660109 ตอบปัญหาให้ถึงปัญญาวิมุติ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชเมืองเรือ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1gKHWQ1KvA1KYhCLWqVZVLc13l4N02Mb74YkRnVOF984/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1Zs9krCOu0Y6sbWi3G9s37T9S-zBnKZPJ/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/qHWqRHCm_pI
และ https://fb.watch/hY3DGkY99I/https://fb.watch/hY3DGkY99I/
ทำไม ปัญญาวิมุติ จึงสูงกว่า อุภโตภาควิมุติ
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล เราก็มาเจริญความรู้มาเจริญความจริง ในความรู้นั้นมีความจริงได้ ในความรู้แต่ไม่มีความจริงก็ได้ ผู้ศึกษาได้แต่ความรู้ ไม่มีความจริงมีเยอะ เยอะ ความจริงที่ว่านี้คืออะไร ความจริงที่ว่านี้ก็คือ จิตเจตสิกรูปนิพพาน
คือภายในจิตของเรามันยังไม่เป็น ยังไม่ได้ตามที่เรารู้ เช่นเรารู้แล้วว่าอรหันต์คืออะไร รู้เข้าใจว่าพยัญชนะบัญญัติภาษาเหตุผลชัดเจน แต่จิตของเรายังเป็นอรหันต์ไม่ได้ ยังเป็นอนาคามีไม่ได้ ยังเป็นสกิทาคามีไม่ได้ ยังเป็นโสดาบันไม่ได้เลย
เพราะจริงๆแล้วยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม จนกระทั่งสามารถที่จะสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงจะสามารถเข้าไปรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน ถึงขั้นอาสวะ ทำให้อาสวะหมดสิ้นได้ อันนี้ไม่ง่ายเลยที่คนจะรู้ เช่น บุคคล 7
อุภโตภาควิมุติ ปัญญาวิมุติ ทิฏฐิปัตตะ กายสักขี สัทธาวิมุติ สัทธานุสารี ธัมมานุสารี
บุคคลที่ 3 คือ อุภโตภาควิมุติ เป็นผู้ที่มีอาสวะสิ้นได้
และบุคคลที่ 4 คือปัญญาวิมุติก็เป็นบุคคลผู้ที่อาสวะสิ้นได้
กายสักขี อาสวะยังไม่สิ้นหมดได้เพียงบางส่วน ทิฏฐิปัตตะก็ได้บางส่วน สัทธาวิมุติ ถ้ามีปัญญาเข้าไปเสริม มีสัมมาทิฏฐิเข้าไปได้ สัทธาวิมุตินั้นก็ได้บางส่วน แต่ถ้าสัทธาวิมุตินั้นยังไม่มีปัญญา ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิ ก็จะจมและวนอยู่ในวิมุตติที่เป็น มิจฉาวิมุตติของตน สายศรัทธา ช้า ทำให้ช้ามากเลย สายนั่งหลับตาเป็นต้น จะวน อยู่ในมิจฉาวิมุตติ นึกว่าหลับตาดับ อสัญญีสัตว์ ของตนเป็นวิมุตเป็น สมถะ อย่างนี้เป็นต้น
ส่วนธัมมานุสารี สัทธานุสารี คือผู้ที่ตามศึกษาให้รู้สัมมาทิฏฐิไปตามลำดับ
บุคคลที่มีปัญญาวิมุติอาสวะสิ้นแล้ว แล้ว อุภโตภาควิมุติ คือสองส่วน ก็เป็นวิมุติ เป็นวิมุติที่ อาสวะสิ้น
เพราะงั้น ปัญญาวิมุติท่านสิ้นอาสวะตั้งแต่เป็นบุคคลระดับที่ 4 แล้ว สูงขึ้นไปเป็นระดับที่ 3 จึงจะมีวิโมกข์ ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงจะวิมุติ
แสดงว่า อุภโตภาควิมุติ คือ ศรัทธา ขึ้นไปรออยู่ตรงนั้นแล้วแต่ยังไม่มีปัญญาอันยิ่ง ต้องรอปัญญาอันยิ่งเข้าไปเป็น 2 จึงจะ อุภโตภาค จึงจะบรรลุอาสวะสิ้น ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย
แต่ในบุคคลที่ 4 ปัญญาวิมุตินั้น อาสวะสิ้นได้แล้ว ดูแล้วเหมือนต่ำกว่า อุภโตภาควิมุติ แต่ไม่ต่ำ เพราะ อาสวะสิ้นแล้วเหมือนกันกับ อุภโตภาควิมุติ แต่คนเข้าใจความหมุนรอบเชิงซ้อน ความซับซ้อนอันนี้ไม่ได้
สัทธาที่ยังไม่มี อุภโตภาควิมุติ ไม่มีส่วนปัญญาเข้าไปเสริมต่อให้เป็นอันดับที่ 3 รออยู่แล้ว ถ้าไม่มีปัญญาเข้าไปเสริมอีกเป็น 2 ส่วน อาสวะก็สิ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น
คำว่าถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย นี่แหละเป็นตัวชี้บ่ง เป็นตัวกำหนดให้รู้ว่า ศรัทธาถ้าไม่มี ไม่ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ไม่มีทางสิ้นอาสวะ
แต่ปัญญาวิมุตินั้น เขาไปแปลบาลีว่า นเหวโข ไปแปลว่า ไม่ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เนวะ แปลว่า ไม่ น เหวะ โข ใน ปัญญาวิมุตติไปแปลว่าไม่ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่ ปัญญาวิมุติอาสวะสิ้นแล้วนะ เท่าเทียมกับ อุภโตภาควิมุติ แล้วนะ
เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าไม่มีสภาวะ ไม่รู้จักความหมุนรอบเชิงซ้อน คัมภีราวภาโสอันนี้ ก็ไปงงเลยว่า ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย คือการปฏิบัติ ทำสมาบัติ ที่จะต้องเข้าไปนั่งหลับตา ซึ่งมันไม่ใช่ หลับตามันไม่มี กาย แต่ปัญญาวิมุติท่านปฏิบัติมีกายมาตลอดสาย
ตั้งแต่ธัมมานุสารี ทิฏฐิปัตตะ พอ ปัญญาวิมุติท่านก็อาสวะสิ้นแล้ว
ส่วน สายสัทธานุสารีเป็นสัทธาวิมุติ เป็นกายสักขี ถ้าไม่มีปัญญาเข้าไปอีก สัทธาก็ยังไม่มี อุภโตภาควิมุติ ยังวิมุติไม่ได้ เพราะฉะนั้นปัญญาจึงเป็นตัวกำหนด เป็นตัวสำคัญ ที่จะรู้อาสวะ ที่จะทำให้อาสวะสิ้นได้รอบถ้วน อันนี้แหละ เขาเข้าใจยังไม่ได้ สับสนอยู่ในพวกนั่งหลับตา
พวกศึกษาความรู้แต่ไม่มีความจริงก็ไม่รู้เรื่อง ไม่มีความจริงที่เข้าไปสัมผัสถูกต้องวิโมกข์ 8
วิโมกข์ 8 มีอะไร ต้องมี รูป รูปีรูปานิปัสสติ เป็นคนมีรูปและต้องเห็นรูป (พ่อครูไอตัดออกด้วย) วิโมกข์ ข้อที่ 1
ข้อที่ 2 อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิปัสสติ ต้องรู้ทั้งภายนอกภายใน พหิทา รูปานิ อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทารูปานิปัสสติ ก็จะต้องเป็นผู้ที่รู้ทั้งภายนอกทั้งภายใน พหิทา คือภายนอก อัชฌัตตัง คือภายใน
พวกหลับตาหมดสิทธิ์ที่จะบรรลุอรหันต์ หมดสิทธิ์ที่จะทำอาสวะสิ้นได้
ผู้ที่สามารถมีอาสวะบางส่วนสายหลับตาบางส่วนสิ้นไปเพราะบารมีเก่า บารมีมาแต่ปางก่อนๆ มาปางนี้ มาถูกเขาสอน มาถูกอาจารย์ครอบงำผิดเข้าไปอีก เอ้า ก็เลยอาสวะไม่สิ้น ต้องมาเรียนรู้เพราะว่าเข้าใจปัญญาผิด เข้าใจปัญญาเป็นสภาพที่ไม่ครบทั้งภายนอกภายในเป็นสภาพ 2 ทั้งภายนอกภายใน
กาย คือ การลืมตา มีสภาวะภายนอกภายใน ไปหลับตาแล้วไม่มีกาย ไม่มีภายนอก ก็ตัดขาดไปเลยว่า วิมุติไม่ได้ เป็นอรหันต์ไม่ได้ สิ้นอาสวะไม่ได้ แม้มีบารมีเก่ามาก็แค่อาสวะเดิมที่ตนเองสามารถบรรลุได้เท่านั้น อันใหม่ไม่มี ชาตินี้ไม่มี ไม่บรรลุธรรมในชาตินั้น ชาตินี้เกิดมาก็ไม่บรรลุธรรม นี่เป็นความลึกซึ้งซับซ้อนที่ผู้ที่ฟังธรรมด้วยดีแสวงบุญในขอบเขตพุทธ มันก็จะออกนอกขอบเขตพุทธได้ง่ายในนัยยะที่ละเอียดลึกซึ้งขึ้น
อาตมาเกริ่นอันนี้ไว้ก่อน
SMS วันที่ 6-8 มกราคม 2566
_ ชาญณรงค์ จินดาธรรม · ฟังท่านจันทเสฏโฐแล้ว …ท่านช่างอ่อนน้อมถ่อมตน น้อมรับคำตำหนิอย่างน่านับถือในหัวใจ นี่แหล่ะคือพุทธบุตรแท้ กราบนมัสการด้วยความเคารพครับ
พ่อครูว่า…คนก็มองอ่านธรรมะในมุมนั้นมุมมีนัยยะนั้นในนัยยะนี้มิตินั้นมิตินี้อันนี้มันก็ชัดเจนมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็อ่านไปด้วย ในประเภทจากกาย จากวจี จากมโนได้
สายปัญญารู้ง่ายหลงยาก สายศรัทธาหลงง่ายรู้ยาก
_หลวงพ่อซันเต๋อ ข้าวมีคุณ · เรื่องความถูกต้อง ไม่ถูกต้อง ในสังคมประชาธิปไตย แบ่งฝ่าย…มักถือเอาความถูกต้องแต่ไม่ถูกใจ ก็จะบอกว่าไม่ถูกต้อง…แต่พอไม่ถูก แต่ถูกใจ ก็จะบอกว่าถูกต้อง…ฉะนั้น ความถูกต้องไม่ถูกต้อง…จึงอยู่ที่ความพึงพอใจของตนของกลุ่มตนเช่นเอง!!
