660120 วิญญาณฐิติ 7 ปฏิจจสมุปบาท และวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1RF9ONnXS9hDyA3StHujMhM_QdhZrWQenYlTrINcAnRg/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1hHBi5AfEvJF4QHB-xeDHpj6RlNUrsQb_/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/DxvE8yRAjIc
และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/728853541929339
สมณะเดินดิน… วันนี้วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2566 ที่บวรสันติอโศก วันแรม 14 ค่ำเดือนยี่ ปีขาล วันนี้เป็นวันโกน พวกเราก็ได้ประชุมบวรต่างๆของชาวอโศก ที่จะได้ข้อสรุปในการจัดงาน วันอัฏฐาริยสัจจายุ วันแห่งความรักของรัก รักพงษ์ ครบรอบพ่อครูอายุ 88 ปี 8 เดือน 8 วัน แต่ละที่มีมติสอดคล้องกัน ส่วนใหญ่จะจัดงาน 3 วันเป็นหลัก รวมทั้งที่สันติอโศก ซึ่งสันติอโศกเป็นเซ็นเตอร์ในการนำเสนอกิจกรรมต่างๆ ก็คงจะมีที่นี่เป็นสถานีถ่ายทอดหลัก จะมีโรงบุญ ซึ่งที่สันติอโศกดูเหมือนจะมีมากที่สุด
งานวันแห่งความรักของรัก รักพงษ์ อาตมาอยากให้ชาวอโศกตระหนักว่า เป็นช่วงเวลาที่ให้พ่อครูได้พัก ไม่น่าจะเป็นวันที่พ่อท่านมาแสดงความรักเพราะว่าพ่อท่านแสดงความรักมาตลอด 50 ปีแล้ว ดังนั้นพวกเราพยายามมาสตาร์ทสิ่งเหล่านี้
เริ่มต้นจากแวดวงของพวกเราก่อนที่มีสารานียธรรม ใกล้ๆกันรอบตัวเรา เด็กมาอยู่ใกล้เราคนชรามาอยู่ใกล้เรา บางคนรบกันมา 30-40 ปีจนหมดแรง ค่อยๆอ่อนแรงลงไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีเวลาเยียวยาดูแลฟื้นฟูสุขภาพกันทั้งเพื่อนนักรบและตัวเราเอง เป็นจุดที่พวกเราน่าจะได้คิด
มีตัวอย่างของคนที่อายุ 80 ปีแล้วยังแคล่วคล่องว่องไวเรียกว่า 80 ปียังแจ๋ว จะมีตัวอย่าง 80 ปียังแจ๋วให้ดูว่า ถ้าเราอยู่ไปแล้ว 80 ปีอย่างนี้ก็น่าจะอยู่เหมือนกัน ก็มีตัวอย่างถ้าพ่อครูอายุ 100 ปี พวกเราก็อายุใกล้ๆ 80 ปี จะมีสุขภาพดีอย่างนี้ได้อย่างไร
แต่ว่า พ่อครู มาอยู่ที่สันติอโศกแล้วรู้สึกว่า low batt. อยู่ไปแล้วแบตเตอรี่อ่อนไปเรื่อยๆต้องหาที่เก็บตัว เป็นช่วงหนึ่งที่พ่อครูต้องกลับไปชาร์จแบตที่บ้านราช ถ้าหากแบตเตอรี่ไฟขึ้นก็น่าจะได้กลับมาที่สันติอโศก ถ้าหากไฟไม่ขึ้น ก็คงได้ดูทางซูมด้วยกัน แต่พวกเราตกลงกันว่า อย่างไรอย่างไร ปีนี้ไม่ได้จัดรายการให้พ่อครูไว้เลย ก็มีแต่รายการของสมณะ สิกขมาตุและญาติธรรม
แต่ถ้าพ่อครูฟิตขึ้นมาบอกว่าจะเทศน์แล้ว พวกเราก็วิ่งกันมาฟัง พ่อครูว่าง เป็นรายการที่พ่อครูอยากจะคุยกับลูกๆเมื่อไหร่ก็เป็นธรรมชาติ ให้เป็นไปตามธรรมชาติ
ตอนนี้เราจะให้พ่อครูพักสบายๆ กรรมการที่นี่ก็โอเค พ่อครูจะอยู่จะไปจะมาสันติอโศกไม่ล็อคเอาไว้ ทำอย่างไรก็ได้ที่ทำให้พ่อครูสุขภาพดี
งานปลุกเสกจัดที่บ้านราชตั้งแต่วันที่ 4 ถึง 10 เมษายน เรามีเวลา พัก อยู่ 3 วันแล้วงานตลาดอาริยะก็จะเริ่มวันที่ 13-15 เมษายน ส่วนงานปลุกเสกพระแท้ๆจะอยู่วันที่ 4 ถึงวันที่ 10 ส่วนงานพุทธาภิเษกปีนี้จะจัดอยู่ที่ปฐมอโศก วันที่ 5-11 มีนาคม 2566 ส่วนงานปลุกเสกฯ จะอยู่ตั้งแต่วันที่ 4-10 เมษายน 2566
SMS วันที่ 18-19 มกราคม 2566
หุ่นขี้ผึ้งพ่อครูและความกระชุ่มกระชวย
_ฟังฝน… พอหลวงปู่มาพี่น้องเกิดความกระฉับเฉงมากค่ะ ทำอย่างไรพลังกระชุมกระชวยนี้จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องคะ ดีค่ะ เห็นหลวงปู่มีพลังเต็มเปี่ยม เต็มที่ แม้สมเด็จพ่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อยู่แล้ว …. พลังดังกล่าวจะเกิดแก่ลูกๆ ได้อย่างไรเมื่ออยู่ห่างไกลพ่อครู หรือเมื่อไม่มีพ่อครูค่ะ ….
พ่อครูว่า… หุ่นขี้ผึ้งของอาตมาอยู่ในท่า ไม่เหมือนใครในโลกไม่เหมือนพระเกจิอาจารย์ พระดังไหนๆ เขานั่งสมาธิ อาตมาอยู่ในท่าไม่เหมือนเขาเลย ปุ้งเต้า เซาสิ้ว ถือไม้กวาดกับที่ตักผง หุ่นขี้ผึ้งก็จะออกมาในรูปนั้น ก็คงจะแบกไม่เหมือนใคร
ที่จริงมันมีความหมายดีมากนะ มันเป็นความหมายที่ตรงกันข้ามกับความคิดของกระแสหลัก ความคิดของคนส่วนใหญ่ชาวพุทธส่วนใหญ่ ที่มันเสื่อมแล้ว มันผิดเพี้ยนไปแล้วว่า ภิกษุหรือพระนักบวชของศาสนาพุทธจะต้องเป็นคนชนิดที่นิ่งๆ ไม่กระดุกกระดิก เซื่องๆช้าๆ ซึมๆซึ่งไม่ใช่เลย
จิตต่างหาก นิ่ง จิตไม่มีกิเลส แต่แคล่วคล่องมาก แววไว มีมุทุภูตธาตุ ออกทางวจีกรรม กายกรรมก็เร็วไว ไม่ได้เซื่องเลย สิ่งเหล่านี้มันเป็นความเสื่อมของความรู้ความจริงของศาสนาพุทธที่มันเพี้ยนไป คนละเรื่องกันเลย
อาตมานำกลับมาเพื่อยืนยันพิสูจน์ เอาพระไตรปิฎกมาอ่านก็แล้ว ก็ยาก มันเสื่อมไปไกลมาก เดี๋ยวจะต้องพูดความเสี่อมอีกหลายอย่าง
สมณะเดินดิน… วันนั้น ช่างเขาดูรูปที่พ่อท่านนำเสนอ เขาตกใจเลย เราคุยกับเขาก่อนแล้วว่าเราไม่อยากได้รูปเหมือนพระเกจิทั่วไปนั่งแข็งโป๊ก แต่พอเขาเห็นรูปพ่อท่านกับปุ้งเต้าเซาสิ้วเขาว่าใช่เลย
ถามมาว่าทำอย่างไรจะกระปรี้กระเปร่ากระชุ่มกระชวยเหมือนอย่างอาตมาอยู่ ก็ตัวเองนั่นแหละทำไมเรากลายเป็นคนเซื่องซึมมันจะถูกหรือ กระชุ่มกระชวยกระปรี้กระเปร่ามันกลับแข็งแรงสดชื่นดีนะ อันนี้ไม่ใช่เรื่องหลอก ไม่ใช่เรื่องพูดประเล้าประโลมนะ เป็นเรื่องจริง ถ้าไปทำเซื่องซึมมันเดี๋ยวตายไว บอกให้ทราบก็แล้ว
_คุณณัฐวุฒิ : ผมอยากถามที่เกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท ครับ
นามรูปคือ 2 สภาพ กระทบผัสสะกันเข้า เกิดอายตนะ เป็นสภาพ 2 นี่แหละรวมเป็นเวทนา 1 ความรู้สึกอายตนะ 2 กระทบกัน แล้วก็เกิดอาการขึ้นมาให้รู้เรียกว่า เวทนา ในเวทนานี้มีเหตุแห่งทุกข์ที่ชื่อว่า ตัณหาอุปาทาน พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ พูด ครับผมจะพิจารณาเวทนาอย่างไร ครับ
นามรูปคือ 2 สภาพ กระทบผัสสะกันเข้า เกิดอายตนะ เป็นสภาพ 2 นี่แหละรวมเป็นเวทนา 1 ความรู้สึกอายตนะ 2 กระทบกัน แล้วก็เกิดอาการขึ้นมาให้รู้เรียกว่า เวทนา ในเวทนานี้มีเหตุแห่งทุกข์ที่ชื่อว่า ตัณหา อุปาทาน พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ พูด ครับ ผมจะพิจารณาเวทนาอยางไร ครับ
