660426 คนเจริญแท้คือคนทำงานที่ไม่ไปหลงทำเงิน พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1Iio-o8-Pkre_mmNafjgzdIh9R0W3dqeW/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1Ll6W5UBpJ4f3-yeeX9z8cHUCz1BOeVra/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/XJkgh1dUTQI
และ https://fb.watch/k8W461Z1u0/
สมณะฟ้าไท… วันนี้วันพุธที่ 26 เมษายน 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก เราได้มาศึกษาธรรมะกับพ่อครู เพื่อทำให้ตัวเองเป็นคนจน เป็นคนจนที่เป็นคนชั้นสูง เพื่อจะช่วยเหลือผู้อื่นได้อีกในอนาคต ไม่ว่าทางด้านเศรษฐกิจเราก็ช่วยด้วยการจัดตลาดอาริยะ ผลิตอาหารไร้สารพิษเพื่อไปขายให้ถูกหรือแจกฟรี สถานที่ก็ทำน้ำตกให้มาพักผ่อนหย่อนใจ แต่เรื่องที่จะทำได้ยากคือเรื่องการเมือง แม้คนจะเข้าใจได้ยาก แต่เราก็ต้องช่วย เราเคยไปช่วยด้วยการไปชุมนุมมาแล้วตั้ง 8 ปี แต่ยังไม่สะเด็ดน้ำ เราก็ต้องไปช่วยต่อ เชียร์ลุงตู่สู้ๆ ทำอย่างไรให้คนเข้าใจได้มากขึ้น
ถ้าพรรคที่เป็นคนเลวไปปกครองประเทศ เราก็ต้องไปทำหน้าที่อีกครั้ง ตอนนี้เราก็พยายามสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชน สามารถสื่อสารทางไหนก็เท่าที่ทำได้ บางทีประชาชนเขาไม่รู้หรอกว่าเขาควรจะเลือกใคร
ถาม ประชาชนที่มาขายของตลาดประชารัฐ ว่าเขาจะเลือกพรรคไหน เขาก็บอกว่าใครก็ได้ครับที่แจกเงินให้เขา ซึ่งประชาชนเขาไม่รู้เรื่องว่าผลกระทบจะเป็นอย่างไร เมื่ออาตมาบอกผลกระทบกับเขา ถ้าเขาเลือกพรรคที่ไม่เห็นด้วยกับอุดมการณ์ของเรา เขาอาจจะสั่งปิดให้เราได้ หรือไม่อย่างนั้นเราก็อาจจะปิดเอง เพราะต้องไปชุมนุมไล่เขา โยมเขาก็เลยถามว่างั้นผมควรเลือกพรรคไหนดีครับ เมื่อเขาเห็นความเดือดร้อนของเขา เขาก็จะสนใจขึ้นมาเลย ก็ต้องทำความเข้าใจกับเขาใหม่ ให้เขารู้ว่าควรจะเอาใครเลือกใครไปปกครองประเทศชาติ จะได้อยู่กันอย่างผาสุก
คนเจริญแท้คือคนทำงานที่ไม่ไปหลงทำเงิน
พ่อครูว่า… ก็มาพูดซ้ำซากเนาะ อาตมาก็ว่าต้องพูดวนซ้ำซากเพราะว่ามันไม่ง่าย มันยากมากทีเดียวสำหรับความเป็นโลกุตรธรรม เป็นธรรมะที่จะเป็นคนผู้มีประโยชน์แท้ ผู้มีคุณค่าจริง เป็นคนชั้น 1 เป็นคนชั้นเอก เป็นคนคลาสสิค ยากมาก
เพราะงั้นคนที่จะมีภูมิปัญญาปฏิภานรู้ความจริงว่า คนที่จะเป็นคนชั้น 1 คนชั้นเอก เป็นคนคลาสสิคจริงๆ ต้องใช้ภาษาฝรั่งเข้ามากำกับร่วมสมัยเขาให้ชัดหน่อย คนคลาสสิค(Classic Man)คือคน ที่เป็นคนชั้น 1 Class แปลว่า ชั้น เป็นคนชั้น 1 ไม่ใช่คนชั้น 2 คือเป็นคนจน เป็นคนชั้น 1 เป็นคนชั้นเอก เป็นคนคลาสสิค
จะต้องเป็นคนจนที่มีปัญญานะ เป็นคนจนมหัศจรรย์ไม่ใช่เป็นคนจนพื้นๆดาษๆแบบโลกๆ โลกียะ เป็นคนจนเพราะว่าสิ้นไร้ไม้ตอก ซกมก ไม่มีความรู้ไม่ขยันหมั่นเพียร ดีไม่ดีผลาญพร่า ทำลาย บำเรอบำรุงตนเอง ดีไม่ดีก็เห็นแก่ตัว อย่างนั้นก็แน่นอนเข้าใจไม่ยากอะไรเป็นคนจนแบบนั้นมันไม่ใช่เป็นคนจนที่มีคุณค่าหรือเป็นคนจนผู้ประเสริฐอะไรหรอก
ตอนนี้เรามาเป็นคนจนผู้ประเสริฐ นี่แหละเป็นความหมายของโลกุตระ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นคนชั้น 1 ชั้นเอก ยิ่งกว่าคนรวย คนรวยนั้นเป็นคนชั้น 2 เป็นคนชั้นรองเป็นคนชั้นล่าง คนจนนี่เป็นคนชั้นบน
เพราะว่าเขาเป็นคนลอย คนรวยคนลอย ลอยฟ่อง ไม่ติดอยู่กับคน ไม่เห็นคนสำคัญเป็นหนึ่งเท่าเงินทองหรือทรัพย์สมบัติ คนรวยแตะติดอยู่กับเงินทองทรัพย์สมบัติยิ่งกว่าแตะติดอยู่กับคน คนรวยจึงห่างจากความเป็นคน นี่อาตมาพูดสัจจะ ไม่ใช่คนชั้น 1 นั้นแน่นอนไม่ใช่คนชั้นเอกนั้นแน่นอนตามสภาพจริงของคนรวยเขาเป็นกันอยู่จริง
คนรวยนั้นถูกคั่นด้วยเงิน ด้วยทรัพย์สิน จึงห่างจากความเป็นคน คนจนนั้นไม่ค่อยมีเงิน คือคนที่มีก็ไม่สะสม คนจนที่เจริญ ที่มีปัญญาแท้ แม้จะมีมากๆก็ไม่สะสม จึงยืนหยัดความเป็นคนจน ไม่สนิทสนมกับเงิน แต่คลุกคลีสนิทสนมอยู่กับคน โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้ทำคนที่เป็นผู้สร้าง จริงๆด้วยกัน
โดยเฉพาะมีปัญญารู้ว่าคนที่ขยันหมั่นเพียรมีสมรรถนะสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นสาระสิ่งที่เป็นสัจจะ ไม่ใช่เอาเวลาไปสร้างไปออกแรงเตะลูกกลมๆ ไปออกเต้นดีดๆ อะไรต่ออะไรต่างๆนาๆไปรำไปร้องเลอะเทอะ เป็นเรื่องกามเป็นเรื่องราคะ มันก็ยิ่งลามกเข้าไปใหญ่ เข้าใจสัจจะพวกนี้ รู้จักทิศทางที่เป็นคนเจริญคืออะไร
เป็นคนคลาสสิค เป็นคนชั้น 1 เป็นคนชั้นเอก เป็นคนมีคุณค่าประโยชน์แท้ เป็นคนที่ใช้แรงงาน ทำงานที่เป็นสาระสัจจะ
เป็นคนที่ทำงานแตกต่างจากคนที่เป็นผู้ทำเงิน คนผู้ที่ไปทำเงินนั้นเป็นคนชั้นล่าง หลงเงินสำคัญกว่างาน ก็เลยหาทางที่จะได้เงินโดยไม่ต้องทำงาน ความซับซ้อนที่นายทุนเขาคิดเป็นความซับซ้อนที่ได้เปรียบไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น แล้วไม่ต้องทำงาน ใช้ระบบทางโลก เดี๋ยวนี้ยิ่งมีระบบดิจิตอล ระบบ blockchain อะไรต่างๆนานา อาตมาตามรู้ไม่ได้
มีคนพยายามเอาความรู้พวกนี้ส่งมา ข้อมูลพวกนี้มาให้อาตมาอ่าน อ่านแล้วก็ยิ่งเห็นความซับซ้อนของกิเลสคน ยิ่งมันเป็นอากาศเป็นดิจิตอลเป็นอะไรเหล่านี้ โอ้โห..ยิ่งเป็นความซับซ้อนที่ทำให้คนไม่สามารถที่จะรู้ความซับซ้อนในอากาศ เป็นวิธีการในเชิงได้เปรียบซับซ้อน เขาก็เลยยิ่งทำอันนี้ แล้วก็หลอกให้คนไปหลงในเงินพวกนั้น
เพราะฉะนั้นผู้ใดยังสัมผัสแตะต้องเงินแล้วก็เห็นเงินนี่แหละเป็นสมบัติ เป็นทรัพย์สิน เป็นเพชรนิลจินดา สุดยอดที่เขาจะต้องได้ต้องมีต้องเป็นนี่นะ เขาก็จะจมงมงายอยู่กับสิ่งพวกนั้น
แต่ผู้ใดที่มารู้จักงาน ทิ้งเงินไว้ข้างหลังเลย มาสำคัญในงานที่เป็นสาระแก่นสาร โดยเฉพาะงานที่เป็นกสิกร มาสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารที่เป็นเครื่องอาศัยของชีวิต 1 ในโลก
