660116 รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 9 พ่อครูพบ ญาติธรรมสันติอโศก ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1iN9oJ8Xbo24GO_x134p5DEa3-G8eOT1H_hFVYlxgMIo/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1MOOkxDI2ZHCr3ASoNZwIMV8nrSwj8Csi/view?usp=share_link ดูวิดีโอได้ที่ และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/472933205023629 ผลสำเร็จของพ่อครูคือสร้างคนสร้างชุมชนสาราณียธรรม พ่อครูว่า…เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2566 แรม 10 ค่ำเดือน 2 ปีขาล ที่บวรสันติอโศก รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม เราก็มาเจรจาฟังธรรมกันอีก พวกเรานี่นะ อาตมาเห็นแล้วรู้สึกว่าโอ้โห..ยอดเยี่ยมจริงๆ ยอดเยี่ยม อะไร ฟังเทศน์ฟังธรรมกันจริงๆ ชีวิตมีสาระ มันเป็นชีวิตที่มีโชคดีที่เยี่ยมยอด คนในโลกเขาทำมาหากินกัน ไม่มีเวลาสนใจฟังธรรมกัน ดีที่วันพระวันเจ้า วันอาทิตย์วันเสาร์ก็ไปวัดไปวา ไปตามจารีตประเพณี ไปทำทานอย่างเสริมกิเลส ไปรักษาศีลอย่างงงๆงวยๆ ก็อย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้รักษาศีลอย่างที่รู้ว่าเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 คือรักษาศีลนี้แล้วคุณจะต้องสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ คุณมีศีลข้อ 1 เป็นต้น ตั้งจิตไปว่าไม่ทำร้ายสัตว์ มีความกรุณามีความเอ็นดูต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ วางทัณฑะ วางอาวุธ ตามพยัญชนะที่ท่านว่าไว้ สรุปก็คือว่าสัตว์ในโลก ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือคน คนนี่แหละตัวดี ที่เป็น สัตว์ใหญ่ที่เราจะต้อง สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ อย่างแท้ๆ เมื่อสัมผัสกันโอภาปราศัยกันเกี่ยวข้องกับผู้อื่นอยู่ คุณก็สำรวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ ไม่ให้เป็นไปตามโลกโลกียธรรมทั้งหมดทั้ง กาม รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมีสติสัมโพชฌงค์ ธรรมะวิจัยสมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ รู้ตัวทั่วพร้อม แล้วก็รู้ในการสัมผัสเกิดรูปเกิดนาม ต้องรู้ทั้งรูปทั้งนามสภาพเป็นกายสภาพที่เป็นจิต กายภาวะ จิตภาวะ เราจะมีสัญญามีตัวกำหนดรู้ อ่าน อาการ ลิงค นิมิต ตามอุเทส คำขยายสาธยายของอาตมาที่อธิบายให้ฟัง อาตมาใช้พยัญชนะบาลี ควบ ในการบรรยายธรรมะมาก จนกระทั่งชาวอโศกพวกเรานี่ฟังธรรมะด้วยภาษาบาลีประกอบกัน บางทีคนข้างนอกเขาก็ไม่รู้เรื่อง พูดภาษาบาลีประกอบอะไรอย่างนี้ อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะจะต้องสอนพิสูจน์พวกเราให้ได้ เจตนาที่จะต้องให้มีพระอริยะหรือมีพระอรหันต์ให้มากๆ เป็นหลักให้แก่สังคม ในช่วงชีวิตที่อาตมามีอายุอยู่ต้องทำ แล้วพวกเราหรือว่าการสืบทอด พวกเราก็จะได้ทำงานขยายผลให้แก่คนอื่นต่อ สร้างหัวเชื้อนี้ไป อาตมาไม่ได้ทำแบบหางกะทิ หรือแบบน้ำกะทิ ที่ไม่สำคัญที่หัวเอาไปหมด มันมากไป อาตมาไม่มีพลังมากพอ แล้วก็มีเจตนาที่จะทำอยู่ เพราะฉะนั้นผู้ใดใส่ใจ ตั้งใจศึกษาฟังธรรมของอาตมา อาตมาพาทำอยู่นี้ จนกระทั่งเป็นชุมชนที่เกิด สาราณียธรรม 6 เข้ามาอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนชาวอโศก ใครเข้ามาอยู่ในนี้ก็ถือว่ามาอยู่ในเมืองพระศรีอารย์แล้ว เป็น อาหารสัปปายะ เสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ อย่างแท้จริงเลย เป็นอาริยะ อยู่กันอย่าง สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา มีลาภโดยธรรมก็เอามากินใช้ร่วมกันสุดยอดเป็นชีวิต แล้ว เศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบ เท่าที่มนุษย์ชาติจะทำสำเร็จ อาตมาทำได้ประสบผลสำเร็จมานานปี ตั้งแต่เริ่มต้นที่คิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ ออกมาทำงานศาสนา สร้างชุมชนปฐมอโศกเป็นชุมชนแรกนึกว่าจะเป็นสาธารณโภคีไม่ได้ แต่ก็เป็นได้ มาจนถึงบัดนี้ 50 – 60 ปีแล้ว จนกระทั่งพวกเราชินชากับระบบนี้ แต่มันยิ่งใหญ่จริงๆ จึงอาศัยกลุ่มหมู่ของชาวอโศกนี้ แสดงธรรม ยิ่งมีโทรทัศน์มีอะไรก็เอาพวกเรานี้เป็นหน้าม้า เป็นตัวอย่าง เป็นกลุ่มที่จะพูดคุยโอภาปาศรัยสาธยายด้วย ตามภูมิของพวกเรา ส่วนคนอื่นๆเขาจะทำได้ก็ตาม ตามยังไม่ได้ก็แล้วไป เหมือนกับทิ้งเขาไว้ข้างหลัง ไม่เหมือนลุงตู่ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเลย อาตมาทำแล้วเหมือนยังทิ้งใครไว้ข้างหลัง มันก็คล้ายๆอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้ทิ้งหรอก เห็นใจสงสารอยู่ก็พูดพาดพิงอยู่ แม้แต่คนที่มิจฉาทิฏฐิก็กล่าวพาดพิงติเตียนอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่เอาใจใส่ไม่ดูแล ไม่ว่าจะเป็นมหาบัว ธัมมชโย หรือแม้แต่สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ มหาประยุทธ์ ปยุตโต ก็กล่าวถึงท่าน สิ่งที่ควรตำหนิ นิคฺคเณฺห นิคฺคหารหํ อะไรที่ถูกต้องก็บอกถูกต้องซึ่งอยู่ในชาวอโศกเสียมากก็เลยไม่ได้พูดมาก ก็เลยมีแต่การตำหนิเสีย SMS วันที่ 13-15 มกราคม 2566 _มุกดา อรุณโรจน์ · หมู่บ้านชาวอโศกเข้าร่วมพรรคไทยสร้างชาติไหมคะพรรคจะได้มีตัวช่วยให้ได้รับคนดีเข้าบริหารบ้านเมือง พ่อครูว่า…อิสรเสรีภาพใครจะไปสมทบการเมืองก็เป็นเรื่องของส่วนตัว เป็นเรื่องอิสระตามใจ ใครจะไปทำได้ไม่ได้ก็ไม่มีปัญหา _Araya Sripairoj อารยา ศรีไพโรจน์ · ความรัก ๑๐ มิติ พ่อครู ๘๘ ปี ๘ เดือน ๘ วัน จันทร์ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๓ #วันพระ พ่อครูว่า… ที่จริงเป็นงานความรักของรัก รักพงษ์ ในวันที่อายุ 88 ปี 8 เดือน 8 วันก็คืออายุ 88 เข้าไปหา 89 เต็ม ถ้าครบ 12 เดือนก็เป็น 89 เข้าอายุ 89 ก็ไล่ต่อไป 89 ปี 1 เดือน 2 เดือน 3 เดือน 5 เดือนไปเรื่อยๆไปหา 90 เราเป็นคนก็เอาสิ่งเหล่านี้มาอาศัยใช้สอยเท่านั้นเอง _ต้นกล้า อโศก · สาธุ ที่พ่อครูไม่ต้องผ่าตาค่ะ มีคนแก่มากมายที่ไม่ได้ผ่าตัดต้อกระจก ให้ชลอไปก่อน บางทีอาจจะไม่ต้องผ่าเลยก็ได้เพราะถ้ายังมองชัดอยู่ และต้อกระจกยัง ok กราบนมัสการค่ะ พ่อครูว่า… ก็ดี ออกความเห็นมา แหม หมอคนนี้เขาให้เป็นอย่างนั้น พรุ่งนี้วันอังคารจะไปพบหมออีก จะว่าไงก็ยังไม่รู้ ยังไม่ได้จบ ยังไม่ได้ตัดสิน ก็ว่าไป _ยายทอง ตาเซียน · รายการพุทธศาสนาตามภูมิภาคทบทวน วันที่ 14 ม.ค. 66 ภาพและเสียงชัดเจนดีมากครับ ไม่ได้ไปที่สันติอโศกหลายสิบปี ดูในภาพแล้วพื้นที่นั่งฟังธรรมคับแคบไม่กว้างเหมือนยุคก่อนๆนะครับกราบสาธุครับ พ่อครูว่า… จะว่าต้นไม้มันโตขึ้นทำให้ที่แคบๆก็ไม่ใช่ ต้นไม้ก็ไม่ได้โตขึ้น _Pichest Boonwiroon พิเชฐ บุญวิรุณ · เสียดายเวลาหมดเสียก่อน อยากฟังพ่อครูขยายพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 เรื่องความมีกับความไม่มีต่อครับ กราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยความเคารพอย่างยิ่งครับ พ่อครูว่า… เรื่องความมีและความไม่มีใครเข้าถึงทำได้ก็เป็นความจบของการปฏิบัติธรรมเป็น อนุปคัมมะ ซึ่ง เป็นความสูงกว่า สยังอภิญญา _CBim CBim ซีบิม ซีบิม · โลกุตระ = จิตสาธารณะ พ่อครูว่า… ก็คงบอกความเข้าใจของเขา จะบอกว่าโลกุตรจิต มีจิตสาธารณะก็ได้ เป็นกลางๆเป็นสาธารณะทั่วไป สามารถที่จะรู้ทั่วๆไปกับใครๆต่างๆกับบรรยากาศต่างๆกับสังคมกับพฤติกรรมสังคมต่างๆ แล้วเราก็มีจิตเป็นกลางๆ จิตไม่ได้ยึดเรายึดเขา ช่วยกันได้ก็ช่วยๆกันไม่ได้สุดวิสัยก็แล้วไป ศึกษาไว้เข้าใจภาษาที่สื่อถึงสภาวะพวกนี้ดีก็เข้าใจ พรรคสัมมาธิปไตยทำการเมืองแบบไหน _สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ · ประเด็นธรรมสัมมาธิปไตยพ่อครูเสนอมาเปิดเป็นพรรคการเมืองแล้วฤา? มีผู้สมัครลงเลือกตั้งพรรคอโศกไหม? แล้วพรรคนี้หนุนลุงตู่ไหม?จะขอสมัครเป็นสมาชิกด้วย!เพราะพ. อโศกเปิดตัวทีไรทำงานการเมืองติดดินนอกสภาทุกที!มวลเสริมกองทัพธรรมเคยร่วมกิจกรรมพ. เพื่อฟ้าดินรุ่นเก่าฯ พ่อครูว่า… ไม่ได้คิดจะส่งใครลงเลือกตั้ง การตั้งพรรคขึ้นมาก็เพื่อให้รู้ว่าเป็นการเมือง การตั้งพรรคคือทำงานกับสังคมให้รู้ว่าเป็นพรรค ที่จริงศาสนากับการเมืองกับประชาธิปไตยนี้ การตั้งพรรคการเมืองนี้ผิด มันไม่ใช่ประชาธิปไตย ตั้งพรรคการเมืองคือพรรคพวก มันก็เหมือนคอมมิวนิสต์ชนิดหนึ่ง แล้วก็อาศัยอำนาจของพรรค ไปยืนยัน แข่งขันใช้อำนาจอะไรต่ออะไร ซึ่งมันไม่ใช่การเมืองแบบระบอบประชาธิปไตย คำว่า หมู่ฝูง คำว่า คณะ คำว่า พรรคพวก มันมารวมกันเป็นคณะ เป็นพรรคพวก เป็นหมู่เป็นฝูง มันรวมกันโดยจิตวิญญาณ รวมกันด้วยน้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน ถ้าเอากฎระเบียบกฎเกณฑ์มาบังคับให้ตั้ง..มันเป็นของปลอม คนก็ทำตามกฎเกณฑ์ซึ่งมันเป็นของปลอม แต่ถ้าไม่ต้องบังคับให้ตั้งแล้วมันก็เป็นพรรคเป็นคณะขึ้นมา หรือมีความเห็นตรงกัน รวมตัวขึ้นมาเป็นเอกภาพเป็นความสามัคคี ด้วยความเข้าใจความเห็นมีทิฐิสามัญญตา มีศีลสามัญญาตา นั่นแหละคือพรรคโดยธรรมชาติของประชาธิปไตย ซึ่งมันจริง มันรวมมันเป็นหมู่มวล อย่างชาวอโศกเรานี้ ไม่ได้ไปบังคับใคร ไม่ได้ไปตั้งให้ใครต้องไปจดทะเบียน พวกคุณมาเอง สะดวกอิสรเสรีภาพจะออกเมื่อไหร่ก็ได้ จะเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้ เอาคุณธรรมเป็นตัวกำหนด หรือเอาตามจิตวิญญาณของคุณเห็นดีเห็นงามเข้ามารวมกัน น้ำก็ไหลไปหาน้ำ น้ำมันก็ไหลไปหาน้ำมัน เพราะฉะนั้นตั้งกฎตั้งเกณฑ์ออกมาเป็นกรอบบังคับ ต้องทำแบบนี้ มีข้อบังคับอย่างนี้มันไม่ใช่อิสรเสรีภาพ มันเป็นการบังคับ ออกกรอบบังคับมีกฎเกณฑ์อย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่อย่างนี้ มันก็ผิดจากของที่นี่ ที่นี้การที่ไม่ตั้งพรรค มันจะเป็นไปตามสัจธรรม มันจะคัดเลือกตัวคนโดยธรรมชาติ ใครจะเข้ามาอยู่ในพรรคหรือในชาวอโศก มันเป็นการคัดเลือกโดยสัจธรรม โดยศีลโดยธรรมแท้ๆ ไม่ได้ไปบังคับ ไม่ได้ไปตั้งกฎเกณฑ์ ยิ่งมาอยู่ในนี้ก็ได้เลย คุณเคยสมัครไหม เลขที่เท่าไหร่ เบอร์อะไรสมัครไหม ไม่ได้มีใครสมัครเลย เห็นไหม สัจจะมันซ้อนๆอยู่ เราก็ยังไม่มีอะไรมาก ก็ต้องตั้งพรรคกันดู มันจะเป็นอย่างไร อาตมาก็ยังไม่รู้ ตั้งขึ้นมาเป็นพรรคการเมืองแล้วจะดำเนินอย่างไรก็เห็นดำเนินไปอย่างเฉื่อยๆ ตอนนี้ก็ให้ผู้ที่มีความ Active หน่อยอย่างพวกหมอเขียว ลองมาช่วยเข้ามาดูแลเข้ามาขับเคลื่อนดูซิ ก็ยังไม่เห็นอะไรเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นใครจะไปสมัครอะไรต่ออะไรให้เขาเลือกตั้งเป็นส.ส.