660106 แบบมีกษัตริย์กับไม่มีกษัตริย์ ประชาธิปไตยแบบไหนดีกว่า พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1kOyQmAOYjqnT4qKFyZxAjd1wvDs2tuNK0m7dg-ceC5M/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1RrQ1bNykkp4SsIYqygXim-FVueRwKZJd/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/3lPJMGMqack
และ https://fb.watch/hTQL54cAHd/
สมณะเดินดิน… วันนี้วันศุกร์ที่ 6 มกราคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 15 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล
ลองเข้ามาฟังธรรม มนุษย์ผู้ไม่ใส่ใจในการฟังธรรมะไม่ใช่มนุษย์ นั่นก็คือชีวิตของจิตนิยามเกิดมาธรรมดา เป็นสัตว์โลกสามัญเท่านั้นเอง ไม่ได้มีทิศทางพฤติกรรมที่จะพัฒนาตนเองเพิ่มขึ้นไป ดีไม่ดีก็ไป หลง หลงในโลกียธรรม หลงในอบายมุข โลกียะ เต็มไปด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แก่งแย่ง ความเป็นจ้าวโลก ความเป็นใหญ่ แก่งแย่ง อะไรต่ออะไรกันไม่ว่าจะเป็นอำนาจทรัพย์สินเงินทอง แย่งของที่ตนต้องการ แม้แต่ที่สุด แย่งสิ่งที่ตนเองเสพติด น่าได้น่ามีน่าเป็น เข้ามาบำเรออารมณ์ โดยไม่เข้าใจว่าชีวิตเจริญจริงๆคือชีวิตอย่างไร ก็น่าสงสาร ก็เห็นอยู่ว่าเขายังวนอยู่ในสงสารที่ตกต่ำ วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏที่ตกต่ำ ก็ช่วยกันไป ก็แล้วแต่ว่าใครจะมาสนใจ ชีวิตอะไรที่เป็นสาระ อะไรเป็นสิ่งประเสริฐที่ควรจะได้ ขวนขวาย ลงทุน ใช้เวลา ใช้แรงงาน นี่คือขุมทรัพย์ใหญ่
เวลา เป็นกลางๆ ทุกคนมีเท่ากัน ทุนรอน แต่ละคนก็มีของใครของมัน แรงงาน แรงทางกายแรงทางจิตวิญญาณ 3 อย่างนี้ เป็นขุมทรัพย์ใหญ่ๆ ที่ทุกคนสูญเสียอย่างไม่รู้ตัว เอาความสูญเสียของเราคืนมาให้ได้ ตั้งใจฟัง
SMS วันที่ 4 – 5 ม.ค. 2566
_วันชัย สหมโนธรรม · กราบนมัสการครับท่านสมณะฟ้าไท ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นท่านสิกขมาตุรินฟ้า เลยครับไม่ทราบว่าท่านไม่สบายหรือป่าว กราบนมัสการด้วยความเคารพครับ
พ่อครูว่า… ท่านกลับไปเชียงใหม่ไปเยี่ยมญาติที่เชียงใหม่ ท่านเป็นพี่คนโตก็มีน้อง มีทั้งน้องสาวน้องชาย น้องชายก็บวชเป็นพระมาตั้งแต่นานแล้วก็ยังเป็นอยู่ ก็เอา
ศีลจะขัดเกลากายวาจาจนถึงจิตตามอานิสงส์ 10 ของศีล
_ โก้ ภูวนัย : นับเป็นศิริมงคล ในต้นปี ๒๕๖๖ พ่อท่าน ได้เอ่ยชื่อ กระผมครับ ลูกหลาน จะระมัดระวังกรรมสาม มิให้ไปละเมิดศีลครับ. น้อมกราบแทบเท้าครับ.
พ่อครูว่า… ดี ระวัง สีลัพพตปรามาส หรือ สีลัพพตุปาทาน ระวัง ไม่ละเมิดศีลทางกายวาจาก็ดีอยู่ คือ ไม่ทำให้ศีลด่าง ศีลพร่อง เป็นสีลัพพตปรามาส ศีลจะกำจัดกิเลส ให้กิเลสลดลง จนกระทั่งจิตอะไรที่มันพูด ทางกาม ทางปฏิฆะ จิตที่มันลดกิเลสได้ เป็น อวิปปฏิสาร ไม่เดือดร้อน ลดลงมาเป็นข้อที่ 1
จนกระทั่งจิตจะมีความชื่นใจยินดีปราโมทย์ ปีติ จนกระทั่งกิเลสสงบเป็นปกติลงไปอย่างนี้เป็นต้น นั่นเป็นลำดับของการเจริญของศีลที่มีผล ศีลที่ถูกต้องตามลำดับ ของศีลที่เจริญไป 10 ประการนั้น มันเป็นลำดับอย่างนี้ นอกนั้นเป็นสิ่งข้างเคียงสิ่งที่ควรได้เป็นเช่นนี้
-
อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)
-
ปามุชชะ – ปราโมทย์ (มีความยินดี)
-
ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)
-
ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส) ความสงบนั้นมี 2 แบบ แบบฤาษีมันไม่สมบูรณ์แบบ แต่แบบของพวกนั้นเป็นความสงบจากกิเลส ไม่มีเวียนกลับ
-
สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข) เป็นความสุขอันเกิดจากความสงบที่กิเลสลดลง ๆ
-
สมาธิ (จิตมั่นคง) จริงๆควรใช้คำว่า สมาหิตะ คือจิตตั้งมั่นแบบพุทธ ตาม เจโตปริยญาณ 16 อยู่ในข้อปลายแล้ว ข้อ 14-15 เป็นข้อที่จิตตั้งมั่นหรือไม่ตั้งมั่น สมาหิตะ อสมาหิตะ แล้วตรวจ วิมุติ กับอวิมุติอีกที
-
ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) รู้แจ้งเห็นจริง ความจริงตามความเป็นจริง รู้ที่มีสิ่งจริงสัมผัสยืนยันอยู่โทนโท่ มีสิ่งที่สัมผัสอยู่และมีธาตุรู้ที่รู้ความจริงตามความเป็นจริงเรียกว่ายถาภูตญาณทัสสนะ
-
นิพพิทา (เบื่อหน่าย)
-
วิราคะ (คลายกิเลส) สิ้นหมดเลยความยินดี ความยินดีเป็นอุเบกขาต่างๆ เป็นอุเบกขาเวทนา เนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา
10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) รู้แจ้งเห็นจริงว่าหลุดพ้นกิเลสทั้งปวงแล้ว
(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24 ข้อ 1 , 208)
