650530 ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4 ประการ รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 40
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1J8yx2R3XtpoB40QwfjoY2-zSCeOFo0trfxKR74Eo0pA/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1D4L-SIQ2SmpkmwDO_Oss7SmKkkcrqLBM/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/8-gLwhK0DGw
และ https://fb.watch/dkoVNd1Tm8/
_สู่แดนธรรม…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ผมไปค้นหาธรรมนิยาม 5 เอามาจากพระไตรปิฎกเล่มไหนซึ่งก็หาไม่เจอ (พ่อครูว่า มาจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค )
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 27-29 พ.ค. 2565
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
ท่านหลวงพ่ออนุตโร เทศน์ได้ชัดเจนมากค่ะ พูดถึงความเด็ดขาดในการเลิกกินขนม ลูกได้ประโยชน์มากเลยค่ะ ลูกยังต่อสู้อยู่ค่ะน้อมกราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า…มันติดเหลือเกินนะขนม จริงๆนะคนมันติดมันก็ติดจริงๆ อาตมานี่ไม่รู้จักขนมมากี่ปีแล้วนี่ ก็มีคนมาให้กินนิดๆหน่อยๆ ผู้ดูแลส่งมาบ้าง มีแต่พืชพันธุ์ธัญญาหาร อาหารกับข้าว ข้าวสุก ขนมสดไม่มี มีแต่ข้าวสุกกับพืชพันธุ์ธัญญาหารทำเป็นกับเป็นแกง เอ้า.. ต่อสู้ไป
ทำจิตนิยามให้เป็น 0 เป็น 1 ได้อย่างไร
_พันธุ์ พอเพียง · วันนี้ญาติมาเยี่ยมบ้านที่อยุธยา แล้วแวะเข้าไปดูในสวนท้ายบ้าน ซึ่งปลูกแบบชาวอโศกพาทำ เขาอุทานออกมาว่า โอวววว ปลูกแบบนี้ไม่มีทางอดอยาก รอดแน่ ๆ เขาอุทานแบบนี้เลยครับ
พ่อครูว่า…ทำให้สงสัยว่าปลูกแบบไหนหนอ เหมือนชาวอโศกอย่างไร นัยยะคำว่า ต่างกันหรือเหมือนกันนี่แหละเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุด เทวนิยมแตกต่างจากพุทธ หรือแตกต่างจาก อเทวนิยม อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นธรรมะ 2 อย่าง จะมีความไม่เหมือนกัน แม้แต่ปรมาณูเล็กนิดที่สุด 2 ปรมาณู 2 หน่วยก็ต่างกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องมาเรียนรู้ทุกอย่างในความต่างกัน แล้วทำให้เกิดปัญญา แล้วทำให้รู้ว่าทำอย่างไรมันจะลงเป็นหนึ่งเดียวกัน ความต่างกันมันต่างกันตรงไหน ขจัดความที่ไม่ลงกันไปให้ได้ จนลงกันเป็นหนึ่งเดียว นี่คือความหมายยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ พอเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วก็เป็นนิพพาน จบ
เช่น สุขทุกข์มันเป็น 2 แต่ประเด็นของความยิ่งใหญ่ก็คือ สุขทุกข์นี้มันต้องต่างกันแน่สวรรค์กับนรก ต่างกันแน่ แต่มันเป็นมายาของจิต จิตนิยาม มันไม่ฉลาดพอ เห็น 2 ยังเป็น 2 อยู่ แต่ก็เลือกชอบ 1 คือชอบสุข ไม่ชอบทุกข์ แล้ว 2 นี้มันแยกไม่ออก แยกอย่างไรก็แยกไม่ออก ในความเกิด
ความเกิดจะมี 2 ทั้งนั้น มีสรีระกับจิตวิญญาณ มีรูปกับนาม มีนามกับรูป เพราะมันจะมีธาตุรู้กับอีกสิ่งหนึ่งเป็นสังขาร ดินน้ำไฟลมปรุงแต่งกับธาตุรู้ที่เรียกว่ารูปกับนาม มันแยกไม่ออก ถ้าแยกออกก็ตายชั่วคราว ก็ไปหาเอา 2 ใหม่ ถ้ายังไม่ทำให้เป็น 1 ได้เด็ดขาดเป็นอรหันต์ ที่สุด 1 กับ 0 ก็เป็น 2 หน่วย 2 อย่าง ต่างกันนะ 1 กับ 0 ทำ 1 ให้เป็น 0 ได้อีก ตอนนี้เราก็เด็ดขาดเลย จบ เป็นอรหันต์เลย
เพราะฉะนั้นถ้ายังมีอยู่ก็ยังเป็นหนึ่ง แต่ทำ 0 ให้กับตัวเองในจิตวิญญาณได้ เมื่อทำ 0 ได้แล้วก็สามารถแยกจิตนิยามให้เป็น 0 ได้เลย ถ้าแยกแล้วแยกเลยนะ แยกจิตนิยามให้เป็นดินน้ำไฟลมเป็น 0 โดยการตายปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายแล้วตายเลย ถ้าผู้นั้นตายไปเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ทำจิตนิยามให้เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย
กายสเภทา ปรัมมรณา ภายหลังจากการแตกตายไปแล้ว ไม่มีแล้วจิตวิญญาณผู้นี้ ถ้าได้ตั้งจิตตายอย่างนิพพาน 3 อย่าง สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน อนุปาทิเสสนิพพาน
การทำจิตวิญญาณของตนเองให้เป็น 0 ได้เป็นการพิสูจน์ว่า เราเป็นเจ้าของวิญญาณ เราจัดการทำลายจิตวิญญาณให้สูญไปได้ไปเลยเป็นดินน้ำไฟลม
เพราะฉะนั้นถ้าจิตวิญญาณหรือ อัตตา ก็สูญหายไป ศาสนาเทวนิยมบอกว่า อัตตา นี่แหละ ตายไปแล้วจะต้องไปกับพระเจ้า ต้องไปอยู่กับพระเจ้าไปไหนไม่ได้ เพราะพระเจ้าเป็นเจ้าของอัตตา แล้วอัตตา จะมีอยู่นิรันดรไม่มี 0 มันจึงค้านแย้งระหว่างเทวนิยม กับศาสนาพุทธหรืออเทวนิยม ยิ่งใหญ่ตรงนี้
ศาสนาเทวนิยมจึงอยู่กับความมีนิรันดร แต่ความเป็นศาสนาพุทธนั้นทำความมีอยู่ก็ได้ทำความไม่มีก็ได้ เลิกทั้งมีและไม่มี เป็นไม่มีเลยนิรันดรได้
เพราะสิ่งที่มีอยู่มันไม่เที่ยง คนเราจึงเกิดความบกพร่องขึ้นเสมอ
_ใจจริง จริงใจ · ธรรมะประทับใจ::>ใครรับคำตำหนิไม่ได้ ไม่มีทางพัฒนา(เจริญ)
พ่อครูว่า… ผู้ที่รับคำตำหนิได้คือผู้ที่ลดตัวตน หมดตัวตน คุณหมดตัวตน จะถูกทำอย่างไรก็ได้ ฟังคำตำหนิ เขาตำหนิผิดก็บอกเขา เขาตำหนิถูกก็บอกเขาได้ ขอบคุณเขา
สู่แดนธรรม… ผมมีคาถาว่า เมื่อผมถูกตำหนิผู้ที่มองก็คงจะมองเห็นบกพร่องของผมซึ่งผมมองไม่เห็นแต่เขามองเห็น จึงยอมรับ
อาตมาก็มีข้อบกพร่องแน่นอน เรายกให้พระพุทธเจ้าองค์เดียวที่สมบูรณ์แบบไม่มีข้อบกพร่องเด็ดขาดแล้วในความเป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลก จะมีอย่างไรตามกาละ เทศะ ฐานะ ซึ่งไม่เที่ยง กาละอย่างนี้ก็มีอย่างนี้ เทศะอย่างนี้ก็มีอย่างนี้ ฐานะอย่างนี้ก็มีอย่างนี้ มันต้องเป็นอย่างนั้นนะ ไม่เท่าเดิม ไม่คงเดิมหรอก กาละเปลี่ยนไป
กาละ เปลี่ยนไป 1 วินาที คุณก็แก่ลงไป 1 วินาที กาละ เปลี่ยนไป 1 วินาที คุณก็เปลี่ยนไป 1 วินาที มันไม่คงที่ กาละ มันไม่ได้อยู่กับที่ ฉันเดียวกันเทศะฐานะ มันก็ไม่เท่าเดิมไม่คงเดิม พระพุทธเจ้าท่านสรุปว่าทุกๆอย่างไม่เที่ยง สัพเพธัมมาอนิจจา
พลเอกประยุทธ์ไม่ได้บริหารด้วยเผด็จการ
สู่แดนธรรม… เหมือนนโยบาย 200 กว่าข้อของผู้ว่าคนใหม่ ชี้แจงว่ามันต้องมีเยอะๆ เพราะว่านโยบายไม่ใช่หลักศิลาจารึก เมืองมันต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เขาเลยทำนโยบายไว้หลายๆข้อ
พ่อครูว่า… อาตมามองว่ายังมีลักษณะฝ่ายอีกฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายทักษิณ ฝ่ายเขาจะมีคุณภาพมีทั้งความจริงใจ มีทั้งสิ่งที่ยังไม่ลงตัว เข้าร่องเข้ารอยของทางโลกุตระอะไรยังมีอีกเยอะ แต่ก็ไม่ต้องไปประมาทเขาก่อน ทำงานไปก็จะเห็นได้ถึงความจริง ก็ต้องใช้เวลาหน่อย
ลักษณะของคุณชัชชาติเป็นลักษณะของทางตะวันตก เขาชอบทำแบบสร้างภาพใช้อำนาจบาตรใหญ่ มีหมู่มีฝูงเป็นพรรคพวก คำว่ามีหมู่มีฝูงเป็นพรรคพวก มันเหมือนความเป็นประชาธิปไตยนะ แต่คำว่า ประชาธิปไตยนั้น ไม่มีหมู่ไม่มีฝูงไม่มีพรรคพวก มีแต่ประชาชนทั้งหมดเสมอสมานกันเป็นเอกภาพ เป็นเอกีภาวะ แล้วปัญญาของแต่ละคน เข้าใจว่า ในจำนวนประชาชนทั้งหมดใครมีคุณสมบัติหรือคุณวิเศษดีที่หนึ่ง รู้แล้วยกคนนั้น พร้อมใจกันยก เป็นคนมีปัญญา รู้สอดคล้องกัน เห็นด้วยว่าคนนี้แหละ แล้วก็ให้คนนี้ทำงาน
เช่นเดียวกับประชาธิปไตยเมืองไทย ขอลงตรงนี้อีกนิดนึง