หรือไม่อย่างไร ลองดู ก็ยังตอบไม่ได้ พรรคนี้จะหนุนลุงตู่หรือไม่ ก็เป็นอิสรเสรีภาพเหมือนกัน ก็ถ้าเผื่อว่าตั้งเป็นหลักเกณฑ์แล้วค่อยสมัครเป็นสมาชิก เราทำงานนอกสภาอยู่แล้วเราไม่ได้สมัครไปเป็นสส. จะเข้าไปในสภา _Jaisangbhud Sitis ใจแสงพุทธ สิติส · โลโก้สัมมาธิปโตยงามมากค่ะ เห็นถึงความหมายทางคุณธรรมที่ลึกซึ้ง พ่อท่านสุดยอดมากๆ น้อมกราบด้วยเศียรเกล้าค่ะ พ่อครูว่า… คนดูแล้วเข้าใจเห็นความลึกซึ้งในสัญลักษณ์นั้นในสื่อนั้น เขาก็ลึกซึ้งเองซาบซึ้งเอง คนข้างนอกทั่วไปเขาดูตามเส้นมีเส้นตรง เส้นหยัก เส้นโค้งตามโลโก้ แต่โลโก้ของเรา มีเลข 0 1 2 พรรคสัมมาธิปไตย อาตมาก็ว่าดูโลโก้มันโก้จริงๆนะ มันดูสะสวย แถมภาพธงชาติเข้าไปอีกหน่อยก็ชัดเจนดี ตัวหนังสือตัวเลขไทยด้วย คนก็ต้องตั้งข้อสังเกต อะไรคือ 0 1 2 มันคือความหมายก็ต้องค่อยๆอธิบาย เมื่อเราอธิบายก็สื่อธรรมะ คนก็จะได้ฟังธรรมะ แต่ละคนจะมีภูมิเท่าไหร่ก็แล้วแต่ค่อยๆขยายไป _พันธ์ พอเพียง … อานิสงส์การฟังเทศน์วันที่ 27 ธันวาคม 2565 เมื่อเดือนเมษายน 2565 ลูกได้พาครอบครัวไปอยู่ที่ชุมชนสีมาอโศกบ้างแล้ว ตั้งใจอยู่ที่นั่นตลอด พอต่อมาแม่บ้านป่วยเป็นกล้ามเนื้อลีบโดยไม่ทราบสาเหตุ ก็จึงขอกลับมารักษาตัวที่บ้าน ตอนนี้อาการก็ดีขึ้น 90% แล้ว ช่วงว่างๆเราก็ไปช่วยขายของที่ ชมร จตุจักร วันหนึ่งผมได้พบลูกค้ามีอาการกล้ามเนื้อลีบเหมือนแม่บ้าน ผมถูกเขาขอร้องให้ช่วยดูแลสุขภาพ ผมจึงอนุญาตให้เขามาหาผมได้ ผมพอมีวิชาเรื่องดูแลสุขภาพแบบนี้บ้าง เมื่อผ่านมาอาการเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ และคนอื่นรู้ข่าวก็มาหาผมเรื่อยๆ จนกระทั่งเย็นวันที่ 27 “คุณจงหันหัวลูกศรกลับมาอยู่กับหมู่กลุ่ม ถ้าคุณยังทำลูกศรยิงออกไปข้างนอก แม้คุณได้ตายไปแล้วเกิดมาอยู่กับอโศก คุณก็จะเกิดมาทำลูกศรยิงออกไปข้างนอกอีก” ขอบอก จงอยู่ในกระบอก โบกมือเรียกจงนอยู่ในโบก จะได้ไม่โบกมือลา ผมเข้าใจประมาณนี้ แต่สะกิดแล้ว ฝังจำ มากครับ บ่ายวันที่ 4 มกราคม 2566 15:00 น คนไข้ 2 คนเดินไปที่สระน้ำหลังบ้านผมแล้วเดินมาบอกผมว่าต้องการจะสร้างอาคารให้หลังหนึ่ง เพื่อดูแลสุขภาพแบบครบวงจร สร้างให้ฟรีๆ ส่วนตัวเขาขอมาเดือนละ 2 ครั้งพักครั้ง 1 คืน คนหนึ่งบอกไปที่แม่บ้านผม อีกคนบอกกับผม ทีแรกผมก็เกิดจิตยินดีสัก 1 นาที แล้วเทศนา พอวันที่ 16 มกราคมก็พรั่งพรูออกมาแบบไม่ต้องต่อสู้มากเลย คือเรื่องที่จะเข้าหมู่กลุ่มเพื่อลดละกิเลสตัวเอง แต่ก็ตอบเขามานิ่มๆว่า ขอคิดดูก่อนแล้วจะให้คำตอบ (แต่แม่บ้านผมสิครับ ผมไม่เคยเห็นเธอ จะเปิดฟังเทศน์ฟังธรรมอะไรเลย บางทีผมฟังเทศน์เธอก็นอนการบริหารเหมือนไม่สนใจ ตัวผมเองใช้เวลาปฏิเสธโครงการนี้ประมาณนาทีครึ่ง คือ ลูกศรยังง้างๆออกไปอีก แต่ทางแม่บ้านผมใช้เวลาไม่ต้องคิดเลย เธอตอบไปว่า “ไม่รับค่ะจะไปช่วยงานวัดค่ะ ” พ่อครูว่า… มันเป็น Absolute Talk เลยนะ ตีหัวเข้าบ้านเลย ทำเอาโครงการนี้จบไปแบบไม่มีใครกล้าคัดค้าน เพราะทุกวันนี้ผมยกให้เขาเป็นผู้บริหารบ้านครับ อีกไม่นานคงได้กราบลาพี่ๆน้องๆที่จตุจักรเพื่อกลับสีมาอโศกบ้านเองละเด้อครับ …กราบนมัสการ ตรบ พ่อครูว่า… นี่ก็รายงานพัฒนาการชีวิตขึ้นมาเรื่อยๆ มันเป็นผลสำเร็จของอาตมา ที่แสดงธรรมสอนธรรมะ อธิบายธรรมะแล้วถึงวันนี้มันมีผลต่อมนุษยชาติ มีผลจริงๆเลย อาตมาพูดหลายทีแล้ว ไม่เสียเปล่า เกิดมาชาตินี้ที่เอาธรรมะโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้ามาสาธยายในยุคนี้ที่เป็นยุคเสื่อม เสื่อมมากๆเลย แต่ก็ยังมีคนพอรับได้ ผู้มีธุลีในดวงตาน้อย ฟังรู้เรื่องเข้าใจแล้วเข้ามา มีจำนวนหนึ่งในชาวอโศกนี่แหละ ซึ่งว่ากันแล้วห่างจากเถรสมาคมซึ่งเป็นพุทธศาสนากระแสหลัก หมู่ใหญ่ เพราะมันตัดเขตจากเขา มันเละเทะไปด้วยโลกียธรรม แม้แต่ภิกษุก็ หยำฉ่า อยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แล้วก็ยังทุจริตอะไรกันเละเทะด้วย ดูแล้วมันน่าสังเวชใจ น่าสงสาร มันสุดวิสัยที่จะช่วยเขาได้ ก็ได้แต่คัดเลือกผู้ที่มีวาสนาบารมีก็ได้ความ ผู้ใดไม่ได้ก็ไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร เลข 0 1 2 กับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา _บ้านเล็กเมืองน้อย….กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง จากที่พ่อท่านแสดงธรรมวันนี้ (ศ.13 มค. 66) ถามพวกเราว่า… ๐ – ๑ – ๒ หมายถึงอะไร ณ ตอนนั้นก่อนที่พ่อท่านจะเฉลย….ในใจคิดว่า จากประสบการณ์และความรู้ ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนทั้งหมดจากพ่อท่าน….. ๒ เป็น “เทวะ” คือ “ความมีกับความไม่มี”….จึง อนิจจัง การดิ้นรนให้คงอยู่ใน “ความมีหรือไม่มี”….จึง ทุกขัง ต้องทำ “๒” ให้เป็น “๑” ที่ “๐ จากทั้งความมีและความไม่มี” ..จึง อนัตตา แล้วอาศัย ๑ ที่ “อเนญชา” ดำรงอยู่อย่าง ๐ (ไม่สุขไม่ทุกข์) จึงทำ “อายะ๓” อย่างอนุโลมปฏิโลมไปตามกาละ เทศะ ฐานะ ได้….. จึงทำให้คิดว่า…. ๒-๑-๐…. น่าจะหมายถึง ไตรลักษณ์ หมวดหนึ่งที่มีอุปการะยิ่ง โดยส่วนตัวแล้วใช้บ่อยมาก เป็นตัวช่วยในการตีความทำความเข้าใจเรื่องยาก ให้คลี่คลายง่ายขึ้นไปตามลำดับ….