พ่อครูว่า… ขอฝากไว้ก่อน เดี๋ยวอ่านคนอื่นจบแล้ว จะมาอธิบายเรื่องนี้ ปฏิจจสมุปบาท นี่แหละ ซึ่งเป็นเรื่องที่อาตมาอยากจะอธิบายหลายทีแล้ว อธิบายให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องมีต้องรู้และปฏิบัติเสมอ ไม่ใช่เรื่องอยู่ในตำราอยู่ในตัวหนังสือ แต่เป็นเรื่องของชีวิตเลยที่เราจะต้องมีปฏิจจสมุปบาท
ปฏิจจสมุปบาท แปลว่า การมีเหตุมีปัจจัยแก่กันและกัน เพราะอย่างนี้จึงเป็นอย่างนี้ หรือเรียกอีกคำ synonym ก็คือ อิทัปปัจจยตา หรือว่าปัจจัยการก็ได้ มันจะเป็นอย่างนี้อย่างนี้ต่อเนื่องกันไปตลอดเวลา
ถ้าเราไม่เข้าใจไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท คือผู้ที่มีอวิชชาตลอดกาล เดี๋ยวจะกลับมาอธิบายรายละเอียดของปฏิจจสมุปบาท
วิญญาณฐิติ 7 กับ สัตตาวาส 9 นัยละเอียด
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
ลูกได้ฟังพ่อครูเรื่อง วิญญาณฐีติ๗ พอเข้าใจได้บ้าง บางส่วนก็ตักกะเอา ส่วนที่ลูกตักกะและสงสัย คือ
ในข้อ๑ น่าจะเป็นภูมิของสัตว์ที่ต่ำสุด เพราะกายก็ต่างกัน สัญญาก็ต่างกัน
เมื่อเปรียบเทียบข้อ๒ กับข้อ๓ แล้ว ภูมิของสัตว์ข้อไหนสูงกว่ากันคะ
น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… วิญญาณฐิติ 7 มีสองคำคือ กายกับสัญญา ที่ตรัสไว้ให้ศึกษา
ต้องเข้าใจคำว่า กายคืออะไรและสัญญาคือเจตสิกคือจิตเจตสิก มันทำงานอย่างไร มันจะทำงานร่วมกันคือ มีกาย
กาย คือ ภาวะสอง รูป กับ นาม ที่อยู่ร่วมกัน กายไม่มี 1 กายมี 2 เสมอ มีรูปกับนาม มีภายนอกกับภายใน เป็นต้น
กาย หรือ อายตนะ อายตนะ คือการกระทบสัมผัสแล้วเกิดสภาพ 2 นั่นแหละ กายตนะ สภาวธรรมมันอันเดียวกันแต่มันเกิดกันคนละ กาละ คนละขณะ ก็เรียกมันเป็นชั้นๆไป
เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถรู้จัก อาการของสัญญา ใช้อาการของสัญญา คือ อาการที่มันมีสองอย่าง สัญญาคือ มีหน้าที่
-
กำหนดรู้
-
จดจำ
มี 2 หน้าที่ของมันยิ่งใหญ่ทำงานหนัก ในคนนี้ใช้สัญญาหนัก ใช้สัญญาทำงานทุกขณะกำหนดรู้อันนั้นอันนี้ หลับก็ปล่อย ให้ความจำทำงานอย่างเดียว ฝันเลอะเทอะ ฟุ้งซ่านไปก็เป็นสิ่งที่ความจำทำงานตามสังขารของความจำปรุงเข้าไป ไม่มีสติเข้าไปควบคุม
แต่เมื่อเวลาคนไม่หลับ ตื่นรู้ มีสัมผัสเป็นปัจจัย นอกจากคนเบลอๆลอยๆ ปล่อยจิตฟุ้งซ่านไปก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเผื่อว่ามีความตื่นกำหนด ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ก็รู้ จิตเจตสิกพวกนี้จะทำงานเร็วรู้เร็ว
เพราะฉะนั้น วิญญาณฐิติ 7 พระพุทธเจ้าสรุป จะต้องเรียนรู้แล้วก็เป็นตัวจบ วิญญาณฐิติ 7 เป็นตัวจบของการตรวจสอบภูมิธรรม ภูมิธรรมของคน ที่ถามมานะถูกแล้วว่า ข้อที่ 1 เป็นภูมิต่ำสัตว์ชั้นต่ำสุด
กายต่างกันสัญญาต่างกัน หมายความว่า สิ่งที่มันประชุมกันเป็นกาย กายต้องเรียกว่าเป็นองค์ประชุม มันไม่อยู่เดี่ยว หรือหมู่กลุ่ม พจนานุกรม แปลไว้อย่างนี้เลย กายนี่ คือองค์ประชุมของเจตสิก เวทนาเป็นต้น สัญญาเป็นต้นสังขารเป็นต้น แปลอย่างนี้ตรงๆ
กาย ไม่ใช่สรีระอย่างเดียว ภาษาบาลีกายคือร่างข้างนอก คือ ดินน้ำไฟลมไม่มีจิตวิญญาณ แต่กาย ต้องมีจิตวิญญาณเป็นหลักเลย
เมืองไทยทุกวันนี้คำว่า “กาย”มันเป็นภาษาไทยแล้ว เป็นภาษาไทยสนิทแล้ว ทุกคนลองนึกดู ถ้าไม่ได้ฟังอาตมาแต่ก่อนนี้ยังไม่ได้ฟังอาตมาอธิบาย เข้าใจว่า กายคืออะไร คือร่างข้างนอกอย่างเดียวใช่ไหม ไม่มีจิตเข้าไปร่วมเลย นี่คือความเสื่อมความเข้าใจผิดของศาสนาพุทธ
คำว่า กาย ต้องรู้อย่างสัมมาทิฏฐิเป็นข้อต้นเลย มันคือต้องพ้น สักกายทิฏฐิ ในสังโยชน์ 10 ผู้จะเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าต้องเข้าใจคำว่ากายอย่างสัมมาทิฏฐิจึงเรียกว่าพ้นสักกายทิฏฐิ และก็อยู่ที่ตัวเรานี่แหละ มีทิฏฐิต้องรู้ สักกะคือเกี่ยวกับกายของเราเสมอ สัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ต้องรู้ทันแล้วต้องวิจัย ต้องรู้ว่า มันมีกิเลสแล้วก็กำจัดกิเลสออกได้ ถ้าได้ก็นั่นแหละ มีธรรมะ มีผลของธรรมะ กำจัดกิเลสได้ๆๆ มันก็มีหวังหมด
เพราะฉะนั้นการที่สัตว์อย่างที่ 1 ในวิญญาณฐิติ กายต่างกันสัญญาต่างกันหมายความว่า คนต่างคนต่างเละเทะไปหมด เข้าใจ กาย ผิดๆไปตามกันหมด ต่ำที่สุดถูกแล้วเป็นสัตว์ชั้นต่ำที่สุดถูกแล้ว
วิญญาณฐิติ 7 กับ สัตตาวาส 9 อันเดียวกันแต่ว่าวิญญาณฐิติ 7 นั้นคือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ส่วน สัตตาวาส 9 นั้นคือ ความไม่รู้เรื่องของคนตกเป็นสัตว์ ชีวิตเป็นสัตว์ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งหรือหลายๆอย่างอยู่ สัตตาวาส 9 อยู่ในสัตว์ 9 ชนิดนี้ ซึ่งเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณนะไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานมี 4 ขา 2 ขาสัตว์บกสัตว์น้ำไม่ใช่แต่คือคนนี้แหละเป็นสัตว์
เพราะฉะนั้นตั้งแต่ข้อที่ 1 ถึงข้อที่ 4 อันนี้เป็นสภาพรูปธรรม ผู้ที่ไม่รู้การประชุมกันของกายที่ทำงานแล้วกำหนดหมายอย่างสัมมาทิฏฐิไม่ได้
ในวิญญาณฐิติ 7 ก็จะมีทั้งสัมมาทิฏฐิและผู้ไม่สัมมาทิฐิ ไม่สัมมาทิฏฐิก็อธิบายอย่างผิดๆทั้งๆที่มันเป็นของถูกแล้ว วิญญาณฐิติ 7 เป็นของที่ถูกต้องสัมมาทิฏฐิแล้ว แต่มันก็จะไปบังคับคนไม่ให้ผิดได้อย่างไร เขาเข้าใจไม่ถูกมันก็ผิด ผิดมันก็จะกลายเป็น สัตตาวาส 9 ซึ่งมีทั้ง 7 ข้อของ วิญญาณฐีติ 7 แต่มันเห็นผิด แต่ไปแถมอีก 2 ข้อจึงเป็น สัตตาวาส 9
สัตว์มี 9 อสัญญีสัตว์ และ เนวสัญญานาสัญญายตนะ สองตัวแถมเข้ามา
ของศาสนาพุทธไม่ทำ อสัญญีสัตว์ เหมือนอย่างพวกที่นั่งหลับตาปฏิบัติธรรมที่เป็นโมฆะ คือไปปฏิบัติเพื่อให้เป็น อสัญญีสัตว์ เป็นสัตว์ที่ไม่มีการกำหนดหมาย ให้สัญญามันไม่ทำงาน ก็เลยไปเรียกแม้แต่คำที่ถูกต้องที่สุดเลยคือ สัญญาเวทยิตนิโรธ เขาก็เอาไปเรียกว่าเป็นการดับเวทนาดับสัญญา ดับอย่างบื้อๆดื้อๆทื่อๆ สัญญาทำหน้าที่กำหนดหมายก็ไม่ให้มันทำงาน เวทนาก็ไม่ให้มันรู้สึกอะไร จึงเรียกว่า อสัญญี ดับความรับรู้แข็งไปหมด เขาเรียกว่าเป็นพรหมลูกฟัก ทำได้เสร็จแล้วมันเข้าล็อคติดเลย แล้วก็ไม่รู้ตัวเองกลายเป็นตัวแข็งเป็นพรหมลูกฟัก เขาเรียกว่าเข้านิโรธได้เก่ง แข็งเลย ใครจะไปขยับอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนท่า แกะไม่ออก นั่งอยู่ในท่าไหน ขัดสมาธิอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น ดึงอย่างไรก็ไม่ออก ดึงก็หักเท่านั้นเอง อย่างนั้นเลย