คนยังไม่เข้าใจตรงนี้กันนัก นักรัฐศาสตร์ซึ่งเรียนมาจากตะวันตกจบด็อกเตอร์มาจากตะวันตกทั้งนั้นนักรัฐศาสตร์ จบรัฐศาสตร์เป็นด็อกเตอร์ของเมืองไทยก็ตามก็ยังไม่เข้าถึงโลกุตรธรรมเท่าไหร่ เขาก็จะยืนยันว่า
อย่างเมืองไทยนี่ ยังเป็นเผด็จการ นายกฯประยุทธ์ พลเอกประยุทธ์ เขาก็ยังถูกยืนยันว่าเป็นเผด็จการ เอาละใน 4 ปีแรก ที่พลเอกประยุทธ์บริหารเป็นนายกฯ เพราะพลเอกประยุทธ์บอกว่าผมขอยึดอำนาจ มีพฤติการณ์อันนี้ แล้วก็มาบริหารไป แต่พอ 4 ปีหลัง เลือกตั้ง แล้วเขาก็เลือกเอา พลเอกประยุทธ์ซึ่งไม่ได้สังกัดพรรคไหนเลย เป็นคนนอก แม้แต่พรรคพลังประชารัฐเขาก็ไม่ได้อยู่ เขาเลือกพลเอกประยุทธ์มาเป็นนายกฯ นี่ก็ 8 ปีก็ไปแล้ว
เพราะฉะนั้น 4 ปีหลังเป็นประชาธิปไตยแล้วไม่ใช่เผด็จการ ซึ่งนักรัฐศาสตร์ก็ยังไม่เข้าใจตรงนี้ เพราะมันซ้อน พลเอกประยุทธ์คนเดียวกัน ทั้งๆที่พฤติกรรมของการเลือกตั้ง แล้วสภา ก็โหวตให้ประยุทธ์เป็นนายก นี่คือรายละเอียดของความจริง
เพราะฉะนั้นเมืองไทยไม่ใช่เป็นเมืองเผด็จการเลย เป็นเมืองประชาธิปไตย 100% ประชาธิปไตยเต็มใบ แล้วบริหารประเทศมา 4 ปี มีผลงาน รัฐบาลๆที่ผ่านมา โดยเฉพาะรัฐบาลทักษิณอุจจาระกองโตไว้ ต้องมาล้างความเหม็นและก้อนอุจจาระ โอ้ย ล้างไปได้เท่าไหร่แล้วล่ะ มันยังไม่หมดเลยนะ แต่ก็มีผลงานว่า ล้างออกไปจริงๆ
ภูมิธรรม ความรู้ของอาตมามองเห็นเช่นนั้น อาตมาก็เลยว่า มันต้องพิสูจน์กันนะ ก็เลยยุ พลเอกประยุทธ์เลยว่า พยายามตั้งอกตั้งใจทำต่อไปอีก 20 ปี ยังหนุ่มอยู่ ยังไม่ 70 อีก 20 ปี ก็ 80 ก็เหมือนอาตมา 88 ปี อาตมาว่าบริหารได้นะ มหาเดย์ยัง 90 กว่า โจไบเดนก็ตั้ง 70 กว่า อายุ 78 ปี เอาน่าทำไปดู ตั้งอกตั้งใจ อย่าไปท้อแท้ มันยังพอมีกำลังวังชาก็คงยังไม่เมื่อยเร็วนัก
พระอนาคามีก็ยังไม่หมดความเป็นเพศ
_คุณสายันต์ ธนานันท์ # (พ่อครูไอตัดออกด้วย) พระอนาคามี ไม่มีเพศแล้วใช่ไหมคะ หมายถึงเพศทางนามธรรมค่ะ ไม่ใช่เพศที่เป็นรูป คือ ความอิตถีภาวะ ปุริสภาวะน่ะค่ะ ขอบคุณค่ะ
พ่อครูว่า… โลกของกาม โอฬาริกอัตตาภายนอก พอมาเป็น มโนมยอัตตา มีรูปที่สำเร็จด้วยจิต ก็ยังมีภาวะที่ยังมีเพศอยู่ แม้เป็นอนาคามี รูปราคะ อรูปราคะ ก็ยังเป็นเพศอยู่ เพศคือ ความแตกต่างกันที่รวมตัวกันเป็นหนึ่งยังไม่ได้ ที่หมายความว่า ยังมีเพศที่ถามมา คือ ความไม่ลงตัวเป็นหนึ่ง ถ้าไม่รวมตัวเป็นหนึ่งแล้ว ก็เป็น นปุงสกลิงค์ ไม่เป็น ปุงลิงค์ อิตถีลิงค์แล้วแต่เป็น นปุงสกลิงค์ เป็น 1 ได้แล้วไม่มีสุขไม่มีทุกข์ได้แล้ว ก็ทำความเป็น 1 และเป็น 0 ให้ได้ อีกทีหนึ่ง
ที่พูดและอธิบายกันอยู่เป็นรูปธรรมและนามธรรม สัจจะเป็นรูปธรรมนามธรรมที่อาตมาใช้เวลา 50 ปีแล้วแยกแยะอธิบายแจกแจงกันทุกวันทราบเรื่องเก่านี่แหละรูปนาม จนป่านนี้ก็ยัง จนตาย อาตมาก็ยังต้องอธิบายต่อไปอีกไม่ใช่ง่ายๆ
ที่มาที่ไป ทำไมเรียกนักบวชชาวอโศกว่าสมณะ
ที่กำลังอธิบายถึงเป็นจุดสำคัญมากเลย พระพุทธเจ้าท่านอธิบายเท้าความมาด้วยจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งอัมพัฏฐะเข้าใจว่า จรณะ 15 วิชชา 8 นี้ ผู้ที่จะปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ได้บรรลุ เป็นวิชชาจรณะสมบัตินี้ เรียกว่าเป็นสมบัติในตัว ได้เป็นคุณธรรมแล้ว จะต้องเป็นพระแบบที่เข้าใจแบบเดียวกันกับคนไทย พุทธศาสนิกชนคนไทยทุกวันนี้เข้าใจกันเป็นส่วนใหญ่ ว่าจะต้องเป็นพระป่า ปฏิบัติอย่างพระป่า ไม่ได้ปฏิบัติอย่างจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งปฏิบัติง่ายๆวิธีหลับตาสะกดจิตๆ เหมือนสายอาจารย์มั่น มหาบัวไม่รู้อีกกี่สำนักที่นั่งหลับตาสะกดจิตทั้งนั้น