เช่น การสัมผัส วิโมกข์ ๘… พ่อครูว่า… ต้องมีกายด้วยย มีรูปและนาม สัมผัส ปัสสติ คือต้องสัมผัสอย่างตาเห็น ลืมตา ข้อ 2 อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ หมายความว่า เราจะต้องมีการรู้ รูป มีสัญญากำหนดว่ารู้รูปทั้งภายนอก ภายใน เห็นรูปทั้งภายนอก ภายใน ทั้งอรูป รูป ตั้งแต่ภายนอก ภายในเข้าไปถึง อรูป อย่างนี้เป็นต้น ในวิโมกข์ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 สุภันเตว อธิมุตโต โหติ ก็หมายความว่า จบ สุภะ กับ อันตะ อะไรที่น่าได้ น่ามี น่าเป็นอย่างที่สุด ก็ทำจิต จิตก็จะโน้มไป อธิโมกข์ อธิมุตโตโหติ ไปสู่ความเป็นความมีที่สุด วิโมกข์ 3 ข้อเป็นการบอกรายละเอียดของความเป็นวิโมกข์ แต่ความเพี้ยน ความเสื่อมของความรู้ทางศาสนาพุทธแล้ว ไปเข้าใจว่าเป็นการนั่งหลับตา ทั้งๆที่บอกว่ามีภายนอกภายในต้องสัมผัสต้องเห็น แต่เขาเข้าใจไปได้อย่างไรว่าเป็นการนั่งหลับตา วิโมกข์ 8 เขาบอกว่าคือการเข้าสมาบัติต้องนั่งหลับตามีวิโมกข์ นี่คือ ความเพี้ยน ความเสื่อมจากความรู้ทางธรรมของพระพุทธเจ้า ต่อจากนั้นก็ไปเป็น อรูป คือ อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ สัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นเรื่องที่ถ้าไม่มีสภาวะแล้วยากมากจะอธิบาย จนกระทั่งเพี้ยน กลายเป็นเรื่องหลับตาไม่มีภายนอกทั้งๆที่มีคำ พหิทา อยู่แท้ๆ มันชัดเจนจะไปนั่งหลับตาได้อย่างไรเพราะว่าต้องเห็นรูปภายนอก อัชฌัตตังคือภายใน พหิทา ภายนอก แต่เสร็จแล้วไปบอกว่านั่งหลับตา…ไม่รู้จะพูดอย่างไร มันเสื่อมจนพูดกันไม่รู้เรื่อง เรามายืนยัน เอาบาลีเป็นหลักฐานมายืนยัน เขาก็ยังยาก _จึงทำให้คิดว่า…. ๒-๑-๐…. น่าจะหมายถึง ไตรลักษณ์ หมวดหนึ่งที่มีอุปการะยิ่ง โดยส่วนตัวแล้วใช้บ่อยมาก เป็นตัวช่วยในการตีความทำความเข้าใจเรื่องยาก ให้คลี่คลายง่ายขึ้นไปตามลำดับ….เช่น การสัมผัส วิโมกข์ ๘… ๑. ต้องมีสฬายตนะ ๒. ต้องรู้อารมณ์ในขณะที่ผัสสะ ๓. ต้องแจ้งจริงใน ไตรลักษณ์……….รู้ความแตกต่าง แยกแยะเทวะได้ (๒) พ่อครูว่า… ผู้เข้าใจเทวะแล้วไม่ได้ไปเข้าใจว่าเทวดาล่องลอยอะไรอย่างนั้น แต่เทวะคือสภาพ 2 เป็นรูปนาม เป็นวิญญาณ มีปัญญาเข้าใจ เทวะได้ ๔. ทำ ความมี ให้ ไม่มี (ล้างกาม) แยกกายกลิออกจากจิต ให้มีเวทนาแท้ (๑) พ่อครูว่า… คือเราจะรู้ 2 ตัวที่มีเวทนาเก๊ กับเวทนาแท้ ทำให้เวทนาเก๊ดับไป เหลือแต่เวทนา1 คือเวทนาแท้ ๕. ทำ ความไม่มี ให้ ไม่มี (ล้างอัตตา) ไม่ยึดในความรู้ = ไร้อัตตา ก็ไม่สุขไม่ทุกข์(๐) พ่อครูว่า… ผู้ที่เข้าใจอธิบายอย่างไรมันก็ถูก เราฟังแล้วก็จะเข้าใจ ๖. ยถาภูตญาณทัสสนะ จิตหมดความเป็นกาย เป็นอนุปคัมมะ จึงเห็นความจริงตามความเป็นจริง (สูญญตวิโมกข์) พ่อครูว่า… จิตไม่มีความเป็นกายนี้เป็นอนุปคัมมะ จึงเป็นจิตที่ทำความไม่มีได้สำเร็จ ความไม่มีกาย เคยอธิบาย ความไม่มีกายของจิต ท่านให้พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เอาที่เล็บมันยาวออกมา เล็บที่ ยาวออกมาพ้นปลายประสาท มันไม่เจ็บไม่ปวดมันรู้สึกเฉยๆไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร ไม่ทุกข์ไม่สุขอะไร นั่นแหละคือจิตวิญญาณเราไม่มี กาย มันไม่ทุกข์ไม่สุข มันไม่เจ็บไม่ปวด มันกลางๆเฉยๆ ทั้งๆที่มันยังเป็นชีวะ แล้วเราก็เป็นคนมีจิตนิยาม นั่นแหละทำอันนี้ได้อย่างนี้ ทำจิตให้ได้อย่างนี้ เราก็ยังมีจิตนิยาม แต่จิตนิยามเราไม่มีกาย ไม่ทุกข์ ไม่สุข ไม่บาปไม่บุญ ไม่มีภาวะ 2 ไม่มีเทวะ แล้ว เป็น สุญญตวิโมกข์ เป็น 0 ๗. ปรับ tune มุทุ กัมมัญญา ให้ปภัสสรา รู้ประมาณได้ตาม กาละ เทศะ ฐานะ …สั่งสม อภิภายตนะ๘ (อนิมิตตวิโมกข์) พ่อครูว่า… นึกออกไหม ในหมวด วิการรูป มี ลหุตา มุทุตา กัมมัญญา ปภัสรา จิตมันทำให้เบาได้สบายมันเบามันว่างมันง่าย มุทุตา… พวกเราคงจะเข้าใจขึ้น แต่คนข้างนอกที่เขาเรียนกัน อาตมาว่าเขาไม่เข้าใจเรื่อง มุทุตา มุทุจิต จิตที่ มีลักษณะทั้ง static และ Dynamic มีทั้งสภาพของศรัทธาและปัญญา มีทั้งสภาพของ เจโตและปัญญา ทั้ง 2 สภาพในจิตนี้ สะอาดจากกิเลส เป็นอุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เพราะฉะนั้น จิตมุทุ คือจิตที่สำเร็จผลบริสุทธิ์ สำเร็จ ปริสุทธา ปริโยทาตา สั่งสมเป็น มุทุภูตธาตุ ธาตุจิตที่สมบูรณ์ จิตนี้จะเป็นกัมมัญญา ทำงานได้อย่างเหมาะควรได้อย่างดี ได้อย่างไม่มีพิษมีภัยได้อย่างสูงสุด ทำงานไปอย่างไร จิตก็ประภัสสรตลอดกาลนาน ก็ทำให้เจริญขึ้นเรื่อย ปริสุทธาปริโยทาตา ปรับจูน มุทุกัมมัญญา ให้ได้ตาม กาละ เทศะ ฐานะ กาละคือเวลา เทศะคือภูมิประเทศ สถานที่ ฐานะคือที่เกี่ยวข้องกับคนต่างๆ _๘. ทำ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ได้ด้วยกรรมของตน เป็น วสวัตตีโก (อัปปณิหิตวิโมกข์) (ผิดถูกประการใด กราบพ่อท่านเมตตาชี้แนะด้วยครับ) พ่อครูว่า… วสวัตตีโก ผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ อัปปณิหิตวิโมกข์ คือวิโมกข์ที่ไม่ต้องตั้งจิต อัปปณิหิตะคือไม่ตั้งจิต อนิมิตคือไม่ตั้งนิมิต สุญญตวิโมกข์คือวิโมกข์อย่างสูญ ถ้าวิโมกข์คือหลุดพ้น ยังมีชีวะ ถ้านิพพานคือตาย วิโมกข์คือหลุดพ้นจากกิเลส เป็น วิโมกข์ 3 _แต่…เมื่อพ่อท่านเฉลยว่า ๐ – ๑ – ๒ คือ โลกุตระ ….ก็เห็นด้วยเลย เพราะครอบคลุมได้ถ้วนทั่ว และแบ่งแยกจากโลกียะอย่างชัดเจน กราบขอบพระคุณมากครับ พ่อครูว่า… คุณ บ้านเล็กเมืองน้อย มีชื่อว่า เป็นชาวคริสต์ แต่มารู้เรื่องพุทธเสียจนทะลุปรุโปร่ง คนที่เขาจบเปรียญ 9 ดอกเตอร์ทางศาสนา ตามมหาวิทยาลัยทางตะวันตกมา ไปเรียนพุทธศาสนามาจากตะวันตก..เสียหน้า เสียศักดิ์ศรี อะไรก็ไม่รู้ เทวนิยมไม่รู้หรอก เทวนิยมไม่มีสิทธิ์แล้วรู้เรื่องพุทธ รู้แบบโง่ๆรู้งูๆปลาๆ ไม่มีสิทธิ์รู้โลกุตระ ไม่มี อัญญธาตุ จะเห็นได้เลยว่าเสียท่ามากเพราะเห็นความเสื่อม ไม่รู้ว่าอะไรของตัวเองแท้ๆ เขาไม่มีทางจะรู้เพราะเป็นเทวนิยม ไม่มีทางรู้พุทธศาสนาที่สุดยอดแม้จะไปเรียนดร.