651214 ตอบปัญหาโยมบุญ ให้รู้จักทำบุญอย่างถูกพุทธ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1HLdfMot85R1aQeMVEEQ84-oVfMoz8ddx_5SUAHg37go/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/11O5hm7l4–gMOYUGlmnCEnoTt9pBe0oH/view?usp=share_link ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/vO2NRVLOwxA และ https://fb.watch/hprB7UmUIA/ สมณะเดินดิน… วันนี้วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 6 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ก็จะหมดเดือนธันวาคมไปครึ่งนึงแล้ว เมื่อไหร่จะมีงาน รู้สึกว่าเวลารวดเร็วมาก กำหนดการวันนั้นวันนี้นึกว่าอีกนาน แต่จริงๆแล้วใกล้จะมาถึง เหมือนพ่อครูบอกว่า วันเวลาผ่านไป แก่ไม่ทันเลย อยู่ที่นี่มีงานหลายอย่าง ปีนี้แต่เดิมคาดการณ์ว่าจัดงานปีใหม่ ตลาดอาริยะเราไม่ได้จัดมานานตอนปีใหม่ เราไปจัดตอนเดือนเมษายน มาหลายปีแล้ว ก็เลยคิดว่าประชาชนจะรู้ข่าวไหม เราตั้งใจเต็มที่ แต่โอกาสจะสอดคล้องหรือไม่ แต่เมื่อเราได้เปิดร้านพิสูจน์จิตอาสาเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ดูการตอบรับของประชาชนจะมากขึ้น แนวโน้มที่กลัวว่าคนจะไม่มา กลายเป็นว่าเราจะรับไม่ไหวแทน ปีนี้เราพยายามลดราคาและขาดทุนให้มากขึ้น โรงปุ๋ยจะเปิดขายตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม เพื่อจะไม่ได้ให้คนแน่นในปีใหม่ เราขายราคาพิเศษ กระสอบละ 50 กิโลกรัม 220 บาท จะลดเหลือ 160 บาท ราคาต่างกันมากเลย ให้โอกาสเกษตรกรได้มารับ ช่วงนี้สินค้าจะเข้ามาเป็นระยะ วันนี้ 2 พ่วง พรุ่งนี้ 3 พ่วง เราไม่ห่วงว่ากี่พ่วง แต่กลัวจะไม่มีคนมาลงของเท่านั้นเอง พ่อครูว่า… ยังไง ฟังๆหน่อย อ้าวรถพ่วงมาแล้วที่บวรตอนนี้ เชิญมาช่วยกันขนลงให้หน่อย สมณะเดินดิน… กิจกรรมจะสอดคล้องกับฤดูหนาวมากเลย พูดมาทั้งหมดเพื่อให้ญาติธรรมที่ยังไม่ได้มา ก็มาร่วมกันเป็นเจ้าภาพ ไม่ได้เชิญมาเป็นแขก มีคนช่วยกันมากเท่าไหร่ก็จะประสบผลสำเร็จ เหมือนกับที่นายกลุงตู่จัดงาน APEC ทุ่มการทำงานให้ปฏิสันถารมาก แขกมาก็ได้รับการชื่นชมกัน ของเราหมู่บ้านเล็กๆ หากมีพวกเรามาร่วมช่วยต้อนรับหรือร่วมปฏิสันถารกันให้มาก จะทำให้งานของเราสมบูรณ์ขึ้น ตอนนี้ลุงไม้ร่ม เป็นผู้ทำ ภูเฮา มีศิลปินกับช่างจับมือกอดคอกัน ภูเฮาเริ่มมีรูปมีร่างขึ้นมาให้เห็น ตอนนี้ก็ขาดต้นไม้ คุณไม้ร่มไปดูหาซื้อทั่วอุบล ราคาแพงมากเขาบอกว่าต้นไม้มีไว้ขายให้คนรวย บางต้นราคาเป็นล้านบาทเลย เราไปดูที่สวนญาติธรรม ก็บอกว่าแค่ 2 สวนก็เอาต้นไม้มาใช้ทำภูเฮาได้แล้ว ตอนนี้ปัญหาก็จะหาผู้เชี่ยวชาญมาล้อมต้นไม้มาปลูกอย่างไม่เสียหายได้อย่างไร ฝากเข้าไปใครรู้จักผู้คักแหน่ ที่จะมาล้อมต้นไม้ เอามาปลูกโดยไม่บอบช้ำมาก ให้ผู้คักแหน่ มาควบคุมกำกับ เราไปดูวันนี้ คุณรุ้งบอกว่า ไปวันนี้ประหยัดไปได้หลายล้านบาทเลย คิดว่าองค์ประกอบสัปปายะ 4 ที่พ่อครูสร้างขึ้นมา นับวันจะสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น สิ่งหนึ่งที่จะสำเร็จได้เพราะมีความเจริญด้านธรรมะโลกุตระด้วย ดังนั้นเราก็มาศึกษาธรรมะโลกุตระกัน วิธีทำจิตให้มีความเป็นพีชะความเป็นอุตุ ได้อย่างไร พ่อครูว่า… เราก็พัฒนาตัวเองของแต่ละคนๆ เกิดมามีชีวิตแล้วไม่มีอะไรดีกว่ามาพัฒนาตัวเองให้มันถึงที่สุด เป็นอรหันต์ เป็นการจบกิจ เป็นอรหันต์ได้ ทำจิตวิญญาณของตนให้สลาย เลิกเวียนเกิดเวียนตาย ในวัฏสงสารนี้หรือว่าใน กาละได้อย่างแท้จริง ซึ่งผู้ที่บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้านั้น เมื่อบรรลุธรรมตั้งแต่เป็นๆ มีชีวิตเป็นๆ สามารถมีปัญญาอันยิ่งและสามารถเห็นความเกิดความตาย ความเกิดความตายของจิตวิญญาณ เกิดตายในระดับพีชะ ทำจิตวิญญาณให้เกิดตายในระดับพีชะ ก็ทำได้ เห็นจริง พิสูจน์เลยว่าในโลกนี้สิ่งที่เราสัมผัสสัมพันธ์มาสังขารปรุงแต่งกับเรา สิ่งที่เราจะไม่เกี่ยวข้องเหมือนมันตายจากเราไปเลย มันมีอยู่ในโลกดินน้ำไฟลม พีชะ สัตว์ทั้งหลาย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลาภยศ สรรเสริญ มันมีอยู่ในโลกทั้งนั้น แต่เราสัมผัสแล้ว เรามีปฏิภาณปัญญารู้ทันสิ่งเหล่านี้หมด จนสุดท้ายแล้วเราก็ มันอยู่ก็อยู่ของมันไป เราไม่ได้เกี่ยวข้องกับมันเลย เรียกว่าหลุดพ้นหรือตัดขาดจากมันได้ มันก็อยู่ของมันเป็นอุตุ อุตุก็คือมันเป็นดินน้ำไฟลมที่เราไม่ต้องการใช้ มันอยู่ในอะไรก็แล้วแต่ เราก็ไม่ต้องการมัน มันจะปรุงแต่งอยู่ แม้แต่จะเป็นผีหลอก เป็นมนุษยชาติปรุงแต่งอยู่ เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ใส่ตนเอง ยิ่งใหญ่หรูหรามาหลอกเรา ชักชวนเรา เราก็เฉย เราไม่ได้ใยดี ไม่ได้ไปหลงที่จะไปกับรูป รสกลิ่น เสียง สัมผัส หรือ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ที่เขาเป็นอยู่ เราก็รู้ว่า เขาเป็นเขามี แต่เราไม่แล้ว มันพิสูจน์ได้เลย สิ่งนั้นเขาเป็นกัน แต่เราขาดไปเลยเป็นอุตุ มันมีอยู่เราก็สัมผัสอยู่ มันขาดจากเราเป็นอุตุ ไม่มีกายของเราไปสัมผัสตรงนั้นเลย กาย คำว่ากายะ คำนี้จึงยิ่งใหญ่มากที่จะเข้าใจได้ ก็คนจะเข้าใจว่า กายคือร่างภายนอก คำว่าภายนอกไม่ผิด แต่ว่าไม่ถูก ถ้าเข้าใจว่าเป็นเพียงภายนอกอย่างเดียว กายมีอย่างเดียวไม่ได้ กายต้องมี 2 เสมอ แล้ว ทั้งภายนอกภายในนั่นแหละเป็นตัวหลัก และแม้จะขยับเข้าไปถึงข้างใน เราหลุดพ้นจากตาหูจมูกลิ้นกายแล้วขยับเข้าไปภายใน สัมผัสอยู่เป็นรูปเป็นนาม เราก็ไม่ได้เรียก กาย เต็มที่ อยู่ภายในเราไม่เรียก กาย เต็มที่ ก็พอเข้าใจกัน เพราะคนที่มิจฉาทิฏฐิเลยเถิดสุดโต่งก็นึกว่ากายมีแต่เพียงภายนอก ข้างในไม่มีกายเลย ไม่มีสภาพ 2 เลย ที่จริงแล้ว