นี่คือการปฏิบัติศีล ที่จะต้องสำเร็จถึงอรหัตผลโดยลำดับ ศีลจึงไม่ได้ระงับแค่กายวาจาตามที่สอนกันอยู่ ศีลจะสอนไล่ละเอียดไปถึงจิต ถึงจะมีอานิสงส์ ถ้าปฏิบัติแค่กายวาจาทั้งไม่เข้าไปถึงจิต แสดงว่า ไม่เกี่ยวข้องกันเป็น กาย ไม่มีกายมีจิตเนื่องกัน ไม่มี กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม เป็นสติปัฏฐาน 4 ในโพธิปักขิยธรรม 37 ที่จะมี อิทธิบาท 4 สัมมัปปธาน 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8
ถ้าปฏิบัติไม่ได้ทำลำดับอย่างนี้ ทดสอบแล้วก็ไม่มีผลตามนี้ ก็ไม่สมบูรณ์บริบูรณ์
_ อารยา ศรีไพโรจน์ · สิกขมาตุกล้าข้ามฝันเทศน์ให้เห็นถึง “สัญญาพาเที่ยว” เห็นภาพชัดค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ 🙏🙏🙏
พ่อครูว่า… เป็นคนตั้งใจฟังธรรมะพระพุทธเจ้าจากพวกเรา สม.กล้าข้ามฝันก็เป็นธรรมกถึกในพวกเราคนหนึ่ง ธรรมกถึกคือผู้อธิบายธรรมะได้ดี
_ช่อทิพ หนูทอง · อภิธานศัพท์อโศก อ่านอยู่พอสรุปได้ว่า
-
เหมือน พจนานุกรม
พ่อครูว่า… ก็ใช่สิ เขาเรียกว่า ปทานุกรม พจนะ แปลว่าคำ ปท คือบท เป็นบทๆ ส่วนพจนานุกรมนั้นเป็นคำๆ
-
ถ้าอ่านทั้งหมด คง,..ยาก เหมาะใช้ค้นคว้าเพิ่มเติมมากกว่า
แอดมินเพจบุญนิยมทีวี ไม่ควรให้มีข้อความมาขอเรี่ยไร นะคะ
พ่อครูว่า… อาตมาขอบอกว่ายังไม่ได้ตรวจสอบทั้งหมด ประมาณเบื้องต้นก็รู้สึกว่ายังไม่บริบูรณ์เท่าไหร่ยังไม่เต็มที่ยังเพี้ยนนิดๆหน่อยๆอะไรอยู่บ้าง ก็ต้องขออภัยจริงๆว่าทำมาละเอียดลึกซึ้งจริงๆ แต่ก็ได้โครงสร้างไม่ถึงกับผิดไปทีเดียว ผู้ใดสนใจก็เอา ขออภัย จะมาแก้ตัวก็แก้ตัว ทุกวันนี้ทำงานไม่ค่อยเร็ว ทำงานอะไรช้าไม่ทันการพวกเราที่ช่วยกันทำอยู่ ซึ่งก็ขอบคุณที่พวกเราช่วยกันหลายคน
และขอยืนยัน อาตมาภูมิใจในตัวเองที่เกิดมาชาตินี้ทำงานพัฒนาศาสนามาเกือบ 60 ปี ไม่ได้เรี่ยไรเลย ไม่เรี่ยไร อันนี้ อาตมาถือว่าเป็นเรื่องที่ แหม น่าอายอย่างยิ่ง สำหรับศาสนาพุทธโดยเฉพาะเป็นสมณะเป็นนักบวช เรี่ยไรนี่ น่าอายอย่างยิ่ง มันก็มีคนทางโลกแอบแฝงมา เราก็ช่วยกัน
_สินอโศก · น้อมกราบนมัสการพ่อท่านด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ ดิฉันคิดว่าเดี๋ยวนี้คนเปลี่ยนไปมากมากเจ้าค่ะ ดิฉันเองก็เกือบเปลี่ยนเหมือนกัน แต่ธรรมะของพ่อท่านช่วยเอาไว้ หากไม่มีพุทธศาสนาไม่มีพ่อท่าน ก็คงจะเป็นแบบไม่รู้เรื่องเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… เอ้า ดีมากๆ รู้ตัวอย่างนี้ดีใจด้วยมากเลยที่รู้ตัวทัน เห็นทัน
ปฏิจจสมุปบาทของตลาดอาริยะของชาวอโศก
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
งานตลาดอาริยะผ่านไปแล้ว ลูกได้ช่วยอาพรตะวันที่ร้านขายสินค้าชุมชน ลูกได้ทำหน้าที่คอยเติมสินค้าที่พร่องให้หมด คอยแนะนำสินค้า ครั้นจบงาน ลูกได้ซื้อสินค้าเพียงเล็กน้อยตามจำเป็นเพื่อนำกลับบ้าน สิ่งที่ลูกเห็นความอัศจรรย์ 3 ประการคือ 1.ไม่มีการจ้างมีแต่จิตอาสา
2.คนที่มาซื้อของเมื่อเปรียบเทียบกับที่อื่นที่เขาแจกทาน นับว่ามีความสงบ เรียบร้อย ไม่มีการทะเลาะแย่งชิงสิ่งของกัน
3.สิ่งที่ชาวอโศกได้ให้อีกอย่างคือ ภาษากายอันสงบที่สื่อสารการทำทานอันไม่สาเปกโข ลูกขอกราบเรียนถามพ่อครูว่า ตลาดอาริยะอย่างนี้ สังคมสาธารณะโภคีอย่างนี้เคยเกิดในโลกไหมคะ นานเท่าไรแล้วคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… ต้องอธิบายกันพอสมควรทีเดียวประเด็นนี้ สวยๆ
ที่บอกว่าชาวอโศกแสดงภาษากายอันสงบในการสื่อสารการทำทาน อันไม่สาเปกโข
สาเปกโข หมายความว่าเป็นความหวังดีความหวัง จิตมันมีจิตออกไป ต้องดูอาการของจิตเรา จิตเรามันจะแลบเลียออกไป มันจะมีเจตนา มีความมุ่งอะไรออกไป เพื่อได้อะไรตอบแทน ต้องอ่านอาการจิตให้ดีถ้าจิตไม่มีแวบ เป็นสาเปกโข ปฏิพัทจิตโต สันนิธิเปกโข ปริภุญชิตสามีติ เป็น 4 อันในทานสูตร
จิตไม่มีสิ่งเหล่านี้เป็นอานิสงส์ในการทำบุญแบบต่างๆและจิตเสียสละจบทั้งนั้นเลย จบตรงนั้น ทานเสร็จจบ อาการของจิตที่จะเป็นเชิงกิเลสและเตรียมออกไป การปฏิบัตินี้คือเป็นการทำทั้งสมถะและทำทั้งปัญญา มีทั้งสมถะและปัญญา จิตมันเรียบร้อย สงบ จบ ที่จริงไม่เรียกว่าสมถะ เรียกว่าปัสสัทธิ สงบ และ ปัญญาก็รู้ทันจิตของเรา แต่อาตมาใช้สมถะคือจะได้รู้กันทั่ว แต่ ปัสสัทธิกับสมถะคล้ายกันตรงมันสงบเหมือนกัน มันหยุดเหมือนกัน แต่หยุด ปกติมันมีปัญญา ปัสสะคือเห็น ส่วนสมถะมันมืดไม่เห็น แต่ ปัสสัทธิมันเห็นแจ้งครบทุกอย่าง