วิชาสูงสุด มันก็จะไปจบอรหันต์ แต่มันจะเป็นอรหันต์ได้อย่างไร น่าสงสาร เป็นความสับสนซับซ้อนโลกที่เขาไม่รู้เรื่องกัน อาตมาก็วิเคราะห์วิจารณ์ไป ใครจะหาว่าเบ่งข่มคนอื่นก็ตาม เมื่อพ้นทุกข์ลง แต่ยังติดความสบาย จะหลุดจากพรหม ได้อย่างไร คำถามจากสันติอโศก _ปฏิบัติธรรม มา ระยะหนึ่ง 30 ถึง 40 ปี ทุกข์ลดลงมามากๆ พ่อครูว่า… ดี เข้าใจทุกข์ ผู้ที่เข้าใจทุกข์ รู้ทุกข์ คือผู้ปฏิบัติธรรม รู้อริยสัจ 4 อ่านจิตตัวเองว่าเป็นทุกข์ แล้วรู้ว่ามันจางคลายหรือลดลงไหม ทุกวันนี้สัมผัสสิ่งที่เราสัมผัสมีทุกข์ เคยอยากได้อยากมีอยากเป็น ไม่อยากได้ไม่อยากมีอยากเป็น อะไรมันเป็นทุกข์ เพราะมันผลักมันดูดในสิ่งที่สัมผัส แล้วเราก็อยู่กับโลก สัมผัสกับคน สัมผัสกับวัตถุเงินทองข้าวของ สัมผัสเพชรนิลจินดาบ้านเรือนที่ดิน อะไรก็แล้วแต่ จนกระทั่งถึงพืชพันธุ์ธัญญาหาร แล้วก็มีรสมีชาติทางตาหูจมูกลิ้นกาย สัมผัสสิ่งเหล่านั้นแล้วก็รู้ว่ามันเกิดอาการผลักดูด อาการชอบอาการไม่ชอบ ทุกข์หรือสุข ศาสนาเทวนิยมไม่ได้เรียนรู้เรื่องทุกข์เรื่องสุข เรียนรู้แต่เรื่องดีชั่วมันเป็นโลกียธรรมทั้งนั้น โลกุตรธรรมเท่านั้นที่จะเรียนรู้เรื่องสุขทุกข์ ผู้ที่เรียนรู้สุขทุกข์ได้จริงในจิตวิญญาณ แล้วก็ดับเหตุที่เกิดสุขเกิดทุกข์ จนไม่มีสุขไม่มีทุกข์ จิตสะอาดจากกิเลสจริง ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา พุทธนี้จบได้เป็นอมตะบุคคล จบเลย ที่เรียกว่าจบกิจ จบกิจคืออะไร คุณจะเกิดต่อหรือตายเป็น 0 ไม่ต้องมาเป็นจิตวิญญาณอีก ไม่ต้องไปอยู่กับพระเจ้า จิตวิญญาณ 0 เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย ปริโยสานเลย มันจบเลยจริงๆ มันเรียนรู้ว่าที่เราต้องมีร่างกายเกิดมาวนเวียนนี้มันไม่จบ ให้มันจบแล้วคุณจะตาย 0 เลยอย่างที่ว่า คุณเลิกได้เลย จบกิจจริงๆ จบความเป็นจิตวิญญาณ จบความเป็นอัตตาอัตภาพไม่เหลือ เห็นที่สุดแห่งที่สุดของศาสนาพุทธไหม หรือ คุณจะอยู่ คุณก็อยู่ไปได้อีกพัฒนาตนเองไปจนกระทั่งคุณเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็สุดเบื่อแล้ว คุณก็จะรู้ว่าไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ไหนหรอกที่จะเป็นพระพุทธเจ้า 2 สมัย เป็นพระโพธิสัตว์ก็เบื่อแสนเบื่อแล้ว พากเพียรอยู่อย่างนั้นจะเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้เท่านั้นไม่อย่างนั้นก็สูญ ก็ไปแล้วเบื่อ ยิ่งทุกวันนี้แล้วสังขารมันไม่ค่อยให้ พูดถึงความตายหลายทีจนพวกเราสะดุด พวกเราชักสะดุด แต่ก็พยายามอยู่ เพราะอาตมายังเชื่อว่า ถ้าหากอาตมาอยู่ไปอีก 10 ปี 20 ปีหรือ 30 ปี ได้ มันจะได้ผลจริงๆเพราะตอนนี้เริ่มต้นมีคนชักจะเข้าใจ ไอ้ตัวที่ไม่เข้าใจแล้วต่อต้านอะไรพวกนี้ ไม่มีแล้ว หาย หายไปแล้วไม่กล้าต้าน หรือ ไม่เอาแล้วไม่ต้าน ไม่ต้านแล้ว ถูกอาตมาย้อนแย้งเอา เอาพระไตรปิฎกมาตีหน้าแง เขาก็เลยไม่กล้า ก็เลยทำได้สะดวก เพราะฉะนั้นตอนนี้ทำได้สะดวกขึ้นแล้วก็มีผู้สนใจเพิ่มขึ้น มันเกิดผลเจริญก็เลยคิดว่าได้ผล ทำได้ผลเจริญ ไม่ควรรีบตาย ควรจะอยู่ต่อ _มันมีความสุขสบายหลุดออกยากมาก จะมีพลังหลุดออกจากสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร พ่อครูว่า… มันติดความสุขสบายเป็นสัปปายะ จริงนะ เราก็ต้องเห็นให้ได้ว่ามันจะติดแล้วมันก็จะมันเป็นสวรรค์ เมื่อเป็นสวรรค์ก็เป็นภพเป็นชาติ เมื่อเป็นภพเป็นชาติ คุณก็จะเป็นพระพรหม 16 ชั้น ตั้งแต่ ขั้นปริตตาภา จนเป็นมหาพรหม ปริตาสุภา ซึ่งเอาพยัญชนะมาอธิบาย แต่เขาก็อธิบายไม่เป็น อธิบายไปเป็นลำแสงอย่างนั้นอย่างนี้ ที่จริงก็คือจิตวิญญาณ พระพรหมคือจิตสะอาด จิตมี 1.สมมติเทพ 2.อุบัติเหตุเทพ 3.วิสุทธิเทพ วิสุทธิเทพคือจิตพรหม จิตที่สะอาดจากกิเลส อุบัติเทพคือจิตที่เกิดเป็นโลกุตระไปตามลำดับเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เมื่อถึงความเป็นอรหันต์ ก็เป็นพระพรหม แต่เขาไม่รู้ความเจริญของพรหม ก็เลยไปบัญญัติเป็นภพเป็นชาติ เป็นแสง ปริตตาแปลว่านิดนึง ปุโรหิตา แปลว่าครูของปริตตา มหาพรหมก็ผู้เป็นใหญ่ เป็นอาจารย์ใหญ่ ปุโรหิตก็เป็นอาจารย์น้อย รองมาจากมหาพรหม ไล่ขึ้นไปกว่านั้นก็เป็น ปริตตาสุภา ปุรหิตาสุภา สุภาแปลว่ายิ่งขึ้น แต่เขาแปลว่าแสง ดีงาม เจริญ แล้วก็มีอะไรต่ออะไรไปอีก อาตมาก็จำพรหม 16 ชั้นไม่ไหว ก็คือการยึดภพยึดชาติ พระอรหันต์ไม่มีพรหม พระอรหันต์ไม่มีเทวดา ไม่เป็นอะไร แต่เขายังเป็นยังมีภพชาติ ยังยึดมามีมาเป็น พอเป็นพระอรหันต์แล้วหมดภพหมดชาติ ความเป็นภพที่เป็นพระพรหมเป็นเทวดา สัตว์นรกยิ่งไม่มี ภพที่เป็นนรก ภพเทวดาก็ไม่มี ภพเป็นพระพรหมก็ไม่มี แต่รู้ว่าจิตเขาเป็นเช่นนั้น แต่จิตของเราไม่เป็นเช่นนั้นเลย หรือจิตของเราจะอาศัย อาศัยความสะอาด อาศัยความสะอาดจากกิเลส ก็คือ วิสุทธิเทพหรือชั้นพรหม สะอาด สะอาดอย่างน้อยๆ ปริตตา สะอาดอย่างชั้นครู ปุโรหิตา สะอาดอย่างมหา จนเป็นอตัปปา เวหัปผลา อะไรไปโน่น อาตมาก็ไม่อธิบายต่อแล้วมันคือภพชาติไม่รู้จักจบตั้งไป เพราะฉะนั้นอรหันต์ พระพุทธเจ้ารู้ว่าเขายังมีภพชาติต่อไปอีก มันเป็นโลกจินตา สร้างไปได้ จนทุกวันนี้มหายานมีพุทธเกษตรมีพระพุทธเจ้าอยู่ในนั้น ยังไม่ตายนะพระพุทธเจ้าอยู่เต็มไปหมด ไม่รู้พระพุทธเจ้าอะไรบ้าง พระพุทธเจ้าอมิตาภา พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ อยู่ในนั้นเต็มพุทธเกษตร ไม่ต้องไปไหนกันพอดีเป็นภพเป็นชาติ เฮ้อ มันไปเข้าใจผิดความไม่มี มันไม่มีแล้วก็ยังไปมีอีก ยังทำเป็นสูงเป็นชั้นๆต่อไปได้อีก เสร็จแล้วก็ไปกองอยู่ในพุทธเกษตร ไม่มีอะไรจะให้แล้วก็เลยสร้างภพเป็นที่อยู่ให้ไปกองอยู่ในนั้น