651219 รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 7 พ่อครูพบ ดร.นพ.มโน เลาหวณิช เรื่อง บาปของทุนนิยม
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1A_VKgYygcN7G_mHRBA3TsbKyoOs81nongtB0fHlORcY/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1kT-Bl7hlAgqRBRz6paxclMYHPibIF6-k/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/W51l5Y4kL74
และ https://fb.watch/hw5Am3R_lE/
ศิลปะคือมงคลอันอุดมของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม 2565 แรม 11 ค่ำเดือน อ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 7 โอ้โห ตัวเลขสวยมาก
วันนี้เป็นวันที่เรามีเกียรติ มีเกียรติที่ได้รับแขกเข้ามาในรายการนี้คือ ดร.นพ.มโนเลาหวณิช มาเป็นแขกในรายการปรับทุกข์ปลุกธรรมของเราวันนี้
ซึ่งประเด็นที่เราจะพูดกันนี้ เป็นประเด็นที่ยิ่งใหญ่มากเลยที่อาตมาวา คือประเด็นของ บาปของนายทุน บาปของทุนนิยม หรือก็คือตัวบาปที่ยิ่งใหญ่ของนายทุนนี่แหละ ทุนนิยมก็คือภาษาเป็น Common noun ถ้าเป็นนายทุนก็ยิ่งเป็น Proper nounยิ่งขึ้น ก็ยิ่งชัดขึ้นไป
ทุนนิยมยิ่งเป็นนายทุน ยิ่งบาป อาตมาขอยืนยันว่าอาตมาพูดไม่ผิด บาป เป็นหนี้ บาปคือ หนี้ ในทางโลกเขาอาจจะได้ตัวเงิน ได้ทางวัตถุทรัพย์สินเงินทองของเขาเยอะ ก็นั่นแหละ โดยสัจธรรมแล้ว ยิ่งเขาเอาไปเยอะกอบโกยไปเยอะ โดยเฉพาะอาจถึงขั้นเอาเปรียบเอารัดถึงขั้นโกง ไปเยอะเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งบาปมาก ก็สัจธรรมมันเป็นเช่นนั้นแต่เขาไม่รู้ตัว นี่ก็คือที่อาตมาเข้าใจอยู่
ที่นี้ดร.มโน ไปเรียนมาทางทุนนิยม จบปริญญากี่ใบ
ดร.มโน…ได้ปริญญา 6 ใบ
พ่อครูว่า… อาตมาไม่มีปริญญากับเขาเลยแม้แต่ครึ่งใบ อย่าว่าแต่ครึ่งใบเลยชีวิตของอาตมา สอบชั้นเตรียมอุดมศึกษา ยังไม่ได้เลยจนถึงวันนี้ ไม่ผ่านแม้แต่ เตรียมอุดมศึกษา อาตมาสอบม.8 อยู่ 2 ปีตกทั้ง 2 ปี ผ่าน ม.7 แต่ ม.8 สอบ 2 ปีไม่ผ่านเลยเลิกเลย มาเรียนศิลปะ ตั้งแต่ปี 1 ไปจนกระทั่งถึง 5 ปีเลย ไม่เอาแล้วทางโน้น อย่างนี้เป็นต้น
ถึงเป็นคนที่ไม่มีการศึกษา นอกจากไม่มีการศึกษาตามระบบเขาแล้ว ตัวเองก็ไม่ได้ขวนขวายในการศึกษาด้วย ศึกษาในตัวเองก็ไม่ได้ขวนขวาย มีแต่เรื่องธรรมะเรื่องของธรรมะมันเป็นอยู่ในสายเลือดของอาตมา ก็ตั้งใจในเรื่องธรรมะ
อาตมาเคยอธิบายถึงว่า อาตมาทำงาน อยู่ทางโลกเขาจริงๆ จบออกมาปี 5 ของสายศิลปะ เพาะช่าง จบแผนกวิจิตรศิลป์ แต่ไม่ได้ทำงานศิลปะ ทางเขียนอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีผลงานเหลือเลย เขียนแต่ในตอนเรียน จบเรียนมาแล้วไม่ได้เขียนเลย เขียนแต่ตอนที่เรียนมีผลงานตอนที่เรียนนั่นแหละ แล้วมันก็กระจัดกระจาย มีอยู่ชิ้นเดียวที่เขาเก็บเอามาได้ จากภาพที่ไปทำหน้าปกหนังสือพิมพ์ แล้วก็ได้หน้าปกหนังสือพิมพ์นั้นมาเป็น Copy ออกมา ตัวชิ้นงานเองไม่รู้หายไปไหนหมดแล้ว ก็ได้ภาพนั้นภาพเดียวโด่เด่ในชีวิตนี้ นอกนั้นไม่มีผลงานเลย Drawing มีบ้าง ที่ใช้อยู่ตอนนี้ภาพสุญญตา อาตมาก็ใช้ Drawing นอกนั้นก็มีอะไรอีกนิดหน่อย
นอกนั้นชีวิตไม่มีอะไรเลย มีแต่ศิลปะ และได้มาทำความเข้าใจว่าทำไม สุญญตา ภาพนี้ นี่ ฝีมืออาตมามีเท่านี้ ซึ่งเด็กๆก็ทำได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่อะไรเลย ไม่มีความสามารถความเก่งทั้งนั้นเลย
ในความเป็นศิลปะ อาตมาเข้าใจโลกุตรธรรมในเรื่องศิลปะเพราะพระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ศิลปะนี้เป็นมงคลอันอุดม หมายความว่า ศิลปะ เป็นสิ่งที่นำพาไปสู่ความสูงสุด เป็น อุตตระ สรุปง่ายๆว่าเป็นอุตรธรรม ศิลปะเป็นอุตรธรรมหรือเป็นโลกุตระ เป็นโลกุตระธรรม เป็นสิ่งที่เหนือชั้นของโลกีย์
อาตมาก็ต้องมาพยายามทำความเข้าใจว่า ศิลปะเป็นมงคลอันอุดมนี้อย่างชัดเจน จึงได้ชัดในเรื่องของโลกุตรธรรม ว่า อ๋อ ที่จริงอาตมาก็มีภูมิธรรมเรื่องโลกุตรธรรมมาแล้ว นี่ชัดเจนก็พูดกับดร.มโนเลยว่า ตั้งแต่ชาติปางก่อนมาแล้ว ความรู้นี้มีในตัวอาตมาแล้ว อาตมาจึงรู้จักตัวเองว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เป็น สยังอภิญญา เป็นผู้ที่มีอภิญญาของตัวเอง สยังของตัวเองและไม่ต้องเอาจากใคร ไม่ต้องพึ่งใคร
เพราะฉะนั้น อาตมามาเกิดในชาตินี้ถึงไม่มีครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะทางธรรมะทางโลกุตระ เพราะโลกุตระได้เสื่อมจนไม่มี สิ้นแล้วในประเทศไทย หรือในโลก อาตมาจึงนำขึ้นมาสถาปนาลงใหม่ขึ้นมาในโลก อันนี้พูดแล้วก็อย่าเพิ่งหมั่นไส้ อย่าเพิ่งอาเจียนก็แล้วกัน รู้สึกว่าจะพูดใหญ่เหลือเกิน อาตมาก็พูดความจริง ไม่มีอะไรอยากอวดหรอก มันเป็นเรื่องจริงที่พูดสู่กันฟังเท่านั้น ใครจะรู้สึกหมั่นไส้ถึงขั้นไหนก็ขออภัย ถ้าใครฟังแล้วก็เข้าใจเพราะเข้าใจไปได้ก็ดีอย่างนี้เป็นต้น
ผู้มีอัญญธาตุจึงจะทำบุญเป็น
ทีนี้ก็พูดถึงประเด็นที่เราจะพูดกัน บาป แม้แต่บาปกับบุญ ซึ่งมันเป็นภาษาที่คู่กัน แต่คนก็เข้าใจยาก ยากมาก จนกระทั่งแม้กระทั่งคำว่า บาป มันไม่สูญหายไปจากอะไรได้ แต่บุญนี่ มันก็ไม่สูญเพราะเข้าใจผิด แต่ถ้าเข้าใจถูกแล้วเป็นอาริยบุคคล คำว่าบุญ มันไม่มีเกินกว่าปัจจุบัน และ พระอรหันต์ขึ้นไปก็ไม่มีบุญอีกแล้ว อันนี้ก็เป็นความเสื่อมที่ชาวพุทธเข้าใจไม่ได้แล้ว อาตมาก็จำเป็นที่จะต้องเอาความจริงนี้ขึ้นมาสถาปนาให้ได้ใหม่