พ่อครูว่า…ก็กลายเป็นตัวเองติดยึดอยู่แต่ของตัวเองตัดสินเอง
อันนี้มันมี 2 สภาพ ใจสภาพ 1 รู้สภาพ 1
ใจหรือจิตวิญญาณแล้วก็มีปัญญาหรือจิตวิญญาณ มันเป็นรู้ที่มีปัญญา ถ้ารู้แต่บัญญัติยังไม่ถึงปัญญา รู้แต่ความรู้ตรรกะความรู้เหตุผลความรู้บัญญัติ พยัญชนะอะไรที่เรียนกันเยอะ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า บุคคลผู้ ปทปรมะ คือผู้เรียนธรรมบทของพระพุทธเจ้ารู้มากท่องจำได้มากพร่ำสอนอยู่ก็มาก แต่ตนเองไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินั้น นี่ ในเถรสมาคมมีเยอะ ไม่บรรลุธรรมในชาตินี้ แล้วก็ไม่รู้ตัวหรอกก็นึกว่าตนเองบรรลุธรรม ยิ่งไปนั่งหลับตา สายหลับตายิ่งหลงง่าย ไปหลง อสัญญีสัตว์ หลงดับนิโรธ เพราะมันตื้นและง่ายทำได้ง่าย ตัวเองสะกดจิตให้ดับให้จิตว่างเหมือนไม่มีกิเลส
สายที่เป็นตักกะ สายเหตุผล จะเรียกว่าสายปัญญามันก็ยังไม่มีปัญญาได้อย่างแท้จริง ก็ไม่ค่อยจะหลงตัวเท่าพวกนั่งหลับตา พวกนั่งหลับตาจะหลงตัว แต่พวกที่เป็นสายพุทธิจริต แต่ปัญญาจะไม่ค่อยหลงตัวง่ายนะ สายหลับตานี้หลงตัวง่าย สายหลับตามีอรหันต์ขึ้นทำเนียบไปตั้งเท่าไหร่ในเมืองไทย แต่ทางสาย ดร. สายเปรียญ 9 ไม่ค่อยกล้าบอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ เพราะมันพอรู้อยู่ อรหันต์มันต้องไม่มีกิเลส มันต้องเข้าใจมีปัญญาเข้าไปแทงรู้ว่าไม่มีกิเลส สัมผัสอยู่ด้วยตาหูจมูกลิ้นกายอยู่ชัดๆ เรายังมีอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ ว่อบแว่บ บางทีมันก็แรงด้วยมันก็รู้
เป็นอรหันต์จริงจึงสามารถบอกได้ว่าตนเองเป็นอรหันต์อย่างไร
_พอใจ รักดี · กราบนมัสการเจ้าค่ะ เป็นบุญกุศลของลูกที่ได้มาฟังธรรมทุกวัน ฟังแล้วได้ความสบายใจเบาใจ ได้รู้ว่าในประเทศเรามีจุดสลายทุกข์อยู่ที่นี่เอง อยากให้คนที่มีทุกข์ใจมาฟังบ้าง สาธุค่ะ
พ่อครูว่า…มันเป็นสัจจะ เมื่อศาสนาพุทธโลกุตรธรรมมันเสื่อม มันก็เสื่อมจริงๆอย่างที่เห็นอาตมาพูดความจริง ว่าอาตมาเป็นอรหันต์จริงโพธิสัตว์จึงเป็นผู้รู้โลกุตระธรรมจริงสาธยายมา 50 กว่าปีแล้ว เขาก็ยังไม่ค่อยกระเตื้องเท่าไหร่เพราะเขาไม่ค่อยฟัง เขาไม่เชื่อ
เขาถูกทางสายผิด อาจารย์ที่เป็นผู้ที่ผิดมิจฉาทิฐิ ครอบงำทางความคิดไปแล้ว ก็ไปเชื่อกันทางนั้นไม่ว่าจะเป็นสายหลับตา สายเหตุผลตักกะ พยัญชนะ เขาก็ไปเข้าใจอย่างนั้น
แล้วเขามองผู้ที่เป็นอรหันต์ผู้ที่บรรลุธรรมจริงเขามองไม่ทะลุหรอก เขาไม่รู้ถึงจิตเจตสิกต่างๆ จิตเจตสิกรูปนิพพาน เขาไม่รู้จริง ถ้าเขารู้ว่าเขาจะรู้ว่าอาตมาพูดอย่างใจจริงที่ไม่มีกิเลส แม้จะอยากโอ้อวด สักนิดก็ไม่มี จริง สักนิดก็ไม่มี แสดงด้วยความจริงอย่างผู้รู้
อาตมาสาธยายธรรมะถ้าไม่มีจริตหนักศรัทธาอ่อนมากในอาตมา มันพอจะฟังเข้าใจ มันชักจะเอ๊ โพธิรักษ์อธิบายได้ละเอียดลออนะ มี อิทัปปัจจยตาต่างๆ อธิบายเหตุนี้จึงเป็นผลนี้ เป็นปฏิจจสมุปบาทได้ดี เขาน่าจะพอสรุปใจ สะดุดใจ แต่เพราะว่ามีอคติ ไม่เชื่อ ก็ไปเชื่ออาจารย์ที่ครอบงำทางความคิดผิดๆอันเก่าๆ แม้ว่า สายบัญญัติหรือสายหลับตา ก็น่าสงสาร
อย่างพวกคุณชาวอโศก คุณทั้งหลาย มีบุญเก่าด้วยบุญใหม่ด้วย มีกุศลเก่ากุศลใหม่ด้วยมาได้ฟังธรรมะอาตมา ฟังแล้วก็เข้าใจ มันก็เป็นกุศลยิ่งจริง และกุศลที่ว่านี้ถึงขั้นเป็นบุญเป็นขั้นที่พอรู้จักกิเลสทำให้กิเลสหมด
บุญต้องลดกิเลส จิตที่เป็นฌานวิสัย ของพุทธจะมีปัญญารู้จักกิเลส แล้วจะรู้จักว่าทำให้กิเลสลดเป็นอย่างนี้ทำได้ ทำได้จึงจะเกิดอาการที่เรียกว่า ฌาน สุดท้าย หมดจบ ก็คือบุญ บุญ อยู่ที่ตัวสุดท้ายของ ฌาน บุญคือมีอุเบกขา บุญจะสำเร็จเป็นอุเบกขาอย่างนี้เป็นต้น
ซึ่งสภาวธรรมต่างๆที่อาตมาผู้นี้เป็นสภาวะจริงที่อาตมามี เอาของตัวเองมาอธิบายขยายความ ไม่ได้อธิบายขยายความตามที่บรรดาอรรถกถาอาจารย์ เกจิอาจารย์ ผู้รู้ทั้งหลายที่เขาอธิบายไว้ จะขัดแย้งกัน เขาก็ฟังอาตมาไม่เหมือนอาจารย์ต่างๆ ร้อยคนพันคนสอนไม่เหมือนกับโพธิรักษ์ ก็มันเสื่อมแล้วก็เชื่อผิดๆเข้าใจผิดๆ
อาตมาเอาความถูกต้องมายืนยัน ก็มีพวกเรามีบารมี ฟังชัดเจนเข้าใจแล้วก็มารับได้ ก็เป็นของจริงเป็นมรรคเป็นผลของพวกเรา ถ้ามีปฏิภาณบ้างก็จะรู้ได้ว่า พวกนี้แปลกนะมันเป็นคนจน มาเป็นคนสาธารณโภคีได้ มาอยู่กันอย่าง โอ้โห ทำไมหลอกให้มาเชื่อมาหมดเนื้อหมดตัว แล้วก็ทำงานฟรี กินก็น้อยลง มีวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ธูตะ คนไปเข้าใจว่า เป็นธุดงค์คือ บุกดง แต่ที่จริงคือ มีหลักเกณฑ์ที่สูงขึ้นเคร่งขึ้น
