651130 สบายสงบและมั่นคงที่ 1 ในโลกคือประเทศไทย พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1PzHdQDNuSeENf70umZiKDYjndiHePusjr6NpAeYZHuY/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1LvJTC2SMwQAKa2CuYrs3mba8rwSSg4qF/view?usp=share_link ดูวิดีโอได้ที่ และ https://fb.watch/h71DxYtuWO/ สมณะเดินดิน… วันนี้วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 7 ค่ำเดือนอ้าย ปีขาล เวลาที่เราจะเข้าสู่การเปิดชุมชนแบบมินิ เปิดเล็กๆในวันที่ 5 ธันวาคม จากที่เราเป็นชุมชนมานานแล้ว เริ่มๆแง้มก่อน จะมีเปิดโรงบุญ เปิดร้านพิสูจน์จิตอาสาขายสินค้าราคาเท่าทุน จะมีสไลเดอร์ให้ 1 วัน เฉพาะวันที่ 5 จะเปิดไปต่อเนื่องไม่ได้เพราะว่าจะไปรบกวนการก่อสร้างสะพานโค้งรุ้ง เราอยู่ที่นี่จะมีเหตุการณ์ที่เหนือการคาดคิดหลายๆอย่าง อย่างวันจันทร์ที่ผ่านมา วันนั้นเรามีคิวที่จะเชิญคุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม มาร่วมรายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ช่างเทคนิคก็เตรียมเครื่องไว้พร้อมหมด แต่เตรียมไว้นานไปหน่อย มันร้อนเครื่องไหม้ ตั้งใจไม่ให้เกิดความผิดพลาด แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ ก็แก้ปัญหากันพอสมควร แต่ว่า Accident ครั้งนี้ ทำให้คุณสนธิญาณ บอกว่า จะขอมาพบพ่อครูที่บ้านราชเลยดีกว่า ถ้าไม่เกิด Accident คุณสนธิญาณ ก็คงไม่ได้มาที่บ้านราช นอกจากคุณสนธิญาณ จะมาพบเราที่นี่แล้ว แล้ววันนั้นพ่อครูก็ได้ตอบปัญหาและ SMS ที่ค้างไว้หลายวันจนหมด บางเรื่องก็เหนือความคาดหมายที่เราต้องการให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่บางทีหลายเรื่องถ้าเราไม่มีอคติ ไม่มีความไม่ชอบใจไม่พอใจ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บางทีมันก็ได้ประโยชน์ในหลายๆส่วน อยู่ที่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งๆ เราเลือกที่จะเป็นอะไร จะเป็นนักโทษหรือเป็นนักบุญ ถ้าเป็นนักโทษ เราก็ไปโทษคนนั้น คนนี้โทษเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราก็ได้สะสมความเป็นนักโทษ ถ้าเป็นนักบุญ เราก็จะพยายามกำจัดความชอบใจ ไม่ชอบใจ เราก็ล้างจิตของเราแล้วเอาประโยชน์ที่เกิดขึ้น พ่อครูก็ได้ให้เต็มที่ถึง 20:00 น เลย ทำนองเดียวกันกับที่นี้น้ำท่วมเสียหายมาก ปีนี้ 2565 หนักกว่า 2562 ทำให้จิตวิญญาณของพวกเราได้มาทุ่มเทเสียสละ หมุนเวียนมาช่วยกัน สันติอโศก ปฐมอโศก มากันหลายรอบเลย พวกเราก็จะได้พัฒนาจิตวิญญาณกันเต็มที่อีกระดับหนึ่ง เรามาพิสูจน์กันว่าขณะที่เรามีหลายเรื่องมากต้องทำ พื้นที่เรา 