650523 พุทธานุสสติ และอัมพัฏฐสูตร รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 39
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1kINGc5HeEF9IvbX4yq2HII447VO3n8_BNGZyxo0ShMA/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1ZQMnYReVfBV8GuJPLqanouNYDygMKak-/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/xbJppR05reg
และ https://fb.watch/dbf6STK8Dj/
_สู่แดนธรรม…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก สังเกตหลังๆนี้พ่อครูแสดงธรรม ไม่ค่อยได้ตีระฆัง ไม่ค่อยได้นิมนต์จิบน้ำ สื่อให้เห็นว่า พ่อครูมีสุขภาพที่ดีขึ้น
พุทธานุสสติ หมายถึงอะไร
พ่อครูว่า…มีคำถาม..(ไม่บอกชื่ออีกแล้ว)
_ท่านครับขออนุญาตถามประเด็นธรรมนะครับ_พุทธานุสสติ_หมายถึงอะไรครับ
พ่อครูว่า… ตามพยัญชนะก็บอกชัดๆว่า เป็นการระลึกถึงพระพุทธ พระพุทธ เราก็หมายถึงพระพุทธเจ้า ถ้าหมายถึงพระพุทธเจ้าในรูปธรรม ก็เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ถ้าหมายถึงคุณธรรม นี่ล่ะยิ่งใหญ่ ระลึกถึงคุณธรรม เรียกเต็มๆว่าพุทธคุณของ พระพุทธเจ้า
พุทธคุณแท้ๆที่ท่านสรุปยอดไว้ก็คือวิชชาและจรณะ เป็นผู้ที่เข้าถึงหรือบรรลุวิชชาและจรณะ เป็นผู้ที่เป็นเจ้าของวิชชาจรณะ
จรณะคือ การประพฤติ วิชชาคือความรู้ ที่เป็นความรู้โลกุตรธรรม โลกุตรธรรมมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นผู้ตรัสรู้ หรือเป็นของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของศาสดาใดๆเลยในโลก ถ้าของพระพุทธเจ้าก็คือ วิชชาจรณะสัมปันโน
แต่ถ้าเป็นของศาสดาอื่นๆมากมายก่ายกองที่เป็นเจ้าของศาสนาเทวนิยม ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอเทวนิยม อเทวนิยมหมายความว่า รู้จักเทวฺ ความเป็นเทวฺ ถ้วนรอบหมด และได้ทรงพิสูจน์แล้วว่า เทวฺ ซึ่งแปลว่า 2 หรือเทวฺหมายถึงจิตวิญญาณตั้งแต่น้อยจนถึงยิ่งใหญ่ที่สุด
ยิ่งใหญ่ที่สุดถึงขั้น ทางศาสนาเทวนิยมเขาไม่รู้จัก ว่า เจ้าของความรู้นั้น อยู่ที่ไหน เจ้าของความรู้ลึกลับก็ถือว่าเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในความเป็นเจ้าของความรู้ ที่เรียกกันว่า God หรือ พระเจ้า พระศาสดาแต่ละพระองค์ไม่ได้ศึกษาสัจธรรมมาอย่างรู้ตน รู้ตัว รู้รูปรู้นาม รู้อะไรที่สัมผัสชัดเจนในความเป็นจิตวิญญาณ ในความเป็นมนุษย์ชาติ ในความเป็นความรู้จริงๆไม่ได้รู้ถ้วนรอบ เพราะเขาไม่ได้ศึกษาอย่างรู้ถ้วนรอบอย่างศาสนาพุทธ เขาก็เลยดูลึกลับ
ทีนี้ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วไม่ลึกลับ พิสูจน์ได้ จนกระทั่งที่สุดทำให้จิตวิญญาณหรือ เทวฺหรือพระเจ้า หรือเรียกไวยพจน์อีกอันว่า คำว่า อัตตา
สามารถที่จะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ มีทั้งรูปและนามในสิ่งเหล่านี้ เป็นสภาวะ 2 เสมอ เพราะเป็นชีวะ เป็นจิตนิยาม เพราะว่า เป็นของไม่เที่ยง ตั้งอยู่แล้วสุดท้ายก็สลายไป ความว่าสลายไปสูญ พระพุทธเจ้าท่านพิสูจน์ความสลายไป จนรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ว่าสลายถึงที่สุด เป็นดินน้ำไฟลมแยกธาตุจิตนิยาม หรือธาตุพระเจ้า ธาตุอัตตา แยกจากลักษณะ หรือเรียนจากลักษณะ 2 แยกเทวฺเป็น 2
ในทุกๆ 2 สารพัดประดามีทั้งหมด รู้แจ้งหมดในความเป็นเทวฺหรือความเป็น 2 ทุกสิ่งทุกอย่าง และ 2 นี้ที่ประชุมกันอยู่ ไม่ได้หมายความว่าประชุมกันอยู่นิรันดร แต่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป หมุนเวียน ในสามัญของไตรลักษณ์ก็หมุนเวียนกันไปในศาสนาเทวนิยม ไม่รู้จักความหมุนเวียน ไม่รู้จักไตรลักษณ์ ไม่ได้เรียนเลย
พระเจ้าเอง เป็นเจ้าของความรู้ และเป็นสิ่งลึกลับ พระศาสดามีความรู้ และไม่รู้ตัวเอง ไม่รู้ว่าความรู้นี้ เป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ จนได้เป็นพระศาสดา มีคนมายอมรับนับถือในความจริงอันนี้ ก็เพราะไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้รู้ตัวเอง ไม่ได้เรียนรู้ที่ไปที่มาของความรู้เป็นไปมาอย่างไร
แต่สุดท้ายรู้เหมือนกันว่า ความรู้ที่เรารู้นี้ของพระศาสดาแต่ละองค์ ความรู้ที่เรารู้นี่มันยิ่งใหญ่สุดยอด ไม่มีที่สุดเลย ไม่มีที่ไหนเทียบเท่าแล้ว ก็สงสัยว่า เอ๊ะ! อันตัวเรานี้ จะสามารถรู้ความรู้นี้หรือ มันไม่น่าจะเป็นของเรา มันเป็นความรู้ของใครน้อ! ก็ไม่กล้าที่จะบอกว่า เป็นความรู้ของตน ก็เลยเหมาว่า เป็นความรู้ของผู้ที่ให้เรามา ก็ถือว่าเป็นพระบิดา แล้วเราได้มาก็ถือว่าเป็นผู้ที่เป็นพระบุตร เป็นผู้ถ่ายทอดจากของพระบิดา