อาตมาไม่ได้มาครอบงำทางความคิดนะ อาตมาพูดความจริง คนที่เป็นกสิกร คนที่เป็นชาวไร่ชาวนานี่ เป็นคนที่มีคุณค่า เป็นคนที่มีกุศล เป็นคนที่สร้างอาริยทรัพย์ให้แก่ตนเองไว้ ซึ่งมันเป็นวิบากเป็นกุศลวิบาก ยิ่งทำเท่าไหร่เท่าไหร่ยิ่งช่วยคนช่วยมนุษยชาติไว้
ยิ่งไปหลงปั่นเรื่องเงิน ให้เป็นดิจิตอลให้เป็น blockchain อย่างที่เขาคิดทำซับซ้อน พวกนั้นยิ่งเป็นหนี้ คือในทางได้เปรียบได้รวย ได้แต่เงิน แต่เขาไม่มีวิธีการที่จะรู้จักการสร้างพืชพันธ์ุธัญญาหาร ดีไม่ดีเอาความรู้ไปสร้างอาวุธ ฆ่าๆๆๆ ไอ้นั่นยิ่งบาปซับซ้อนเลย ยิ่งฆ่าๆๆ กันมันเป็นวิบากซับซ้อนหนักเข้าไปอีก นี่คือความฉลาดแท้กับความฉลาดเทียม หรือฉลาดแกมโกงหรือ เฉโก ฉลาดแท้คือปัญญาที่อาตมาพยายามแยกพยัญชนะ ปัญญา กับ เฉโก ให้ฟัง ยากมากเลยคนที่ไม่มีภูมิธรรมจะรับได้ ไม่มีภูมิปัญญาพอจะแยกแยะความถูกความผิด ความดีแท้กับความดีเทียม แยกไม่ได้ คนที่ปัญญามันไม่มีจริงๆไม่สามารถแยกออก ซึ่งมีจำนวนเยอะด้วย ในโลกๆ
คนรู้จักโลกุตระจะแยกออกว่า คนจนแท้จริงประเสริฐกว่าคนรวย เมื่อเห็นจริงแล้วมีฉันทะ ยินดี จะมาจัดการปฏิบัติตนให้มนสิการ มาทำให้ใจในใจของเรามันกิเลสลดเลย กิเลสเป็นเหตุให้คนโง่ ก็ต้องลดกิเลสยิ่งฉลาดดำเนินตามวิธีการที่พระพุทธเจ้าท่านสอนวิธีปฏิบัติหมดแล้ว อาตมาก็อธิบายซับซ้อนไป ก็จะเป็น
คนที่เจริญแท้ เป็นคนทำงาน ไม่ไปหลงเสียเวลาเป็นคนทำเงิน
เราจะสามารถจัดลำดับของคนที่มีโทษ กับคนที่มีประโยชน์ แยกออกคนมีโทษกับคนมีประโยชน์
คนมีประโยชน์ใช้แรงงาน คนมีโทษใช้แรงเงิน
ผลที่เกิดจากแรงงานของคน เป็นคุณค่าเป็นประโยชน์
ส่วนผลที่เกิดจากการใช้แรงเงิน เป็นโทษเป็นภัย
เริ่มตั้งแต่สร้างวัตถุ แล้วก็มาสร้างความรู้ หรือแม้จะมองว่ามา สร้างคุณธรรม สร้างวัตถุ สร้างความรู้ สร้างคุณธรรม
ทีนี้วัตถุมีอะไรบ้างที่เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา คนโง่หนักๆนี่ก็ไปสร้างลูกระเบิด ไปสร้างปืนผาหน้าไม้ ไปสร้างอาวุธฆ่าคน
อาวุธที่เขาสร้างกันขึ้นมาในโลกของคนโง่ เขาไม่ได้สร้างอาวุธขึ้นมาเพื่อฆ่าแมลงหวี่แมลงวัน ฆ่าสัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่นะ เขาสร้างมาเจตนาฆ่าคนนะ เห็นเจตนา สัญจิจจะ เห็นเจตนาของคนไหมว่ามันอำมหิต มันเป็น มิลักขชน เป็นคนป่าคนเถื่อน คนมืดบอด เป็นคนที่ไม่รู้จักความเจริญ ไม่รู้จักอาริยะ มืด งมงาย ทำชั่วอยู่ในโลกนรกมืด น่าสงสารจริงๆคนพวกนี้
สร้างวัตถุแล้ว แล้วเขาก็พยายามสร้างความรู้ที่เอามาสร้างวัตถุ ฉลาด ฉลาดโง่ๆ ไม่รู้จะใช้ภาษาว่าอย่างไร ฉลาดทรามๆ ฉลาดยิ่งทำให้ตัวเองตกนรกมืดบอด สร้างวิบากบาปให้แก่ตัวเอง นี่ในโลกนี้ ยังมีโลกอย่างนี้อยู่ในประเทศไหนๆ เทวนิยมเขาก็ยังไม่รู้เรื่อง
ศาสนาพระเจ้าที่ยังอยู่ในวง เขาก็จะงมงายอยู่กับสิ่งเหล่านี้ งมงายอยู่กับเงิน งมงายอยู่กับอาวุธร้าย เป็นวัตถุ เงินก็ดี วัตถุอาวุธร้ายกว่า เป็นวัตถุ แล้วก็หาความรู้ไปสร้างเงินให้ได้มากๆเอามาใช้เป็นอำนาจ ไปสร้างวัตถุขึ้นมาให้มันเป็นอาวุธอะไรขึ้นมามันเป็นอำนาจ แล้วเป็นความรู้ที่สร้างเงินได้ความรู้ที่สร้างอาวุธร้ายแรงได้ แล้วก็ชื่นชมยินดีปรีดาพอใจที่ตัวเองมีความรู้ ที่สร้างเงินได้มาก เอาเปรียบคนได้มาก โกงคนได้มากซับซ้อน ไม่ให้คนรู้ทัน แล้วก็เสียประโยชน์แก่ตนเอง
ขี้โกงชัดๆอย่างทักษิณก็ตาม หรือขี้โลภอย่างมีวิธีซับซ้อนหาเงินมาได้อย่างแจ็คหม่าก็ตาม พวกนี้พวกมีวิบากบาป วิบากอกุศลที่เขาไม่รู้ตัว ใช้ความซับซ้อนของโลกดิจิทัล โลกบล็อกเชน โลกที่มันคิดไม่ได้ง่ายๆ เป็นอรูป เป็นนามธรรมที่ ละเอียด ลึกลับ ไม่ใช่ลึกซึ้ง แต่มันลึกลับ คนก็ไม่ค่อยรู้ทัน
แต่ถ้าคนไม่ไปหลงเงิน ไม่ไปหลงอาวุธ แล้วก็ไม่ไปอยู่ในความเกี่ยวข้องกับเขา เอ็งจะแย่งเงินกันก็แย่งกันไป เอ็งจะแย่งอาวุธก็แย่งกันไป เราเห็นว่าสิ่งที่เป็นอบายมุขเป็นเรื่องไร้ค่า เราก็ไม่สนใจ
แม้เขาจะมีคุณธรรมขึ้นมาบ้าง พยายามคุยว่าเป็นคุณธรรม ช่วยเหลือเขา ส่งอาวุธไปช่วยเหลือเขา การส่งอาวุธไปช่วยเหลือเขาจะส่งอาวุธไปทำอะไร เอาไปฆ่า ไม่ใช่ไประเบิดแมงหวี่แมลงวันเหรอ แต่เอาไปฆ่าคนเหรอ แล้วเขาจะไม่รู้หรืออย่างไร เขาก็รู้
ศีลข้อที่ 1 พระพุทธเจ้าสอนว่าไม่ฆ่าสัตว์ สิ่งที่มีชีวิต คน ยังไงๆคนก็คือผู้ที่มีพัฒนาการขึ้นมาได้ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน เขายังไม่รู้ว่าคนมีศักดิ์ศรียิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานหรือ แค่นี้เขาก็ยังไม่รู้เลยแล้วมาทำร้ายคน ที่เป็นคนที่มีกุศลสามารถได้เกิดมาเป็นคนแล้ว แทนที่จะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
เรื่องกรรมเรื่องวิบากแค่นี้ เทวนิยมพวกที่กระเหี้ยนกระหือรือในการสร้างอาวุธมาฆ่าคน มืดบอดคิดไม่ออก ไม่สามารถรับรู้และไม่สามารถเลิก ที่จะทำความชั่วความบาปความเลวทราม เขาไม่เลิกง่ายๆ
เพราะฉะนั้นเขาจะไปหลงว่ามีคุณธรรมอย่างนั้นอย่างนี้ คุณธรรมอะไร ยังส่งอาวุธไปให้ยูเครน ให้ฆ่ากันเข้าไป เสร็จแล้วก็แย่งชิงอำนาจ มีเล่ห์เหลี่ยม มีวิธีการกันอยู่ว่าจะหาพรรคพวกยังไง
เพราะฉะนั้นถ้าเราปลีกตนออกมาจากสงครามโง่ๆพวกนี้ได้ มาเป็นกลางได้คือความเจริญ แล้วเราจะเป็นกลางได้เราก็ต้องเป็นคนที่มีคุณค่า มีประโยชน์ และคุณค่าประโยชน์ที่จะยับยั้งคนพวกนี้ได้ในอนาคต คือการสร้างอาหาร สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารกับสร้างยา เป็นกาชาดกับเป็นกองพลาธิการในโลก
คนนี้แม้แต่ในสงคราม กองพลาธิการกับกองกาชาด เขาก็ยกเว้นแล้วไม่ทำร้ายแล้วไม่ว่าฝ่ายไหน อันนี้รู้กันเป็นสากลแล้ว นอกจากพวกมืดบอด มืดสนิท โง่สนิท ก็แล้วไป แต่คนที่ไม่โง่สนิทเป็นเรื่องสากลเขาก็รู้อยู่แล้วว่า
กองกาชาดกับกองพลาธิการ กองที่ทำอาหารกับผู้ที่ทำการรักษาช่วยเหลือชีวิต 2 ฐานนี้ สุดยอดที่จะต้องละเว้นไม่ไปทำร้าย