เพราะฉะนั้นสรุปง่ายๆก็คือชาวพุทธทั้งหลายเข้าใจคำว่า บุญ ไม่ได้แล้ว เข้าใจผิดเป็นกุศล ซึ่งบุญไม่ใช่กุศล กุศลเป็นเรื่องของสมบัติ แต่บุญเป็นเรื่องของวิบัติ ก็เลยพูดกันไม่รู้เรื่องเมื่อพูดถึงบุญก็เข้าใจเป็นสมบัติทุกที ก็เข้าใจว่าเป็นสมบัติแล้ว พฤติกรรมของคนจะทำบุญก็ทำเป็นสมบัติหมด ทั้งๆที่บุญมันเป็นสมบัติไม่ได้ บุญมันเป็นวิบัติ
เพราะบุญคือ เครื่องชำระกิเลส อาวุธร้าย ชำระกิเลส ให้สะอาดบริสุทธิ์จากจิต เมื่อชำระหมดสิ้นอาสวะแล้วบุญก็หายไป บุญก็หมดหน้าที่ บุญก็ไม่มีในใคร แม้แต่พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ระดับ 4 ในขั้นอรหันต์ โพธิสัตว์ก็ระดับ 4 อาริยะระดับ 4
พอหมดอาสวะสิ้น ปุญญปาปปริกขีโณ ทั้งบุญทั้งบาปก็ปริกขีโณก็สูญสิ้นหมดไม่เหลือ
อย่างนี้เป็นต้น
คนเข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะทางตะวันตกหรือทางเทวนิยม ทางศาสนาพระเจ้าซึ่งไม่ใช่โลกุตระเลย แล้วเขายังไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้จักโลกุตระได้เป็นอันขาด จนกว่าจะเข้ามาศึกษาโลกุตระอย่างจริงจัง จนเกิดความยินดีเกิดฉันทะแล้วจึงจะมาศึกษา จนกระทั่งสามารถทำจิตได้ มนสิการได้ จึงจะสามารถค่อยๆมี อัญญธาตุ
อัญญธาตุ คือธาตุที่เป็นโลกุตระตัวแรก จนกว่าจะมี อัญญธาตุ สะสมขึ้นไปเกินกว่า 50% เป็น 60% 70% จึงจะเปล่งรังสีของความรู้ โลกุตระขึ้นมา เหมือนอย่างโกณฑัญญะได้สั่งสม อัญญธาตุ กระทั่งมี อัญญธาตุ เกิน 50% 60% เข้าไปสู่ 70% ก็เลย ฟังคำสอนพระพุทธเจ้ารู้เรื่อง
พอเริ่มต้นเป็นคนแรกที่ฟังธรรมะพระพุทธเจ้ารู้เรื่องพระพุทธเจ้าก็อุทานว่า อัญญาสิ วตโภ โกณฑัญโญ โกณฑัญญะรู้แล้วนะ ได้รู้มีโลกตุรธรรมขึ้นในจิต มี อัญญธาตุ 50 – 60%ขึ้นไป เป็นคนที่จะพูดเรื่องโลกุตรธรรมกันได้แล้ว
จากนั้นก็เริ่มต้น ก็มีพราหมณ์อีก 4 ท่านที่เป็นเพื่อนของโกณฑัญญะ บารมีไล่เรียงกันมาก็ค่อยๆรู้ตาม ศาสนาพุทธจึงเริ่มขึ้นตั้งแต่บัดนั้น
ศาสนาพุทธเป็นโลกุตรธรรม คนละโลกกันกับทุนนิยม ที่เป็นโลกีย์ 100%
บาปของนายทุนอย่างพระธัมมชโย
ทีนี้ บาปต่างๆ ที่เราจะเอาเป็นเป้า เข้าสู่การพูดหรือว่าการสาธยาย อันมีตัวอย่าง มีฟีโนมีน่า มีปรากฏการณ์จริง มีสิ่งที่เป็นจริง เกิดอยู่จริง ก็อาจจะต้องพาดพิงถึงบุคคล ดร.มโน จะไหวไหม พาดพิงถึงทางด้านธัมมชโย ก็ทุกคนก็รู้ดีอยู่แล้วว่า ดร.มโนกับธัมมชโยคืออย่างไรมาตลอด สังคมก็รู้ไม่ใช่ปกปิดกันเมื่อไหร่ ก็จะเป็นตัวอย่าง ฟีโนมีน่า จะเรียกว่าเป็นฟีโนมีนอน ก็ได้ เป็นตัวอย่างคนเดียว แต่มีพฤติกรรมเป็นฟีโนมีน่า แต่ตัวบุคคลคือฟีโนมีนอน แต่พฤติกรรมมันเป็นพหูพจน์ที่มากมายของธัมมชโย
เอาความจริงเหล่านี้มาพูดให้กันฟังไม่ใช่ว่าพูดกันยังไม่มีหลักฐานยืนยัน ถ้ามีอะไรมีหลักฐานยืนยัน รายละเอียด ดร.มโน พวกเราฟัง ชั่วโมงครึ่งจะน้อยไปอาตมาว่า สะดวกใจจะเปิดเผยหรือจะพูดได้แค่ไหน พอได้ไหม
พ่อครูว่า… ขออภัยอาตมาไม่ได้ใช้คำยกย่อง เพราะอาตมาชัดเจนว่า ธัมมชโย ปาราชิก 2 ตัว เป็นสมี 2 ตัว คือ 1. ขี้โกง ทรัพย์สินเงินทอง นั่นก็ปาราชิก 2. เรื่องอวดอุตตริมนุสสธรรม ก็ผิดเป็นปาราชิก 2 ตัวใหญ่ๆ เพราะฉะนั้นอาตมาก็จะเป็นผู้ที่พูดในเชิงที่ไม่ค่อยยกย่องเท่าไหร่ เพราะว่าก็ไม่รู้จะยกย่องอย่างไร ปาราชิกตั้ง 2 ตัว ปาราชิกตัวเดียวก็ยกย่องไม่ได้แล้วอาตมาก็เลยต้องทำตามความเป็นจริง ตามสัจธรรมอันนี้อยู่
ก็ พูดกันไปแล้วอาตมาก็สงสารเขานะ ก็ต้องขอบคุณเขาที่ ขอบคุณไปตามภาษาสมมุติสัจจะ ตามโลกๆ ขอบคุณเหมือนกับขอบคุณเทวทัตที่เป็นตัวอย่างให้แก่ศาสนาพุทธ คล้ายๆกัน กับขอบคุณธัมมชโย ก็คล้ายๆกันอย่างนี้ล่ะ
ที่อาตมาเข้าใจว่าวิถีของทุนนิยม หรือวิธีของคนขี้โลภ พูดชัดๆง่ายๆแล้วโลภไม่เสร็จ ตะกละตะกลาม โลภโมโทสัน จนกระทั่งถึงขั้น หากลเม็ด หาวิธีการเอาเปรียบเอารัด จนกระทั่งถึงขั้นทุจริตหรือโกงเพื่อได้เปรียบมาให้แก่ตนเอง ด้วยวิธีการที่ซับซ้อน จนคนรู้ไม่ทัน แต่เป็นวิธีโกงที่ยิ่งใหญ่ คนก็รู้ยาก ซับซ้อนหลายชั้น เป็นความฉลาดแกมโกง
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สู่แดนธรรม… ผมคิดว่า คงจะได้เวลา ที่เราจะได้ฟังทัศนคติของ ดร.มโน ในประเด็นที่เคยคลุกคลีอยู่กับพฤติกรรมของเจ้าอาวาสวัดธรรมกาย
ดร.นพ.มโน ว่า… ผมก็เจอ ธัมมชโย ครั้งแรก วันที่ 12 สิงหาคม 2518
พ่อครูว่า… อาตมาประกาศนานาสังวาสกับเถรสมาคมวันที่ 6 สิงหาคม 2518 วันที่ 7 ก็เป็นอิสรเสรีภาพ ก่อนคุณนิดนึง
ดร.นพ.มโน ว่า… ตอนนั้นผมเข้าเป็นสมาชิกชมรมพุทธ ตอนนั้นก็ไปทุกสำนัก แล้วก็ท่านโพธิรักษ์ก็มาโปรดที่ชมรมพุทธมหาวิทยาลัยจุฬาฯ
พ่อครูว่า… พอจำได้ว่าพูดในหัวข้อ E = MC 2 แล้วก็พูดหัวข้อว่า “แพทย์เป็นเดรัจฉานวิชา”
ดร.นพ.มโน ว่า… ท่านพ่อครูฉันผักคะน้า ฉันสิ่งที่ปราศจากบาป และฉันจากบาตร
พ่อครูว่า… จำได้ว่าบิณฑบาตตอนนั้นได้แต่คะน้าเต็มบาตรเลย ก็เลยฉันข้าวเปล่ากับผักคะน้าสด
ดร.นพ.มโน ว่า… แล้วก็มีแมลงเจาะผักเป็นรูๆด้วย ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง เป็นผักคะน้าที่ใช้ปุ๋ยคอกอะไรพวกนี้ แล้วก็มี สิกขามาตา สิกขมาตุ
พ่อครูว่า… อาตมาตั้งชื่อเรียกว่า สิกขมาตุ ไม่ใช่สิกขมาตา
_สู่แดนธรรม… อันนั้นดร.มโนเข้าไปธรรมกายด้วยเหตุอันใดครับ