นี่คือมิจฉาทิฐิเขาไปไกลมากเลย เพราะฉะนั้นปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธทุกวันนี้ชาวไทยนักปฏิบัติสายปฏิบัติทั้งหลาย ทำตนให้เป็น อสัญญีสัตว์ หรือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ
เนวสัญญานาสัญญายตนะ คืออะไร คือจะว่ารู้ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่รู้มันก็มีรู้อยู่บ้าง จะว่ารู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ เป็นคนเลอะเทอะงงๆวิจิกิจฉา ไม่รู้อะไรจริงไม่รู้อะไรจริงเลย แล้วปฏิบัติธรรมไปได้อย่างนี้มีผล 2 อย่าง ดับสัญญาบื้อไปเลยกับ ไม่ได้ดับแต่ไม่รู้อะไรจริงสักอย่างโง่บริสุทธิ์ โง่ครบส่วน และปฏิบัติไปเพื่ออย่างนี้จริงๆเขาได้อย่างนี้จริงๆนี่คือความเสื่อมที่บริบูรณ์ ความเสื่อมสมบูรณ์แบบของศาสนาพุทธ น่าสงสารจริงๆ
เพราะฉะนั้นกว่าจะมาเข้าใจวิญญาณฐีติ 7 ซึ่งเป็นสูตรที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ให้ตรวจสอบสุดท้าย รู้จักกายคือให้พ้น สักกายทิฏฐิ ในสังโยชน์ นี่คือข้อต้น เมื่อคุณเข้าใจกายและคุณจะไปปฏิบัติโลกุตระ 37
ใครจำได้ไหม โลกุตระ 37 คืออะไร
สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 นี่คือโลกุตตรธรรม 37
ข้อที่ 1 ของโพธิปักขิยธรรม คือ พิจารณา กายในกาย เป็นโลกุตรธรรม หลับตาไม่ได้มีกายเลย เริ่มต้นโลกุตรธรรมข้อที่ 1 ก็ไม่มีจึงเรียกว่าเป็นโมฆะ พวกนั่งหลับตาปฏิบัติธรรม ศาสนาพุทธไม่มีนั่งหลับตาปฏิบัติธรรม แต่ลืมตามีสติรู้ตัวทั่วพร้อม รู้จัก กาม กามคุณ 5 ที่เป็นกิเลสภายนอก ล้างกิเลสภายนอกออกไปหมด อำนาจของกิเลสภายนอก(กามาวจร) อยู่เหนือมันแล้ว เป็นโลกุตระแล้ว เหลือข้างในเป็นรูปาวจร เอารูปาวจร ก็ลืมตาสัมผัสอยู่นี่แหละ แต่กิเลสข้างนอกมันไม่ทำงานแล้วมันก็มีกิเลสเหลือเป็นชั้นอยู่ข้างในเป็น รูปาวจร และเมื่อดับกิเลส รูปาวจร เป็นรูปราคะ พวกนี้เป็นต้น หมดแล้วก็เหลืออรูปราคะ ก็ฆ่ากิเลสชั้นในอีก หมดอรูปราคะก็จบหมดเป็นพระอรหันต์กัน
เพราะฉะนั้นเขาไม่เป็นไปอย่างที่ว่านี้เลย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีเป็นสวากขตธรรม แต่เขาเข้าใจผิดเพี้ยนไปหมด ไม่เข้าร่องเข้ารอยเลย
เพราะฉะนั้น จริงๆแล้วผู้ที่หลุดพ้นแล้ว วิญญาณฐีติ 7 เป็นการตรวจสอบ แต่ตรวจสอบสิ่งที่เราเคยยึดเคยถือ เช่น วิญญาณฐีติ 7 ผู้ที่สัมมาทิฏฐิก็จะรู้ว่าแต่ก่อนเราเคย กายก็สารพัด สัญญาก็สารพัด ต่างกันไปหมด เพราะฉะนั้นมันจะรู้ว่า เออ อย่างนี้คือ สัตว์นรก ลักษณะกายหรือลักษณะรูปนาม อย่างนี้คือสัตว์นรก อย่างนี้คือเทวดา อย่างนี้คือมนุษย์
แต่สัตว์นรกต่างคนก็ต่างสัตว์นรก ไม่เหมือนกันเลย แตกต่าง เทวดาก็ตามมนุษย์ก็ตาม กำหนดหมายกันคนละอย่างคนละอย่าง นี่คือข้อที่ 1
ผู้ที่มิจฉาทิฏฐิก็จะเป็นอย่างนี้กำหนดหมายต่างกันหมด พูดเหมือนจะรู้เรื่องกัน แต่ไม่รู้เรื่องกัน เป็นพวกนิรมานกาย สัมโภคกาย อาทิสมานกาย มันเหมือนจะรู้เรื่องกันแต่มันไม่เป็นหนึ่งเดียวกันไม่รู้เรื่องกันทั้งหมดหรอก ไม่เหมือนกับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จะเป็นหนึ่งเดียวกันรู้เรื่องกันหมด นอกนั้นมันจะต่างกันไป เหลื่อมกันไปมากน้อยแล้วแต่
พอ วิญญาณฐีติ อันที่ 2 นั้น มีกำหนดหมาย กายต่างกัน สัญญาอย่างเดียวกัน กำหนดหมายอย่างเดียวกันคือ กำหนดหมายว่าไม่มีนิวรณ์ทั้ง 5 ก็เลยทำกัน พวกมิจฉาทิฐิก็ทำได้ เขานั่งหลับตาสะกดจิตไม่ให้มีนิวรณ์ 5 ให้เป็นปฐมฌาน มีความรู้อยู่บ้าง ไม่ใช่ดับอสัญญี มี วิตก วิจาร ปีติ สุข เขาก็มีไป เป็นฌาน 1 ของเขา
ผู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ก็ทำให้ไม่มีนิวรณ์ทั้ง 5 ได้แต่ไม่ได้หลับตา ผู้มิจฉาที่หลับตาก็ทำให้ไม่มีนิวรณ์ทั้ง 5 ได้ก็เลยเกิดกายต่างกัน คนหนึ่งหลับตาไม่มีนิวรณ์ อีกคนหนึ่งหลับตาไม่มีนิวรณ์ เป็นฌาน 1 ปฐมฌาน เห็นไหมว่า มันต่างกันคนละเรื่องเลย ต่างกันเพราะมิจฉาทิฏฐิ น่าสงสารอาตมาพูดไปแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาไม่ฟังอาตมา เพราะว่าเขาไม่เชื่อ อาตมาพูดว่าอาตมาเป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ อาตมานำเอาโลกุตตรธรรมมา เขาก็ทำไขหู เขาฟังเขาก็ไม่เชื่อ
ถ้าคนที่เอาใจใส่เขาอยากเป็นอรหันต์กันนะ มาบวช มาปฏิบัติธรรมเยอะนะ สายนั่งหลับตามีเยอะ นี่ไม่ได้ครึ่งเขาหรอก พวกเรามีจำนวนไม่ได้ครึ่งค่อนเขาหรอกที่นั่งอยู่ที่นี่ แล้วอาจารย์ใหญ่ๆของเขามา สถานที่แตกเลย มากันอย่างศรัทธามาก แต่พากันผิดไปหมด น่าสงสารจริงๆมันซ้อนอย่างนี้ อาตมาพูดแล้วก็เห็นความจริงว่า น่าสังเวชใจ น่าสงสาร พากันผิดกันไป เฮ่ย
อันที่ 3 กายอย่างเดียวกัน สัญญาต่างกัน มันก็จะเกิดสภาพเป็น อาภัสราพรหม จิตมันจะเกิดมีแสงสว่าง กายอย่างเดียวกันคือ สภาพของสิ่งที่ได้นั้นมันเป็นแสงสว่าง กายคือสภาพที่เป็นอายตนะ รูป นาม มันจะเกี่ยวกันแล้วเพราะต้องมีกายมันต้องมี 2 สภาพ มันก็จะเกิดสภาพสว่าง นี่อธิบายไปเป็นสภาวะจิตทั้งนั้น จิตเป็นแสงสว่าง
กาย อย่างเดียวกันเป็นแสงสว่าง แต่สัญญาคนละอย่าง พวกที่นั่งหลับตา แสงสว่างเขาก็จะต้องเกิดในตอนหลับตา อย่างทาง ธรรมกายธัมมชโยหลับตาแล้วก็กำหนดหมายใส ๆ ๆ ๆ แล้วเขาก็จะเห็นแสงสว่างกัน ใส เป็น กายอย่างเดียวกัน สว่างใส แต่ คนหนึ่งกำหนดสว่างใสที่ไหนหลับตา แต่ของพระพุทธเจ้านั้นไปหลับตามันจะเห็นใสๆอย่างไร มันก็จะเห็นดำๆมืดๆ เห็นไหม มันก็ผิดชัดๆ แต่เขาก็ใสๆ เป็นพวกตาใสตาบอด แต่เขาไปหลับตาแล้วจะเห็นความใส เสร็จแล้วก็เหมือนตาบอด ก็เลยกลายเป็นคนตาใสตาบอด ก็ไม่รู้จะเอาอย่างไร มันกลายเป็นอย่างนั้น นี่คืออันที่ 3
อันที่ 4 สุภกิณหา เป็นเทวดา ทางมิจฉาทิฏฐิเขาก็ยินดีใน กิณหาแปลว่าความมืดความดำ ก็ทำความดำความมืดนี้ได้เล็กกว่านี้รอดแล้ว เขาก็ว่าดีสุภะ น่าได้ น่ามี น่าเป็น
แต่สัมมาทิฏฐิจะรู้ว่านั่งหลับตา มันมืดก็คือมืด ลืมตามันก็ไม่ใช่มืดคือมีแสงสว่าง ปกติธรรมดา มืดก็คือมืด ไม่มืดก็คือไม่มืด ไม่ได้หลงเลอะเทอะเหมือนพวกมิจฉาทิฐิ