กาย ต้องเป็นสภาพ 2 เสมอ อย่างนี้เป็นต้น ไปเหลือแต่จิตในจิต ก็เลยเอาแต่จิตในจิต ไม่มีสัมผัสภายนอกเลย อันนี้แหละ ผิด ผิด เพราะฉะนั้นต้องมีกาย มีสัญญา มีวิญญาณฐีติ วิญญาณที่ตั้งอยู่ทางรูปทางตา ทางหู จมูก ลิ้น กาย 5 ทวาร ต้องมีทั้ง 5 ทวารทั้งอยู่พร้อมทั้งภายนอกและภายใน มีกาย 5 เรียกว่า วิญญาณฐีติ วิญญาณตั้งอยู่ทางตา วิญญาณตั้งอยู่ทางหู วิญญาณตั้งอยู่ทางจมูก วิญญาณตั้งอยู่ทางลิ้น วิญญาณตั้งอยู่ทางโผฏฐัพพะ ทางภายนอกสัมผัส แตะต้องกับผิวหนัง โผฏฐัพพะ ของเรา ทั้งหมดภายนอก ก็ผิวทั้งนั้น ภาษาไทย ผิว ภาษาบาลีก็เป็นโผฏฐัพพะ เมื่อสามารถสัมผัสแล้ว ก็เอามาปรุงแต่งเป็นชีวะ ที่มีรส เสพรส อยู่เป็นจิตนิยาม ไม่เสพรส รู้ความจริงเฉยๆ เรียกว่าพืช ขาดจากเราออกไปเลย ไม่มีชีวะในตัวเราเลย เป็นดิน น้ำ ไฟ ลมไปเลย นั่นคือ อุตุ _มีคุณฉลวย วิฆเนศ เขียนถามมาว่า…วันนี้ผมไปโรงพยาบาลเพื่อถอนฟันที่โยกออก 1 ซี่ นึกถึงคำสอนของพ่อครูที่บอกว่าฟันที่หลุดออกไปแล้วมันก็คือ อุตุ ดินน้ำลมไฟ ถ้าเช่นนั้นอาการที่เจ็บปวดทรมานนั้นเกิดจาก กาย ที่มีวิญญาณเป็นเวทนาใช่ไหมครับ พ่อครูว่า… ใช่ คุณใช้พยัญชนะถามมาถูกต้อง แต่คุณจะเข้าใจคำว่ากายที่มีวิญญาณเป็นเวทนา ที่คุณใช้ภาษาเขียนมาเองเลย กาย คือขนาดไหน วิญญาณ คือขนาดไหน เวทนาคือขนาดไหน ถ้าคุณเข้าใจชัดเลย เพราะจริงๆแล้วคำว่า กาย มันไม่รู้สึกเจ็บปวด กายนี่ ไม่รู้สึกเจ็บปวด เพราะฉะนั้น เมื่อ กาย มันไม่รู้สึกเจ็บปวด ก็คือมันไม่มีกายกับจิตของเรา ถ้า กาย ยังรู้สึกเจ็บปวด เราก็มีจิตวิญญาณ มีเวทนา เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด เฉยๆ อาตมาใช้เล็บอธิบาย ทีนี้คุณฉลวยไปเอาฟัน ฟันก็เป็นสิ่งหนึ่งในมูลกรรมฐาน 5 ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แต่ ฟัน มันจะยาก อธิบายยากกว่าเล็บ ก็ไม่เป็นไร ลองฟัง ฟัน ดูก็ได้ คุณเฉลยถามว่า ถอนฟันออกแล้วมันจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกแล้วมันเป็นอุตุไปเลยก็ใช่ มันก็ไม่มีปัญหา ง่าย ถอนออกไปเลยทั้งดุ้น ฟันนั้นก็เหตุแห่งทุกข์ แต่ถ้าแผลหรือเหงือกของคุณ ตรงที่มันถอดออกมานั่นแหละ มันยังระบม มันยังมีความไม่สนิท มันก็เจ็บตรงนั้น แต่มันไม่ได้เจ็บที่ฟันเป็นเหตุ ฟันมันหลุดออกไปแล้ว ก็น่าจะหาย เป็นวิธีบำบัดที่ง่ายที่สุดคือ ทำลาย จัดการให้มันเป็นอุตุไปเลย มันถอดออกไป มันถอดตัวเองมันเป็นอุตุ แต่ถ้ามันยังมีอยู่ในตัวเรา แต่มันเป็นพีชะ ฟังดีๆนะ วันนี้ไม่ง่าย แต่ต้องเข้าใจให้ได้แล้วทำแล้วก็รู้จักความจริงมันจึงบรรลุอรหันต์ ถ้าไม่รู้มันไม่บรรลุอรหันต์นะ นี่ตรงนี้ เพราะฉะนั้น มันเป็นชีวะ ยังเป็นชีวิตอยู่ แต่ถ้าจิตวิญญาณมัน สามารถทำให้มีความเป็นพืชหรือเป็นพีชะ เป็นพีชนิยามหรือเป็นพีชธาตุได้ เป็นลักษณะเหมือนพืชได้ พืช ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ เพราะฉะนั้น พืชจึงไม่มีวิบากกรรม จิตวิญญาณที่ตกลงไปถึงขั้นพืช หมดแล้วที่จะมีจองเวรจองกรรม จองบาปจองบุญอะไร ไม่มีแล้ว พืชจึงไม่เกิดบาปเกิดบุญจะเป็นจะตายอย่างไร แล้วจัดการกับชีวะของพืช พืชก็ไม่มีตัวที่จะมาจองเวรจองกรรม ไม่มีบาปมีบุญอะไร แต่คนที่ยังสับสนอยู่ว่ามันเป็นชีวะ มันก็ต้องมีบาป ก็ว่าไป เขายึดถืออย่างนั้น เข้าใจอย่างนั้นก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรกันต่อ แต่ของพระพุทธเจ้านี้ชัดเจน เพราะฉะนั้น เมื่อฟันของคุณที่คุณฉลวยถามมา มันหลุดออกไปแล้วมันก็หมด มันไม่มีทุกข์แล้ว คุณทำให้เป็นอุตุไปเลยได้ แต่ถ้ามันยังไม่ออกไปมันยังอยู่ในประสาทยังเกี่ยวข้องกันอยู่ แต่เราทำจิตของเราให้อยู่เหนือประสาท สามารถทำความรู้สึกหรือจิตวิญญาณเหนือประสาท เหนือคือ แม้มันจะกระทบสัมผัสอยู่ มันอยู่ในประสาทนะ ยังอยู่ในชีวิตของเรานะ ฟันก็ตาม เล็บก็ตาม ขนก็ตาม หนังก็ตาม เมื่อกระทบสัมผัสอยู่แล้วมันก็ไม่รู้สึกเจ็บรู้สึกปวด ไม่รู้สึกทุกข์ไม่รู้สึกสุขอะไร กระทบสัมผัสก็เฉยๆกลางๆ จะกระทบสัมผัสเสียดสีอย่างไรก็เฉยๆกลางๆ กระทบแล้วก็เจ็บ กระทบเบาๆก็ไม่เป็นไร กระทบแรงๆมันก็เจ็บ ไม่ได้เจ็บที่เล็บหรือที่ฟัน ไม่ต้องพูดถึงผมไม่ต้องพูดถึงหนัง มันจะเยอะ ผมมันก็ง่ายเกิน มันยาว ยิ่งปลายๆ ยิ่งไม่รู้สึกแย่เลย ถ้าไม่กระตุกขึ้นมาไม่รู้สึกหรอกผม ถ้าเผื่อว่าไม่รู้สึกเลย กับไม่รู้สึกเจ็บ ถ้ารู้สึกเจ็บ มันก็กระเทือนไปถึงประสาท ถ้ารู้สึกเจ็บกระเทือนไปถึงประสาทก็ดี แต่คุณก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร รู้เหตุปัจจัยจริงๆ ว่า อ้อ มันกระแทกแรง ก็เลย มันก็บอกอาการ แรงมันก็เจ็บ เจ็บเพราะแรงกระแทก ไม่ได้เจ็บไม่ได้ปวดเพราะ เราชอบเราชังอะไรพวกนี้ ยึดมั่นถือมั่นเจ็บใจ เป็นต้น เพราะจิตเป็นอุปาทานว่า มันเจ็บ แต่ถ้ามันไม่กระเทือนถึงประสาท มันเป็นเรื่องของรูปธรรมเท่านั้น มันไม่มีนามธรรมอะไร กระเทือนมากก็เจ็บ ไม่กระเทือนมากก็กลางๆ กระเทือนธรรมดาก็รู้สึกว่ามีสิ่งกระทบสัมผัสเท่านั้น แล้วมันก็เฉยๆกลางๆ ไม่ว่าฟันหรือเล็บ ส่วนที่มันไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือมันกระทบแรงถึงประสาท มันก็กลางๆเฉยๆแต่รู้ว่ามันถูกสัมผัส หรือบางทีไม่รู้ถูกสัมผัส อย่างผมยาวๆไปสัมผัสปลายๆ ถ้าไม่กระตุกไม่ถึงประสาทไม่รู้สึกหรอก เล็บก็เหมือนกันถ้ามันยาวไปแล้วอะไรมากระทบกระเทือนถึงประสาทมันก็ไม่รู้สึกหรอก ถ้าหากกระเทือนถึงประสาทก็รู้สึก แล้วรู้สึกถ้ามันแรงมันก็เจ็บ คือมันไปถึงประสาทมากขึ้น ถ้ามันไม่แรงถึงประสาทมากขึ้นก็ไม่เจ็บ ทีนี้ มนุษย์พืช กระทบสัมผัสภายนอก ไม่รู้สึกเลย แต่ถ้ากระทบสัมผัสแรงจริงๆเหมือนอย่างที่พูดนี้ เขาอาจจะรู้สึกได้ แต่ไม่มีใครไปลอง