1,500 ไร่ งานเตรียมยังมีอีกเยอะ มีงานจะต้องเปิดชุมชน จะต้องเปิดร้านขายของ เตรียมรับพี่น้องที่จะมาใช้บริการ ดำเนินการควบคู่ไป ก็จะได้พิสูจน์กันอีกครั้ง สิ่งเหล่านี้จะสำเร็จได้ ก็อยู่ที่ความพร้อมเพรียงของพวกเรา อาศัยเหตุการณ์นี้พัฒนาจิตวิญญาณของพวกเราให้เกิดความก้าวหน้าขึ้นได้อย่างไร แต่ถ้าทำงานแล้วไม่ได้มีสัมมาทิฏฐิเพียงพอ เราก็จะไปทุ่มโถมเอาเป็นเอาตายกับการงาน เราต้องมาตอกย้ำเพิ่มสัมมาทิฏฐิ ความเข้าใจธรรมะ เพื่อให้เราไปปฏิบัติงานและเกิดความเจริญ พัฒนาจิตวิญญาณได้ พ่อครูว่า… SMS วันที่ 28-29 พ.ย. 2565 ธรรมะที่แท้ ต้องปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีปัญญา _สินอโศก : น้อมกราบพ่อท่านด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ ธรรมะวันนี้เริ่มด้วยเพลงแห่งชีวิต ตามหมายเลข ๑ ไปเรื่อย ๆ แล้วก็ฟังธรรมะ และจะได้นำเอาธรรมะมาปรับใช้ในชีวิต มีตั้งมากมายที่ต้องนำมาปรับใช้ในชีวิต สิ่งที่สำคัญคือปัจจุบันเจ้าค่ะ จะทำต่อเนื่องเรื่อย ๆ เจ้าค่ะ พ่อครูว่า… ดีจังเลยนำธรรมะมาปรับใช้ในชีวิต อันนี้อาตมาถือว่าเป็นความสำเร็จ เป็นความสำเร็จที่อาตมามาทำงานธรรมะ คือมาอธิบายธรรมะแล้ว มีคนนำธรรมะไปปรับใช้กับชีวิต ปรับใช้ในชีวิตจริงๆ ปรับใช้แล้วไม่ใช่ปรับใช้ตามจารีตประเพณีเขาข้างนอก แต่มาปรับใช้อย่างที่เราเข้าใจว่า ศีลคืออย่างไร มีอปัณณกปฏิปทา 3 จริง มาสังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะจริงๆ จนเกิดสัทธรรม 7 เกิดฌาน (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมณะเดินดิน… ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงพ่อครูเลยมีอาการไอ พ่อครูว่า… เป็นฌานที่ มันมีพลังงานจิตที่เผาหรือสลายละลายกิเลส เป็นพลังงานจิต เมื่อผู้ใด โยนิโสมนสิการ ได้ฝึกทำใจในใจของตน ตามสัมมาทิฏฐิตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้คือ จรณะ 15 วิชชา 8 มันก็จะเกิดพลังงานจิต ที่มีพลังปัญญาหรือเรียกว่า ฌาน มีพลังฤทธิ์ที่มันเหนือกว่าไฟราคะ เลยเรียกฌานนี้ว่า ไฟ พลังงานที่เป็นอุณหธาตุแล้ว มันเหนือกว่าพลังงานไฟ เขาเรียกพลังงานของกิเลสว่า ไฟ ก็เหนือกว่าไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ กิเลสที่เป็นไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ พลังฤทธิ์ของมันสู้ไม่ได้ ก็ค่อยๆสลาย ถ้าผู้ที่มีบารมีสูง พอเห็นหน้ากิเลสแล้ว มันก็สลาย เหมือนพระพุทธเจ้าบอกกิเลสอย่าโผล่หน้ามา ตถาคตเห็นเธอแล้ว กิเลสไม่เข้าใกล้เลย ไม่รอหน้าเลย อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นพวกเรานี้ได้รับธรรมะแล้ว