เพราะฉะนั้นคนที่จะฉลาดรู้ลึกซึ้งซับซ้อนมาทางคุณธรรม ที่ประเสริฐแท้นี้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาสอนไว้คือหลักโลกุตรธรรมกับโลกียธรรม ก็จะต้องมาเรียนรู้กรอบของความวนอยู่ใน cyclic order ของโลกียะ มันมีกรอบของมันอยู่ มันจะฉลาดเอาเปรียบเอารัด ฉลาดวนอยู่ในนี้ แบบเจริญโลกีย์เป็นผู้ชนะ อย่างเก่งก็เป็นผู้ที่สุภาพมีความดีงาม แต่ไม่รู้ลึกซึ้งไปกว่านั้นถึงกรรมถึงวิบาก ความดีงามก็เป็นแค่ความดีงามในระดับโลกีย์ ในระดับขั้นหยาบๆ อยู่ในสมมุติสัจจะ อยู่ในกรรมกิริยาที่คนตื้นๆพูดกัน
ส่วนกรรมกิริยาที่ละเอียดลึกซึ้งซับซ้อนไปถึงขั้น รูปภพ อรูปภพ เขาไม่มีปัญญาที่จะรู้ แค่กามภพ เขาก็ยังเข้าใจไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรือ เป็น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ทวาร 5 ข้างนอก แล้วเขาก็ยังติดยึดในรส รสของกามคุณ 5 รสของการได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ยังไม่ต้องไปพูดถึงได้สุขเลย สุขทุกข์เขายังยากที่จะรู้
เพราะฉะนั้นที่อาตมาพยายามใช้พยัญชนะบอกโลกียธรรมนั้น มีความรู้รอบ มีความรู้อยู่ในกรอบของเฉโกเท่านั้น ซึ่งมีความรู้อยู่แค่ดีคืออะไร ชั่วคืออะไร ตามสมมุติ แต่เขาจะไม่รู้จักอารมณ์หรือความรู้สึกที่เสพสุข เสพทุกข์ เขาไม่รู้ แต่เขาจะหลงสุข เสพย์สุข อารมณ์สุข
สุขตั้งแต่หยาบ ตั้งแต่มีอำนาจบาตรใหญ่ มีอาวุธฆ่าคนได้ชนะเป็นเจ้าโลก เขาสุขของเขานะ เขาสมอารมณ์ที่เขาเป็นเอก เป็นเจ้าโลก เป็นหนึ่ง ซึ่งมันไม่น่ายินดี ไม่น่ายินชอบอะไรเลย ที่เป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นเขาไม่รู้จักกรรมรู้จักวิบาก เขาก็จะทำอยู่อย่างนั้น ทางเฉโก โลกียะ เขาไม่มีความรู้ที่จะแยกออกนอกกรอบวงวน cyclic order เขาจะไม่ฉลาดออกไปรู้ สิ่งที่คุณกลับไปหลงจมอยู่ในวงวนของโลกีย์ มีดีมีชั่ว แล้วก็หลงสุขเป็นสุขนิยมอยู่อย่างนั้น ไม่มีงอกเงยหรอก คุณก็จะจมอยู่อย่างนั้นตลอดกาลนาน อีกกี่ล้านๆชาติ คุณก็จมอยู่ในนั้นเท่านั้น เป็นคนดีตามสมมุติ แล้วสมมุติก็ไม่เที่ยงไม่ตรงกันด้วย แล้วก็วิ่งหาความสุขเสพ ความรู้ที่จะออกจากกรอบ โลกียะได้สำเร็จนั้น ความรู้ชนิดนี้แหละที่พระพุทธเจ้าท่านใช้บัญญัติว่าเป็นปัญญา แต่มันสับสนไปหมดแล้วคนเอาไปปู้ปู้ย้ำใช้เป็น เฉโก ปนกัน จนเขาไม่ใช้คำว่า เฉโกแล้ว เขาฉลาดแบบโลกีย์นะ แต่เขาก็นึกว่าเขาเป็นปัญญา ความรู้ 2 อย่าง เขารู้อย่างเดียวคือ เฉโก แต่เขาหลงว่า เฉโก คือปัญญา ซับซ้อนตัวเองรู้ดีเป็นชั่วๆเป็นดี เฉโกมันชั่ว แต่เขานึกว่าเป็นปัญญา เขานึกว่า เฉโก คือดี สับสนอยู่อย่างนี้
นี่คือความไม่รู้มายากลที่ตัวเองเป็นอย่างนั้น ตัวเองไม่มีความจริงไม่มาเรียนรู้ความจริงให้ชัดแล้วก็แม่น แม่นว่าอะไรดีแท้ อะไรดีเก๊ อะไรดีเทียม อะไรถูกต้องเป็นความจริง
ความรู้เช่นนี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาขยายผลให้เห็นกัน อาตมาก็เอามาขยายความความละเอียดละออ โดยอาศัยภาษาศัพท์ที่ว่า เศรษฐกิจ หรือเศรษฐศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์ หรือว่าการเมืองอย่างนี้เป็นต้น เป็นภาษาศัพท์ใหญ่ๆ ที่สังคมโลกเขาเห็นสำคัญกัน แล้วก็ประพฤติกันอยู่ โดยไม่มีความเข้าใจความรู้ในเรื่องเศรษฐศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์
ซึ่งในโลกยุคไหนก็มีอันนี้แหละมีเศรษฐศาสตร์ มีรัฐศาสตร์ แต่ภาษาในยุคสมัยโบราณยังไม่ค่อยจะไปใช้ภาษานี้เท่าไหร่ มันเป็นภาษาทางสันสกฤตทางบาลี รัฐ หรือเศรษฐะ ทางภาษาทางยุโรปทางอังกฤษเขาก็ใช้ภาษาอะไรก็ว่าไป ซึ่งเขายังไม่ได้มีรายละเอียดเหมือนทางตะวันออก หรือต้นตอมาจากอินเดีย
ภาคตะวันออกก็มีลึกซึ้งแต่ก่อนก็มีขงจื้อ เล่าจื้อ เม้งจื้อ เฉลียวฉลาด เมืองไทยก็เป็นเมืองเล็กๆที่เพิ่งเกิดได้ยังไม่ถึงพันปี และเป็นมนุษยชาติในยุคสุดท้ายของโลก โลกยุคสุดท้ายในครั้งสุดท้ายนี้ อย่างที่ทางคริสต์เขาเรียกว่า สิทธิชนยุคสุดท้าย
ทางศาสนาคริสต์มอร์มอน เขาบอกว่าพวกมอร์ม่อนเขารู้ยิ่งกว่าโปรเทสแท้นท์ โพรเทสคือการประท้วง โปรเทสแท้น คือตัวเต็มของผู้ประท้วงเขาเรียกว่าโปรเทสแท้น
ที่อาตมาเพิ่งเอามาอธิบายว่าในเมืองไทยนี่อาตมาเป็นตัว โพรเทสแท้น อาตมานำพวกเราไปชุมนุมประท้วงแนวใหม่ ซึ่งเป็นรัฐศาสตร์ประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ พูดแล้วเหมือนหลงตัวเองยกตัวเองเป็นผู้นำในการประท้วงเหล่านี้ แต่มันเป็นจริง ใครจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่จะหาว่าอาตมายกตัวหลงตัวเองก็แล้วไป แต่มันเป็นคำกิริยาเป็น ปรากฏการณ์จริงในโลก อาตมาไม่ได้เป็นคนทำตัวเด่น
อาตมาทำงานไปตามประสาของอาตมาชี้นำอะไรบ้าง แต่ประชาชนทั้งหลายเข้าใจ เช่น อาตมาขึ้นว่า Neo protest ขึ้นว่าจะต้องชุมนุมกันแบบนี้ วิธีชุมนุมเป็นแบบนี้ ประท้วงแบบนี้ อะไรต่ออะไร ที่มีหลักฐานต่างๆโดยเฉพาะมีโบรชัวร์ที่พิมพ์ไว้ แล้วก็ไม่มีใครทำหรอกนอกจากอาตมาเป็นคนที่จะชี้นำพวกนี้ ชี้นำทั้งภาษา วิธีการและก็พาทำ แม้แต่แค่ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ อย่าสงบอย่ารุนแรงเป็นอันขาด ตายเป็นตาย เราจะไม่ทำให้ใครตาย เราตายก็ไม่เป็นไรเราก็ได้ทำดีเป็นกุศลยิ่งเจริญ สิ่งเหล่านี้อาตมาว่าปรากฏการณ์พวกนี้ นักเศรษฐศาสตร์ นักรัฐศาสตร์นักสังคมศาสตร์ก็ตาม จะมาวิจัย มาเรียนรู้หลักฐานความเป็นจริง ซึ่งมันมีหลักฐานบันทึกไว้เยอะ แล้วเขาจะค่อยๆลึกซึ้ง รู้ว่าอันนี้มาจากต้นตออะไร ใครเป็นคนต้นคิดเป็นผู้นำ เขาจะค่อยๆรู้
เพราะผู้ที่ไม่แสดงตัวปรากฏตัวอย่างโดดๆเด่นๆ จริงๆ ซับซ้อนเหมือนไม่มีตัวตน นั่นแหละยิ่งซับซ้อนไม่มีตัวตนนั่นแหละ คือผู้นำที่เป็นสภาวะสิริมหามายา เป็นตัวจริง แม้ทุกวันนี้อาตมาพูดไปพูดความจริง ที่จริงเหนียมตัวเองเหมือนกัน เอาตัวเองมายืนยันมาพูด ทางวิชาการเขาจะบอกว่า อย่าเอาตัวเองไปเป็นละครในวิชาการนั้น อาตมาก็ว่า มันไม่พูดถึงได้ยังไง ก็มันเป็นพฤติการณ์เป็นพฤติกรรมที่ต้องไปยืนยัน ก็คนมีพฤติกรรม แล้วเราก็มีพฤติกรรมอันนี้แล้วไม่พูดถึง ขนาดพูดถึงยังไม่ค่อยเข้าใจ ยังมีอคติยังต่อต้าน บอกว่าอวดตัวอวดตนไม่ใช่ของจริง
