที่ไม่เชื่อถือก็บอกว่าอวดดี ตัวเขาไม่รับรู้ ไม่มีปฏิภาณรับรู้ ไม่มีสัญชาตญาณไม่มีเจโตปริยญาณจะรับรู้ได้เลย เขาก็ไม่รู้ แต่คนที่รู้อย่างพวกเรารู้ แม้จะระลึก เป็นรูปธรรม เป็นบุคคล เป็นตัวตนไม่ได้ แต่ไม่มีปัญหาเพราะเข้าใจถึงสภาวะธรรม ตั้งแต่ อรูปธรรม จนเป็นรูปธรรม จนเป็น มโนมยอัตตา โอฬาริกอัตตาใหญ่โต เป็นลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ก็ปรุงแต่งอยู่ แต่ว่าการอยู่เหนือการหลุดพ้นเป็นจริง อาตมาทำงานมา 50 ปี พวกคุณก็พิสูจน์มาว่า จริงหรือเปล่า หลุดพ้นจริงหรือเปล่า หลุดพ้นจริงคืออะไร อย่ามีเล่ห์เหลี่ยม อย่ามีการแอบเสพ (นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ) สมณะฟ้าไท… พวกเราก็พิสูจน์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ตั้งแต่หัว หัววิมุติไหม หน้าวิมุติไหม พ่อครูว่า… ไม่ต้องแต่งคิ้วแต่งปากแต่งผิวหนัง หมด หัวหลุดพ้น หน้าพลุดพ้น ปากคอคิ้วคางหลุดพ้น พวกเราพูดกันรู้เรื่องเข้าใจ ว่า มันหลุดพ้น มันอ่านไปถึงจิตของเราหลุดพ้น จิตเราไม่ได้ติดยึดว่าจะต้องติดยึดในรูปโฉม รูปร่าง ติดยึดในสารพัดรส มันจะเป็นโลกียรสอย่างไรมันก็เข้าใจชัดเจน ที่ สู่แดนธรรม… ถามว่า จะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติอย่างไร จะเป็นผู้ที่ยืนยันว่าเป็นผู้ที่หลุดพ้นจริงๆ แล้วก็มีสมรรถนะมีความสามารถ ที่จะทั้งอธิบาย จำแนกธรรม แยกแยะ ให้ผู้ที่ไม่รู้ได้เรียกว่า ปรับวาทะ คือ ประ(อื่น) กับวาทะ คนอื่นที่เขาไม่รู้เรื่องก็ใช้วาทะมาย้อนแย้ง คนที่ยังไม่มีอัญญะ ยังไม่มีความรู้ที่เป็นอื่น ธาตุรู้ที่มีความเป็นอื่นเรียกว่า อัญญธาตุ หรือปรธาตุ มันรู้แต่ของที่ตนเองรู้ในกรอบกะลาครอบ ที่ตัวเองเป็นโลกียะมา โลกุตระเขาไม่รู้ จนกระทั่งสามารถรู้ได้เรียกว่า ปรับวาทะสำเร็จ ค่อยๆเข้าใจมาเรื่อยๆก็สำเร็จมาเรื่อยๆ จนเป็นผู้มารวมกัน มีวัฒนธรรม มีความเป็นอยู่ มีเศรษฐกิจสังคม สุดยอด มีการเมืองมีรัฐศาสตร์สุดยอด พวกเราบริหารโดยไม่ต้องบริหารยากเลย ดูแลกัน ยังชีวิต มีอาชีพ ไม่ต้องไปสั่งการจนเกินการ คนนี้ต้องบังคับให้ทำงานนี้ คนนี้ต้องบังคับให้ งานนี้ไม่ต้อง รู้ควร แล้วแบ่งเบากันรู้ มีปฏิภาณไหวพริบไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ส่วนรวม เห็นแก่หมู่กลุ่ม มันมีคุณสมบัติที่เป็นคุณธรรม เลิศยอด มันเป็นจริง คนแต่ละคนในชาวอโศกจะมีปฏิภาณลึกซึ้ง มีไหวพริบลึกซึ้ง รู้อย่างนี้โลกุตรธรรม ไม่ใช่โลกียะแล้ว อย่างนี้โลกุตรธรรม แต่จิตยังไม่เต็มที่ จะเข้าไปร่วมกับโลกุตรธรรมก็จะรู้ตัวเอง ก็จะไม่เอาไม่เป็นอย่างโลกียะ ไม่เชื่อ เราจะต้องลดเลิก ไม่ทำจะตายหรืออย่างไร แต่อันนี้มีความจำเป็นความควรที่จะต้องทำก็ต้องทำ จะไม่เอาแต่หลับจะนอนจะไม่เอาแต่อยู่ว่างๆเฉยๆเอาแต่ขี้เกียจ ไม่เอา ก็รู้ทั้งนั้นแหละอกุศลคืออะไร เลิกแล้วไม่เอาอกุศล แม้แต่ติดสุข จะสุขโลกีย์อย่างไรก็แล้วแต่ไม่เอา ลดเลิกมา จนเกิดคนที่เป็นโลกุตรธรรม เป็นอาริยธรรมขึ้นมา แล้วอาตมาก็เกิดมามีสมบัติมีคุณสมบัติพวกนี้ เรียกตามศัพท์เต็มๆว่ามีจรณะ 15 วิชชา 8 มีสิ่งเหล่านี้ก็เอาสิ่งเหล่านี้มาแจกแจงมาขยาย ตั้งแต่ไม่ลงพยัญชนะ ในคำว่าจรณะ 15 วิชชา 8 มาก่อน จนกระทั่งมาถึงวันนี้ เริ่มต้นขยายความจรณะ 15 วิชชา 8 เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ก็เมื่อไม่นานมานี้ จะถึง 10 ปีหรือเปล่าก็ไม่รู้พูดผ่านๆก็มีอยู่ จนกระทั่งมาขยายความไม่นานมานี้ จรณะ 15 วิชชา 8 มาจากศีล อปัณณกปฏิปทา 3 เกิดสัทธรรม 7 เกิดฌานนะ ตอนหลังก็ค่อยมาอธิบาย แต่ว่าปักหลักศีลก่อน ฌานต้องมีศีล มี อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วสัมธรรม 7 ตกผลึกเป็นฌาน แล้วเป็นบุญ ที่จริง เปิดยุคบุญนิยม มาถึง 3 เล่มแล้ว ก็หลายสิบปีมาก่อนแล้ว กว่า 20 ปี จะถึง 30 ปีหรือเปล่าคอลัมน์เปิดยุคบุญนิยมก็ทำมา เขียนอยู่ในหนังสือเราคิดอะไร เปิดคอลัมน์นี้มานานจนกระทั่งมารวมกันเป็นเล่ม ก็เรียกว่าเปิดเผยคำว่าบุญมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงทุกวันนี้ก็ละเอียดลึกซึ้งก็ยังจะต้องเปิดเผยต่อ เพราะว่าลึกซึ้งมากเลยคำว่าบุญ เข้าใจคำว่า บุญ ผิด เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เธอแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ ประโยคนี้ แสวงบุญ หมายความว่าจะต้องทำบุญให้ได้ ทำบุญให้เป็น ทำบุญให้สำเร็จแสวงหาบุญให้ตน แต่นอกขอบเขตพุทธ มันคนละโลก คนละเรื่องมันเป็นโลกียะ ไม่เข้าสู่โลกุตระ เพราะทำไม่ถูก คุณลักษณะที่เรียกว่าบุญ บุญเป็นวิบัติ ไม่ใช่สมบัติจะต้องให้สะสมอะไรเลย บุญมีแต่วิบัติ มันไม่มีสมบัติ ทำสำเร็จมันยิ่งวิบัติสมบูรณ์เลย ไม่ได้มีสมบัติอะไรให้สะสมเลย นี่ ก็ชัดเจนขึ้น เพราะฉะนั้นคนที่ศึกษาบุญคือสมบัติที่ต้องสะสม ต้องได้บุญมากๆ บุญเยอะๆ อย่างธัมมชโย เจ้าประคุณเอ๋ยนอกนั้นก็เท่านั้นแหละมิจฉาทิฏฐิกันอยู่ คำว่าบุญคำเดียวนี้ แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธกัน ถ้าหากอาตมาไม่มาเปิดเผย ไม่มายืนยัน หมด