ก็เข้าใจกัน เชื่อกันอย่างนั้น แล้วก็เอามาเผยแพร่ เอามาประกาศให้คนอื่นปฏิบัติตาม ก็เป็นศาสนา จริงๆ ศาสนาเทวนิยมก็เป็นศาสนาที่รักดี ชังชั่ว ไม่ประพฤติชั่วประพฤติแต่ดี ดีจริงๆเท่าที่ศาสดาสามารถจะรู้ และพระศาสดาแต่ละองค์จะสามารถรู้ตามแนวทางของแต่ละพระองค์ จึงมีแนวคิดต่างกัน มีศาสดาหลายองค์มากมาย ตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ ตั้งศาสนาไม่ได้ แต่เขาประกาศไปว่าใหญ่ อะไรต่างๆนานาสารพัด
ก็จึงมีเยอะ นึกว่านิยมศาสนาที่มีพระเจ้าเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้ แต่มีฤทธิ์มีอำนาจ มีความรู้ความฉลาดต่างๆนานา
ทีนี้ส่วนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ตรัสรู้ความดีความชั่วที่เขาเรียนรู้ ท่านก็รู้ ไม่ใช่รู้อย่างตรรกะ คะเนคำนวณเอา แต่รู้อย่างที่มีความรู้ความเป็นอย่างนั้นได้ด้วย ดีอย่างไรเป็นได้อย่างนั้น แล้วรู้ความเป็นได้ด้วยว่า มาจากเหตุอะไรทั้งหมด
จนสุดท้าย ความรู้ว่าจิตวิญญาณ หรือพระเจ้า ก็คือสังขารธรรม ธรรมะที่ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นสภาพ รูปและนาม จับตัวกันเข้า ปรุงแต่งกันเข้า เรียกว่า สังขาร แล้วก็มาเรียกอีกคำว่า วิญญาณ ตั้งเป็นคำว่า วิญญาณ แล้ววิญญาณที่ยิ่งใหญ่ด้วยความเป็นพระวิญญาณยิ่งใหญ่ แต่ละองค์ๆของพระเจ้า ของที่พระศาสดายกไว้ แต่ไขความไม่ได้
พระพุทธเจ้ามาไขความได้ โดยรู้จักสังขารที่ปรุงแต่งกันตั้งแต่ 2 สภาพ เทวะ มากกว่า 2 ขึ้นไปอีกเยอะแยะ ปรุงแต่งกัน ปรุงแต่ง 2 ขึ้นไปจนนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น 2 สภาพที่ว่านั้นคือ สภาพ 2 ของสิ่งที่ปรุงแต่งกันขึ้นตั้งแต่รูปธรรมวัตถุ จนถึงนามธรรม พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ตั้งแต่วัตถุจนถึงชีวะ ในระดับที่ยังเป็นนามธรรมไม่เต็ม เรียกว่าพืช พีชนิยาม จนเป็นนามธรรมเต็มคือ จิตนิยาม
ก็จึงรู้ว่ามี 3 สิ่งเท่านั้นคือ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม
จิตนิยามนี่แหละ เป็นใหญ่ที่สุด เป็นประธานที่สุดในการที่จะมีสังขาร ปรุงแต่ง แล้วเกิดเป็นวิญญาณ แล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้จนกระทั่งถึงที่สุดว่า อ้อ! แม้เป็นจิตวิญญาณแล้วก็มีกรรม ทรงไว้เป็นธรรมะ ทุกอย่างก็เลยมีตัวจิตนิยามกับกรรม 2 อย่าง จิตนิยามเป็นธาตุแสดง
ทีนี้ กรรม เป็นการแสดงการกระทำของจิตนิยาม แต่ละหน่วยๆแต่ละของบุคคล
ทีนี้ภาวะที่เป็น กรรมหรือการกระทำของแต่ละคนก็เป็นของแต่ละคนเรียกว่า กัมมัสกตา กรรมเป็นของของตน แล้วกรรมนี่แหละตกทอด ตัวเองก็จะต้องทำกรรมใด ก็มีวิบากแล้วก็เป็นของตน ตนต้องรับวิบากที่ตนทำ ต้องรับกรรมที่ตนทำ แล้วจะเกิดจะตายจะเป็นอยู่ เรียกว่า กัมมโยนิ จึงเกิดกรรมเป็นของตน ตนเองจึงเป็นทายาทของกรรมตนเอง กรรมก่อนตนเองทำแล้วเป็นมรดกตกทอด ตนก็ต้องมารับมรดกตกทอดของตัวเอง แบ่งใครก็ไม่ได้ด้วย มรดกของตน แบ่งให้ลูกทางสรีระ ก็ไม่ได้ เป็นของตน
ของลูกก็ของเขา อาศัยร่างเราเกิดเท่านั้น อาศัยธาตุ DNA ธาตุเชื้อ ของเราเกิดเท่านั้นส่วนจิตวิญญาณเป็นของเขา จิตวิญญาณของใคร ก็พาตัวเองเป็นไปเรียกว่า กัมมโยนิ แล้วตกไปเป็นตระกูลของตนเอง ไปเป็นเผ่าพันธุ์ของตัวเองอีก สุดท้ายก็จบด้วย พาตัวเอง เป็นไปแล้วก็ตัวเองอาศัย
เพราะฉะนั้นในขณะที่อาศัยอยู่ ยังไม่จบ มันเหมือนกับอยู่ในสงคราม อยู่ในสมรภูมิรบเรียกว่า กัมมปฏิสรโณ สรณะ แปลว่า ประกอบไปด้วยสงคราม ก็มีสงครามเป็นที่อยู่ที่อาศัยที่พึ่ง สงครามก็เป็นทุกข์
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ตรัสรู้จริงๆเลย ก็ได้แต่ชั่วแต่บาป ก่อแต่ศัตรู ก่อแต่สิ่งที่ทำร้ายเรา มันก็มีสงคราม ไม่จบสงครามก็มีอยู่ยืดเยื้อตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้น กรรมท่านไปจบด้วย กัมมปฏิสรโณ กรรมเป็นที่พึ่งอาศัยและสรณะ คือปกติในสงครามคุณก็ได้พึ่งสงคราม จึงพึ่งความทุกข์ไปตลอดกาลนานตลอดนิรันดร ถ้าเผื่อว่าไม่มาเรียนรู้ความจริงของพระพุทธเจ้า ที่สอน ให้หมดสงครามเป็นอรณะ ไม่ใช่สรณะ และไม่ใช่แค่มรณะ แค่ตายแล้วก็ต้องเกิดอีก เป็น อรณะไม่เกิดอีกเลย ไม่มีสงครามอีก อรณะก็เป็นอมตบุคคล เป็นคนที่จะรู้แล้วว่าจะเกิดหรือตายจะแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลม ตาย ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้