ดร.นพ.มโน ว่า… ผมสนใจเรื่องการฝึกอบรมอยากทำสมาธิ ตอนนั้นเหตุการณ์หลัง 14 ตุลาคมไปแล้ว ผมอยู่โรงเรียนเตรียมอุดม อยู่ชั้นอันดับต้นๆของเขา ผมเป็นประธานชมรมคณิตศาสตร์ โรงเรียนเตรียมอุดม กะว่า จะทำหนังสือเรขาคณิตออกมาเล่มนึง ใช้เวลาตอนปิดภาคฤดูร้อนทำหนังสือเรขาคณิต
บังเอิญมีเพื่อนคนนึงโทรศัพท์มา ชวนบอกว่าไปนั่งสมาธิกันไหมที่ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม ผมก็ไม่อยากไป เพราะงานเราจะยุ่งมาก วางหูไป ผมคิดว่าผมไม่ไป บังเอิญคุณพ่อผมถามว่าใครโทร.มาผมก็บอกว่าเพื่อนชวนไปนั่งสมาธิ ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม 10 วัน พ่อก็บอกว่าไม่ต้องไป อยู่นี่ พระอยู่ที่บ้านไหว้พระที่บ้านก็ได้
มันหลัง 14 ตุลาคม พูดอย่างนี้เข้าข่ายเผด็จการ ผมคิดว่าเราต้องไปซะแล้ว เดี๋ยวเผด็จการครองบ้าน ก็เลยต้องไปทั้งๆที่ไม่อยากจะไปเลย ผมก็เอาหนังสือเรขาคณิต 13 เล่มใส่เป้ไปด้วย กะว่าไปนั่งสมาธิน่าจะเบื่อ ตอนนั้นยังไม่มีวัดพระธรรมกายเป็นศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม เป็นทุ่งนาฟ้าโล่ง เป็นรุ่นที่ 3
ก็ยุงกัดเต็ม ถือศีล 8 ดื่มน้ำปานะตอนเย็น ร้อนก็ร้อน เดือนมีนาคมเข้าเมษายน ร้อน ลำบาก แต่ก็เรียนรู้พุทธศาสนาพื้นฐาน เรื่องศีล 5 ศีล สมาธิ ปัญญา ผมอยู่แค่ 10 วันเอง แต่ก็ได้ไอเดียว่า พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ รู้จักวิธีทำวัตรสวดมนต์ ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น อาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร ทานข้าวจากถาดหลุมแล้วเข้าเวรกัน
อยู่ที่นั่นก็ลำบาก ร้อนมากเลย แต่ก็ได้เข้าใจพุทธศาสนาว่า เออ จิตเป็นสมาธิ มันต้องไม่มีประเภท มีกามฉันทะ มีวิบาก มีพยาบาท มีวิจิกิจฉา สิ่งเหล่านี้ผมก็เข้าใจ ตั้งแต่นั้นมาผมก็รักษาศีล 5 เป็นปกติ
ศีล 8 อาทิตย์ละวัน วันพระ นั่งสมาธิทุกวันตั้งแต่นั้นมา เราก็คิดว่า เราก็เป็นชาวพุทธคนหนึ่ง ตอนแรกก็เป็นพุทธในทะเบียน เข้าใจว่าเป็นพุทธนี้เป็นอย่างไร จากนั้นผมก็สอบเข้าจุฬาได้ คณะแพทย์ศาสตร์จุฬา คุณพ่อผมเป็นแพทย์จุฬารุ่น 1 เขาบังคับเลยว่าต้องเข้าคณะแพทย์จุฬาคณะเดียว ศิริราชก็ไม่เอา เชียงใหม่ ขอนแก่น ก็ไม่เอาทั้งนั้น ผมก็เลือกแพทย์ 6 อันดับเลย จุฬาอันดับ 1 ก็ติดจริง
วันนั้นดีใจมากเลย ไปที่สำนักเดลินิวส์ เดินจากสี่พระยากลับบ้านตัวลอย มีความสุขมาก ได้เข้าคณะแพทย์จุฬา แล้วผมก็ไม่ได้คิดอะไร ตอนนั้นมันเป็นช่วงปี 1 จุฬาฯ ก็มีความสุข ผมเป็นนักยูโดก็ไปฝึกยูโดตอนเย็น ไปว่ายน้ำ เมื่อเรียนฟิสิกส์ตอนบ่ายง่วงจะหลับ ตาปรือ พอกริ๊ง ก็สว่างโพรง ไปวิ่งรอบสระน้ำ ไปว่ายน้ำ
ไปชมรมพุทธก็นั่งสมาธิ วันหนึ่ง ก็คิดว่าเราจะกลับไปดูที่สถานปฏิบัติธรรมตอนแรกนั่งสมาธิตอนแรกคือศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม ตอนนั้นประมาณวันอังคาร 12 สิงหาคม หยุดวันเฉลิมพระชนม์พรรษาพระราชินี พระพันปีหลวงพอดี ผมเข้าไปนะครับ เพื่อนผมก็บอกว่า พระเรียกๆ ก็ไปนั่งคุยเป็นธัมมชโย
ผมคุยอยู่ก็ไม่รู้ว่าใคร แกก็ซักไซ้ไล่เลียงว่าเป็นใคร สมัยนั้น 2518 สงครามเย็นมันระอุ ศูนย์นิสิตก็เดินขบวนประท้วงทุกวัน นักศึกษาก็เข้าไปมีส่วนร่วม ตอนนั้นก็มีนายกชื่อหม่อมคึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นรัฐบาลมีแค่ 18 เสียงเอง แล้วแกก็ดำเนินนโยบาย ผมก็เป็นห่วงไม่รู้ประเทศไทยจะเป็นคอมมิวนิสต์หรือเปล่า
ตอนหลังคุยกับธัมมชโย รู้สึกสบายใจ แกก็บอกว่าบรรพบุรุษคนไทยทำบุญไว้ สั่งสมในแผ่นดินไว้เยอะมากไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เหมือนจะมีภัยมา แต่ที่สุดก็จะหมดไป ฟังแล้วก็สบายใจ ผมก็เลยมาทุกเสาร์-อาทิตย์ มาแต่ละครั้งก็คุยกับธัมมชโยถึงดึกทุกคืน ก็เป็นเหตุทำให้ติดวัด
จนกระทั่งปี 2524 เดือนพฤศจิกายน อยู่ห้องฉุกเฉิน วันนั้นธัมมชโยก็ชวนผมขึ้นรถไปเยี่ยมบ้านเกิดที่สิงห์บุรี แต่ก่อนแกเกิดได้อยู่ที่บ้านหลังนี้ น้ำมันเซาะบ้านหายไป ตอนนั้นคนที่วัดพระธรรมกายใครจะมาบวชได้ต้องถือศีล 8 รับใช้พระอยู่อย่างน้อย 5 ปี แต่ ต้องจบปริญญาตรีก่อน ผมไม่เป็นอุบาสกศีล 8 แกก็ชวนผมบวชเลย
ตอนนั้นคิดว่าจะบวชเดือนนึงพอ เพราะว่า จะได้มาช่วยหลวงพ่อทัตตชีโวอบรมธรรมทายาทเท่านั้นเอง เพราะอาจารย์ภาควิชาชีวเคมีก็ชวนผมมาเป็นอาจารย์ที่คณะแพทย์ศาสตร์จุฬา แกบอกว่าแกจะลาออก แกเป็นเพื่อนคุณพ่อผมพอดี แกบอกว่า จะมีงบประมาณให้ มีอัตตราว่าจ้างมาเป็นอาจารย์ใหม่ที่ชีวเคมี ผมก็รับปากแก แล้วก็บอกพ่อแม่เสร็จ ว่าจะบวชสักเดือนนึง
จากนั้นไปคุยกับธัมมชโย เขาก็บอกว่า อย่างเรานี่บวชเดือนนึงไม่เหมาะสมต้องว่ากันทั้งชาติ ติดอะไร ผมก็บอกว่า มันต้องใช้เงินคืนครับ ต้องเสียค่าปรับให้แก่คณะแพทย์ศาสตร์ประมาณ 4 แสนบาท แกบอกว่าเรื่องเงินไม่มีปัญหา ไปคุยกับครอบครัวผมก็ไป ในที่สุดผมก็บวชเมื่อ 8 เมษายน 2520 ได้ฉายาว่า เมตตานันโท บวชพระอุปัชฌาย์คือ สมเด็จช่วง
บังเอิญ ผมก็สอบได้ทุน คือ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช สัมภาษณ์ผมอยู่ 1 ชั่วโมง แกก็ recommend แนะนำให้ผมเรียนที่มหาลัยอ๊อกซฟอร์ด ก็ไปอยู่กับเจ้าคุณสุเมโธ ไปเรียนต่อที่อ๊อกซฟอร์ด 3ปีจบแล้วได้ 2 ปริญญา
กลับมาวัดพระธรรมกายก็มีผลงาน 2 ชิ้น ชิ้นหนึ่งก็จัดประชุมวิชาการที่สุโขทัยธรรมาธิราช มองสู่อนาคตว่าพุทธศาสนาจะเป็นอย่างไรในศตวรรษที่ 21 วิธีการหนึ่งผมเขียนธรรมนูญการปกครองวัดพระธรรมกายและเครือข่าย ตั้งเป็นอาศรมเป็นสำนักต่างๆ