นี่คือคุณธรรม 9 ชนิด เขาไม่พูดกัน เขาไม่รู้เรื่อง เรียนบาลี เรียนพยัญชนะมาก็ท่องได้เป็นนกแก้วนกขุนทอง ไม่รู้จักความเป็นจริงของจิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นพฤติกรรม อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของจิตแท้ๆ ไม่รู้จัก ก็เป็นอย่างนี้มันจึงเป็น ความเสื่อมที่แท้จริง
อาตมาพูดแล้วก็เห็นใจเขานะ เห็นใจเลย น่าสงสาร แต่เขากลับหาว่าอาตมา ไปลบหลู่เขา ที่จริงอาตมาไม่มีความลบหลู่ ไม่มีข่มไม่มีเบ่ง ไม่มีการตีตัวเสมอ ไม่มีอุปกิเลส 16 แต่เขาไม่เชื่อ พูดเอาเองอย่างไรก็ได้ อาตมาพูดความจริงจะไปพูดโกหกทำไม อาตมารู้จักจิตเจตสิกรูปนิพพาน รู้ใจตัวเองว่ามีเศษเสี้ยว อรูปจิตหรือรูปจิต มีไหม ไม่ต้องพูดเรื่อง กามจิตภายนอกเลย มันหยาบ รูปจิต อรูปจิต อาตมาก็รู้ตัวเองว่าไม่มีแม้แต่ อรูปจิต ที่เป็นอกุศล ก็พูดไป ยืนยันตัวเองไป เขาก็หาว่าคุยโม้อวดตัวยืนยันตัวเอง
จะให้อาตมาพูดอย่างไร ขนาดยืนยันอย่างนี้ พวกคุณก็ยังบอกว่าไม่ฟัง ไปฟังพวกที่เขาไม่รับรองตัวเอง ถามว่าเป็นอรหันต์ไหม เขาก็บอกว่า คำพูดไม่ได้หรอกคนตอบว่าตัวเองเป็นอรหันต์นั้นคือคนไม่ใช่อรหันต์ ตอบไปโน่น ขนาดคนที่นับถือเป็นเบอร์หนึ่งในพุทธศาสนาพุทธอย่างนั้นเลยนะ บอกว่า คนที่บอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์คนนั้นน่ะไม่ใช่อรหันต์ ก็ว่าไป ทั้งๆที่เรียนมา อภิณหปัจเจกขณ์ 10 บอกไปว่า ถ้าผู้ใดมีคุณธรรมมีคนมาถามก็บอกเขาได้ แม้ในโลหิจจสูตร ก็ให้บอกได้ ที่บอกไม่ได้คือตัวเองไม่มี มันเก้อๆเขินๆมันก็ยาก จึงเป็นศาสนาเดาเพราะเป็นอรหันต์เป็นอาริยะใครถามก็บอกไม่ได้ ก็เลยมีแต่อรหันต์เดา ก็เลยมีแต่สังคมอรหันต์เก๊ เพราะเดาทั้งนั้น บอกไม่ได้เจ้าตัวบอกไม่ได้ ศาสนาอมพะนำ
_จรรยา ประเสริฐ · ยากส์ ที่จะเชื่อในคนโลก ๆ ใครจะขายขาดทุนเป็นสิบ ๆ ล้าน ไม่น่าเชื่อจริง ๆ ถ้าไม่ใช่ลูกพ่อท่าน ทำไม่ได้แน่ ๆ กราบสาธุค่ะ
อยากวิ่งตามเหมือนที่ท่านเทศน์ค่ะ แต่วิ่งเกินกำลัง กลัวขาหักค่ะ กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า…เราขาดทุนมา 41 ปีเป็นแล้ว ร้อยๆล้านเลยนะ ไม่ใช่แค่ 10 ล้าน เราทำมาทั้งหมด 41 ครั้ง มันขาดทุนไปเกิน 10 ล้าน ร้อยล้าน เป็นพันล้านนั้นไม่แน่อาจจะถึงก็ได้ แรงงานฟรีด้วยค่าโสหุ้ยไม่มี ก็ใช่ ค่อยๆเดินมา เดินดีๆอย่าให้สะดุด และอย่าไปชนตอ ให้มันตีนแตกตีนเจ็บล่ะ อย่าไปชน เดี๋ยวคนเขาท้วงว่า ไปชนทำไมตอ มันไม่เห็น ไปชนทำไมก็ว่าไม่เห็น ไม่เห็นแล้วทำไม ชนถูก เขาก็เลยทักท้วง มุกสนุกไปหน่อยนึง
_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม · กราบนมัสการค่ะ พอได้เห็นรายการที่ ไทยพีบีเอส ทำยอดวิวสูง เป็นการตัดต่อเรื่องตลาดอาริยะของราชธานีอโศก ทำได้ครบ ทำให้คนได้รู้เรื่องราวครบพร้อม ขอชมเชย สาธุค่ะ
พ่อครูว่า…กล้าหาญ Thai PBS กล้าหาญที่เอาผลงานของชาวอโศกไปออก นั่นก็เพราะว่ามีตะวันรุ่งซึ่งเป็นชาวอโศกเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ที่นั่น เขาก็เลยเห็นว่ามันเป็นโอกาสได้ฤกษ์ได้ยามที่พอเป็นไป เจ้าอื่นก็ยังไม่กล้า แม้แต่ Top News ก็ยังไม่กล้า ทั้งๆที่สนธิญาณเขาก็เข้าใจอาตมาดีอยู่ แต่ก็ยังไม่กล้า ก็ไม่มีปัญหาอะไร ทุกอย่างก็ค่อยๆยอมรับและค่อยเห็นตาม และก็เข้าใจเห็นจริงไป ได้เรื่อยๆ ต้องใช้เวลา อาตมาจึงตายไม่ลงมันเมื่อยๆ กว่าจะเข้าใจกันได้ ก็ทำไป
ประชาธิปไตย 2 ขาของประเทศไทยเกิดได้เพราะมีมูลสูตร
_ใบฟ้า ธรรมะธารา นาวาบุญนิยม · เป็นบารมี ที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งค่ะ ที่ประเทศไทยอันเป็นที่รัก มีประชาธิปไตย ที่ดีที่สุดในโลก ด้วยองค์ประกอบที่เลิศยอดคือ มีพระมหากษัตริย์ ที่มีทศพิธราชธรรม มีนายกรัฐมนตรี ที่เป็นโพธิสัตว์ มีปุโรหิตโลกุตระ ในระดับพระนิยตโพธิสัตว์
ดังนั้นจึงเป็นอันหวังได้ว่า ประเทศไทย ชมพูทวีปแห่งนี้ จะเป็นตัวแบบตัวอย่าง ของประเทศ ที่ประชาชน มีกายธรรม ของความ “อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ
กราบเทิดทูน และกราบขอบพระคุณ องค์ประกอบหลักทั้ง 3 ประการ ด้วยเศียรเกล้าฯ จากประชาชนคนไทย ผู้รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ในสายเลือด และจิตวิญญาณค่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาตั้งคำเหล่านี้มาเรียกสภาวธรรมที่มันเกิดมาตามธรรมะพระพุทธเจ้า เมื่อเกิดสภาวะต่างๆอย่างที่อาตมาบัญญัติเป็นภาษา กำกับสภาวธรรมที่เป็นจริงขึ้นมานี้ เพื่อยืนยันว่าอย่างนี้สอดคล้องกับธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่ใช่มาบัญญัติคำที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัตินะ นี่แหละคือสภาวธรรมที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไม่ใช่แค่บัญญัติเท่านั้น แต่มีทั้งคู่เลย มีทั้งบัญญัติและสภาวะธรรมอันเป็นจริง แต่สภาวธรรมมันไม่มีความรู้กัน อาตมามีความรู้จึงเอาภาษาสมัยนี้ยุคนี้มาใช้ อิสระ สบาย อบอุ่น. อิ่มเอม. เกษมใส. ใจเกื้อกูลเพิ่มพูนเสียสละ เป็นภาษาสมัยนี้ตาม กาละ เทศะ ฐานะ สื่อสารกันรู้เรื่อง ผู้ใดที่มีสภาวธรรมตรงตามนี้ก็ชัดเจนใช้ได้