กลุ่มคนที่มีพฤติกรรมสาธารณโภคี คือมีเศรษฐกิจหรือมีการเมืองที่บริโภคร่วมกันเป็นทรัพย์สินส่วนกลาง ไม่มีใครแบ่งแยก เรียกว่าเป็นกงสีใหญ่เลย ไม่ใช่แต่เฉพาะญาติพี่น้องในตระกูล ได้หมดทุกคนในสังคมในชุมชน ของชาวอโศกทั้งนั้นเลยไม่ว่าจะเป็นชุมชนในๆ ชุมชนที่สันติอโศก ชุมชนที่ราชธานีอโศก ศีรษะอโศก สีมาอโศก ทุกชุมชนเป็นสาธารณโภคีเดียวกัน ขาดแคลนก็บอกกันเกื้อกูลกันเป็นกระเป๋าเดียวกัน นี่คือสุดยอดของเศรษฐศาสตร์ สุดยอดของรัฐศาสตร์ สุดยอดของสังคมศาสตร์
เพราะฉะนั้นตลาดอาริยะ คือตลาดที่เป็นที่ค้าขาย แต่เป็นการค้าขายอย่างเสียสละ ค้าขายอย่างขาดทุนให้แก่ผู้ซื้อ ขาดทุนให้แก่ผู้มารับบริการ ไม่ได้เอาเปรียบเอารัด มีแต่เสียสละให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เรียกว่าเกือบจะหมดเนื้อหมดตัวเลย นี่เป็นตลาดอาริยะ
สังคมสาธารณโภคีอย่างนี้เกิดขึ้นมาในโลกไหม ตอบตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า สาธารณโภคีอย่างนี้ยังไม่เกิด สาธารณโภคีที่เป็นตลาดค้าขาย สาธารณโภคีมีในสมัยพุทธเจ้าแต่เป็นกลุ่มสงฆ์ เพราะเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคของสังคมทาส ยังไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชน คนเหมือนกับสัตว์ นายทาสมีลูกทาสเหมือนกับสัตว์ จะฆ่าจะแกงก็มีสิทธิในตัวทาสเต็มสภาพเลย เพราะฉะนั้นมันจึงมีแต่ในวงสงฆ์ของพระพุทธเจ้า ไม่มีการซื้อขาย เพราะฉะนั้นตลาดไม่เกิด แต่สาธารณโภคีบริโภคร่วมกันอยู่ในวงสงฆ์ของพระพุทธเจ้ามีแล้ว
ทีนี้ถามว่านานเท่าไหร่แล้ว ตลาดอาริยะนี้ อาตมาไม่รู้ อันนี้ตอบตรงๆ ตลาดอาริยะอย่างนี้เกิดมีเมื่อไหร่ อาตมาก็ตอบได้อย่างที่เห็นที่รู้เดี๋ยวนี้เลยว่า มีเท่าที่โพธิรักษ์พาทำ เกิดในยุคโพธิรักษ์พาทำ ไม่มีใครพาทำ โพธิรักษ์เป็นผู้พาทำ เกิดในยุคนี้ แน่ใจว่ามีเมื่อไหร่ ถามว่าเกิดขึ้นในโลกนานเท่าไหร่ ส่วนจะเกิดก่อนนั้นอาตมายังนึกไม่ออกว่าจะมีใครพาทำ อาตมาระลึกไม่ได้ ไม่รู้อดีตที่ผ่านมา ตอบอย่างนี้เลย
โลกุตรธรรมของศาสนาพุทธ เสื่อมต่ำมานานแล้วเป็นพันปี เสื่อมมาเรื่อยๆจนถึง พ.ศ. 2500 เสื่อมสูญไม่มีโลกุตระเหลือ อาตมาเกิดมาเอาโลกุตระติดตัวอาตมาเอง จึงเรียกว่าอาตมาเป็น สยังอภิญญา จึงไม่มีครูบาอาจารย์ ตำราก็มีอยู่ในพระไตรปิฎก แต่เขาไม่รู้เรื่อง
อาตมาก็นำเอาโลกุตรธรรมมาสถาปนาอยู่ในประเทศ อยู่ในสังคมมนุษย์ ในประเทศไทยเกิดมาอย่างที่เป็นมาเราทำตลาดอาริยะมาถึง 41 ครั้ง ก็อาจไม่ถึง 41 ปีที่แล้ว เพราะว่าบางครั้งทำ 2-3 ครั้งต่อปีก็มี ทำเริ่มต้นตั้งแต่ 2523
เริ่มต้นทำที่สันติอโศก ที่มันแคบประชาชนมามากเกินก็ไปไม่รอด เลยย้ายอยู่ที่ปฐมอโศก ที่สันติอโศกทำอยู่ 2 ปี ย้ายไปทำที่ปฐมอโศกเป็นสิบๆปี แล้วค่อยย้ายมาทำที่ราชธานีอโศกเป็นหลักมาจนถึงบัดนี้ หรือแม้แต่ทำในที่สาธารณะ ทำที่ลานพระรูปเราก็เคยทำ ทำที่สนามหลวงเราก็เคยทำ ตลาดอาริยะ คือ เอาของไปขายราคาต่ำกว่าทุน
เพราะฉะนั้นการทำอย่างนี้ ทำได้อย่างนี้ ทำตลาดอาริยะ มันไม่ใช่ความฝืน ความแอค ความเด่นความโก้ แต่เป็นเรื่องเกิดจริงเป็นจริงตามปฏิจจสมุปบาท
เกิดจริงเป็นจริงตามปฏิจจสมุปบาท อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ
ถ้าไม่มีวิชา ความรู้ของพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตระก็จะเกิดการปรุงแต่ง สร้างเรื่องขึ้นมาเรียกว่าสังขาร ปรุง ขึ้นมาเป็นเรื่องเป็นราวเป็นเนื้อหาสาระขึ้นมา เรียกว่าสังขาร มันปรุงแต่งออกมา มันก็จะปรุงแต่งด้วยอวิชชา สังขาร วิญญาณด้วยธาตุรู้ทั้งหมด ปรุงแต่งขึ้นมา ด้วยรูปกับนามหรือด้วยวัตถุกับจิต ด้วยกายกับจิต ปรุงแต่งกันขึ้นมา
เมื่อปรุงแต่งกันขึ้นมาด้วยรูปนามนั้น จิต ของผู้ที่ปรุงแต่งที่มีอายตนะ 2 อันนี้รวมกันหมดเลย แล้วก็มีการสัมพันธ์กันระหว่างสิ่งอื่นภายนอกกับตัวเรา มีผัสสะกัน เรียกว่าเกิด อารมณ์ความรู้สึก เรียกว่าเวทนา
ผู้ปฏิบัติธรรมก็จะเก่งในการอ่านเวทนา เวทนา 108 มีกายิกเวทนา เจตสิกเวทนา เป็นเวทนา 2 แล้วมีเวทนา 3 สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
จิตจะแววไว มุทุภูตธาตุ จิตมันยึด ความทุกข์ความสุขหรือไม่ทุกข์ไม่สุขก็ตาม มีความเข้ม ความหนา ความเบา เรียกว่า อินทรีย์ 5
ความสุขกับความทุกข์ เป็นการยึดภายนอกคู่นึง ส่วนภายในก็มีโทมนัสโสมนัส หรือมันอุเบกขา เรียกอุเบกขินทรีย์ มันเกิดอาการพวกนี้ไม่ใช่แค่มีแต่พยัญชนะ แต่ต้องรู้อาการและสภาวะแท้ของมัน
ลดความสุขความทุกข์ภายนอกและภายในหรือเป็นอุเบกขากลางๆไม่มากกว่านั้น แล้ว อย่างนี้แหละปฏิบัติธรรมที่เวทนา จึงเป็นตัวฐาน เป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธ คือ ต้องทำเวทนา 108 ให้สมบูรณ์แบบ
