650525 ใครคือผู้ถึงแก่น ใครเป็นผู้หลงกิ่งใบดอกผล พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1DJHgZBSnbUbrAlQTnhyiNDJksZI2qGLiONdvc8BQOeI/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/16iG8amkXPVPm6Rk-qTlMI3HPl6qNjOqm/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/_UTd8V9gERE และ https://fb.watch/ddUoHJv2KB/ สมณะฟ้าไท…วันนี้วันพุธที่ 25 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศกสถานการณ์โควิด ตอนนี้ก็ยังระบาดกันมีทั้งที่แสดงอาการและไม่แสดงอาการ และยังมีโรคระบาดใหม่คือฝีดาษลิง ระบาดในต่างประเทศหลายประเทศ แต่อาการของฝีดาษนั้นน่าเกลียดกว่าโควิด ปีนี้งานอโศกรำลึก พ่อครูว่าจะเน้นแก่นเป็นหลัก ก็เอาวิมุติเป็นหลัก ฉลอง 88 ปีพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ การฉลองคือเราทำให้โลกุตระพัฒนาขึ้น ทำให้เกิดประโยชน์ตนประโยชน์ท่านมากยิ่งขึ้น พ่อครูพาสร้างอาหาร ซึ่งตอนนี้โลกกำลังขาดแคลนอาหาร พ่อครูว่า…SMS วันที่ 20-24 พ.ค. 2565 _ตรงเตือน นาวาบุญนิยม · เป็นความแยบยลที่พ่อครูพาปฏิบัติธรรมแบบมอซอและกินมังสวิรัติ ทำให้ได้ฝึกฝนลดละกามคุณ 5 ตั้งแต่เริ่มถือศีล 5 โดยไม่รู้ตัว ได้ทำอธิศีลข้อที่ 1 จนได้สัมผัสจิตเมตตาโดยไม่ต้องเสียเวลาท่องคำแผ่เมตตา และการที่มีชุมชนบุญนิยมให้คนได้มีโอกาสเอาแรงงานมาทำงานฟรี ได้ปฏิบัติศีลข้อที่ 2 ได้เจียนความยึดถือออกจากจิต เพราะมีกระบวนการกลุ่ม ที่บ้านราชมีครอบครัว มีเรื่องราวให้คนโสดหรือนักบวชช่วยเหลือ ช่วยเอาภาระ ได้ทำประโยชน์ร่วมกัน พอเกิดการเอาภาระคนโสดก็ลดละจางคลายในกิเลสกาม จึงตระหนักในการทำอธิศีลข้อที่ 3 ทำงานหลายคนก็ได้ขัดเกลาตัวตนไปด้วย เพราะจะมีการโดนตำหนิโดนขัดใจ การอยู่กับหมู่กลุ่มสาธารณโภคีจะค่อยๆสลายโลกส่วนตน เพราะมีการออกมาเอาภาระส่วนรวม นี่คือความลึกซึ้ง ของการได้อยู่กับหมู่ ถ้าใครชอบอยู่เดี่ยว ๆ ไม่ชอบทำงานกระบวนการกลุ่มก็ไม่แตกต่างกับคนติดนั่งหลับตาค่ะ พ่อครูว่า…ม.ซ. ย่อมาจากมองซึ้ง คนมาทำงานฟรีก็มี แต่คนที่จะมาเอาอะไรจากที่นี่อยู่ก็คือยังมีกิเลสตัณหาอุปาทานไปตามฐานะ คนที่หนาก็ยังเอามากอยู่ แต่ก็ไม่มากเกิน ส่วนใหญ่เราทำงานฟรีไม่เอาเลยก็มีเยอะกว่าคนที่จะเอา ซึ่งมีจำนวนไม่มากหรอก เป็นความรู้ที่คุณตรงเตือนเขาได้ เรียบเรียงมาอย่างสังเขปชัดเจน เป็นมรรคผลที่เจริญถูกต้องดีแล้ว _เยาวลักษณ์ วัฒนเสรีกุล · น้อมกราบนมัสการพ่อครูและสมณะสิกขมาตุค่ะ อยากถามว่าตามที่พ่อครูบอกว่าถ้าใครแยกกายแยกจิตไม่เป็น ก็จะปฏิบัติธรรมไม่ถูกต้อง อยากให้ยกตัวอย่างที่อธิบายเข้าใจง่ายหน่อยค่ะ พ่อครูว่า…เดี๋ยวอ่านจบแล้วจะขยายให้ฟัง _หิวบุญ…ทำไงดีคะ แม่เหมือนเป็นพวกหิวบุญ และบุญต้องทำกับพระสงฆ์ด้วยการถวายอาหาร ของใช้ เงิน แต่กับคนในครอบครัวคนใกล้ตัว แม่กลับไม่อยากให้อะไรใครเลย ตระหนี่ การให้ของแม่ให้กับพระเท่านั้น แต่เหมือนแม่ไม่ได้อะไรเลย นอกจากได้ทำบุญและได้พบปะเพื่อนฝูง พระบางรูป ถึงขั้นขอสิ่งของที่ไม่ควร แต่พอเตือนแม่ แม่ก็โกรธ เช่น พระขอให้โยมถวายโซฟา เอาไว้ไปจำวัดช่วงกลางวัน ลูกซื้อเก้าอี้นวดมือสองไปให้แม่ พระก็ตำหนิว่าลูกทำไม่เหมาะไม่ควร เอาของเก่ามาให้แม่ได้อย่างไร..พระรูปเดียวกัน พ่อครูมีคำสอนหรือว่าบทความอะไรที่จะนำมาสอน มาเตือนใจ คนแบบแม่ดิฉันได้บ้างหรือไม่คะท่าน พ่อครูว่า…นี่เห็นไหมมิจฉาทิฏฐิ สรุปได้ว่าถูกพระหลอกล้วงกระเป๋า เก่งนะ อาตมาคงไม่มีฝีมือไปสอนแม่คุณหรอก เท่าที่ดูแล้ว มันติดลึก ติดหนัก ติดตื้น ติดทั้งตื้นทั้งลึก ติดหนัก ยังไม่เข้าใจแม้แต่เรื่องคำว่า ทาน ของที่ควรทานแก่สงฆ์ อะไรที่เป็นของเหมาะสมที่ควรทานแก่สงฆ์ ให้แกสงฆ์บริจาคแก่สงฆ์ คือมันมีรายละเอียดเยอะเรื่องพวกนี้ ให้ไปอ่านหนังสือเล่มไหน อาตมาก็ว่าอ่านทุกเล่มนั่นแหละ ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าให้จับที่เวทนาเป็นหลัก _คุณฉลวย ขอให้อธิบาย สัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นความรู้รอบทั้งหมดจบ เคล้าเคลียอารมณ์จบสมบูรณ์แบบ โดยมีสัญญาเป็นตัวกำหนดให้จบสมบูรณ์แบบในเวทนา 108 และมีนิโรธสมบูรณ์แบบ พ่อครูว่า…การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านจับเป้าเข้าที่เวทนา เป็น goal เป็นเป้า เป็นที่ที่จะต้องเข้าไปถึงจิตตรงนั้น ทำจุดตรงนั้นให้ทะลุเป็นศูนย์ ศูนย์กลางหรือ ศูนย์สูญเลย อยู่ที่เวทนา ในกระบวนการสติปัฏฐาน 4 พิจารณา กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ตัวพิจารณาจริงๆอยู่ที่เวทนาในเวทนา