ไปไม่เหลียวหลังเลย ไปเลยไม่กลับมา มิจฉาทิฏฐิหายวับไปเลย อาตมาขึ้นมาทำสิ่งเหล่านี้ สรุปที่ สู่แดนธรรม… ถามมาก็คือต้องมีคุณสมบัติต่างๆเหล่านี้ เอามายืนยัน มี จรณะ 15 วิชชา 8 อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็มี การจำแนกธรรม การสาธยายธรรมให้คนเข้าใจได้ เป็นสารถีฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ คนที่ฟังแล้วเข้าใจรับได้ ก็มาเรียนรู้ตาม จนกระทั่งเกิดมรรคผล แล้วก็เอาตัวเองเข้ามารวมตัวกันเป็นชุมชน เป็นหมู่บ้าน เป็นสังคม สังคมชาวอโศก ยืนยันปรากฏผล ให้คนมาดูได้ เอหิปัสสิโก เชิญให้มาพิสูจน์ได้ มีความจริง ความจริงของมนุษยชาติที่มีตัวตนบุคคล ทั้งรูปภายนอก ทั้งพฤติกรรม ทั้งจิตวิญญาณ ที่เป็นจิตวิญญาณลดละ หน่ายคลาย จากโลกที่เป็นโลกุตตรธรรม เป็นของจริงที่พิสูจน์ได้ ยืนยันได้ และมันกำลังเจริญมากขึ้นเรื่อยๆอยู่ ยังไม่มีอัตราการก้าวหน้าที่มากนัก พยายามจะให้มันมากอยู่ แต่มันก็จะมีปฏิภาคทวีขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะอาตมากล้าพูดได้ว่าคนทั้งโลกจะต้องมาเรียนรู้โลกุตรธรรม แต่เขาไม่เห็นค่าก็เลยไม่มาเอา คนที่แสวงหามาเรื่อยๆไม่ว่าจะเป็นเทวนิยม โดยเฉพาะพวกชาวพุทธที่ไม่ใช่เทวนิยมทีเดียว แต่ก็มาเป็นเทวนิยมอยู่ในนี้ เป็น เดียรถีย์ มาแสวงบุญนอกเขตพุทธอยู่ในนี้ จนกระทั่งเกิดปฏิภาณใหม่รับรู้ว่า อย่างโพธิรักษ์คือความถูกต้อง เป็นอาริยธรรมของพระพุทธเจ้า เขาจะค่อยๆเริ่มรู้ แม้แต่ชาวพุทธที่มิจฉาทิฏฐิไปแล้ว เขาอาจจะค่อยๆเริ่มรู้ ข้างนอกจะค่อยๆมารู้ก็ค่อยๆรวมตัวกันเพิ่มมากขึ้น เพราะจุดสุดยอดของยอดพีระมิดนั้นคือพระพุทธเจ้า คือธรรมะพุทธศาสนา นี่เราพูดในพวกเรา ที่อื่น ก็เป็นศาสนาของเขา แต่ของพุทธเรา อันนี้เป็นโลกุตระธรรม จนกว่าคนจะมีดวงตา มีภูมิปัญญา มีไหวพริบ ว่าอันนี้เหนือกว่าอย่างไร พิสูจน์ว่าอันนี้ล้มล้างพระเจ้าเลยนะ โอ้โห! คนจะยอมล้มล้างพระเจ้านี้มันง่ายที่ไหน แต่จนกระทั่งเขาเข้าใจ อ๋อ! พระเจ้าก็ไม่เที่ยง เราไปยึดถือว่าพระเจ้าเที่ยง พระเจ้าก็รู้ในเรื่องความดี ไม่ได้ปฏิเสธ แต่แม้ดีก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา สูงกว่านั้นมีสภาวะ พ้นจากความสุขความทุกข์ด้วย เข้าใจความสุขความทุกข์เพิ่มขึ้น อ๋อ! ไอ้สุขนี่ มันเป็นจอมมายาเหรอ โอ้! เราเสพสุขอยู่อย่างหยาบๆ เช่น ปูติน โจไบเดน อะไรที่เขายึดถือว่าสุข เขาจะต้องเป็นเจ้าโลก จะต้องเป็นใหญ่เป็นโต แม้แต่สีจิ้นผิง เขาก็ยังมีสุขอยู่ แต่ความสุขของเขาค่อนข้างไปทางความสงบ เพราะว่าพลเมืองอยู่กันอย่างเรียบร้อยสงบ สงบอย่างคอมมิวนิสต์บังคับด้วยกฎหมาย เหมือนอย่างเกาหลีเหนือ ถ้าหากค้านแย้งก็จัดการฆ่าเลย มีอำนาจบาตรใหญ่ขนาดนั้น ยิ่งกว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีก เพราะมันบวกเอาทั้งสมบูรณาญาสิทธิราชย์กับประชาธิปไตยเก๊ ต้องใช้คำเช่นนั้นไปร่วมอยู่ในนั้น สมบูรณาญาสิทธิราชย์กับประชาธิปไตยเก๊ อยู่ที่เกาหลีเหนือ มีสิทธิ์ขาด เด็ดขาดยิ่งกว่าพระเจ้า สั่งประหารชีวิตได้หมด แล้วก็มอมเมาว่า พวกคุณน่ะ มีสิทธิ์ แต่ว่าต้องช่วยประเทศชาติ โดยเอาชีวิตเข้าแลก มันซับซ้อนหลายชั้น ก็เป็นตัวอย่างของโลก ยกตัวอย่างเกาหลีเหนือ นอกนั้นก็ยังไม่เข้าใจอะไร เป็นเรื่องของ magical อย่างมีพลเมืองมาก เช่น ในตะวันออกกลาง หรือในแอฟริกาก็ยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่ อย่างแอฟริกา พระเจ้า ยังไม่เป็นตัวตน แต่เป็นอะไรอย่างอื่นไปแล้วแต่อุปาทาน เป็น ผีสาง เป็นสิ่งลึกลับมีอำนาจพิเศษสั่งการ แล้วก็ไม่ได้ยึดถือแรงเหมือนตะวันออกกลางที่ยึดถือพระเจ้าองค์เดียว แล้วต้องตามคำสอนนี้อย่าออกนอกคำสอน แล้วต้องหาบริวาร แผ่มา พยายามหาบริวารต่างๆนานา เพราะฉะนั้นผู้ที่จะอิสระเสรีภาพและรู้จักว่าไม่ต้องยึดอำนาจบาตรใหญ่ มีแต่เมตตา มีแต่ช่วยเหลือผู้อื่น รู้จักการเกิดการตาย การเกิดการตายนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย คนเราอายุ 100 ปีอย่างมากไม่ถึง 100 ปีดีนักก็ตาย ในยุคนี้แล้ว เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหา ตายแล้วคุณก็ต้องมาเกิดอีกตามวิบาก วิบากดีคุณก็มาต่อวิบากดี วิบากชั่วคุณก็มาต่อวิบากชั่ว กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก อ่านสภาวะให้จริง ให้รู้จักสภาวะ 2 เทียบกันทีละคู่ คุณจะรู้รายละเอียดของเทวะนี้มากเลยทีละคู่ อะไรควรหรือไม่ควร แล้วมันไม่เที่ยงด้วย ความควรหรือไม่ควรมันไม่เที่ยงด้วย ตามมหาปเทส 4 ไม่เที่ยง มันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ กาละ เทศะ ฐานะ ใช้พยัญชนะเหล่านี้ย้ำยืนยันอธิบายแล้วก็จะรู้ว่า ความไม่เที่ยงนี้ยิ่งใหญ่อย่างนี้นะ แม้แต่ความเป็นเทวะ แล้วความเที่ยงคืออะไร คือ 0 สูญ อย่างผู้รู้เป็น อนุปคัมมะ เป็นผู้รู้แล้วรู้ความเป็น 0 รวมความไม่มี แล้ว เราก็ยังไม่ดับสูญเรายังมีชีวะ เราก็รู้ก็เห็นแต่เราเหนือมัน แล้วก็เข้าใจเห็นใจพวกที่มีด้วย เขายังมีอย่างอยากใหญ่ก็เห็นใจ เข้าใจเขา ช่วยได้ก็ช่วย