เป็นที่ของพระพุทธเจ้าอาศัยอยู่ก็เป็นภพอยู่ ตามความหมาย ตลก นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะเดินดิน… ช่วงบ่ายวันนี้มีการเตรียมงานวันแห่งความรักของรัก รักพงษ์ มีแนวโน้มว่าจะเป็นแบบวาไรตี้ คือ แต่ละที่เขาก็จะจัดของเขาไป คือเขาเกรงใจสันติอโศกมาแล้วจะทำให้แน่น จะเอาโควิดมาฝากกัน แต่ละที่ก็ไปคิดสูตร อย่างลานนาอโศก คิดว่าน่าจะจัดงาน 8 วัน 8 คืน แต่ละที่ก็จะมีเอกลักษณ์ของตัวเองตามที่จะเป็นปฏิบัติบูชา โพธิบูชา ใครเป็นแฟนคลับของสันติอโศกก็มาที่สันติอโศกหรือบางที่ไม่จัดก็มารวมกับที่สันติอโศกก็ได้ อย่างรังเกียจความเป็นครูกันเลย _จากครูปวส. เนื่องในวันครูขอให้พ่อครูให้คำสอน ครูที่จำเป็นต้องมาทำหน้าที่คุรุโดย ไม่เคยเป็นครูมาก่อน ไม่เคยเรียนครูมา มาทำหน้าที่ครูที่นี่เพราะเห็นความจำเป็นและบ่อยครั้งก็เกิดความท้อ และคิดว่าทำหน้าที่ไม่ได้ดีค่ะ พ่อครูว่า… มันก็อยู่ที่ใจของเราทั้งนั้น ว่า การสอนคนนี้มันยาก ผู้จะสอนคนได้ดี ก็ต้องทำตนเองให้ได้ก่อนตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้.. “ทำตนให้มีคุณอันสมควรก่อน แล้วสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง” คือปฏิบัติตนให้เป็นผู้ที่มีคุณธรรม ถ้าเรามีคุณธรรมแล้วไปสอนคนมันจะไม่ยาก เพราะเอาความจริงของตนมาแสดงมาพูด อย่างน้อยพฤติกรรมทางกายกรรมเราก็เป็น มันก็สอนในทีอยู่แล้ว ยิ่งพยายามจะพูด มโนกรรมที่เรามีภูมิรู้เป็นมโนสังขาร มันก็จะทำให้เราพูดตามที่จิตของเรามันมีคุณธรรมพวกนั้น แล้วยิ่งมีความฉลาดเฉลียว มีขั้นตอน มีสิ่งที่ควรจะพูดก่อนหลัง ก็เป็นผู้ที่ฝึกบุรุษที่ควรฝึกได้ เป็นคนที่จะเป็นตามพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่าท่านเองเป็นผู้ที่ฝึกบุรุษผู้สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า แน่นอนพระพุทธเจ้าก็เป็นที่ หนึ่งเป็นครูฝึกบุรุษที่สมควรฝึก คนที่ควรนะ คนที่ไม่ควรฝึกก็ไม่สามารถฝึกได้ อย่างพวกคุณมายินดีฝึก เต็มใจฝึก ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ก็ลดหลั่นไป พระพุทธเจ้าสุดยอดไม่มีใครยิ่งกว่า ส่วนสำหรับพวกเราก็ทำไปตามลำดับ ความเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นอย่ารังเกียจความเป็นครู อาตมาเกิดมาไม่อยากเป็นเลยครู ตั้งจิตแล้วว่าจะไม่เป็นครู แต่สุดท้ายก็มาหากินทางครู แม้แต่ในชีวิตที่เป็นฆราวาสก็ต้องสอน อาตมาเรียนทางศิลปะมา สอนทางศิลปะ เอาไปเอามาอาตมาต้องสอนศีลธรรม เป็นครูทางศีลธรรม ไปสอนโรงเรียนต่างๆ กลายเป็นครูสอนศีลธรรม สอนศิลปะนำไปก่อน แต่สุดท้ายก็สอนศีลธรรม เขาก็เห็นดีเห็นงาม เจ้าของโรงเรียนก็ให้สอน หรือแม้แต่โรงเรียนรัฐบาล เช่นโรงเรียนสตรีวิทย์ โรงเรียนเบญจมราชาลัยก็ให้ไปสอน แม้แต่อาจารย์กรองทองเป็นอาจารย์ใหญ่ แม่ของคุณปลอดประสพ ก็สอน จนเป็นที่ยอมรับของโรงเรียนต่างๆอาตมาสอน เช่น โรงเรียนประสานมิตร เป็นต้น จนอาตมาน้องๆนุ่งๆ เข้าโรงเรียนเหล่านี้สบายไม่มีปัญหาบอกชื่อเขา น้องเขาไปสอบโรงเรียนประสานมิตร เขาสอบตก เข้าไม่ได้แล้วก็มาบอก ก็บอกว่าให้ช่วยเขาหน่อย อาตมาก็ไปบอกฝ่ายอาจารย์เขา เขาบอกว่าทำไมไม่มาบอกก่อนไปสอบตกแล้วค่อยมาบอก สอบตกแล้วเขาก็ประกาศแล้ว ทำไมไม่มาบอกก่อน แต่แกก็รับเข้า แต่ก็ต้องต่อว่า… คือ มีเครดิตในทางพวกนี้ เพราะฉะนั้นเข้าโรงเรียนไหน ลูกของลุงอาตมาฝากเข้าทุกคน ติ๋ม จุฬา ต้อย คนหนึ่งเข้าสตรีวิทย์ฯ ติ๋มต๋อมแต๋มเข้าประสานมิตรหมด มีที่ไปเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนีย์) ก็บอกว่าดึงเข้าโรงเรียนรัฐ จนมีเครดิตทางด้านการศึกษาพวกนี้ ที่มีคนเกื้อกูลเพราะเราช่วยเขา เขาก็ตอบแทน คุณธรรมการเลี้ยงน้องของพ่อครู _มั่นใจพุทธ … เคยอ่านหนังสือพ่อท่านที่บอกว่า ที่พ่อท่านต้องส่งเสียงน้องๆนั้นเป็นกรรมเก่าของอาตมา แต่ถ้าอาตมามีลูกเองอาตมาจะรีบพราก ขอความเมตตาพ่อท่านช่วยให้ปัญญา ด้วยค่ะ พ่อครูว่า… ที่อาตมาต้องดูแลส่งเสียน้องๆนั้นเป็นกรรมเก่าของอาตมา อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาเป็น อจินไตย เป็นเรื่องที่มันต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน และ โดยเฉพาะอาตมาต้องมาทำหน้าที่นี้ในปางนี้ เป็น อจินไตย ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร อาตมาต้องมาทำหน้าที่ต่างๆนานา ถ้าหากอาตมาไม่ทำหน้าที่นี้ มันก็ไม่มีตัวอย่าง ไม่มีอะไรที่จะแสดงให้เห็น โดยเฉพาะโพธิสัตว์ต้องมี แต่เป็นพระพุทธเจ้าแล้วไม่ต้องมี พระพุทธเจ้านั้นได้เกิดมาไม่เป็นพราหมณ์ผู้ใหญ่ก็ต้องเกิดเป็นกษัตริย์ ไม่ต้องไปเลี้ยงน้องอะไรที่ต้องมีคุณธรรมโลกีย์ เป็นตัวอย่างแก่โลกเขา อาตมา เลี้ยงน้องนุ่ง เพราะเป็นกำพร้า มีน้อง 6-7 คนก็ต้องส่งเสียให้เรียน การเลี้ยงลูกเราค่อยๆทยอยส่งเสียไปทีละขั้น ตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม แต่นี่น้องๆ อาตมาจบมาเขาก็เรียนมหาวิทยาลัยกันแล้ว ไม่ต้องส่งเรียนไปแล้วคนอยากไปเรียนเมืองนอกก็ต้องส่งไปเรียนเมืองนอก แล้วไม่ได้เป็นคนรวยเป็นคนมีหลักฐานอะไร แต่เป็นคนจน แสดงความสามารถจนเพื่อนฝูงนับถือ คนต่างๆก็เอ็นดูอาตมาหมด อาจารย์นิลวรรณ เป็นต้น การเลี้ยงน้องของอาตมาเป็นคุณงามความดี เป็นตัวอย่างของสังคมมนุษยชาติ ในวงการที่รู้จักกันดีเขาก็ศรัทธาเลื่อมใส ที่อาตมาเลี้ยงน้อง ยิ่งกว่าลูก เพราะว่าเลี้ยงลูกยังได้ตั้งหลัก แต่การเลี้ยงน้องไม่ได้ตั้งหลักเลย