อาศรมก็มี 3 อาศรม อาศรมบรรพชิต อาศรมอุบาสก อาศรมอุบาสิกา แล้วก็แบ่งเป็นโครงสร้างการปกครอง ประชุมอยู่ 4,800 ชั่วโมง จนใช้บริหารวัดพระธรรมกายอยู่จนทุกปัจจุบัน ทำให้เขาสามารถขยายอย่างรวดเร็ว ใครจะเจาะเข้าไปก็ยาก อันนี้เป็นอันหนึ่งที่เป็นนวัตกรรมทางสังคมที่ผมสร้างขึ้นมา
เอาจากปรัชญาของพระธรรมวินัยบวกกับโครงสร้างของมหาลัยอ๊อกซฟอร์ด ทำให้เกิดเป็นโครงสร้างของสภาธรรมกายสากล
ส่วนเรื่องเงินทอง วัดพระธรรมกายมีลักษณะหนึ่งก็คือเงินสำคัญ เขามองกระเป๋าเงิน คุณมีเงินเท่าไหร่ ก็จะเอาเรื่องนี้ก่อน คือธัมมชโยแกเป็นคนชอบอ่านหนังสือ แกเรียนจบสวนกุหลาบ จะอ่านหนังสือทุกเล่มในห้องสมุดโรงเรียนสวนกุหลาบอ่านหมดเลย แล้วก็เดินตามแผงหนังสือสวนหลวง แกก็ชอบอ่านประวัติบุคคลสำคัญแกก็ติดใจอยู่ที่ อด๊อฟ ฮิตเลอร์
ฮิตเลอร์มีแรงบันดาลใจ 3 ขั้นสู่ความยิ่งใหญ่ เริ่มจากเยาวชนก่อน ต่อมานักธุรกิจต่อมานักการเมือง บันได 3 ขั้นสู่ความยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้น แกเจริญรอยตามฮิตเลอร์
ฮิตเลอร์เกิด 20 เมษายน ที่ออสเตรีย แกเกิดสิงห์บุรี 22 เมษายน แล้วแกก็เดินตามฮิตเลอร์ เปี๊ยบเลย
แกทำให้เกิดเครือข่ายชมรมพุทธจุฬา แกเป็นศิษย์เก่าเกษตร ก็มีเผด็จ ทัตตชีโว แกเป็นนักเลง ชอบชกต่อย เป็นสมาชิกแก๊งซาเตี๊ยม ชอบเรียนวิชามารอยู่ยงคงกระพัน แกก็ได้เผด็จ ทัตตชีโวมาเป็นผู้ช่วย ได้เป็นรองเจ้าอาวาส แล้วก็ช่วยกันสร้างวัดขึ้นมา
แต่ก็จะดูก่อนว่ากระเป๋าหนักหรือเบา แกจะคำนึงถึง แล้วก็ไม่เคยหยุดรายได้บริจาคแม้แต่วันเดียวจนถึงวันนี้ วัดปากน้ำถึงเวลาก็จะประกาศวันนี้มีคนทำบุญ มารับใบอนุโมทนาบัตรไปหักภาษีได้ มีใครเป็นคนถวาย แต่ที่วัดพระธรรมกายไม่เคยเปิดเผย ทุกอย่างเป็นความลับหมด
กฐินในวัดพระธรรมกายทุกวันนี้ยอดหลักๆ หมื่นกว่าล้านต่อปี แต่แกไม่ยอมประกาศ
พ่อครูว่า… ทุกวันนี้ก็ยังได้หมื่นกว่าล้านเหรอ
ดร.นพ.มโน ว่า… เดี๋ยวนี้ประมาณพันกว่าล้าน ก็ยังเยอะอยู่ ตั้งแต่ 2557 ผมถึงออกมาวิพากษ์วิจารณ์คณะ ตอนนี้ก็คนก็ลดลงๆ รายได้กฐินจากหมื่นกว่าล้านก็เหลือพันกว่าล้าน เริ่มมีคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ซึ่งสมัยนั้น รัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์ แล้วก็เป็นรองนายกด้วย ก็เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของเขา ก็ให้รางวัลดีเด่นกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 10%ต่อปี คนที่สะสมเงินมา ตลอดชีวิตเลย ก็คิดว่า 10% นี้มันเยอะ ก็เลยเอาไปฝาก แมงเม่าก็เข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะได้รับรางวัลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์บอกว่าดีเลิศ แมงเม่าทั่วประเทศบินเข้าไปเลยครับ
แต่มันฝากแล้วถอนไม่ได้ เดี๋ยวนี้ก็ยังแห้งอยู่ ชาวบ้านที่ฝากไป ฝากแล้วถอนไม่ได้กลายเป็นแชร์ลูกโซ่ ศุภชัย ศรีศุภอักษร ก็รับ ยืดอก เขาเป็นคนทำคนเดียว ไม่เกี่ยวกับธัมมชโย แต่เงินนั้นไปถวายธัมมชโยเยอะมาก ก็มีพระองค์อื่นด้วย รับไป เข้าบัญชีโน้นบัญชีนี้เยอะแยะ
แต่สิ่งที่สังคมไม่ทราบก็คือว่า นายศุภชัย ศรีศุภอักษร แกได้เงินทอนครับ
สมมุติว่า ทอดกฐินมาปุ๊บ เขาก็ให้ลูกศิษย์วัดเอาเงินสดไปแลกเช็ค เช็คของขวัญ 1.9 ล้าน 1.9 ล้าน 1.9 ล้าน จากแบงค์สาขาย่อยตั้งแต่เชียงรากยันถึงฟิวเจอร์พาร์ครังสิต เพราะฉะนั้นต่ำกว่า 2 ล้านไม่ต้องแจ้งแบงค์ชาติ เพราะฉะนั้น 1.9 ล้าน ก็กลับมาสู่ศุภชัย
ศุภชัยหน้าใหญ่เป็นเจ้าภาพกฐิน แต่แกได้เงินทองเพื่อจะไปทำบริษัท พลังงานอีสาน ไปซื้อที่มโหฬารเลย หลายพันไร่ อาจจะเป็นหมื่นไร่ในแถวอีสาน เพราะรู้ว่ามีแก๊สธรรมชาติเยอะ เรามีแก๊สธรรมชาติคุณภาพมากด้วย เจาะลงไป NGV ไม่ต้องไปกลั่นอะไรเลย ประเทศไทยนี่อุดมสมบูรณ์ แล้วก็เอามาเสียบใส่รถ แล่นได้เลย
ธัมมชโยรู้ ใครขุมพลังงานอันนั้น กุมอนาคตประเทศ ศุภชัยก็ตั้งหน้าตั้งตาจะเป็น CEO ของบริษัทพลังงานอีสานทั้งหมด แล้วใครเป็นคนคุม ศุภชัย ก็คือ ธัมมชโย
เพราะฉะนั้นตอนนี้ศุภชัยก็ยังอยู่ในคุกอยู่ แกยืดอกรับเลยนะ ไม่ซัดทอดใครเลย แล้วเขาก็ศรัทธาธัมมชโย นับถือว่าเป็นต้นธาตุต้นธรรม
แล้วต้นธาตุคืออะไร ต้นธาตุเป็นคำเรียกพระพุทธเจ้าองค์แรก เป็นยุคหลังมหายาน มหายานจะมีพระโพธิสัตว์ 10 อันดับ พระอวโลกิเตศวร พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ เป็นโพธิสัตว์ที่ ถึงนิพพานแล้วเป็นนิยตโพธิสัตว์ไม่ปรารถนาพุทธภูมิ ขอเกิดเป็นโพธิสัตว์ต่อไปเรื่อยๆๆ จนละลึกให้สังสารวัฏให้หมดไป
ในตอนปลายยุคมหายานมันเกิดลัทธิตรีกาย มีธรรมกาย สัมโภคกาย นิรมาณกาย
แล้วตอนปลายยุคของ ลัทธิตรีกาย ก็เกิดลัทธิอีกอันหนึ่ง คือ อาทิพุทธะ บอกว่าทั้งสากลโลก สากลเกิดขึ้นมาได้เพราะมี อาทิ อาทิ แปลว่าที่ 1 แปลว่าพระเจ้าองค์แรก
เขาก็บอกว่าพระต้นธาตุใช้มาปราบมาร
พอถึงธัมมชโย ตอนแรกก็บอกว่ามาด้วยกัน ตอนแรกบอกว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำใช้คุณยายจันทร์ให้มาตามแก เป็นโพธิสัตว์อยู่ชั้นดุสิต ก็เลยลงมาเกิด นี่เป็นเวอร์ชั่นที่ 1
เวอร์ชั่นที่ 2 วันนั้นแกเขียนคัมภีร์มาเล่มหนึ่ง แกเล่าตั้งแต่ไม่มีอะไรเลย เป็นความว่างเปล่า เกิดพระต้นธาตุองค์แรก แล้วก็มีธรรมกายสีดำมืด เป็นมาร ต่อสู้กัน ต้นธาตุองค์นั้น คือธัมมชโย ตอนแรกก็บอกว่ามาด้วยกันกับหลวงพ่อวัดปากน้ำ จะมาปราบมาร แต่บังเอิญท่านไปดูดอกไม้ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แวบหนึ่ง ก็เลยห่างกันหลายสิบปี มาไม่ทัน นี่เป็นเวอร์ชั่นที่ 2