ก็เอาไปปรับใช้ในชีวิต เขาเข้าใจดีว่ามีตั้งมากมายที่ต้องนำมาปรับใช้ในชีวิต เขาจับประเด็นได้ถูกเลยว่าสิ่งสำคัญคือ ปัจจุบัน กรรมกิริยา เวลา ที่มันเป็นปัจจุบัน เราสัมผัสกับอะไร เราเผชิญกับอะไร ต้องเร็ว ต้องไวในการรู้เท่าทันในปัจจุบัน กิริยาปัจจุบัน พฤติกรรมที่เราสัมพันธ์กันอยู่ทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อมากระทบเรามีผัสสะ แล้วผัสสะก็จะเกิดเวทนา แล้วก็แยกแยะเวทนา ที่มีกิเลสที่ไม่จริง แล้วก็รู้กิเลสเป็นตัวไหน ก็ต้องเอาปัญญาเท่าที่เรามีนี่ เป็นธรรมาวุธ เฮ้ย!…เอ็งเป็นอกุศลเอ็งเป็นกิเลส อะไรอย่างนี้เป็นต้น แล้วมันจะมีพลังฤทธิ์ของปัญญาเก่งขึ้นๆ ทำให้พลังของกิเลสนั้นๆ มันสู้ไม่ได้ลงไปทุกที เร็วขึ้น ประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ อันนี้อธิบายขยายความพลังงานหรือลักษณะธรรมชาติที่มันมีมันจะเป็นอย่างนี้ ถ้าคนปฏิบัติไม่สัมมาทิฏฐิอย่างที่อาตมาสาธยายนี้ ไปนั่งหลับตา ไปเดินจงกรมอะไรก็ได้ แต่เป็นการทำสมถะทั้งนั้น มันไม่เกิดวิปัสสนาญาณ ไม่เกิดวิชชา 8 ไม่เกิดมโนมยิทธิ ไม่เกิดอิทธิวิธญาณ ไม่เกิดโสตทิพย์ จะไม่มีปัญญารู้จักเจโตปริยญาณ 16 ไม่เห็นราคะ โทสะ โมหะ แล้วก็ทำให้มัน วีตะ ราคะ โทสะ โมหะ ทำไม่เป็นเพราะปฏิบัติผิด อาตมาก็สงสารไม่รู้จะทำอย่างไร เขาก็ไม่เชื่อน้ำมนต์อาตมาเลย เขาฟังแล้วก็ติดยึดอาจารย์ของเขานำพากันไปมันผิดกันมาเป็นร้อยเป็นพัน มันอาจจะถึงเป็นพันปี ค่อยๆเสื่อมค่อยผิดไปเรื่อยๆ มาถึงยุคนี้ 2,500 ปี มันไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร มันปักหมุดลงไปในอวิชชา มิจฉาทิฏฐิกัน แข็งแรงตั้งมั่น อยากจะถอนอยากจะคลอน ก็เหลือแต่พวกที่พยายามไม่ไปหลงใหลทางโน้นมากนัก มีบารมีบ้างอย่างพวกคุณ ค่อยพอเข้าใจแล้วก็รับได้ก็ได้บ้าง ก็ทำไป อาตมาไม่ได้ท้อแท้หรอกที่พูดนี้อธิบายธรรมะ _มุ่ง ตรงธรรม · ในรัฐฉานประเทศพม่าฟังธรรมพ่อครูเข้าใจอยู่ครับ ตัวอย่างครอบครัวลูกเองก็พอฟังพ่อครูเข้าใจได้ตามลำดับฐาน และบางครอบครัว เริ่มมีการเลิกกินเนื้อสัตว์กันแล้วก็มีอยู่ครับพ่อครู ทางนี้เหมือนแนวโน้ม จะเป็นไปในทิศทางที่บวกขึ้นครับ น้อมกราบสาธุ สาธุ สาธุครับ พ่อครูว่า… ดี รายงานมาอย่างนี้ อาตมาจะได้รู้ว่ามีผลดี ทำงานไปแล้วมีผลอย่างไรแค่ไหน _อัมพร กุลศักดิ์ศิริ · เรียนถามพ่อครู ถ้าผมประสบความสำเร็จด้วยตัวผมเอง แต่ผมไม่อยากพูดคำว่า(ขอบคุณพระเจ้า) ผมจะแทนคำพูดเหล่านี้ว่าอะไรดีครับ พ่อครูว่า…ก็ขอบคุณตัวเองสิ เราทำด้วยตัวเองจะไปขอบคุณพระเจ้าอะไรกันล่ะ เราก็ต้องขอบคุณตัวเองที่ยังอุตส่าห์มีความพยายาม ฝึกหัด เรียนรู้ แล้วก็ปฏิบัติจนได้ _พรทิพย์ มุ่งกลัด : ส่วนสภาวะก็ได้เท่าที่ได้ค่ะกำลังฝึกกินมื้อเดียวและฝึกเข้าหมู่สาธารณโภคีอยู่ค่ะ .