คือมันถึงยุคสุดท้ายซึ่งต้องพูดความจริง ต้องบอกความจริง ถ้าคนจริงไม่บอกความจริง มันไม่มีใครจะรู้ความจริง ที่เป็นความจริงที่ไม่มีคนรู้ได้ง่าย ความจริงที่คนจริงเท่านั้นมีความจริงและยืนยันความจริง ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้แล้วได้แต่เดา แล้วไปเดาความจริงได้อย่างไร ความจริงที่ยอดไม่ใช่ความเดา ความจริงที่ยอดนั้นไม่ใช่ความเดา ความจริงที่ยอดนั้นเป็นความยาก เดาไม่ได้
เพราะฉะนั้นศาสนาเดากับศาสนาจริง จึงพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง โดยไปเข้าใจภาษาที่สวยๆว่า อย่าไปอวดตัว อย่าไปบอกว่าเราดี มันเป็นการอวดตัว ภาษาสวยนะ
เราบอกว่า เราดีตัวเราจริง มันเป็นภาษากระด้าง คนอะไรวะมาอวดตัวเอง อะไรอย่างนี้ มีความซับซ้อน
เดี๋ยวเอา sms ก่อน
_กิ่งธรรม…กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพและศรัทธาสูงสุด…ลูกอยากจะพูดถึงความเข้าใจ…ต่อเรื่องความรวยและความจนว่า…จริงๆแล้วความรวยในความเข้าใจของลูกคือความแม้มีน้อยก็พอและแบ่งปันได้ความรวย คือมีอิสระต่อทรัพย์สมบัติและเงินทอง..อิสระคือไม่มีสิ่งใดมาบีบคั้นให้เราเป็นทุกข์ต่อสิ่งนั้นได้ ความรวยในความจนคือแม้มีน้อยแต่ก็ยังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และแบ่งปัน ส่วนความจนนั้นคือมีความต้องการมากเกินกว่าสิ่งที่มีอยู่หรือได้รับเสมอ แม้จะมีมากเท่าใดๆ ก็ไม่พอกับความต้องการ ไม่คิดจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ใคร จะให้ก็ต้องมีผลประโยชน์ตอบแทนเสมอแบบนี้เรียกว่าความจน คือจนด้วยใจ
ลูกได้ฟัง สม.กล้าข้ามฝันเทศน์เรื่องการได้มาอยู่บ้านราชเหมือนถูกหวยรางวัลที่ 1 ลูกว่ายิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่ 1อีกค่ะ เพราะถูกหวยรางวัลที่ 1เอาไปใช้ข้ามภพข้ามชาติไม่ได้ ตายแล้วก็ไม่ใช่ของเรา แต่โลกุตรสมบัติ ที่ได้แต่ละพุทธสถาน ติดตามข้ามภพข้ามชาติได้ค่ะ อยู่พุทธสถานไหนๆก็ยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่1เหมือนกัน…แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคนค่ะว่าต้องอยู่ที่ไหน การได้มาซึ่งโลกุตรคุณสมบัตินั้นยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่1เสมอค่ะ ถ้าเป็นเช่นนี้ลูกว่าชาวอโศกรวยมากค่ะ เป็นความรวยในความจน รวยข้ามชาติรวยไม่เข็ดค่ะ เป็นสิริมหามายาจริงๆ ค่ะ ลูกแค่เล่าสภาวะและความเข้าใจสู่กันฟัง…ขอสัมมาทิฏฐิจากพ่อท่านด้วยค่ะว่าถูกต้องไหม?
พ่อครูว่า… ดีมากถูกต้อง นี่คือการเช็คผล มาสอบอารมณ์ ให้อาจารย์สอบอารมณ์ เป็นภาษาทางสายสมถะ
SMS วันที่ 24 เม.ย. 2566
_ใบฟ้า ธัมทะมาลา · เทศน์กัณฑ์วันจันทร์ ที่ 24เม.ย. นี้ มีบรรยากาศ และเนื้อหาสาระ ที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเอื้อนเพลง เสริมการบรรยาย ที่ทำให้ลูกๆเข้าใจสาระและร่าเริงในธรรมยิ่งขึ้น แต่ก็สลับเป็นบางครั้งกับการไอ ที่ลูกๆได้แต่นั่งลุ้น ให้การไอนั้นยุติลงโดยเร็ว ข้อสังเกตอีกประการหนึ่ง พ่อครูจะมีอิทธิบาทเต็ม !!! ในการทวนซ้ำพร่ำสอน ราวกับให้ลูกๆ ที่มีปัญญาน้อยที่สุดได้เข้าใจ หรือโปรยองค์ความรู้ ไว้ให้กับผู้ที่แสวงหาได้มีโอกาสมาเงี่ยโสตสดับฟัง ตามรอบแห่งบารมี จึงกราบขอสรุปไว้ว่า นี่แหละ คือพฤติกรรม ของพระนิยตะโพธิสัตว์ ที่มาทำหน้าที่กอบกู้ รื้อขนสัตว์ เพื่อสืบสานพระพุทธศาสนาให้ครบ 5,000 ปี ยากแท้จริงค่ะ กราบขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนา ด้วยเศียรเกล้าฯ ค่ะ
พ่อครูว่า… ผู้รู้ รู้ ผู้ไม่รู้เขาก็ไม่รู้ นอกจากไม่รู้แล้วเขาอาจจะมองว่าเป็นผู้มาทำลายศาสนาพุทธอีก ก็เป็นไปตามภูมิของคน เราก็ไม่รู้จะห้ามกันได้ หรือไปบังคับให้ฉลาดกันได้อย่างไร ห้ามไม่ให้โง่ก็ห้ามไม่ได้
_คอยใคร · กราบเคารพพ่อครูครับ ช่วงนี้ช่วงหาเสียง ผมก็เห็นป้ายหาเสียงของพรรคพลังธรรมใหม่ เลยสงสัยว่าพรรคนี้เกี่ยวข้องอะไรกับลุงจำลองไหมครับ แล้วพรรคพลังธรรมใหม่กับพรรคสัมมาธิปไตย แนวคิดและแนวทางการเมืองต่างกันไหมครับ ทำไมไม่รวมตัวกันไปเลยครับ ขอถามเท่านี้ก่อนครับ ขอกราบขอบพระคุณพ่อครูครับ
พ่อครูว่า… พรรคพลังธรรมใหม่เขาก็เติมคำว่าใหม่ ก็ไม่ใช่พรรคพลังธรรมเก่าของคุณจำลองแน่นอน ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าพรรคพลังธรรมใหม่ อีกพักหนึ่งชื่อว่าพรรคสัมมาธิปไตย มันก็ไม่ใช่พรรคเดียวกันแน่จดทะเบียนก็คนละพรรค ทุกกลุ่มทำงานก็คนละกลุ่ม แนวคิดและแนวทางทางการเมือง ก็มีต่างและมีเหมือน มันยังรวมตัวกันไม่ติดยังรวมตัวกันไม่ได้ ก็ต่างคนก็ต่างไป.. ขอถามเท่านี้ก่อนครับ ก็ขอตอบแค่นี้ก่อนนะครับ
_บุญสูง สาดา · ร่วมด้วยช่วยกันทำประเทศไทยให้ยืนยง สนับสนุนผู้คงความดีมีสัมมาธิปไตย ประยุทธ จันทร์โอชา หัวหน้ารัฐบาลไทย อยู่ต่อไปเพื่อทำงานสานต่อแบบพอเพียง กราบพ่อครูสมณะสิกขมาตุ เจริญธรรมญาติธรรมทุกท่านครับ
พ่อครูว่า… เป็นบทกวีนะนี่ แต่มันเป็นภาษาที่ไม่ใช่ภาษาบท
เช่น โคลงสี่สุภาพบทหนึ่งนะ
อาบน้ำแต่งตัวแล้ว กินข้าว
คนรวยไปทำไม ก็รวยไปทำทุกข์
_สุรภา ลิ้มวรรณเสถียร · กราบขอโอกาสเจ้าค่ะ ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่อยากรวย แต่ยังถามตัวเองเสมอว่า อยากรวยไปทำไม เพื่ออะไร ทุกวันนี้ก็มีทุกอย่างแล้ว
พ่อครูว่า… ก็ถามตัวเองแล้วตอบตัวเองให้ได้สิ ว่าจะรวยไปทำไม คนที่รวยไม่เสร็จจะรวยไปทำไมคือ รวยไปทำทุกข์ เพราะคุณรวยไปแล้วก็จะหลงความสุข แล้วก็จะใช้ความรวยบำเรอความสุขให้แก่ตัวเอง มันโง่ซ้ำโง่ซ้อน บำเรอสุขมากเท่าไหร่ สุขก็ยิ่งหนา ความสุขหนา กิเลสทุกข์ก็ยิ่งหนาไปด้วยกัน เพราะสุขทุกข์มันอันเดียวกัน