เพราะฉะนั้นเมื่อลดฐานจิตเป็นอุเบกขา เป็น เนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา เนกขัมมะคือทำให้กิเลสออก ออกไปจากจิตจนเป็นฐานสุดท้าย เป็น มโนปวิจาร ตัวสุดท้ายเลย เนกขัมสิตะตัวที่ 18 ของเนกขัมมะหรือเป็นตัวที่ 36 ของเนกขัมมะ เคหสิตะ 18 เนกขัมสิตะ 18 ตัวปลายในตัวที่ 36 คนที่รู้ทั้ง 36 นี้ ตรวจสอบว่าเราได้ทำในปัจจุบันธรรม เป็นการปฏิบัติธรรมที่มีผัสสะเป็นปัจจัย มีทิฏฐธัมนิพพานทิฏฐิ ไปหลับตาปฏิบัติเป็นสัมภเวสี ไม่มีผลหรอก ต้องปฏิบัติธรรมดวงตามีลืมตามีผัสสะเป็นปัจจัย ลืมตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งเป็นปัจจุบันนี้เลยที่เป็น ทิฏฐธรรม ปัจจุบันชาติเป็นกิเลสปัจจุบัน นอกนั้นเป็นกิเลสอดีต กิเลสอนาคต ซึ่งมันไม่จริง ขออภัยอาตมาใช้ศัพท์ว่า ขี้มันหลุดออกไปจากก้นแล้วก็เอามาขยำซ้ำอีกหรือ สร้างวิมานไปลมๆแล้งๆ แล้วมันจะเกิดความจริงได้ไง ความจริงต้องปัจจุบันสัมผัสตอนนี้
ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
เมื่อปฏิบัติจับตัณหาได้ จับอุปทานได้ ตัณหาคือความเคลื่อนของกิเลส อุปาทานคือตัวเสถียรสถิตย์ตัวสมถะของกิเลส ล้างกิเลสได้ทั้ง 2 สภาพ ทั้งในตัณหาและอุปาทาน ภพก็หมดชาติก็หมด ภพก็ดับชาติก็ดับ ปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้แหละ ปฏิบัติถูกต้องสภาวธรรมจบเป็นวิชา ภพดับชาติดับเป็นอรหันต์ ฟังดีๆนะอาตมาอธิบายนี้เป็นภูมิอรหันต์ที่จริง เพราะอาตมาเป็นอรหันต์จริง
ขออภัยไม่ได้อวดตัวเอง แต่ย้ำยืนยันให้ฟังเพราะคุณไม่เชื่อก็ต้องย้ำแล้วย้ำอีก ไปเชื่ออรหันต์เก๊อยู่ได้ ก็น่าสงสาร อาตมาไม่ได้มีกิเลสอวดตัว ไม่มีสาเฐยจิต ขอให้เชื่อก่อนเลย แล้ว คุณจะเชื่อจริงทีหลัง แต่เอาเถอะขอมันไม่ดี คุณพยายามด้วยตัวเองก็แล้วกันนี่เป็นสัจจะ
คนไม่เอาใจใส่ธรรมะกับการเมืองคือคนมีจิตเดรัจฉานอยู่ในตัว
_วาส ทองจันทร์ · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งครับ ฟังพ่อครูแสดงธรรมเรื่องโลกุตระอยู่ดีๆ เผลอเมื่อไหร่จะไหลไปหาการเมืองทันที นี้ก็แสดงว่าศาสนากับการเมืองแยกกันไม่ได้จริงๆ เด็ดขาด
พ่อครูว่า… เพราะการเมืองเป็นเรื่องของคน ศาสนาก็เป็นเรื่องของคน สัตว์เดรัจฉานเท่านั้นมันไม่มีธรรมะ มันไม่มีการเมือง สัตว์เดรัจฉานเท่านั้นมันไม่รู้เรื่องการเมืองมันไม่รู้เรื่องของธรรมะ คนๆๆ ยังมีความเป็นเดรัจฉานอยู่ในคน ฟังซ้อนตรงนี้ เขาจะไม่สนใจการเมืองไม่สนใจธรรมะ แต่ถ้าคนที่เจริญเป็นอริยะ จะสนใจธรรมะจะสนใจการเมือง
คำว่าการเมืองนี้ไม่ใช่คำเสีย คำว่าการเมืองนี้คือคนเอาไปปฏิบัติ ทำการเมืองที่เลว ปฏิบัติทำการเมืองที่ไม่จริง ปฏิบัติทำการเมืองที่มิจฉาทิฏฐิผิดเพี้ยนมันจึงเป็นเรื่องเลวร้ายมันเสีย การเมืองต้องเป็นการงานที่ดีสำหรับพลเมืองทำให้พลเมืองอยู่เย็นเป็นสุขดี การเมืองต้องเป็นอย่างนี้
ไม่ใช่การเมืองเร็วๆทำให้มนุษยชาติเลวร้ายลงนักการเมืองก็เสื่อมทรามเลวร้ายผิดเพียงไปบาปกินหัวทั้งคู่ ทั้งประชาชนผู้รับ ทั้งตัวนักการเมืองเอง บาปด้วยสัจจะนะ อาตมาไม่ได้ไปใส่ความ
ยังไม่มีธรรมะไม่ใช่การเมือง ถ้ายังไม่มีธรรมะ อยู่ร่วมกันกับพฤติกรรมที่ทำกับสังคมมนุษยชาติ ในสังคมมนุษยชาติทำงานธรรมะทำงานการเมือง ให้เกิดเจริญเป็นโลกุตรธรรม ถ้าเป็นแค่โลกียธรรม มันทำแล้วก็ดีนะ ได้อาศัยดีไม่ตกต่ำ มันก็ยังเป็นโลกียะก็ยังได้ขั้นหนึ่งเป็นขั้นกัลยาณธรรม ถ้าสามารถลดกิเลสได้ด้วยมันเป็นโลกุตรธรรมเลย
ฉะนั้นมันจะรู้ได้จริงๆก็ต้องมีปัญญา จะรู้ ที่จะรู้ว่าการเมืองกับธรรมะคืออย่างไร
แก่นแกนประชาธิปไตยโลกุตระอยู่ที่เมืองไทย
_ พิเชษฐ์ บุญวิรุณ · ผมคิดว่าแนวคิดประชาธิปไตยจากนักวิชาการโลกียะนั้น เขาไม่เชื่อว่าคนจะลดกิเลสได้จริง ดังนั้น จึงสร้างทฤษฎีการเมืองบนฐานของการแย่งชิงอำนาจและการถ่วงดุล พยายามกำหนดกรอบกติกาการแข่งขันทางการเมืองให้ยุติธรรมที่สุดเท่าที่เขาจะคิดได้ แต่สุดท้ายก็สู้ความฉลาดเฉโกของคนที่จะเล่นโกงไม่ได้ แต่ประชาธิปไตยโลกุตระที่พ่อครูเสนอนั้น มีเงื่อนไขสำคัญว่าคนที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ปฏิบัติการทางการเมืองต้องลดกิเลสได้ ต้องมีความเป็นอาริยะบุคคลเท่านั้นจึงจะเกิดเนื้อแท้ของประชาธิปไตยโลกุตระได้