เพราะฉะนั้นวิญญาณฐิติข้อที่ 4 นี้จึงเป็นคนที่รู้จักความจริง สมบูรณ์แบบ นอกนั้น สัมมาทิฏฐิก็รู้ถูกต้องว่ามันมี กายต่างกันสัญญาต่างกันในข้อ 1 ข้อที่ 2 ก็ทำให้นิวรณ์หมดไป ทำให้นิวรณ์หมดแบบลืมตาก็เป็นสัมมาทิฏฐิ อันที่ 3 แสงสว่างเป็นแสงสว่าง
ถ้าหากอันที่ 4 ก็หลับตามันก็มืดลืมตามันก็มีแสงสว่างไม่สับสนในอาภัสรา ไม่สับสนใน กิณหา คือมืด
ส่วนอีก 3 ข้อนั้น อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ หมายความว่าคุณภาพหรือคุณสมบัติของจิตวิญญาณ ที่บรรลุธรรมแล้ว จาก 4 ข้อนี่ เป็น พระอรหันต์เป็นต้นก็จะรู้สภาพของ
อากาศคือความว่าง กับ วิญญาณคือธาตุรู้ กับ อากิญจัญญายตนะ คือความไม่มีกิเลส นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มีแล้ว วิญญาณฐีติ 7 ก็จบอยู่ที่ 7 นี้เท่านั้น ไม่ไป ignore จะว่ารู้ก็ไม่รู้ จะว่าไม่รู้ก็ไม่รู้ ยังงงๆงวยๆอยู่อย่างนั้น สุดท้ายก็เลยกลายเป็นคนไม่รู้เรื่อง กลายเป็นพวก ignorance ไม่รู้อะไร ไม่รู้จริงเลยอย่างนี้เป็นต้น เป็นพวก เนวสัญญานาสัญญายตนะ ของวิญญาณฐีติ 7 จึงไม่มีข้อนี้ข้อที่เป็น เนวสัญญานาสัญญายตนะ มีแค่ อากิญจัญญายตนะ หมดแล้วนิดหนึ่งก็ไม่มี น้อยหนึ่งก็ไม่มี ก็จบ ไม่ต้องสงสัยว่ามันจะหมดหรือไม่หมด จะมีหรือไม่ นี่คือวิญญาณฐิติคือมี 7 ไม่ต้องมี เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ส่วนผู้ที่มิจฉาทิฏฐิไปทั้งหมด แถมทั้ง อสัญญีสัตว์ แถมทั้งเนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นสัตว์ที่ผิดไม่ถูกต้องตามสัจธรรม ก็จะจมอยู่กับความเป็นสัตว์
เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าไม่เข้าใจ ไม่รู้ความจริง ไม่สัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติธรรมะไปอย่างไรก็ไม่พ้นจากความเป็นสัตว์ทั้ง 9 และก็เป็นหลายชนิดด้วย ดีไม่ดีเป็นทั้งหมด 9 ข้อเลย มันผิดไปหมดทั้ง 9 ข้อ
_ต้นบุญ ปฐมอโศก · กราบนมัสการค่า เมื่อวันพุธที่ 18 ม.ค. ที่ผ่านมาพ่อครูไอมากจัง ฟังแล้วรู้สึกใจไม่ดีเลยค่า
พ่อครูว่า… ก็ขอบคุณที่เห็นอกเห็นใจ ไอ มันกินแรง เมื่อย ก็คงจะตายเพราะไอนี่แหละ ไม่รู้ได้เมื่อไหร่ มันจะขาดใจ ไอแล้วขาดใจไปเลยสักวัน
ทำไมพ่อครูใส่นาฬิากาที่ข้อมือ เพื่อจับสัญญาณชีพ
_ธรรมจักร ชนะพรหมลิขิต : พ่อครูใส่นาฬิกาด้วยเหรอครับ
พ่อครูว่า… ใส่ โชว์เลย(ยกมือให้ดู) อันเบ้อเร่อ เป็นนาฬิกาที่จะวัด เขามีเครื่องลิงค์ไป เขาก็จะรู้ว่าอาตมาตอนนี้มีอาการอะไรต่างๆนานา ความดันเท่าไหร่ อะไรเท่าไหร่อยู่ในนี้มันบอก วัด เป็นเครื่องวัดอาตมาไม่ใช่อะไรหรอก ใส่นี่ ก็เลยแถมมดูนาฬิกาดูวันที่ด้วย นอกนั้นเขาก็ใช้เป็นอุปกรณ์อื่นตั้งเยอะ ใส่ไปนี่ เขาก็คอยดูได้ เขาก็เช็คได้ว่า อาตมาเป็นอย่างไรอย่างไรจะได้รู้ทัน อ้าว อาการไม่ดีแล้ว นี่เครื่องมันจะได้บอกอย่างหมอนี่เขารู้ดี มันเป็นเครื่องวัดเป็นเครื่องระมัดระวังให้อาตมา ไม่ใช่ใส่เพื่อความโก้อะไรหรอก นาฬิกาที่จะดูเวลา อาตมาก็มีแต่ไม่ได้ใส่ เขาเรียกว่านาฬิกาคนตาบอด คือ มันมีเสียงด้วย ถ้าไปตั้งเอาไว้มันดังทุกชั่วโมง มันก็จะดังทุกชั่วโมง กดดูแล้วมันจะมีเสียงด้วย บอกเลขได้ด้วยสำหรับคนตาบอด อาตมาก็มีอยู่แล้วแต่อันนี้เขาแถมมา ไม่ได้โก้ได้เก๋ ไม่ได้ทำเขื่องอะไรแต่คนเขาจะจับผิด เขาก็ว่าไป สารพัดจะว่า
_จรรยา ประเสริฐ · สมัยนี้ความเลวร้ายมาทุกรูปแบบ คนที่ว่าระวังแล้ว บางครั้งก็ยังแพ้มิจฉาชีพ ดิฉันโดนหลายครั้ง มีรางวัลมาให้บ้าง เวลารับโทรศัพท์ แต่ละครั้ง ที่ยอดฮิตคือ คุณต้องถูกฟ้อง เพราะใช้บัตรเครดิต เวลารับต้องตั้งสติไว้ก่อน แล้วกดรับว่าคืออะไร เพราะบางครั้งพี่น้อง เพื่อน โทรมามีธุระติดต่อ น่ากลัวจริง ๆ ค่ะ
พ่อครูว่า… ก็ถูกหลอกเพราะว่าตะกละ ก็เสียเงินหมื่นเงินแสนไปเพื่อจะได้เงินล้าน อาตมาไม่ได้ใช้โทรศัพท์ รับโทรศัพท์นั้นอาตมาเขาให้มารับโทรศัพท์ก็พูดไป กดไปก็ยังไม่ถูกเลย อาตมาไม่ต้องมีโทรศัพท์เลยก็สบาย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็ต้องรับเดี๋ยวก็ต้องโทรแฟนานุแฟนก็เยอะ ก็ตายพอดี
สมณะเดินดิน… ทุกวันนี้น่ากลัวคือเขาสามารถทำเสียงเหมือนกับพวกเราแล้วก็ขอความช่วยเหลือ คนของพวกเราก็คิดว่ากำลังเดือดร้อนก็รีบโอนให้ คือ คงต้องตกลงกับญาติธรรมเลยว่าห้ามจ่ายเงินทางโทรศัพท์ อย่าเพิ่งรีบด่วนฟังว่าเสียงเหมือนแล้วรีบจ่าย บางทีเขาโทรมาบอกว่า ต้องการความช่วยเหลือด่วน อะไรอย่างนี้
พ่อครูว่า… มันมีวิธีการที่จะหลอกล่อใช้คำพูดอย่างนี้แหละคน เอา ก็ระมัดระวัง คนมันสารพัดที่จะหากิน
คนถึงธรรมะแล้วจะเอาชีวิตเข้ามาสู่หมู่กลุ่ม
_ธรรมธารทิพย์ วงษ์รักษ์ มาลิณี · เข้ามาอยู่วัดได้ เพราะอานิสงค์แห่งการฟังธรรม ฟังบ่อยๆ โดนๆ ค่อยปรับไปๆ สาธุค่ะ
พ่อครูว่า… คนที่ฟังธรรมแล้วก็เข้ามาอยู่ในหมู่ในกลุ่ม เห็นจริงเลยว่าอยู่กับข้างนอก มันไม่ใช่ที่ที่เราจะอยู่ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันจะต้องเข้ามาอยู่ ต้องพยายามตัดเลยข้างนอก ชีวิตคนก็ไม่กี่ปีก็ตาย เพราะฉะนั้นคนที่เห็นจริง มีปัญญาจริง ไม่เอาแล้วเสียเวลาอยู่ข้างนอก ประเดี๋ยวก็จะตายเปล่า แล้วพวกเรานี่ก็พร้อมดี มันเป็นสารานียธรรม 6 พร้อมอยู่กันอย่างมีอะไรครบพร้อมอยู่แล้ว ทำตามธรรมะพระพุทธเจ้าที่อาตมาอธิบายหมดแล้ว ไม่ใช่พูดเล่นแต่เป็นจริง ไม่ได้พูดโก้ๆเท่านั้น แต่ว่าคนที่เขาไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ แต่พวกคุณเชื่อ พวกคุณเข้าใจ เพราะฉะนั้นเอาเถอะแต่ละคน เมื่อไหร่จะเข้ามาก็มา
_ซึ้งซื่อ วิเชียร :กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ ผมเห็นว่าปัจจุบันนี้ได้มีนักบวชชาวอโศกและอาจมีญาติธรรมบางท่านใฝ่ฝันจะออกจากหมู่ โดยหลงในโลกธรรมกัน เพราะไม่ปฏิบัติตนให้เข้าถึงแก่นของพุทธแท้ๆ ถึงพ่อท่านจะตำหนิแล้วตำหนิอีก เขาก็ยังไม่รู้ตัว ฉนั้นพ่อท่านควรจะใช้พระเดช หรือพระคุณกับเขาดีครับ กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า… ก็คงจะจริงนะออกไปแล้ว 2 องค์ คือแสนจนกับดาวดินออกไปแล้ว ในช่วงไม่นานนี้ก็ขอแยกออกไปก็แยก ไม่มีปัญหาอะไร