ถ้าเข้าใจคำว่า สุขกับทุกข์นี้เป็นอันเดียวกันไม่ได้ แล้วคุณต้องเลือกทั้งสุขทั้งทุกข์ เหมือนกระดาษแผ่นหนึ่ง ก็อธิบายมามากแล้ว ถ้าคุณไม่เลือก คุณก็ติดอยู่กับสุขกับทุกข์ มันเป็นเทวะที่ พระเจ้าหลอกเอาไว้พระเจ้าคือสุขนิยม พระเจ้าคือ ในตัวเองเป็นจอมมายา ตัวเองเป็นซาตาน เป็นผีแล้วหลอกให้หลงสุข โดยมีมีดแห่งทุกข์ซ่อนอยู่ข้างหลัง
ขออภัยพูดไปยาวมากเดี๋ยวจะไปหาว่าพระเจ้าเขาเยอะ แต่มันเป็นสัจธรรมอาตมาพูดให้เป็นวิชาการศึกษาให้ดีๆก็แล้วกันเอาไว้ตรงนี้ก่อนก็แล้ว
ทักษิณเรียนรู้อาชญวิทยามาเพื่อเป็นอาชญากร
_แดง สารคาม · ดิฉันเล่าเรื่องทักษิณไม่ดี คนที่ฟังนั้นเขาบอกว่าศาลแกล้ง คนอื่นแกล้งนายกปูและนายกทักษิณค่ะ
พ่อครูว่า… คนอยู่ในโลกที่มืดๆบอดๆก็เป็นอย่างนี้ จะพูดอย่างไรเขาก็จะว่าทักษิณเขาถูกศาลแกล้ง เพราะทักษิณเขาพูดอย่างนี้เลยบอกว่าศาลนี้แกล้ง ศาลนี้ไม่สุจริต ศาลไม่ซื่อต่อเขา อะไรต่างๆนานาของเขาหาเรื่องไป เพราะว่าเขาจบด็อกเตอร์ทางอาชญวิทยา ซวยจริงๆเลย ไปจบด็อกเตอร์ทางอาชญวิทยา คือวิชาของอาชญากร แล้วเขาก็ได้ความรู้ทางอาชญวิทยา ความรู้ของอาชญากรมาเป็นตัวอาชญากรซะเอง ซวยจริงๆทักษิณเอ๋ย แล้วยังไม่พอยังมาครอบงำคนอื่นให้เป็นอาชญากรตามอีก บาปซับบาปซ้อน ดีไม่ดีใจดำมาก มาสอนให้ลูกเป็นอาชญากรอีกด้วย โฮ้! ทักษิณเอ๊ย เขาทำด้วยความไม่รู้นะ ซึ่งภาษาก็คือโง่ ไม่รู้ก็คือโง่ เขาทำด้วยความไม่รู้ของเขา น่าเห็นใจจริงๆน่าสงสาร เมื่อไหร่เขาจะรู้ตัวสักที ถ้าเขารู้ตัวแก้ไขซะ ยังจะได้เพลานรกลงไปได้บ้าง แต่นี่เขาคิดว่าคงจะยาก คงไม่มีวันจะสว่าง สงสัยจะมืดมามืดไปหนักกว่าเก่าทักษิณเกิดมาชาตินี้ มืดมาแล้วก็มืดไป ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอน น่าสงสารจริงๆ
อาตมาพูดถึงก็พูดด้วยความสงสารเป็นเมตตา ถ้าหากอาตมาไม่แตะเลยมันก็ใจดำ ที่แตะเพราะว่า1.สงสารเขา 2. มันเป็นตัวอย่างอันชัดเจนที่จะใช้ให้สังคมมนุษยชาติได้เรียนรู้ตาม อันนี้ต้องขอบคุณเขา ที่เขาเป็นตัวอย่างให้เราได้พูดความไม่ดีของเขา เขาไม่ได้อนุญาตหรอก แต่เราเอามาเฉยๆ เอามายืนยันกับโลก
_Rujira Wongpalee รุจิรา วงปาลี · พ่อครูสมณโพธิรักษ์ หนึ่งเดียวในโลก ที่สามารถคลอเสียงเพลงและเทศน์แสดงธรรมะ โลกุตระธรรม ประทับใจมากที่สุดค่ะ เพลงที่ท่านแต่งไว้ถ้อยคำและสำนวนหวาน ไพเราะ ลึกซึ้งกินใจ กราบขอบคุณสำหรับงานสร้างสรรค์ที่ดีงามสู่สังคม น้อมกราบนมัสการ
พ่อครูว่า… สำทับรับรองว่าเป็นคุณค่า อาตมาก็ขอบคุณ ที่เห็นคุณค่านี้
ปฏิบัติเป็นลำดับต้องเริ่มจากภายนอก
_บุญสงค์ พวงพลอย · กราบนมัสการพ่อท่าน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ภายนอก รูป รส กลิ่น เสียง ธัมมารมณ์ ภายใน ใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ใช่ คุณเข้าใจให้ชัดก็แล้วกัน ตาคุณก็มองไปข้างนอก หูมันก็เอาเสียงข้างนอกเข้ามากระทบได้ยิน (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สมณะฟ้าไท… เราฟังธรรมพ่อครู พ่อครู เป็นศิลปินก็เอาองค์ประกอบมาให้เราได้ฟังหลายองค์ประกอบ จับประเด็นสำคัญๆมาให้เราได้ประโยชน์ เอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ศิลปศาสตร์ ต่างๆนานาให้ครบถ้วนบริบูรณ์ คนฟังก็ได้ครบทุกประเด็น ทุกคน แล้วแต่คนจะชอบแบบไหน
พ่อครูว่า… คุณเรียกว่าธรรมารมณ์ภายใน หรือการรับรู้ภายในเข้าไป มันเชื่อมโยงจากภายนอกคือกามภพไปหารูปภพภายใน มันเชื่อมกัน ทำกิเลสหยาบภายนอกหมด จึงเหลือภายใน
ถ้าทำกิเลสหยาบภายนอกไม่ได้ แล้วก็ไปนั่งหลับตาทำภายในโดยวิธีการแบบสะกดจิต เพราะไม่ได้เริ่มต้น คุณไม่ได้เปิดประตูเข้าไปในห้อง แต่คุณจะไปปัดกวาดข้างในห้องให้มันสะอาด มันจะได้ยังไง คุณต้องเปิดประตู คุณต้องทำภายนอกให้เป็นก่อน หยาบๆแล้วได้แล้วจึงจะเข้าไปรู้จักความสะอาดที่หยาบๆ ตั้งแต่ทำหยาบๆได้ก่อน จึงจะรู้ความละเอียดซ้อนเข้าไปเรื่อยๆตามลำดับได้
หยาบๆคุณยังตาถั่วอยู่เลย ยังไม่รู้เรื่อง ยังทำความสะอาดกิเลสก้อนหยาบๆของคุณยังทำไม่ได้ แล้วคุณจะไปเห็น ดวงตาคุณจะมีประสิทธิภาพที่จะไปรู้กิเลสละเอียด โดยที่กิเลสหยาบคุณก็ยังไม่เคยรู้จัก แต่คุณหลับตาแล้วไปสร้างนิรมาณกาย สร้างภพชาติเพ้อพกว่าคุณได้รู้จักกิเลสละเอียด โดยจริงๆวิธีการก็ไม่ใช่ ทำให้กิเลสพวกนั้นหมดก็ไม่ใช่ คุณกดข่มกิเลส ไปดับสัญญาแล้วนึกว่าเป็นนิโรธ
ก็พูดไม่รู้เท่าไหร่แล้วพวกนั่งหลับตาปฏิบัตินี่โมฆะ ไม่มีทางบรรลุธรรม พูดเท่าไหร่คนที่เขาทำอยู่ก็ยังไม่สะดุด ไม่เกิดปฏิภาณปัญญารู้สักทีเลย ว่ามันผิดลำดับจริงๆหรือ มันโมฆะจริงๆเหรอ เขาจะไม่ค่อยเชื่ออาตมาหรอก เพราะเขาเชื่ออาจารย์แล้วไปฝันเพ้อ สร้างภพชาติ ที่ได้แล้วก็จะมีตาทิพย์ ไปสอนวิญญาณฝรั่ง วิญญาณมาจากต่างประเทศ เหมือนอย่างอาจารย์มั่น สายหลับตาไปอย่างนู้นเลย
อาตมาก็ได้แต่สงสาร ทำยังไงจะพยายามให้เขามารู้จักจรณะ 15 วิชชา 8 ฌานอย่างนั้นมันเป็น ฌานหมาก ฌานพลู ฌานเรือนชานบ้านอะไรโน่น มันไม่ใช่ ฌาน คือ พลังงานไฟที่เผากิเลส ไม่ใช่ ฌานอย่างนั้นมันฌานเย็นไม่ใช่ฌานไฟ ฌาน พระพุทธเจ้ามีพลังงานไฟ เป็นอุณหธาตุ สามารถเผากิเลสได้ แต่ฌานเย็นไม่สามารถเผากิเลสได้
_จรรยา ประเสริฐ · เรื่องกายในกาย ลูกเข้าใจแค่ตื้น ๆ ว่า ตาเรามองเห็นผู้หญิง กายลูกมองเห็นว่า ภาพผู้หญิง ส่วนกายในกายส่งไปที่ใจว่า สวยหรือไม่สวย แต่พิจารณาแท้จริงว่า ก็ผู้หญิงคนหนึ่งเราไม่ได้ยึดว่า สวยหรือไม่สวย นี่คือกายในกายตามที่ลูกเข้าใจ เวทนาในเวทนา ได้กินผักมะเขือเทศ เวทนาในเวทนาคือ มะเขือเทศรสอะไร ก็ตามนั้น เปรี้ยวคือเปรี้ยว แต่เวทนาในเวทนา อีกนัยยะหนึ่งคือ เราจินตนาการว่า มะเขือเทศรสเปรี้ยวนี้อร่อย เห็นเวทนาเทียม เข้าใจอย่างนี้ค่ะ กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า… ถูกต้อง บรรยายสภาวะมาอาตมาอ่านแล้วเห็นว่าถูกต้อง จะต้องแยกแยะจริงรู้ได้มีธรรมวิจัยสมโพชฌงค์อย่างนี้แหละ มีวิตกวิจารวิจัยออกอย่างนี้แหละ แยกอันที่จริงอันที่เท็จได้ แยกสภาพ 2 ได้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ แยกไม่ได้ก็เป็นมายาแยกได้เป็นสิริมหามายา