ไปทดลองมนุษย์พืช หรือว่าพวกที่เป็นพืชไปแล้ว แต่ว่ายังไม่ตาย ก็ไม่มีใครไปลอง เอาอะไรไปแทงว่าเขารู้สึกไหม ไม่มีใครไปทำเท่านั้นเอง แต่ถ้ามันแรงพอ มันก็จะกระทบถึงประสาท มันก็เจ็บลึกๆถึงข้างในได้ แล้วแต่ว่าผู้ที่เป็นพืชนั้น จิตจะตกไปยึดอยู่ในเบื้องลึกอนุสัยหรืออาสวะของจิตตนเอง ในก้นบึ้งของจิตมากหรือน้อย ถ้าไปยึดมากกระทบยังไงก็ไม่เจ็บ เหมือนพวกนั่งหลับตาทำสะกดจิต สะกดจิตเข้าไปจนไม่รับรู้สึก เอาตัวเวทนากดเข้าไปให้อยู่ลึก ขนาดเขาเอาไฟเผาผิวหนัง เหมือนอย่างกับพระญวน เผากาย เผาร่าง เอาน้ำมันราดแล้วก็เผา ก็ไม่รู้สึกเพราะเข้าฌานดิ่งลึกแบบสมถะแล้ว เป็นมนุษย์พืชไปข้างใน ไฟเผาอยู่ข้างนอก แล้วเขาก็ตัดความรู้สึกประสาทของเขาไปอยู่ข้างในได้ ไม่รับรู้สึกได้ลึก ไม่เป็นไรเลย จนกระทั่งสุดท้าย จะรู้สึกมากหรือน้อยก็แล้วแต่ สุดท้ายทรงตัวไม่ได้ก็ล้มไป ไฟก็ไหม้จนละลายหายไปหมด ไอ้ตายมันตายแน่ เพราะไฟมันเผาจนเหลือแต่ขี้เถ้าไม่เหลือ จะเจ็บมากหรือเจ็บน้อยทนเอาหรือไม่ทนเอาเราไม่ทราบได้ พระที่เผาตัวเอง อธิบายไปอันนี้จะยาว พ่อครูว่า… อย่างพวกที่เข้าใจผิด ทำจิตตัวเองให้เหมือน อาฬารดาบส อุทกดาบส สุดท้ายจิตวิญญาณมันตายแล้ว ออกจากร่างไปแล้ว เหลือแต่พืช เหลือแต่ชีวะ หรือชีวะนั้นเป็นพืชเท่านั้น ไม่มีทางเป็นจิตวิญญาณอีกแล้ว จิตวิญญาณมันตกลงไปหรือระดับพืช ถ้าสะกดจิตตัวเองลงไปลึกมาก จิตวิญญาณก็ยิ่งแห้งๆ ก็จะทำให้ร่างกายนี่แห้ง ถ้ามันไม่มีแบคทีเรีย ไม่มีน้ำอะไรมาก มันก็ไม่สังเคราะห์มันก็ไม่เน่า แห้งลงไปๆ ไม่เน่า กลายเป็นร่างกายที่ไม่เน่า เพราะฉะนั้นเขาก็เลยนับถือกัน ว่า โอ้โห ประเสริฐยิ่งใหญ่มีฌานแข็งแรงมาก เป็นผู้บำเพ็ญฌานได้แข็งแรง เป็นฌานฤาษี จนกระทั่งกลายเป็นมนุษย์พืช เกือบจะเป็น ที่จริงถ้าปล่อยไปนานๆก็กลายเป็น อุตุ ร่างๆนั้น สุดท้ายมันก็จะแห้งจากพืชเหลือน้ำ น้ำเหลือชีวะนิดหน่อย จนกระทั่งนานเข้ามันก็จะแห้ง จนกลายเป็นอุตุ ร่างนั้นก็จะกลายเป็นอุตุ เขาก็เอาใส่ตู้กระจกเอาไว้กราบไหว้กัน ก็คือ กราบไหว้ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีวิญญาณใดของอาจารย์ผู้นี้อยู่ที่นี่เลย ไม่มีเลยแต่คนไม่เข้าใจก็ไปเคารพร่างเปล่าๆ ไม่ใช่ของใคร เจ้าของก็หนีไปแล้ว เพราะว่าเจ้าของยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่เป็นอวิชชา ผู้ที่ตายไปแล้วจิตวิญญาณของผู้ที่ปรุงแต่งแบบนี้ เป็นเหมือน อาฬารดาบส อุทกดาบส เขาก็กราบเคารพเพียงดินน้ำไฟลมเปล่าๆ จิตวิญญาณแท้ของคนผู้นี้อวิชชา ไม่ได้มีฤทธิ์มีเดชมีอำนาจอะไรเลย แต่ จะบอกว่าเกิดฤทธิ์เดชเกิดอำนาจเป็นอุปาทานทั้งนั้น ถ้าจะขยายอุปาทานไปเอง สิ่งที่ไม่มีก็ทำให้มีจนกระทั่งลงในอุปาทาน และอุปาทานนี่แหละยิ่งใหญ่ที่สุดทุกวันนี้ คือ ยึดติดสิ่งที่ไม่มีว่า มี ก็ขอ อธิบายตัวอย่างของสิ่งที่ไม่มี แต่คุณไปยึดว่า มี ตัวอย่างเดียว ขออธิบายแต่แค่ว่า เช่น รสอร่อย มันไม่มีแต่คุณไปอุปาทานว่ามันมี คุณก็มี ที่เขาให้ มีจริงๆ ก็มันมีมันอร่อยอยู่ทุกคำที่ไปแตะลิ้นใส่ปากก็อร่อย หรือสนุก ดูทีไรก็สนุกอยู่นี่แหละ สนุกๆอยู่นี่แหละ มันไม่มีหรอก แต่อารมณ์ความยึดติดปรุงแต่งแบบนี้อย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นรสอร่อยทางลิ้น ไม่ว่าจะเป็นรสสนุกทางตากระทบรูป หูกระทบเสียง ข้างนอกนี้ก็ตาม คุณก็ไปยึดว่ามันมี มันก็มีแต่สิ่งกระทบเท่านั้น พ่อครูเคาะจอกน้ำ ว่า เฮ้ย! สุขไหม มันไม่มี เพราะมันเป็นพืช หรือเอาพืชมากระทบกันก็ได้ ต่อให้พืชที่มันอยู่บนต้นอยู่เลย มันยังไม่ตายมันยังเป็นชีวะอยู่เลย _สู่แดนธรรม… เอากล้วยมาให้พ่อครู พ่อครูว่า… อันนี้มันตายแล้ว ต่อให้เอาสิ่งที่มันมีชีวิตอยู่เลยเป็นพืชเอามากระทบสัมผัสมันก็ไม่รู้สึก เมื่อกระทบแล้วจิตปรุงแต่งและยึดถือมันก็มี แต่แท้จริงมันไม่มี แต่คุณไปอุปาทานว่ามันมี แต่ มันไม่มีเฉยๆมันมีแค่รู้สึกมันมีแค่เจ็บ แต่คุณไปปรุงว่า เจ็บนี่แหละมันดี โดยเฉพาะพวกมาโซคิส ตัวเองเจ็บปวดนี้ โอ้โห…มันอร่อย ถ้าซาดิสก็คือคนอื่นเจ็บ แล้วเราดูความตีกันของคนอื่นแล้วเจ็บนี่แหละมันดี คนดูเขาแทงกัน ฆ่ากัน ฆ่าฟันกัน สมัยโบราณแทงกันด้วยอาวุธของอัศวิน ผู้ที่ฆ่าได้ชนะก็เก่งยอด เดี๋ยวนี้ก็เหลือมวย ชกกันเข้าไป โอ้โห…แตกเลย ชกเขาหมัดนี้ เลือดทะลักออกมาเลย โอ้โห สุดยอด เชียร์ฝ่ายไหนก็ยอดฝ่ายนั้น อำมหิตจริงๆ พวกซาดิส แต่ให้ตัวเองเจ็บอย่างนั้นถ้าหากไม่ใช่มาโซคิสไม่เอาหรอก ตัวเองไม่เอา แต่พวกมาโซคิสม์บอกว่ามันเจ็บที่ตัวเองนี่แหละ มันส์ดี อร่อยดี พวกนี้จะมีความสุข กับการได้มีใครทำให้เราเจ็บปวดได้ ก็มีความสุข พวกนี้รุนแรงมาก แก้ไขยาก แก้ไขลำบาก สรุปแล้วคุณฉลวย อาตมาตอบคำถามจบแล้วและอธิบายต่อเท่านั้น ว่า คุณถอนทิ้งก็จบไปแล้ว มันไม่มีกายอะไรแล้ว ถ้าคุณไปยึดถือว่า ฟันซี่นั้นเป็นของคุณ โอ้ย เอาของฉันไปไหน คุณก็เป็นทุกข์ ว่าเป็นของของตน ปัดโธ่เอ๋ยมันขี้ออกไปหลุดออกจากก้นแล้ว ฟัน หลุดออกไปจากเหงือกแล้ว จะเป็นของตนอะไรล่ะ มันขาดชีวิตออกจากตนไปแล้วด้วย ก็พอ สำหรับคุณฉลวยถามมาคำถามนั้น คนที่ติดหมากติดพลูแม้จะบวชเป็นพระ ก็ยังเป็นคนที่ยังโง่อยู่ จะไป SMS ก็มีเกี่ยวกับคุณจุฑามาศหน่อย มีพวกเราไปตอแยแก คุณมั่นใจพุทธไปโทรคุยกับแก _ญาติธรรมโทรคุยกับคุณจุฑามาศ น้อมกราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง เมื่อวานนี้ (๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๕) เวลาประมาณ ๑๕.