ที่เราพาทำมันเป็นโลกุตระ แต่ภูมิปัญญาเขายังไม่ถึง บารมียังไม่ถึง มันก็ต้องไปคลุกคลีกับสิ่งที่ต่ำอย่างนั้นอยู่เป็นธรรมดา อาตมาไม่ใช้พระเดชหรอก อาตมาก็ต้องใช้แต่พระคุณ แม้แต่จะว่าจะตำหนิเขาก็ต้องด้วยพระคุณ ไม่ได้เบ่ง ไม่ทำอะไรหยาบๆ แรงอย่างด่าทอ ไม่
ที่นี้ก็มาพูดถึงเรื่องปฏิจจสมุปบาท พอดีมีเด็กถามมา
_หลวงปู่ค่ะ หนูอยากทราบว่าเวลา เฮ่าหลับ เราถึงฝันค่ะเพราะจิตฟุ้งซ่านหรือคะ
พ่อครูว่า… เวลาเฮ่าหลับ หรือว่าเวลาเราหลับแล้วถึงฝันค่ะ ร.เรือกับฮ.นกฮูกมันเหมือนกัน ทำไมเวลาเราหลับถึงฝันคะ
สัญญาคือเจตสิกของเราอันหนึ่งมันมีความจำ แล้วมันก็ฟุ้งซ่านไปได้ตามประสา ตามประสาที่สติสัมปชัญญะ เราไม่ได้ไปควบคุมสัญญา สัญญามันก็ไปฟุ้งซ่านตามเรื่องราวเละเทะเก่าๆใหม่ๆ คิดใหม่ผสมก็มีเก่าๆออกมาหลอกหลอนเยอะ มันมากมายจนกระทั่งเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องเลอะเทอะ
เรียนรู้จบอรหันต์จากปฏิจจสมุปบาท แล้วต่อโพธิสัตวภูมิ
พ่อครูว่า… ทีนี้ก็มาพูดถึงเรื่องปฏิจจสมุปบาท 1 ขึ้นต้นด้วยอวิชชา
เพราะอวิชชาจึงมีสังขาร เพราะมีสังขารจึงมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณจึงมีนามรูป เพราะมีนามรูปจึงมีอายตนะ เพราะมีอายตนะจึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะจึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาจึงมีตัณหา เพราะมีตัณหาจึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานจึงมีภพมีชาติ แล้วก็ตกอยู่ในภาวะ โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ อยู่ในความโศกเศร้า พิรี้พิไร ทุกข์บ้างโทมนัสบ้าง ไม่ได้เป็นสุขหรอก อุปายาส ทุกข์ทรมานรำคาญใจอยู่อย่างนั้นตลอดกาล
เพราะฉะนั้นผู้ที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จะเกิดวิชชา
วิชชาคือความรู้ ปัญญา ญาณ วิชชา ความรู้ที่เป็นโลกุตตรธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
จะรู้จักตัวแรกคือสังขาร การปรุงแต่งกันอยู่ของจิตเจตสิก มันก็ปรุงแต่งกันอยู่เป็นกายนั่นแหละ แต่ในปฏิจจสมุปบาทไม่มีคำว่า กาย เลยนะ แต่มันก็ปรุงแต่งกันเป็นกายนั่นแหละ เป็นนามธรรม ที่มีภายนอกภายในปรุงแต่งเป็นอายตนะ ก็คือนามรูปนี่แหละ ฟังให้ดีนะ ฟังให้ทัน
จากสังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ นี่เป็นล็อค 1
ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน นี่เป็นอีกล็อคหนึ่ง
ล็อคแรกนี้ รวมทั้งภายนอกภายในหมดเลย สังขาร วิญญาณ นามรูปอายตนะ
พอล็อคหลัง กำหนดเลยว่า ต้องมีผัสสะ อันแรก กำหนดหยาบและละเอียดอยู่ด้วยกันเลย อันหลังต้องมีผัสสะ
เพราะฉะนั้นปฏิบัติหลับตาไม่มีผัสสะไม่มีกายไม่มีทวารนอก ผิดหมด ไม่มี ปฏิจจสมุปบาท ปฏิบัติธรรมไม่ได้เลยเป็นอวิชชาข้อที่ 8
อวิชชา8 ข้อคือ
-
ไม่รู้..ทุกข์ (ทุกฺเข อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขสมุทัย (ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขนิโรธ (ทุกฺขนิโรเธ อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรคมีองค์8)
-
ไม่รู้ในส่วนอดีต (ที่ไม่เที่ยง) ปุพพันเต อัญญาณัง
-
ไม่รู้ในส่วนอนาคต (ที่ไม่เที่ยง) อปรันเต อัญญาณัง
7.ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต-ส่วนอนาคต (ไม่รู้สิ่งที่เที่ยงแท้เท่ากันหมดแล้ว) (ปุพพันตาปรันเต อัญญาณัง) .
-
ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นห่วงโซ่แห่ง การเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท (หรืออิทัปปัจจยตา)
(พตปฎ. ล.๓๔ ข.๖๙๑ ว่าด้วย อกุศลเหตุของโมหะ)
อาตมาเหมือนกับเก่งนะ จำบาลีพวกนี้ได้ก็ไม่ได้ท่อง ไม่ได้เป็นนักท่องจำเลย อาตมาไม่ใช่นักศึกษา ไม่ใช่นักท่องจำแต่มันจำได้เพราะมันมีสภาวะรองรับ พอมาฟังพยัญชนะ ป้ายชื่อแปะๆเข้า เราก็พยายามจำ พยัญชนะไปแปะกับสภาวะ มันก็เลยจำง่ายขึ้น คนที่มีแต่พยัญชนะไม่มีสภาวะจะสับสนเรียงไม่ค่อยถูกหรอก แต่ผู้ที่มีสภาวะจะเรียงไม่สับสน อันนี้สังเกตได้
เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดเข้าใจสภาวะของปฏิจจสมุปบาท แล้วปฏิบัติ มีสภาวะรองรับเลย สังขารปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลาแล้วมันก็มีวิญญาณอยู่ในตัวคุณ ต้องเรียนรู้จักนามรูป มันสัมผัสกันแล้วมันเป็นอายตนะ คุณก็แยกอายตนะไม่ได้ มันเป็นองค์รวมอายตนะ เป็นองค์รวมที่สัมผัสกันแล้วมันก็คือสังขารนั่นแหละ ปรุงแต่งกัน ก็เป็นสภาพที่มันเป็นอะไร เป็นเทวดา
เทวดา มิจฉาทิฏฐิ เป็นสมมติเทพ เป็นเทพที่ยังมีกิเลส เป็นเทพที่ยังเสพกิเลส เสพสมใจในลาภยศสรรเสริญ เป็นสุขเป็นทุกข์ เสพสมใจในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเป็นสุขเป็นทุกข์ ก็เป็นอยู่อย่างนั้น เทวดาขี้เก๊ เทวดา 6 ชั้น
พระอรหันต์ไม่มีเทวดา 6 ชั้น พระอรหันต์ไม่มีเทวดา ไม่เป็นเทวดาแล้ว ผู้ที่ยังมีอวิชชาอยู่เท่านั้นที่เป็นเทวดา เทวดาจตุมหาราช เทวดาดาวดึงส์ เทวดาดุสิต เทวดายามา เทวดานิมมานนรดี เทวดาปรินิมมิตวสวัตตี เป็นจิตที่เลอะเทอะทั้งนั้น
เป็นเทวดาที่ปรุงแต่งไปตามภพภูมิพระอรหันต์หมดเทวดา
เทวดาหรือเทพมี 3 อย่าง 1 คือสมมติเทพเป็นเทวดาเลอะเทอะอย่างที่ว่า
ส่วนเทวดาอันที่ 2 คือเทวดาอุบัติเทพ และวิสุทธิเทพก็คือพระอรหันต์
อุบัติเทพ คือ ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิที่จะเกิดเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ค่อยๆเรียนรู้ที่จะหมดเอาอวิชชาไปตามลำดับ นี่คือเทวดา
สุดท้าย ที่เป็นเทวดาไม่รู้เรื่องมิจฉาทิฐิกัน เทวดาเป็นรูปเป็นเรื่องเป็นตัวเป็นตน เอามาพูดกันเละเทะหมดเลย ไม่พูดเป็นสภาวธรรมอย่างที่อาตมาพูด เรียนรู้แล้วลดและปฏิบัติได้แล้วเลิกเป็นเทวดา อย่าไปโง่งมงายกับการเป็นเทวดา ยิ่งเป็นพระพรหม 16 ชั้นยิ่งบ้าใหญ่เลย
วิสุทธิเทพคือพระพรหม แล้วไปสมมุติอีกตั้ง 16 ชั้น บ้าไหม แค่ 6 ชั้นนี่ก็บ้าแล้ว มีแสงเป็นลำ มีแสงเป็นรัศมี มีแสงเป็นอะไรต่ออะไรไปหมดเพ้อเจ้อไปหมดเลย นี่คือความไม่รู้อวิชชากัน แล้วก็ไปหลงใหลเป็นตัวเป็นตนเล่นเละเทะกัน ไม่มาศึกษาธรรมะ เพื่อจะเรียนรู้จิตเจตสิกแล้วไปนิพพาน