พระอรหันต์คือมนุษย์พืชที่มีจิตเป็นปัญญา
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกขออนุญาตถาม
-
คนตายที่อยู่ในภาวะพีชะ แต่จิตยังยึดร่างที่เป็นพีชะนี้ไว้อยู่ อย่างนี้จะสามารถเรียกได้ว่า ยึดพีชะเป็นกายได้ไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… ได้ ที่จริงเขาไม่มีกายแล้ว กายคือสภาวะที่ มีทั้งภายนอกภายในมีจิตเจตสิกก็ร่วมกับรูปภายนอก กาย จะต้องมีธาตุรู้ร่วม เขาเองเขาไม่รู้ภายนอกแล้ว เป็นมนุษย์พืช เขามีแต่จิตยึด ภาษาคำว่า กาย ก็คือเขาสลับสับสน ไม่มีกาย แต่เขานึกว่าเขามีกาย เป็น นิรมาณกาย ยึด และแถมยึด อยู่ที่จิตวิญญาณที่มันเกาะร่าง
ร่างนี้ไม่ใช่กาย นะ แต่ร่างคือสรีระเพราะฉะนั้นก็เลยซับซ้อน กลายเป็นยึดร่างเป็นกาย ทั้งๆที่มันไม่มีกายไม่มีจิตที่ร่วมอยู่แล้ว ไม่มีภายนอกแล้วมีแต่ภายใน มันก็เลยยึดเกาะแต่เพียงภายในว่าเป็นฉันเป็นฉัน เลยกลายเป็นพืช ไม่มีเวทนา ไม่มีความรู้สึกภายนอกอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าได้อาหารเลี้ยงเหมือนกับพืชมันก็จะอยู่ไปนาน ถ้าหากอาหารหมดมันก็แห้งลงๆ
การแยกอุตุ แยกพืช แยกจิตได้ เข้าใจแล้วเอาไปทำปฏิบัติการกระทำให้มันถูกต้อง กระทำตั้งแต่ภายนอกแล้วก็ทำใจในใจมนสิการให้ใจมันเป็นอุตุ ให้ใจมันเป็นพืช ให้ใจที่จิต ใจที่เป็นจิตที่ทำตนเป็นอุตุ พีชะได้ ใจก็มีญาณ วิชชา สามารถทำวงจรของจิตให้เราจนสามารถกำหนดได้ว่าอันนี้ให้เป็นอุตุ อันนี้ให้เป็นพืช อันนี้ทำได้ให้เป็นจิต จิต ก็เป็นปัญญาอยู่เหนือมีโลกุตระ อยู่เหนืออุตุกับพืช โดยใช้อุตุ พืช
พระอรหันต์คือมนุษย์พืชที่มีสติเต็ม 100% รู้ทั้งนอกทั้งในครบบริบูรณ์ แล้วก็อยู่อย่างพืชกับอุตุแต่มีจิตเป็นปัญญา ครบรอบถ้วน
ธรรมชาติมีเหตุและปัจจัยที่เป็นไปตามบารมี
2 . ลูกฟังข่าว หลายประเทศในโลกเดือดร้อนมาก มีสงคราม มีภูเขาไฟระเบิด มีน้ำทะเลสูงขึ้นเพราะน้ำแข็งขั้วโลกละลายเป็นต้น ช่วงนี้ทางบ้านลูกอยู่ร้อยเอ็ด อากาศร้อนมากถึง40องศา แดดร้อนแผดเผาผิวไหม้ค่ะ อยู่ๆฝนก็ตกลงมาเปลี่ยนร้อนเป็นเย็น ทำให้ลูกคิดถึงพ่อครูทันทีค่ะ ลูกว่าบารมีของพระโพธิสัตว์ที่จะช่วยปกป้องโลกไว้ทั้งโลกให้ภัยวิกฤติที่หนักเป็นเบา ลูกขออนุญาตถามพ่อครูว่า เป็นได้ไหมคะ
พ่อครูว่า…ไม่ได้ อาตมาไม่มีฤทธิ์แบบนั้น อย่ามาโมเมเสียให้ยาก อย่ามาหลอกใช้ ไม่หลงลมหรอก มันเป็นธรรมดาธรรมชาติ แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่เป็น อจินไตย เป็นเรื่องลึกซึ้ง
ธรรมชาตินี่แหละมันจะลงตัวทีเดียว กับบารมีของบุคคล เช่น ธรรมชาติวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 พระพุทธเจ้าจะต้องประสูติ หรือตรัสรู้ หรือปรินิพพานในวันเดียวกันนั้น อันนี้เป็นเรื่องลงตัวที่จะลงตัวอย่างที่เรียกว่า คุณอยากได้คุณก็ไม่ได้ ถ้าคุณไม่ได้ปฏิบัติให้มีบารมีลงตัวได้ ปฏิบัติได้แล้วจะเห็นได้ว่ามีเรื่องที่เกินคิดเป็นไปได้ปานฉะนี้
จึงทำให้คนที่ไม่รู้จักเหตุไม่รู้จักเหตุผล ก็เลยเป็นพวกยึดเป็น ฤทธิ์เป็นเดช เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นี่คือสายศรัทธาที่ไม่มีปัญญาก็เลยไปหลง แต่มันเป็นจริง ผู้มีปัญญาก็จะรู้ว่าอันนี้มาแต่เหตุ ผู้ไม่มีปัญญาไม่รู้จักเหตุจึงเป็นไสยศาสตร์ สายศรัทธา แล้วก็ไปโมเมว่าตัวเองมีฤทธิ์เลอะเทอะใหญ่ ก็หลอกคนไปเยอะพวกสาย ศรัทธา โมเมว่า ฉันบันดาลได้
ยิ่งรู้ทางอุตุนิยมวิทยา ก็เอาความรู้ทางอุตุวิทยาทำนาย เลยแม่นใหญ่เลยอย่างโน้นอย่างนี้ คนรู้ตัวก็หนีทันใช่ไหม ธรรมชาติจะเป็นอย่างนี้คนรู้ก็จะหนีทัน ก็เลยเก่งใหญ่เลยวิเศษใหญ่เลย ไปรู้จักทางอุตุนิยมวิทยา
ถ้าขัดแย้งกับความจริงมีแต่จะไปสู่นรก
_สุธน ไทรทอง · ผมกับน้องชายเราเป็นคู่แฝดกันครับอายุ45ปีครับ เราทั้งคู่เคยโง่กันมากครับไม่เคยสนใจธรรมะเลย แต่ได้มาพบธรรมะของพ่อท่านฟังแล้วเข้าใจครับ และนำไปปฏิบัติ ลด ละ จาง คลายได้ตามลำดับครับ ตอนนี้ผมกับน้องชายติดตามฟังธรรมะของพ่อท่านตลอดครับ ผมกับน้องชายขอขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงสุดครับ ถ้าไม่พบธรรมะของพ่อท่านผมกับน้องชายคงยังโง่อยู่ และไม่รู้จะเข้าใจธรรมะได้อย่างไร
พ่อครูว่า… คุณมีบารมีเก่านะ ถ้าไม่ได้พบอาตมาจะเข้าใจยาก คนที่จะเข้าใจเองโดยไม่ต้องฟังจากสัตบุรุษ ไม่ต้องฟังจากผู้รู้นั้น เป็นบารมีของเขามา คนที่อวดดีว่าฉันมีบารมีไม่มาฟังโพธิรักษ์ หรือจริงๆฟังโพธิรักษ์พูดก็บอกว่าฉันต้องรู้ของฉันเองและต้องแบบของฉัน อย่างนี้แหละจะเป็นคนที่ดักดาน จะโง่ไปอีกนาน เพราะว่าไม่ยอมรับสัจจะที่จริง นึกว่าตัวเองเป็นสัจจะ นึกว่าตัวเองเป็นสัจจะทั้งที่เขาเป็นสัจจะจริงยืนยันให้ แล้ว มันจะต้องต่างกันความรู้ของเขากับความจริงมันจะต้องต่างกันใช่ไหม ความรู้ของเขากับความรู้ที่เป็นจริงมันจะต้องต่าง ถ้าคุณขัดแย้งความต่างกับความจริงตลอดเวลา ..ไปเถอะไป ถ้าหัวใจเธอจริงพอ.. แต่ไปสู่นรกนะ
กดข่มความเจ็บปวดมันไม่พาบรรลุธรรม
_ตุ๊ก อัศวิน · น้อมกราบขอบพระคุณ..’พ่อครู’..ที่กรุณาไขข้อข้องใจ..เรื่องกรรม/วิบาก ซึ่งเป็นเรื่องน่าประหวั่นพรั่นพรึงนัก เมื่อถึงคราวต้องเผชิญ..ในยามเจ็บป่วยได้ไข้ และ ถึงคราวต้องทำกาละ ละโลกนี้ พ่อครูไม่แนะให้ใช้เคล็ดวิชชา ‘กดข่ม’ ด้วยสมาธิ แต่ ให้ใช้วิชชา ‘กฏแห่งกรรม’ คือ เติมน้ำใส(ละชั่ว/ทำดี) เพื่อเพิ่มคุณภาพน้ำนั้นให้ใส..ใสสะอาดขึ้น..วิบากร้ายจักได้เบาคลาย!! จึงขอโอกาส โปรดให้ สัมมาทิฎฐิ กรณี เจ้าคุณนรรัตน์ฯ..ที่ท่านอาพาธด้วยโรคมะเร็งที่คอและกรามช้าง จนเน่าเฟะ แต่ท่านมิได้แสดงความเจ็บปวดให้เห็น และ ยังคงลงอุโบสถ ทำวัตรเช้า_เย็น มิได้ขาดนั้น แสดงว่า เจ้าคุณฯ ท่านกดข่มด้วย สมาธิ
กล่าวคือ..ท่านเจ้าคุณฯยังคงมีรับทุกข์เต็มร้อย แต่..ท่านไม่โอดโอย!!