พ่อครูว่า… ขอขยายย้ำซ้ำอีกว่า ประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบต้องมีกษัตริย์ มีประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประชาธิปไตยที่ไม่มีกษัตริย์นั้นเป็น ประชาธิปไตยที่ไม่มีการสืบต่อไม่มีสันตติวงศ์ ไม่มีกฎมณเฑียรบาล ไม่มีการอบรมฝึกฝน การบริหารการปกครอง ไม่มีทศพิธราชธรรม สายที่เป็นเทวนิยมไม่ใช่พุทธ อเทวนิยมเป็นความรู้ทางตะวันตก เป็นศาสนาเทวนิยม เขาไม่มีหรอก
เป็นประชาธิปไตยใครก็ได้สะเปะสะปะมา แล้วก็มาหาวิธีการให้ตัวเองถูกรับ เลือกจากประชาชนด้วยวิธีการเลือกตั้ง ประชาชนก็ไม่มีการสืบสาน ทางจิตวิญญาณ จิตวิญญาณไม่เป็นระบบระเบียบ ไม่มีอะไรสืบทอดต่อเนื่องกันเลย ต่างคนต่างเละๆเทะๆ มากศาสนา มากลัทธิ มากความคิด แล้วก็เป็นอิสระแบบฮิปปี้ ต่างคนต่างคิดแล้วทำ อะไรก็ได้ไม่มีกรอบขอบเขต อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นประชาธิปไตย ที่เกิดในอังกฤษแล้วก็ไปเป็นลัทธิแก้ที่อเมริกา ประชาธิปไตยที่อังกฤษมีพระมหากษัตริย์ทุกวันนี้ก็ยังมี แต่ไปถึงอเมริกาเป็นลัทธิแก้ แก้ประชาธิปไตยเป็นขาเดียว มันเป็นความเสื่อมชนิดหนึ่งของสัจธรรม สัจธรรมประชาธิปไตยนี่แหละ มันก็นานเหมือนกันนะ ทุกวันนี้พอเห็นรูปร่างแล้ว ถ้าคนที่มีปฏิภาณปัญญาดีๆ อาตมาอธิบายไปจะเห็นได้ว่ามันเป็นโลกียะที่หยาบๆ อยากใหญ่ อยากโต อยากเป็นเจ้าโลก ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ฆ่าแกงคนอื่น สร้างอำนาจทางเงินทอง ทั้งๆที่ดอลลาร์ของเขาเป็นเศษกระดาษอะไรก็แล้วแต่ แล้วก็รักษาสถานะตัวเองให้ยิ่งใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นแบงค์ก็เป็นแบงค์กงเต็ก คนก็ยอมรับ เพราะว่ามีอำนาจปืน อำนาจกำลังรบทุกอย่าง สร้างอำนาจบาตรใหญ่แบบโลกีย์ๆ ซึ่งมันก็นานเหมือนกันนะ ถึง 300 ปีหรือยังอเมริกา ประมาณ 200 กว่าปีเอง มันก็เสื่อมๆขึ้นไปเรื่อยๆแล้ว จะเห็นได้ว่า วิธีการของลัทธิประชาธิปไตยขาเดียวอย่างอเมริกาเป็นผู้นำพาทำ มันเห็นแล้วตอนนี้ แค่ 200-300 ปี ยังไม่ถึง 300 ปีดี
ทีนี้กลับมาถึงประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมืองไทยนี่ชัดเจน เด่นมากทางจิตวิญญาณ เพราะเป็นศาสนาพุทธ จึงรู้จักกิเลส และก็ลดกิเลส และก็สืบเนื่องกันมาเป็นพุทธตั้งแต่สร้างประเทศมาจนถึงทุกวันนี้ มันก็ไม่ขาดสาย แม้มันจะมีความเสื่อมไปมาก ก็ยังมีอย่างอาตมาเป็นผู้ที่มีโลกุตรธรรม ก็เอาโลกุตรธรรมมาสถาปนาลงไปใหม่ สืบสานต่อไปอีก มันก็ต่อเชื้อเก่าไปได้อีก ที่มีรากฐานมาบ้างแล้ว
คำว่า ราก หากว่าใครเข้าใจมูลสูตร 10 เข้าใจสภาวธรรมในมูลสูตร 10 ดี ตั้งแต่ฉันทะ ความยินดีเป็นมูล มนสิการ เป็นเหตุเป็นแดนเกิด มีผัสสะเป็นเหตุเกิด มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง มีสมาธิเป็นประมุข มีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตระ มีวิมุติเป็นแก่น มีอมตะเป็นที่หยั่งลงโอฆทา และมี ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นอวสานแท้
ถ้าเข้าใจสภาวะ 10 นี้ เป็นรากแท้ๆของจิตวิญญาณ มีความเป็นวิมุติอยู่ตรงนี้ มีความรู้มีปัญญามีทั้งหมดเลยอยู่ในนี้เลย เป็นความจริงของจิตวิญญาณ ศาสนาพุทธนี้รู้ครบ จบแล้ว รู้ความมีความไม่มี ที่จะให้จิตวิญญาณมันมีหรือไม่มี จะเลิก แยกตัวเอง ดับจิตวิญญาณ ดับจิตนิยามของตัวเองให้เป็นดินน้ำไฟลมได้หมด ไม่มีความสืบต่อ เลิกเกิด เลิกเป็น เลิกมี ดับชาติกับ ดับภพไปหมดได้ แต่ศาสนาเทวนิยมไม่มีดับชาติดับภพ อยู่แต่กับพระเจ้านิรันดร แล้วพระเจ้าอยู่ที่ไหนไม่มีใครรู้จักลึกลับ พระเจ้าคือจินตนาการ พระเจ้าคือนิรมาณกาย ตามศาสดาของเทวนิยมแล้วแข่งดีแข่งเด่นกันด้วย เขาบอกว่าเขาไปหนึ่ง ศาสนาไหนก็บอกว่าของเขาเป็นหนึ่ง แต่ของศาสนาพุทธไม่ไปแย่งกับใคร
เพราะฉะนั้นในระบบที่เกี่ยวกัน ไม่ว่าจะเป็นการเมือง หรือเป็นประชาธิปไตย จะเป็นคอมมิวนิสต์หรือเขตการระบอบหรือการบริหาร ก็ขึ้นอยู่กับธรรมะ ขึ้นอยู่กับความรู้ กับความจริง ที่มีธาตุรู้ จะเรียกว่าปัญญาก็ได้ เป็นประธาน มีนามธรรมคือธาตุรู้ ปัญญาเป็นประธานสิ่งทั้งปวง
