651231 พ่อครูเทศนาธรรมส่งท้ายปีเก่า 2565 งานตลาดอาริยะครั้งที่ 41
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1GKLhP1nj7Bd3ZvHXwFszf_pVpYE_q92OexwaWRHMYQA/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1MLijR10Q57O9t0vY2xUrXA2bs1miUABW/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/0ajvc9uGzgA
และ https://fb.watch/hLVZeexktA/
ความสงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล แบบพุทธ
พ่อครูว่า… เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันท้ายปีเก่าของ พ.ศ. 2565 แล้ว วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 2 ปีขาล
ชีวิตกำลังจะเลื่อนไปถึงพรุ่งนี้ เป็นปีใหม่ มันก็เลื่อนไปตามกาล มันก็เป็นความต่างของกาล วันนี้ก็คือวันนี้ พรุ่งนี้ก็คืออีกคนหนึ่งก็ต่างกันไป ก็เลื่อนกันไปต่างกันไป
มันจะมีความต่าง ในอะไรทั้งนั้นทั้งนั้นเลย ที่เกิดจากภาวะ 2 อย่าง มันต่างกัน ตั้งแต่ปรมาณู เล็กๆที่สุด อันนั้นทางวัตถุเขาศึกษากัน
ปรมาณูทางจิตก็มี ปรมาณูทางจิตคือจิตที่ละเอียด พระพุทธเจ้าตรัสรู้แยกจิตเป็นเจตสิกต่างๆ คือแยกจิตให้เป็นหน่วยเล็กๆละเอียดต่างๆ ตั้งแต่แยกเป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นเจตนา เป็นผัสสะ เป็นมนสิการ แยกเป็นนามทั้ง 5
ทีนี้นามทั้ง 5 มันจะทำงาน เพื่อสัมผัสรับรู้กับรูป รูปคือสิ่งที่ถูกรู้โดยจิตโดยนามเข้าไปสัมผัส
ถ้าไม่ได้สัมผัส รูป ที่เป็นข้างนอก แล้วก็รู้ทั้งข้างนอกและข้างในเรียกว่า กาย ความรู้ที่รู้ทางข้างนอกภายนอก ในขณะที่จิตทำงาน เขารู้ทั้งภายนอกและรู้ทั้งภายใน 2 อย่างพร้อมกันเรียกว่า “กาย”
“กาย” ไม่ได้หมายความว่ามีแต่สรีระข้างนอกไม่มีจิตร่วมด้วยเลย กาย คือ สรีระคือร่างกาย เป็นดินน้ำไฟลมเป็นมหาภูตรูปเฉยๆ ไม่ใช่
รูป ต้องมี 28 ที่ นาม 5 สามารถรับรู้ได้
ถ้า กาย มีแต่มหาภูตรูป 4 รูปอีก 24 ไม่มีด้วย ไม่มีเลย ก็คือ คนประสาทไม่ทำงาน ประสาทกระทบกับรูป เช่น ตากระทบกับรูป ก็ไม่รู้เรื่องไม่ทำงาน ไม่มีภาวะ 2