เวอร์ชั่นที่ 3 ยกฐานะอัพเกรดตัวเองเป็นพระต้นธาตุซะเองเลย เป็นผู้สร้างทุกอย่าง แม้กระทั่งนิพพาน สวรรค์ทุกชั้น นรกก็สร้างด้วย เป็นคนสร้างหมด สร้างคนเดียว เดี๋ยวนี้วัดพระธรรมกายก็ยังเชื่อว่าธัมมชโยนั่นคือพระต้นธาตุต้นธรรม
ทีนี้ มันมีอยู่ทีนึง ตอนนั้นผมต่อสู้เรื่องคดีพอดี ตอนจบมหาลัยฮาเวิร์ดใหม่ๆ ผมได้รับบัญชาจากหลวงเตี่ยวัดโพธิ์ มีการทำวันมหารำลึกที่วัดพรหมคุณาราม มีทั้งพระ เณร อุบาสกแม่ชี ทั้งหมด 9 ศพถูกยิง ถูกยิงที่ท้ายทอย ด้วยปืน .22 ปืนลูกกรดเล็กๆ บรรจงยิงที่ท้ายทอย คนยิงนี่มันรู้จักกายวิภาคศาสตร์ มันรู้จะยิงที่ไหนนัดเดียวให้ตาย
เพราะฉะนั้นโหดมาก แล้วเอาศพมากองหันหัวเข้าหากันเป็น 4 ล้อเกวียน 8 ซี่ เปลี่ยนธรรมจักรเป็นมรณะจักร ศพที่ 9 ก็เอาไว้ข้างนอก
ที่นี้เขาก็บอกว่าเด็กไทยคนหนึ่งชื่อนายโจนาธาน ดูดี้ เป็นคนฆ่าทั้งหมด 9 ศพ หลวงเตี่ยแกก็บอกว่า ภาษาอังกฤษดี ให้เข้าไปคุยกับมันในคุกว่ามันทำหรือไม่ ถ้าไม่ได้ทำก็ต้องช่วยมันออกมา
ผมก็วิ่งเต้นเข้าไปคุยกับนายดูดี้ถึงในคุกเลย ผมก็คุยอยู่จะ 10 นาทีก็มาเขียนลงมติชน ผมบอกว่าไม่ใช่คนนี้ฆ่า ก็ไม่มีคนไทยกล้าสักคนเลย ปิดกันเงียบ มีทนายขอแรง ชื่อนายปีเตอร์ แกก็ขอแรง วันละ 100 กว่าเหรียญ มีผู้ช่วย 2 คน เข้าไปในวัด ไม่มีใครพูดด้วยเลย แกก็เอาหมา สุนัขตำรวจไป 2 ตัว ไปเดินในวัดแล้วมันตื่น 2 ครั้ง
แกก็สงสัยว่าเป็นคดียาเสพติดหรือไม่ เสร็จแล้ว ผมก็ตอนนั้นก็สงสาร ทีนี้ มันจับปล่อย จับปล่อย หลายครั้ง ก็ไปจับคนมาอีกหลายสิบคน ว่าเป็นคนฆ่า ตอนนั้นก็มีญาติๆ คนถูกจับออกมาประท้วง ตอนนั้นนายดูดี้อายุ 16 ปี ไปหลอกพ่อแม่เขาว่ามาให้ปากคำ แล้วก็หลอกถามว่า นายดูดี้ วันศุกร์นี้จะอยู่ที่ไหน พ่อแม่ก็บอกว่าสงสัยจะอยู่โรงเรียนเป็นคนอัญเชิญธง
นายโจนาธานก็อยากจะเป็นนักบิน ก็ถูกหลอกให้ไปพูด กระหน่ำให้หลอกให้เขาพูดสารภาพออกไป ว่าเป็นฆาตกรหน้าหิน พ่อแม่ของโจนาธาน ดูดี้ ก็มาโทรศัพท์หาผมบอกว่าจะช่วยเขา ผมก็บอกว่าต้องช่วยแพะ ติดต่อโปรเฟสเซอร์คนหนึ่งที่ฮาเวิร์ด ก็ต้องมาหาเงิน ธัมมชโย วินาทีสุดท้ายก็ให้เงินมา 18 ล้าน ประมาณ 7 แสนห้าหมื่น เหรียญ ยอมเป็นหนี้ ผมก็คุยกับธัมมชโยจะยืมนะครับ 18 ล้าน ดอกเบี้ย 9.8% เกือบ 10 ให้ผมหาคืนภายใน 3 เดือน ห้ามบอกว่าเงินนี้ใครให้มา
ผมก็วิ่งหาอยู่ จนกระทั่งเจอครอบครัวที่เขาแตกแยกหมด มีคุณครูคนหนึ่งที่ระยองแกมีบ้านอยู่ 4 หลัง ขายไปแล้ว 3 หลัง เอาเงินมาทำบุญที่วัด แกเหลือหลังสุดท้ายเป็นมรดกที่พ่อให้มา แกถามผมว่าเอาเงินไปจำนองดีไหมเพื่อไปสร้างธรรมกายเจดีย์ แล้วก็ถามต่อว่า ทำไมสามีถึงไม่ค่อยกลับบ้านเลย สามีเป็นสถาปนิก ลูกก็เอนทรานซ์ปีนี้ ไม่รู้เมื่อไรบุญจะส่งผลซักที
ผมก็ดูแล้ว ตัวแกมีปัญหา เพราะแกบ้าบุญ ทำบุญแบบบ้าคลั่ง ตอนเย็นๆแกก็เปิดบ้านแกเป็นที่สวดมนต์ทำวัตรเย็น สามีเปิดประตูบ้านเข้ามา ก็เจอคนแปลกหน้าสวดมนต์กันใหญ่อาทิตย์นึงแกก็ไปรักษาศีล 8 ที่ธรรมกายอีก ลูกก็เลยบอกว่า แม่ทำไมเป็นอย่างนี้ไปแล้ว สามีจะกลับบ้านทำไม กลับไปแล้วเจอแต่คนแปลกหน้าที่บ้านตัวเอง
ตอนนั้นผมนั่งรถจากระยองไปถึงวัดธรรมกายก็เลยบอกว่าหลวงพ่อดำเนินนโยบาย แบบนี้ไม่ได้นะ ทำให้บ้านแตกสาแหรกขาดกันหมด ต้องเปลี่ยนนโยบายทำอย่างไงให้ครอบครัวเขาประสบความอบอุ่น เขาจะมาทำบุญเอง
ธัมมชโยก็จ้องหน้าผม แล้วก็พูดบอกว่า ท่านรู้ไหมว่าหลวงพ่อเป็นใคร คิดว่าแค่เป็นหลวงพ่อธัมมชโยเจ้าอาวาสวัดธรรมกายใช่ไหม ท่านเข้าใจผิดแล้ว ผมก็คิดว่า โอ้ อยู่ไม่ได้แล้วเว้ย ท่านไปซะแล้ว สติท่านสูญเสียไปแล้ว พยายามให้ผมเชื่อว่าท่านเป็นต้นธาตุต้นธรรม
ไปบอกญาติโยมว่าอีกหน่อยจะมาแทนท่าน ผมก็เลยโดนแกล้งเป็นเป้าใหญ่ ทัตตชีโวก็แกล้งแล้วแกล้งอีก ผมก็คิดว่าอย่างนี้มันแย่ ต่อมาผมก็เลยเขียนจดหมายลาออกจากทุกตำแหน่ง แล้วกลับไปอยู่วัดราชโอรสดังเดิม ผมคิดว่าผมทำงานกับพระเจ้าไม่ได้ ผมทำงานกับมนุษย์ปุถุชนได้ แต่ทำงานกับ God ไม่ได้ แกเป็น 2 ตำแหน่งนะ เป็นศาสดาด้วย ของศาสนาใหม่ แล้วก็เป็นอวตารของพระผู้เป็นเจ้า เป็นอวตาร
ผมคิดว่ามันไปกันใหญ่ ผมเป็นทายาทรับมรดกนี้ไม่ได้ ผมก็เลยออกมาที่วัดราชโอรสตามเดิม นี่ก็คือที่มา
แต่ผมก็รู้นะ นายโจนาธาน ดูดี้ โปรเฟสเซอร์ ก็ช่วย ขึ้นศาลก็ชนะ 4 ศาล ก็เรียกนาย ดูดี้ว่า ยูจะยอมรับว่ามีส่วนอยู่ในที่เกิดเหตุ แล้วถือว่าเจ๊ากันไป เดินออกจากคุกนี้ไปได้เลยหรือจะให้พิจารณาคดีใหม่ นายดูดี้ก็บอก มันไม่ได้ทำ ให้ไปพิจารณาคดีใหม่
เมื่อพิจารณาคดีใหม่ พยานเหลืออยู่ปากเดียว อัยการที่ทำคดีนี้มีอันเป็นไปหมด ตำรวจนักสืบตายไปหมดแล้ว ปืนที่ยึดได้จากนักเลงก็ตายไปแล้ว พยานที่ซัดทอดนายดูดี้ก็ตายไปแล้ว แล้วก็มีเพื่อนเขาชื่อ อเล็กซ์ ก็ซัดทอดคนเดียว แล้วก็อ่านคำให้การ แล้วศาลก็อนุมัติให้อ่าน ต่อหน้าลูกขุน
ตอนนั้นพ่อเลี้ยงของนาย ดูดี้ ชื่อไบรอัน ดูดี้ ก็โทรศัพท์ให้ผมบอกว่ามีสิทธิ์จะหลุดมาก ส่งตั๋วเครื่องบินให้ผมไป ปรากฏว่า มีอยู่คนหนึ่ง ฮังจูรี่ ไม่ยอม แต่ดูดี้ ไม่รู้ว่านี่เป็นคดีการเมือง ถ้าขึ้นศาลแล้วพบว่าดูดี้ บริสุทธิ์ ไปตรวจที่รัฐอริโซน่า ต้องจ่ายเงินให้ไปหลายร้อยล้านเหรียญ มันเป็นคดีการเมือง ซึ่งอัยการสูงสุดของอริโซน่ามันได้รับเลือกตั้งมา มันยอมแพ้ไม่ได้ ถ้าแพ้ รัฐแอริโซนาต้องจ่ายเงินหลายร้อยล้าน ในที่สุดก็เปลี่ยนลูกขุนไปเรื่อยๆ ก็ตัดสินไปอยู่ในคุก 200 กว่าปี