กายในกาย ก็เป็นองค์ประกอบข้างนอกข้างในจิตและเข้าใจในเวทนาข้างนอกข้างในจิต เรียนรู้ที่เวทนานี่แหละ เมื่อเรียนรู้ในกายในจิตได้ก็จะได้รู้จักเวทนา โดยเฉพาะลึกเข้าไปหาจิต ก็จะไปเรียนรู้เจโตปริยญาณ 16 คือจิตในจิต จนกระทั่งลดละกิเลสราคะโทสะโมหะตามลำดับรายละเอียดของกระบวนการจิตกับกิเลสลดอย่างเป็นขั้นเป็นตอนไป วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ ไม่ให้เกิดกิเลสราคะโทสะโมหะแล้วเกิดเป็น สังขิตฺตํจิตตํ วิกขิตังจิตตัง … ในเจโตปริยญาณ 16 มีเป็นคู่ทั้งนั้น 1. สราคจิต (จิตมีราคะ) 2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ) 3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ) 4. วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ) 5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ) 6. วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ) 7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) . 8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) 9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) 11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) 12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) . 13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) 14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) 15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . . 16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135) ท่านสรุปลงที่ตัวปฏิบัติคือ เวทนา ผู้ใดปฏิบัติธรรมหลับตาไม่มีผัสสะ ไม่มีเวทนา เพราะมีผัสสะจึงมีเวทนา ที่เป็นฐานที่ตั้งให้ปฏิบัติ เพราะฉะนั้นพวกหลับตาคือพวกนอกรีตเป็นพวกเดียรถีย์ พวกโมฆะจากศาสนาพุทธ พูดชัดเจนไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว พวกที่เขาไม่รู้ ก็ยังมืดบอดก็ยังหลงอยู่ ไม่ฟังอาตมา อาตมาบอกความจริงทุกอย่างว่า อาตมานี่แหละอรหันต์ อาตมานี่แหละโพธิสัตว์ เขาก็ไม่เชื่อ ผู้ที่เป็นอาจารย์เขาก็ไม่กล้าพูดว่า ตัวเองเป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ เพราะเขาไม่มี อาสโภ ไม่มีความอาจหาญแกล้วกล้าที่จะพูดได้อย่างอาตมา เขาก็เชื่อได้อย่างนั้นเพราะเขามีภูมิเท่านั้น เมื่อเอาของจริงมาพูด แม้แต่จะเป็นกามนิตยังไม่เป็นเลย กามนิต ฟังธรรมอยู่กับพระพุทธเจ้าทั้งคืนไต่ถามปัญหาธรรมะกันทั้งคืน มาตามหาพระพุทธเจ้าพบกับพระพุทธเจ้าแล้วคุยกับพระพุทธเจ้าทั้งคืน พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้บอกว่า ตัวเองเป็นพระพุทธเจ้า คุยกันเสร็จแล้วตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็บอกว่า สนุกมากคุยกับท่านได้ธรรมะ ความรู้มาก เสร็จแล้วสว่างแล้วขอลา ผมจะไปตามหาพระพุทธเจ้า เหมือนกับทุกวันนี้ พระพุทธเจ้าก็ได้แต่ เออเนาะ จะไปตามหาเปลือกพระพุทธเจ้า เพราะว่าแจกเนื้อทั้งคืนแล้ว ก็ยังจะไปตามหาเปลือกนั่นแหละ ตอนนี้ทุเรียนมา ก็จะกินแต่เปลือกหนามทุเรียน ให้เนื้อทุเรียนก็ยังไม่รู้จักเนื้อทุเรียน เข้าใจไม่ได้ว่าอันนี้เป็นเนื้อทุเรียน เขาเข้าใจแต่ว่าทุเรียนคืออันที่มีเปลือกหนาๆเท่านั้น มีความรู้เท่านั้นไม่รู้จักเนื้อทุเรียน ควักเนื้อทุเรียนให้ก็ว่าอะไร ใช่ทุเรียนเหรอ ทุเรียนมันมีหนามแหลม ๆอย่างนั้นต่างหาก มีความรู้แค่เปลือกเท่านั้น ทีนี้มาพูดถึงเปลือก ก็ขออธิบาย สะเก็ด เปลือก กระพี้ แก่น เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยมในลาภและความสรรเสริญ เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า เรามีลาภสักการะและความสรรเสริญ ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ไม่ปรากฏ มีศักดาน้อย. เขาย่อมมัวเมา ถึงความประมาท เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น เมื่อเป็นผู้ประมาทแล้วย่อมอยู่เป็นทุกข์ เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นอยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยเสก็ดไปเสีย ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น… มหาสาโรปมสูตร ล.12 ข.347-352 ศีลเป็นสะเก็ด สมาธิเป็นเปลือก ปัญญาเป็นกระพี้ วิมุติเป็นแก่น ดอกใบผลเป็นลาภสักการะสรรเสริญ ในกระบวนการของโลก พระพุทธเจ้าท่านเปรียบธรรมะเหมือนกับต้นไม้ ผู้ที่จะได้แก่น ของต้นไม้ แก่นนี้คือวิมุติ ปัญญาคือกระพี้ สมาธิคือเปลือก ศีลคือสะเก็ด นี่คือต้นไม้ และผู้ที่มาบวช มาบวชเพื่อต้องการหาแก่นคือหาวิมุติ คือนิพพานของต้นไม้ แต่เสร็จแล้วมาเจอต้นไม้ ไม่เห็นต้นไม้แม้แต่สะเก็ดก็ไม่เอา ไปเอาใบเอาดอกเอาผล คือลาภยศสรรเสริญสุข อยู่ข้างบนนู้น พวกพญาครุฑทั้งหลาย ตาสูงนะพวกนี้ ไม่มองต่ำ เหมือนมีคนสองคน ไทยกับฝรั่งไปเดินที่สนามหลวง คนไทยมองเห็นกองขี้อยู่ข้างหน้า คนไทยจะพูดขี้ก็ดูหยาบ เลยพูดว่า มูลๆๆ คือมูลขี้สัตว์ ฝรั่งนึกว่า มูลคือพระจันทร์ ฝรั่งก็เลยมองไปข้างบน เดินไปก็เหยียบขี้เลย ใครคือผู้ถึงแก่น ใครเป็นผู้หลงกิ่งใบดอกผล ในพุทธศาสนา ๑๐. จูฬสาโรปมสูตร อุปมานักบวชกับผู้แสวงหาแก่นไม้ [354] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลย กระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยสะเก็ดไปเสีย ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น บุรุษผู้มีจักษุเห็น เขาผู้นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษผู้เจริญนี้ ไม่รู้จักแก่น ไม่รู้จักกระพี้ ไม่รู้จักเปลือก ไม่รู้จัก สะเก็ด ไม่รู้จักกิ่งและใบ จริงอย่างนั้น บุรุษผู้เจริญนี้ มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยสะเก็ดไปเสีย ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา หรืออีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือกไปเสีย ถากเอาสะเก็ดถือไป สำคัญว่าแก่น. บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาผู้นั้นแล้วพึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษผู้เจริญนี้ ไม่รู้จักแก่น ไม่รู้จักกระพี้ ไม่รู้จักเปลือก ไม่รู้จักสะเก็ดไม่รู้จักกิ่งและใบ จริงอย่างนั้น บุรุษผู้เจริญนี้ มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือกไป เสีย ถากเอาสะเก็ดถือไป สำคัญว่าแก่น และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขาจักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา. หรืออีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ไปเสียถากเอาเปลือกถือไป สำคัญว่าแก่น. บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาผู้นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษผู้เจริญนี้ ไม่รู้จักแก่น ไม่รู้จักกระพี้ ไม่รู้จักเปลือก ไม่รู้จักสะเก็ด ไม่รู้จักกิ่งและใบ จริงอย่างนั้น บุรุษผู้เจริญนี้ มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ไปเสีย ถากเอาเปลือกถือไป สำคัญว่าแก่น และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา. หรืออีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มี แก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่นไปเสีย ถากเอากระพี้ถือไป สำคัญว่าแก่น. บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาผู้นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษผู้เจริญนี้ ไม่รู้จักแก่น ไม่รู้จักกระพี้ ไม่รู้จักเปลือก ไม่รู้จักสะเก็ด ไม่รู้จักกิ่งและใบ จริงอย่างนั้น บุรุษผู้เจริญนี้ มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่นไปเสีย ถากเอากระพี้ถือไป สำคัญว่าแก่น และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา. หรือ อีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ตัดเอาแก่นนั้นแหละถือไป รู้อยู่ว่าแก่น. บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขา ผู้นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษผู้เจริญนี้ รู้จักแก่น รู้จักกระพี้ รู้จักเปลือก รู้จักสะเก็ด รู้จักกิ่งและใบ จริงอย่างนั้น บุรุษผู้เจริญนี้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ตัดเอาแก่นนั่นแหละถือไป รู้อยู่ว่าแก่นและกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขาจักสำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด. [355] ดูกรพราหมณ์ ฉันนั้นเหมือนกันแล กุลบุตรบางคนในโลกนี้ มีศรัทธาออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ด้วยคิดว่า เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะทุกข์ โทมนัส อุปายาส ท่วมทับแล้ว ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า ไฉนหนอ ความกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ. เขาบวชอย่างนั้นแล้ว ยังลาภสักการะและความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น. เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยม ด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น. เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญอันนั้น เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่าเรามีลาภสักการะและความสรรเสริญ ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ ไม่ปรากฏ [หรือมีคนรู้จักน้อย] มีศักดาน้อย. อนึ่ง เขาไม่ยังฉันทะให้เกิด ไม่พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่าและประณีตกว่า ลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อน ท้อถอย เปรียบเหมือนบุรุษคนนั้น ที่มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยสะเก็ดไปเสียตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด. ดูกรพราหมณ์ เราเรียกบุคคลนี้ว่า มีอุปมาฉันนั้น พ่อครูว่า… พูดตรงๆในมหาเถระสมาคม ได้แต่ลาภยศสรรเสริญสุข แบกกิ่งใบดอกผลของศาสนาไว้เต็มไปหมด เห็นอยู่ในวงการศาสนา ไม่ได้พูดใส่ความ แต่เอาความจริงที่ปรากฏจริง ที่เห็นได้ รู้ได้ด้วยกันทั้งนั้นเอามาพูดยืนยัน เพื่อให้ศึกษาความจริง ให้รู้สึกรู้สาเสียบ้าง รู้ตัวเสียบ้าง ไม่สายหรอกฟังโพธิรักษ์พูดบัดนี้ รู้ตัวก็ออกมาสลัดออกให้เห็นชัดๆเลย อย่าไปใช้ว่า ไม่ได้เอา ไม่ได้มียศอะไรหรอก เขาให้มาเฉยๆเขาให้มาครอบไว้ เราอยู่ในสังคมศาสนา เราก็ต้องมีแหละ อย่ามาเกี่ยงงอนพูดอย่างนี้เป็นอันขาด เพราะตัวเองไม่รู้ความจริง พระพุทธเจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เลิกจากพระเจ้าแผ่นดิน เลิกจากความมียศฐาบรรดาศักดิ์ เลิกจากความมีทรัพย์สินเงินทอง เลิกออกมาจริงๆเดินพระบาทเปล่า ไม่ใช่นุ่งห่มชุดครองแผ่นดิน ชุดพระเจ้าแผ่นดิน แม้แต่แต่งตัว ก็ออกมาถอดฉลองพระบาททอง ดำเนินแต่พระบาทเปล่า เสื้อผ้าใช้ผ้าบังสกุล ผ้าห่อศพ มาย้อมน้ำฝาดนุ่งห่ม ลาภสักการะของอะไรต่างๆนานาออกมาหมด นั่นคือของจริง ความจริง แต่นี่แบกกันเทิ่งๆๆ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะฟ้าไท… ก่อนเข้ารายการพ่อครูว่า ศาสนาพุทธทุกวันนี้เหลือแค่การสวดมนต์ พระต่างๆ มีแต่ลาภยศสรรเสริญสุขแล้วไปผิดศีลผิดวินัยต่างๆนานา วินัยพอรู้บ้าง แต่ก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง แล้วทำผิดศีลผิดวินัยเยอะแยะ พ่อครูพาทำชาวอโศก เขาก็ว่าเราเคร่ง เขาไม่ว่าเราหย่อนเลยนะ พ่อครูถามว่า… พวกเราเคร่งมากแล้วหรือ …(พวกเราตอบว่า.. ไม่)ไม่หรอก พวกเราไม่ได้เคร่งมากนักหรอก เป็นแต่เพียง ยังศึกษาฝึกฝนอยู่ พระพุทธเจ้าตรัสถึงว่าคนมาแสวงหาแก่น แต่ยังไม่รู้แม้แต่กระทั่งสะเก็ด ยังไม่ได้แม้กระทั่งสะเก็ด ได้แต่กิ่งกับใบ หมายถึงลาภสักการะ แล้วไม่รู้ว่าตัวเองจมอยู่ในลาภสักการะสรรเสริญ จมในยศ จมในลาภ สมณะฟ้าไท… สูตรนี้ พระพุทธเจ้าปรารภถึงพระเทวทัต พ่อครูว่า… จมในโลกธรรม ซึ่งซับซ้อนเขานึกว่าตัวเองไม่มี นึกว่าตัวเองไม่ติด ลาภไม่ได้ติด ไม่ว่าจะเป็นพระ เป็นปราชญ์ที่อยู่ในเถระสมาคมหรือพระป่าสายหลับตา เขาว่าเขาไม่ได้ติดลาภ แต่ไปดูสิ ทำทาน บริจาคกัน ใครจะได้รับการบริจาค มันซับซ้อน พระป่านี่ ไม่ต้องเอาใครหรอก หลวงปู่แสงที่พูดกันอยู่ ค้นไปค้นมา มีเงินตั้งหลายสิบล้าน ทั้งนั้นแหละ พวกนั่งหลับตา อย่างมหาบัวว่า ไม่มี ไม่ได้ติด ลาภยศสรรเสริญ แต่มหาบัวมีนิรมาณกาย ไม่ได้นึกว่ามีหรอก แต่ยึดว่าตัวเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่เอาเงินเข้ากองคลัง ใหญ่จนกระทั่งตายก็นี่ของกู นี่ของกู โดยมหาบัวไม่รู้ว่า ตัวเองเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์อยู่ แล้วบอกจะตายไม่เกิดอีก ป่านนี้คงเป็นเล็นเกาะที่หีบดอลล่าร์หรือหีบทองคำในพระคลังหลวงแล้ว คือไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้จักกามภพ ภวภพ รูปภพ อรูปภพ กามก็ไม่รู้ กินหมากปากเปรอะไม่ได้ขาดปาก กามคุณ 5 ก็ไม่รู้ตัว แถมไปหลงอรูปภพที่ว่า ทองคำนี้ฝีมือฉัน เอาเงินดอลลาร์ไปค้ำประเทศไว้นี่ ฝีมือฉันนะ ทั้งภายนอกภายในยึดเป็นตัวตนเต็มบ้อง ไม่รู้ว่าตัวเองยึดหรอก ปราชญ์ทางเถรสมาคมก็เหมือนกัน ลาภสักการะ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ลาภดูเหมือนตัวเองไม่ได้สะสม แต่จะใช้อะไรจะจ่ายอะไร มีพวกพ่อยกแม่ยกพร้อม จริง จะทำอะไร จะพิมพ์หนังสือกี่ล้านเล่ม จัดพิมพ์อย่างสวยเท่าไหร่ก็ได้ สู่แดนธรรม… ลูกศิษย์สายวัดป่า ก็จะถามพวกเราเหมือนกันว่าแล้วทางเรามี ลาภเกิด เช่น รถแบคโฮ 800 คันใหญ่มากเลยในประเทศไทยนี้ มีอยู่ 2 คัน พ่อครูว่า… อันนี้เป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์ที่ซับซ้อนซึ่งเขาไม่เข้าใจหรอก