๐๗ น. ลูกได้โทรศัพท์ไปหาแฟนรายการบุญนิยมทีวี ที่ใช้ชื่อว่า”จุฑามาศ”ที่พ่อท่านเมตตาตอบ sms ไปก่อนหน้านี้ 🌾 เพื่อเป็นการตรวจสอบอาการในจิตของตนด้วยว่า รู้สึกอย่างไรกระเพื่อมหรือไม่กับการพูดคุยครั้งนี้ 🌾 เพื่อทราบแนวคิดของคนข้างนอกที่มีต่อพ่อท่าน ต่อชาวอโศก ลูกติดต่อไปสองครั้ง ท่านไม่ได้รับสาย เป็นเพียงการฝากข้อความ ขณะนั้นจิตบอกว่าจะติดต่อกลับไปอีกครั้งหนึ่ง หากไม่รับก็คงพอแค่นี้ แล้วท่านก็ไม่ได้รับจริงๆ ยังคงฝากข้อความเช่นเคย จึงลองนำเบอร์โทรศัพท์ของท่านไปค้นหาใน LINE ท่านใช้ชื่อโปรไฟล์ว่า”บุญ” (เป็นภาพคู่ของท่านกับคู่ครองของท่าน) ในขณะนั้นไม่ได้รู้สึกสุขทุกข์อะไร สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น หลังจากนั้นประมาณชั่วโมงกว่าๆ ท่านก็ติดต่อกลับมาจึงเรียนให้ท่านทราบว่า ได้เบอร์โทรศัพท์มาจาก รายการของบุญนิยมTV ที่ท่านฝากไว้ การพูดคุยเป็นไปด้วยดีเจ้าค่ะพ่อท่าน อาบุญ พูดเก่งมากชนิดน้ำไหลไฟดับ “ยังแซวท่านว่าไหนว่าจะสนทนากัน อาบุญพูดอยู่คนเดียว ไม่เปิดโอกาสให้หนูบ้างเลย” ท่านก็ยังไม่ยอมหยุด คำพูดของท่านที่พรั่งพรูออกมา จับใจความได้ว่า 🍃 อาบุญน้อยใจที่พ่อท่านตำหนิหลวงตามหาบัว ที่อาบุญและคนทั่วไปให้ความเคารพนับถือ พ่อครูว่า… โอเค เอาประเด็นนี้ก่อน น้อยใจอาตมานี้ ก็เป็นหมาน้อยตัวหนึ่ง ถ้างั้น อาบุญก็เลยเป็นหมาน้อยตัวหนึ่ง เพราะว่ามาน้อยใจอาตมา อาตมาตำหนิมหาบัวนั้น อาตมาขอยืนยันว่า อาตมาตำหนิถูก เพราะมหาบัวยังผิดอยู่ ยังไม่เป็นความจริง มหาบัวเป็นคนผิด เป็นคนที่ไม่มีความจริง เป็นคนเอาความไม่จริงไปหลอกคนอื่นว่า เป็นผู้บรรลุธรรม เป็นผู้บรรลุอรหันต์ อาตมาพูดด้วยความจริงใจตามภูมิของอาตมาเด็ดเดี่ยวเลยว่า มหาบัวไม่ได้เป็นอรหันต์เด็ดขาด มหาบัวแม้แต่แค่กามคุณ 5 ซึ่งเป็นภายนอก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์ กามคุณ 5 นี้พระพุทธเจ้าตรัสตรงๆว่าเป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์ มหาบัวเขายังไม่รู้เบื้องต้นนี้เลย แล้วมันจะเป็นอรหันต์ได้อย่างไร ยังเสพติดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นี้อยู่ คือกินหมากกินพลูคือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นกามคุณ 5 เต็มรูป แล้วติดจนกระทั่งตาย เสพรสนี้ กระทั่งตายแล้วหลอกคนอื่นอยู่ ว่าเป็นเรื่องของธาตุขันธ์ ไม่ใช่เรื่องของกิเลส มหาบัวจะรู้จริงๆว่าเป็นกิเลส แต่หลอกคนอื่นต่อหรือไม่ หรือท่านหลงจริงๆเลยว่า รูป รส กลิ่นเสียง สัมผัสอันนี้มันไม่ใช่กิเลส ถ้ายิ่งหลงผิด คือ ความไม่รู้จริงหลงผิดเลย ว่ารูป รส กลิ่นเสียง สัมผัสที่เกิดจากการสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย 5 ทวาร มันไม่เป็นกิเลส ทั้งที่ตนเองติดแท้ๆมันไม่เป็นกิเลส แล้วคุณจะเป็นอรหันต์ได้อย่างไร แค่นี้ไม่รู้ แล้วยิ่งรู้แล้วไปหลอกคนอื่นว่าไม่ใช่ บาปต่อไหม บาปทับถมหนายิ่ง ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คนที่โกหกผู้อื่นทั้งๆที่รู้ว่าตนโกหก คนนั้นไม่มีความชั่วใดๆที่เขาจะทำไม่ได้ แล้วจะให้อาตมาไปยกย่องมหาบัวเป็นอรหันต์ โยมบุญ อาตมาก็ขอเรียกโยมก็แล้วกัน จะเรียก อาบุญก็ได้ นับถือเป็นน้องพ่อก็คงพอได้ แต่น้องพ่ออาตมาก็คงจะห่างกันมากหน่อยเพราะว่าพ่ออาตมาก็คงจะอายุห่างกว่าอาตมาอีกต่อหนึ่ง ถ้าอยู่ก็ 100 กว่าแล้ว แต่นี่เขาอายุ 70 กว่าเอง มันไกลกันเป็น 100 ปี เขาอายุ 72 ก็เป็นน้องอาตมา อาตมากำลังย่างเข้า 89 ปี อันนี้เป็นประเด็นที่ 1 ว่า มหาบัวนี้ อาตมาต้องตำหนิ โยมบุญก็ฟังดีๆ พยายามตั้งใจฟังจริงๆ อย่ายึดมั่นถือมั่นในครูบาอาจารย์มาก พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นแม้แต่เป็นครูบาอาจารย์ของตน ในกาลามสูตร ยิ่งยึดอย่างหลงใหล มืดเมาโมหะ มันก็ยิ่งเละ โดยไม่แยกแยะ ไม่ดูเห็นชัดเจนไม่ดูความเป็นจริงไม่พิจารณาทั้งหมดว่า จริงๆแล้วอาจารย์เราผิดหรือถูก อาจารย์เราดีหรือชั่ว ก็ต้องพิจารณาความจริงนั้นให้ถึงที่ อาตมาก็ขอยืนยันว่า มหาบัว อาตมาไม่อยากจะพูดลงไปนะ มันจะไปกระทบใจคนมากเกินไปว่า มหาบัวคือคนชั่ว อาตมาไม่อยากจะพูด แต่ขอพูดว่าเป็นคนโง่ เป็นคนไม่รู้ มหาบัวเป็นคนอวิชชา นอกจากอวิชชาแล้วยังหลอกคนอื่นต่อ อวิชชาคือไม่รู้ว่าตนเองติดกามคุณ 5 สิ่งที่ติดอยู่เห็นชัดๆ อย่างอื่นก็ติด หมากพลูติด อย่างอื่นก็ติดไม่ต้องห่วงหรอก แต่เป็นเพียงเป็นผู้มีปฏิภาณรู้ว่า มักน้อย มีน้อยๆไว้ดี ก็เลยทำรูปธรรมเอาไว้น้อย แต่ในความมีน้อยนั้น มหาบัวสร้างความใหญ่ สร้างความมากอยู่ตลอดเวลา เป็นแต่เพียงว่าฝากไว้ที่ธนาคารฝากไว้ที่ประเทศ เรี่ยไรเขามาได้ ทั้งที่แค่เรี่ยไรได้มา โดยเอาประเทศชาติเป็นตัวประกัน ไปเรี่ยไรพูดหว่านล้อมมนุษยชาติรวมมาเข้ากองกลางที่ในประเทศ อย่างที่ได้กระทำ เรี่ยไร แล้วตัวเองก็ยึดถือว่าเงินที่ได้นั้นเป็นเพราะข้าทำ เป็นโอฬาริกอัตตาใหญ่เลย มหาบัวก็ไม่รู้จักความ โอฬาริกอัตตา อันนี้ ตายไปพร้อมกับความรู้สึกที่ว่าตัวเองเป็นเจ้าของทองคำ ดอลลาร์ ที่ในคงคลังใส่ไว้ให้ประเทศ แล้วเข้าใจว่าประเทศนี้ฉันเป็นผู้ที่ค้ำจุนไว้ ด้วยคงคลัง คงคลังนี้ มีความซับซ้อนว่าอย่าไปกระจายออกไป คงคลังต้องมีไว้นะอย่าให้ประเทศลำบาก แล้วมหาบัวก็สั่งไว้ว่าอย่าไปใช้ คงคลังนี้ต้องมีไว้ให้ตลอด มันก็ทำลายเศรษฐกิจสิ ไม่เอาเงินไปใช้จ่าย ทั้งๆที่เป็นก้อนใหญ่ก้อนโตด้วย ต้องมีไว้คงคลังให้น้อยที่สุดได้คนที่เก่งทางเศรษฐศาสตร์ คงคลัง ตัวเองมีไว้น้อยที่สุดเท่าไหร่ได้ก็ยอดเยี่ยม อย่างชาวอโศกนี้คงคลังของแต่ละคนมีเท่าไหร่ … 0 นอกนั้นก็อาศัยสาธารณะ อย่างนี้เป็นต้น สุดยอดของเศรษฐศาสตร์ แต่มหาบัวไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องนี้หรอก เอ้า พอ ประเด็นนี้แค่นี้ก่อน เพราะคุณไปติดมหาบัวเป็นอาจารย์ว่าเป็นคนฉลาด แต่ที่จริงก็พูดไปแล้วว่าเป็นคนโง่ แต่ถ้าพูดไปว่าเป็นคนชั่วก็จะหนักไปหน่อย โง่นี้ค่อยยังชั่วนิดนึงแต่ก็ยังชั่วอยู่ดี การปลูกอยู่ปลูกกินเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างไร 🍃 อาบุญบอกว่า ถ้าพ่อท่านสอนถูกต้อง จะมีญาติโยมนำของมาถวายโดยไม่ต้องปลูกอยู่ปลูกกินด้วยตนเองเช่นนี้ อาบุญยังบอกอีกว่าในหลวงรัชกาลที่เก้า ก็ต้องเสด็จมาเพื่อกราบพ่อท่าน ในหลวงรัชกาลที่เก้าไม่ใช่คนโง่ พ่อครูว่า… มี 2 ประเด็น ถ้าเผื่อว่าอาตมาสอนถูกญาติโยมจะนำของมาถวายโดยไม่ต้องปลูกอยู่ปลูกกินด้วยตนเองเช่นนี้ ซึ่งอาตมาไม่ได้ปลูก ฆราวาสเขาปลูก อาตมาไม่ได้ปลูก จริงอาตมาไม่ได้ลงมือปลูกกับเขาหรอก พวกเราสมณะบางรูปไปทำบ้าง แต่อาตมาไม่ได้ปลูกนะ เอาเถอะ คุณจะมาว่าเป็นไม่ใช่ชาวบ้าน พวกเราชาวอโศกปลูกแล้วเอามาให้กิน ไม่ใช่คนข้างนอก คนข้างนอกมาถวายให้กิน ไม่ใช่ อันนี้ซับซ้อนมากเลยนะ ความเจริญของชาวอโศกนั้น มันเจริญจนกระทั่ง มีความซับซ้อน ชาวพุทธในยุคนี้ ไม่รู้ว่าอาตมานี่แหละ เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นผู้ที่เป็นไก่ตัวพี่ เป็นผู้ที่เอาธรรมะพระพุทธเจ้า เอาโลกุตรธรรมมาประกาศ เขาไม่มีภูมิรู้พอ เขาไม่ศรัทธาอาตมา เพราะเขาก็ไม่เอาอาตมา อาตมาก็รู้ดี อาตมาไม่ได้แปลกประหลาดอะไร อันนี้มันซับซ้อน เพราะฉะนั้น คนข้างนอกเขาไม่เอามาให้อาตมา นั่น 1. 2.เรามีกติกาเราด้วย อาตมาซ้อนกติกานี้ ซึ่งซับซ้อนอีก เพราะคนที่ไม่ใช่สมาชิกชาวอโศก จะเอาพืชพันธุ์ธัญญาหารมาได้ แต่เอาธนบัตร เอาเงิน เอาแบงค์โน้ตมาให้ ไม่เอา คนที่ไม่ใช่สมาชิก คนไม่ได้มาคบคุ้นกับชาวอโศกถึง 7 ครั้งเป็นต้นไป ไม่ได้อ่านหนังสือชาวอโศกถึง 7 เล่ม เอาเงินมาถวาย เอาทองคำมาถวาย ซึ่งเป็น ชาตรูปรชตปฏิฆหนา เราไม่รับแล้วเราก็ปฏิบัติได้จนถึงบัดนั้นจนถึงบัดนี้ ตั้งแต่อาตมาทำงานศาสนามา เรารับแต่ของสมาชิกชาวอโศก ผู้ที่ปฏิบัติถูกต้องตามกติกาแล้ว จึงมีขีดจำกัดว่า ผู้ที่จะถวายเงิน ผู้ที่จะถวายของได้เต็มที่ คือสมาชิกชาวอโศก คือคนชาวอโศก สรุปคือ เราไม่ได้เที่ยวไปอยากได้ หรือเอาเงิน มีกติกาไม่เอาเงินของพวกคุณ นอกจากว่าเราไม่เอาแล้ว เงินทองเราไม่เอา ปัจจัย 4 ข้าว ผ้า ยา บ้านหรือพืชพันธุ์ธัญญาหารอาหารการกิน ข้าวคืออาหาร ผ้าคือเครื่องนุ่งห่ม ยายารักษาโรค บ้านคือที่อยู่อาศัย เราก็อาศัยสมาชิกของเรา แล้วสมาชิกของเราสร้างข้าวหรือพืชพันธุ์ธัญญาหาร ได้อุดมสมบูรณ์ ได้มาก จนพอกินพอใช้ ชีวิตหนอ พออยู่พอกิน เหลือ นี่คือความจริงทั้งนั้น ที่อาตมาพูด ไม่ได้โม้เกินจริง ไม่ได้โอ้อวด พูดความจริงทั้งนั้น แล้วเราก็แจกจ่ายได้ แจกจ่ายอยู่นี้ถูกน้ำท่วมหมดเลยพืชพันธ์ธัญญาหารของเรา 3 เดือนมันท่วมตายเรียบเลย ไม้ล้มลุกไม้ที่จะกินมีส่วนมาก ไม้ต้นโตที่ทนน้ำได้เท่านั้นที่อยู่ได้ นอกนั้นแม้แต่ไม้โตที่มันทนไม่ได้มันก็ตาย โล้นเลย ดินแดนราชธานีอโศกนี้ โล้นหมดเลย เหลืออยู่นิดๆหน่อยๆ ก็ต้องมาปลูกฝังขึ้น อะไรต้องรีบปลูกรีบฝังเอามาใช้มากิน เดี๋ยวนี้ก็พอสมควร ดีขึ้นมามาก แต่ก่อนเคยพูดแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีกินมีอยู่ ระบบสาธารณโภคี ภายในเราไม่มี คนที่ภายนอกเขาก็ส่งมาให้กิน คนที่เขาน้ำไม่ท่วมก็ส่งมาให้เรากิน นี่คือระบบสาธารณโภคีที่ไม่อดตาย ยังไงก็ไม่อดตาย เรื่องสุดยอดในเรื่องเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น ในประเด็นที่ โยมบุญ ไม่เข้าใจถึงสัจจะว่า คนมาเข้าใจพวกเรามีน้อย มันลึกซึ้ง มันยากที่จะรู้ มันเป็นธรรมะ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34) ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งลึกซึ้ง เห็นตามได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต สันตะ ดูไม่ได้ด้วยตรรกะ ละเอียดระดับนิพพาน ณิปุณา บัณฑิตจริงเท่านั้นที่จะรู้ได้ บัณฑิตที่ไปสอบทางโลกนั้นไม่มีทางที่จะรู้ได้ ต้องเป็นบัณฑิตทางปรมัตถ์ บัณฑิตทางจิตวิญญาณ บัณฑิตทางโลกุตระจริงๆ ถึงจะรู้ได้ อย่างน้อยโสดาบันขึ้นไป เพราะฉะนั้น อย่างโยมบุญ ยังไม่ได้โสดาบัน ยังไม่รู้เรื่องหรอก อย่าว่าแต่โยมบุญไม่ได้โสดาบันหรอก อาจารย์ของโยมบุญคือมหาบัวก็ยังไม่ได้โสดาบัน เพราะไม่รู้กาม ยังไม่รู้กาย กามคือกาย กาย 5 ทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ยังไม่รู้เรื่องเลย พูดไปแล้วนะ ใคร ยิ่งท่านมหาบัวรู้เรื่องแล้วโกหกคนต่อ ยิ่งบาปซับซ้อน ตกอยู่แก่มหาบัวเองมากมาย แล้วคนอื่นก็โง่ต่อไป เพราะถูกมหาบัวหรอก มันซับซ้อนอย่างนั้น เพราะฉะนั้นในประเด็นนี้ขอผ่าน ว่าคุณเคารพมหาบัวอยู่ คุณไม่มีวันที่จะบรรลุธรรม จบตรงนี้ก่อน พ่อครูว่า… อันที่ 2 บอกว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ต้องเสด็จมากราบเคารพท่าน ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านไม่ใช่คนโง่ ก็ใช่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 นั้นฉลาดเกินกว่าที่โยมบุญจะรู้จัก ว่า ในหลวงต้องไม่มากราบอาตมา เพราะในสถานะที่เป็นจริงอยู่ทุกวันนี้ ในหลวงคือผู้ที่เป็นหนึ่งของประชาชนทุกคน แล้วประชาชนโดยเฉพาะคนไทย ส่วนใหญ่หรือส่วนน้อยนับถืออาตมา ก็ส่วนน้อย นับถืออาตมา แม้ที่สุดคนไทยที่นับศาสนาอื่นก็มี ในหลวงจึงต้องเป็นกลาง ต้องไม่มา take side ต้องไม่มาเข้าข้างหรือมาส่งเสริม อย่างเปิดเผย ขอใช้อันนี้ ในหลวงต้องไม่มาส่งเสริมอาตมาอย่างเปิดเผย แต่ โยมบุญไม่รู้หรอกว่าในหลวง ส่งเสริมอาตมาอย่างไม่เปิดเผย ก็พูดแค่นี้ก็แล้วกัน ในหลวงร 9 นี่แหละส่งเสริมอาตมาอย่างไม่เปิดเผย อาตมาเคยพูดมาแล้วยกตัวอย่างเหตุการณ์ด้วย มีอธิบดีกรมชลประทาน ในหลวงตรัสกับอธิบดีกรมชลประทานเคยพูดมาแล้ว