เมืองไทยเรามีสัจธรรมพวกนี้ แล้วคนก็ไม่รู้เรื่อง ประชาธิปไตยไทยตะวันตกไม่รู้เรื่อง ไม่ค่อยเข้าใจ แต่เขาก็พอรู้มีปฏิภาณบ้าง เมืองไทยทุกวันนี้ที่อาตมาพูดไม่ใช่พูดเล่น ว่าเป็นประชาธิปไตยรวมกันเป็นประเทศ ที่มีความเป็นอยู่ของสังคมลงตัว อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ อย่างแท้จริงเลย
ก็คนที่ศึกษาจริงๆ พยายามศึกษาทำตามไป จะได้รู้สิ่งที่เราทำ และอาตมาย้ำสำทับว่า อย่างนี้อย่างนี้ถูกต้อง แล้วก็ยืนยันว่า ประเทศไทย สังคมไทย เป็นสังคมที่บริบูรณ์ด้วยวิธีการบริหารปกครองแล้ว กว่าประเทศใดๆ ไม่ว่าที่เขาจะยกเป็นยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เดี๋ยวจะหาว่าอาตมาหลงประเทศไทยและยกประเทศไทย ข่มประเทศอื่นเขา มันก็ต้องเอาแค่นี้ก็แล้วกัน ยกมามากแล้ว
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูคะในอานิสงส์๑๐ของศีล ศีลที่เป็นกุศลย่อมยังอรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ
พ่อครูว่า…เขาไปแยกส่วนบอกว่าศีลขีดเกลาปฏิบัติแค่กายวาจา ส่วนใจนั้นต้องไปทำสมาธิแยกออกไป ไปนั่งหลับตาสะกดจิตคือสมาธินั่นแหละเป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่หลงผิด หลงทิศหลงทาง แม้แต่อานิสงส์ศีลทั้ง 10 ข้อ เขาก็ไม่เข้าใจ ว่ามันเป็นการต่อเนื่องอิทัปปัจจยตาเป็นปฏิจจสมุปบาทไปถึงกันและกันหมด ให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ
ทำไม วิราคะ จึงมาทีหลังสมาธิ ใน อานิสงส์ของศีลทั้ง 10 ข้อ
_ข้อ๖ เกิดสมาธิ(จิตตั้งมั่น) ข้อ๙ วิราคะ (คลายกิเลส)ลูกเข้าใจว่าข้อ๙วิราคะ น่าจะเกิดก่อนข้อ๖สมาธิ เพราะสมาธิน่าจะเป็นจิตที่หมดกิเลส ลูกจึงเข้าใจว่า วิราคะ น่าจะเกิดก่อนสมาธิ ข้อนี้ลูกเข้าใจผิดถูกประการใดคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… คำว่า สมาธิ เป็นคำกลางๆ ที่เรียกกันมาตลอด เอามาใช้ มันผิดเพี้ยนไปแล้ว สภาวะของสมาธิ แต่เขาก็ยังเรียกสมาธิอยู่ สมาธิทุกวันนี้เป็นสมาธิที่ไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญาเป็นตัวกำกับสำคัญ ปัญญาเป็นตัวที่ปล่อยวาง ปัญญาเป็นตัวที่รู้ มีธรรมฤทธิ์ ที่ทำให้กิเลสมันยอม กิเลสไม่รอหน้า กิเลสไม่เข้ามาใกล้ กิเลสไม่กล้าเข้ามาแตะไม่ได้ ปัญญามีพลังฤทธิ์ในตัวเอง กิเลสไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะฉะนั้นมันจึงจบเด็ดขาด ตื่นๆลืมตา สัมผัสรู้ ว่ากิเลสมา หยาบ กลาง ละเอียด ตั้งแต่กิเลสใน กามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร อวจรคือ ยังดำเนินไปอยู่
ในกาม ก็ยังดำเนินในกามภพ ลดลงได้แล้วก็ยังมีกิเลสให้ลดอีกนะ รูปภพ อรูปภพ หมดแล้ว ก็ยังลืมตาสัมผัสโลกมีกามคุณ 5 ที่มีตาหูจมูกลิ้นกายเปิดอยู่ อวจรอยู่ เหลืออรูป อวจรในจิต เป็นชีวิตินทรีย์อย่างไร ก็รู้ชัดเจน ดับกิเลสกับตัวชีวิตินทรีย์ อินทรีย์คือชีวิตของกิเลสต้องการขั้น อรูปก็จบ รู้ๆ ลืมตา เป็น จักขุมาปรินิพพุโพติ ไม่ใช่ไปหลับตาเลย
พยัญชนะก็เป็นอย่างนั้นแต่มันผิดไปจากสภาวะแล้ว พระพุทธเจ้าจึงมาเรียงใหม่ เรียงใหม่ ให้เป็นตามที่เขาว่า สมาธิ แต่เขาเป็นสมาธิที่มิจฉา เขาก็ทำได้แค่นั้น เพราะฉะนั้นจึงตามด้วย วิราคะ หรือนิพพิทา ตามหลังคำว่า สมาธิ ของพระพุทธเจ้ามีความละเอียดรู้จักความจางคลาย รู้จักความเบื่อหน่ายเลย ทิ้งกิเลสเลย มันจึงสูงกว่าสมาธิ สามัญที่เขาใช้กัน
ของพระพุทธเจ้านั้นท่านชัดเจนว่า สมาธิของท่าน คือสมาหิโตหรือสมาหิตะ ที่มีเจโตปริยญาณ 16 1. สราคจิต (จิตมีราคะ) 2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ) 3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ) ทำให้มันดับทำให้ไม่มีเป็น 4. วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ) 5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ) 6. วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
สายเจโตก็เป็น 7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) สายปัญญาก็เป็น 8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)
จนกระทั่งไม่ว่าสายไหนก็ทำให้มันเจริญได้เป็น 9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) หากว่ามันไม่เจริญขึ้นไปเก่าก็เป็น10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) มันเจริญไปแล้วแต่ว่ามันก็ยังมีที่เจริญกว่านี้อีก 11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) 12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) .