ผู้ที่ยังช่วยไม่ได้ก็ให้ไปตามวิบากก่อนนะ เพราะพูดอย่างไรคุณก็ไม่รู้เรื่องโลกุตระ มันเป็นสัจจะของคนที่ยังไม่มีภูมิถึง ก็ต้องปล่อยเขาไป ดีไม่ดีอย่าไปยุ่งกับเขา เขาจะเอาเราตาย อาตมาระมัดระวัง อย่าไปแตะเข้าเดี๋ยวตาย ตายก็ไม่ได้ทำหน้าที่เท่านั้นเอง เราก็ไม่ได้ไปพยาบาทเขาหรอก เพราะเขาไม่รู้ เขานึกว่าไปแตะต้องสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เขายึดถือ ไม่ได้หรอกเขาเอาตายเลย ไปเอาหัวใจเขามาไม่ได้ ไปแตะให้หัวใจบอบช้ำ ให้หัวใจเขากระเทือน เขาก็ไม่ยอมอย่างนี้เป็นต้น เราก็ต้องรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางบ้าง แล้วก็ทำอย่างพอสมควรที่พอเหมาะ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมากอบกู้ ต่อยอดศาสนาพุทธได้ จึงต้องรอบรู้ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 มีสิ่งเหล่านั้นพอ มีสิ่งที่จะกอบกู้พอ อาตมาขยายความไว้ไม่หมด ทั้งเวลาและความรู้ก็ไม่พอ ก็ขยายความไว้ประมาณนี้ก็แล้วกัน อาตมาไม่ได้ถ่อมตน ไม่ได้ยักไม่ได้กักไว้เลย ทำเต็มที่ เท่าที่กาละ เทศะ ฐานะ อันควรจะทำมาเรื่อยๆ จนมาเกิดผล เกิดมรรคผลมาได้ขนาดนี้ก็ขอยืนยันว่าสิ่งที่ได้ ที่มี ที่เป็น จากคนมาประพฤติบรรลุมรรคผล จนเกิดชุมชน เกิดสังคมสารานียธรรม 6 เพราะมีคุณธรรมของวรรณะ 9 หรือพุทธพจน์ 7 อย่างแท้จริง มีคุณธรรมคุณวิเศษเหล่านั้นจริงๆ คุณมาเป็นคนเลี้ยงง่ายก็เป็นคุณวิเศษ มาเป็นคนบำรุงง่ายก็เป็นคนวิเศษ มาเป็นคนมักน้อยเป็นคนกล้าจนหรือคนมีสมบัติ 0 เลย ก็เป็นคุณวิเศษ ใจมันพอ มันสันโดษ แล้วเป็นคนที่ขัดเกลาตนเอง สัลเลขะ ก็เป็นคนมีคุณวิเศษ คนไม่มีคุณวิเศษจะไม่ขัดเกลาตนเองหรอก มีแต่อยากใหญ่ อยากเบ่ง เหมือนทักษิณ ไม่ได้คิดจะขัดเกลาตัวเองเลย มีแต่ตะแบง ที่เข้าใจหาทางเลี่ยงได้ก็เอาแล้ว พ่นออกมา แล้วอันใดยังไม่มีคารมโวหารแย้งได้ก็เอาไว้ก่อน อันใดแย้งได้ก็เปิด club house กว่าแกจะรู้ตัวก็ยาก สู่แดนธรรม… มีอยู่คำนึงที่ผมรู้สึกว่า พ่อท่านว่าแม้เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 หรือ 8 ก็ยังต้องสั่งสอนความเป็นสารถีฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ อันนี้คนภายนอก อย่าไปคิดว่าพ่อท่านไปยกตนเท่าพระพุทธเจ้านะ แต่คือพ่อท่านเหมือนครูน้อย พ่อครูว่า… เราก็เป็นครูน้อยสุดฝึกได้เท่าที่เราเป็น ระดับ 8 จะขึ้นหรือยังก็ยังดูไปว่าไป เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่สัจจะความจริงว่าเราเป็นได้ เป็นได้อย่างเป็นสัจธรรมอันนั้น