ถ้าไม่มีอาตมาอุบัติขึ้นมาในยุคนี้ ก็จะเอาแต่นั่งหลับตาสะกดจิต มีอรหันต์เก๊ไปอีกนาน แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะอาตมาต้องขึ้นมาทำงาน มันเป็นสิ่งที่เป็นจริง บอร์นทูบีมันเกิดขึ้นแล้วไม่เกิดก็เป็นไปไม่ได้ อาตมาต้องเกิดมาแล้วถึงมาเจอก็เป็นจริงอีก ยืนยันไปเขาก็จะเอาตาย พอรู้ตัวว่าอาตมาสอนไม่ได้เหมือนเขาเลย มันหักล้างเขาอีก เขาเอาเลย ตั้งแต่บัดโน้น
เท้าความประวัติอีกนิดนึง เราลาออกตั้งแต่ 2518 เป็นนานาสังวาส ตอนแรกเขาไม่เข้าใจนานาสังวาสลึกซึ้งดีหรอก ก็ปล่อยให้เราปฏิบัติมา ทำมาตั้งแต่ 2518 จนกระทั่งมาถึง พ.ศ. 2525 พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ ก็ตีหมด ซึ่งเขาตีหมดตั้งแต่ท่านพุทธทาสมา แกศึกษาธรรมะของแกก็ขึ้นอาละวาดไปทั่ว จนสุดท้าย ก็เข้าคุกไป เราก็ไปญาติดีกับแกนะ เอาข้าวเอาน้ำให้แกกิน จนแกมีหนังสือน้อยมา ว่า ข้าวของท่านมียาง รู้สึกว่าเป็นบุญคุณนะ เราไปส่งข้าวส่งน้ำเขา
จากอนันต์ เสนาขันธ์ ตีไปแล้ว ก็มีคนเห็นว่ามีกำลัง มีผู้บุกเบิก พอ พ. ศ. 2532 มีหัวหอกคือ ท่านประยุทธ์ ปยุตโต เขียนหนังสือซัดมาอีก 3 เล่ม แล้วยังบอกว่าจะมีเรื่องต่อไปอีกนะ พวกคณะที่เห็นพ้องกันอยู่แล้ว เพราะมันค้านแย้งเขา ไปทำลายความรู้ความเห็นของเขา มันทวนกระแสกัน คณะเถรสมาคมคณะใหญ่ก็รวมตัวกันใหญ่เลย ทั้งธรรมยุตและมหานิกายรวมตัวกันใหญ่เลย รวมตัวกันจัดการอาตมา
จนกระทั่ง จัดการด้วยธรรมะก็ไม่รู้จะให้ใครตัดสิน ทางเถรสมาคมก็ไปฟ้องร้องทางโลก ไปให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นฆราวาสมาตัดสินอาตมา เขาก็ต้องเอากฎหมายเป็นหลัก แล้วก็มีกฎหมายที่บัญญัติเองขึ้นมาว่า เท่าที่จำได้เป็นมาตรา 18 ของกฎหมาย 2505 มาตรานั้นบอกไว้ว่า สังฆราชสั่งให้สึกภายใน 7 วันต้องสึกตามนั้น สังฆราชตอนนั้นก็เลยออก ปฏิบัติตามกฎหมายสั่งให้อาตมาสึกภายใน 7 วัน ซึ่ง 7 วันอาตมาก็ไม่สึก 7 ปีก็ไม่สึก จะอยู่ไปให้ได้ 70 ปี ตอนนี้อยู่มาได้ 50 ปีแล้วนะ อีก 20 ปีเท่านั้น ไม่ยอมสึก
เมื่อไม่ยอมสึกก็ผิดกฎหมาย ผู้พิพากษาตัดสิน ท่านก็ตัดสินตามหลักกฎหมาย ไม่ได้เอาตัดสินตามหลักธรรมวินัย เพราะผู้พิพากษาเป็นฆราวาสจะเอาธรรมวินัยมาตัดสินได้อย่างไร เอากฎหมายมันก็ผิด เพราะว่าบัญญัติขึ้นเองว่าสังฆราชสั่งให้สึกได้ เราก็ผิดเราก็ยอมรับตามกฎหมายโลกในยุคนี้กาละเทศะนี้ บริบทนี้เขาเป็นอย่างนั้นก็ต้องยอมเขา ที่เรียกว่าอนุวัติตามโลก พระพุทธเจ้าก็สอนไว้เราก็ไม่ได้ขัดขวางเขา
แต่ก็ยังมีความปราณีว่า ติดคุกแต่รอลงอาญา 2 ปี เราก็เลยเป็นนักโทษไม่ได้เข้าคุก ก็จบสิ้นลง จบสิ้นลงแล้วทีนี้ทางกฎหมายเขาก็จบแล้วสิ จบลงโดยที่เรียกว่า ทนายทองใบบอก ให้ฎีกาต่อ อาตมาบอกว่าไม่ต้องหรอก จบที่ศาลอุทธรณ์นี่แหละจบ เขาชนะให้เขาชนะไป คำพิพากษาแล้วว่ารอลงอาญา 2 ปีก็จบ เราก็รอลงอาญา 2 ปีตามที่เขาตัดสิน ตามกฎหมายทุกอย่างมันก็หมดแล้วนี่ เราก็รอลงอาญาไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ให้คนมาคอยควบคุมพฤติกรรม คนควบคุมก็มาแค่ 2-3 ครั้งก็ไม่มาอีก เพราะเขาเห็นแล้วจะมาควบคุมอะไรมีแต่จะมาศึกษาจากเรา เขาก็มาศึกษาจากเรา ไปกินมังสวิรัติเลยคนควบคุมเราน่ะ อย่างนี้เป็นต้น นี่คือธรรมะจัดสรรทั้งนั้นเลย
จากวันนั้นถึงวันนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2532 มหาประยุทธ์หรือว่าพระพุทธโฆษาจารย์เขียนหนังสือซัดอาตมาอีก ทีนี้ 2 คณะรวมกันเลยทั้งธรรมยุตและมหานิกายรวมกันอีก ซึ่งผิดธรรมวินัย มาทำสังฆกรรม มาปกาศนียกรรมอาตมา ซึ่งมันทำไม่ได้มันผิดวินัยคณปูรกะ เป็นสองนิกายมาทำสังฆกรรมกันทำไม่ได้ แม้นานาสังวาส ก็มาร่วมกันทำสังฆกรรมไม่ได้