สิ่งที่ขยายความมานี้ คร่าวๆนี้ สั้นๆสังเขป คือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ตรัสรู้ความรู้ความจริงอันนี้
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ตรัสรู้อันนี้แล้วแม้แต่เบื้องต้นใบไม้กำมือเดียวคือรู้จักอัตตาของตัวเอง รู้ว่ามันมีอะไรพาให้เกิด ก็อุปาทานหรือตัณหาของเราเกิด ดับอุปาทาน ดับตัณหาเสีย ก็ดับได้หมด ไม่พาเกิด
เมื่อผู้ที่เป็นอรหันต์รู้จักเหตุและดับเหตุได้ ไม่พาเกิดได้ ตายแล้วก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็จบเป็นดินน้ำไฟลมไป แต่มีผู้ที่ไม่ยอมจบเรียกว่า โพธิสัตว์ศึกษาต่อไปอีก อยากจะรู้ว่า เรานะ รู้แล้วล่ะ ไม่เกิดไม่ตายเป็นอมตะเป็นอย่างนี้ แต่คนอื่นๆล่ะ เขาไม่เกิดไม่ตายเหมือนอย่างเราได้ไหม ก็ตามศึกษา ก็จะเห็นความจริง โอ้…ไอ้ที่ไม่เกิดไม่ตายอย่างเราทำได้ยาก นอกนั้นไม่รู้ความไม่เกิดไม่ตาย ทำไม่เป็น
เพราะฉะนั้นจึงเกิดๆๆๆ ทำตายให้ตนเองไม่ได้ แต่มันต้องตาย ในรูปขันธ์ในสรีระที่บอกว่า คนไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ต้องตายแต่ตายไม่สลายจิตนิยาม ไม่บรรลุอนัตตาธรรม เป็นอัตตาวนเวียน จนกระทั่งสุดท้าย รู้สุดรู้มากมายอย่างที่เป็นศาสดา แล้วไปจบที่ศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งที่มีความรู้เป็นนิรันดร คิดว่า อัตตามันสลายไม่ได้หรอก ต้องเป็นนิรันดร
เพราะฉะนั้น ศาสดาเทวนิยมจึงตายไปแล้วอยู่กับพระเจ้าเท่านั้นเอง แล้วเขาก็ไม่รู้ว่ามีอะไรต่อ ส่วนพระพุทธเจ้าเรารู้ว่าอย่างนั้นมันอยู่อย่างนั้นก็ได้ อยู่อย่างตายแล้วก็ไม่ต่อ แต่ที่จริงนั้น ต่อ ต้องเกิดอีกตามวิบากกรรม พาเกิดพาเป็นหมุนเวียน ทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปอย่างนี้ แล้วก็จะได้ดีหรือตกยาก เพราะกรรมของตนที่ทำดีก็ดี ทำชั่วก็ทุกข์ยากลำบาก ทำดีก็สบายบ้าง ก็ได้แต่สบายบ้างเป็นสุขๆทุกข์ๆ
พระพุทธเจ้ามารู้ถึงเหตุที่ทำให้ตายเกิดเกิดทุกข์ๆสุขๆ เพราะความไม่รู้จักความจริงของจิตนิยาม พระพุทธเจ้าจึงสามารถทำจิตนิยามให้เป็น พีชนิยาม อุตุนิยามได้ จึงสามารถแยกสลายเป็นอุตุนิยามได้จริง สูงสุดเป็นพระพุทธเจ้า รู้จักความเป็นเทว ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศาสดาทุกองค์อย่างที่ทุกองค์เป็น ได้รู้จบรู้จริงแท้ จะเป็นอย่างนั้นก็ได้ แต่พระพุทธเจ้าสุดท้ายท่านรู้และเป็นมาหมดแล้ว เป็นจนรู้แล้วว่าจริงๆอยู่ไปก็เป็นอย่างนี้ วนเวียนอยู่อย่างนี้นิรันดร เพราะฉะนั้นก็ต้องเบื่อหน่าย ท่านก็เรียนรู้ความเบื่อหน่าย จนกระทั่งไปหน่ายในการหลงปรุงแต่ง ที่เป็นโลกไม่ดี จนเป็นโลกที่ดีสุดท้ายก็สูงสุดเป็นพระเจ้า เสร็จแล้วก็ต้องเวียนตายเวียนเกิดแล้วก็ตกต่ำ ตกทุกข์ได้ดีๆ ตกทุกข์ได้ยาก อยู่อย่างนี้
เมื่อท่านรู้ว่าท่านทำให้เป็นสูญได้ ที่เขาต้องไปหมุนเวียนสุขทุกข์ ได้รับลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เสียลาภยศสรรเสริญโลกียสุข พระพุทธเจ้าก็ทรงเบื่อหน่าย เป็นมานานนับชาติไม่ถ้วนไม่รู้กี่ล้านชาติเท่านี้ ก็เลยสุดท้ายก็พอแล้ว แล้วท่านก็รู้จักวิธีที่จะแยกธาตุให้เป็นดินน้ำไฟลมได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าทุกองค์มีสมัยเดียว สร้างศาสนาพุทธขึ้นมาในโลก สมัยเดียวไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ไหนอยู่เป็นสมัย 2
เพราะว่ามันเหมือนกันหมด ทำอยู่ก็ทำอย่างนี้แหละ จะเป็นพระพุทธเจ้าเอง สูงสุดแล้วก็ตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์ ถ้าจะอยู่ต่ออีกก็ไม่เที่ยงแล้วจะอยู่ไปทำไม เราตายเสียให้เที่ยง ตายแล้วก็แยกดินน้ำลมไฟ เราก็หายไป พระเจ้าของเราก็หายไป อัตตาของเรา จิตวิญญาณปรมาตมันของเรา ก็สลายเป็นดินน้ำไฟลมหายไปเลย นี่คือที่สุดแห่งที่สุด