ไม่เข้าใจตรงที่ว่าทำไมอโศก ดูเหมือนมีอะไรใหญ่ ๆเยอะ ๆ มาก ๆ อันนั้นเป็นของส่วนกลาง ของแต่ละคน สมบัติของแต่ละคนนี่แหละมารวมกัน เพราะว่าตัวเราเองจะมี แบคโฮ 800 จะมีข้าวของอะไรต่างๆ จะมีโรงปุ๋ย มันเป็นของส่วนกลางทั้งนั้น ส่วนตัวบุคคลสมาชิกชาวอโศกนั้น ไม่ได้มีเงินมีทอง ไม่ได้สะสม เป็นคนจนจริงๆ แล้วเป็นคนจนที่ขยัน หมั่นเพียร สร้างสรรค์ ถึงได้มา แล้วเงินอันนี้เราเอาเข้ากองกลางสาธารณโภคีเอารายได้เข้ากองกลางสาธารณโภคีหมด มันก็เลยไปรวมอยู่ที่กองกลางเยอะ ส่วนประชาชนแต่ละคนไม่ได้สะสม นี่คือเศรษฐศาสตร์บทใหญ่ เศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คนเห็นไม่ผิด ถูก ทำไมมันมีเยอะ ก็มันมีเยอะแยะเพราะว่าคนเหล่านี้สละเอาไว้ส่วนกลาง สมมุติว่าคนในนี้มี 100 คน มีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง เงินมี 50 บาท อีกคนยึดไว้ 20 อีกคนยึดไป 10 บาท อีกคนยึดไว้สิ อีกคนยึดไว้ 5 บาท นอกนั้นแจกจ่ายคนละ 1 บาท 2 บาท ก็จะไม่มีกองกลางเลย แต่อโศกนั้น มีเงินเอาไว้กองกลางหมด กองกลางก็เลยมีเยอะ เขาดูไม่ผิด แปลว่าเขาเข้าแต่เขาเข้าใจไม่ได้ ว่าเราไม่ได้สะสมไว้ของส่วนตัว เพราะฉะนั้น ในประเทศ ถ้าหากแต่ละคนสร้างสรร เสียสละเอามาไว้กองกลาง เสียภาษี100%เลย เสียภาษีให้มากอย่างเต็มใจ คุณจำเป็นคุณก็เอาไว้บ้าง คุณมีใจเสียสละให้แก่ส่วนกลางจริงๆ ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์เลย บอกเคยพูดมาตั้งเท่าไหร่ คอมมิวนิสต์ก็ต้องการรายได้ภาษีจากประชาชนให้มากที่สุด ประชาธิปไตยก็ต้องการรายได้ภาษีจากประชาชนให้มากที่สุด แต่ใครจะไม่เห็นแก่ตัว ใครจะกินน้อยใช้น้อยไม่เปลืองไม่ผลาญไม่ถูกหลอกไปจ่ายเงินอะไรก็ไม่รู้ เสียเวลาไปนั่งดูแต่ลูกกลมๆกัน โครมๆๆๆ เฮๆๆๆ กันเต็มไปหมด ไม่นั่งทำงานอะไรเลย ไปเฮๆๆ เสียเวลา แรงงาน ทุนรอน ชิบหายไปเขาก็ไม่รู้นั่นคือเดรัจฉานวิชาคือสิ่งที่ผลาญพร่า ทำให้อดอยากทำให้ล่มจม เขาไม่เข้าใจว่าเป็นอบายมุข เป็นเดรัจฉานวิชา สู่แดนธรรม… ผมขอสรุปว่า ลาภผลที่ชาวอโศกมีเกิดขึ้นได้นั้น เป็นเพราะทำเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์แบบไม่มีตัวไม่มีตน พ่อครูว่า… ใช่ ขยันหมั่นเพียรแล้วรู้จักสาระที่จะสร้างสรรด้วย จะมีของกินของใช้ก็เป็นสิ่งจำเป็นทั้งนั้นไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย ไม่ใช่ของเปลือกผิวประเทืองอะไร ไม่ใช่ พวกเรามีแต่ของแก่นๆ สู่แดนธรรม… หากเขาต้องการยืนยันธรรมะที่ไม่มีตัวไม่มีตน เราเอาสิ่งนี้ยืนยันได้ไหม พ่อครูว่า… อโศกตัวอย่างของโลก อย่าหาว่าคุยโม้คุยตัว เศรษฐศาสตร์ก็เป็นที่หนึ่ง รัฐศาสตร์การเมืองก็เป็นที่หนึ่ง สังคมศาสตร์ก็เป็นที่หนึ่ง อยู่กันอย่างอบอุ่นสุขสบาย อุดมสมบูรณ์สุขสำราญ จนอย่างสุขสำราญเบิกบานร่าเริงใจ คนไม่เข้าใจสัจธรรมว่า มาจนแล้วมันจะมีความสุขได้อย่างไร เห็นไหมว่าเขาเข้าใจผิวเผินเหลือเกิน ไปมองว่าความจนเป็นความสุขความทุกข์ ไปมองว่าความรวยเป็นความสุข ความจนเป็นความทุกข์ ซึ่งมันไม่ใช่ มันไม่จริง คนรวยมีทุกข์จะตายนั้นมีเยอะไป คนจนนั้นเป็นสุขมากกว่าคนรวยมีเยอะไป ที่จริงความสุขเป็นมายา ความทุกข์เป็นมายา อันนี้ล่ะ เป็นโลกุตระชั้นสูงสุด อันนี้ชาวอโศกมายืนยันทฤษฎีวิเศษของพระพุทธเจ้าในเวลานี้ขณะนี้โลกในยุคนี้ก็ยังมีปรากฏความจริงให้พิสูจน์ เชิญมาพิสูจน์เชิญมาตรวจสอบได้ คุณมีปัญญาพอจะตรวจสอบไหมล่ะว่านี่คือโลกุตระ เขาสงบ เขาสุข เขาอบอุ่น เบิกบานร่าเริงจริง คุณจะมีปัญญารู้จิตของคนอย่างพวกคุณไหม จิตของพวกคุณเบิกบานร่าเริงเป็นอยู่สุขสบาย เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) สุดยอดแห่งความสงบคือ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เพราะจิตมันบริสุทธิ์จากกิเลสหมดแล้ว ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เพราะฉะนั้นมีความขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) ธูตะคือองค์แห่งการตรัสรู้ แต่เพราะไปแปล ธุดงค์เป็นการออกป่า ก็เลยเพี้ยนไปหมด ธุดงค์คือได้ออกป่า อาตมาอ่านอัมพัฏฐสูตร ยังไม่ถึงจุดเสื่อมของศาสนาเลย ความอวิชชา ความโง่ ความไม่รู้มันยังครอบครองชาวพุทธ แม้ชาวพุทธเอง เป็นโลกุตรธรรม ซึ่งเป็นธรรมะที่เหนือโลกอื่นๆเขาหมด แต่ไม่ได้หมายความว่าคนไทยชาวพุทธไม่มีความรู้หรอกโลกุตระ ชาวอโศกมีและปฏิบัติมีตัวอย่างปรากฏ มีตัวตนบุคคลในชุมชน มีสังคม มีวัฒนธรรม เอาหลักอะไรมาจับ สาราณียธรรม วรรณะ 9 พุทธพจน์ 7 มาจับ ไล่เรียง ชาวอโศกมีธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสไว้เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์จริงไหม มาตรวจสอบได้ พูดไปเหมือนท้าทาย แต่อยากให้มา เอหิปัสสิโก ไม่ถึงกับท้าทายหรอก เชื้อเชิญให้มาดูว่าตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า ตรงตามพระไตรปิฎกนะ แม้ที่สุดเป็นคนที่ยอดขยันในวรรณะ 9 คือไม่สะสม อปจยะ แล้ววิริยารัมภะ ปรารภความเพียร ขยัน ทำกินทำใช้พอเพียง ทำให้เกินกินเกินใช้ ปลูกให้คนอื่นเขากิน ไปออกไปดูได้ สงสัยจะปลูกให้ถึงตลาดวารินให้คนเขากิน เขาคงคิดว่า ทำไมแรงงานมีมากหรือ ถึงไปปลูกให้คนอื่นเขากิน มีตำรวจดาบวิชัย ปลูกต้นตาล พวกเราปลูกต้นไม้อื่นที่กินได้ด้วย ตอนนี้ก็มีฟักทอง มันเปลี่ยนแปลงพันธุ์มาจาก ฟักทอง บัตเตอร์นัท ก็มาเปลี่ยนแปลงเป็นลูกกลมๆ เราทำให้เป็นโดยไม่ได้เจตนา ลาภสักการะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอันนี้คือใบและกิ่ง แล้วก็แบกกันอยู่กับใบและกิ่ง แม้แต่ศีลทุกวันนี้ก็พูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เขาก็ไม่รู้เรื่อง พูดกันแต่วินัย 227 ข้อ พวกที่เรียนกฎหมายมาจะรู้ว่า จะมีกฎหมายแพ่งกฎหมายอาญากฎหมายแม่กฎหมายลูก เขาก็เรียนกันมา ศีลคือ กฎหมายแม่ วินัยคือกฎหมายลูก ก็ไม่รู้ กฎหมายลูกหรือวินัยมันมีโทษ ส่วนศีลนั้นไม่มีโทษหรอก ออกบัญญัติไว้เป็นกลางกลาง ไม่ได้ระบุโทษ เป็นต้น ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเป็นโลกุตรธรรม มันเหลือโลกียธรรมที่เละเทะ เลอะเทอะ จะว่าไปแล้ว ศาสนาเทวนิยมเขาก็เคร่งกับหลัก ธรรมะของพระศาสดา ซึ่งพระศาสดาก็ไม่เชื่อในตัวเอง ว่าความรู้ทั้งหลายแหล่ ตัวเองได้สั่งสมมาเป็นบารมีของตัวเอง สั่งสมมาในแต่ละชาติ เสร็จแล้วก็เป็นความรู้ที่ตัวเองมีแล้วเอามาประกาศ ก็ไม่เชื่อตัวเอง ไม่รู้จักตัวเอง เป็นความรู้ยอด จริง..เป็นความรู้ที่สูงที่คุณสะสมมาแต่ละชาติ แต่ก็มีอีกอย่าง หากบอกว่าตัวเองเป็นเจ้าของ คนก็จะไม่นับถือ แต่ถ้าบอกว่าเป็นของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ เพราะคนมันชอบหลอกสิ่งที่ไม่รู้จัก ของที่ไม่รู้จักและเชื่อสิ่งที่ไม่รู้จักว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่รู้จักสิ่งที่แจ้งชัดเจนไม่ค่อยเชื่อ เพราะฉะนั้น ศาสนาในโลกจึงมีศาสนาที่คนไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่ค่อยรู้ความจริงอย่างสมบูรณ์แบบ เหมือนพระพุทธเจ้าเหมือนกับศาสนาพุทธที่รู้รอบจนกระทั่งรู้ว่า จิตวิญญาณคืออะไรอัตตาคืออะไรและสุดท้าย จะมีอัตตาไปต่อ ก็เป็นอัตตาที่ดีตามที่เขาต้องการ รู้จักดีรู้จักชั่วแล้วทำแต่ดีไม่ทำชั่วเลย อย่างแข็งแรงถาวรมั่นคงด้วย ไม่ต้องหมุนกลับลงมาทำชั่วอีก หมุนไป ชั่วไปดี ดีไปชั่วอีกไม่มีเลย แต่ของ พระพุทธเจ้า ไม่หมุนกลับ ไม่มีชั่วอีกเลย มีแต่ดี แต่เรียนรู้ สุขทุกข์ ที่เป็นตัวเทวะ เป็นตัวมายา เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนจริงๆแท้ๆเป็นอนัตตาเป็นของปรุงแต่ง เป็นสังขารเท่านั้น สังขารที่ปรุงแต่งกันอยู่ เริ่มตั้งแต่ 2 ธาตุ เมื่อปรุงแต่งกันนับเป็นชีวะ ก็เลยเป็นประธานของตัวเอง ISH ตัว S H ก็คือพลังงานตัวบวก พลังงานตัวลบ พลังงาน อิตถีภาวะ และ ปุริสภาวะ แล้ว อุปาทานคือ I รวมแล้วเป็นวิญญาณ อยากรู้ก็ต้องมาเรียนแยกนามแยกรูป คือตัวรู้กับสิ่งที่ถูกรู้ มาปรุงแต่งกันขึ้นก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นอีกตัวหนึ่ง ก็จะมีตัวธาตุปัญญาที่เป็นตัวไม่มีตัวตนเป็นประธานรู้ เพราะฉะนั้นอยากรู้ก็ต้องไปมีสัมผัส มีผัสสะ แล้วก็จะเกิดอายตนะ เกิดสิ่งที่ไม่มีตัวตนเหมือนกัน อายตนะไม่มีตัวตนหรอก เกิดในปัจจุบันที่กระทบสัมผัสและเกิดอาการ ในอาการอายตนะนี่แหละ มันจะมีอะไรบรรจุอยู่ในนี้ทั้งนั้นเลย บรรจุอยู่ทั้งหมดเลยตั้งแต่ รูปกับนามแล้วก็มีนามกับอรูป แล้ว ก็มีความรู้ปัญญาอยู่ในนี้หมดเลย รู้ว่าไอ้นี่น้อยไอ้นี่ใหญ่ ปริตตัง อัปปมาณา จะรู้ว่ามันประกอบไปด้วยเปลือกเนื้อใน เนื้อในอย่างนี้ดีหรือไม่ดี สุพรรณะ ทุพรรณะ รู้ลำดับที่แตกต่างละอียดละออ ใน อภิภายตน 8 ซึ่งมันยาก ผู้ที่มีภูมิเป็นอภิภูจึงจะเรียนรู้ได้ ระดับ 8 ที่อธิบายกันอยู่อย่างนี้ยังไม่อยากจะข้ามไปถึงขนาดนั้น อธิบายลงมาหาแค่ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียะสุข ซึ่งมันเป็นเปลือก ลาภสักการะ เป็นแค่กิ่งกับใบของต้นไม้ ความเสื่อมของศาสนาพุทธทุกวันนี้ 2,500 ปีที่ผ่านมา จึงเสื่อมจนไม่รู้จะพูดอย่างไร อาตมาเกิดมามากอบกู้เอาโลกุตรธรรม สถาปนาลงไปในพุทธ ทำงานมา 50 กว่าปีเข้าไปแล้ว ก็ได้เท่านี้ เอ๊าะเจ๊าะ แค่ ราชธานีอโศก อยากได้คน 1,000 มาตั้งนาน จึงลดลงมาเหลือสัก 777 ก็ยังไม่ถึงเลย สร้างมาตั้งแต่พ.