อาตมาพูดจากสภาวะ ให้ฟังดีๆจะรู้ว่า อาตมาไม่ใช่พูดธรรมดา เอาสภาวะละเอียด เจโตปริยญาณ 16 อาตมาขยายละเอียดมาอย่างนี้ จากสภาวธรรมที่อาตมามี ขยายเป็นภาษาไทยอย่างไรก็เอาสภาวะแท้ๆเป็นตัวยืนยันของตนเองอยู่
เพราะฉะนั้น รู้จักวิมุต อวิมุติ สอุตระหรืออนุตระ
อนุตระ ต้องตรวจสอบสมาธิของพุทธคือ สมาหิโต อสมาหิโต
-
สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) 14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) เรายังต้องตรวจสอบวิมุติอีก 15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . . 16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135) มันเป็น อุภโตภาควิมุติ แน่นะ ก็ชัดเจนอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น การสลับภาษามันก็เกิดจากความผิดพลาดมาแล้ว พระพุทธเจ้าก็ต้องมาย้ำมาอธิบายใหม่ แล้วอาตมารู้ ที่ว่าสมาธินั้นมันไม่ใช่ สมาหิโต เขาแปลว่า จิตตั้งมั่นเหมือนกัน แต่ว่ามันไม่ได้ตั้งมั่นจริง มันตั้งมั่นเก๊ ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ
ปฏิบัติโพชฌงค์ 7 ในตลาดอาริยะ
_ตุ๊ก อัศวิน · เป็นครั้งแรกที่ได้มาร่วมกิจกรรม ‘ตลาดอาริยะ’ ในส่วนของ กลุ่มอุโบสถศีล online ซึ่งรับหน้าที่ ‘เปิดร้านขายหมวก’ ในงานตลาดอาริยะ.. ด้วยการ มีส่วนร่วม ตั้งแต่ ‘ต้นน้ำ_กลางน้ำ_ปลายน้ำ’ จนจบถ้วนกระบวนการ..เจ้าค่ะ
ต้นน้ำ..คือ..การระดม Brain storming (สุม กบาล ร่วมคิด) วางแนวทางการขาย และ นำสู่การปฏิบัติ..จัดร้านให้เป็นที่ดึงดูด ประทับใจแก่ผู้ซื้อ..ให้ตระหนักว่า ‘เราขายขาดทุน..จริงๆนะจ๊ะ ไม่จิงโจ้!! ด้วยการติด ราคาทุน และ ราคาขาย’ ที่หมวกตัวอย่าง..ล่ามหมวกด้วยเชือกฟางยาวพอให้ทดลองสวมใส่ และ รายละเอียดอื่นๆ อีกมากมาย..ได้เห็น และ ประทับใจในการเอาภาระของสหายธรรมทุกท่าน แน่นอน..ย่อมมีการขัดแย้งความคิดกันพอเหมาะ..และได้สมาน..อัตตา.เกิดสามัคคีธรรม
กลางน้ำ คือ สหายธรรม ร่วมกัน ลงสู่ภาคปฏิบัติ แยกย้ายรับผิดชอบ ตามหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้ตามแผนงาน..ระหว่างปฏิบัติงาน ได้พบข้อบกพร่อง อันพร้อมปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์..ไม่ติดยึด..และ พร้อม’ยอม’ ทั้งต่อ ผู้ร่วมงาน และ ผู้ซื้อได้น้อมปฏิบัติ..พิจารณาดูกาย..ดูจิต..ตามที่ ‘พ่อครู’ได้ให้ สัมมาทิฏฐิ.ไว้เจ้าค่ะ
ปลายน้ำ คือ มีการสรุปงาน เพื่อหาข้อบกพร่อง และ ชี้ขุมทรัพย์ให้แก่กัน เป็นไปอย่างงดงาม เช่น นางฟ้า(อาผึ้ง)ดูแลเรื่องสุขาได้อย่าง น่าพิศวง&ประทับใจ
เมนูอาหารที่ปรับตามเหตุปัจจัย..อนุโลมใส่ถุงหิ้วไป ทานแบบปิคนิค@น้ำตก..เป็นต้น…ช่างน่าประทับใจ เพราะเป็นไปตามพระราชดำรัส ในหลวง ร.๙ ‘เข้าใจ_เข้าถึง_พัฒนา’..เจ้าค่ะ ทั้งหมด..ทั้งมวล..ที่ปรารภข้างต้น..ล้วนเกิดจาก เมตตาธรรม ของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ที่ให้สัมมาทิฎฐิ..น้อมนำพุทธธรรมที่เป็น สัมมาพุทธะ ลงสู่ภาคปฏิบัติเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้..อย่างเห็นประจักษ์แจ้ง..เจ้าค่ะ
น้อมกราบพ่อครู..ผู้เป็น สยัง อภิญญา และ ให้สัมมาทิฏฐิ ด้วยความเคารพยิ่งเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… นี่แหละคือผู้ปฏิบัติธรรม มีสัมผัสเป็นปัจจัย อ่านกิเลสในอิริยาบถทุกความจริง และเราก็เรียนรู้สร้างสติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ เกิดขึ้นจริงๆเลย โพชฌงค์ 3 เกิดในปัจจุบันนั้นเลย มันจะมีธัมมวิจัยของมันนะตัว วิจัย วิตก วิจาร วิจัยธรรมะ อันนี้กิเลส อันนี้ไม่เป็นกิเลส ก็จะเกิดภูมิปัญญาขึ้นเรื่อยๆจากโพชฌงค์ 7 จนกระทั่งปัญญามันเจริญเห็นกิเลส ดับกิเลส ได้ปัญญามีอิทธิฤทธิ์มีธรรมฤทธิ์ระงับกิเลสได้ ก็เกิดปิติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ จนกระทั่งเป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์
เข้าใจคือมีสัมมาทิฏฐิ เข้าถึงคือลงมือปฏิบัติ พัฒนาก็คือการทบทวน หาข้อบกพร่องเพื่อพัฒนาต่อไป
ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้ได้มาสัมผัสจริง ปฏิบัติเองจริง มีตัวเองเข้ามาเป็นผู้ที่เข้ามา เอาตัวเองเข้ามาปฏิบัติ จนกระทั่งได้มรรคได้ผลที่แท้จริง อาตมาจึงยืนยันว่าสัจธรรมของพุทธเจ้า โลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ชาวอโศก
คนที่มาแล้วรู้จริงเองเป็นปัจจัตตัง เข้าใจเอง จะมีสภาวธรรมเอง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องเดียวกันอย่างชาวอโศก น้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน มันแยกจากหมู่ที่ไม่ใช่ น้ำกับน้ำมันต้องแยกกัน เถรสมาคมจึงเป็นนานาสังวาสกับชาวอโศก จบแล้วด้วยหลักเกณฑ์ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เป็นนานาสังวาส ต่างคนต่างเข้าใจธรรมวาทีของตนเอง
อโศกนำโดยอาตมา เข้าใจอย่างนี้เป็นธรรมวาที คือเป็นคำพูด คำสอนที่เป็นธรรม ส่วนทางเถรสมาคมเขาก็เข้าใจอย่างของเขาเป็นธรรมวาที เขาก็สอนของเขา เรียนของเขาได้ผลแบบของเขา ของเราก็ได้ผลแบบของเรา มันก็ต่างคนนานาสังวาส เป็นพุทธร่วมกันมันจบแล้วเรื่องทะเลาะกัน ไม่ทะเลาะกัน ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำที่เห็นว่าอันไหนเป็นธรรมวาทีตามความเห็นของตน แล้วก็อยู่ร่วมกันไปเป็นพุทธร่วมกัน แต่เป็นนานาสังวาส สังวาสคือร่วมกัน นานาคือแตกต่างกัน นี่คือความจบของธรรมะพระพุทธเจ้าที่ท่านตัดสิน สุดท้ายของสิ่งที่มันขัดแย้งกันแต่ต้องอยู่ร่วมกัน มันจึงสงบอบอุ่น
เรากับเถรสมาคมทุกวันนี้ก็สงบอบอุ่นไปมาหาสู่กัน ใครจะยินดีมาก็มา ใครไม่ยินดีมาก็ไม่เป็นไร เพราะว่าความยินดีเป็นราก คนยินดีมาก็เรียนรู้มนสิการ เรียนรู้การทำใจในใจการปฏิบัติอย่างไร ถึงจะเป็นโยนิโสมนสิการ