_ใหม่เสมอ..แล้ว พระพรหมที่มือถืออาวุธล่ะครับ
พ่อครูว่า… สมมุติไป ดีไม่ดีจะถือระเบิดปรมาณูแล้ว คุณจะตกยุค พระพรหมของเขาเดี๋ยวนี้ถือปรมาณูแล้ว ปืนชนิดเก่งที่สุดเลย
เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้สภาวธรรมจริงๆของปฏิจจสมุปบาทแล้วรู้หมดแล้วทำให้หมดเกลี้ยงความไม่รู้ เป็นวิชชาทั้งหมด ทำจิตของเราสมบูรณ์แบบก็คือรู้ว่าความจริง แล้วมันเป็นธรรมชาติของจิตสังขารปลุกแต่งไปแล้วไม่ได้มีกิเลสเข้าไปปรุงแต่งเป็นอภิสังขาร มีบุญแล้วก็หมดบุญ กลายเป็น อเนญชาภิสังขาร เป็นสังขารที่แข็งแรง ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม อีกแล้วเป็น อเนญชาภิสังขาร เป็นผู้ที่มีสังขารอย่างอภิอย่างยิ่งใหญ่แล้วคุณก็อยู่กับโลกทุกอย่างอยู่ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อยู่กับรูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส อยู่กับทรัพย์สินเงินทองข้าวของทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นวัตถุ หรือเป็นเกียรติยศสรรเสริญอะไร แต่ไม่มีกิเลสแล้วก็อยู่กันอย่างอภิสังขารเป็นผู้ที่ อเนญชา ไม่ได้วูบวาบหวั่นไหวอะไรไปกับโลกเขาเลย สมบูรณ์แบบ
ส่วน บุญนั้น ปุญญาภิสังขาร ที่เป็นอภิสังขารข้อที่ 1 บุญแปลว่าการชำระกิเลส คือ ผู้นี้สังขารรูปนามของเราให้เป็นอาวุธบุญ กำจัดกิเลสได้
บุญไม่ใช่กุศล ผู้ที่มีการปรุงแต่งให้เกิด จิต เป็น รูปนามนี่แหละ ให้เกิดจิตเป็นสังขารนี่แหละ อย่างอภิ คุณมีคุณภาพถึงขั้นบุญคือชำระกิเลสได้ กิเลสก็ตาย กิเลสหมดแล้ว บุญก็หมด เป็นอปุญญาภิสังขาร เป็นอภิสังขารข้อที่ 2 คือไม่มีแล้วบุญ แต่ไม่ใช่ไปมีบาปอีกนะ กิเลสหมดแล้วจะไปมีบาปอีกได้อย่างไร
แต่ผู้ไม่รู้ก็ไปติดในพยัญชนะ ก็ไปแปล อปุญญาภิสังขาร ว่า ไม่ใช่บุญ ก็ไปวงเล็บตามหลังว่าก็คือบาป อย่างที่ท่านประยุทธ์ ปยุตโตแปลแสดงว่า ท่านไม่รู้ว่าบุญคืออะไร
บุญ สภาวะจริงของบุญคืออะไร ท่านก็เป็นมิจฉาทิฐิอยู่ ก็ทำให้ฆ่ากิเลสไม่ได้ เพราะต้องทำจิตให้เป็นฌานเป็นบุญ ให้เป็นพลังงาน อุณหธาตุ มีพลังงานมีฤทธิ์เหนือกว่าพลังงานกิเลส เผาไฟ ราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ อาตมาอธิบายไปจนปากเปียกปากแฉะหมดแล้ว
เพราะฉะนั้นรู้พยัญชนะแล้วมีสภาวะ ทำสังขารให้เป็นอภิสังขารได้ วิญญาณที่มันมีกิเลสร่วม ก็ถูกล้างกิกิเลสจนวิญญาณสะอาดก็เป็นธาตุรู้ของพระอรหันต์ นามรูปก็เป็นของพระอรหันต์ อายตนะก็เป็นของพระอรหันต์
ซึ่งอายตนะเป็นของพระอรหันต์ขึ้นไป ก็จะเจริญเป็น สยังอภิญญา เป็นอภิภูไป คือสามารถรู้สภาพ 2 ของข้างนอก ข้างในคือสภาพคู่ที่ละเอียดมากเลยเรียกว่า เป็นอภิภายตนะ 8 ขอไม่อธิบาย ทิ้งไว้เพราะว่าเป็นของภูมิโพธิสัตว์สูงขึ้นไปกว่าอรหันต์
อภิภายตนะ เป็นความรู้ของโพธิสัตว์ระดับ 8 มหาโพธิสัตว์อาตมากำลังไต่ขึ้นไปสู่โพธิสัตว์ระดับ 8 ที่เข้าใจรู้สภาวะและเอามาพูด อยู่ในพระไตรปิฎก
ส่วนโพธิสัตว์ระดับ 9 นั่นคือ พระพุทธเจ้า ภพภูมิที่เป็นพระพุทธเจ้าเพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่มีชีวิต ก็เห็นอยู่มีสังขารมีวิญญาณนามรูป ตั้งแต่พระอรหันต์ไปแล้ว ก็มีเป็นคนอยู่เหมือนเขาเหมือนกันทุกอย่าง แต่ท่านไม่มีกิเลส ผู้ที่ไม่รู้ก็ไปสมมุติว่าพระอรหันต์ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ยิ้มก็ไม่ได้ กระดุกกระดิกมากก็ไม่ได้ เขาไปกำหนดเอาเอง แท้จริงจะเป็นคนที่แคล่วคล่องว่องไว เป็นคนที่ไม่มีอะไรติดขัด เป็นคนสะดวกมี มุทุภูตธาตุ
มุทุ แปลว่า อ่อน อาตมาแปลว่า ดัดได้ง่าย จิตนี่จะให้เป็นอะไรก็เป็นได้ง่าย อ่อนไว Sensible มาก มุทุภูตธาตุ นี่คือสภาวะที่อาตมามี แล้วเอามาพูดเอง ไม่เหมือนที่เขาพูดกัน ซึ่งเขาได้พูดผิดเพี้ยนไปไกลแล้ว อาตมาเอาของตัวเองมาอธิบายให้คนฟัง ผู้จะเอาความจริงก็ฟังเอา อาตมาขอยืนยันว่า อาตมาพูดนี้เป็นความถูกต้องตามสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วอาตมาก็ได้มีสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น จึงมาพูดอย่างมั่นใจ ว่าเป็นการเอาความจริงมาพูดกัน
เพราะฉะนั้น ปฏิจจสมุปบาทนี้ คนที่ยังไม่มีปัญญาพอจะรู้จึงเรียกว่า อวิชชา ข้อที่ 8
เมื่อรู้แล้วแล้วทำให้กิเลสหมด กิเลสเกลี้ยงคือตัณหาดับ อุปาทานดับ ภพชาติของความเป็นสัตว์ก็ดับ ก็เหลือแต่เป็นภพชาตของความเป็นอรหันต์
แล้วอรหันต์นี่แหละจะเป็นพระโพธิสัตว์ อรหันต์เป็นโพธิสัตว์ระดับที่ 4
พระโพธิสัตว์ 9 ระดับ
1.โสดาบันโพธิสัตว์
2.สกิทาคามีโพธิสัตว์
3.อนาคามีโพธิสัตว์
4.อรหันต์โพธิสัตว์
5.อนุโพธิสัตว์
6.อนิยตโพธิสัตว์
7.นิยตโพธิสัตว์
8.มหาโพธิสัตว์
9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อาตมาเป็นระดับ 7 คือเกิดเองเป็นเองแล้วเรียกว่าเป็น สยังอภิญญา อย่างเช่นอาตมาคือมีอยู่ในตัวเองแล้ว อาตมาเกิดมาในชาตินี้ไม่มีอาจารย์ไม่มีสำนักไม่มีใคร สอน อาตมาเป็นเองมีเองตั้งแต่ชาติก่อนแล้วมาพูด แล้วก็ค้านแย้งกับที่เขาพูดกันด้วย และขอยืนยันว่าของตัวเองถูก ถ้าไม่ถูกอาตมาทำงานมาป่านนี้จะไม่มีสาราณียธรรม 6 ไม่สามารถที่คนจะเข้าใจวรรณะ 9 ได้ ไม่มี
แต่พวกคุณเข้าใจและมีสภาวะไปตามลำดับ แม้เป็นอรหันต์ยังไม่ถึงขั้นโพธิสัตว์สูงขึ้นไประดับที่ 5 6 7 ก็จะยังไม่รู้เหมือนที่อาตมาพูด แต่อาตมาก็อธิบายให้รู้ หมดทุกขั้น
พระพุทธเจ้าสมณะโคดม ท่านสอนใบไม้กำมือเดียว สอนความเป็นอรหันต์ขั้นต้น ท่านไม่สอนโพธิสัตว์เลย ท่านปล่อยให้อาตมามาหนักอยู่คนเดียว ท่านทำมาหนักแล้วพระพุทธเจ้าสอนมาเยอะแล้ว ท่านก็ปล่อยให้พวกโพธิสัตว์ที่จะต่อภพภูมิ รับช่วงต่อ อย่างอาตมาก็มารับช่วงต่อ ก็รู้อยู่ว่าศาสนาผ่านมา 2,500 กว่าปีมันเสื่อมมากแล้วและก็จะต่อไปถึง 5,000 ปี ก็จึงต้องมาทำงานหนักอยู่นี่ ก็พูดมาหมดแล้ว
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ฟังอาตมาพูดกันอยู่นี้ พอจะจับสภาวะของตนๆได้ไหม ได้บ้าง กี่บั้ง สิบตรีสิบโทสิบเอก จ่า ได้กี่บั้ง
ได้3 บั้งก็เก่งนะ สิบเอก เดี๋ยวเป็นจ่าก็ได้ดาว เป็นนายร้อยแล้ว. นี่ก็พูดให้มันเบาๆบ้าง มีอะไรประกอบ