ภาวะ 2 จะเกิดได้ ในความเป็นสัตว์ ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานไปจนกระทั่งถึงสัตว์ที่มีตา หรือสัตว์ไม่มีตาก็รู้ได้ด้วยสัมผัส ยิ่ง คน เราก็ศึกษาจากคนมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกายภายนอกสัมผัส กับ สิ่งอีกสิ่งหนึ่งเป็นสอง มันก็จะเกิดธาตุรู้ขึ้นมา เรียกว่า นามรูป เพราะมันมีนามคือจิตวิญญาณเป็นตัวรู้ เป็นตัวกำหนดก็รู้เป็นประธานที่จะรู้เมื่อไปสัมผัส โดยเฉพาะกับภายนอก มันก็จะรู้ขึ้นมา ครบความรู้ของความเป็นสัตว์โลก
เพราะฉะนั้นพวกที่ไปนั่งหลับตาทำสมาธิ เป็นคนพิการ คนไม่ครบภายนอก ศึกษาไปแล้วก็หลงสะกดจิตไป ครูบาอาจารย์ที่เป็นเดียรถีย์สอนออกนอกพุทธซึ่งเป็นบาปไปแล้ว เป็นพวกที่แสวงบุญ นอกขอบเขตพุทธ
คำว่า แสวงบุญ หมายความว่าแสวงไปให้เกิด ทำภาวะของบุญเกิดขึ้นได้
บุญ คือ การชำระกิเลสให้จิตใจสะอาด จากสันดานทั้งหมดเลย สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ บาลี แปลคำว่า ปุญญะหรือบุญ คือ ในสันดานของคน มันมีกิเลส เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถทำให้จิตของเราเกิดบุญได้ก็คือ จิตได้เกิดการชำระกิเลสออกจากจิตออกจากสันดานหมดเกลี้ยง สันดานสะอาด สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ
เพราะฉะนั้น สันดานของปุถุชนคนที่ยังไม่ได้ศึกษาทุกคนไม่ว่าศาสนาไหน ถ้าไม่ได้เรียนรู้จิตเจตสิกที่มีกิเลส ล้างกิเลสออกจนกระทั่งหมดจากสันดานแล้ว ไม่ว่าศาสนาไหนศาสนาเทวนิยม ยังไม่มีคนสักคน ไปเรียกนักบุญอะไรต่างๆ นักบุญเทเรซาเช่นนี้ เป็นต้น
เอาคำว่าบุญของพระพุทธเจ้าไปใช้ผิด ไม่ได้เคยเรียนรู้กิเลส ไม่ได้เคยสัมผัสกิเลสเป็นอะไรเลย แม้แต่ชาวพุทธ ทุกวันนี้ก็เรียกคำว่าบุญ พูดกันไปเลอะเทอะ ไปหมายถึงกุศลไปหมายถึงคุณงามความดี ที่เป็นโลกียธรรม
บุญนั้นมันเป็นโลกุตรธรรม มีในศาสนาพุทธศาสนาอื่นไม่มีหรอก อันนี้เป็นความรู้ที่มันเสื่อม ความรู้ที่คนเสื่อมไปจากความรู้ของพระพุทธเจ้านี้ไป ทุกวันนี้มันเสื่อม นี่แหละคือความเสื่อมของศาสนาพุทธ
เพราะฉะนั้นที่พูดกันอยู่ในวงการของศาสนาที่บอกว่าทำบุญ ทำบุญ ทำบุญ อาตมาว่า 100 ทั้ง 150 ผิดหมด ไม่ใช่ 100 ทั้ง 100 นะ 100 ทั้ง 150
ที่ว่า 100 ทั้ง 150 ก็คือว่าในร้อยคนที่เข้าใจผิดนั้น ไปทำความออกนอกรีตที่บานปลายออกไปอีกเกินกว่าที่เคยผิดมา ฉลาด โง่ ฉลาดที่เป็นความผิดฉลาดโง่ ฉลาดที่เป็นความผิด มากเกินกว่าอาจารย์เก่าอีก ปรุงแต่งวิธีการบอกว่าเป็นการแสวงบุญมาทำบุญ ขี้หมาอะไรก็ไม่รู้