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสรู้อันนี้ อนุสสติ เรามาระลึกก็ระลึก เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่เราจะถ่ายทอดออกมาได้ แม้แต่ใช้คำว่า พระเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเหมือนกับพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ก็คือเราเป็นได้เหมือน จะสูงส่งเป็นพระพุทธเจ้าได้ก็เชิญ ไม่สูงส่งเป็นพระอรหันต์แล้วสลายตัวเองได้หรือเป็นโพธิสัตว์แต่ละระดับ แล้วจะสลายเมื่อไหร่ก็ได้นิพพานเป็นปริโยสาน เป็นพระโพธิสัตว์กี่ชั้น ระดับ 5 6 7 8 จนกระทั่งถึงพระพุทธเจ้า
สามารถที่จะรีไทร์ตัวเองได้ตลอดทาง แล้วคนก็รีไทร์กลางทางเยอะ จะอดทนไปจนถึงเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งนั้น สุดน่าเบื่อ แต่ก็มีคนพากเพียรจะเป็นอย่างเช่นอาตมา ยังไม่ได้คิดจะวางยังไม่ได้คิดจะเลิก จนพากเพียรมาถึงขั้นที่ 7 ก็เข้าข่ายที่จะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเที่ยงแท้ นิยตะ จนกว่าจะไปเป็นขั้นที่ 8 อีกยาวนาน สุดท้ายถึงขั้นที่ 9 เป็นพระพุทธเจ้า ก็ยังมุ่งมั่นอยู่ตอนนี้ ยังรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐเป็นสิ่งที่มีค่าเป็นสิ่งที่น่าจะรู้ ได้เกิดมาแล้วก็บำเพ็ญโพธิสัตว์มากกว่า
รู้โพธิสัตว์ระดับ 5 มา 1 2 3 4 ยังไม่รู้อะไรเท่าไหร่ รู้จบแล้วอรหันต์ ขั้นที่ 4 ก็รู้แล้ว ก็ต่อระดับที่ 5-6 จนกระทั่งถึง 7 แล้วก็จะมี 8 ก็คิดว่าโอ้โห! ไหนๆก็พากเพียรแล้วก็จะพยายามจะให้รู้สิ่งนี้แล้ว ก็ยังไม่คิดที่จะเลิกสลายตัวเอง รีไทร์ตัวเองกลางคันก็ไม่คิด จะมาก็อยู่ไปแล้วก็มีวิบาก อาตมาก็รับมาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อน
ผู้ที่เข้าใจและเชื่อที่อาตมาพูดมาและเห็นจริงเห็นดีเห็นงาม ปฏิบัติประพฤติเป็นโพธิสัตว์ตามที่อาตมาพาทำก็มีเยอะ แล้วเป็นสายปัญญา สายที่เป็นปัญญานี้เข้าใจแล้วก็บรรเทาทุกข์ได้ สายเจโตหมดทุกข์ได้ยากซึ่งก็จะอดทน
ก็ขอจบอนุสสติ จากคุณที่ไม่บอกชื่อมา
สู่แดนธรรม… พ่อครูได้รู้พุทธานุสสติเหล่านี้ได้อย่างไรครับ
พ่อครูว่า …จากวิชชาจรณะ เดี๋ยวได้รู้
สร้างเนื้อให้เหนือกว่าเปลือกจะไปได้นาน
ก็มาต่อ อัมพัฏฐสูตรที่ว่าถึงจรณะและวิชชา ที่ได้มีอัมพัฏฐมานพได้ถกกับ พระพุทธเจ้า. อัมพัฏฐะได้รับการถ่ายทอดเรียนรู้วิชชาจรณะจากอาจารย์มาจนตัวเองเป็นพราหมณ์ตั้งแต่หนุ่มๆ รู้ความรู้ ของความเป็นวิชชาและจรณะ แต่ไม่ได้ประพฤติไม่ได้เป็น ไม่ได้เป็นผู้ที่ประพฤติจนกระทั่งบรรลุ วิชชา สิ้นอาสวะไม่ได้เป็น ได้แต่ท่องจำได้เหมือนนกแก้วนกขุนทอง สั่งสอนคนก็มาก เป็นปทปรมบุคคล เหมือนอย่างในยุคนี้เป็น ปทปรมบุคคล ทั้งนั้นเลย
สายหลับตาก็นึกว่าตัวเองบรรลุได้ก่อน แต่ที่ได้จริงดับมืดเป็น อสัญญีสัตว์ นึกว่าตัวเองได้นิโรธ แต่เป็นมิจฉานิโรธ
ส่วนผู้ที่ใช้ปัญญาหรือเป็นสายปัญญาก็ยังพอรู้ว่า มันไม่ใช่นะ ก็ไม่กล้าจะพูด ก็ศึกษาไปเรื่อยๆกลายเป็นพญาครุฑ ความรู้ก็มีเยอะเลยในสายพวกศึกษา มันมาก ไม่รู้ใครต่อใครสะสมเป็นโลกจินตา เป็นความคิดของคนรอบๆมาผสมผสาน เขาก็ถือว่าเป็นความรู้หมด เลือกเฟ้น เรียกว่า สังเคราะห์เอาสิ่งที่ถูกต้องไม่เป็น ไม่เริ่มต้น ศีลสมาธิปัญญา ไม่เริ่มต้น
ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 เกิดสัทธรรม 7 เป็นฌาน 1 2 3 4 จนเป็นวิชชา 8 วิมุต ไม่ได้ทำ
มาถึงยุค 2,500 ปีของศาสนาพุทธ ก็คือ ศาสนาพุทธของทุกพระองค์แต่นี่ของพระสมณโคดมความเสื่อมมันเกิดจริง เสื่อมมากจนไม่เหลือแล้ว กระทำในศาสนาพุทธตามที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ใน อาณีสูตร ไปหลงกับผู้ที่ใช้วาทะเอาอะไรมาสอนผสมกันเต็มไปหมด
ส่วนอาตมาเกิดพ.ศ. 2477 ในช่วงอายุที่ยังไม่ถึงพศ.2513 ตั้งแต่ พุทธศาสนา 2,500 ปี อาตมาก็เริ่มเข้าหาศาสนาเข้ามาศึกษาบำเพ็ญอย่างไม่รู้ตัวจนกระทั่งรู้ตัว นี่เป็นไปตามชะตาของคน ตั้งแต่ไม่รู้ตัวจนกระทั่งถึงรู้ตัว รู้ตัวก็ประมาณครึ่งนึงของศาสนาพุทธ 2500 ถึง 2513 ครึ่งหนึ่งก็ประมาณพ.ศ. 2506 – 2509 อาตมาก็รู้สึกตัวว่าต้องบำเพ็ญต่อ
ก็ค่อยๆเป็น เป็นจนถึงพ.ศ 2512 ก็สำแดงเดชเลย ยังไม่ถึง ปี12 อาตมาก็เริ่มต้นเปิดคอลัมน์ตอบปัญหาธรรมะในคอลัมน์หนังสือธรรมะ หนังสือธรรมะของอาตมาเล่มแรกก็คือการรวมตอบปัญหาธรรมะ ก็ยังมีหลักฐานหรืออยู่ จนกระทั่งตัวเองเขียนหนังสือธรรมะจริงๆพอรู้ตัวได้ดีก็เขียน เล่มแรกก็คือ “คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก” เขียนแล้ว พ.ศ. 2517 ก็เปิดเผยด้วยการลงพิมพ์ในหนังสือสตรีสาร รายสัปดาห์ ก่อนเพื่อน จนจบ แล้วจึงมารวมเล่ม แจก พ.ศ. 2512 แจกแหลกเลย