เราขึ้นถึง เรามีคุณสมบัติ มีคุณธรรมอันนั้นอย่างแท้จริงหรือไม่ ถ้ามีจริงก็จริง ยังไม่จริงเราหลงก็หลง เราไม่หลงแล้วเราเป็นจริง แม้แต่ที่เราได้เป็นจริงแล้วเราไม่หลง เราได้แล้วเรามีความสูงแต่เราหลงว่ายังเตี้ยก็ดีกว่า แต่ที่เรายังเตี้ยเราก็หลงว่าเราสูงนั้นก็จะบ้าเอา เพราะฉะนั้นความจริงที่พิสูจน์อันนี้ก็เป็นสัจธรรมที่มนุษย์ ผู้แสวงหาในโลกจะต้องแสวงหานิพพาน ได้นิพพานแล้วคุณจะต่อยอดเป็นโพธิสัตว์ช่วยมนุษย์โลกอีก กตัญญูกตเวทีต่อธรรมะ ต่อศาสนาไป ก็ทำ ไม่ทำคุณก็ไม่เป็นไรหรอก ปรินิพพานได้คุณก็เอาตัวรอดไปคนเดียว แยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมได้คุณก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป ก็ไม่มีใครว่าอะไรใคร อาตมามันหนักก็ตรงที่ว่าพระพุทธเจ้าท่านทิ้งอาตมาไว้ เพราะท่านสอนแต่ใบไม้กำมือเดียว อาตมาก็เลยจะต้องมาขยายใบไม้ทั้งป่า ไปตามลำดับ สู่แดนธรรม… ตอนแรกผมเข้าใจผิดว่า พ่อท่านจะต้องรับนโยบายของพระพุทธเจ้าว่าสอนใบไม้กำมือเดียว เป็นโพธิสัตว์ก็สอนใบไม้กำมือเดียวเหมือนกัน พ่อครูว่า… ไม่ใช่ ต้องสอนให้คนที่ช่วยตัวเองได้แล้วสอนคนอื่นต่อ ท่านเพาะพุทธชอบจะเอาประโยคนี้ไปพูดต่อ หากเอาตัวรอดคนเดียวก็ปรินิพพานแล้วก็ 0 ไปเลย สอนเท่าที่ตัวเองสามารถ อย่าไปทำเป็นเตี้ยอุ้มค่อม อย่าประมาท เพราะฉะนั้นเผื่อพอเอาไว้ เราจะช่วยก็ต้องเผื่อไว้นะ เรามีแรง มีความสามารถน้อย เราต้องพยายามที่จะทำ ประมาณ 70 80 เผื่อไว้ว่า อีก 20 นั้น มันยังไม่เต็มที่ยังไม่ดีพอ เอาเต็มที่แค่ 80 เราต้องประมาณเผื่อพอเอาไว้อย่างนั้น ต้องถ่อมตนไว้ สู่แดนธรรม… ทำให้เหลือคงคลังไว้ใช่ไหมครับ พ่อครูว่า… ประมาทไม่ได้ ถ้ามี 100 ก็จ่ายหมด 100 มันก็ไม่เหลืออะไร สัจธรรมมันก็ว่ากันไปได้เรื่อยๆ ก็ขยายไปเรื่อยๆ สมณะฟ้าไท… สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin1 มิถุนายน 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:650530 ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4 ประการ รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 40NextNext post:“รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร?”เล่ม๕ (เล่ม ๑-๕ จบ) ทุกเล่มบรรจุเนื้อหา สาระลึกซึ้ง สมณะโพธิรักษ์อธิบายธรรมะระดับโลกุตระด้วยสื่อภาษาที่เข้าใจง่าย ผู้ใฝ่ใจศึกษาสามารถปฏิบัติตามขั้นตอนลดละเลิกกิเลสพิสูจน์ได้ด้วยตนเองRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024