เช่น ปิดทองลูกนิมิต เป็นต้น อาตมาได้ทองมาจาก ยิหวา เขาเอาทองมาให้อาตมาก็พูดเล่นไปว่า ลูกนิมิตทองสีเหลืองเอาไปปิดทอง เขาก็เอามาให้ อาตมาก็เลยเห็นว่ามีทอง ก็พูดเล่นๆ ก็เลยเกิด พูดกันว่าจะปิดทองกัน
อาตมาปิดทองขึ้นมารับรองเป็นเรื่องเลยนะ ติ๊กต๊อกมันเอาไปลงได้เลยนะ เป็นเรื่องเลย ด่าเขา แล้วตัวเองก็ปิดทองอะไรอย่างนี้
อาตมาไม่ได้ไปปิดทอง ก็เลยคิดว่า ตายๆๆ เกิดไปเล่นๆติ๊กต๊อกกันไปคงจะเป็นเรื่องอะไรก่อน ก็บอกโอ้ โพธิรักษ์ก็ปิดทอง ยุ่งเละ เสียหายหมด
เพราะฉะนั้นก็บางทีพูดเลยปลายกันสนุกๆ ก็ไปยึดถือว่าเป็นเรื่องจริง มันก็ บางทีก็พาเสียเหมือนกัน
วันนี้ดูอบอุ่นนะ ถ้าทุกวัน บ้านราชนี้..โยมหัวเราะ ทำไมหัวเราะกันยังไม่ได้พูดอะไรเลย พูดแค่ว่าถ้าทุกวันบ้านราช ยังไม่ได้พูดอะไรต่อนะ พวกนี้หยั่งรู้ใจอาตมา
_สู่แดนธรรม… มันเป็นความรื่นเริงในธรรมครับ
พ่อครูว่า… รู้เลยว่าอาตมาคิดอะไรจะพูดอะไรต่อหัวเราะเลย ว่า พ่อท่านฝันเพ้อไป มันเป็นไปไม่ได้หรอก ก็เลยหัวเราะเยาะอาตมา มันเป็นไปไม่ได้หรอก
นี่มานั่งกันอยู่ตรงนี้อบอุ่นจริงๆ อากาศหนาวไม่หนาวเลย อุ่น อบอุ่น
คำว่า อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล ที่อาตมานำพยัญชนะ นำภาษา มานำสภาวะต่างๆอธิบายไป ปฏิบัติธรรมไปแล้ว จะทำให้เราเป็นคนที่มีอิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส มีใจเกื้อกูล
คำว่า มีใจเกื้อกูล เป็นตัวท้ายสำคัญนะ
ของพุทธะ จิตปราศจากกิเลสเรียกว่า จิตสงบ จิตสงบของพุทธไม่ได้หมายความว่า ทำให้จิตนี้มันนิ่ง อยู่นิ่งๆ ทำให้จิตมันหยุดคิด หยุดทำงาน หนักเข้าไปอีก อสัญญีสัตว์ ไม่กำหนดหมายอะไรเลย นิ่ง เขาเรียกเหมือนพรหมลูกฟัก เหมือนลูกฟักกลิ้งโคโล่อยู่เฉยๆ อันนั้นคือเดียรถีย์ คือทางผิด
ความสงบของพระพุทธเจ้าเป็นปัญญาข้อที่ 3 มีความสงบ 2 อย่าง อย่างหนึ่งคืออย่างของพุทธ อย่างหนึ่งคืออย่างของเดียรถีย์ที่พูดกันเมื่อกี้นี้ ที่เขาทำกัน นั่นแหละพระป่าที่ทำกันอยู่เป็นเดียรถีย์ทั้งนั้น ผิดหมด
ความสงบของพุทธนั้น จิตสงบจากกิเลส กิเลสไม่มีในจิต ไม่มีในจิตเท่าไหร่จิตยิ่งตื่นยิ่งมีสติสัมปชัญญะ ปัญญายิ่งตื่น ยิ่ง ชาคริยานุโยคะ รู้แจ้งตื่นไม่ได้ปิดตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่ได้ปิด