จนพ.ศ. 2513 อาตมาก็ลาจากทางโลกมาหมดเลย เริ่มต้นตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม เขียนใบลาออก เจ้านายก็ยับยั้งไว้ จนกระทั่งสุดท้ายก็อยู่ไม่ได้แล้วอย่างไรก็จะต้องไป เขาก็เห็นว่าเราปฏิบัติธรรมเอาจริงเอาจัง ก็ต้องยอม ออกมาได้ก็ลาออก
ลาออกมาตอนแรกอาตมามีมานะอัตตาอย่างหนึ่ง มันมองไม่เห็นความจริงว่าใครจะมีโลกุตรธรรม แล้วก็อยู่กันอย่างสังคมพุทธที่เหลวเละ ก็ไม่คิดจะไปร่วมกับเขาเลย จึงคิดว่า ไปอยู่คนเดียวทำงานคนเดียว ตอนนั้นก็ กับคุณชวนไชย เตชศรีสุธี อาตมาก็ไม่เอาทางโลกแล้ว ก็คิดจะไปหาที่อยู่มีที่สัก 2 ไร่แล้วก็สร้างกระต๊อบอยู่ อยู่แค่นี้ ใครมาหาก็บอกเคยไม่มาก็แล้วไปอยู่อย่างสงบๆ
พยายามตะลอนๆหาที่ 2 ไร่ไม่ได้ มีแม่ครัว คือแม่พวงอยู่ด้วย แม่พวงก็พูดเปรยกับแม่ค้าตอนไปตลาดว่า คุณผู้ชายอยากได้ที่สัก 2 ไร่ เพื่อที่จะบำเพ็ญธรรม ก็มีแม่ค้าคนหนึ่งว่า จะไปซื้อทำไมก็ให้ไปอยู่ที่วัดอโศการามสิ นี่ เป็นเหตุปัจจัยอจินไตยจะต้องชักนำให้อาตมาต้องไปอยู่ที่วัดอโศการาม แม้ค้าคนนั้นก็บอกแม่พวง ว่า เอาไปปลูกกุฏิอยู่ที่วัดอโศการามออกไปทางชายทะเลมีที่เยอะแยะไป ใครเขาก็ไปปลูกกุฏิอยู่ มาบอกอาตมา อาตมาก็เลยไปดูก็ดูเข้าท่า
ก็เลย ไปสร้างกุฏิหลังที่เห็นนี่แหละ มีแม่พวงว่า อยากออกไปด้วยก็เลยต้องสร้างอีก 1 หลัง คอยดูแลอุปัฏฐากก็ดี ก็ออกมาด้วย ออกมารองเท้าไม่ใส่ นุ่งกางเกงขาสั้นทั้งที่เป็นดารานะ ไม่มีใครไม่รู้จักอาตมา อาตมาออกโทรทัศน์มากกว่าใครเพื่อน เพราะอาตมาทำรายการหลากหลายตั้งแต่รายการเด็ก รายการสารคดี รายการละ 30 นาที อาตมาเหมารายการมากกว่าเพื่อนจึงมีรายได้มาก แม้จะเป็นรายการเล็กๆแต่เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านได้เยอะ คนก็ต้องรู้จักเพราะมีโทรทัศน์อยู่ช่องเดียว ต่อมาก็มีเพิ่มอีกหลายช่อง วิวัฒนาการมา
อาตมามันเป็นคนที่ คนจำเป็นต้องรู้จักอาตมาเพราะอาตมาออกมาก คนจำเป็นต้องรู้ ไม่ได้เป็นดาราเอก แต่ทำมาก มากเข้าว่า คนก็เลยต้องรู้จัก ทุกวันนี้ทำงานมา 50 ปีทางศาสนา ก็ยังถือว่าไม่มาก คนก็ยังไม่รู้จักเท่าไหร่ เพราะว่ายิ่งเป็นโลกุตรธรรมยิ่งยากมากที่คนจะรู้จัก ก็มีคนรู้จักอยู่จำนวนไม่มาก อยากรู้จักเข้าใจจริงปฏิบัติตามและบรรลุผลจริงๆเป็นผู้มีมรรคผล จึงพิสูจน์ยืนยันได้จากธรรมะพระพุทธเจ้าเลยว่า
มามี วรรณะ 9 จิตเป็นพุทธพจน์ 7 จึงรวมตัวเป็นสาราณียธรรม 6 อยู่กันอย่างเป็นชุมชน สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา เป็นปรากฏการณ์จริงอยู่ทุกวันนี้
คนผู้ที่แย้งอาตมา เขาแย้งในสิ่งที่อาตมาพาทำ เป็นสังคมจริงคนจริงมีวัฒนธรรมจริงเพราะพูดจริงเป็นจริง ตรงกับตำราพระไตรปิฎกของพระพุทธเจ้า เขาก็แย้งไม่ได้ แม้จะมีจำนวนน้อยเขาก็ยังไม่ได้ เขาก็ต้องยอมให้เป็นอย่างนี้อยู่ บางคนก็รู้ว่า ต้องยอมรับยกย่องแต่ก็มาไม่ได้เขาก็อยู่ทางโน้น คนไหนพอมาได้ก็พยายามมา มันไม่ง่าย พยายามมาก็มาได้เท่านี้ก็พากเพียรไป ทำไปต่อไปเรื่อยๆ
สิ่งที่ทำอย่างเปลือกๆ โปรปากันด้าหาเสียงแบบการเมือง หรือประชาธิปไตยเปลือก กับการเมืองสารัตถะแบบเนื้อ แบบเปลือกนี่ไม่ครบ 2 ประชาธิปไตยขาเดียว แล้ว ขาเดียว เอาแต่หาเสียงกับสร้างภาพมีแต่เปลือก ส่วนพวกเนื้อ ผู้ที่ทำเนื้อได้มันจะมีเปลือก ส่วนผู้ที่ทำแต่เปลือกจะทำเนื้อไม่ได้ มันจะเห็นชัดขึ้นไปทุกทีๆ
ฉะนั้นประชาธิปไตยขาเดียวมีแต่เปลือกจะเห็นชัดเจน ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรม เหมือนทางสายตะวันตก ไม่มีสารัตถะของโลกุตระ เป็นประชาธิปไตยเปลือก ที่ชัดเจนอยู่ทุกวันนี้ที่ว่าเป็นใหญ่ก็คืออเมริกามีขาเดียวเปลือกเลือกตั้งอย่างเดียว ไม่มีเนื้อของจิตวิญญาณร่วมด้วยอันนี้ก็ยากที่จะเข้าใจ แม้แต่เมืองไทย เป็นประชาธิปไตยเนื้อ มีเปลือกหุ้ม เป็นเนื้อแท้ๆ ของความเป็นประชาธิปไตย มีแกน ความรู้ของพระพุทธเจ้ามา จนกระทั่งมาถึงวันนี้ ก็เป็นประชาธิปไตยที่มีเนื้อและก็มีเปลือกหุ้ม แต่ยังเป็นประชาธิปไตยที่ยังไม่ใหญ่ ยังเป็นก้อนประชาธิปไตยที่ไม่ใหญ่ คนก็เห็นรูปร่างไม่ได้ เพราะว่ามันยังเล็กละเอียด เกินกว่าตาสามัญของโลกโลกีย์จะรู้ได้เพราะมันเป็นโลกุตระ ก็ค่อยๆสร้างค่อยๆทำเนื้อไป
ขอพาดพิงถึงปัจจุบันธรรม ยกตัวอย่างเป็นตัวตน อาตมาไม่สงสัยคุณรสนากับคุณชัชชาติ