กราบขอบพระคุณพ่อครูที่พยายามเสนอประชาธิปไตยโลกุตระให้แก่โลก แม้มันจะยังเล็กน้อยกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบขนาดกับประชาธิปไตยโลกียะในปัจจุบัน แต่ผมเชื่อว่าหากพวกเราที่ได้ยินได้ฟังธรรมจากพ่อครูแล้ว พยายามอย่างเต็มที่ที่จะพัฒนาตนเองให้เข้าสู่แก่นของโลกุตระ และรวมมวลของพวกเราให้แน่นและกว้างออกไปเรื่อย ๆ จนมีคุณภาพและปริมาณที่มากพอก็จะกระแทกหูกระแทกตาชาวโลกให้หันมาสนใจและเรียนรู้ตามได้ในที่สุดครับ
ถึงที่สุดแล้วจะเรียกชื่อระบอบว่าเป็นประชาธิปไตยหรืออะไรแล้วแต่ ถ้าเนื้อหามันเป็นโลกุตระเสียแล้วล่ะก็ ผมว่ามันก็ดีทั้งนั้นครับ – กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
พ่อครูว่า… อาริยะ เป็นคำของศาสนาพุทธ เขาใช้คำว่าอริยะกับอารยะ ซึ่งมันเป็นคำที่ผิดเพี้ยนไปแล้ว อริยะ ก็ไปทางพระป่า อารยะ ก็ไปทางพระเมือง อาตมาจึงใช้ อาริยะแทน
ประชาธิปไตยโลกุตระมันกระจ้อยร่อย มันเพิ่งเกิดเพิ่งมีในรูปของชาวอโศกเป็นหลัก แล้วในเมืองไทยก็เลยมีแกนนี้ไปเรื่อยๆ เพราะไม่ใช่แต่อาตมาผู้บริหาร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านก็มีบารมีของท่านเก็บมาสะสมมาของท่านแล้วก็มาปฏิบัติใหม่ด้วย หรือท่านจะฟังอาตมาบ้างหรือไม่ก็ไม่รู้ล่ะ แต่ก็ช่วยกันเติมเต็มไป อาตมาทำเต็มที่อยู่แล้ว ก็ทำให้เกิดโลกุตรธรรมในประเทศไทย อาตมาพูดตรงนี้ได้เลยว่า ไม่ใช่คำพยากรณ์แต่เป็นคำขอยืนยันว่าจะจริง ต่อไปประชาธิปไตยจะเป็นประชาธิปไตยโลกุตระอันเกิดจากแกนแก่นของคนไทยในประเทศไทย นี่เป็นเพียงต้องการ ในอินเดียไม่มีแล้ว เป็นศาสนาที่เป็นเทวนิยมไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นไม่มี จะมีที่ประเทศไทยเป็นหลัก เดี๋ยวนี้ก็จะค่อยๆเห็นได้เป็นรูปธรรม พอสมควร
อย่างประเทศจีนอาตมาเคยพูดพาดพิงไปพอสมควร ยิ่งประชาธิปไตยที่สหรัฐอเมริกาเอาไปปู้ยี่ปู้ยำหมดเลย เป็นประชาธิปไตยอำนาจบาตรใหญ่เลยเถิด ประชาธิปไตยของอเมริกา เป็นประชาธิปไตยอำนาจบาตรใหญ่เลยเถิดสุดโต่งไปเลย ใช้อำนาจอาวุธ ใช้อำนาจเงินทอง ใช้อำนาจแห่งอำนาจ เบ่งไป ซึ่งมันไม่ใช่ความยินยอมของประชาชนที่แท้จริงมันเป็นแทคติกวิธีการของสิ่งที่นอกรีต นอกทางที่เป็นสัจจะ เพราะฉะนั้นมันจึงไม่เกิด
แล้วพวกที่ไปศึกษารัฐศาสตร์การเมืองจากเทวนิยมตะวันตกซึ่งไม่ใช่ศาสนาพุทธ ความรู้การเมืองที่เป็นรัฐศาสตร์ประชาธิปไตยระบอบการบริหาร ล้มเหลวทั้งนั้นแหละ ต้องมาศึกษาในประเทศไทย ต้องมาศึกษาจากแกนแก่นของพระพุทธเจ้า ของศาสนาพุทธ ให้สัมมาทิฏฐิจริงๆ เราจะได้ช่วยกันทำให้สิ่งเป็นความจริงที่เกิดขึ้นให้แก่มนุษยชาติ เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่
ถูกต้องแล้วคุณพิเชษฐ์ ที่เห็นมา ชักมีผู้รู้มีผู้เข้าใจ มีผู้ที่ได้รายละเอียดของความจริงที่แยกโลกุตระกับโลกียะ กันไปมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อาตมามีกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วันนี้หนุ่มขึ้นอีกหลายกิโลขีด จริงนะ มันเป็น Co-efficient จริงๆ มันเป็นสัมประสิทธิ์ทำให้อาตมาหนุ่มขึ้นได้
_คนบ้านราช กราบนมัสการค่ะ พอครูที่เคารพอย่างสูงยิ่ง
ปีเก่าผ่านไปแล้ว สถานการณ์น้ำท่วมบ้านราช และ บทเรียนจากโรงเรียนโควิดก็ผ่านไปด้วย ขอกราบขอบพระคุณ ทุกท่านทุกคนที่ให้ความอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่ดิฉัน แก่ดิฉันและทุกคนที่ติดโควิด
ปีใหม่ เริ่มต้นด้วยงานตลาดอาริยะ ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เห็นพ่อครูมีความ ปีติยินดี ลูกๆก็พลอย ยินดี ด้วย
ในพระไตรปิฎก เล่มที่ 23 (สัปปุริสสูตร) ว่าด้วย คุณประโยชน์ของสัตบุรุษ 8 ประการ คือ
1.เกิดมาเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่ มารดา บิดา
2.เกิดมาเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่ บุตร ภรรยา
3.เกิดมาเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่ ทาส กรรมกร และคนใช้
4.เกิดมาเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่ มิตร
5.เกิดมาเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่ ญาติ
6.เกิดมาเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่ พระราชา
7.เกิดมาเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่ เทวดา (พ่อครูว่า เทวดาคือ จิตที่เจริญของตนเอง)
8.เกิดมาเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่ สมณพราหมณ์
พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบว่า การเกิดขึ้นของสัตบุรุษ เหมือนกับการตกลงมา ของเมฆฝนที่ทำให้ข้าวกล้าเจริญงอกงาม
มีประโยชน์แก่คนหมู่มาก นอกจากนั้น ใน สัปปุริสทานสูตร ได้กล่าวถึง ลักษณะ การให้ทาน ของสัตบุรุษ 8 ประการ คือ