คนสงบไม่ได้ปิด คนสงบของพุทธไม่ได้ปิดไม่ได้หลับตา หลับตาปฏิบัติธรรมนั้นพระพุทธเจ้าท่านตรัสกับอุตรมานพ ว่า เป็นการสอนให้ทำให้ตาบอด ทำให้หูหนวก โอ้โหแสบนะ เจ็บ คนที่สอนให้ทำอย่างไร ตาก็อย่าได้เห็นรูป หูก็อย่าได้ยินเสียง ก็คือการสอนให้คนทำตาบอดหูหนวกเลย อุตรมานพ ได้ยินพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้น คอตกซบเซา คือเรียกว่า หมดปฏิภาณ รู้เลย ตายๆๆ เรานี่ ถูกพระพุทธเจ้า พูดซะง่ายๆ ว่าเป็นทางผิดแน่เลย ไปสอนให้คนหูหนวกตาบอดได้อย่างไร
อาตมาพูดมากในเรื่องที่ไปนั่งหลับตาสมาธิ เพราะมันเสื่อมมากจริงๆศาสนาพุทธ ได้การนั่งหลับตา สมาธิเกิดจากนั่งหลับตาไม่ได้ สมาธิของพุทธ
สมาธิของพุทธที่เป็นสัมมาสมาธิท่านเรียกด้วยภาษาบาลีว่า สมาหิตะ
สมาหิตะ ซึ่ง คือ จิตที่ตกผลึก จากการเรียนรู้ เจโตปริยญาณ 16 คือจิตนี่ เรียนรู้ตั้งแต่จิต มันเกิดกามคุณ 5 กามราคะ
กามราคะ มี 5 คือ เกิดทางตากระทบรูป หูกระทบเสียง กามคุณมี 5 แล้วเรียนรู้ ทำอย่างไรให้ กาม มันลดลง มันไม่มี มันหมด เรียกว่า วีตราคะ
สราคะ คือการเกี่ยวข้องอยู่กับ ราคะ กาม เป็นกามาวจร เป็นการอวจร อยู่ในทางตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่ใช่เป็นหลับตาไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย และจิตก็ไปเป็นสัมภเวสีอยู่ในภพ ไม่ใช่ อย่างนั้นไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย หรือวิธีการปฏิบัติ
และ ถ้าไปหลับตาปฏิบัตินั้น ลดกิเลสกามไม่ได้ นอกจากลดกิเลสกามไม่ได้แล้ว ก็จะไม่เข้าใจต่อไปอีกว่าเมื่อลดกิเลส กามได้แล้ว ก็ไม่ได้หลับตา
กิเลสที่เป็นรูปราคะ อรูปราคะต่อไปอีก ก็ลืมตาเห็นรูป หูได้ยินเสียงจมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรส อยู่อย่างนั้นแหละ แต่จิตเป็นโลกุตระที่อยู่เหนือกิเลส ก็เหลือแต่กิเลสภายใน ภวตัณหา ในรูปภพ ก็เป็น รูปราคะ ก็ลดอีก อยู่กับการสัมผัสภายนอกนั่นแหละ กิเลสมันแค่รูปราคะ อยู่ภายในมันไม่ได้แสดงออกเลยภายนอก เป็นอนาคามีภูมิ เป็นต้น ไม่แสดงออกภายนอก ละอายอย่างแรงกล้า จนไม่กล้าแสดงออก