เพราะฉะนั้นธรรมะพระพุทธเจ้านี่เป็นเรื่องที่คน เกิดมาแล้ว ต้องใช้คำว่า ต้องได้รู้ ถ้าไม่ได้รู้ คุณจะวนเวียนอยู่ในนรกสวรรค์ ตกต่ำ ขึ้นสูงตกต่ำ เป็นโลกียะ อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา คุณจะไม่หลุดออกมาเป็นโลกุตระ คุณจะเวียนวนไปไม่รู้กี่ล้านล้านชาติ คุณจะจมวนอยู่อย่างนั้น แม้เขาจะเข้าใจในศาสนาเทวนิยม เขาอยู่ในโลกีย์ เขาวนเวียน แล้วเขาก็บำเพ็ญบารมีจนได้เป็นพระศาสดา เขานึกว่า เขาเที่ยง เขานึกว่าพระเจ้าเที่ยง เขาจะไม่ลงแล้ว แต่เขาไม่รู้หรอกว่า เขาจะต้องเวียนขึ้นลงอีกตามวิบากของ เวียนสูงลงต่ำอีก วนอีก ไม่รู้กี่ล้านชาติเพราะว่าเขาไม่รู้การหมุนเวียน เกิดตาย ตายเกิด เกิดตาย ตายเกิดไม่รู้กี่ล้านชาติ และมันก็เปลี่ยนขั้นชั้นไปตามความไม่รู้ นึกว่าดีก็เอาตามดี ดีมันเป็นโลกียะเท่านั้น แต่เขาไม่มีโลกุตระคือรู้จักกิเลสแล้วทำกิเลสออก ถ้าทำกิเลสออกได้มันก็จะหมุนเวียนอีกไม่กี่ชาติ
โสดาบัน 7 ชาติเป็นอย่างสูง สกิทาคามี 2 ชาติถึง 6 ชาติ อนาคามีชาติเดียว พระอรหันต์บรรลุในชาตินี้เลย
เห็นไหมล่ะ คนที่เป็นอนาคามีจะไม่กลับมาเกิดก็บรรลุในชาตินี้แหละ ถ้าฟังไม่ได้ดีชาติก็อาจจะเป็นชาติที่วนซ้ำไปอีกหลายรอบเหมือนกัน ถ้าฟังไม่ดี แต่คนที่มีสัมมาทิฐิจริงๆแล้วจะตั้งใจฟัง เพราะจะรู้ว่าอันนี้มันเป็นสิ่งที่ต้องควรฟัง
คนเกิดมาแล้วไม่ได้โลกุตรธรรม เวียนวน น่าเบื่อทุกข์ทรมานสุขๆทุกข์ๆ ทุกข์ๆ สุขๆ เทวนิยมเขาไม่ได้เรียนสุขทุกข์ เขาไม่มีวันจบ วนเวียน เกิดแล้วเกิดเล่าสมบัติผลัดกันชม เกิดมาตอนนี้รวย เกิดมาตอนนี้ได้เป็นใหญ่เป็นโต เกิดมาตอนนี้เป็นทุกข์ลำบากลำบนต่างๆนานา เขาไม่รู้หรอกแต่ละชาติเกิด แล้วมันเป็นจริง
แม้ในศาสนาพุทธที่อวิชชา ก็เหมือนกับเทวนิยมเขา ถ้าไม่เรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิแล้วลดกิเลสไม่ให้วนเวียน ปฏิบัติให้มีหลักประกันของพระพุทธเจ้า
1 เรียนดูให้รู้ว่าโลกโลกียะ ว่าดีกับชั่ว เป็นโลกียะ ทำดีคือดีตามสมมุติ เมืองไทยสมมุติว่าอย่างนี้ดีเมืองอื่นสมมุติว่าอย่างอื่นดีไม่ตรงกัน อย่าว่าแต่ในเมืองเลยสังคมแต่ละกลุ่มนี้แท้ๆ อย่างต่างกันเลย สังคมกลุ่มกะเทยเขาก็นึกว่าของเขาอย่างนั้นดี อย่างนี้เป็นต้น มันยึดไปต่างๆ
เพราะฉะนั้น มันไม่เที่ยงแล้วมันก็ไม่ตรงกันอะไรสักอย่างเละเทะหมุนเวียนกันไป สมบัติผลัดกันชม ใครยึดอะไรไป เป็นอันนี้แล้วเบื่อก็ไปเป็นอันนั้นอื่นดีกว่า พูดแล้วมันเมื่อย มันเกิดมาเวียนวนด้วยอวิชชาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ
เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธ
1.มาเรียนรู้ว่าดีอย่างสมมุติโลกเป็นอย่างไร แล้วทำแต่ดีอย่าไปทำชั่วตามสมมติโลกเขา รู้สมมุติโลกเขา คุณอยู่กลุ่มไหนก็ตามสมมุตินั้น แล้วคุณก็รู้ว่าอันนั้นเขาสมมุติว่าดี อันนี้สมมุติว่าชั่วก็ทำแต่ดี ในหมู่กลุ่มนั้นมันก็อยู่ดีแล้ว นี่เป็นหลักประกันชั้นที่ 1
อันที่ 2 ไม่ใช่หลักประกันเลย แต่เป็นความบรรลุที่คุณจะบรรลุสูงสุดสูญได้เลย หรือจะอยู่ก็อยู่อย่างผู้มีประโยชน์ ศาสนาพุทธมีนิรันดร์ไหม มี พระอวโลกิเตศวรนี่เป็นนิรันดร เจ้าแม่กวนอิม ท่านมีปณิธานว่าท่านจะ รื้อขนสัตว์จนหมดคนสุดท้าย แล้วท่านจึงจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน
จริงไม่จริงไม่รู้ล่ะ มันมีอย่างนั้นเลย ตามที่ตำราว่าไว้ รื้อขนสัตว์คือ สอนให้พวกคุณพ้นจากนรก พ้นจากเทวดา พ้นจากโลกโลกียะขึ้นมาสู่โลกุตระจนเป็นอรหันต์ หมดโลก มีแต่โลกุตระอยู่เหนือโลกเลยอยู่ไปก็ไม่ถูกโลกหลอกไม่ต้องไปหลงอยู่กับโลกเขาอีก ก็มีชีวิตอยู่อย่างช่วยโลกเขาเท่านั้นเองเพราะตัวเองสบายแล้ว
แม้ในยุคนี้ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมกับที่อาตมาพาทำ คุณบรรลุแล้ว คุณจะรู้ว่าชีวิตมันสบายอยู่กับพวกเรานี้ ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตาย กันได้สบาย ไม่เป็นญาติโกโยติกา ไม่ได้เป็นพี่น้องกันมาเลย แต่มาอยู่ที่นี่พึ่งพากันได้หมดเลย มายืนยันพิสูจน์กัน คุณกำพร้าขนาดไหนไม่มีพ่อแม่พี่น้องเลยมาอยู่ในนี้ก็ไม่ต้องห่วงเจ็บป่วยเขาก็ช่วยกันดูแล ตายเขาก็ช่วยเผาให้ ไม่ปล่อยให้อีแร้งแทะหรอก จริง เขาทำมาหลายศพแล้ว ที่เผาเราก็สร้างไว้แล้วหลายที่อยู่ หรือไม่มี ก็ไปเผาวัดนั้นวัดนี้
เพราะฉะนั้นที่จบของคน มันจบ พระพุทธเจ้าสอนมนุษย์ไว้ นี่ อย่างพวกเรานี้มันมีที่จบ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีภูมิธรรมมีความชัดเจนแล้ว อ๋อ ชีวิตก็แค่นี้เองหรือ กินอยู่หลับนอน นอกนั้นก็ขยัน ขี้เกียจมันก็เลวไม่เข้าท่า เราก็ขยันทำอะไรที่เราถนัด งานที่นี่อย่างนี้เราทำ
งานจะมาสร้างอาวุธมีดไม้ปืน เราไม่สร้าง เราไม่สร้างเราพาสร้างกันอยู่ที่กรุงเทพฯ เราก็ไม่ได้ไปทำกสิกรรมมากนัก ก็เป็นงานของเมือง ก็ทำ ค้าขายกันเป็นหลักหรืองานอื่น สื่อสาร การศึกษาก็ว่าไป ดีไม่ดีก็จะเป็นนักการเมือง ตอนนี้มีพรรคขึ้นมา
จริงนะ พรรคการเมืองนี่ อาตมาจะพาทำเป็นนักการเมืองที่ไม่สมัคร ส.ส.หรอก จะเป็นนักการเมืองนอกสภา ฟังไว้ เป็นนักการเมืองนอกสภา ก็เรียนรู้ ดูแลประชาชน ใครจะเอาเขตไหนก็ไปดูแลเขตนั้น ใครมีความเดือดร้อนอย่างไร เรามีสื่อสารอะไรก็ออกไป ไม่ต้อง ไปพูดที่สภาเศรษฐกิจ ไปเถียงกันที่เขาเถียงกัน แต่นี่มีอิสระ คุณมีแรงจะพูดเป็นนักการเมืองอิสระก็พูดไปจนกว่าจะหมดแรงได้ ดีไม่ดีมาขอพูดออกสื่อโทรทัศน์ เราก็ว่าไป นักการเมืองของเรา เราให้พูด นักการเมืองข้างนอกไม่เอา ใครจะว่าเอาแต่พวกมัน ก็ไม่เป็นไร อาตมาพาทำเป็นนักการเมือง ไม่ใช่ทำเพื่อประโยชน์ตนเอง ไม่ได้หาเสียงให้แก่ตัวเองด้วย แต่จะพูดคุณต้องทำงาน คุณต้องไปทำงานกับประชาชนจริงๆว่าอันนี้เขาขาดแคลน อันนี้เขาไม่สะดวกก็บอกไป ใครจะพอมีช่วยได้บ้างอย่างนี้อย่างนี้นะนี่คนนี้ ลำบากอย่างนี้ขาดแคลนอย่างนี้ ใครจะพอช่วยได้อยู่ใกล้กันไหมอยู่ตรงนั้นตรงนี้มาช่วยกัน นี่คืองานการเมืองช่วยกันให้อยู่อย่างสะดวกสบาย
จะเรียกว่าเป็นเศรษฐกิจก็ใช่ สิ่งที่คนอาศัย แต่ทุกวันนี้นักการเมืองหาแต่เสียง มันโทรมมันเสื่อมไปหมดแล้ว แล้วนักเมืองจริงๆไม่หาเสียงทำงานกับประชาชน แล้วประชาชนจะก็รู้เองว่าคนนี้เป็นคนทำงาน ไม่ใช่เอาแต่ชัชชาติ มันเป็นศัพท์แล้วนะคุณไม่รู้หรอกว่า ชัชชาติแปลว่าอะไร คือ Big word