1.ให้ของที่สะอาด
2.ให้ของประณีต
3.ให้ถูกกาล
4.ให้ของที่ควร
5.รู้จักเลือกให้ (ให้สิ่งที่ดี)
6.ให้สม่ำเสมอ
7.เมื่อให้ก็ทำใจให้ผ่องใส
8.ให้แล้วก็ดีใจ
ดิฉันได้อ่าน ทั้งสองพระสูตรนี้แล้ว ทำให้มั่นใจ ขึ้น ว่าพ่อครูคือ สัตบุรุษผู้นั้นอย่างแน่นอน เพราะทั้งหมดนั้นคือ ลักษณะของพ่อครู นั่นเอง
รางวัลที่พ่อครูจะได้รับ หาโช่รางวัลโนเบล หรือแมกไซไซ หรอกคะ แต่ คือ ความสุข สงบ ที่ปวงชนทั้งหลายได้รับจากทุก ๆ กิจกรรมที่พ่อครูพาทำ
กราบขอบพระคุณ พ่อครูเป็นอย่างสูงที่ได้นำพาลูกๆ ทุกคน สร้างอนุสาวรีย์แห่งคุณงามความดีต่างๆไว้ให้แก่โลก แก่สังคม เรื่อย มา
ด้วยความเคารพอย่างสูง “คนบ้านราช ”
พ่อครูว่า… มุทิตาจิตคือ เราทำเมตตาคือ ต้องการช่วยเหลือกัน กรุณาคือลงมือช่วย ช่วยสำเร็จก็เป็นจิตมุทิตา สำเร็จแล้วส่งผลทั้งผู้ให้และผู้รับ ดีแล้ว จิตก็ปล่อยวางไปเลย บริสุทธิ์ผุดผ่องไม่ติดยึดอะไรเลยก็จบ นี่คือพรหมวิหาร 4
การที่จะได้รับรางวัลทางโลกที่เขาให้ ชาตินี้อาตมาไม่เคยได้รับดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ ไม่เคยได้สักใบ มีแต่ด่า โดนว่าโดนหาว่าไปทำลายความรู้วิชาการอะไรของเขาพัง เขาก็ไม่มีใครยอมให้ เขาว่าอย่างนั้นนะ
แต่อาตมาก็ไม่ได้ไปท้อแท้ ไม่ได้ไปหวั่นไหวอะไร โดยไม่ใช่ว่าหน้าด้าน แต่เห็นอยู่ว่าเขาเข้าใจยังไม่ได้ ถ้าเขาเข้าใจได้แล้วนี่ ถ้าเขาเข้าใจได้มันก็จะเป็นจริง
อาตมาได้รับรางวัลจากประเทศเกาหลี มูลนิธิ แมนเฮ เป็นองค์กรศาสนาของท่าน แมนเฮ ที่เสียชีวิตไปแล้วก็ใช้เป็นทุนรอนรางวัล เหมือนกับรางวัลอื่น อันนี้ทางแมนเฮ ให้อาตมาในประเด็นที่ว่า เป็นผู้ที่สร้างสันติภาพให้แก่โลก ชี้ว่า อาตมาประกาศอธิบายสันติภาพ พาทำให้เกิดสันติภาพที่บริสุทธิ์จริง โดยแนวคิดของศาสนาพุทธ ที่เป็นโลกุตระบริสุทธิ์ กรรมการแมนเฮเขามองเห็น เขาก็เลย ให้ทั้งเงินรางวัลแล้วก็ใบประกาศมา ส่วนถ้วยรางวัลอีกอันเป็นวัดชิลซังซา ให้สัญลักษณ์ของเขาเป็นผะอบมาด้วย เป็นรางวัลสมทบ
แมนเฮ มีทั้งประกาศนียบัตรและรางวัลเป็นเงิน 100 ล้านวอน เป็นเงินไทย 2 ล้าน 6 แสนกว่าบาท
เป็นเรื่องที่อาตมาจะว่าภาคภูมิใจก็ภาคภูมิใจ นอกนั้นก็มีรางวัลเป็นโล่ จากท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ จากตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ องค์กรที่ท่านเป็นประธานก็ทำโล่อันนี้ มาให้อาตมา ซึ่งอาตมาไม่ได้สนใจเลย คนเขาเก็บมาเห็นก็เลยยืนยัน อันนี้เคยมีตั้งแต่ 2519 ที่ท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ ให้มา
พูดถึงอดีตตัวเองก็เหมือนคุยตัวเอง ก็ต้องขออภัย เขาเขียนอยู่ อาตมาก็เลยพูดต่อไป
ประชาธิปไตยที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตย 2 แบบ
เรื่องที่จะพูดคือเรื่องประชาธิปไตยพูดไปแล้วขอซ้ำอีก อย่าหาว่าอาตมาซ้ำซาก จู้จี้ วนเวียนอยู่แต่คำเก่าๆ
ประชาธิปไตยที่ยังไม่มีความเป็นประชาธิปไตย คือ
-
ประชาธิปไตยนายทุน เป็นธุรกิจโลกียะสามัญ
-
ประชาธิปไตยหาคะแนนเสียง แล้วเอามาอ้างเป็นอำนาจว่า ตนเป็นมวลประชาชน
นี่คือประชาธิปไตย ยังเก๊ๆอยู่ ยังไม่ใช่เนื้อแท้ของประชาธิปไตย
ส่วน ประชาธิปไตยจริงๆ นั้น คือ ประชาธิปไตย โลกุตระ ประชาธิปไตยที่เป็น อาริยะที่แท้จริง ประชาธิปไตยแท้จริงนี้คือ ประชาชนเอง ตัวมวลประชาชนเองจริงๆ ที่มีพลังรวม รวมความรู้ รวมความเห็นของประชาชนเอง กระแสของจิตที่ มันเห็นมันรู้มันเข้าใจ มันส่งมารวมกันเป็นเอกภาพและต่างอิสระของแต่ละคน แต่มีความเห็นจริงตรงกัน ร่วมกันเป็นมวลรวม ร่วมกัน
มันก็เป็นพลังงานหรือเป็นอำนาจเป็นอธิปไตย ด้วยความเป็นจริงจากมวลชน แก่ผู้ที่ควร เช่น ผู้ที่มีรัฏฐาธิปัตย์ อย่างประชาชนจริงๆก็คือตัวแทน เช่น นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ที่ใช้รัฏฐาธิปัตย์แทนประชาชน
ของประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบจะต้องมี 2 ขา คือมีกษัตริย์ด้วย กษัตริย์เป็นผู้ที่มีรัฏฐาธิปัตย์ส่วนหนึ่ง นายกรัฐมนตรี ตัวแทนประชาชนก็มีรัฏฐาธิปัตย์ส่วนหนึ่ง จึงเรียกว่าราชประชาสมาสัย ของกษัตริย์กับของประชาชนช่วยกัน อาศัยซึ่งกันและกัน
เพราะฉะนั้นสามัญชนทั่วไป ที่เป็นปุถุชนยังไม่ใช่อารยธรรมการเมืองอารยะยังไม่ได้ ก็คือแบบที่ 1 ที่ 2 ที่กล่าวไปแล้ว เป็นห่วง ไม่พ้นไปจากประชาธิปไตย อาศัย ทุน กับอาศัย อำนาจ ประชาชนที่มาอ้างจากตัวเลขของการเลือกตั้ง อาตมาเห็นการเมืองที่เขาทำกันเล่น มันจะเล่น คะแนนเสียง นักวิจัยวิจารณ์ เอาตัวเลข เข้าพิธีการจะเรียกคนมาเข้าพรรค ชนะด้วยคะแนนเสียง จะใช้วิธีการแทคติกต่างๆ สารพัด ละเอียดลออฝีมือด้วยกลเม็ดเชิงต่างๆนานา