รู้เลย ว่า มันน่าเกลียด การแสดงออกทางกามมันน่าเกลียด มันเป็นกิเลส คนแสดงกิเลสออกมาน่าเกลียดทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติทุกวันนี้ อาตมาจึงเมื่อย ทำงานมา 50 กว่าปีแล้ว ยาก มันช่างยากเย็นพวกเราก็ได้มาขนาดนี้ แต่มันยาก ได้มาขนาดนี้ก็ภาคภูมิใจพอสมควรแล้ว ช่วยกอบกู้ทำการ รื้อขนสัตว์ ออกมาได้ขนาดนี้ นอกนั้นขนไม่ได้ รื้อไม่ได้เขาไม่ยอมให้รื้อ ไม่ยอมให้ขน เขาไม่ยอมรับเลย ไอ้เราก็ไม่ใช่คนที่จะไปเที่ยวกวนคนอื่น บังคับคนอื่นหรือไปหว่านล้อม อาตมาก็ไม่หว่านล้อมด้วย แสดงธรรมไป คัดเลือกเอา ผู้ใดที่ฟังแล้วเป็นธรรมวาทีก็มาเอา ผู้ใดไม่เห็นเป็นธรรมวาทีเขาก็ไม่เอา
เพราะฉะนั้นอาตมาคล้ายๆกับมาตามหาผู้ที่มีบารมีเท่านั้น ที่มาทำงาน ชาตินี้ปางนี้ ไม่ได้ไปพยายาม ไปหาบริวารเลย ไม่ ให้ผู้ที่รู้สึกว่า ได้ยินได้ฟังได้รับสัมผัสก็รู้แล้วมีปฏิภาณด้วยว่าอย่างนี้ใช่ อย่างนี้สนใจอย่างนี้น่าฟังแล้วก็มาฟัง
กระทั่งได้มรรคได้ผลไป ฉะนั้นอาตมาจึงยืนยันได้ว่าชาวอโศกนี้คือของจริง อาตมาจึงยืนยันตัวเองได้ คนอื่นเขาไม่รับรองไม่เป็นไร แต่อาตมารู้เองก็รับรองเองว่า พวกคุณนี้คือของจริง
ถ้าคุณไม่ใช่ของจริง คุณฟังธรรมะของอาตมาไม่ได้รส ไม่ได้ชาติหรอก คุณฟังไม่ทนขนาดนี้หรอก อาตมาทุกวันนี้อธิบายธรรมะลึกซึ้ง สูงละเอียดไปเยอะ เขาจะทนฟังไม่ได้หรอกพูดอะไรก็ไม่รู้ ขนาดไม่รู้เรื่องคุณก็ฟัง ไม่รู้เท่าไหร่ แต่คุณก็รู้บ้าง ใช่ไหม …ใช่ รู้บ้าง ไม่ใช่ว่าไม่รู้เสียเลย ฟังแล้ว โอ๊.. เหมือนเด็กๆ พ่อท่านพูดอะไรก็ไม่รู้ ใช่ไหม เด็กๆไม่เดียงสา
อาตมา อธิบายธรรมะแล้วพวกเราก็ฟังธรรมะได้ความ จนกระทั่งสามารถนำมาจัดงาน พากันมา ขาดทุน พากันมาขาดทุนจริงๆ แล้วพวกเรารู้นะ ด้วยความรู้เรียกว่าปัญญาา ว่า การมาขาดทุนนี่ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่ใช่เรื่องงทราม ไม่ใช่เรื่องเสื่อม เรื่องเจริญเป็นเรื่องประเสริฐ มาขาดทุนนี่
ชีวิตคนที่ขาดทุนให้ผู้อื่นได้นี่เป็นชีวิตที่ประเสริฐ ยิ่งมีปัญญา ปฏิภาณรู้ด้วยว่าเราเจตนาขาดทุน เป็น กรรม เจตนาถึงจะเป็นกรรม มีความรู้ขั้นเจตนาว่า เรามาเจตนาขาดทุนเป็นกรรมอันประเสริฐแล้ว
ถ้าเจตนาจะไปเอาเปรียบ จะไปเอากำไร ฟังให้ดีนะ หลายคนยังมีนะ ระวัง! นั่นล่ะ
เวราณุเวร ก็เวรผูกพันเป็นหนี้เป็นสินอยู่ ถ้าเราให้ผู้อื่นเป็นการหมดหนี้หมดสิน ถ้าเรามีเจตนาเอาของคนอื่นได้มา คุณก็เป็นหนี้แล้ว ฟังยากไหม…ไม่ยาก แล้วเคยทำมาไหม ..เคย.