วันนี้ขอผ่านไม่พูดซ้ำ โยมบุญไม่มีข้อมูลบริบูรณ์จึงเข้าใจผิด เอาแค่นี้ก็แล้วกัน ที่ในหลวงไม่มากราบอาตมานั้น ไม่มีปัญหาเลย อาตมาก็ไม่ได้น้อยใจ ในหลวงท่านก็รู้ดี ท่านก็ทรงเข้าพระทัยดีอย่างกับอะไรดี ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับท่าน แล้วท่านก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะอาตมาก็รู้ท่านก็รู้ มันก็มีข้อมูลส่งถึงกันนิดหน่อยอย่างที่ยกอ้างไปแล้ว 🍃 อาบุญไม่เข้าใจว่า การปลูกอยู่ ปลูกกินจะเป็นการปฏิบัติธรรมตรงไหน พ่อครูว่า… นี่สิๆ ถ้าไม่เข้าใจว่า ปฏิบัติธรรม สัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจาสัมมาสังกัปปะ คือการปฏิบัติธรรมในมรรคองค์ 8 ก็จะกลายเป็นฤาษีนั่งหลับตาไม่ทำอาชีพ ทำอยู่ทำกิน เพียงวินัยเท่านั้น วินัยเท่านั้นที่กำหนด ไม่ทำอาชีพบางอย่าง สำหรับภิกษุ แต่ฆราวาสนั้นไม่มีข้อกฎห้ามอะไรไม่ให้ไปปลูกอยู่ปลูกกิน ฆราวาสไม่ได้ผิด อาตมามีสมาชิกเป็นฆราวาส แล้วก็ปลูกอยู่ปลูกกินอย่างพออยู่พอกิน อุดมสมบูรณ์มีเหลือด้วย แจกจ่ายไปให้คนอื่น ดังที่ได้ทำอยู่ สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้เป็นความผิด แต่มันเป็นความถูกต้อง เพราะว่าคนต้องทำอยู่ทำกิน คนปฏิบัติธรรมแล้วต้องไม่ทำอยู่ทำกินโยมบุญเข้าใจอย่างนั้น โดยเฉพาะมาบวชแล้วไม่ทำอยู่ทำกิน อาตมาไม่ปลูกพืชผักจริง แต่อาตมาทำอยู่ทำกินนะ อาตมาทำงาน โดยรับผิดชอบในเรื่องของธรรมะเป็นหลัก ในงานที่มันไม่ผิดธรรมวินัย ยกแบกหาม ไม่ได้ไปขุดพืช ที่ผิดวินัย การแบกหามไม่ได้เป็นไร เป็นการออกเรี่ยวแรง ทำงานเหมือนกรรมกร อาตมาทำ หินตั้งที่โน่นที่นี่อาตมาทำ อาตมาไม่ทำผิดวินัยตรงที่ไปพรากพืชไปขุดดิน แต่งานอื่น ขนขี้โคลนตักน้ำ ทำอันนั้นอันนี้ ไม่ได้มีห้ามไว้ในพระวินัย อาตมาทำทั้งนั้นแหละ _สู่แดนธรรม… พ่อท่านครับ ที่ลุงบุญคนนี้ เขาหาว่าเราทำงานเป็นการไม่ปฏิบัติธรรม ก็สงสัยว่าคุณจะเอาเวลาตรงไหนไปทำให้จิตตกภวังค์ พ่อครูว่า… โยมบุญ เข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมคือการภาวนา และแปลการภาวนา ว่าเป็นการนั่งหลับตาสะกดจิต นั่งหลับตาทำสมาธิ โยมบุญ ใจอย่างนี้จริงๆด้วย สู่แดนธรรม พูดมานี้ทำให้อาตมานำเข้าไปสู่จุดลึกได้ โยมบุญเข้าใจว่าปฏิบัติธรรมต้องไปนั่งหลับตาสะกดจิต สายมหาบัว สายพระป่า สายปฏิบัติทุกวันนี้เป็นเทวนิยม นั่งสะกดจิตทั้งนั้น เป็นสมาธิหรือเป็นฌาน ผิด ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปนั่งสมาธิแล้วเกิดฌาน ฌานวิสัยของพระพุทธเจ้านั้น ลืมตากระทบสัมผัส ตาหูจมูกลิ้นกายใจ โดยมีศีลเป็นข้อต้น มี อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นหลักการในการปฏิบัติ คือมีการรู้ตัวอยู่ มีสติเต็ม ชาคริยานุโยคะ สัมผัสรู้เหตุปัจจัยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ขณะกินข้าว เป็นต้น แล้วก็จะมีครบเลยในทวารที่ไปรับรู้ทั้งหมด มีสติสัมปชัญญะพิจารณารอบถ้วน ให้รู้กรรมกิริยาที่เคี้ยวคำข้าว สัมผัสอาหาร ทุกอิริยาบถ รู้รูปนามทั้งหมด ว่ากามมันเกิดทางไหนบ้าง หรือปฏิฆะ เกิดทางไหนบ้าง แล้วรู้ทันกิเลสนั้น สร้างพลังงานปัญญา พลังงานฌานให้รู้เท่าทัน จนกิเลสนั้นไม่เกิดได้ _สู่แดนธรรม… พ่อท่าน อธิบายมาเขาก็คอยฟังอยู่ว่าแล้วตอนไหน จิตมันจะตกภวังค์ พ่อครูว่า… สู่แดนธรรมนำมาอีกดี จิตที่จะตกไปในภวังค์นั้นคือจิตที่เป็นเดียรถีย์ จิตของพระพุทธเจ้านั้นออกจากภพ ไม่อยู่ในวงของภวังค์ องค์ของภพไม่มี ออกมาทางตาหูจมูกลิ้นได้ มีที่ตั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย รู้กามภพ เป็นกามาวจร เป็นการดำเนินอยู่ อวจร ดำเนินอยู่ทางตาก็เห็น ทางหูก็ได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นได้รส สัมผัสทางกายรู้จักเย็นร้อนอ่อนแข็งเ ห็นอยู่ อันนี้คือความเป็นคน คนที่มีแต่อยู่ในภวังค์จิตอยู่ในภวังค์นั้นเป็นสัมภเวสีเป็นผีเป็นเทวดาล่องลอย พูดกันไม่รู้เรื่อง รู้กันเป็นส่วนตัวส่วนตนเท่านั้นไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย ตายไปแล้วไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายไปรู้ร่วมกันได้ คนตายไปแล้วจะไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายให้ไปรู้จักกัน อยู่ในจิตของตัวเองอยู่ในภพของตัวเองคนเดียว เพราะฉะนั้นที่บอกว่าวิญญาณตายไปจะไปพบกัน ไปคุยกัน เพ้อเจ้อทั้งนั้น ผิดหมด ไม่มี ไม่มี ไม่อธิบายต่อแล้วอันนี้ มันลึกเกินไป _สู่แดนธรรม… นิมนต์พ่อท่านอ่านต่อข้อ 4 คนเหนือโลกคือคนที่ไม่ติดยึดโลก 🍃 ความมหัศจรรย์ตามความเข้าใจของอาบุญคือเหนือโลก เหนือธรรมชาติ จับต้องไม่ได้ออกแนวอภินิหาร พ่อครูว่า… ตาก็ไม่รับรู้ หูไม่ได้ยิน ทวารทั้ง 5 จับต้องไม่ได้ อยู่แต่ในภพ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าก็สอนอุตตระมานพ ลูกศิษย์ของ ปาราสิริยพราหมณ์ ว่า อาจารย์ของเธอสอนอย่างไร อุตตระมานพก็ตอบว่า อย่าเห็นรูปด้วยตา อย่าได้ยินเสียงด้วยหู พระพุทธเจ้าก็ตรัสไปธรรมดาสบายๆบอกว่า สอนให้ทำตาบอด สอนให้ทำหูหนวกหรือ เท่านั้นแหละอุตระมานพสะดุ้งโหยงเลย คอตกซบเซา อาจารย์เราสอนให้เหมือนคนตาบอดหูหนวกเหรอ ตามันก็ต้องกระทบรูปได้เห็นรูป หูมันก็ต้องได้ยินเสียง มันจึงจะรู้ความจริงถ้าทำให้ตาบอดหูหนวกมันจะไปรู้ความจริงได้อย่างไร แค่นี้อุตระมานพมีปัญญาพอจะสะดุ้งเลย นั่งคอตก ว่าอาจารย์สอนเรามาผิดเลยหนอ ก็เลยเลิก แต่โยมบุญฟังแล้วจะสะดุ้งหรือเปล่าน้อ เอ้า ผ่านตรงนี้ก่อน เพราะฉะนั้น เหนือโลกเหนือธรรมชาติของคุณก็คือ ไม่ใช่เหนือตรงที่ว่ามีอภินิหารไปข่มเขา ไม่ใช่ เหนือก็คือรู้ว่าเราไม่ได้ไปติดสิ่งเหล่านี้ คนที่มีตามองเห็นผีได้คือคนซวย ไม่ใช่บุญเลย 🍃 อาบุญเชื่อว่า ภูตผีปีศาจมีอยู่จริงบันดาลให้เกิดเหตุต่างๆได้ อาบุญเคยเห็น พ่อครูว่า… ซวยๆ ถ้าตาคุณเคยเห็นผี รูปเห็นผี มีรูปร่างให้เห็นคือคนจมอยู่ในอุปาทาน รูปร่างผีที่คุณเห็นมันเป็นอุปาทานจนเป็นรูปเป็นร่าง จะซวยหนักมาก ก็ธรรมดาคนเราไม่เห็นผีได้ง่ายๆหรอก มันไม่มีอุปาทานเลอะเทอะหยาบคายขนาดนั้น ผี คือ ธาตุวิญญาณ ธาตุนามธรรม ไม่มีรูป ไม่มีร่าง ไม่มีกาย ไม่มีดินน้ำไฟลม ไม่มีเลย ผีที่ว่านี้มันหมายถึง อรูป ด้วยซ้ำ มันเป็นนามธรรมตามที่คุณเข้าใจ นามธรรมกับอรูปก็ต่างกัน นามธรรมมีชีวะ ชีวิต แต่อรูปไม่มีชีวะ แล้วผีที่เดินอยู่ย่องมันก็เป็นชีวะเป็นนามธรรม แต่มันไม่ใช่มันไม่มีมันมี เพราะคุณสร้างมันขึ้นมา เนรมิตขึ้นมันเอง ตามอุปาทานที่คุณยึดติด ผู้ที่มีอุปาทานยึดติดมีตัวตนทั้งนั้น มีรูปร่างตัวตน ตัวตนที่เห็นเป็นของหลอก ที่เป็นนิรมาณกาย ที่คุณสร้างขึ้นมาเอง แล้วก็มีหมู่กลุ่มที่หลงผิดด้วยกับคุณเรียกว่าสัมโภคกาย สามารถสร้างด้วยกันเหมือนคนคนก็เลยมีพวกก็เลยเชื่อ แต่จริงๆแล้วแต่ละคนอทิสมานกายหมด ไม่มีใครเห็นของใครเพ้อขึ้นมาคนเดียวของตัวเอง แต่ละคนทั้งสิ้น แต่ว่ามันตรงกันเนาะก็พูดกัน เหมือนภาษาโคบ้อ พูดอะไรกันก็ไม่รู้ แต่รู้กันหมดเลย ภาษาโมเม แล้วรู้กันหมดเลยยิ่งกว่าภาษาใบ้ รู้กันหมด เพราะฉะนั้น ยังอีกลึก แหม ชื่อบุญเสียด้วย บ.ใบไม้เหมือนมหาบัว คำว่าบุญนี้ค่อยยังชั่วนะ แต่บัวนี้มีบัวใต้น้ำด้วย อาตมาไม่อยากให้คุณเป็นบัวใต้น้ำ บัวใต้ตึก ให้มีบุญบ้างก็จะดี เรียนรู้บุญให้ได้แล้วบุญนี้ไม่ใช่จะเข้าใจได้ง่ายๆ บุญ คือ พลังงานที่ไม่มีสิ่งตกค้างอยู่ที่ไหนเลย บุญคือพลังงานที่วับเดียวแล้วเสร็จหายเลย บุญ เป็นพลังงานไฟ เป็นพลังงานไฟขั้นที่ 4 หรือขั้นที่ 5 ของฌาน ฌาน คือพลังงานไฟที่ยังมีรูปร่างที่หยาบในระดับ 1 2 ก็ละเอียดขึ้นมา 3 ละเอียดขึ้นมา 4 ละเอียดมากสุดเลย ทำงานพรึ่บ สลายปั๊บ แล้วบุญหรือฌานไม่ไปทำร้ายอะไรนอกจากตัว กลิ หรือตัวที่เป็นโทษก็คือตัวกิเลส บุญ คือปัญญา หรือฌานคือปัญญา เป็นธาตุรู้ที่รู้ชัดเลยว่ากิเลสคืออะไรไม่ผิดเลยรู้หน้าตาของกิเลสรู้ตัวตนของกิเลสอย่างสมบูรณ์แบบ ถ้ายังเพี้ยนอยู่ ฆ่ากิเลสผิดคุณก็บาปซ้อนต่อ แต่ถ้าคุณฆ่ากิเลสอย่างไม่ผิดตัวเลย ไม่มีบาปอะไร เพราะฉะนั้น บุญที่มีปัญญา บุญที่มีฌาน บุญที่มีความฉลาดรู้จักตัวกิเลสที่สมบูรณ์แบบ แล้วฆ่าแต่ตัวกิเลสทั้งนั้น ไม่ไประคายสิ่งที่ดีสิ่งที่เป็นกุศลอื่นเลย ฆ่าแต่กิเลสอย่างเดียว เพราะเป็นเพชฌฆาตหรือเป็นนักประหารที่ประหารแต่กิเลส ประหารแต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ เป็นเหตุแห่งความเลวร้าย นี่คือบุญหรือฌาน 🍃 อาบุญบอกว่าสิ่งที่ท่านรู้ ท่านเชื่อ และท่านยึดถือนั้น คนละขั้วกับแนวคำสอนของพ่อท่าน พ่อครูว่า… ใช่ คุณยังผิดอยู่ คนละขั้วแต่ขั้วของคุณเป็นขั้วที่ผิด อาตมายืนยันว่าผิด ผิดจริงๆยืนยัน ถ้าคุณยังเชื่อว่าของคุณถูกอยู่ คุณก็ยังไม่มีทางจะพ้นทุกข์ ไม่มีทางบรรลุธรรม คุณจะบรรลุธรรมอย่างมหาบัว บรรลุเหมือนกัน จริงๆถ้าได้อย่างมหาบัว คุณก็ยังจะพอใจด้วย ก็จบตรงที่นานาสังวาส คุณก็เชื่อถือและเข้าใจอย่างนั้นอาตมาก็เข้าใจและเชื่อถือกันอีกอย่างตกลงนะ มีสำนวนที่ว่า ตกลงนะเข้าใจตรงกันนะ คุณก็เชื่ออีกอย่างนึง สำนวนของพระพุทธเจ้าบอกว่าใครเห็นอะไรเป็นธรรมวาทีก็จงทำตามที่คุณเห็น คนนี้เห็นอย่างอาตมาพูดเป็นธรรมวาที คุณก็เอาตามนี้ แต่ถ้าคุณเห็นอย่างที่มหาบัวพูดเป็นธรรมวาทีคุณก็เอาตามนั้น ตรงกันเนาะ เข้าใจตรงนี้ตรงกันก็จบเนาะไม่ทะเลาะกันเนาะ ต่างคนต่างเข้าใจต่างคนต่างยึดถือ นี่เป็นคำพิพากษาของพระพุทธเจ้า เป็นความจบของนานาสังวาสต่างคนต่างเห็นต่างกัน นานาแปลว่า ต่างคนก็ต่างดำเนินไปพิสูจน์ความจริงกันไป ไม่มีปัญหาหมดปัญหามีแต่ปัญญา _สู่แดนธรรม… อย่างที่เขายืนยันว่าของเขาถูก ถ้าชีวิตของเขาอยู่กับสิ่งที่ถูก ในความเป็นชีวิตประจำวันของเขาก็จะต้องน่าอนุโมทนา แต่คุณที่ไปโทรไปคุยนี้ได้มารายงาน วิถีชีวิตของเขา บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย ทั้งผู้กินและผู้สั่งฆ่าสัตว์ 🍃 ทุกวันนี้อาบุญไม่ฆ่าสัตว์แล้ว ยังกินเนื้อสัตว์อยู่ แม่ค้าฆ่าให้ พ่อครูว่า… อาตมาก็ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่เรื่องนี้ เขียงหมูที่ขาย แล้วคนขายหมูบางคนไม่ได้ฆ่าเองหรอก รับมาจากคนอื่น ถ้าเอามาขาย ให้คนที่เขียงหมู ขายกับคน ก็มาซื้อมาจากคน ถ้าคุณไม่ไปซื้อ คุณไม่ไปกิน เขาจะฆ่ามาให้คุณกินไหม ไม่หรอก นี่คือสิ่งที่มันเป็นอิทัปปัจจยตา มันเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องกัน เพราะเหตุนี้ มันจึงมีเหตุนี้ คุณไม่ได้ขาดจากสายการฆ่าสัตว์เลย คนที่จะขาดจากสายการฆ่าสัตว์นี่ ลึกซึ้งมาก พระพุทธเจ้าสรุปไว้ใน ชีวกสูตร ไม่ต้องไปพูดเลยว่าคนนี้ฆ่า คนนี้ไม่ได้ฆ่า แล้วคนไม่ได้ฆ่านี้กินได้ไม่ผิด ไม่ผิดไม่ได้เพราะคุณเป็นเหตุให้เขาฆ่า ทีนี้ ขออธิบายละเอียดเท่านั้น เหตุที่ฆ่า เพราะ คุณนึกว่า พระพุทธเจ้าก็ดี สาวกของพระพุทธเจ้าก็ดี ยินดีในอาหารเนื้อสัตว์ คุณนึกว่า คุณนึกเอาเอง ใครเอาอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ ปรุงแต่งอย่างดีเลย เอร็ดอร่อยมากอย่างชั้น 1 ไปถวายพระพุทธเจ้าก็ดี นี่เป็นข้อที่ 5 ของชีวกสูตร ขอไล่จากข้อที่ 5 มา คนที่เข้าใจอย่างนี้บาปเป็นอันมากแล้วไม่ใช่บุญเลย ที่เอาอาหารเนื้อสัตว์ปรุงอย่างดีปรุงแต่งอย่างเลิศยอดเอาไปถวายพระพุทธเจ้าหรือสาวกของพระพุทธเจ้าก็ดีเป็น อกัปปิยะ เป็นสิ่งที่ไม่ควร เป็นบาปเป็นอันมาก ไม่ใช่บุญเลย แค่นี้บาปแล้ว แล้วจะเอากินเนื้อสัตว์อะไรเอาไปถวาย พระพุทธเจ้า หรือถวายสาวกภิกษุของพระพุทธเจ้าก็บาปแล้ว ข้อที่ 4 คนฆ่าสัตว์ ลงมือฆ่าสัตว์ สัตว์มันก็พยาบาท ไม่มีจบ คนฆ่าสัตว์ สัตว์มันชัดๆอยู่เลย เอ็งฆ่าข้า พระพุทธเจ้ายกเว้นไว้นิดหน่อยในปวัตตมังสะ 1.