เพราะฉะนั้นในหลักวินัยต่างๆพวกนี้ท่านก็เรียนกันมา หัวผุหัวพัง จบเปรียญ 9 จบดร.ทางพุทธศาสนามาด้วย ก็ว่ากันไป แม้จะเปรียญ 9 ในนี้ก็ตาม ท่านก็ยังไม่ประสีประสาในเรื่องวินัยที่ชัดเจน ท่านก็ทำผิดกฎหมายมาเรื่อยๆ
จนมาผ่านพ.ศ. 2532 ฟ้องเราให้เราไปขึ้นศาล อยู่ตั้ง 6 ปี 6 เดือน 6 วัน จึงถูกพิพากษา จบ เราก็เกม ทนายทองใบบอกว่าให้ฟ้องฎีกา อาตมาบอกว่า ไม่ต้องฎีกาหรอก อุทธรณ์นี้ก็จบแล้ว เราจะไปฎีกาให้เมื่อยอีกทำไม ไม่ฟ้องกลับ แพ้แล้วก็แพ้เลยก็อยู่อย่างแพ้นี่แหละ
สู่แดนธรรม… พ่อท่านตัดสินเพราะว่า สรณะนี้มันจบแล้ว สงครามไม่มีแล้ว
พ่อครูว่า… เพราะว่าเรายอมรับที่ถูก แต่เขายึดผิดๆ เขาก็คว้าได้ผิดไป แต่เราถูกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็จะไปเพิ่มอีกทำไม เสียเวลาอีกทำไม เมื่อย แล้วเขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะมันจบในตัวของมันเองแล้ว ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ พ. ศ. 2532 จนกว่าจะหมดเรื่องก็ตั้ง พ.ศ. 2540 จึงได้ชื่อมาใหม่เป็นสมณะ แล้วเราก็อยู่ของเรา ก็ลอยตัวเลยเป็นสมณะ พอเราตกลงได้คำว่าสมณะแล้วมหาระแบบก็เต้นใหญ่ บอกว่าเอาสมณะไปให้ทำไมเพราะสมณะแปลว่าพระอรหันต์นะ อ้าว! ให้แล้วก็ให้เลยสิ ทางโน้นทางท่านเจ้าคุณ ท่านสมเด็จก็สูงกว่ามหาระแบบแบบอีก ที่ได้ตกลงกันกับมหาจรวย หนูคง ที่ตอนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่กรมการศาสนามาตกลงกับเรา แล้วก็โทรศัพท์พูดกับสมเด็จตั้ง 2-3 องค์บอกว่าตกลงกันอย่างนี้นะ ว่าเขาจะเรียกตัวเองว่าสมณะไม่เรียกตัวเองตามกฎหมายที่มี เรียกตัวเองผิดกฎหมายไม่ได้ เช่น เรียกเป็นภิกษุ นักพรต นักบวช ไม่ได้
ก็เหลือคำนี้คือคำว่า สมณพราหมณ์ ซึ่งมันไม่มีในกฎหมายห้ามไว้ เราก็บอกว่าเราตกลงเอาคำนี้ เราก็ได้ชื่อว่าสมณพราหมณ์มาตั้งแต่บัดนั้น มาถึงบัดนี้ก็กร่อนๆ เหลือแต่คำว่า สมณะ ไม่เอาคำว่าพราหมณ์มาต่อท้าย ถ้าใครจะพูดเต็มก็ไม่เป็นไร สมณะพราหมณ์ผู้เจริญ บางจำพวก ซึ่งก็ไม่มากเลยมีจำนวนน้อย เราก็อยู่ของเรามา แล้วก็ปฏิบัติเผยแพร่ธรรมะมา ตั้งแต่ พ.ศ.2532 จนกว่าจะสิ้นสุดเยื่อใย พ.ศ. 2538 จากนั้นก็จบอย่างคิดว่า Absolute แล้วนะ เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้ เป็นการยุติกันมาอย่างเรียบร้อย
ที่ฟื้นไม่ได้ฟื้นฝอยหาตะเข็บและเตือนสติเขาว่ามันไม่ถูกที่คุณทำนั้นให้รู้สึกตัวบ้าง ที่ทำไปแล้วไม่ถูกมาตลอด และสิ่งที่ถูกต้องเป็นอย่างไรก็เตือนสติเขา มันก็มีคนวางแล้ว มีคนที่ยอมรับ ยอมเข้าใจ ยอมวางความยึดมั่นถือมั่น เขาก็ยอมมาได้เรื่อยๆนี้ก็ดีแก้ไขกันไปอย่างนี้ พยายามพัฒนาการ
อาตมาพยายามที่จะยังชีพให้มีชีวิตอยู่ยืดยาวต่อไป ก็เพื่อจะแก้ไขสิ่งผิด ให้มันถูกต้องไปเรื่อยๆเลย ก็ได้ มีอัตราการก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นทั้งชีวิตจริง ที่อาตมานำพา มีพฤติกรรม พฤติการณ์ จนเกิดบุคคลมาเป็นอย่างที่อาตมายืนยันว่าปฏิบัติตรงคำสอนพระพุทธเจ้า มาเป็นศีล สมาธิ ปัญญา หรือมี อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นสัทธรรม 7 เป็นฌาน เป็นวิมุติ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็ตรงตามนั้นมา
ยืนยันไปเรื่อยๆเสียงคัดค้านก็น้อยลงก็ลดลง แต่มีผู้ใหม่ ที่เขายังร้อนวิชามาก็ซ้อน อย่างเช่นอาตมาไปแตะหลวงปู่แสงขึ้นมา ทัวร์ลงเท่าไหร่ 8 แสนกว่า
อาตมาในชีวิตนี้ยังไม่เคยมียอดวิว 8 แสน เป็นครั้งแรกที่มียอดวิว 8 แสน ที่เป็นความถูกต้อง แล้วก็มียอดวิว ดีใจชื่นใจ นับได้ เป็นพัน จะถึงหมื่นหรือเปล่าไม่รู้ แต่ถูกถล่มนี้แป๊บเดียว 8 แสน แตะหลวงปู่แสงแป๊บเดียว 8 แสน