เห็นไหมคุณรู้แล้วเดี๋ยวนี้ รู้แล้วแต่บางทีก็ยังเผลอๆ มันยังไม่เต็ม เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจด้วยว่าอาตมาทำมา 50 ปีนี้ พวกเราจะชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆ โอ๊.. มาเสียสละ ก็ยินดีเต็มใจ นอกจากว่าเราจำเป็นได้เท่านี้ก็เอาเท่านี้ แหม ปีนี้ไม่ได้ ไม่ได้มาช่วยร่วมอะไรเลย เราก็รัดตัว ไม่ค่อยพอใช้อยู่ อะไรก็แล้วแต่ หรือบางทีพออยู่แต่อาจจะขี้เหนียวก็แล้วแต่ ก็เป็นเรื่องจริง
ธรรมะมาสอนให้คนมาจน ให้คนมาเสียสละ ให้คนมาขาดทุน มันเป็นธรรมะทวนกระแสโลกีย์ กระแสหลัก เถรสมาคม สอนไหม…ไม่สอน เขาพูดอยู่นะ เขาบอกว่า ให้มาทำทาน แต่เขาสอนคำว่าทานของเขานั้นผิด
ทานแล้วจะได้บุญ บุญคือการชำระกิเลสแต่เขาไม่ได้ชำระ ทานแล้วก็ เอา ประนมมือ อิมินา สักกาเรนะฯ อะไรของเขา เป็นคำแต่งใหม่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าเลย เอาบาลีมาแต่งแล้วก็หลอกกันไป ว่าได้
คุณทาน คุณต้องเสีย ไม่ใช่คุณได้ ก็ทาน ให้เขาไปแล้วเราก็ต้องเสีย วัตถุก็ให้เขาไปกิริยา กายกรรม วจีกรรม ก็ให้เขาไป ใจก็ต้องให้
แต่ มือคุณให้ วาจาคุณให้ แต่ใจคุณ ข้าต้องได้คืนมากกว่านี้ ภาษาไทย เขาเรียกว่าตอแหล ตลบตะแลง ไม่จริงใจ
คำว่าไม่จริงใจนี่สำนวนไทยนะ ไม่จริงใจ เขาไม่รู้ใจตัวเองแล้วก็เรียนมาผิดก็เลยทำใจในใจคือมนสิการ การทำใจในใจของเขา ไม่ถูกต้อง มันผิดกับที่เขาเจตนาว่าเขาจะได้บุญ เขาไม่ได้ แต่เขาให้วัตถุไป เขาได้กุศลนะ เขาได้ให้วัตถุแก่ผู้อื่นเป็นกุศล เป็นวิบากทางกุศลเขาได้
แต่วิบากทางโลกุตระขั้นบุญไม่ได้ เขาไม่ได้บุญเลย ทำทานเป็นล้านๆไม่ได้บุญเลย ตะกละ แม้มันไม่เป็นรูปธรรม มันก็เป็นนามธรรมที่เขาตะกละ เขาตะกละว่าเขาจะต้องได้เพิ่มเติมขึ้นอีกเมื่อใดก็แล้วแต่ต้องมากกว่าเก่า มันเป็นความโลภ ไม่ได้เป็นความเสียสละจริงๆเลย
นี่คือความซับซ้อนที่ละเอียดลึกซึ้งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่อง ล้างอาสวะ จิตที่เป็นอาสวะ จิตที่มันเป็นกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด ไปถึงขั้นอาสวะ ละเอียด ขั้น กาม ภวตัณหา วิภวตัณหา
วิภวตัณหา หมายถึง ตัณหาที่ไม่มีภพแล้ว ภวตัณหามี รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ วิจิกิจฉา นี่คือยังไม่หมดเชื้อของอาสวะ ถึงวิจิกิจฉานะ ไม่หมดเชื้อของนิวรณ์ 5 ต้องมีวิชชาจริงๆ รู้จักจิตเจตสิกอย่างละเอียดจริงๆ
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าสอนเรื่องธรรมะ จะต้องรู้กายในกาย รู้เวทนาในเวทนา รู้จิตในจิต รู้ธรรมในธรรม นี่เป็นตัวปฏิบัติของศาสนาพุทธเลย
กาย ต้องมีข้างนอก ตาหูจมูกลิ้น “กาย”
ตาหูจมูกก็คือกายด้วยกันหมด ต้องมีข้างนอก หลับตาเสียไม่มีตาหูจมูกลิ้น ลิ้น แม้ อยู่ข้างในปากอมไว้มันก็ต้องแตะรสมันถึงจะเป็น กาย ต้องมีสัมผัสถึงจะเรียกว่า กาย ถ้าลิ้นมันไม่ได้สัมผัสมันก็ไม่ได้เป็น กาย ปากหุบ ไม่ให้ลิ้นสัมผัสก็ไม่มีการสัมผัส ปิดตาปิดหูปิดจมูกอีกไม่นานตาย ก็ปิดหมด เป็นพวกปิดทวารพระปิดทวาร เขาทำรูปพระปิดทวาร มันผิด
อันนี้ ที่อาตมาพูดนี้ คุณฟังรู้เรื่องฟังง่ายๆ แต่มันเป็นเรื่องลึกซึ้งที่ผิดกัน ย้ำอีก ตีหัวตะปู ทั้งหมดลงไปถึงไหน ไปนั่งหลับตาออกปากปิดทวารทั้ง 5 ทำตาบอดหูหนวกนี้ มันนอกรีตเลิกได้เลยทั้งหมด แต่เขาฟังอาตมาที่ไหน อาตมาพูดนี่
นี่ วันฤกษ์งามยามดีแท้ๆเทศน์วันนี้ดีนะ เทศน์ละเอียด เทศน์ชัดเจน เทศน์ง่ายๆ แต่ลึกซึ้ง ขอยืนยัน เขาฟังที่ไหน เขาก็ไปสวดมนต์ เดี๋ยวจะสวดมนต์ข้ามคืนวันนี้
สวดมนต์ข้ามปี ก็คือการทำลายศาสนาพุทธข้ามปี
พูดถึงสวดมนต์ก็ขอบอกอีกเลยว่า ศาสนาที่สวดมนต์อยู่ โดยเฉพาะสวดมนต์ที่อาบัติ ผิดคำสอน ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า อย่างที่เขาทำอยู่ในเถรสมาคมถึงขั้นเป็นราชพิธี ผิดทั้งนั้น อาตมาขอยืนยันว่าอาตมาพูดถูก มันผิดหมด มันเป็นอาบัติทุกคำสวด
ในมุสาวาทวรรค อาบัติปาจิตตีย์ เขาบอกว่า อย่าเอาธรรมะบทมาสวดพร้อมกันให้ อนุปสัมบัน ให้ฆราวาสได้ยิน สวดกันได้ แต่ในเฉพาะ พวกภิกษุด้วยกัน
คุณจะสวดพร้อมกันในภิกษุด้วยกัน เอาธรรมะบทคือบทคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งต่างกันกับคำว่าปณามคาถา
ปณามคาถาไม่ใช่ธรรมบท แต่เป็นคำที่เขาแต่งขึ้นใหม่ เอาบาลีมาแต่ง เช่น พาหุงสหัสฯ หรือ ภวตุสัพมังคลังฯ เป็นต้น
แต่ว่าธรรมบทของพระพุทธเจ้า จะเอาพระไตรปิฎกมาสอนหรือสวดโพชฌงค์ 7 ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เอามาสวดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมาพูดต่อหน้าสาธารณะ ต่อหน้าอนุปสัมบัน 5 บาปทุกคำสวด
_สู่แดนธรรม… มาๆเราอาจจะอ้างข้อผิดก็ได้ครับ เพราะในข้อที่ 4 ท่านห้าม ภิกษุไปให้แสดงธรรมเทศน์สวด