คุณชัชชาติเป็นประชาธิปไตยสร้างเปลือก โฆษณาหาเสียงวางแผนทำมานาน คุณรสนานี้ทำเนื้อมาโดยไม่ได้สร้างเปลือก จนกระทั่งมาวันนี้ประกาศตัวจะลงสมัครผู้ว่า จึงมีอโศกไปเป็นเปลือกให้เป็นรสนา ไปช่วยเป็นเปลือกให้รสนา อโศกก็ยังไม่ใหญ่ยังไม่มาก ก็เลยไปหุ้มรสนาไปช่วยให้เป็นรูปเป็นร่าง เปลือกก็บางๆ เนื้อก็ยังไม่มากเลย สู้ชัชชาติไม่ได้เพราะว่าเปลือกใหญ่เหมือนอึ่งอ่าง พอง สักวัน ก็เป็นตามนิทานอีสป ในนิทานก็จะต้องท้องแตกระเบิดตายเพราะมันไม่ใช่ความจริง ขออภัยอาตมาพูดสัจจธรรมให้ฟัง ไม่ได้ดูถูกดูแคลนคุณชัชชาติ แต่มันเป็นเรื่องจริงที่เป็นอย่างนั้น
เขามีวิธีการสร้างภาพ โปรโมทตัวเอง ไว้นานหลายปี เขาวางแผนมานานหลายปี แล้วไม่ต้องกลัว เขาจะต้องไปเป็นนายกฯให้ได้มันต้องผ่านตรงนี้ จึงต้องดูกันไป จึงคอยดูกันไป อาตมาไม่พยากรณ์ว่า ชัชชาติ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ อาตมาตอบได้เลยว่าอาตมาไม่รู้หรอกว่าเขาจะสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ไหม แต่จุดเป้าหมายเขาถึงแน่ เพราะเขายังอายุไม่ถึง 60 ตอนนี้ เขาเอาแน่ เขาวางทางมา วางแผนมา
แต่วิธีวางทางของเขาเป็นวิธีวางทางแบบ โปรโมท สร้างเปลือกมันเดินทางกันคนละอย่างกับรสนา ขออภัยคุณชัชชาติด้วย คุณรสนาที่มาใช้เป็น specimen อธิบายสัจจธรรมให้ฟัง ขออภัยหากถือสาแต่ไม่ได้ดูถูกดูแคลนทั้งคู่ มันเป็นลักษณะ 2 อย่าง
แต่ถ้าคุณชัชชาติรู้ตัวแล้วเร่งสร้างเนื้อให้มาก คุณจะเป็นนายกฯที่ดีเลย ตอนนี้คุณสร้างเปลือกได้ชำนาญ หากคุณหันมาสร้างเนื้อได้จะทัน เกิดปี 2509 อายุ 56 ก็ทัน อีก 4 ปีนี้ทันสร้างเนื้อได้เป็นนายกฯที่มีเนื้อมีเปลือก อย่างใช้ได้เลย ข้อสำคัญต้องเรียนรู้โลกุตระให้ได้ให้ดี จะได้เป็นนายกที่มีเนื้อของโลกุตระ ในเมืองไทยเป็นได้ เพราะมีเชื้อโลกุตระมีตัวจริงเป็นได้อย่างเช่น ชาวอโศกมีโลกุตรธรรม
สิ่งที่พูดไปคร่าวๆไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายแต่เป็นสิ่งที่ต้องปลูกฝังให้คนไทย เพราะคนไทยเป็นคน คนชาติอื่นก็เป็นคน เราก็ต้องทำสิ่งที่ดีที่สุด พระพุทธเจ้า เป็นมนุษย์ที่ดีที่สุด เรามีเชื้อแล้วเราก็ต่อเชื้อไปพัฒนาต่อยอดไป มีองค์ประกอบสิ่งผสมผสานไปเป็นของจริง
อาตมาไม่ได้ลำเอียงไม่ว่าเป็นใคร ทักษิณก็ตาม แหม อาตมาก็พยายามจะนึกถึงคนที่แย่กว่าทักษิณ มันนึกไม่ออก หรือจะเป็นคนที่เป็นนายกฯมา 29 คน พลเอกประยุทธ์คนที่ 29 ยิ่งลักษณ์คนที่ 28 ต่อลงไปเป็นสมชาย เป็นคนที่ 27 อภิสิทธิ์เป็นคนที่ 26 สมัครเป็นคนที่ 25 ทักษิณเป็นคนที่ 24
ทักษิณ สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ของทักษิโณมิกส์ มันได้เห็นเป็น โลก อจินไตย คนที่สร้างลัทธิวิธีการ แบบของดร.อาชญาวิทยา มันฉลาดซับซ้อน ใช้ทั้งอำนาจเงินทองทุนรอน ทุกวันนี้ เพียงใช้แค่ดอกเบี้ยก็ยังใช้ไม่หมด เขาก็จะตายอยู่ในกองทรัพย์สิน เป็นผู้ที่โกงได้มากมาย จนกระทั่งทุกวันนี้ เขาพูดได้แค่ว่า เขาจะไปกลัวอะไร เครื่องบินส่วนตัวก็มี บ้านช่องเรือนชานมากมายอยู่ต่างประเทศ ก็จริงของเขา จะเข้าประเทศไม่ได้ จริงๆเข้าได้ แต่ตัวเขาไม่กล้าเข้ามา เข้ามาก็ถูกดำเนินคดี เขาทนไม่ได้แน่นอน ที่จะต้องถูกจับเข้าคุก เขาก็จะอยู่นอกคุกดีกว่าเหมือนกับคนหนีคดีอยู่นอกประเทศ ไม่ยอมเข้าคุกกันทั้งนั้นก็เป็นสามัญของคนคิดทำอย่างนั้น ถ้าแน่จริงก็เข้ามาเข้าคุก ที่จริงถ้ามาตั้งแต่ก่อนก็เดี๋ยวนี้ออกจากคุกแล้ว ออกมาทำดี แต่ที่จริงเขาคิดอย่างที่จะดีไม่ได้ เพราะว่าเขาไม่ใช่คนที่จะเดินทางไปทางดี เขาก็ต้องเป็นอย่างนั้น
แต่ทีนี้ เมืองไทยเป็นเมืองใจดี ไม่โหดร้ายรุนแรง อนุโลมปฏิโลม ที่จริงตามมาเข้าคุกก็ได้ให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนก็ได้ แต่คนไทยก็ไม่ทำ ผู้ที่มีอำนาจก็ไม่ทำ คนไทยมีจิตใจเมตตาก็ปล่อยไปตามยถากรรม ที่จะเป็น
อาตมาพูดสัจธรรมอันนี้ ขออภัยทักษิณ มันเป็นเรื่องจริงของแต่ละชีวิตแต่ละอัตภาพหรือแต่ละอัตตา มันก็เป็นไปตามกรรมตามวิบาก ที่จะต้องส่งผลเป็นไป ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ากรรมวิบาก มันจะเป็นเช่นนั้น เป็นสิ่งที่ทำแล้วเป็นอันทำ หนีฤทธิ์เดชของกรรมวิบากไม่ได้ กรรมเป็นอันทำ ชั่วนิดเดียวก็อย่าทำเสียเลย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน
เข้าเรื่องอัมพัฏฐสูตร
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สู่แดนธรรม..
