651227 พ่อครูเทศนา บำเพ็ญธรรมภาคค่ำ ว.บบบ. เตรียมงานตลาดอาริยะปีใหม่ 2566
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1Qm_Vp0g4J-PZxbEsix-U2_zVHzyo4PYQ0uWHGEx3ap0/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1_sqQ097qnJoqzTMcy73Ws4RIg-v1QYkh/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/89__xvDrs0k
และ https://fb.watch/hGz6v0KEu_/
คนมีปัญญาสร้างอาหาร คนเฉกาสามานย์สร้างอาวุธ
พ่อครูว่า… วันนี้วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก เราบำเพ็ญคุณมา ตั้งแต่วันที่ 26 27 นี่ก็เย็นแล้ว 27 เราก็บำเพ็ญคุณกันมาเรียบร้อย ลงแรงบำเพ็ญคุณ เป็นคุณงามความดี เราก็ได้บำเพ็ญทำกันมาเป็นงานเป็นการเกิดการสร้างสรรค์เสียสละ เราไปช่วยกันทำงานสร้างสรรค์เสียสละกัน ลงทุนลงแรง พวกเราส่วนมากลงแรง ส่วนกลางก็ออกทุนมา แล้วก็นำสิ่งที่จะให้เสนอสนองให้แก่ประชาชนมนุษยชาติคนอื่นๆเขา เตรียมไว้พรักพร้อมแล้ว
วันที่ 30, 31, 1 เราก็จะเปิดฉากให้เขารับไปซื้อหาไป อยากได้ของอะไรเราขายขาดทุน ขาดทุนจนกระทั่งบางเจ้าก็แถมบ้าง แจกฟรีบ้างบางอย่าง ก็ทำกัน ตามประสาของเราที่เห็นว่า ธรรมะที่แท้นั้น มันคือการให้ การสละ การเกื้อกูลกัน แล้วเราก็เรียนรู้ความจริงอันนี้กัน ฝึกฝนกัน อบรมกัน ปฏิบัติกัน จนกระทั่ง เรามีวัฒนธรรมมีความเป็นจริง มีการประพฤติ
ยิ่งกิเลสเราหมด จนเรามีแต่จะให้ผู้อื่น แม้ที่สุดเราไม่สะสมอะไรเลย เราไม่สะสมอะไรเป็นเราเป็นของเราเลย แต่เราก็ยังสร้างสรรค์อยู่ไม่หยุด อะไรที่เราควรสร้างสรรค์ เราก็ทำ
เช่น เราไปทำอาวุธฆ่าคน เราไม่ทำเด็ดขาด ให้ตาย มาฆ่าเราให้ตาย เราก็ตาย จะให้เราไปทำอาวุธ มาฆ่าเราให้ตาย เราก็ตาย แต่เราไม่ทำ เราจะทำสิ่งที่เป็นเครื่องใช้เครื่องอาศัยที่คนควรใช้ควรอาศัย เช่น เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่ ที่พัก โรงเรือน หรือแม้แต่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่เราอาศัย จนกระทั่งถึงขั้นอาหารที่เราจำเป็นที่จะต้องกินต้องบริโภคเข้าไป เพื่อให้ร่างกายได้สิ่งที่เอาไปสังเคราะห์สังขารยังชีพอยู่ เราก็สร้าง
เราจะไม่เอาเวลาแรงงานทุนรอนไปสร้างสิ่งไร้สาระหรือเป็นโทษเป็นภัยอย่างยิ่ง สร้างสิ่งมอมเมาเรายังไม่สร้าง ป่วยการพูดไปถึงสิ่งที่จะเป็นอาวุธ ทำร้ายทำลายสัตว์ ทำร้ายทำลายมนุษย์ด้วยกัน มันโง่ไม่เสร็จเราก็ไม่ทำ เราฉลาดแล้ว ผู้ยังโง่ไม่เสร็จก็ทำไป บอกห้ามกันไม่ได้จะไปบังคับหรือไปอยากให้เขาฉลาด มันก็คนสนใจใฝ่หาจะมาเอาเขาก็ไม่ค่อยมาเอา เราจะให้ความฉลาดที่แท้จริงเป็นความฉลาดระดับปัญญา เขาก็ไม่มาสนใจไม่มาเอาปัญญา เขาก็ไปเอาฉลาด เฉโก ฉลาดแบบโลกีย์กันอยู่นั่นแหละ