พ่อครูว่า… นั่นเป็นการเบี้ยวบาลีแล้ว ผู้สวดนี้คือภิกษุ อันนี้เป็นวินัยของพระไม่ใช่วินัยของฆราวาส ให้ฆราวาสไปสวดได้อย่างไร
_สู่แดนธรรม… ต้นๆเรื่องไปบอกให้ฆราวาสสวดแสดงธรรมแทนพระ ก็เลยมีข้อห้ามกรณีไว้ครับ
พ่อครูว่า… ไม่เคยเห็นนะ
_สู่แดนธรรม… ผมขอไปเช็คให้อีกทีครับ
พ่อครูว่า… พระพุทธเจ้าห้ามไว้เลย เพราะว่าศาสนาไหนก็มีการสวดทั้งนั้น เอาบทสวดมนต์ของพระอาจารย์ ศาสดา ก็มีศาสนาพระเจ้าเท่านั้นที่เอาคำสอนของพระศาสดา ที่จริงคำสอนของพระเจ้าคือคำสอนของพระศาสดาทั้งนั้น แต่พระศาสดาไม่รู้ตัวเอง ว่าคือคำสอนของตัวเองเอาไปสอน เป็นคัมภีร์ของพระศาสดานี้ แล้วบอกว่านั่นเป็นคำสอนของพระเจ้า ประทานให้พระบุตร ประทานให้พระศาสดา
เพราะพระศาสดาไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองได้คำสอนนี้มา ก็คือของตัวเองทั้งนั้น เป็นความรู้ความฉลาดหรือจะยึดถือว่าเป็นความจริง ก็ตัวเองสั่งสมวิบากมาเองทั้งนั้น แต่พระศาสดาทุกองค์ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักอัตตา
เสร็จแล้วก็ไม่เชื่อว่าตัวเองจะมีความรู้ขนาดนี้ จึงยกให้เป็นของใครก็ไม่รู้ ต้องเป็นผู้รู้แท้ๆต้องเป็นผู้ที่มีเจ้าของ ไม่ใช่เรา คือไม่รู้ตัวเอง มันไม่รู้ตัวเองไม่รู้อัตตาว่าเรา มันมีเรา ไม่ใช่อื่น ความรู้ที่ของเรามีมา
เพราะฉะนั้นแต่ละศาสดาของเทวนิยม ไม่มีความรู้ของตัวเอง ก็ต่างไม่เหมือนกัน แยกกันไปเป็นนิกาย จนกระทั่งกลายเป็นคนละศาสนาเลย แต่เขาไม่รู้
พุทธก็เหมือนกัน หนักเข้า ถ้าเขาไม่เรียกคำว่าพุทธ ก็เป็นคนละศาสนาแล้ว ทุกวันนี้ มีมีมหายาน มีหินยาน หรือมีเถรวาท มีพวกไม่ใช่เถรวาท
เพราะฉะนั้นผู้ที่วันนี้อาตมาฟังได้สักคนหนึ่ง ใน 95%ของศาสนาพุทธ ได้สักคนหนึ่งฟังอาตมาพูดแล้ว ว่าจะไปสวดมนต์ข้ามคืน ก็จะไม่เอาแล้วชักจะรู้แล้ว ได้สักคนก็เอาว่ะ ซึ่งมันน่าสงสาร มันเปล่าดาย นอกจากเปล่าดายแล้วทำลายศาสนาด้วยเพราะพาให้ผิดไปจากธรรมเนียมของพระพุทธเจ้า
ขอซ้ำอีก การสวด สังวัธยายต่างๆมีอยู่ 2 อย่างเท่านั้น
-
ภิกษุในยุคโน้นต้องท่องจำไว้มันไม่มีบันทึกโทรทัศน์ ไม่บันทึกวีดีโอ ไม่มีบันทึกหลักฐานพวกนี้เลย เป็นตัวหนังสือไม่ได้บันทึก ต้องอาศัยท่องจำอย่างเดียว เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมาท่องจำกันเอาไว้ เวลาจะมาท่องก็ท่องกันในภิกษุเองเท่านั้น อย่าไปท่อง ตั้งแต่ 2 คนพร้อมกันให้ฆราวาสได้ยิน ท่านกันไว้ พระพุทธเจ้าท่านกันไว้ ว่าเป็นวินัยอาบัตินะอย่าไปทำ