เป็นที่มาจากประสบการณ์ที่ผมเจอกับธัมมชโย ผมก็บังเอิญ ไปมีวัดอันนึง มีพระมหาประเสริฐ ปธ.9 ไปเปิดวัดที่เบอร์ลิน ก็มีปัญหา ผมก็เลยต้องไปช่วย ไปคุยกับอาจารย์คนหนึ่งที่เป็นโปรเฟสเซอร์ สนใจเรื่องพุทธศาสนาประเทศไทย สมเด็จพระญาณสังวรองค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์
ประวัติศาสตร์ไทยซึ่งไม่เหมือนแบบที่เราเรียน ผมก็ดีใจมากที่เราได้อ่านประวัติศาสตร์ไทยสนุกครับ
วันนี้เราพูดถึงบาปของทุนนิยมกัน มันเป็นปัญหาเยอะ ตั้งแต่สมัยอดัมสมิธ ศตวรรษที่ 19 แกก็คิดทฤษฎีอุปสงค์ อุปทาน ต่อมามีนักคิดคนสำคัญชื่อ มาร์กซิส คาร์ลมาร์ค ทำวิจัยที่อังกฤษแล้วก็เขียน Dark Capital เป็นภาษาเยอรมันว่า ทุนนิยม แคปปิตอลลิซึ่ม บอกว่าชนชั้นมี 2 ชนชั้น พวกหนึ่งเป็นพวกชั้นสูง อันล่างเป็นกรรมกรชาวนา
ชนชั้นสูงก็กดขี่ข่มเหงคนชั้นล่าง มีวิธีเดียวคือต้องลุกขึ้นปฏิวัติ โดยทำพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นมา คาร์ลมาร์ก ก็ตายอย่างยากจนที่อังกฤษ แต่ที่ลอนดอนก็ทำอนุสาวรีย์ให้แก่แก หนังสือนี้ก็ทำให้เป็นหนังสือสำคัญทำให้เหมาเจ๋อตุง เอาชนะเจียงไคเช็คได้
ต่อมาก็ มีนักคิดเรื่องเศรษฐศาสตร์อีกประเภทนึงขึ้นมา สุดท้ายก็คือ Chicago เป็น neoliberal เอาเงินเป็นตัวตั้ง มีเงินไหม แต่ผมเอง ผมศรัทธามหาตมะคานธี เพราะคานธีเอาเรื่องศาสนามาผนวกด้วย แกถือเรื่องสัตยาเคราะห์ ถือความสัตย์ว่าคุณจะต้องไม่โกหกนะ แล้วก็พัฒนาระดับท้องถิ่น กระจายอำนาจครับ
คานธีถือว่า จะต้องพึ่งตนเองให้ได้ แกถึงขนาดมาปั่นฝ้ายด้วยตัวเอง ทำผ้านุ่งของแก แล้วก็มีผ้าพาดคออีก โจงกระเบน รองเท้าแตะ ทำด้วยตัวเองหมดเลยนะ เอาปอมาเย็บมามัด จนกระทั่งกลายเป็นรองเท้า มหาตมะคานธีเป็นคนสำคัญจนเอาชนะอังกฤษได้
แนวคิดคานธี แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกจะปฏิเสธรุนแรงเลย เรื่องความก้าวหน้าแบบทุนนิยมของตะวันตกทั้งหมดไม่เอา ยุคที่ 2 ประมาณปี 1991 สมัย ร.6 คานธีมีไอเดียใหม่ ซึ่งจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้วก็กระจายอำนาจ มีขบวนการสรรโวทัยเกิดขึ้น คือทุกคนต้องเท่ากันหมด ไม่มีวรรณะ เท่ากันเสมอกัน แล้วในสุดท้าย คานธีก็มาจบลงด้วยพัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบของคานธี
คือทำที่อยู่ของตัวเองให้ดีก่อน ใช้ให้น้อยที่สุด ใช้วัตถุต่างๆให้น้อยที่สุด เดี๋ยวนี้ โมดี้ก็เอานโยบายของคานธี มาใช้ เขายิงจรวดส่งดาวเทียมไปดาวอังคาร กม.หนึ่ง เสีย 7 รูปี ถูกมากเลย อินเดียส่งดาวเทียมไปวนรอบดาวอังคาร ถูกกว่าที่หนังเรื่องนี้ใช้อีก กม. 1 แค่ 7 รูปี
คานธีทำให้อนาคตของอินเดียตั้งตัวได้ แล้วก็กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้หมด รัฐบาลต้องเล็กกระทัดรัด แล้วอย่าพูดโกหกนะ
ตอนนี้โมดี้ เปลี่ยนอะไรในอินเดียไปเยอะ แกสร้างบ้านให้คนจน 500 ล้านหลังคาเรือน อยู่ฟรี คนที่เป็นมนุษย์รู พวกจัณฑาล ไม่ใช่เกิดจากแต่งงานข้ามวรรณะนะ แต่เป็นประเภทคนรู นอกวรรณะ เหมือนกับผีตองเหลือง ขุดรูอยู่ คือในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์บอกเลยว่า ถ้าพวกจัณฑาลเดินเข้าหมู่บ้านต้องปิดประตูปิดหน้าต่างห้ามมอง พวกนี้เหมือนผีตองเหลือง แต่งกายรุ่งริ่ง หากินกับกองขยะ แล้ว อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ภาษาใช้ภาษาคนละแบบ ไม่ใช่ฮินดี พูดไม่เป็นเขียนไม่เป็น
โมดี้ก็เลยบอกว่า จัณฑาลของอินเดียทุกคน เปิดให้คนทุกคนมาเปิดบัญชีโดยสแกนนิ้วมือ โดยไม่ต้องเขียนหนังสือ ไม่มีลายเซ็น แล้วรัฐบาลส่งตรงเลยครับ ไม่ผ่านตัวกลาง เดือนละ 2,000 รูปีเข้าบัญชีไปเลย ทุกคน ยกระดับความเป็นอยู่ ของพวกคนชั้นล่างขึ้นมา
สมัยก่อนนะครับ ตั้งแต่ยุคของอินทิรา คานธี แล้วก็นายกคนก่อนของอินเดีย ไม่ได้เอาปรัชญาของคานธีมาใช้ จะผ่านตัวกลางระบบราชการซึ่งผ่านขั้นตอนมากมายเซ็นต์แล้วเซ็นต์อีก ปรากฏว่า โมดี้ไม่ใช้ โมดี้บอกว่าต้องปลดแอกความคิดแบบอาณานิคมอังกฤษให้หมด อินเดียเรามีความศิวิไลมาหลายพันปี ความยากจนต้องไม่มี แล้วส้วมต้องสะอาด ทุกบ้านต้องมีส้วมหมด สร้างบ้านให้เยอะมากเลย เพราะฉะนั้น คนจนในอินเดียตอนนี้ไม่ต้องมีแล้ว
แล้วอินเดียแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญให้ขอทานเป็น สส.ได้ ไม่ต้องใช้เงิน บาปอันหนึ่งในประเทศไทยคือการทำการขายเสียงซื้อเสียง สส.ยังขายเสียงด้วย ไปอยู่พรรคผม ผมให้ 40 ล้านเอาไหม เอา แต่ว่าของอินเดียนะครับ เข้าชื่อเซ็นต์ บัญชีหางว่าว คนนี้ก็มาเป็นสส.ได้ถ้าจำนวนคนถึง แล้วพรรคก็ไม่ต้องมีจำนวนเงินมาก เขาไม่ต้องใช้ทุนครับ เขาใช้การนับถือความเชื่อในกันและกัน มีสัตยาเคราะห์ หรือความสัตย์ คุณต้องไม่โกหกนะ
ตอนนี้อินเดียกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ปีนี้ GDP เขา10 กว่า % ครับ แล้วก็ซื้อน้ำมันจากรัสเซียถูกกว่าที่อื่น 7% จ่ายด้วยเงินรูปีไม่ต้องใช้เงินดอลลาร์ แล้วแต่ก็ยินดี เทคโนโลยีอยากได้อะไร รัสเซียก็ขายให้หมด เพราะเป็นประเทศที่มีศักย์ไฟฟ้าสายใด
ความเป็นกลางของเขาชัดเจน เขาก็ไม่ได้เข้าข้างจีน โมดี้ เอาปรัชญาของคานธีมาใช้ อย่างได้ผล สิ่งที่เขาทำตอนแรกของการเป็นนายกคือเข้าไปยกมือไหว้มหาตมะคานธี ในรัฐสภา เขามาจากรัฐเดียวกัน แคว้นเดียวกัน คุชราตเหมือนกัน แล้วแกก็ ทำงานก้าวหน้าขึ้นมาเป็นขั้นตอน โมดี้พัฒนาอินเดียไปไกลมาก ไกลจริงๆ