Big Word แปลว่าขี้โม้ เขามี Big Word กับ Great Word เป็นคำดี ถ้าBig Word ก็คือขี้โม้ ถ้าเป็น Great Word ก็คือยิ่งใหญ่
วิชชา 8 โดยนัยลึกซึ้งจากการปฏิบัติจรณะ 15
พ่อครูว่า… เพราะฉะนั้นอยู่ในสังคมพระพุทธเจ้าอาตมาก็พูด ตีหัวเข้าบ้านไม่รู้กี่ทีแล้วว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ศึกษาอะไร แต่ศึกษาความเป็นมนุษย์กับความเป็นสังคม พูดมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งแล้ว แล้วก็มาช่วย สุดท้ายท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทำงานอื่น แต่ทำงานเพื่อช่วยให้คนรู้สัจธรรมอันนี้ ให้รู้จักวิญญาณ ให้รู้จักนามรูป ให้รู้จักภพชาติ แล้วคุณจะอยู่มีภพชาติต่อไปคุณจะต้องมีหลักประกัน มีแต่ดีไม่มีชั่ว และไม่ทุกข์
เทวนิยมเขาไม่เรียนรู้ความสุขความทุกข์ เขาไม่รู้และเขาก็ไม่รู้ความวนเวียน ความสุขความทุกข์นี่แหละมันพาวนเวียน เขาเป็นสุขนิยมเทวนิยม ถือว่าพระเจ้าเป็นเจ้าของสุข ซึ่งที่จริงไม่ใช่ ไม่มีใครเป็นเจ้าของสุขทุกข์ แต่ตัวเราเองนี่แหละกำหนดเองว่าสุขทุกข์ กำหนดเองว่าสุขกำหนดเองว่าทุกข์
สุขทุกข์มันเป็นการสมมุติตัวเอง บางคนได้ทำงานมีสุข บางคนได้อยู่เฉยๆขี้เกียจๆก็เป็นสุข ใช่ไหม มันเป็นอย่างนั้นมากน้อยก็แล้วแต่ขยันกับขี้เกียจนี่แหละมันมีระดับเป็นขนาดไหนก็แล้วแต่ มันมีหลายระดับ
บางคนได้ขี้เกียจก็เป็นสุข บางคนได้ขยันก็เป็นสุข
บางคนได้ขยันเป็นทุกข์ ได้ขี้เกียจเป็นสุข
มันก็ยึดถือ เพราะฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจชีวิตแล้ว และพระพุทธเจ้าสอนให้จบจิตวิญญาณ จบจิตนิยาม เลิกจิตนิยามสลายไปเป็นดินน้ำไฟลมได้ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน นี่ ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นการล้มล้างเทวนิยมหมดขั้วเลย เพราะว่าเทวนิยมตายไปแล้วจะไปอยู่กับพระเจ้า นิรันดร พระพุทธเจ้าก็บอกว่านิรันดรอะไรไม่ใช่หรอกเพราะว่ามันสูญได้ ทำเองได้ด้วย ไม่ต้องให้พระเจ้าทำ ล้มล้างพระเจ้าอย่างหมดรูปเลย
นี่สักวันเทวนิยมเขามีมากในตะวันตก ในศาสนาเทวนิยม ศาสนาอเทวนิยมหรือศาสนาพุทธมีอยู่ในย่านเอเชียนี้ จากอินเดียก็มานี่แล้ว แล้วเดี๋ยวนี้ก็เพี้ยนกันไปหมด ก็เหลือแต่อโศกนี่แหละที่จะรู้จักโลกุตรธรรมที่แท้จริง รู้จักสุขทุกข์แล้วทำตนให้หมดสุขหมดทุกข์ ทำตัวเองให้จิตวิญญาณเมื่อหมดภพชาติไม่เอาแล้ว ภพสุขภพทุกข์ก็ไม่เอาภพทุกข์ก็ไม่เอาก็เรียกว่า จิตวิญญาณที่มีปัญญา ญาณ วิชชารู้ว่า
สุขทุกข์ มันคือการยึด มันยึดเอง มันมีอยู่เท่านี้เอง เมื่อไม่ยึดแล้วมันก็สลายเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีภพไม่มีชาติ หมดความยึดภพ หมดความยึดชาติ นี่คือปฏิจจสมุปบาทตัวสุดท้าย หมดภพหมดชาติไม่ยึดภพไม่ยึดชาติ
คุณตายไป คุณก็ตายด้วยนิพพาน 3 สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพานทำสูญ ไม่ตั้งนิมิตอะไร ไม่ตั้งจิตอะไรอีกคือ อัปนิหิตตนิพพาน จิตก็ไม่ตั้งจิตนิมิตก็ไม่ตั้งนิมิตก็เป็นศูนย์ ตายไปสลายเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมไปเลย นี่ อาตมาอธิบายนิพพาน 3 ลึกสุดแล้วนะ เข้าใจไหม เข้าใจ โอ้โห… พวกนี้อรหันต์อยู่ใกล้ๆ
เรื่องจริงนะ เหลือแต่คุณปฏิบัติจริงๆไล่เรียงไปเลย ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 ตามลำดับ คุณจะเกิด สัทธรรม 7 ฌาน 4 ไปตามลำดับเป็นจรณะ15แล้วมีวิชชาควบคุม วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธี โสตทิพย์ เจโตปริยญาณ ไปตามลำดับได้อีก 3 ข้อเป็นการทบทวนคือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ เป็นการทบทวนตรวจสอบว่าหมดอาสวะไหม 5 ญาณนี่แหละวิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธี โสตทิพย์ เจโตปริยญาณ 5ญาณนี่ล่ะ คุณต้องใช้ในการปฏิบัติธรรม
วิปัสสนาญาณคือ ญาณที่คุณต้องรู้ ปัสสะ คือรู้อย่างเห็นๆ ปัสสะแปลว่าเห็น ซึ่งต่างกับทัศนะคือเห็นเชิงขบคิด แต่ปัสสะคือ เห็นในขณะ ตากระทบรูป หูกระทบเสียงเห็นๆเลย จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกระทบภายนอก มโนกับธัมมายตนะภายใน
วิคืออย่างยิ่ง ปัสสะคือเห็น คือ เห็นอย่างยิ่ง
2.มโนมยิทธิ คือมีฤทธิ์ทางใจ มีฤทธิ์อะไรเมื่อเห็นกิเลสแล้ว คุณก็ต้องมีธัมมวิจัยแยกแยะกิเลส แล้วคุณก็ต้องมีฤทธิ์ทางใจ ทำให้กิเลสลดได้ มโนมยิทธิญาณ มีความรู้ทำให้กิเลสลดได้ นี่คือวิชชา ข้อที่ 2
วิชชาข้อที่ 3 คืออิทธิวิทญาณ ก็คือมีวิธีมากขึ้น จากมโนมยิทธิ ฤทธิข้อนี้ก็ได้อย่างหนึ่งอีกข้อหนึ่งสองสามอย่างมากขึ้น วิธะ แปลว่าหลากหลาย diversity หรือ วาไรตี้ มีมากขึ้น มีมุมเหลี่ยมในการฆ่ากิเลสได้เยอะขึ้น อิทธิวิทญาณ
ข้อที่ 4 โสตทิพย์ จะรู้ได้ละเอียดขึ้น รู้ได้ไกลขึ้น รู้ได้ข้อแตกต่างกันความแตกต่างของกิเลส ความแตกต่างของธรรมะ ความแตกต่างของจิตเจตเจตสิกต่างๆคือ คุณจะมีโสตทิพย์คือรู้ได้อย่างทิพย์ รู้ได้อย่างเทพตามสำนวนโลกคือรู้ได้ขั้นเทพ สัมผัสนี้รู้เลยว่าละเอียดลออ แยกได้ ต่างกันอย่างไรก็แยกได้ละเอียดมาก
ข้อที่ 5 เจโตปริยญาณ 16 รู้จักเลยทั้งกิเลส 16 ขั้น 1. สราคจิต (จิตมีราคะ) 2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ) 3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ)
แล้วทำให้มันกิเลสลดลงจนหมดไปเป็น 4. วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ) 5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ) 6. วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
ทำกิเลสหมดไปได้มันก็จะมี 2 ตระกูลคือตระกูลฟุ้งซ่านกับตระกูล ถีนมิทธะ
มันเป็นอย่างนั้น ตระกูลศรัทธาจริตกับพุทธิจริต มันมีจริต 2 อย่าง ใครยังมีรากเหง้าอะไรมาก ก็อ่านตัวเองเอาเองว่าตัวเองหนักไปทางศรัทธาหรือหนักไปทางปัญญา ก็ทำให้มันได้ให้มันเจริญรู้กิเลสและลดกิเลสได้
-
สังขิตฺตํจิตตํ (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) 8. วิกขิตฺตํจิตตํ (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)