ซึ่งไม่ใช่การทำงานเพื่อประชาชนและประชาชนเห็นผลงานหรือประชาชนก็ยอมให้รับรองให้ ว่าคนนี้ๆ หรือว่ามวลกลุ่มนี้ คณะนี้ พฤติกรรมอย่างนี้เขาทำงานประชาธิปไตย ที่แท้จริงเพื่อประชาชน เขาเป็นคนของประชาชน เขาไม่ได้มีอำนาจอะไรกับอำนาจของพรรค ด้วยซ้ำไป ไม่มีอำนาจในกลุ่มเผด็จการ เป็นตัวของเขาเอง
เช่น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ทำ ประพฤติมาตลอด 8 ปี ไม่ต้องไปเข้าพรรค เป็นนายกอิสรเสรี พรรคไหนประชาชนยกให้ก็ทำ มันจะมีวิธีการอะไรในกฎหมายก็ตาม หยั่งเลยจะได้เสียงของประชาชนที่แท้จริง เขาก็พยายามจะให้มี สส.สว. แต่ก็มี แทรกแซงทางโลกีย์มีนเยอะนะมันเลยไม่ค่อยบริสุทธิ์เท่าไหร่ แต่พฤติกรรมแท้ของผู้ทำ
อย่าง นายกประยุทธ์ ประมวลผลงานมา มีเยอะแยะมากมาย อาตมาเคยอ่าน มีคนประมวลมาถึง 60 กว่าประเด็น
สรุปอีกที ใครจะว่า อาตมาเข้าข้าง ต้องเข้าข้าง ผู้ที่ชัดเจนต้องเข้าข้าง อาตมาไม่เคยพบกันกับพลเอกประยุทธ์เลย ไม่เคยคุยกันสักคำ นายกทักษิณยังเคยคุยกัน รู้จักกัน โอภาปราศรัย แต่นายกประยุทธ์ไม่เคยปะหน้ากัน ทำงานก็ต่างคนต่างทำ แต่อาตมาก็บริสุทธิ์ใจ ไม่ได้แกล้งเชียร์เพื่อให้นายกประยุทธ์มาให้อะไร ไม่ต้องหรอก นายกประยุทธ์ทำงานเถอะ อาตมาพูดแล้วเห็นเป็นกำลังใจก็เอา ไม่ได้ไปยกเมฆอะไร คุณก็ตรวจสอบความจริง
สรุปจริงๆแล้ว ประชาธิปไตยไม่ใช่ประชาธิปไตยทุนนิยม ไม่ใช่ประชาธิปไตยรูปแบบวิธีการหาคะแนนเสียงเพื่อเลือกตั้ง วิธีการนี้มันแพร่หลายและก็มีอิทธิพลมาจาก สหรัฐอเมริกา เป็นประชาธิปไตยสะเปะสะปะ เป็นประชาธิปไตยที่คนจะเป็นประธานาธิบดียิ่งใหญ่ในประเทศ ใหญ่หมดเลย รวบทั้งอำนาจกษัตริย์ รวบทั้งอำนาจนายกมาเป็นประธานาธิบดี รวบเลยเป็นหนึ่งเลย มีพฤติการณ์อย่างที่เขาทำเขาพลิกแพลงวิธีการเหลวไหลเลวร้าย เพราะไปตัดความเป็นมนุษยชาติไปตัดความเป็นวิญญาณไปตัดความเป็นประชาชนอย่าง แท้จริงออกไป ไปอยู่กับวิธีการไปอยู่กับทุน ไปอยู่กับเงินทองกับอำนาจอาวุธ พวกนี้มันไม่จริงมันเป็นอำนาจบาตรใหญ่สะเปะสะปะ
คนจะมาเป็นประธานาธิบดีเป็นใครก็ได้ไม่มีการสืบสันตติวงศ์ สะเปะสะปะ สร้างอำนาจอันนี้ได้และประชาชนหลงลม เลือกเข้ามาก็เป็นประชาธิปไตยสะเปะสะปะ
คนที่เรียนรัฐศาสตร์หรือเรียนประชาธิปไตยมาจากประเทศนอก โดยเฉพาะอเมริกาหรือทางตะวันตกก็แล้วแต่ ยังสู้ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้าไม่ได้ มาเรียนในตะวันออกของพระพุทธเจ้าให้ดีๆสัมมาทิฏฐิเถอะ ธรรมะอธิบายก็แน่ใจว่าเป็นสมาธิ
เพราะฉะนั้นมันไม่เกิดจากประชาธิปไตยที่มีจิตวิญญาณบริสุทธิ์แท้จริง เป็นจิตวิญญาณทำให้ไม่มีตัวตน จิตวิญญาณที่สะอาด ที่เห็นแก่ประชาชนทำงานเพื่อประชาชน ซื่อสัตย์ แล้วทำงานมีสมรรถนะมีความรู้ความสามารถที่จะบริหาร ทำให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขจริงๆ ขยันหมั่นเพียรทำ
นี่คือผู้ปฏิบัติการเมืองกับประชาชนอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นพลังจิตแท้ๆพลังแห่งความรู้ความจริงใจของมวลประชาชน ที่รู้ รู้ยิ่งเห็นจริง ทั้งการบริหารของบุคคลผู้บริหารนั้น และผลงานที่เกิดแก่ประชาชน ว่าเป็นอยู่สุขสบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูลเพิ่มพูนสุขด้วยการเสียสละ อย่างนี้แหละที่เราพูดไปอธิบายกันไป
ซึ่งมีปรากฏการณ์ที่ของทางผู้บริหารสามารถจริง ทั้งมวลประชาชนก็เป็นอยู่สุขสบายอุดมสมบูรณ์เพียงพอจริงๆ และทั้งมีกลวิธี ที่เรียกว่ากลปรานี ไม่ใช่กลวิธีที่เป็น tactics สะเปะสะปะ แทคติกที่สร้างกันมาใช้สร้างอำนาจ ไม่ใช่ ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ในเชิงหลอกลวงวิธีหมกเม็ด ครอบงำหลอกล่อ แต่นี่เป็นสิ่งที่จริงใจ เป็นกลลปรานี ประชาชน ที่เหมาะสมดีเยี่ยม กว่าสังคมประชาธิปไตยกลุ่มใดหรือแม้แต่คอมมิวนิสต์
ลักษณะประชาธิปไตยที่เป็นโลกุตระนั้น จะมีผลสูงสุด คือ จะเกิด สาราณียธรรม 6 ผลสูงสุดของ ประชาธิปไตย จะเกิด สาราณียธรรม 6 มีกลุ่มหมู่ที่มี สาราณียธรรม 6
สาราณียธรรม 6 จะมีลักษณะอยู่กันอย่างมี เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม และจะมี ลภาที่ได้โดยธรรม ลาภธัมมิกา เป็นสิ่งที่เกิดผลได้จากการสร้างสรรโดยสุจริต ก็เอามารวมเป็นสาธารณะ มาเป็นหนึ่ง บริโภคร่วมกันเรียกว่าสาธารณโภคี แล้วทุกคนในสังคมกลุ่มนี้ปฏิบัติกันมี ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา คือมีการปฏิบัติเสมอสมานกัน มีศีลเสมอสมานกัน โสดาบันเสมอโสดาบัน สกิทาฯเสมอสกิทาฯ อนาคาฯเสมออนาคาฯ อรหันต์เสมออรหันต์