หรือ ท่านเจ้าคุณฯ ใช้ วิชชา กดข่มด้วยสมาธิ..บรรเทาเบาคลาย..หรือ ระงับ ดับความเจ็บปวดนั้นได้..เจ้าคะ
พ่อครูว่า… จริง ท่านเป็นสายเจโต และท่านก็โดดเดี่ยว ท่านทำตัวโดดเดี่ยว ท่านมีบารมีระดับหนึ่ง ก็พยายามพากเพียรอุตสาหะ ท่านมีความอดทนพากเพียรสูงมาก มีความซื่อสัตย์สุจริต ท่านเองท่านเคารพในหลวง ร.6 ท่านเคารพอย่างสูง แล้วก็ออกบวชทดแทนที่ ในหลวงสิ้นพระชนม์ท่านก็ออกบวชตลอดชีพ
เป็นตัวอย่างของสายเจโตที่อดทนได้เก่ง พากเพียรอุตสาหะมาก เป็นตัวอย่างแก่โลกในยุคนี้ในความเป็นเจโต แต่ก็พอมีสัมมาทิฏฐิเพราะคุยกันกับอาตมารู้เรื่อง แล้วก็เห็นว่า อาตมานี่แหละ
อาตมาได้คุยกับท่านเจ้าคุณนรเป็นชั่วโมง ไปกับคุณสรวง ท่านไม่รับแขกนะท่านเจ้าคุณ เคยเล่าให้ฟังแล้ว คุณสรวงก็เป็นลูกศิษย์วัดเทพศิรินทร์ที่เจ้าคุณนรอยู่ ท่านก็ปิดกุฏิเงียบ ไม่โอภาปราศรัยกับใครเลย ทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นแล้วก็กลับเข้าไปในตึกของท่านตลอดปิด ซึ่งมันเป็นฤาษีอย่าง 100% เต็มที่เกินไป มันสุดโต่งเกิน แต่ท่านมีความพากเพียรอุตสาหะสูง
แล้วที่มีบารมีคือคุยกับอาตมารู้เรื่อง อาตมาไปถึงก็จะทำยังไงดี ท่านก็ไม่เคยออกมารับแขก ใครจะไปเคาะไปเรียกท่านก็ไม่รับแขก อาตมาก็ว่าแล้วจะทำอย่างไร คุณสรวงก็รู้ว่าถ้าเป็นอย่างนี้ท่านไม่รับแขกใคร อาตมาก็ลองๆดู
ท่านก็อยู่ในกุฏิ ปิดหน้าต่างปิดประตู เงียบ อาตมาอยู่ห่างจากตึกประมาณ 5-10 เมตร อาตมาก็บอกคุณสรวงว่าจะลองดู อาตมาตอนนั้นยังเล่นเจโตอยู่ ตอนเป็นฆราวาส เป็นนายรัก รักพงษ์ อาตมาก็ใช้วิชาของอาตมา เสร็จแล้วท่านก็เปิดหน้าต่าง พลั๊วออกมา คุณสรวงก็ตกใจ เป็นไปได้อย่างไร เขาเห็นอาตมาส่งจิตไป ท่านก็เปิดหน้าต่างออกมา ปั๊บ
เราก็บอก ขอนมัสการครับ ท่านก็ถามว่ามาทำไม อาตมาก็บอกว่าก็อยากจะมาทำความคารวะเคารพท่านครับ ท่านก็บอกว่าคารวะที่บ้านก็ได้ เราก็นึกว่าท่านจะตัดบท อาตมาก็เลยพูด ก็อยากจะมาโอภาปราศรัย มาได้รับธรรมะจากท่านบ้างครับ
เท่านั้นแหละท่านก็ว่าเดี๋ยว ปิดหน้าต่างแล้วท่านก็ลงมา ข้างล่าง ท่านก็อยู่ข้างใน อาตมาก็อยู่ข้างนอก คุยกันเป็นชั่วโมง จำไม่ได้แล้วว่าคุยอะไรกันบ้าง พอคุยกันเสร็จแล้ว ท่านก็บอกว่า..ขอให้บรรลุนิพพานเร็วๆ ก็จบ ปิดหน้าต่าง คุณสรวงบอก พระมาอวยพรให้ฆราวาสหนุ่มๆด้วย มาอวยพรให้ฆราวาสบรรลุนิพพานได้อย่างไร เพราะเขาก็มีความรู้เรื่องธรรมะด้วย คุณสรวงก็รู้ว่า นิพพานเป็นเรื่องสูงส่งไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ พระมาอวยพรให้ฆราวาสบรรลุนิพพาน แสดงว่าพระนี้จะต้องรู้ว่าฆราวาสคนนี้ปฏิบัติไปนิพพานนะ คุณสรวง อักษรานุเคราะห์ เป็นเจ้าของห้องอัดเสียงจาตุรงค์ อยู่เชิงสะพานหัวช้าง
_สู่แดนธรรม… ตามที่คุณตุ๊ก อัศวิน ถามมา เราต้องใช้พลังเจโตในการระงับความเจ็บปวดใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ถ้ามันสุดวิสัยจะใช้บ้างก็ได้ แต่มันไม่เห็นทุกข์ ถ้าคุณทำคุณก็กลบทุกข์เฉยๆด้วยอำนาจพลังงานชนิดหนึ่ง ที่เรียกพลังงานเจโต พลังงานสมถะ มันก็ทำให้ดับๆลืมๆไปได้ แต่มันไม่มีปัญญา มันไม่บรรลุธรรม มันไม่พาบรรลุธรรม มันได้แต่ชะลอ มันได้แต่ Symtomatic treament เท่านนั้นเอง รักษาตามอาการที่มันเจ็บปวดกดข่มมันไป มันไม่ได้ไปถอนเหตุไม่ใช่ Radical treatment ไม่ใช่ไปดับเหตุฆ่าเหตุ จะไปกดเหตุข่มเหตุไว้เฉยๆชั่วคราวมันเป็นการชลอ เฉยๆ
_สู่แดนธรรม… จริงๆแล้วผมคิดว่า ทุกขเวทนาขนาดนั้น ร่างกายก็จะรับทุกข์เป็นธรรมดา
พ่อครูว่า… ก็ต้องใช้ปัญญาสลายเหตุ มันก็หายไป เราก็จะรู้ได้ว่า อ๋อ.. เพราะเหตุมันดับ ทุกอย่างจึงดับ ทุกอย่างมาแต่เหตุ เหตุดับทุกอย่างก็ดับ
_สู่แดนธรรม… ผมเคยคิดว่า ถ้าเจ็บป่วย แบบที่เราเป็นกันแล้วเราไปมีอัตตาว่า ขอขันธ์ของเราจงอย่าเป็นอย่างนี้เลย
พ่อครูว่า…ชะลออยู่นานอย่างนั้น เสียเวลา แล้วหลงด้วย หลงว่า เป็นฤทธิ์เป็นเดชด้วย ซวย ให้ดับเหตุ มันเป็นวิบากก็รับวิบากไป หรือคุณทำกุศลวิบากเพลาทุกข์นั้นได้ ก็เห็นความจริงว่า อ๋อ.. เราทำเหตุ ที่เป็นกุศลไม่ใช่ไปหนีเหตุ มันก็เหมือนหมาไล่เนื้อ ไล่ไม่ทัน เราก็พ้นไปเรื่อยๆ
_และ..ขอโอกาสเพิ่ม อีกกรณีเจ้าค่ะ กรณีศึกษา..อีกเรื่อง..ที่มีความเชื่อ กันว่า การสวด โพชฌงค์ 7..ก็บรรเทาความเจ็บปวด..ได้ ดังปรากฏใน พตปฎ ว่า ยามที่ พระพุทธเจ้าป่วย ท่านก็ได้ให้สานุศิษย์ สวดโพชฌงค์..เจ้าค่ะ น้อมกราบ..ขอบพระคุณในความกรุณาอย่างยิ่ง..เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… โพชฌงค์ 7 นั้นเป็นปัญญาที่แท้จริง แต่ถ้าไปสวดโพชฌงค์ 7 แล้วหายปวดนั้นมันเป็นศรัทธาเป็นเจโต แล้วกดข่มไปด้วยบทการสวด กดข่มไปด้วยพลังงานการสะกดจิต สมถะ ที่ไปจดจ่ออยู่ที่การสวด เลยนึกว่าบทสวดมีฤทธิ์มีอำนาจ ทำให้หายเจ็บหายปวด มันก็บรรเทาด้วยอุปาทานชนิดหนึ่ง อุปาทานที่มันไม่เจ็บไม่ปวด คนที่แทงทะลุ กินเจภูเก็ต ไม่เจ็บไม่ปวด เขาก็จะต้องมาเข้าทรงก่อนคือสะกดจิต สั่งตัวเองให้ไม่เจ็บไม่ปวด แล้วเขาก็แทงทะลุ ที่เขาเล่นกัน พวกภูเก็ตเขาทำกันเต็มๆต่างๆนานา เลือดไหลโทรมก็ไม่เจ็บไม่ปวด มันเป็นได้ อาตมาก็ทำมานักทางด้านสะกดจิต เล่นหนังเหนียวฟันไม่เข้า กรีดกัน แต่ไม่เข้า เหนียวกระทั่งเอามีดมาเฉือนก็ไม่เข้า แต่แรงๆก็เป็นเส้น เลือดซิบๆเหมือนกัน มีดคมๆ มีดจะลองฟันกันจะต้องเอามาโกนขนก่อนนะ โกนร่วงเลย กรีดอย่างมากก็เลือดซิบ เก่ง หนังเหนียวทน เล่นไสยศาสตร์อาตมาเล่นอยู่ 8 ปี
เรื่องไสยศาสตร์ไม่ใช่อาตมาไม่รู้ เอาตัวเองไปทดลองไปเล่น ทางวิทยาศาสตร์ก็ทำ สะกดจิตแล้วพิสูจน์ ถึงได้รู้ว่า วิทยาศาสตร์นี้รู้กระจ่างแต่ตื้น ไสยศาสตร์นั้นมืดแต่ลึก มันก็ 2 ทิศ พุทธศาสตร์สว่างหมดเลย ไม่มีจากลึกมาตื้น จากมืดมาสว่างหมดเลย
การสวดโพชฌงค์ 7 จึงเป็นเจโต เป็นการอาศัยบทสวดกดข่มระงับความเจ็บปวดได้ อย่างเจ้าคุณนรฯ เจโตแท้เลย ซึ่งมันก็ยากที่จะฟื้น ที่จะมารู้ความจริงตามความเป็นจริงแล้วยอมรับความจริงตามความเป็นจริง ก็ไปตามวิบากใครวิบากมัน
ทานสูตรทำทานให้ถึงพระพรหมทำอย่างไร
_วันดี ศรศูนย์ · กราบนมัสการถามพ่อครูเจ้าค่ะ
-
นาย ก. มักเอาเงิน สิ่งของเครื่องใช้ ให้กับนาย ข. แต่เวลาที่ นาย ก.ไม่สบอารมณ์ ก็จะพูดกับนาย ข.ว่า รู้อย่างนี้ไม่ให้เงินก็ดี ถามว่า นาย ก.ให้เงิน สิ่งของ แบบหวังผลตอบแทนใช่มั้ยเจ้าคะ และนาย ข.ควรเลิกรับเงิน จากนาย ก. ดีกว่ามั้ยเจ้าคะ
พ่อครูว่า… ที่จริงก็บอกเขาว่าทำทานแล้ว หวังผลตอบแทนก็เป็นตัวตนไม่ได้ละตัวละตน ไม่ได้ตัดปล่อย ตัดทิ้ง
ทาน ถ้าไม่มีจิตไปผูกพันไปหวังผลตอบแทนเลย เรียกว่าไม่มี สาเปกโข พระพุทธเจ้าสอนไว้ในทานสูตรชัดเจน แล้วยิ่งไปตกผลึกว่าเป็นของฉัน ก็ยิ่งยึดเป็นตัวเราของเรา ยิ่งไปสะสมเป็นคลังเลย สันนิธิเปกโข ใส่คลังใส่เซฟไว้ ยิ่งบอกว่าชาติหน้าฉันตายไปแล้วจะได้กินทานของฉัน พวกนี้ไม่ได้ไปผุดเกิดง่ายๆหรอก ตายแล้วก็มีแต่จะจมอยู่กับไอ้พวกนี้แหละ อยู่กับตัวตนของเราของกูของกู ไม่รู้จักจบ ไอ้นี่ไม่ใช่ทานสูตร