หลวงปู่แสงไม่ได้เป็นอรหันต์อะไรหรอก ยังเป็นพระหลับตา ไม่ได้มีคุณธรรมอะไร ไม่ได้ไปลบหลู่นะ แต่เป็นเรื่องจริง ยังแสดงออกแม้แต่ในความเป็นกาม อย่างที่เห็นมีหลักฐานยืนยัน ยังมาล้วงมาควักมาดึงผู้หญิงเข้าไปกอดอยู่ แล้วยังบอกมาว่าอัลไซเมอร์ ยิ่งเป็นอัลไซเมอร์ ยิ่งคือจิตแท้ๆของตัวเองเลย ที่ยังมีกิเลสเป็นเจ้าเรือน ขนาดเครื่องมืออุปกรณ์สมองเป็นอัลไซเมอร์ มันยังมีฤทธิ์แรงแสดงออกทางกาย ทางวจี ทางกายวิญญัติ วจีวิญญัติ คุณก็ไม่รู้เรื่อง ทุกอย่างมาแต่เหตุ ถ้าไม่มีเหตุจะออกมาได้อย่างไร
เป็นพระอรหันต์แล้ว เหตุดับหมด เหตุคือกิเลส กาม รูป อรูป ไม่มีแล้วมันจะมีอะไรดันออกมาเล่า แค่นี้เข้าใจไม่ได้จะไปปฏิบัติธรรมรู้เรื่องอะไร มันต้องมีพลังงานจริง พลังงานเหตุของมัน มีกามเป็นเหตุ มันถึงออกมา ถ้าไม่มีกามเป็นเหตุ แล้วยิ่งเครื่องมือ อัลไซเมอร์อีก อุปกรณ์ใช้ไม่ได้อีก ทั้งรูปทั้งนามมันบริสุทธิ์แล้ว มันจะเอาอะไรมาแสดงออกอย่างนั้น
ที่พูดนี่พูดภาษาไทยนะ ภาษาพื้นๆ ที่พูดไม่ได้ข่มหลวงปู่แสงหรืออยากทำลาย แต่เปิดเผยความจริงบอกความจริงให้เกิดความชัดเจนว่า อย่าไปหลงงมงายกันมากเกินไป
ผู้ที่ปกป้องช่วยปกป้องอุ้มชู ถ้าปกป้องอุ้มชูคนผิด มันดีหรือไม่ดี …ไม่ดี ก็ไปคิดเอาง่ายๆ ไปอุ้มชู ปกป้องคนที่ผิดไม่ใช่คนที่ถูก แล้วก็มาลงโทษคนถูก เอ้า มันจะได้อย่างไรสัจจะมันก็เพี้ยนก็ผิด มันก็ไม่เข้าท่า เอาละ จบแค่นี้ก็แล้วกันเรื่องหลวงปู่แสง
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สู่แดนธรรม…ทั้งหมดทั้งมวลมันสืบเนื่องมาจาก การศึกษาธรรมะในประเทศไทยมีอิทธิพลจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค เพราะอธิบายโดยพระคุณเจ้าที่อยู่ในภูมิเทวะนิยม ธรรมะพระพุทธเจ้าในภูมิของเทวนิยม ยกตัวอย่างเช่น การระลึกชาติ ซึ่งเป็นธรรมะขั้นหนึ่งของเตวิชโช เป็นเรื่องของผู้ที่จะต้องทำการงานของจิต กัมมัญญา ที่ต้องไประลึกชาติว่า มีอะไรเหลือที่ยังไม่ได้ลงบัญชี ที่เป็นรูปนาม ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา แต่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคจะไปบรรยายว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขาชื่อนั้นชื่อนี้ ซึ่งผิดจากที่พ่อครูอธิบายว่า ก็มีชื่อนั้นชื่อนี้ก็เป็นชื่อของกิเลสเรา เป็นโคตรของโทสะและโมหะ ราคะ
ตระกูลเป็นตระกูลกัจจายนะคือสายปัญญา หรือตระกูลกัสสปะคือแบบดับดิ่ง หรือเกิดในสัตตาวาสหรือวิญญาณฐีติ เป็น 2 อย่างที่ตรงกันข้ามกันอย่างนี้ นี่คือ จะต้องทำกัมมัญญาที่ต้องทำ เป็นหน้าที่ของจิต หลังจากที่จิตมีความบริสุทธิ์แล้ว ซึ่งมีความอ่อนพร้อมปรับเปลี่ยน จะทำให้ 2 เป็น 1 ได้อย่างไร 1ก็คือลดอาสวะสิ้น มีอะไรเหลือ รูปราคะ อรูปราคะ ซึ่งยังมีเพศคือความต่าง ถ้าหมดไปแล้วก็ไม่มีความต่างของเพศเป็น 1 เป็น 0
พ่อครูว่า… ดี เอาละไม่ต่อ
พราหมณ์มหาศาลสมัยพุทธกาล ก็คือพระมหาศาลในยุคนี้
วันนี้มาเข้าสู่ประเด็นที่เราต่อเนื่องกันอยู่ใน อัมพัฏฐสูตร พระพุทธเจ้าขึ้นต้นเมื่ออัม พัฏฐะยอมรับแล้วว่าเขามีแต่เปลือกคือภาษาว่า วิชชาจรณะ เขามีแต่ตรรกะบัญญัติ เหมือนกับสมัยนี้ที่ไม่เข้าหาเนื้อแท้ ไม่เข้าหาสภาวะธรรม แล้วก็ให้พระพุทธเจ้าทรงอธิบายขยายความจรณะ 15 วิชชา 8 พระพุทธเจ้าก็เริ่มเลย ว่าธรรมะในโลกนี้มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเป็นผู้ตรัสรู้ชอบเป็นอะไร ท่านก็ว่าไปตามพุทธคุณ 9 แล้ว