การทำใจในใจแบบชาวอโศก ก็เป็นแบบลืมตา เป็นโพธิปักขิยธรรม มีโพชฌงค์ มีมรรคมีองค์ 8 แต่ของเขานั้นนั่งหลับตา แม้สายเรียนปริยัติ เรียนดร.เรียนเปรียญ 9 ก็ตาม เขาก็ยังถือว่าการนั่งหลับตา หรือไม่ถือเขาก็ยังไม่ชัดเจน ยังพ้น สักกายทิฏฐิ คำว่า กาย ยังไม่ได้ ยังไม่รู้จักคำว่าบุญ ยังไม่รู้จักคำว่า ฌาน ไม่ต้องพูดถึงสมาธิ ยิ่งนิโรธ นิพพาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย อาตมาพูดชัดพูดตรง แล้วแยกให้ฟังด้วยว่าอันโน้นผิดอันนี้ถูก
ด้วยความไม่ได้ข่มเบ่งไม่ได้อยากอวดอะไร พูดสัจจะความจริงทั้งนั้น ตามสิทธิมนุษยชน ที่เจตนาดี อาตมาเห็นใจสงสาร ไม่ได้ไปเบ่งไปข่มอะไร แปลภาษามันต้องเป็น นิคฺคเณฺห นิคฺคหารหํ ปคฺคเณฺห ปคฺคหารหํ ควรข่มคนที่ควรข่ม ยกย่องคนที่ควรยกย่อง มันต้องข่ม จะไปชมได้อย่างไรเพราะมันผิด ภาษามันต้องตรง มันต้องข่มสิ่งที่ควรข่ม ชมสิงที่ควรชม ผู้ที่ทำถูกก็ต้องถูกชมและผู้ที่ทำถูกก็คือชาวอโศก ก็เลยชมแต่ตัวเองชมแต่ชาวอโศก- ปัดโธ่เอ๊ยโพธิรักษ์ เขาก็สมเพชเราเหมือนกันนะ เขาก็บอกว่าเราไม่ได้แต่คุยตัวเองชมพวกตัวเอง จะให้ไม่ชมได้อย่างไร ชมก็ชมสิ่งที่ถูก ตำหนิก็ตำหนิสิ่งที่ผิด ก็ยืนยันว่าอาตมาทำความผิดไม่เป็น ทำเป็นแต่ความถูก จบ ไม่เชื่อก็ช่าง
ฟังธรรมสรุปธรรมปฏิบัติได้ดี ตัดเขตอนาคามีจนถึงอรหันต์
_กราบนมัสการพ่อท่าน ทั้งพักผ่อนทั้งฟุ้งเขียน วันนี้จะเขียนธรรมะในการรู้ทั่วถึงธรรมะ 2 อย่างคือ
1 ไม่สันโดษในกุศลธรรม อสันตุฏฐิตา
2 ไม่ย่อหย่อนในความเพียร อปฏิกาณิตา
3 ข้อนี้เป็นธรรมะที่เป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม (ยกมาจาก พระไตรปิฎกบาลีเล่ม 20 ปฐมปัณณาสก์ ข้อ 201)
จุดประสงค์ในการเขียนธรรมะที่ได้ศึกษามาจากการสอนของพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์เพื่อ
-
ได้ทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้งขึ้น จากที่ฟังและอ่านมา
-
ฝึกสมอง ตา มือ ทำงานสัมพันธ์กัน
-
ทำให้ความจำดีขึ้นชะลอความเสื่อมด้านสมอง
-
จิตใจไม่ฟุ้งซ่านเพราะไม่ต้องคิดสังขารเรื่องไร้สาระ
-
ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ทุกปัจจุบัน
-
เนื้อหาข้อความเกิดความกระจ่างมากยิ่งขึ้น สอนผู้อื่นได้
พ่อครูว่า… นี่ เห็นไหม มันมีรายละเอียดของผู้ที่ปฏิบัติธรรมมีสัมมาทิฏฐิที่ดีๆมันจะค่อยๆได้ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อานิสงส์ในการฟังธรรมหรือการศึกษา 5 ประการ
อานิสงส์ในการฟังธรรม 5 ประการ
๑. ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง (อัสสุตัง สุณาติ)
๒. ย่อมเข้าใจชัดในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว (สุตัง ปริโยทเปติ)
๓. ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ (กังขัง วิหนติ)
๔. ย่อมทำความเห็นให้ถูกตรง (ทิฏฐิง อุชุง กโรติ)
๕. จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส (จิตตมัสสะ ปสีทติ)
(พตปฎ. เล่ม ๒๒ ข้อ ๒๐๒)
พ่อครูว่า… ฟังธรรมด้วยดีย่อมเกิดปัญญา และยิ่งเอาไปปฏิบัติจบครบจิตผ่องใสประภัสสรเลย
ธรรมะพระพุทธเจ้าที่พ่อครูเอามาอบรมสั่งสอนนั้นเราต้องใช้สติปัญญาศรัทธาเชื่อมั่น
พ่อครูว่า… อาตมาเคยแยกความเชื่อไว้ 3 ความเชื่อ
1.เชื่อฟัง
2.เชื่อถือ
3.เชื่อมั่น
เชื่อฟังก็คือพอเชื่อจากการฟัง เชื่อถือก็มาปฏิบัติตาม ปฏิบัติตามและก็เห็นมรรคเห็นผลก็เชื่อมั่น
ทุกครั้งที่ฟังธรรมต้องทำความเข้าใจเนื้อหาด้วยธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกแยะรายละเอียดจนเข้าถึงธรรมะได้ เข้าถึงธรรมะได้ เช่น
1 ประโยคคำว่า อสันตุฏฐิตา คำแปลว่า ไม่สันโดษในกุศลธรรม
พ่อครูว่า… ที่จริง อสันตุฏฐิแปลว่าไม่สันโดษ ที่จริงทั้งบุญด้วย บุญไม่ใช่สะสม บุญให้สำเร็จกิจเลยได้
มีคำสองคำคือคำว่าสันโดษและไม่สันโดษ แล้วนำมาทำความเข้าใจให้รู้ถึงความหมาย
1.1 คำว่าสันโดษ ใจพอ คำนี้อาตมาเป็นคนแปลว่า ใจพอ ใจพอนี้ แยกได้หลายลักษณะตามพฤติกรรมของคนว่าพอขนาดไหน พอในเรื่องอะไร ทำไมจึงพอ หรือ พอโดยไม่อยากได้ อยากมีอยากเป็น อะไรอีกเลย หลงไปทำตัวอยู่นิ่งเฉยๆ ประโยชน์ตนก็ไม่สร้าง ประโยชน์ผู้อื่นก็ไม่ต้องสร้าง หรือ รับแต่ประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่นไม่ต้องสนใจ หลับไปวันๆ ถึงเวลาคนหลงก็เอาไปให้ได้กิน ได้จ่ายไปวันๆ จนกว่าจะตายจากไป
ก็มาจากกิเลส อุปาทานขันธ์ 5 ตัณหา 3 เป็นตัวทำให้เกิดเหตุสมุทัย ทำอย่างไรจะนิโรธหลุดพ้นจากทุกข์
ต้องการหลุดพ้น ต้องปฏิบัติมรรคองค์ 8 ให้เป็นสัมมามรรคก่อน ปฏิบัติตามที่พ่อท่านสอนไว้ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิเป็นข้อต้น
-
ไปตามลำดับ ถึงสัมมาสมาธิข้อปลาย ถ้าปฏิบัติได้ครบ 8 ข้อจะเกิดสัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ นิโรธ ก็จะหลุดพ้นจากทุกข์ ก็หมดทุกข์หมดกิจ
พูด พอสังเขป ตามสภาวะ เมื่อนำมาใช้ผู้ฟังพอรับได้เข้าใจ ผล คือ เกิดกุศล
2.ไม่สันโดษในกุศล คือถ้าแปลง่ายๆตามความเข้าใจ ใจยังไม่พอในการสร้างกุศล (กุศลคือสมบัติสะสม) ดังนั้นกุศลกับบุญต่างกันอยู่ (บุญ เป็นวิบัติ ทำลายมือประหารกิเลส ทำแล้วไม่สะสม ทำลายและหมดไป)
พ่อครูว่า… กว่าจะมีผู้เข้าใจอย่างที่ผู้เขียนมานี้เข้าใจอย่างที่อาตมาสาธยาย มันเพี้ยนมันผิดไปหมดแล้ว คำว่ากาย คำว่า บุญ คำว่า ปัญญา คำว่าสมาธิ คำว่า ฌาน อะไรมันก็เพี้ยนผิดไปหมดเลย ขออภัยที่พูดใหญ่เหลือเกิน แต่มันจริง มันก็เลยไม่มี มรรคผลอะไรของศาสนาพุทธ ไม่มีเลย กลายเป็นศาสนาเล่นไป เลยไม่มีผลต่อมนุษย์จริง
_คนที่มีความรู้จริงจับได้อย่างที่ชาวอโศกทำ ถึงได้ผลของศาสนาพระพุทธเจ้ามา ให้แก่ชีวิต เป็น กัมมปฏิสรโณ เป็นที่พึ่งที่อาศัยกันได้เท่าที่แต่ละคนจะสามารถ กำจัดกิเลสได้ จบ กัมมปฏิสรโณ ก็เป็น อรณะ เป็นกัมมะที่อรณะเลย คือ ไม่ต้องมี สงครามในจิตอีกแล้ว กิเลสหมด