สวรรค์ 6 ชั้นก็ไม่มี สำหรับผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วไม่มี สวรรค์ 6 ชั้น ก็คือภพที่เสพติด ตั้งแต่ชั้น จตุมหาราช คือชั้นที่ไปบุกรุก เบ่งข่ม แย่งชิง 4 ทิศ เรียกว่า จตุ
ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง
อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว
-
ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ
-
มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ
-
มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ
-
ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ
อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี เป็นอาการเก๊ อาการที่ 32 อาการสุขลวง
อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี คืออยากให้ความสุขนี้อยู่ยาวนานให้ได้มากที่สุดไม่ยอมหยุดยอมพัก ใครจะสอนให้หยุด เย็น เลิก เขาก็ไม่รู้ เขาก็ไม่เชื่อ เขาก็ไม่เอา นอกจากไม่เอาแล้วยิ่งหาพวกสารพัด
อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้
อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ คือสร้างเองเนรมิตเองได้ตามใจ มีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชใหญ่
อันที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ(อตฺตมนตาโสมนสฺสํ) สวรรค์ชั้นที่ 6 คือยิ่งมีผู้อื่นมาร่วมเนรมิตสร้างสรรค์ให้ยิ่งหนักยิ่งใหญ่เข้าไปใหญ่เลย อตฺตมนตาโสมนสฺสํ สร้างพรรคพวกให้มาลงนรกกัน เสร็จแล้วปลื้ม ที่เอาเปรียบเขาได้ฆ่าแกงเขาได้ ชนะเขาได้หลอกเขาได้ เหมือนอย่างธัมมชโย หลอกเขาได้ให้มาทำบุญแล้วมาทำกับตัวเองนะ ตัวเองร่ำรวยให้คนอื่นปิดบัญชีหมดเลย เอามาทำทานให้แก่หลวงพ่อ แล้วคนก็งมงายหลอกกัน
อันที่ 7 สหายแห่งพรหม คือทำทานอย่างมี จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร ทำทานเพื่อลดกิเลส)
พรหมคือจิตสะอาด เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังไม่รู้จักการจัดการทำจิตของตนเองให้ลดละจางคลายขึ้นมาด้วยบุญ ด้วยพลังงานที่เป็นอาวุธฆ่ากิเลส ลดกิเลสให้ได้ด้วยบุญ ซึ่งไม่ง่าย เป็นความซับซ้อน ที่อธิบายได้ยากแต่อาตมาก็พยายามอธิบาย
คำว่าบุญ ไปหลงว่าเป็นกุศล ซึ่งมันเสื่อมหนัก ศาสนาพุทธนี้เสื่อมหนักที่ไปเข้าใจคำว่าบุญเป็นกุศล เพราะบุญนั้นเป็นพลังงานของจิตที่เลวร้ายที่สุด เพราะฉะนั้นผู้ที่ทำบุญสำเร็จนี้จะต้องแรง ฆ่ากิเลสให้ได้
บุญเป็นอาวุธร้าย แต่มันเป็นพลังงานจิต ที่เป็นฌาน 1 2 3 4 ฌานอันสุดท้าย อาตมาเคยอธิบายเป็นรูปธรรมว่าเหมือนเพชฌฆาตมือสุดท้าย
มือ 1 2 3 ฟันมาแล้วจริงๆมันตายแล้ว แต่เพื่อที่จะให้ตายเด็ดขาดจริงๆ ต้องถึงมือบุญ เพชฌฆาตมือสุดท้าย กิเลสตายเสร็จแล้ว เด็ดขาด บุญก็เลิก จบกิจ บุญก็ไม่มีอีกบุญก็ไม่ทำ ปุญญปาปปริกขีโณ ก็สิ้นบุญสิ้นบาป
พระอรหันต์คือคนไม่มีบุญ คนสิ้นบุญแล้ว บาปก็หมดแล้ว บุญหมดแล้วไม่มีฟื้นอีก เป็นเอกังสะ เป็น one way Traffic เป็นคนทางเดียว สายเดียว ไม่มีโค้ง ไม่มีงอ ฆ่าแล้วหายไปเลย ฆ่าได้ก็หาย ฆ่าไม่ได้ก็หายไปเหมือนกัน ฆ่าไม่สำเร็จคุณก็ต้องสร้างบุญใหม่อีก แต่ถ้าฆ่าได้สำเร็จจบกิจแล้ว เรียบร้อย บุญก็ไม่มีอีกเลย พระอรหันต์เป็นคนหมดบุญเพราะฆ่าบาปได้เกลี้ยงเสร็จแล้ว จบกิจ ไม่มีฟื้น ไม่มีอะไรที่จะวนมาอีกแล้ว
จึงเป็นเรื่องที่ยากที่จะเข้าใจคำว่าบุญ ฟังดีๆกว่าจะเข้าใจคำว่าบุญได้แล้วสร้างพลังงานให้เกิดบุญตั้งแต่ฌานที่ 1 ก็เริ่มต้นมี อุณหธาตุ มันรู้จักกิเลสแล้วทำให้กิเลสลดเป็นลำดับ ฌาน 1 2 3 4 ก็ทำให้กิเลสลดไปทีละ 25 ๆ เป็น 50 เป็น 75 จนถึง 100 ครบ แล้วก็ประหารมือสุดท้ายด้วยอุเบกขา อุเบกขาเวทนาสูงสุด
คือพยายามสำทับเนกขัมมะ จนกระทั่งเป็นอเนญชา อเนญชาแล้วอเนญชาอีก สั่งสม ตกผลึกลงด้วยกิเลสหมด แล้วก็ตกผลึกตั้งมั่น
กิเลสนั้นคือ กิเลสแท้ๆชัดๆตามแบบที่รู้จักกิเลสตั้งแต่ 1. สราคจิต (จิตมีราคะ) 2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ) 3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ)
เจโตปริยญาณ 16 คือวิปัสสนาญาณข้อที่ 5 วิชชาข้อที่ 5 หากไม่รู้จักเจโตปริยญาณ 16 คนนี้ไม่บริบูรณ์ ไม่รู้จักรูปนามรูป 28 รูป รูป 24 ฆ่า กิเลสไปตามขั้นตอน
-
สราคจิต (จิตมีราคะ) 2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ) 3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ) 4. วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ) 5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ) 6. วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
ทำได้แล้วมันจะแบ่งเป็น 2 สาย
-
สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) สายเจโต ก็ต้องทำให้มันออกให้ได้
-
วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)
ทำได้แล้วมันก็เจริญขึ้น มหะคือมาก อัคคะคือเลิศยอด
-
มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) คือทำได้ ทำไม่ได้ก็10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)
นี่คือเครื่องวัดความเจริญ คุณไม่รู้พยัญชนะมาก แต่ก็ต้องรู้สภาวะต้องมีญาณรู้ ว่าอ๋อ เราทำได้เจริญขึ้นหรือไม่เจริญ แล้วจะเดินไป สู่
-
สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) มันจะมีปฏิภาณรู้ว่ากิเลสยังไม่หมด ดีกว่านี้ยังมีอีกยังไม่สุดท้ายจะต้องเป็น 12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) คือไม่เหลือแล้ว ดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว แต่ก็ต้องตรวจสอบอีก 2 สภาพ
1.ทำให้กิเลสหมดอย่างบริสุทธิ์ อุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นวิมุติ สะอาดบริสุทธิ์หลุดพ้นแล้ว
2.ตกผลึกเป็นจิตตั้งมั่นอย่างมี เจโตปริยญาณ 16 ไม่ใช่ สะกดจิตอย่างเป็นเจโตสมาธิ เขาก็ตั้งมั่นแต่ไม่มี เจโตปริยญาณ 16 ไม่มีญาณปัญญารู้หลักเกณฑ์มาตรวัดทั้ง 16 ขั้นนี้ เขาไม่รู้หรอก พยัญชนะ ของพระพุทธเจ้ามีอยู่ให้เรียนรู้แม้จะเรียนรู้อภิธรรมมา เขาก็ไม่รู้สภาวะเหล่านี้ พวกเรียนอภิธรรมได้แต่ตรรกะพยัญชนะเหตุผลอธิบายได้อย่างคล่องปาก แต่เขาไม่เข้าถึงสภาวะ จึงกลายเป็นคน ปทปรมบุคคล เป็นคนบัวใต้โคลน เป็นคนที่รู้มาก สาธยายอยู่ก็มาก จำได้ก็มาก สอนคนอยู่มาก แต่ไม่บรรลุธรรมในชาตินั้นไม่ได้บรรลุธรรม น่าสงสาร ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเขาก็เป็นของเขาเอง
-
สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) 14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) 15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . . 16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)
เพื่อนที่ด่าเราลับหลังเราควรคบต่อไปหรือไม่
-
เราคบเพื่อนคนหนึ่ง ต่อหน้าก็พูดกับเราดีมาก แต่ก็พูดด้อยค่าเราลับหลัง เราควรเลิกคบคนๆนี้มั้ยเจ้าคะ กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