หลังจากนั้น คนมาได้พบพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมะ ก็ศรัทธาเลื่อมใสออกบวชตาม เมื่อออกบวชตามก็พากเพียรศึกษา เมื่อศึกษาแล้วก็บรรลุธรรมตาม เกิดศาสนาพุทธขึ้นมา เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธก็เจริญงอกงาม เมื่อเจริญงอกงาม ตั้งอยู่ประมาณหนึ่งแล้วก็ต้องเสื่อม
ความเสื่อมเป็นความเสื่อมจริงๆ คือเดินลง เสื่อมเอามากๆก็ลงไปมากไกลลิบเลยไกลไปจากความจริง ความเสื่อม พระพุทธเจ้าก็อธิบายให้ อัมพัฏฐะฟังว่า ศาสนาพุทธก็มีความเสื่อมเหมือนกัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเหมือนกัน นั่นคือความเสื่อมของจรณะและวิชชา
เกิดเป็นฆราวาส เกิดเป็นกษัตริย์ เกิดเป็นนักบวช เป็นพราหมณ์ มันก็ไม่เที่ยงอยู่แล้วมันก็เสื่อม แต่มันยึดมั่นถือมั่นเป็นรูปธรรม เหมือนอัมพัฏฐะยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเองเป็นนักบวชเป็นพราหมณ์ ทั้งๆที่เป็นพราหมณ์มีเมีย มีข้าวของ มีทรัพย์ศฤงคาร เป็นพราหมณ์มหาศาล นักบวชขี้หมาอะไร มีลูก มีเมีย มีผู้สืบสกุล เหมือนกับศาสนาพุทธทุกวันนี้ในญี่ปุ่น เป็นเจ้าของศาสนาพุทธเลย มีลูก มีเมีย มีธนาคารของตัวเองเลย มีทรัพย์ศฤงคาร มีสมบัติอะไรต่ออะไรพร้อม พุทธศาสนาอยู่ในญี่ปุ่น เป็นพราหมณ์มหาศาล
มหาศาล หมายถึงว่า สะสมมากมาย ร่ำรวย สมัยนี้ก็เป็นพระมหาศาล อย่างร่ำรวยเยอะแยะ ขนาดพระป่าอย่างหลวงปู่แสงก็มีเงินตั้ง 100 ล้าน
พระพุทธเจ้าก็สรุปว่า อัมพัฏฐะ ความเสื่อมนั้นมี 4 ประการ คือ เมื่อไปเชื่อ ไปคิด ไปเห็น ไปเข้าใจว่า จรณะวิชชา สมบัติ จะต้องอยู่กับพระป่า เพราะฉะนั้นใครจะได้จรณะวิชชาสมบัติ จะต้องออกไปหาอาจารย์ในป่า แล้วก็ไปเรียนรู้ถ่ายทอดวิชชาจรณะกับอาจารย์ที่มีวิชชาจรณะในป่า นี่คือความเสื่อม คนไปเข้าใจว่าถ้าจะเอาจรณะวิชชาสมบัติ อาจารย์ผู้ที่มีวิชชาจรณะสมบัติ ต้องเป็นอาจารย์ในป่า
เสร็จแล้วเธอก็จะเข้าป่า ไปเจอใครเข้าก็ไม่รู้ ตั้งตนเป็นอาจารย์ทางศาสนาพุทธ บอกว่าเป็นผู้ที่มีวิชชาจรณะ แต่แท้จริงแล้วไม่มีหรอก สอนแล้วไม่มีวิชชาจรณะ แต่คุณก็หลงกันว่านี่แหละเข้าใจวิชชาที่เป็นเดียรถีย์ ฌานก็แบบเดียรถีย์ สมาธิก็แบบเดียรถีย์ วิมุติก็แบบเดียรถีย์
แล้วไปเข้าใจว่า เดียรถีย์ นั่นแหละคือพุทธะ แล้วไปบำเรออาจารย์ในป่า เหมือนกับเดี๋ยวนี้หลงใหลพระป่า ว่าถูกต้องถ้าจะบรรลุอรหันต์ต้องปฏิบัติแบบพระป่า แม้แต่เป็นพระบ้าน ทุกวันนี้ก็ยังมีความคิดเชื่อว่า จะต้องปฏิบัติอย่างพระป่า ตัวเองอยู่บ้านก็จะต้องนั่งหลับตาสะกดจิต เดินจงกรม ย่างหนอก้าวหนออยู่เหมือนกัน ไม่ได้ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 เลย (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม… เป้าหมายของวิชชาจรณะ คือ ทำให้เกิดความสงบ
พ่อครูว่า… พระป่า เขาก็มีความสงบบ้างเหมือนกัน ยิ่งพระบ้านไม่มีความสงบเลย เมื่อเข้าใจผิดเช่นนั้น เป็นความเสื่อมในประเด็นที่พระพุทธเจ้าท่านย้ำกับอัมพัฏฐะคือ ไปอยู่ป่ากัน ท่านแยกเป็นความเสื่อม 4 ประการ ซึ่งพระพุทธเจ้าพยากรณ์เอาไว้ว่าจะมีความเสื่อมเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งก็เกิดจริงเพราะว่าศาสนาพระพุทธเจ้าผ่านมา 2,500 กว่าปี กึ่งหนึ่งของศาสนาพุทธแล้วมันก็เสื่อมถึงขีด