มีกองทัพเรือที่ใหญ่ มีเรือบรรทุกเครื่องบิน มีเรือดำน้ำ ผลิตของ ใช้คำว่า Made In India ทำทุกอย่างในอินเดีย ผมไปที่อินเดีย ไปเห็นโรงงาน รถหุ้มเกราะของสหประชาชาติต่อในอินเดียทั้งนั้น UN มาจากอินเดียหมดเลย แต่ก่อนทำจากญี่ปุ่น เดี๋ยวนี้ไม่ เขามีโรงงานพลังงานไฟฟ้าปรมาณู ไปสู่ประเทศที่กำลังพัฒนาเขาบอกเขาเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา
แต่ด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของมหาตมะคานธี แล้วที่แน่ใจก็คือว่า เขาทำให้ไม่ใช้เงิน ไม่ใช่เงินเป็นพระเจ้า แล้วที่สำคัญก็คือคานธีนั้นเห็นว่า ศาสนาเรื่องจิตวิญญาณต้องพัฒนาคู่กันไปกับวัตถุ ทิ้งกันไม่ได้ แต่ไม่ให้เอาเงินเป็นใหญ่
คานธีเคยบอกว่า โลกเรามีทรัพยากร พอให้ความต้องการ หรือ Need ของประชากรทั้งโลกให้เพียงพอ แต่ทรัพยากรทั้งโลกนี้สำหรับปัญหาของคนๆเดียวก็ไม่พอ
เพราะฉะนั้นคานธีคิดอะไรหลายๆอย่างที่เอามาใช้ในโลกปัจจุบันได้และใช้ในการประหยัดพอเพียงทำเอง ไม่ต้องพึ่งต่างชาติ ลดการพึ่งพาคนอื่นให้มากที่สุด นี่คืออินเดียยุคใหม่ครับ นี่เป็นเรื่องที่ผมศึกษามา
เราจำเป็นต้องเอาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ทุนมีไหม สาธารณโภคี แบ่งปัน มีน้ำใจ ให้ ด้วยน้ำใจ แล้วก็สร้างพลังงานสังคม ผลักดันคนดีให้มาเป็นใหญ่ ไม่ใช้การซื้อเสียง แล้วใครโกหกอย่าไปเลือกมัน เลือกคนที่พูดจริงทำจริง จึงจะพัฒนาประเทศชาติได้
แล้วสรรโวทัย ทุกคนเท่าเทียมหมด ลุกขึ้นพร้อมๆกัน ไม่แบ่งชนชั้น นี่ปรัชญาของคานธี เป็นคนเดียวในโลกที่เอาชนะจักรวรรดิอังกฤษได้โดยไม่ใช้ความรุนแรง
พ่อครูว่า… ก็ได้ฟังประวัติศาสตร์ที่ ดร.มโน ก็เรียนมากรู้มากนะ อาตมาไม่รู้มากเท่านั้นเลย แต่อาตมาพาทำในเรื่องของที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ ต่างๆนานา
ปฏิบัติศีลด้วยลืมตาเปิดสัมมาทิฏฐิจึงเกิดสังคมบุญนิยม
เริ่มต้นตั้งแต่ ศีล ศีลคือหลักปฏิบัติ ตั้งแต่ 1 ข้อ 2 ข้อ 5 ข้อ เป็นพื้นฐาน รู้กันอยู่แล้วว่าศีล 5 เป็นพื้นฐาน
จริงๆแล้วศีล 5 เป็นพื้นฐาน ก็ครอบคลุมหมดแล้ว ศีลจริงๆนั้น 3 ข้อ คือข้อ 1 2 3 ครอบคลุมหมดแล้ว ต่อจากนั้นก็เป็นวาจา ต่อจากนั้นก็เป็นจติต ข้อที่ 5 ก็เป็นจิตข้อที่ 4 ก็เป็นสัมมาวาจา ขยายผลออกไปจาก 3 ข้อนั่นแหละ ถ้าเข้าใจแก่นแท้ 3 ข้อนี้
-
เรื่องเกี่ยวข้องกับสัตว์
-
เกี่ยวข้องกับทุกสิ่งทุกอย่างวัตถุอื่นทั้งหลาย ทุกอย่างนอกจากความเป็นสัตว์
-
เป็นเรื่องขององค์รวม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่เป็นกาม กามคุณ 5 ภายนอก
ส่วนภายในนั้นค่อยๆลึกเข้าไปตามศีลข้อที่ 5 ลึกเข้าไปเป็นขั้นๆ จากสุรา เมรยะ มัชชะ
ติดยึดเมามาย หยาบก็สุรา ไปพ้นเมรยะ พ้นมัชชะ เป็นต้น
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจทฤษฎีของพระพุทธเจ้าในเรื่องของศีลและทำให้จิตเจริญเรียกว่าอธิจิต หรือจิตสมบูรณ์ จิตละกิเลสเรียบร้อยแล้ว แล้วก็ตกผลึกลงไป เป็นอเนญชา ตั้งมั่น แข็งแรงเป็น สมาหิโต
ซึ่งไม่เหมือนที่เขาอธิบายกันถึงเรื่องสมาธิ มันเป็นเรื่องนอกรีต ของพระพุทธเจ้านั้นทุกวันนี้ก็ยังเข้าใจสมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ได้ แม้แต่การปฏิบัติศีลเพื่อให้เกิดอธิจิต เพื่อให้เกิดอธิปัญญา เขาก็ไม่เข้าใจ
ปฏิบัติศีลไปเป็นจารีตประเพณี เป็นมะยังภันเตวิสุงวิสุงไป เขาบอกว่าควบคุมได้แต่กายวาจา ไม่ได้เกี่ยวกับจิต นี่มันก็ตัดทิ้งแล้ว เพราะฉะนั้น ศีลก็ไม่มีประโยชน์ ได้แต่กายกับวาจา กายกับวาจาไม่เที่ยง จะเที่ยงได้ต้องมีจิตเป็นประธาน จิตเป็นประธานจึงจะเที่ยง จิตต้องหมดกิเลสจึงจะตั้งมั่นแข็งแรง เพราะจิตที่มีความจริงมีสัจจะที่ไม่มีกิเลสเป็นตัวบังคับ มันจึงจะจริง
แต่เขาไม่ได้ศึกษาอย่างนั้นเลย อย่างที่เป็นการเปิดศึกษาในขณะนี้ ทิฏฐธรรม ในขณะเป็นปัจจุบันชาติหรือปัจจุบันกาล ถ้าไม่มีตัวปัจจุบันชาติ ไม่มี ทิฏฐธรรม นิพพานทิฏฐิ
เพราะฉะนั้นทิฏฐิใดที่ไม่มีนิพพานเป็นทิฐธรรม นิพพานในขณะปัจจุบัน เป็น จักขุมาปรินิพพุโพติ นิพพานในขณะตาเปิดๆ ไม่ใช่ไปหลับตา ไปรู้จักสัมภเวสี อยู่ในภพอยู่ในภวังค์ ไม่ใช่
อยู่ในลืมตาทั้งหมดเลย แม้แต่ลืมตาพ้นกามคุณ 5 ภายนอกจากตาหูจมูกลิ้นกายแล้ว พ้นแล้ว แม้จะเข้าไปล้างกิเลสในรูปภพ อรูปภพ เป็น รูปาวจร อรูปาวจร ก็ต้องตาเปิดๆ หูเปิดๆ ตาเปิดๆ ทวาร 5 เปิด เปิดสัมผัสอยู่นี่แหละ แต่ทางนี้เรามีอุตรธรรมแล้วเหนือกามเหนือโลกภายนอกหมดแล้ว กามหรือว่า กิเลสในภายนอกทำอะไรเราไม่ได้แล้ว ไม่ต้องไปหลับตาไม่ต้องหนีเลย อยู่เหนือ อุตระ
ซึ่งคนเข้าใจไม่ได้แล้ว มันเสื่อมไปจนกระทั่งภูมิธรรมความเฉลียวฉลาดมันพิการไปหมดแล้ว ฟังอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องแล้วมันพิการจริง ต้องมาบูรณะประสาทใหม่ บูรณะสมองใหม่บูรณะความรู้กันใหม่เลย
มันเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อยมากเลย อาตมาเห็นความเสื่อมของศาสนาพุทธแล้ว ทำมา 50 ปี อาตมาก็พอใจที่มีคนข้าม โอฆะสงสาร ข้ามที่มันพาผิดกันมาได้ ถึงขั้นนี้ ถึงขนาดนี้ แล้วก็มาบรรลุธรรม ในตาเปิดๆ หรือ บรรลุธรรมอย่างมีปัจจุบันชาติ