ดังนั้น กุศลสร้างเท่าไหร่ก็ไม่พอนั้น ถูกต้อง กุศลเป็นสมบัติ สร้างขึ้นมาเพื่อยันอกุศล
พ่อครูว่า… อาตมาเคยพูดว่าพระอรหันต์ไม่ทำชั่วอีกแล้วทำแต่ดี มันก็เลยมีแต่ดีเป็นแต่กุศล และกุศลก็ยิ่งเร็วด้วย อกุศล มันเหมือนหมาไล่เนื้อวิ่งตามไม่ทัน
คุณนี้ใช้คำศัพท์ว่า ยันอกุศลไว้ ทำแต่กุศลอกุศลเกิดยาก(ทำความเข้าใจกุศลอกุศลให้ดี ) บุญนั้นสร้างเมื่อกิเลสตัณหาเกิด บุญ จะทำหน้าที่ประหาร ทำลาย ฆ่าให้หมดไป ไม่มีบุญไม่มีบาปอีก ( ปุญญปาปปริกขีโณ )
สรุป จงทำกุศลให้ถึงพร้อม กุสลัสสูปสัมปทา จิตใจจะเย็นสบาย แจ่มใส ผ่องแผ้ว (สจิตตปริโยทปนัง)
_2. ไม่ย่อหย่อนในความเพียร อปฏิกาณิตา
ในข้อนี้ต้องพูดถึงธรรมะ 3 ข้อคือ อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง คือเอาความรู้จากสัตตบุรุษ แล้วนำมาทำความเข้าใจและปฏิบัติให้เกิดมรรคผล ทำความเข้าใจในข้อธรรมให้เกิดมรรคผลโดยทำแล้วทำอีกซ้ำๆไม่เบื่อหน่ายในการศึกษา ปฏิบัติจนเข้าใจ และปฏิบัติได้ถูกต้องตามที่พ่อท่านสอนมา
สรุปง่ายๆคือ ความเพียรจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องมีความพอใจ อ่าน เขียน ฟัง ปฏิบัติและฝึก ซ้ำแล้วซ้ำอีกบ่อยๆ จนเกิดความศรัทธายิ่งขึ้นๆ เห็นความถูกต้องไม่มี โทษภัย มีแต่ทำให้เกิดประโยชน์แก่ตนและสังคมโลก
ความเพียรจึงเกิดจากฟังมาก ศึกษามาก รู้จริงปฏิบัติได้จริง มีความพอใจที่จะสร้างประโยชน์ทั้งตนและท่าน เป็นกุศลไม่ใช่อกุศล ไม่มีแล้วทั้งบุญทั้งบาปนะครับ
พ่อครูว่า… นี่เข้าใจกันดีมาก ผู้เขียนมา
ผมออกมา พักร่างกายข้างนอก ไม่ได้อยู่เฉยๆทั้งอ่านทั้งเขียน มีอะไรจะเขียนได้ตามสภาวะที่เขียน ป้องกันสมองเสื่อมตามอายุ เขียนแล้วสามารถนำมาอธิบายให้ผู้อื่นเขาฟัง บางคนฟังได้เราก็พูดให้เขาฟังได้ยาว เขาก็รับฟัง แต่ถ้าคนไหนฟังไม่ได้เราก็หยุดพูดเสีย
ถือว่าไม่ได้ แต่ก็ไม่เสีย
การมาอยู่ข้างนอกในนิคมโลกีย์ จะได้เห็นความต่างของคน เราศึกษามาทำความเข้าใจสาราณียธรรม 6 และพุทธพจน์ 7 ที่มีความรู้ความเข้าใจพอประมาณจึงเห็นชัดว่า
ลาภธัมมิกา แบบสาธารณโภคีนั้นในสังคมใหญ่คงไม่ง่าย แต่ถ้าระดับครอบครัวทำได้บ้าง ศีลสามัญญตา หยิบเอาเรื่องที่พ่อท่านเคยสอนเช่น เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ สิ่งของ พืช รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แค่ศีล 5 ข้อ 1 2 3 แล้วขยายออกไป ศีล 5 จะง่ายในการที่จะทำให้เขาเข้าใจได้
และสามารถลด ละกิเลสเลิกได้บ้าง แต่ตัวเราก็เป็นคนจริง อยู่ตรงไหนก็กล้าพิสูจน์ตนเองได้ ถ้าศีล 8 เราปฏิบัติอยู่ประจำของเรา เขาคงเห็นอยู่
ศีล 10 เขาเห็นได้ชัด เรายังต้องใช้เงินอยู่ แต่ไม่หามาเพิ่มอีกแล้ว
ส่วนศีล 43 หรือ 26 จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล คงยากสุดยาก ที่จะทำให้เขาเข้าใจ พระภิกษุยังไม่รู้ธรรมนูญ 48 ของพระพุทธเจ้า ที่ตรัส ให้ปฏิบัติ ชี้ชัดว่า แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง
ตัวผมเองที่รู้ก็เพราะว่าพ่อท่าน สมัยก่อนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องศีล ปัจจุบันถ้าไม่เอาจริงก็คงยาก ต้องทวนกระแส แต่จะพยายามทำในครอบครัวเล็กๆไป ในญาติพี่น้อง และที่ออกมาต้องการสิ่งนี้ ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
แต่ตามที่พิจารณาคงจะไม่สูญเปล่า ทิฏฐิสามัญญตาเกี่ยวกับความเห็นนี้แหละ เขากับเราต่างกันจริงๆ ความขัดแย้งเกิดขึ้นบ้าง แต่เรารู้ตัวต้องนิ่งไว้ก่อน ทำจิตให้ผ่องใสผ่องแผ้ว แล้วจะรู้ว่าจิตเราเกิด สโทสจิต หรือวีตโทสจิต เราต้องอยู่ในการศึกษาจิตตัวเองให้ได้ด้วย นี่แหละเป็นการสร้างประโยชน์ตน ประโยชน์เพื่อผู้อื่น ประโยชน์ท่านอย่างแท้จริง สำหรับผมนะ
แต่ข้อสำคัญจะต้องไม่หยุดสร้างจิตให้เจริญด้วยการพิจารณาจากที่เราศึกษา “เจโตปริยญาณ 16” เราต้องประเมินจิตตนเองตลอดว่า มหัคตจิตหรืออมหัคตจิต หรือถึงขั้น สอุตรจิตหรืออตุตรจิต ว่าจิตของเราเจริญขึ้นหรือตกต่ำ ต้องประเมินได้ตามจริง ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าเป็นไปตามนี้หรือไม่ ว่า สิ่งที่ศึกษาปฏิบัติมาเที่ยงแท้ยั่งยืนตลอดกาลไม่เปลี่ยนแปลงอีก ไม่มีอะไรหักล้างได้ ไม่มีอะไรกำเริบอีก
พ่อครูว่า… อาตมาพูดมา เขาจำได้หมด คุณนี่ เก็บมาเรียบเรียง มา
_มารักษากายครั้งนี้ มีโอกาสฟังเขียนมากขึ้น มีความกล้าในการเขียน เพราะจะได้รู้ความจริงของจิต ธรรมะภาคปฏิบัติให้ได้เหมือนอยู่ต่อหน้าพ่อท่าน ผลที่จะได้ มหัคตจิตอมหัคตจิต ก็พิสูจน์กันได้ แต่ในการปฏิบัติก็ขึ้นอยู่กับ อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง
เหมือนพ่อท่านอยู่คอยเตือนสติและชี้ทางให้อยู่ไม่ห่างจากเราเลย พ่อท่านคือธรรมะ ธรรมะคือพ่อท่าน ถ้าเขาเคารพศรัทธาพ่อท่านอย่างมั่นคง พ่อท่านบวกธรรมะก็จะอยู่ในจิตวิญญาณของเราตลอดกาล ไม่ว่าเราอยู่ที่ไหน
พ่อท่านบวกธรรมะ จะตามเราไม่ห่างไกลจากที่มั่นคง ของมันไม่เปลี่ยนแปลง พระพุทธเจ้าตรัสว่า การที่เราจะข้ามโอฆะ ห้วงน้ำ อันคือกิเลสที่ท่วมทับจิตใจ ข้ามได้ด้วย 1. เราไม่พักอยู่ (อัปปติฏฐัง) เท่ากับยังเพียรต่อไป ฆ่ากิเลสให้หมดไปจากจิตวิญญาณของเรา เราไม่เพียรอยู่ (อนายูหัง) เท่ากับพักหรือไม่ต่ออายุอิทธิบาท เราเป็นผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว (โอฆมตรินติ) คือการหยุดสร้างหยุดกระทำกิเลสใหม่ ที่จะเกิดขึ้นให้หมดไปจากจิตวิญญาณ
ความเข้าใจไม่พักเราไม่เพียร เป็นเรื่องของกิเลสไม่ใช่เรื่องของการงาน ถ้าเรื่องของการงานคือต้องรู้พักรู้เพียร เช่น 1. ถ้าเหนื่อย ป่วย เหตุอื่นทางร่างกายอายุมากแล้วก็ต้องรู้จักใช้ปัญญาพิจารณาให้ดี
-
ถ้ามีพลังงานมากร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยอายุยังอยู่ในวัยทำงาน ก็ต้องเพียร เพื่องานที่มีคุณภาพสร้างสรรค์มีปริมาณที่พอเหมาะกับตน และสังคม