อาตมาพยายามแยกแยะความรู้ความฉลาดแบบฉลาดแบบเฉโก ซึ่งมันคนละตระกูลจริงๆยังเข้าใจกันไม่ได้ แล้วเขาก็ไม่เข้าใจ แล้วเขาเอาภาษาคำว่าปัญญาไปใช้จนเละหมดแล้ว แทนคำว่าเฉโก จนกระทั่งคนที่เขาทำผิดๆถูกๆแบบ เฉโก เขาก็ไม่ใช้คำว่า เฉโก ก็ยังหลงว่าเป็นปัญญาอยู่นั่นแหละ นี่ก็คือความยาก ที่คนเขายังไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ก็ผู้ที่สนใจผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาดีก็คงพอเข้าใจได้เรื่อยๆ ตามที่พยายามขยาย
ภาวะของความวนออกหรือวนเข้า จากโลกโลกุตระ
ภาวะของความวน หรือว่า ความไม่รู้แจ้ง ยึดมั่นถือมั่น ไปยึดมั่นถือมั่นไม่วนไม่กระดิกไม่ไปไม่มาแล้ว ไม่เปลี่ยนแปลงเป็น 2 แล้ว ยึดเป็น 1 เลย
ก้อนความรู้ มวลความรู้ ปริมาณความรู้ คนที่ยึดไว้นั้นปิดประตูความรู้อื่นที่จะแทรกเข้าไปให้แก่ตัวเอง หรือตัวเองจะพอใจที่จะออกมารับอันใหม่ที่เป็นอันอื่น
อย่างความรู้ที่อาตมาอธิบายนี่ ล้วนเป็นอันอื่นที่โลกเขารู้อยู่ อย่างที่โลกรู้อยู่นั้นอาตมารู้ และก็ต้องอาศัยฐานที่พวกคนอื่นเขารู้นั้นมาเป็นฐาน แล้วก็มี corridor มีระเบียงเชื่อมออกมา overlab ออกมาหาระเบียงมาเรื่อยๆ corridor เรื่อยๆ เพื่อจะให้เขามีทางไต่เข้ามาหา โดยพุทธของเขาที่รู้อยู่ ยึดอยู่ด้วย แล้วก็ไล่ความรู้ใหม่ ที่เป็นความใหม่ ทั้งเป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม ไล่ออกมาให้รู้ ก็อาศัยการสื่อสารพวกนี้
เพราะฉะนั้นคำว่า โลก อยังโลโก อยัง แปลว่า นี้ อันนี้ โลกอันนี้ โลกที่เขายึดอยู่อันนี้เดี่ยวๆ อันเดียวอันนี้ คือ อยังโลโก เขาก็จมอยู่ในอยังโลโก
ส่วน จะเป็นความรู้ใหม่ ความรู้ของคนแบบใหม่ โลกใหม่ ที่มีความรู้เป็น ปรโลก เขาก็ไม่รู้ ภาษาบาลีใช้คำว่า ประ แปลว่า อื่น เช่นเดียวกับ อัญญะ คือ อันอื่นจากอันนี้ เขาไม่มี เขายังไม่สามารถจะเกิดภูมิ ไหลออกมา เลื่อนออกมา เอามารับที่จะรู้อันใหม่ที่เป็นอันอื่นใหม่ๆที่อาตมากำลังเอามาให้ ของเก่าเขาก็เต็มแล้ว เต็มกลืนเต็มอ้วกแล้วของเก่าเขานั้น เขาก็ได้แต่กลืน กินแล้วก็อ้วก กินแล้วก็อ้วก อ้วกแล้วก็กิน อยู่อย่างนั้น เขาก็วนในโลกเขาที่เป็น อยัง