แต่มันหนัก อาตมาเรียนยังไม่จบต้องเช่าบ้านแล้ว อยู่หอพัก พอจบก็เช่าบ้านไว้รอ ที่การเคหะ เราก็จองไว้ก่อนเลย ค่าเช่าเดือนละ 700 เมื่อออกมาสมัครงานได้เงินเดือน 750 สตาร์ทเงินเดือน 750 บาทแต่เงินค่าเช่าบ้าน 700 ต้องทำงานสอนได้เงินได้ทองจากงานประพันธ์บ้างจากอะไรต่างๆเอาทุกทางที่จะได้เงินสุจริต เขียนหนังสือด้วย สอนหนังสือ จนกระทั่งต้องซื้อมอเตอร์ไซค์ lambretta ไปขับ วันๆวิ่งทำงานงานโทรทัศน์ก็ทำงานสอนหนังสือก็ทำ บางทีหาเวลาจะกินข้าวได้ยาก แต่ก็ทำอย่าง เป็นไปได้ ผอมเลย จนกระทั่งเดี๋ยวนี้เลยผอม ไม่ขึ้นเลย ที่ถามมา หากว่าอาตมามีลูก อาตมาจะรีบพราก เอ๊ อาตมาพูดอย่างนั้นหรือ อาตมาพูดว่า ถ้ามีลูกมันจะพรากไม่ออกต่างหากละมั้ง ทำไมบอกว่าอาตมาจะรีบพราก มันจะพรากไม่ออก ขนาดน้องๆนุ่งๆยังขนาดนั้น ถ้ามีลูกก็คงจะไม่ได้มา เพราะฉะนั้นอาตมาจึงไม่นิยมจะแต่งงานมีลูกจึงได้รอดพ้นมาได้จากปากเหยี่ยวปากกา เปรียบเทียบสภาวะพรหมกับสภาวะอรหันต์ _เปรียบเทียบสภาวะพรหมกับสภาวะอรหันต์ พ่อครูว่า… มันเป็นพยัญชนะ ก็บอกแล้วเทวดามี 3 ขั้น สมมติเทพ อุบัติเทพและวิสุทธิเทพ วิสุทธิเทพก็คือพระอรหันต์ไง บริสุทธิ์จากกิเลสแล้ววิสุทธิ เขาก็ใช้พยัญชนะว่าเป็นพรหม พรหมก็คือบริสุทธิ์แล้ว เพราะฉะนั้น อุบัติเทพ คือเป็นผู้เจริญที่จิต ซึ่งอุบัติเทพกับวิสุทธิเทพเป็นโลกุตระ แต่เขาอธิบายไม่เป็น สมมุติเทพถ้ายังมิจฉาทิฐิก็เป็นสมมุติเทพที่ เป็นโลกีย์ เป็นไปตามเรื่องของเขา ไม่รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพานอะไร อธิบายไปเรื่อย เป็นตัวเป็นตน เป็นเทวดา เป็นสัตว์นรกที่มีตัวตนไปหมด แต่ผู้ที่เข้าใจว่าสมมติเทพก็คือผู้ที่ยังไม่มีภูมิที่จะเป็นโลกุตระ ผู้ที่เป็นสมมติอยู่ อาจจะเก่งทางปริยัติอาจจะเก่งทางพยัญชนะ เอาแต่รู้แต่ยังไม่เข้าถึงจิต แม้แต่ สักกายะ กายเขาก็ไม่รู้จัก กาย เป็นคำสำคัญมาก ตั้งแต่ตัวต้นต้องพ้น สักกายทิฏฐิ ต้องมีความรู้ความเข้าใจสัมมาทิฏฐิในเรื่องความเป็นกาย และเกี่ยวกับตัวเอง กาย มันเป็นอาการอย่างไร ต้นๆเลย ต้องทำความรู้อันนี้เมื่อเข้าใจ กาย จึงได้ปฏิบัติพิจารณาสติปัฏฐาน 4 ได้ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมได้ ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิใน สักกายทิฏฐิ จะไปพิจารณากายในกายไม่ได้ มันจะต้องมีทั้ง กายนอก กายใน จึงมีคำว่า กายในกาย ก็ต้องหมายถึงอีกอันหนึ่ง กาย ต้องมีข้างในและข้างนอก แต่พวกหลับตาปฏิบัติไม่มีกายแล้ว เจ๊งกระบ๊งเลย ปิดประตู โมฆะในการปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าเลย สักกายทิฏฐิ ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิเข้าไปนั่งหลับตา แล้วจะไปปฏิบัติกายในกาย เวทนาในเวทนา เอาพยัญชนะมาพูดมันก็ไม่ได้ เพราะว่ากำหนดเรื่องกายยังไม่ถูกเลย สภาวะ 2 เป็นอายตนะ รับรู้ ตากระทบรูป หูกระทบเสียงเป็นคู่ๆ คุณก็ต้องพิจารณาทั้งที่ขณะตากระทบรูปคือ กาย มีอายตนะ หูกระทบเสียงคือ กายมีอายตนะ จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส สัมผัสภายนอก เป็นต้น แล้วก็เรียนรู้แยก 2 แยก 1 ทำให้เป็น 2 เป็น 1 2 กับ 1 คือเทวะคือคู่ และ 1 กับ 0 ก็เป็นคู่เหมือนกัน เทวะอีกคู่หนึ่ง ซึ่งศาสนาพุทธมี 0 แต่ศาสนาเทวนิยมไม่รู้จัก 0 มีแต่นิรันดรอยู่กับพระเจ้านิรันดรพระเจ้าไม่มีตาย ไม่มีเป็นอยู่ค้างฟ้าตลอดนิรันดร ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาคิดเอาแต่ปฏิบัติไม่ได้ไม่จริงมันก็ได้แต่เพ้อพกไป เพราะมันไม่เข้าใจ แต่ของพุทธนั้นจบเลย จัดการจิตวิญญาณให้อยู่หรือปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายไปเลิกเลยเป็นดินน้ำไฟลม ถึงจะจบกิจ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ทุกองค์ จบกิจแล้วจะอยู่ต่อจนถึงเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้วทุกองค์ก็จะเป็นสมัยเดียวไม่มีใครเป็นสมัยสอง เป็นสมัยหนึ่งขึ้นทำเนียบว่าได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในโลก นอกจากจะเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นิพพานแล้ว ก็มีสัมมาสัมโพธิญาณเป็นที่จะบรรลุพระพุทธเจ้าได้ แต่ท่านไม่ประกาศ ไม่เปิดตัวว่าเป็นพระพุทธเจ้าไม่สอนศาสนา แล้วท่าน ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไปเงียบๆจึงไม่มีชื่อในทำเนียบพระพุทธเจ้า แต่ท่านมีภูมิสัมมาสัมพุทธญาณเท่ากับพระพุทธเจ้านั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน อาตมาอยู่เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 จะรู้ความหมายที่มี อนาคตังสญาณ รู้ไปตามลำดับพอสมควรจะต้องเรียนไปตามลำดับก็พัฒนาไปปฏิบัติตนให้เป็นเช่นนั้นไป _อยากให้เปรียบเทียบ สภาวะของความเป็นพรหมกับสภาวะความเป็นอรหันต์ มันก็เปรียบเทียบแล้ว ไม่งั้นก็หลงไปกับพยัญชนะ สมมุติไปโน่นนั่นนี่ละเอียดละออมากเรื่อง มันก็จะยาวยืดสับสนเละเทะ มากเรื่องไปไม่รู้จัก พวกที่ไม่รู้จักจบนี้น่าสงสาร แล้วไปยินดีในความละเอียดละออของเรื่องความรู้ที่เรียกว่า โลกจินตา ความคิดตามที่โลกเขาพาไป ไอ้นี่ก็น่ารู้ ไอ้ทหารโน่นก็น่ารู้ เรียนมาก อย่างเช่นมหาประยุทธ์น่าสงสารยินดีกับการเรียน อะไรก็น่ารู้ อรรถกถาจารย์ อาจริยวาทก็เรียนรู้ รู้ไปหมดเป็นพหูสูตร เป็น learness Man ไม่มาสรุปให้บรรลุ มันกว้างเกินไม่มีที่จบก็ไม่รู้ตัว อันนี้แหละพระพุทธเจ้าถึงสรุปว่าเป็นผู้ที่ ปทปรมบุคคล เป็นผู้ที่รู้พุทธพจน์ก็มาก ทรงจำอยู่ก็มาก สอนคนอื่นก็มาก แต่ตนเองไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินั้น น่าสงสารมาก ไม่บรรลุธรรมในชาตินั้น ถ้าเราไม่รู้กายเบื้องต้นตั้งแต่ สักกายทิฏฐิ และปฏิบัติเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 ตั้งแต่สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 จนเกิดอินทรีย์ 5 พละ 5 แล้วเกิดโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 มันจะไล่เรียงมาเป็นคุณธรรมที่จะเกิดมาตามจิตคุณธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ แล้วจึงจะตรวจสอบด้วยวิญญาณฐิติ 7 คือกายกับสัญญา กาย คือสภาพ 2 ของทุกอย่างคือนามรูป แล้วก็สรุปได้ ตั้งแต่ วิญญาณฐิติ ข้อที่ 1 รู้ภูมิของคนที่อยากเป็นสัตว์นรกของเทวดา จิตวิญญาณของเขาอยู่ในสภาพสภาวะเหล่านั้น หรือเราเคยเป็นมาแล้วก็จะรู้ได้จากรูปนาม จากกาย จาก ตากระทบรูปแล้วก็เกิดจิต ที่จิตมันเป็นสัตว์นรก จิตมันเป็นเทวดา จิตมันเป็นมนุษย์ นี่คือ วิญญาณฐิติข้อที่ 1 ที่เรียกว่า กายต่างกัน สัญญาต่างกัน มีกายต่างกันสัญญาต่างกัน หมายความว่า คนที่ไม่รู้เรื่องมันก็ต่างคิดต่างไป องค์ประชุมของกายมันก็ต่างคนต่างเป็น มันไม่รู้เรื่อง สัญญาก็ต่างคนต่างเป็น ต่างคนต่างไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นจะเป็นสัตว์นรก จะเป็นเทวดา จะเป็นมนุษย์ มันก็สมมุติไปตามภพชาติของตนเอง แต่คุยกันรู้เรื่องนะ มันเป็นนิรามาณกาย มันเป็นกายที่เนรมิตเอง เสร็จแล้วก็สัมโภคกาย ก็เอาความเป็น 2 กาย มาพูดกันบ๊งเบ๊ง ทำเป็นรู้ร่วมกันเป็นสัมโภคกาย แต่ทั้งหมดเป็นพวกตาบอดคืออาทิสมาณกายคือไม่รู้ไม่เห็นจริงๆ ไม่รู้เรื่องไม่มี ไม่เห็นอะไรหรอก เขาเรียกตาบอดตาใส ใครก็นึกว่าเขาเห็นเพราะเขาตาใส แต่เขามองไม่เห็นนะ นิรมาณกาย ผู้รู้ท่านบัญญัติพยัญชนะเอาไว้แล้วก็มารู้สภาวะ ไม่ต้องไปเป็นตัวเป็นตนเป็นโน่นเป็นนี่อะไรก็ไม่รู้ จริงๆแล้วถ้าเข้าใจ กาย มีสัมผัสภายนอกภายใน ปัจจุบันธรรม เป็นทิฏฐธรรม เป็นปัจจุบันชาติเป็นของจริง ถ้าคุณไม่มีสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย มันไม่มีฐานไม่มีที่ตั้งของความเป็นจริง ตากระทบรูป มันจะเป็นสัตว์นรกหรือเป็นเทวดาหรือเป็นมนุษย์ เป็นวิญญาณฐีติข้อที่ 1 มันก็มีจริงเป็นจริงคุณต้องสัมผัสมัน แล้วจิตวิญญาณมันเป็นอย่างนั้น จิตวิญญาณเป็นสัตว์นรก เราก็รู้ของเรา เราเคยผ่านมา เราก็ตรวจสอบได้ เราเคยเป็นสัตว์นรกมาแล้ว ไปหลงเทวดา เราก็รู้ว่าจิตเราเป็นเทวดา เป็นเทวดาสมมุติหรือเทวดาอุบัติเหตุ หรือเป็นเทวดาวิสุทธิเทพได้ คุณจะรู้เพราะมันผ่านมาทุกคน ขั้นตอนต่างๆเริ่มตั้งแต่มีวิญญาณฐีติข้อที่ 2 เป็นปฐมฌาน เขาหลับตา เขาก็ได้ปฐมฌานคือไม่มีนิวรณ์ 5 จึงเรียกว่า กายต่างกัน สัญญาอย่างเดียวกัน คือกำหนดหมายเหมือนกันว่าไม่มีนิวรณ์ 5 แต่คนหนึ่งหลับตา คนหนึ่งลืมตา เลยมีกายต่างกัน แต่ สัญญากำหนดหมายนั้นไม่มีนิวรณ์ 5 เขาทำได้ แต่เขานั่งหลับตาไม่มีนิวรณ์ ก็ถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิ สัมมาทิฏฐิลืมตาก็ไม่มีนิวรณ์ 5 ลืมตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกได้รับกลิ่น ลิ้นกระทบรส แต่ทำให้จิตไม่มีนิวรณ์ 5 ได้ มันจึงต่างกัน ความไม่มีนิวรณ์ 5 นี้แม้คุณทำได้ถาวรก็ต้องทำอีก ทำจนได้แข็งแรงถาวรมั่นคงตั้งมั่นอย่างนี้เป็นต้น แม้อันที่ 3 เป็นอาภัสรา เป็นเทวดาอภัสรา ผู้หิวแสง แสงสว่าง หรือพวก ปฏิบัติแบบสว่าง กับอันที่ 4 กายอย่างเดียวกัน สัญญาอย่างเดียวกันเป็น สุภกิณหา เป็นพวกมืด ยินดีในความมืด น่าได้ น่ามี น่าเป็นในความมืด แต่พวกมิจฉาทิฏฐิก็ไปยินดี ในความมืดแบบมิจฉาทิฐิ กิณหา ความดำความ แต่ผู้ที่สัมมาทิฏฐิแล้วรู้จักความดำความมืดอย่างถูกต้อง หลับตาแล้วมันก็ดำมืด ถ้าอยากได้ความมืด คุณก็หลับตาลง หลับตาลงผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้วหลับตาแล้วก็มืด ลืมตาก็สว่าง แต่คนยังมี อุปาทาน หลับตาแล้วมันจะไม่มืด มันจะมีแสงสีเขียวสีแดง สีสว่างวูบวาบอะไรต่างๆ อยู่ข้างใน ไม่ได้อยู่ในตาหรอก แต่มันอยู่ข้างในเป็น อุปาทาน เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่มีอุปาทานแล้วหลับตา มันก็หลับตามืดๆลืมตามันก็สว่างอรหันต์ขึ้นไปอย่างนี้เป็นต้น แต่พวกที่เขานั่งหลับตาสมาธิ เขาจะมีการเห็นแสง สีเขียว สีแดง สีน้ำเงินอาตมาก็ผ่านมาทั้งนั้น แต่ก่อนไม่เข้าใจ แล้วก็ขยายแสงเล่นแสง แสงใกล้แสงไกลไป เป็นสมมุติทั้งนั้นเป็นอุปาทานทั้งนั้น ยังงมงายกันอยู่ในพวกนี้มีเยอะ ลมหายใจเข้าออกต้องเป็น อานาปานสติของพระพุทธเจ้านั้น ท่านลืมตาในทุกลมหายใจเข้าออกก็ปฏิบัติธรรม จนเห็นชัดเจนในอนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี อนิจจานุปัสสี นิโรธานุบัสสี จบ หมดเวลา เลยไปแค่ 12 นาที ไม่มีใครว่าเลย ปล่อยให้เราไปเรื่อยๆ เมื่อพระพุทธเจ้าเข้าทรงแล้ว สำหรับวันนี้ก็พอแค่นี้เจริญทำทุกคน เจริญธรรมทุกคน Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin16 มกราคม 2023Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:660113 ศีลกับอปัณณกปฏิปทา 3 ในวิชชาจรณะ พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศกNextNext post:ฉบับที่ ๕๔๖(๕๖๘) นสพ.ข่าวอโศก ปักษ์แรกมกราคม ๒๕๖๖Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024