สัตว์มันตายเอง มันทิ้งร่างของมันแล้วร่างมันเป็นบังสกุล 2.เดนสตว์กิน ปวัตตมังสะ มี 2 อันเท่านี้ แล้วเดนสัตว์กิน คือ สัตว์มันรับผิดชอบการฆ่ากินของมันเอง สัตว์ที่มันตายมันจองเวรกับสัตว์ที่ไปฆ่ามันแล้ว แล้วเราไม่ไปแย่งสัตว์กินด้วย ไม่ได้ไปซื้อซาก จากสัตว์ตัวนี้ด้วย รับเอาเดนมันแล้ว เป็นบังสกุลจากสัตว์ที่มันทิ้งแล้วมากิน ปวัตตมังสะ 2 ข้อนี้เท่านั้นที่กินได้ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่มีเวร นอกนั้นมีเวรภัยที่ต่อเนื่องกันหมด เพราะฉะนั้นข้อที่ 4 คนฆ่าบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย อย่าเอาไปถวาย พระพุทธเจ้า หยาบนะ แต่เอาไปถวายพระพุทธเจ้านั้นบาปหนักไม่ใช่บุญเลยกว่าคนฆ่า คนที่เอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายพระพุทธเจ้าหรือถวายภิกษุ บาปกว่าคนฆ่าสัตว์ ข้อที่ 4 คนฆ่า ข้อที่ 3 สั่งฆ่า คนที่สั่งฆ่า บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย เป็นข้อที่ 3 ข้อที่ 2 ไปจับสัตว์ผูกมันมา บาป เป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย เป็นข้อที่ 2 ข้อที่ 1 กล่าวชื่อสัตว์ โดยมีเจตนาที่จะเกิด 2 3 4 5 นี่แหละ บาปเป็นอันมาก ไม่ใช่บุญเลย เพราะคุณไปกล่าวชื่อสัตว์นั้นๆโดยมีเจตนาให้นำสัตว์นั้นมาฆ่า แล้วเอามากินหรือเอาไปทำอาหารถวายพระพุทธเจ้า บาปหมดทั้ง 5 ข้อ ตั้งแต่เริ่มต้นกล่าวชื่อสัตว์ มีเจตนาข้อ 2 3 4 5 คนนี้แหละบาปไม่ใช่บุญ นี่คือบาป ฟังอันนี้เข้าใจแล้วคุณจะเห็นว่า จะไปกินเนื้อสัตว์มาอย่างไร ไม่เห็นตรงไหนมันขาดเลย ว่าคุณกับสัตว์ที่ไปกินเนื้อสัตว์ มันจะขาดเวรภัยกันตรงไหน แค่เอาไปรับถวาย อาหารเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าแกงต้มสุกมาแล้วนะ เอามาถวายให้ มันก็ยังบาปเป็นอันมากข้อที่ 5 นั่นแหละ ถ้าพูดขนาดนี้แล้ว ยังไม่เข้าใจอาตมาก็คงต้องจำนนก่อน อาตมาก็คงไม่มีความสามารถบังคับควายให้มันกินลูกชิ้น คงไม่ได้นะ 🍃 เล่นหวยงวดละประมาณ พันกว่าบาท มีหยุดเล่นบ้าง พ่อครูว่า… ก็ยังเล่นหวยอยู่เลย โยมบุญเอ๋ย อาตมาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร 🍃 ไม่ชอบเล่นไพ่ไฮโล แต่ชอบตีรัมมี่หมดเวลาไปกับสิ่งนี้ ประมาณครั้งละ ๗ ถึง ๘ ชั่วโมงต่อวัน พ่อครูว่า… ก็ซื่อดีนะ เปิดเผยกับมั่นใจพุทธเขา ชื่อดีนะ เปิดเผย อาตมาก็เคยเล่นมาเสียงานเสียการเสียเวลาตีรัมมี่ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน 🍃เคยทำงานโรงงาน ลาออกแล้ว คอยรับส่งภรรยา จึงมีเวลาว่างเยอะ 🍃เรียนจบประถมหก เคยบวชแทนคุณบิดามารดาเจ็ดเดือน สนใจเรียนรู้ธรรมะจากหลายๆสำนัก พ่อครูว่า… ไม่ไปดูถูกเรื่องการศึกษาหรอก อาตมาไม่ว่าหรอก บารมีทางธรรมไม่เกี่ยวกับจบประถม 2 ประถม 5 ประถม 6 หรือไม่เรียนหนังสือเลยก็ไม่เกี่ยว ดีมากข้อสุดท้ายนี้ คุณเรียนรู้สำนักต่างๆ ให้มาเรียนรู้สำนักโพธิรักษ์บ้างนะ ขอแค่นี้แหละ จบ _ก่อนยุติการสนทนา (ซึ่งใช้เวลากว่าชั่วโมง) อาบุญขออนุญาตที่จะติดต่อเพื่อพูดคุยในโอกาสต่อไป ลูกก็ตอบรับและฝากทิ้งท้ายให้อาบุญ ติดตามบุญนิยมทีวีอยู่เนืองๆ ฟังธรรมจากพ่อท่านบ่อยๆ และฟังอย่างตั้งใจฟัง เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง สรุปสภาวะธรรมในตัวลูก ไม่มีอาการหวั่นไหวหรือสั่นสะเทือนใดๆ ต่อการกล่าวถ้อยคำบริภาษ ที่มีต่อพ่อท่านและชาวอโศก ได้แต่เห็นใจ สงสาร 🙇🏻 ลูกขอน้อมกราบรายงานประมาณนี้เจ้าค่ะพ่อท่าน มั่นใจพุทธ บุญเสร็จ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๕ เวลา ๐๙.๒๑ น. พ่อครูว่า… ถูกต้อง เรียกว่าเช็คศีลของตัวเองเรียบร้อยด้วย ว่าไม่มีอะไร เรียกว่าเช็คได้ด้วยก็ดี ดีทีเดียว แค่นี้เอง หมดแผ่นเดียว SMS อีก 3 หน้า เหลืออีก 3 นาที _สู่แดนธรรม… พ่อท่านไม่ยอมจิบน้ำ พ่อครูว่า… เสียเวลาๆ SMS วันที่ 9 – 11 ธ.ค. 2565 _อาภรณ์ จองเจริญกุลชัย · ขอชื่นชม ป้ารัตน์ มีฝีมือทำอาหาร ที่หลากหลายเมนู และรสชาติดีด้วยค่ะ สาธุ พ่อครูว่า… ระวังจะติดรสนะ เตือนไว้หน่อยนึง _สุรัตนา น้อยศรี · ได้ปลูกไชยาเป็นรั้วบ้านตอนนี้ดีจัง จะได้นำมากินแล้วรสชาติอร่อยเหมือนใบตำลึงค่ะ พ่อครูว่า… อ้าว ไปด้วยกัน มาด้วยกัน อร่อยอีกแล้ว อร่อยไปด้วยกันอีกแล้ว ก็ยังดี เรียนรู้ว่าอะไรควรกินก็กิน มันอร่อยหรือไม่อร่อยก็กินได้ ดีแล้วที่เรียนรู้ว่ามันอร่อย รู้ตัวเองว่ายังอร่อยอยู่ ให้เรียนรู้ว่ารสอร่อยมันเป็นความหลอก ภาษาบาลีว่า อัสสาทะ _อุบล คนโก้ · ยีนยันค่ะว่าผักไชยากินแล้วแข็งแรงแม่ที่ร้อยเอ็ดชอบมากค่ะท่านเก็บต้มกินกับน้ำพริกทุกวัน ท่านอายุ 94 ไม่เคยหาหมอค่ะ พ่อครูว่า… ดี แต่ไปหาหมอดูหรือเปล่า ไม่ไปหาหมอรักษาเพราะไม่เจ็บป่วยไข้ ก็ดีแล้ว _ตุ๊ก อัศวิน · พ่อครู..’แพ้ฝุ่น’..ไหมเจ้าค่ะ เป็นห่วงสุขภาพของท่านอย่างยิ่ง..เจ้าค่ะ ได้โปรด ‘ถนอมสุขภาพ’ เพื่อประโยชน์แก่ พระพุทธศาสนา..เจ้าค่ะ พ่อครูว่า… วันนี้ก็คงได้เท่านี้สำหรับเวลาที่มันหมดแล้ว สมณะเดินดิน… สรุปจบ Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin14 ธันวาคม 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:651212 รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 6 พ่อครูพบ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์NextNext post:651216 ทศพิธราษฎรธรรมมีจริงในชาวอโศก พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024