ลักษณะเจโตมีน้อยกว่าโพธิสัตว์ในสมัยพุทธกาล
พ่อครูว่า… ผู้ที่พบพุทธศาสนาแล้ว เห็นดีเห็นงามแล้วก็ออกมาประพฤติ หรือไม่ต้องออกมาบวชก็เป็นฆราวาสอยู่ที่บ้าน หรือออกบวช ก็เรียกว่า โภคขันธาปหายะ ญาติปริวัตตังปหายะคือตัดญาติ ตัดทรัพย์สินศฤงคารทุกอย่างทิ้งไป มาเป็นคนสูญ เปล่า ไม่มีเงินไม่มีทอง มาปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า โดยเดินตามศีล สมาธิ ปัญญา สั้นๆเรียกสิกขา 3
ศีล จะเกิดสมาธิก็ต้องมี อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วจะค่อยๆเกิด สัทธรรม 7 แล้วตกผลึกเป็น ฌาน 1 2 3 4 เป็นวิมุติ ก็สะสมวิมุติ ก็มีวิมุติเล็กหลายวิมุติรวมรอบเป็นวิมุติที่โตขึ้นไปจนเป็นวิมุติสุดท้าย หมดกิเลสอาสวะก็เป็นพระอรหันต์
เป็นอรหันต์แล้วก็บำเพ็ญเป็นโพธิสัตว์ ยุค พระพุทธเจ้ามีพระอรหันต์แล้วก็มีพระโพธิสัตว์เยอะมาก แต่ พระพุทธเจ้าท่านจะบอกว่า โพธิสัตว์ก่อนพระอรหันต์ท่านก็บอกอย่างนั้นไม่ได้ แต่ความเป็นจริงของเนื้อแท้นั้น โพธิสัตว์ เกือบจะทั้งนั้น มีสายเจโตที่จะเอาแต่พระอรหันต์ เช่น พระกัสสปะ เป็นต้น สายศรัทธา จะเอาแต่อรหันต์ซึ่งมีน้อย ส่วนใหญ่เป็นโพธิสัตว์พระพุทธเจ้าเป็นสายปัญญาแท้ๆ ซึ่งคนละขั้วกับพระกัสสปะที่เป็นศรัทธาแท้ๆ ก็เป็นสามัญคู่กัน
พระพุทธเจ้าถึงจะใช้พยัญชนะว่า ท่านช้อนช่วยพระกัสสปะ คือมีคนเห็นว่าพระกัสสปะคนละขั้ว พระพุทธเจ้าก็บอกว่า กัสสปะ มีความเสมอกับเรา จะว่าไปแล้วมันมีความสุดโต่งของสายเจโตคือยอดเจโตคือพระกัสสปะ กับยอดปัญญา คือแบบพระพุทธเจ้า ไม่มีสูงกว่านี้อีกแล้วในสายปัญญาไปยิ่งกว่านี้อีกแล้ว
พระสมณโคดม มีอจินไตยคือ ท่านบำเพ็ญมานานกว่าใคร แต่ศาสนาของท่านสั้นกว่าใครๆ ท่านบำเพ็ญมานานกว่าพระพุทธเจ้าองค์ก่อนหลายองค์ ใช้เวลานานกว่า ทำงานมาเป็นโพธิสัตว์ทำงานมา กับโลกกับมนุษยชาติมากกว่าพระพุทธเจ้าหลาย พระองค์ แต่ก็มาเป็นพระพุทธเจ้าสั้นที่สุด ท่านบำเพ็ญ เป็นพระโพธิสัตว์ จนกระทั่งเกินกว่าพระโพธิสัตว์อื่น รองพื้นบำเพ็ญสู้พระพุทธเจ้าสมณโคดม แต่ประกาศศาสนาของท่านสั้นกว่าของเขา ศาสนาพุทธของสมณโคดม 5,000 ปีก็จบแล้ว บางองค์เป็นหมื่นเป็นแสน ศาสนาพุทธบางครั้งยาวเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านปี
สังวรศีลอันเป็นอาริยะเป็นเช่นใด
อัมพัฏฐสูตร เมื่ออัมพัฏฐะจำนนไม่มีจรณวิชชาสมบัติ เขาได้แต่ท่องจำได้สอนผู้อื่นได้ทั้งนั้นแต่ตัวเองไม่มีการปฏิบัติจนได้มรรคผล พระพุทธเจ้าก็ขึ้นต้นด้วยว่า
ในพุทธคุณ 9 เนื้อแท้การปฏิบัติก็คือจรณะและวิชชา นอกนั้นเป็นฉายาของ พระพุทธเจ้า เท่านั้น อีก 8 ประการ
[๑๖๓] ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉนเล่า.