ส่วน ปรโลก ประคืออื่น คือโลกอื่น แม้ใช้พยัญชนะ คำว่า ประ คือ อื่น เขาก็ยังเข้าใจเป็นอย่างเก่าของเขา ปรโลกของเขาคือความวนอยู่ในโลกเก่า โลกโง่อย่างเก่า ไม่ออกจากโลกลูกเก่าเลย ยังโง่ อยู่ในโลกลูกเก่า ยังไม่เกิดมีความฉลาดที่จะออกมาสู่โลกใหม่เลย มันก็บังคับกันไม่ได้ที่จะออกมาให้รู้
เขาจะไม่รู้ในการที่จะยึดตัวตน ยึดพวกตน ยึดความรู้ของตน ยึดความยิ่งใหญ่ของตน ความเป็นกลุ่มเป็นหมู่ของตน ไม่เพิ่มที่จะรู้อันใหม่ เขาจะกลับเห็นอันใหม่ว่าเป็นของแปลกเป็นของที่ เฮ้ย! ดูพิสดาร ตัวอะไร? มันไม่เหมือนเขา มันจะนอนมันก็ห้อยหัวลง ธรรมดาสัตว์นอนมันก็นอนราบ ไอ้นี่มันนอนห้อยหัวลง ตัวอะไรเกาะไม้หัวห้อย มาดูกันละหน่อย ว่าตัวอะไร อีสานเรียกว่าอีเจีย ตัวค้างคาว มันประหลาด
พวกเราชาวอโศกนี้เหมือนพวก ค้างคาว นอนแล้วหัวห้อยลงมา เออ มันแปลก มันแปลกผิดประหลาดจากเขาแบบนั้น เอารูปธรรม เอาค้างคาวมายกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ เขารู้สึกอย่างนั้น แต่แท้จริงนั้นเราก็ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัย ไม่ได้เป็นอะไร เราก็เป็นสิ่งที่ ซึ่งเป็นสัตว์ชนิดที่จะเป็นหนูก็ไม่ใช่ เป็นนกก็ไม่เชิง มีทั้งหูมีทั้งปีก นกมีหูหนูมีปีก มี 2
มีภาวะ 2 นี่แหละ ค้างคาว เป็นสัตว์ที่มีภาวะนกมีหูหนูมีปีก นกมันไม่มีหูนะ นกมันมีรูรับเสียงเท่านั้นหรือผัสสะเอา เป็นแผ่นๆปิดไปเลย ไม่มีใบหูอย่างนี้ แล้วหนูมันก็ไม่มีปีก แต่ชาวอโศกมีครบทั้งหูทั้งปีก มีครบ 2 อย่าง
พวกที่บินได้กับเป็นพวกที่รู้ทิศ มีหูรู้สิ่งที่วิเศษ รู้สิ่งที่ลึกซึ้งสุดยอด นี่คือสัจจะความจริงของอจินไตย ความจริงของสัจธรรมที่ไม่ค่อยรู้ง่ายๆ แต่อาตมาอธิบายสู่ฟังแล้วเป็นสัจจะจริง อย่างพวกชาวอโศกเรามีความรู้
ขนาดชาวพุทธด้วยกันมีอยู่ประจำโลกเขามีมาเลย ถ้าอาตมาไม่เกิดมา เขาจะไม่รู้ สิ่งที่อย่างพวกชาวอโศกหรือคนไทย ก่อนอาตมามาเกิด คือคนไทยชาวพุทธมีอยู่ แต่ไม่มีใครอธิบายสิ่งที่เป็นโลกุตระสิ่งที่เป็นของพระพุทธเจ้า อันนี้แหละ โลกุตระ สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เอามาให้คนเรียนรู้ แล้วรู้จนครบจนหมด จนสิ้นทุกข์สิ้นสุข จนรู้ว่าจิตวิญญาณคืออะไร จนรู้ว่าการดับจิตวิญญาณ แตกจิตวิญญาณสลายจิตวิญญาณตัวเอง ให้กลายเป็นดินน้ำไฟลม ตายแล้วแยกธาตุ เป็นดินน้ำไฟลมสลายไปเลย ไม่เหลือตัวเราเกิดอีกเลย ที่สมบูรณ์แบบได้
อาตมานำมาพูด อธิบาย ขยายอย่างชัดเจน ละเอียดหมดจดอย่างนี้ ผู้มีปฏิภาณดีๆฟังดีๆ แค่บัญญัติภาษานี้ก็ฟังชัดเจนหมดแล้ว แต่ยังทำไม่ได้เท่านั้น บางคน บางคนทำได้แล้วแต่ยังวนอยู่ มันวนอะไร?