จนกระทั่งได้หมู่ได้มวล มา อาตมาก็บัญญัติศัพท์ ให้พวกเราเข้าใจในยุคนี้ ไม่ใช่ไปบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ แต่มันเป็นเนื้อหาของพระพุทธเจ้าแท้ๆ แต่เป็นบัญญัติสมัยใหม่คำว่า “บุญ” กับคำว่า “นิยม”
นิยม คือเที่ยง บุญ คือฆ่ากิเลสตายจนเที่ยงแท้ เป็นสมาธิที่แท้ เป็นต้น แล้วก็พาปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา หรือ จรณะ 15 วิชชา 8 ที่เป็นพุทธคุณแท้ๆ ของพระพุทธเจ้า ในพุทธคุณ 9 มีข้อเดียวนี่แหละเป็นข้อเรียนรู้ ข้อปฏิบัติ และการปฏิบัติ จนเกิดทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ก็อยู่ในข้อ วิชชาจรณะสัมปันโน นี่แหละ ทั้งนั้น
ก็อธิบายแล้วก็นำพาปฏิบัติกันจนกระทั่งเกิดจริง สรุปลงไปก็คือ อาตมาสามารถที่จะทำได้เป็นบุญนิยม ในความหมายที่อาตมาพยายามใช้ภาษา 2 คำนี้ มาใช้อธิบาย แต่ไม่ได้ไปบัญญัติใหม่คำว่า นิยม คือภาษาบาลี คำว่า บุญ ก็เป็นภาษาบาลี ไม่ได้เปลี่ยนแปลงบัญญัติพระพุทธเจ้าใหม่อะไร แต่มาทำให้ฆ่ากิเลส ให้จิตมันแข็งแรง มั่นคง ถาวร อย่างเที่ยงแท้ ถ้าจะแปลเอาความสั้นๆแค่นี้อย่างนี้ ก็คือทำสำเร็จ
จนเกิดเป็นมนุษย์ที่หมดกิเลสได้ตั้งแต่ขั้นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์อยู่ในชาวอโศก แต่คนเขาไม่รู้จักความเป็นอรหันต์แล้ว อย่าว่าแต่อรหันต์เลย โสดาบันเขาก็ไม่รู้ แต่ชาวอโศกนี้เป็นจริงได้จริง จึงมารวมตัวกัน น้ำก็ไหลไปหาน้ำ น้ำมันก็ไหลไปหาน้ำมัน อโศกจะเป็นน้ำหรือเป็นน้ำมันก็แล้วแต่ ก็มารวมกันเป็นเอกภาพเป็น เอกีภาวะ กันจริงๆและอยู่กันอย่างมีสาราณียธรรม 6 สาราณียธรรม 6 อยู่กันอย่าง เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ตามฉายาของคุณเมตตานันโท อยู่กันอย่างเมตตาจิต อุ้มชูเกื้อกูลช่วยเหลือ อยู่กันอย่างนั้นจริงๆเลย
เอาพุทธพจน์ 7 ของพระพุทธเจ้ามาจับ จะเกิดสาธารณโภคีต้องมี สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ ได้จริงเลย
จนกระทั่งเกิดจริงตรงกลางของ สาราณียะ คือ ข้อที่ 4 ลาภที่ได้โดยธรรม แล้วเอามารวมกันเป็นส่วนกลาง กินใช้กันส่วนกลาง
แล้วทุกคนอยู่ในระบบของทิฏฐิสามัญญตา ศีลสามัญญตา ปฏิบัติเพื่อลดละตัวตน จนไม่มีตัวตนจริงๆ เป็นพระอรหันต์กันจริงๆ มีปฏิภาณ มีสัมมาทิฏฐิกัน เป็นทิฏฐิสามัญญตาหมด แล้วมาปฏิบัติศีลสามัญญตากันได้ จึงเกิดผลจริงเป็นสังคมสาธารณโภคี สำเร็จ
มีสาราณียธรรม 6 อยู่กันอย่างจริงจังเลย ทุกวันนี้เป็นปรากฏการณ์ เป็นฟีโนมีนอลที่แท้จริงเลยในชาวอโศก แล้วก็มีกระจายไปเป็นชุมชนเป็นฟีโนมีน่า เป็นชุมชนของชาวอโศกทุกสังคมสาธารณโภคี ทุกสังคมมี สาราณียธรรม 6 ครบอยู่ในนี้
แต่คนมองไม่ออก ชาวพุทธก็มองไม่ออก จะไปพูดถึงชาวตะวันตกเช้าพระเจ้าไม่ต้องพูดถึงเลย เขามองไม่ออกแน่ๆ แต่ชาวพุทธหรือชาวอโศกนี้ทำสำเร็จ ทำได้เป็นตัวอย่างไว้ แล้วก็จะฝังรากฝังรอยไว้เลย อาตมาขอใช้ศัพท์คำโลกๆ นี่
โลกุตรธรรมที่ชาวอโศกได้ เป็นอาริยะ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์
อรหันต์จริงๆ ซึ่งอาตมาก็ขยายความ พวกเราก็เข้าใจแล้วพวกเราก็ตายอยู่ในนี้ก็มี เป็นอรหันต์ที่ตายไปแล้วก็มี มีปัจจุบันที่เป็นอรหันต์อยู่นี้มีไม่ตั้งกี่คน แต่อาตมาไม่ต้องการไปชี้ว่าคุณเป็นอรหันต์แล้ว ให้เขารู้ด้วยตนเป็นปัจจัตตัง เขาสิ้นกิเลสแล้ว กิเลสกาม เป็นอย่างไร กิเลสรูป อรูป เป็นอย่างไร อาสวะหมดเป็นอย่างนี้แล้ว เขาจะรู้เอง
ยุคนี้คนหมดอาสวะอนุสัย เป็นได้ในชาวอโศก
อาสวะนั้นจะมีคู่อีกตัวหนึ่งคืออนุสัย ขอพูดลึกลงไป อนุสัยอาสวะนั้นไม่ใช่ภาวะธรรมดาที่จะรู้กันเป็น อจินไตย
อาสวะ คือการบรรลุธรรมของปัญญาวิมุตติ
ตัวอนุสัย ตัวซ้อนลึก เป็นการบรรลุธรรมของ อุภโตภาควิมุติ
ผู้ที่เป็นอรหันต์พระพุทธเจ้าตัด curve ที่พ้นอาสวะไม่ถึงขั้นพ้นอนุสัยก็ได้แล้ว ตัดcurveเป็นอรหันต์แล้ว อาสวะสิ้น
แต่อนุสัย มี 2 สภาพ เป็นสภาวะ 2 เป็นเทวธัมมา เป็นสิ่งที่ผู้ยังมีชีวะ สามารถที่จะควบคุมอนุสัย อยู่เหนืออนุสัย จัดการอนุสัย ให้เป็นผิด ให้เป็นถูก ได้ นี่คือความเป็นสิริมหามายา ของศาสนาพุทธ
เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าสังคม เหตุปัจจัย หรืออยู่ในองค์ประกอบ อยู่ในกระบวนการของ กาละ เทศะ ฐานะ ตั้งแต่บุคคล สถานที่ และภูมิธรรม 3 อย่างนี้ เป็น 3 เส้า
ในขณะใด ในวาระใด ในยุคใด ที่สามารถที่จะทำให้มันสมดุลได้ อิสระเสรี สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมศานต์ ด้จริง อันนี้ จะเป็นสิ่งที่เป็นคำตอบเป็นเครื่องตัดสินของมนุษยชาติ
ผู้ที่บรรลุสภาวธรรมตามพยัญชนะที่อาตมาพูดไปบ้าง แล้วคนเหล่านั้นมีจริง มันก็มารวมกันจริง แล้วก็เป็นมวลมนุษย์ที่จะมีคุณสมบัติจากจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวงได้ เป็นโสดาบัน สกิทาคา มีอนาคา มีอรหันต์ กันจริง
เพราะฉะนั้นชาวอโศกเป็นสัจธรรมของพุทธศาสนา ที่มีอาริยะ 4 เหล่า สมณะ 4 โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์จริง แต่คนเข้าใจไม่ได้
-
พวกที่เข้าใจได้ก็มีมา
-
ผู้ที่เข้าใจได้ แต่เขายังทิ้งสิ่งที่เขายังอาลัยอาวรณ์ อาลยะ เขายังอาลัย เขายังอาศัยเขายังทิ้งมาไม่ได้ ทั้งที่เข้าใจแล้ว แต่บารมีของเขายังมาไม่ได้ เขาก็ยังจมอยู่ตรงนั้น แต่เขาศรัทธา เขาเข้าใจแล้ว เดี๋ยวนี้มีคนเข้าใจอโศกอยู่ในกลุ่มนี้ ในชาวพุทธทั้งหลายแหล่มากขึ้นแล้ว แม้แต่ในวงการการศึกษา ในมหาจุฬา มหามกุฏ นักบวชเข้าใจกันบ้างแล้ว