ดูกรอัมพัฏฐะ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม
พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ
วิชชาเป็นยาดำแทรกในจรณะตลอดสาย มีปัญญาหรือธาตุรู้ มีความรู้เข้ามาส่งเสริมให้เกิด อธิศีล อธิจิต อธิปัญญาตลอด
จับหลักแท้ของการปฏิบัติ ศีลเป็นหลัก ไม่มีศีลเป็นหลัก ไม่ใช่ศาสนาพุทธ
พูดถึงศีล ศีลของพระพุทธเจ้าแท้ๆคือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล
จุลศีล เป็นศีลต้น 26 ข้อ
ปฏิบัติไปสรุปง่ายๆ 26 ข้อ สรุปมาเป็นสังเขปได้ศีล 5
ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์กับคน ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของและพืช ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส
ปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ
ปฏิบัติศีลทั้ง 26 ข้อ ขยายผลให้ผู้ปฏิบัติ ทำได้มรรคได้ผล รู้จักเนื้อแท้ของโลกุตรธรรมสมบูรณ์แบบ
จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แตกต่างกันอย่างไร
หมวดจุลศีล ใช้ปฏิบัติ มัชฌิมศีล ใช้ปฏิบัติละเอียดยิ่งขึ้น ส่วนมหาศีลนั้นเป็นหมวดที่อย่าไปปฏิบัติ เลิก เป็น เดรัจฉานกถา เดรัจฉานวิชชาทั้งนั้น
เดี๋ยวนี้เขาไม่รู้จัก จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แล้ว มีแต่วินัย 227 เขาแยกความแตกต่างระหว่างศีลกับวินัยไม่ได้ ใน 227 ข้อมีปาราชิก 4 ข้อ เขาก็ทำการปาราชิกกันไม่รู้เรื่อง เต็มไปหมดในวงการศาสนาพุทธ
ยิ่ง นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะฉะนั้น อาตมาบวชกับเขาจึงอยู่ร่วมไม่ได้จึงขอแยกออกมาเป็นนานาสังวาส เพราะว่ามันยิ่งกว่าสิ่งหมักหมมเน่าเหม็นที่อยู่กัน ขออภัยที่พูดความจริง อาตมาอยู่ร่วมไม่ได้ นี่เป็นสัจจะ จึงต้องขอแยกออกมา ทั้งที่ไม่ได้อยากจะแยกเลย อยากจะให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งเดียวกันแต่ความจริงมันยังไม่เป็น ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้น ไม่อยากให้ฉีกเนื้อความเป็นไทยร่วมกันให้ออกไปเลย แต่เมื่อมันเป็นแผลมีความเน่ามันเสียแล้ว จำเป็นต้องตัดเอาเนื้อเน่าเสียออก ไม่งั้นจะมาลุกลาม เราก็จะเน่าเสียไปด้วย ทำเนื้อแท้ไปไม่ถึงไหน ก็จำเป็นต้องประกาศนานาสังวาสในวันที่ 6 สิงหาคม 2518 บวชมาได้ 5 ปี บวชพ.ศ. 2513
ส่วนมหาศีล เป็นศีลที่ ห้ามทำเดรัจฉานวิชชา
มหาศีล
๑. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้าทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้านดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองูเป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
พ่อครูว่า… มีเต็มไปหมดในวงการศาสนาพุทธกระแสหลัก ขออภัยไม่ได้ลงโทษไม่ได้หาเรื่อง ตรวจสอบตามพระไตรปิฎก ตั้งแต่ พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ว่าจะเกิดความเสื่อม อาตมาก็พยายามเอาเนื้อแท้ขึ้นมา สร้างขึ้นมา สถาปนาลงไปในศาสนาพุทธแทนความเสื่อมความเน่าเฟะนั้น ไม่ได้มีความอกุศลทางจิต ไม่มี มีแต่กุศลจิตแท้ๆ แต่จำเป็นจะต้องพูดความจริงก็ต้องพูดความจริง อะไรมีความถูกต้องก็ว่าถูก อะไรมีความผิดก็ว่าไปตามผิด
เดรัจฉานวิชชาคือ วิชาที่ไม่พาไปนิพพานเป็นวิชชาที่ขวางทางนิพพาน เป็นวิชชาที่ทำให้ไม่พ้นจากความเป็นสัตตาวาส 9
สรุปแล้ว จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เช่น เดรัจฉานวิชชา ของชาวพุทธกระแสหลักเต็มไปหมด ยกตัวอย่างเช่น ไสยศาสตร์ เยอะแยะ เละเทะเต็มไปหมด ทุกอย่างที่เขาปฏิบัติประพฤติกันอยู่ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเดรัจฉานวิชชาทั้งนั้น ไม่เป็นวิชชาที่พาไปนิพพาน
แม้ที่สุด ปฏิบัติมา หลับตาแบบเดียรถีย์มันไม่ได้ ก็พาไปทำ แต่ก็ดันทุรังปฏิบัติจนกระทั่งนึกว่าตัวเองบรรลุ สายหลักๆ ตั้งแต่อาจารย์เสาร์อาจารย์มั่นก็ไม่พูดมากเท่าไหร่ พอมาถึงมหาบัวเป็นฆ้องปากแตก โพนทะนามาก ว่าตนบรรลุสูงสุดจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย พูดคำเลี่ยง ไม่กล้าประกาศตัวเองว่าเป็นพระอรหันต์เหมือนอย่างอาตมา แต่สายนั้นไม่รู้จักโพธิสัตว์อยู่แล้ว มีแต่อรหันต์อย่างเดียว แล้วเป็นอรหันต์อย่างมืด อรหันต์เก๊ด้วย อาตมาต้องมาพูดแก้ไข ขออภัยไม่ได้ดูถูกมหาบัวเลย ขออภัยลูกศิษย์ลูกหา แต่อาตมาเลี่ยงที่จะไม่พูดความจริงไม่ได้
สรุปว่า สายหลับตานั้นไม่มีทางบรรลุธรรม หลับตาเป็นอุปการะของการปฏิบัติธรรม จะหลับตาหรือไม่หลับตาอยู่ในภวังค์ ก็คิดได้ ไม่อยู่ในภวังค์ คิดโดยทางลืมตา คิดเลยแม้กระทั่งลืมตาก็สามารถเตวิชโชถ้ามีไหวพริบปฏิภาณที่เร็วเพียงพอ ไปได้ ทำได้ แต่ถ้าเผื่อว่าได้หลับตา พิจารณาระลึกถึง บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ก็ได้เป็นเนื้อเป็นหนังดี
สรุปว่าสัมมาทิฐิของพระพุทธเจ้านั้นต้องเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ต้องมีตา หู จมูก ลิ้น กาย รู้ภายนอกภายใน กาย ต้องมีภายนอกภายใน สัมมาทิฏฐิ ตั้งแต่คำว่ากายก็ไม่มีแล้ว ไปหลับตาก็ทิ้งกายภายนอกแล้ว ไม่มีภายนอกร่วมด้วย
แล้วจะมาพูดเรื่อง กาย ต้องมีภายนอกภายใน พูดมาตั้งนาน คนก็ไม่รู้เรื่องแต่ก็ต้องพยายามพูดต่อไป คนที่ได้ก็พากเพียร ปฏิบัติ ศึกษา ก็ได้มาตามลำดับพระพุทธเจ้า อธิบายเรื่องของศีลแล้ว ต่อจากศีล ก็เป็นอินทรีย์สังวร จากนั้นก็มีสติสัมปชัญญะ แล้วก็มีความสันโดษ 4 อันนี้
-
ศีล 2. อินทรีย์สังวร 3. สติสัมปชัญญะ 4. สันโดษ