อาตมาจึงต้องมาเพราะเป็นผู้สืบทอดมาสถาปนาศาสนาพุทธขึ้น ที่พูดนี้พูดความจริงเพราะอาตมาพูดเท็จไม่เป็น ใครจะฟังแล้วเชื่อ เข้าใจขึ้นก็ดี ใครฟังแล้วไม่เชื่อ เข้าใจไม่ได้จริงๆ มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา ไม่รู้จะไปบังคับกันอย่างไรนะ มันต้องเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นเมื่ออาตมาอุบัติขึ้นมานั้น โลกุตระไม่มี มีภาษาคำว่า โลกุตระ อยู่ในพระไตรปิฎก มีบ้าง ก็ยังดี ยังมี แบ๊บติส คือท่านพุทธทาส เหมือนแบบที่นำมาก่อน นำมาก่อนแล้วก็จะมีผู้ที่ตามมาอธิบายทีหลัง เปิดฉาก จะมีคนมานะ ผู้ทรงคุณธรรมมาเกิดนะ ของทางศาสนาคริสต์เขาก็มีแบ๊บติส อาตมาอุบัติขึ้นมาก็มีท่านพุทธทาสเป็นแบ๊บติส อุบัติขึ้นมาก่อน ท่านพุทธทาสก็ยังไม่มีตัวจริง นำเอาคำว่าโลกุตระมาแต่ไม่ได้สาธยาย เขาสาธยายไม่ออก แต่รู้แล้วโลกุตระเป็นของพระพุทธเจ้า ก็เอาภาษาคำพูดขึ้นมาว่าเป็นโลกุตระ
จากนั้นก็มีผู้ที่เห็นว่าคำว่า โลกุตระ มันเหนือโลกโลกีย์ก็เข้าท่า แต่ก็ไม่ได้มีใครขยายได้ นำเนื้อหาสาระของโลกุตระขึ้นมาสถาปนาขึ้นในมนุษย์จริงๆ ในจิตวิญญาณ ในกายในจิตในตัวบุคคลจริง อาตมามาทำ มาอธิบายมาพาทำ จนเกิดจนเป็นได้จริง ยืนยันได้ว่าเป็นโลกุตรธรรม ตามหลักฐานอ้างอิงยืนยัน มากมายหลากหลายสารพัด
ซึ่งจุดที่เข้าเป้าที่สุดก็คือ บอกว่าโลกุตรธรรมนั้นคือ มีญาณปัญญา มีสติสัมปชัญญะ มีสติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ หรือขยายเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 มีกาย เวทนา จิต ธรรม รู้ข้างนอกข้างใน รู้เข้าไปถึงข้างใน ในเข้าไปหากายใน ในเข้าไปหาจิต จิตก็ในเข้าไปหาธรรมะเป็นโลกุตรธรรม
โลกุตรธรรมก็คือมารู้จักเจโตปริยญาณ 16 รู้จักราคะ โทสะ โมหะ แยกราคะ โทสะ กับไอ้ที่มันไม่เป็น เป็นจิตสะอาดจากราคะ โทสะ โมหะ คือ วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ แยกให้ออกระหว่างลักษณะที่มีกิเลสกับไม่มีกิเลส มันลิงคต่างกันนะ ต่างกันอย่าง หยาบ กลาง ละเอียด ก็ต้องเรียนรู้ความจริง ต้องเอาให้หมด ละเอียดก็ไม่เอา เอาจนกว่าจะหมดเป็น 0 หรือละเอียดเป็นอรูปอยู่ ก็ไม่เอา เอาให้หมด ให้ไม่มีเลย นี่พยัญชนะภาษาง่ายๆ
จนทำได้เป็นขั้นๆ สังขิตฺตํจิตตํ วิกขิตฺตํจิตตํ เป็นคู่ๆไป จนเป็นมหัคต อมหัคตะ จนเจริญเป็นอนุตระ สอุตระ จนเป็นสมาหิตะ อสมาหิตะ เป็นวิมุติ อวิมุติ
เพราะฉะนั้น โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าคือ รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน อธิบายเจตสิกต่างๆได้ โดยเฉพาะเจตสิกที่เป็นเวทนา เวทนา 108 แล้วก็แบ่งออกเป็น โลกียะคือ เคหสิตะ เวทนา ทำให้กิเลสออกได้เรียกว่า เนกขัมมะสิตะเวทนาอีก 18 จนสำเร็จถึงอุเบกขาทุกทวาร
สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ 3 อย่างกับอีก 6 ทวารเป็น 18 ตาก็ 3 สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ หูจมูกลิ้นกายก็ 3 ทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ เพราะฉะนั้นกิเลสเกิดใน 6 ทวาร แล้วก็ไปยึดเป็นสุข ไม่เอาทุกข์ไม่ชอบทุกข์ แต่ไม่มีวิธีทำให้ทุกข์หมด ไปเข้าใจว่าทุกข์ เอาความทุกข์ออกแล้วจะเอาความสุขมันผิดมันเป็นมายา นี่คือประเด็นที่เข้าใจผิด ไม่เข้าใจว่าสุขทุกข์นี้แยกไม่ออกมันเป็นมารตัวเดียวกัน มารตัวหลอกว่าสุข แท้จริงแล้วตัวเองเป็นตัวทุกข์ หลอกว่าเป็นสวรรค์แต่แท้จริงตัวเองเป็นนรก ไปหลอกว่า ตัวเองเป็นพระเจ้า แต่ตัวเองเป็นซาตาน มันแยกไม่ออกว่าเป็น 2 คือเทวะ 2 ฉะนั้นแยกไม่ออกก็เลยตีทิ้งมันทั้ง 2 อันเลย นี่คือศาสนาพุทธ
ขอผ่าน เข้าเนื้อหาที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส
ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4 ประการ
ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่
4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?
-
ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอด เยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.