ศ. 2537 แต่แค่นี้ก็เป็นแก่น เพราะมีวิมุติ เพราะมีสะเก็ด มีเปลือก มีกระพี้ มีแก่น คนตาดีจะเห็นว่ามี สะเก็ดคือศีล คนตาดีจะเห็นว่าในอโศกมี เปลือก มีกระพี้ มีแก่นคือวิมุติ เพราะฉะนั้น คนตาไม่ดีจะไม่เห็นแต่ก็อาจจะพอรู้ ว่า ถ้าจะเอาศีลต้องไปที่อโศก พวกนี้มันยึดศีล แต่เขาจะมองไม่เข้าใจว่าศีลเป็นคุณค่าอันประเสริฐ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) แก้ปัญหาเศรษฐกิจสังคมประเทศด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา สมณะฟ้าไท… เขาไม่รู้ว่าคนมีศีลต้องมีสมาธิด้วยใช่ไหม เขาแยกศีลสมาธิปัญญากัน จะเอาสมาธิต้องไปธรรมกาย จะเอาปัญญาต้องไปที่สวนโมกข์ ถ้าคนไม่รู้ว่าจะมีศีลสมาธิปัญญาต้องเป็นองค์รวม ผู้มีปัญญาต้องมีศีล พ่อครูว่า… ในกิมัตถิยสูตร ศีล มีอานิสงส์ ตั้งแต่ไม่เดือดเนื้อร้อนใจไปจนถึงวิมุติ เป็นอรหัตตผลไปโดยลำดับ เขาแยก ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ ออกจากกัน เพราะฉะนั้นเอาแต่แค่ลาภสักการะสรรเสริญ กับ ผู้ที่วางแล้วซึ่ง ลาภสักการะสรรเสริญแต่คนที่วางแล้วไม่เอาแล้ว ไม่เอายิ่งได้ ไม่มี ยิ่งมี เหมือนกับคนที่บอกว่ามันมาจนอย่างไร เห็นมันรวยจะตาย ตามหลักเศรษฐศาสตร์ของมันมีจำกัด แต่คนแย่งกันไปหมดเลย คนที่เก่งก็เอาไปกองใหญ่ คนไม่เก่งก็ได้บ้าง แต่ที่ไม่เก่งมีเยอะ เป็นหนี้จนเป็นหนี้ เพราะฉะนั้นแก้ปัญหาเศรษฐศาสตร์แก้ปัญหาเศรษฐกิจให้คนมารวย จ้างก็แก้ให้ตายชัก ให้ตายยังไงก็ไม่มีทางสำเร็จ ต้องมาแก้ปัญหาให้เศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจของคน ต้องมาแก้ให้คนมาจน แล้วคุณจะแก้สำเร็จ ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านตรัส แต่ไม่มีใครรับช่วงได้ บอกว่ามาขาดทุนคือกำไร มาเอาแบบคนจน ที่เราก็เอาคำตรัสของในหลวงมาเปิดๆๆ คนฟังเขาไม่กล้าตำหนิในหลวง ไม่กล้าตำหนิว่า ในหลวงเป็นคนวิปลาส มันเป็นอย่างนั้น คนที่เคยได้ยินได้ฟัง ถึงว่าจะมีธรรมิกราช 2 องค์ คนจะเชื่อในหลวงมากกว่า คนไม่เชื่อโพธิรักษ์ มันก็เป็นธรรมชาติของจริง อาตมาพูดกับสัจธรรม อาตมามีหน้าที่เปิดเผยความจริง คนก็หมั่นไส้ อาตมาพูดความไม่จริงไม่เป็น จะพูดเล่นพูดหัวอย่างไรก็มีแต่ความจริง แต่เขาฟังไม่เป็นเขาก็ฟังแค่ผิวเผินว่าพวกนี้มันคุยตัว อาตมาจะไปคุยทำไม เพราะอาตมามีอยู่ในตัวอยู่แล้ว จะโอ้อวดทำไม เพราะว่าเอาของตัวเองที่มีมาเปิดเผยเท่านั้น อาตมาไม่ได้อวดอะไร แต่เอาของจริงที่มีมาแผ่ให้รู้ให้เห็นอยู่เรื่อยๆ จะให้อาตมางอไม้งอมือไม่ต้องพูดไม่ต้องแสดงอะไรเลย อาตมาตายดีกว่าอยู่นั้น อาตมามีหน้าที่นำความจริงมาเปิดเผย อาตมาไม่มีงานอื่น มีแต่งานเอาความจริงมาเปิดเผยสาธยายอุเทศ นิเทศไป ไม่ใช่แค่พูดเท่านั้น แต่พากันทำให้รู้ พากันปฏิบัติจนกระทั่งเกิดจริง จนกระทั่งคุณบรรลุ บรรลุแล้วจะมาเป็นอย่างนี้ได้ จะมาเป็นสังคมสาธารณโภคีได้ เป็นสาราณียธรรม 6 อยู่กันอย่างมี เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา อยู่กันอย่างร่วมกัน ช่วยกันกินช่วยกันใช้ไม่ขี้เหนียวไม่หวงแหน แหนแหนเผื่อแผ่่เลี้ยงดูกันไป นี่พิสูจน์ความจริง ทนโท่ อยู่อย่างนี้ เปิดเผยคนทั้งโลกเลย อย่าว่าแต่คนไทย คนไทยยังไม่ค่อยเห็นโลกุตรธรรมของ พระพุทธเจ้า แล้วจะให้คนต่างชาติ เทวนิยมมาเห็นก็ยากกว่าอีก ซึ่งคนไทยก็มากันแค่นี้ ได้เท่านี้ก็ดีแล้ว ก็ดีกว่าไม่ดี สู่แดนธรรม… โลกุตระไม่ใช่ของที่เป็น mass พ่อครูว่า… ใช่ ของเราไม่ใช่ของดาษดื่น ไม่ใช่ปริมาณ แต่เป็นของคุณภาพ ไม่ใช่ Quantity แต่เป็น Quality ไม่เป็นสาธารณะของคนทั่วไป ไม่สาธารณะในปุถุชน มันเป็นได้กับอาริยชน ไม่ได้เป็นดาษดื่นกับปุถุชน ปุถุชนสามารถรู้ได้แต่ทำไม่ได้ แต่ที่เขาไม่รู้อย่าว่าแต่ทำเลยเขาก็มองอย่างดูถูกดูแคลน คนที่เขาพอรู้ว่าถูกต้องแต่เขายังทำไม่ได้ คนนี้ก็ยังดี เพราะฉะนั้นเราพิสูจน์ตนเองนี้ซับซ้อนมากเลย ทุกวันนี้อาตมาพาทำ ทำไปเถอะ ค่อยๆทำไป แล้วคนจะค่อยๆเข้าใจ สังเกตว่า คนย่านนี้ ทุกวันนี้ เกรงใจพวกเรา เพราะเขาได้รับการเผื่อแผ่เกื้อกูลจากพวกเรา ไม่ใช่เราอยากจะอวดอ้าง อยากจะทำเบ่งทำข่ม แต่เราเต็มใจเราเหลือเฟือ ทำได้เพราะเรามีเหลือเฟือ ของเราเองภายในมีพอกินพอใช้เหลือเฟือภายในมีแรงงานออกไปทำเผื่อแผ่ ค่อยๆทำไปแล้วค่อยๆเห็นภาพ เห็นความจริงไป แล้วมันค่อยๆเป็นรูปเป็นเรื่อง เป็นเรื่องเป็นราว เป็นรูปธรรมที่เขาจะสัมผัสได้ แล้วต้องใช้เวลา ที่เขาจะค่อยๆเข้าใจ ว่าอันนี้อย่างนี้หรือ พระพุทธเจ้าพาเป็นพาทำพามาศึกษา มาทำตนให้เป็นอย่างนี้ คือความเจริญ คือมนุษย์สูงส่ง อาตมาพูดไม่รู้กี่ทีแล้วว่า พระพุทธเจ้าก็คือคนคนหนึ่งเหมือนกับพวกเราทุกคน แล้วท่านก็พัฒนาบารมีของท่านจนกระทั่งสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้า เกิดมามีช้อนเงินช้อนทองเกิดมามีพร้อม เสร็จแล้วท่านทิ้งหมดเลย ลงมาเป็นเหมือนกับพวกเรา และยากจนกว่าพวกเรา คุณว่า คุณยากจนกว่าพระพุทธเจ้าไหม พระพุทธเจ้ายากจนกว่า ท่านลงมาจากความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน มานอนโคนไม้โคนไร่ ไม่มีบ้านช่องเรือนชานของตัวเอง ไม่มีทรัพย์ศฤงคาร มีผ้าห่อกาย 3 ผืน รองพระบาทก็ไม่มี อะไรพวกนี้ ซึ่ง มันไม่ใช่เรื่องแกล้ง ไม่ใช่เป็นเรื่องพูดเอาเท่ห์ ดราม่า อวดโชว์ ไม่ใช่ มันเป็นเรื่องจริง ไม่เหมือนชัชชาติเลย เอ้า!จริงนะ ไม่ได้สร้างภาพไม่ได้วางแผนทุกอย่าง แต่ คุณชัชชาติเขาสร้างภาพ วางแผนไว้ทุกอย่าง เขาก็ได้ ก็ต้องยอมเขา แต่พวกเรานี้ไม่ใช่ อย่างที่เขาเป็น คนละแนว คนละแบบ แต่คนไทยกำลังหลงวิธีการแบบคุณชัชชาติซึ่งได้มาจากต่างประเทศ เขาทำมาก่อนแล้ว คนไทยยังไม่เก่งหรอก แต่คุณชัชชาติเก่งและทำได้ แลนด์สไลด์เลย เพราะเขาวางแผนมาหลายปี ไม่ใช่อาตมา ข่มชัชชาติ แต่อธิบายสัจธรรมวิชาการให้ฟัง เพราะฉะนั้นทำอะไรให้เจาะเข้าไปลึกถึงสภาพสัจธรรม ความซับซ้อนอย่างคุณชัชชาติเขาทำ ทำเหมือนอย่างเป็นคนจน ทำเหมือนเป็นคนติดดินพวกนี้ แต่พวกเรานี้ทำจริงๆไม่ใช่เหมือน ชัชชาติ ทำเอาชีวิตเข้าแลกเลย ไม่ใช่ทำอย่างมีเป้าหมายจะเป็นนั่นเป็นนี่จะได้อะไรกลับมาไม่มี เพราะชัชชาติเขามีแผน เปรียบเทียบให้ฟังง่ายๆ ชัชชาติ กับ ประยุทธ์ จันทร์โอชาต่างกันคนละขั้ว ประยุทธ์นี้ลุยเลือดไปเรื่อยๆ เหมือนรสนา ไม่มีการกลัวว่าจะมีภาพไม่ดี จะสร้างภาพอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มี เพราะฉะนั้นระวังเถอะ อาตมาเตือนไว้ แลนด์สไลด์ชัชชาติ อาตมาให้สัญญาณเตือนไว้ แต่ไม่ใช่เขาไม่ทำดีนะ แต่เขามีตัวตน อธิบายสัจธรรม อธิบายธรรมะ โดยขออาศัยขอบคุณชัชชาติ ขอบคุณคนที่ถูกยกเอามาเป็นตัวอย่างโดยไม่ได้ขออนุญาต ก็ต้องขออภัย เอามายกตัวอย่างอธิบาย เพราะมันเข้าใจง่าย ยิ่งกว่าดูภาพมีตัวตนบุคคลมีพฤติกรรมจริงๆให้ยกอ้าง รูปภาพภาพนึงอธิบายได้มากมาย แต่นี่ตัวตนบุคคลมีพฤติกรรมที่เขาทำมา เมื่อยกตัวตนบุคคลขึ้นมา ตัวตนธัมมชโย ตัวตนมหาบัวก็รู้ได้ทันที เหมือนกับยกตัวอย่างคุณทักษิณคุณชัชชาติ แต่คุณทักษิณกับคุณชัชชาตินั้นไม่เหมือนกันทีเดียว ทักษิณนั้นยุคนี้ปางนี้ ไม่มีใครเป็นตัวอย่างเหมือนเท่าเหมือนในยุคพระพุทธเจ้าที่มีพระเทวทัตฉันใดก็ฉันนั้น มันสุดยอดจริงๆ แต่นี่เขายังก้ำกึ่งไม่ถึงขนาดนั้นแต่ก็ยังพอมองความต่างได้ สรุปแล้วในสารพัดทุกอย่าง มาอ่านความแตกต่างกัน อ่าน อาการ ลิงค เป็นความแตกต่าง ตั้งแต่ความแตกต่างที่เรียกว่ารูปกับนามก็ตาม ความแตกต่างของดีกับชั่วก็ตาม ความแตกต่างของสุขกับทุกข์ก็ตาม ความแตกต่างของโลกียะกับโลกุตระ นี่แหละ เป็นสมบูรณ์สุด ศึกษาไปเถอะค่อยๆศึกษาไป เมื่อเรียนรู้โลกุตระ ก็จะรู้โลกียะทั้งหมดว่าคือสภาพคู่ แล้วเขาจัดการกับสภาพคู่นี้ได้ เขาแยกกายแยกจิตไม่ได้ ทำไมต้องแยกกายแยกจิต ขั้นแรกต้องเข้าใจเสียก่อนว่ากายคืออะไรอย่างสัมมาทิฏฐิ ถ้าเข้าใจกายไม่สัมมาทิฏฐิเรียกว่าไม่พ้น สักกายทิฏฐิ แล้วกาย เขาให้อ่านที่ตน มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนังของตน เป็นต้น แล้วมาแยกอีก แยกให้รู้ว่า เมื่อไหร่ผมก็ดี ขนก็ดี ฟันก็ดี หนังก็ดีเล็บก็ดี จะเอาอย่างใดอย่างหนึ่งมาแยกกันได้ แต่อาตมาชอบเอาเล็บมายกตัวอย่าง อธิบายสู่ฟัง เล็บเรา ต้องแยกกายแยกจิต เมื่อไหร่เป็นกาย เมื่อไหร่ไม่เป็นกาย เมื่อไหร่มีชีวะ เมื่อไหร่ทำชีวะให้เป็นพีชะก็ได้ อุตุก็ได้ ให้มีกายก็ได้ไม่มีกายก็ได้ นี่คือความสำเร็จ สมณะฟ้าไท… สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin25 พฤษภาคม 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:650523 พุทธานุสสติ และอัมพัฏฐสูตร รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 39 NextNext post:650527 สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ สติ สันโดษอันเป็นอาริยะ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024