มันวนอยู่กับความจำ มันจำ แล้วเอาความจำมาคิดวน ความรู้จริงๆ นี่อาตมาสอนให้แนะนำให้ เรียนรู้จากผัสสะ จากการกระทบ กระทบรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กระทบลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสุข กระทบตั้งแต่ ความหยาบใหญ่ที่โลกเขาหลงกัน อบายมุข พวกเราก็ชัดเจนในเรื่อง อบายเรื่องหยาบของโลกเขาทุกข์เขาสุขกัน เราก็ไม่เป็นไร
แม้แต่ใกล้เข้ามาหา เกี่ยวกับคนกับสัตว์หรือสัตว์ที่เป็นคน เราก็ไม่ไปดึงดูดคน ผูกพันกับคน เกี่ยวข้องกับคน ถ้าไม่มีความรู้ที่จะเชื่อมกัน เขาจะยึดแต่โลกีย์เขาก็ไป แต่เราไม่เอาแล้ว เราก็มาอยู่กับพวกโลกุตระ เป็นการคัดเลือกคนมา เพราะฉะนั้นจึงจะได้ชาวอโศก ที่มาเป็นชาวอโศกจริงๆ มาอยู่กับกลุ่มหมู่นี้ หนีจากพ่อแม่ หนีจากครอบครัวมา ก็เยอะ เอามาได้ทั้งครอบครัว บางทีก็เอามาไม่ได้ทั้งครอบครัว
เอามาไม่ได้ทั้งครอบครัวแต่คนในครอบครัวก็เข้าใจและยินดีให้มา บางที เขาก็ยินดี เข้าใจ เขามายังไม่ได้ แต่มาศึกษา มาอยู่ร่วมบางครั้งบางคราว จนกระทั่งสืบทอดไปถึงลูกเต้าเหล่าหลานก็พยายามเอามา ผู้ที่เข้าใจเห็นว่าดีเขาก็พยายามเอาลูกเอาเต้ามา นี่อย่างที่มีอยู่นี่ แล้วมันก็เกิดการสัมพันธ์สืบทอดกันไป
จนมารู้ ความจบของความวน อาตมา ตั้งใจจะเทศน์วันนี้เรื่อง ความวน
ขอสรุปเข้าไปสู่เป้าสุดท้าย สุดท้ายแล้วเราเข้าใจ ไม่ต้องวน คนที่ไม่ต้องวนแล้วก็แยก
แยก 1 แยก 2 มันวนไปหา 2 แยกได้ ไม่ 2 แล้ว มาเป็น 1
เสร็จแล้วก็มาเป็น 1 กับอีกอันนึง อีกอันหนึ่งก็คือ 0 คือ 1 กับ 0
1 กับ 2 นี้ไปหาโลก ไปเพิ่มเลย
ส่วนมาหา 1 กับ 0 ก็คือ 2
คือ 1 อันนึง และ 0 อีกอันนึง นี่คือมาหาความสุข
พอมา สิ่งที่มาหาความจบ มาหา 0 เป็นคนนี้หยุดความวนเป็นแล้ว
จะเป็นรูปธรรมก็ตาม รูปธรรม แต่ก่อนนี้ โอ้โห เราจะต้องมีทอง จะต้องมีเพชร ผู้ชายก็จะต้องมีเหล้า ไม่รู้ผู้ชายเขาสำคัญอะไรบ้าง ผู้หญิงจะมีเพชรมีทอง ผู้ชายมีทองหรือผู้หญิงมีเพชร ของแต่งตัว ผู้หญิงเอาทั้งทองและเพชร ผู้ชายเอาทองได้ แต่เพชรก็อย่างนั้นแหละ แต่พวกที่ยังหลงเหมือนพวกผู้หญิงก็ชอบเพชร ผู้ชายชอบเพชรก็มี ถ้าผู้ชายก็รู้แล้วก็ไม่เอา ก็จะลดลงมาหา 1
จนกระทั่งเราไม่วนเวียนไปหาอันนั้น รูปธรรมไม่วนเวียนไปหา ขาดกันได้ นามธรรมก็ไม่ไปวน ไม่เป็นนึกไปคิดไปโหยหา ไม่อาลัยอาวรณ์เลย เห็นก็เห็น สัมผัสก็สัมผัส มีก็มี ควรได้ตามค่าของโลก มันมีราคา เอาไปแปรรูปมาเป็นราคา ธนบัตร เอาธนบัตรมาใช้ เพื่อซื้อเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งที่ใช้งาน สิ่งที่สำคัญสิ่งที่เราควรจะได้ เราอาจจะต้องไปใช้ซื้อคอมพิวเตอร์ เราก็เลยต้องไปแลก มีกล้วย มีอ้อย มีมะเขือ แล้วก็แลกเป็นธนบัตร เอามาซื้อคอมพิวเตอร์ อะไรอย่างนี้
ความจำเป็นในเรื่องของธนบัตรที่เอาไปใช้ วนเวียนเรื่องธนบัตรลดน้อยลง ไม่ตะกละตะกราม ไม่อยากสะสม มันมีก็ เอาไปใช้เป็นค่ากับโลกเขา ดีไม่ดี ต้องระมัดระวัง ต้องรักษาอย่าให้หล่นอย่าให้หาย ถือเป็นของมีค่า รักษาไปตามสมมุติโลกไป ก็เป็นภาระไป