ไม่ว่าจะเป็นทิฏฐิหรือศีลก็เสมอเหมือนกัน รู้ลำดับมีคุณวุฒิคุณธรรมพุทธพจน์ 7 ในสาราณียธรรม 6 จะมีจิต พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ
สาราณียะ คือระลึกถึงกันด้วยความหวังดีไม่ใช่ระลึกกันด้วยการแก้แค้น
มีความรักกันปิยกรณะ มีความเคารพกันคุรุกรณะ มีสังคหะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่ทะเลาะวิวาท พร้อมเพรียงสามัคคี มีความเป็นปึกแผ่น เอกีภาวะ
นี่คือคุณสมบัติ คุณธรรม คุณวิเศษ ที่เกิดจริงเป็นจริงตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า ยืนยันเลย อาตมาอบอุ่นใจที่ยังมีพระไตรปิฎกของพระพุทธเจ้าอ้างอิง
บางทีอาตมาอธิบายแยกกับผู้ที่เบี้ยวบาลีมิจฉาทิฏฐิ จนกระทั่งเขาจะเอาอาตมาตายแต่อาตมาไม่ตายเพราะอาตมามี ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง ธรรมรักษาอาตมาอยู่ก็เลยเป็นไปได้
เพราะฉะนั้นจิตใจของผู้ที่มีสาราณียธรรมจะแข็งแรง จิตใจแข็งแรงตั้งมั่น จิตใจอย่างนี้เรียกว่าเป็นจิตใจที่มีสมาธิ ที่มีพุทธพจน์ 7 สะสมตกผลึกตั้งมั่นลงไปเป็น สมาหิโต
มีภาวะของ วรรณะ 9 ซ้อนอยู่ในนี้ รวมแล้วเป็นรูปธรรมของวรรณะ 9 อธิบายซับซ้อนขยายความวนไปวนมาแล้วขยายความ
วรรณะ 9 มี เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
เป็นคนเลี้ยงง่ายเป็นคนไม่มากเรื่องอยู่ง่ายกินง่ายไปง่าย อยู่กันไม่ลำบาก
บำรุงง่าย สุโปสะ หมายความว่าทำให้เจริญพัฒนาพากันสอนแนะนำกันได้ง่าย เจริญเร็ว ไม่ได้ดื้อด้านดึงดัน ไม่ได้ว่ายากสอนยาก แต่เป็นคนว่านอนสอนง่าย
อัปปิจฉะ ชอบมีน้อยๆหรือกล้าจน มีกันไม่ต้องมาก ไม่ต้องสะสมอะไรกันมากมายมีแต่พออาศัย มีใจพอ
สันโดษ เขาไปแปลว่า ยินดีในสิ่งที่ตนมีอยู่ ก็ไปถามคนร่ำรวยอย่างคุณธนินท์ หรือคุณเจริญ เขาก็เพิ่งพอใจของสิ่งที่ตนมีอยู่ จะไปถามบิลเกตส์ก็ได้ หรือไปถามเศรษฐีในโลก เขาก็ยินดีทุกคนนะ แต่ไม่ใช่ เป็นการแปลอย่างเบี้ยวบาลี
สันโดษมันแปลว่าใจพอ พอเท่าที่มี น้อยเท่าไหร่ก็พอ มันมีสัมพันธ์ มีพันธกิจร่วมกับ อัปปิจฉะ น้อยที่สุดก็เป็น 0 โดยไม่เป็นหนี้ เพราะฉะนั้น 0 ก็พอ
อยู่ในสาธารณโภคี คนไม่มีสมบัติเลยเป็น 0 อยู่กันอย่างสบาย เกื้อกูล พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตาย กันได้จริงๆ นี่คือตัวยืนยันสัจจะของพระพุทธเจ้า วรรณะจนถึง สัลเลขะ ใครยังมีกิเลสก็ขัดเกลาออก ตามหลักธรรมที่สูงขึ้นเจริญขึ้นได้ เคร่งขึ้นได้ คนที่ทำศีลเคร่งได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบากคือคนที่เจริญ ธูตะ เจริญขึ้นเรื่อยๆ มีอาการที่เจริญขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่า ปาสาทิกะ อาการกายวาจาใจ คล่องแคล่ว มุทุภูตธาตุ ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4
มีความไม่สะสมและยอดขยันอีก 2 ข้อสุดท้าย เป็นความสุดยอดถึงสวนกระแสของโลกียะทุนนิยมโลกส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด มันเจริญแบบโลกียะทั้งนั้น มันเป็นเทวนิยมอยู่ที่แสวงหาอะไร สุข แสวงหาความสุข หลงความสุข ติดความสุขทั้งนั้นเลย ยังไม่รู้จักสุขทุกข์ ว่ามันเป็นตัวมายา ความสุขมันเป็นตัวมายาตัวเบ้งเลยไม่รู้ ยังแสวงหาความสุขติดความสุข ชนิดยังไม่มีปฏิภาณปัญญาที่จะลดละ อัตตาหรือกิเลสที่มันไปติดสุข ไปหลงสุข แม้แต่ กามารมณ์ ที่เป็นกิเลสหยาบข้างนอกเลย ยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจว่าจะต้องละเป็นเบื้องต้น แห่งพรหมจรรย์ กาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรือแม้แต่เมถุนธรรมแม้เรื่องเพศ มีความสำเร็จความใคร่ทางด้านกามารมณ์ยังไม่รู้จัก ยังไม่ได้เคยลดละ ว่า อ๋อ.. นี่มันเป็นเบื้องต้นของคนที่จะเจริญหรือ ลดละ อันนี้เขาก็ยังไม่รู้
แม้ บางศาสนาไม่รู้เรื่องว่าอันนี้คือกิเลสตัวตนที่ต้องลดนะ ไม่ ยังบำเรอกันอยู่เลย แม้แต่ศาสดาก็ยังมี อะไรต่ออะไรต่างๆนานายังเยอะอยู่
แบบมีกษัตริย์กับไม่มีกษัตริย์ ประชาธิปไตยแบบไหนดีกว่า
ประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบต้องมีองค์สอง คือ ประเด็นนี้สำคัญเลย
-
กษัตริย์ที่มีรัฏฐาธิปัตย์ของความเป็นราชา
-
มวล ประชาชน ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นต้นเป็นตัวแทนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ในความเป็นราษฎร