ผู้ที่รู้จักภาระ ปลลงภาระ ไม่อยากเอาเป็นภาระ ก็มาอยู่ว่างๆ ทำงาน จะต้องใช้เงินเมื่อไหร่ก็ค่อยไปหาเอาธนบัตร จากที่ควรได้ ได้แล้วก็เอาไปแลกสิ่งที่เราจะเอามาทำงานมากินมาอยู่ แต่สิ่งที่กินที่อยู่ของพวกเรา เราก็สร้างอุดมสมบูรณ์ มากมายเพียงพอ หรือไปติดไปยึดสิ่งปรุงแต่ง อาหารขนมของปรุงข้างนอกเขา เขาปรุงหลอก แต่ก่อนเราก็หลงติดอย่างนี้ต้องมี จนกระทั่งเข้าใจแล้ว มาอยู่ในนี้ของกินของอยู่ อุดมสมบูรณ์เหลือกินเหลืออยู่แล้ว ไม่กังวลไม่อาลัยอาวรณ์ มีมากกินได้ก็กิน ไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไร ส่วนมากที่เป็นพิษเป็นภัยหลายคนก็ไม่กินแล้วของข้างนอกที่เขาส่งเข้ามามันปรุงแต่ง ก็กินของที่มันสะอาดบริสุทธิ์ ที่เราสร้างเองไม่มีสารพิษ เป็นพืชธัญญาหารที่ไร้สารพิษ ไม่ได้ใช้คำว่า ปลอดสารพิษเท่านั้น ใช้คำว่าไร้สารพิษเลย เรามีอุดมสมบูรณ์ ชีวิตก็ครบแล้ว
เหลือชีวิตอยู่ เราก็ยังวนเวียนอยู่ในโลกที่มันยังวนเวียน อย่างพระโพธิสัตว์ อย่างอาตมา อาตมาจะเลิกเกิดแล้วตายสูญไปเลยแล้วก็ได้ ก็พูดความจริงนะ บอกไปว่าอาตมายังตั้งใจจะรู้โลกให้มันถ้วนสมบูรณ์ แบบพระพุทธเจ้ารู้ นี่ก็รู้มาเยอะแล้วก็พูดเยอะอยู่ ทั้งพูดทั้งเขียน
อาตมาก็ยังคิดว่า เมื่อไหร่จะหมดที่จะเขียน เขียนไม่ออกแล้วจนแต้มแล้ว มันยังไม่ถึงตรงนั้นสักที จะเขียนเมื่อไหร่ก็เขียนได้ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น ต้องพยายามจบ เขียนอะไรก็ต้องพยายามจบ นี่ก็พยายามจะจบที่เขียนอยู่ ตอนนี้เขียนปัญญา 8 ก็ยังไม่จบสักที แต่ก็เขียนขีดจบไว้แล้ว ต้องเขียนขีดจบไว้นะ แล้วบอกตัวเองว่านี่จบ ตรงนี้ แล้วก็ทวนมา ปัญญา 8 จะจบแล้วล่ะ อีกไม่ถึง 100 หน้า เขียนมา 6-700 หน้าแล้ว จะจบแล้ว ถ้าไม่จบมันก็ไม่จบ เราก็ไม่เอาแล้วก็ต้องจบ จะไปเขียนประชาธิปไตยของไทยที่ดีที่สุดในโลก ให้จบอีก เขียนไว้แล้ว 100 กว่าหน้า
ประชาธิปไตยเป็นชื่อของระบอบลัทธิ ที่คนในโลกต่างคนต่างก็เข้าใจของตัวเองว่านี่คือประชาธิปไตย พวก 3 นิ้ว พวกแดง บอกว่าพวกเขาประชาธิปไตย พวกอื่นพวกเผด็จการ อำนาจบาตรใหญ่อะไรต่ออะไรของเขาอยู่ ซึ่งเขาไม่รู้องค์รวมของสภาวธรรมที่แท้จริง
อาตมาก็พูดไปแล้วว่าคนไทย ในปัจจุบันนี้ ประเทศไทยในขณะนี้ มนุษย์ที่ดำเนินเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มันสมบูรณ์แบบแล้ว เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบแล้ว นักรัฐศาสตร์ ที่เขาเรียนกันมาเป็นดอกเตอร์ทางรัฐศาสตร์ เขาก็ฟังอาตมาไม่ออกหรอก เขาก็ไปเรียนตามเทวนิยม ไปเรียนตามที่เขาเรียนตำราจากประเทศนอก ไม่ใช่เรียนจากพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เรียนจากศาสนาพุทธ
อาตมาพูดนี้เป็นประชาธิปไตยศาสนาพุทธ ที่คนไทยนับถือศาสนาพุทธ แต่รู้จักประชาธิปไตยหรือความรู้แบบที่ใช้บัญญัติภาษาเรียกว่า ประชาธิปไตย ก็ตาม ซึ่งมันเป็นอธิปไตยอยู่ 3 อย่าง
-
โลกาธิปไตย 2. อัตตาธิปไตย 3. ธรรมาธิปไตย