รู้สึกสนุกค่ะ คนจนมหัศจรรย์ คือคนชั้นยอดคนชั้นสูง(Elite) คือคนที่มึความเป็นวิทยาศาสตร์สูงสุดเพราะเริ่มปฏิบัติด้วยศีล(Seal) และจบด้วยอุเบกขา(Equanimity) เข้าใจภาษาตามนี้พอได้ไหมคะ พ่อครูว่า… ดีมากรู้สึกสนุกดีแล้ว, พอได้ _จรรยา ประเสริฐ · ขอบพระคุณนะ อาสู่แดนธรรม ที่เดี๋ยวนี้ปรับได้ถูกจังหวะค่ะ กราบสาธุค่ะ ยิ่งหยุดยิ่งสมถะยิ่งฟุ้งซ่าน เฉโก _ดนุธรรม วิรุฬห์ศิริกุล : “ยิ่งฟัง”.. ยิ่งลดความต้องการในสิ่งต่างๆ.. ในการดำเนินชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมากเลยครับ..เนื้อสัตว์ผมก็ไม่อยากกินแล้วครับ.. พ่อครูว่า…ดี เรียนธรรมะตั้งใจศึกษาธรรมะแล้วได้มรรคได้ผล เขานั่งหลับตามิจฉาทิฏฐิก็ได้มรรคได้ผล แต่เป็นมิจฉามรรค มิจฉาผล เป็นสมถะเป็นเรื่องนิ่ง เป็นเรื่องหยุด เป็นเรื่องไม่เอาถ่าน เป็นเรื่องไม่รู้จักสัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ อะไรหรอก รู้จักแต่หยุดๆๆๆ เหมือนอย่าง ธัมมชโย เหมือนอย่างหลวงพ่อสด ให้หยุด หยุดๆตัวเดียวสำคัญยิ่งใหญ่ที่สุด แล้วเขาก็พยายามหยุดแต่ก็ฟุ้งซ่านขนาดหนักเลย ธัมมชโยนี่นะ หลวงพ่อสดนี้สอนให้หยุดนะ หยุดที่กลางกาย จิต จดจ่ออยู่ที่จุดสูงกว่าสะดือ 2 นิ้วกลางกาย หยุดอยู่ที่นั่น เขาสะกดจิตว่าหยุดแต่เขาฟุ้งซ่าน เห็นไหมมันมีสภาพ 2 ใน 1 ฟุ้งซ่านไปจนกระทั่งกลายเป็น เฉโก ฉลาดแกมโกงได้ ซับซ้อนลึกซึ้งมากมาย คนที่ถูกสะกดจิตแล้วจะครอบงำอย่างไรก็สำเร็จ บอกให้ปิดบัญชีของตัวเอง ถอนมาให้ทำทานให้หมดก็ทำ คิดดู แล้วครอบครัวเขา บ้านเขาจะเป็นอย่างไร บ้านแตกช่างคุณสิ คุณก็บ้านแตกเรื่องของคุณ คุณเอาเงินมาก็แล้วกัน…. โหดเหี้ยมที่สุดเลย เหี้ยมจริงๆ สุดยอดเลย _ไผ่แก้ว นาวา : คาถาใหม่ค่ะ ฝึกยอมฝึกทนและแพ้ แม้นเราจะถูก จะตราคำนี้ไว้ กราบนมัสการพ่อครูค่ะ🙏 พ่อครูว่า… ดี ดีมาก _ปลื้ม : กราบนมัสการท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง และสวัสดีเพื่อนพี่น้องทุกคนวันนี้ผมอยากถามคำถามเกี่ยวกับธรรมะครับ ว่า สภาวะธรรมของโพธิสัตว์แต่ละขั้นเป็นอย่างไร เพราะกรรมวิบากเป็นเรื่องอจินไตย ยิ่งเป็นสภาวะภายในยิ่งตรวจกันยาก ผมไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ หรือยกตนข่มท่านแต่อย่างใด แต่อยากรู้วิธีปฏิบัติแบบลาดลุ่มลึกไปเป็นลำดับครับ 🙇🏻♂️ พ่อครูว่า… เดี๋ยวจะได้อธิบายสู่ฟัง สุขกับทุกข์ นั้นเป็นสภาวะ 2 หรือสภาวะ 1 กันแน่ _ฟ้าเจือศีล…อยากให้พ่อท่านขยายความเรื่องภาวะ 1 กับความเป็น 1 (พ่อครูว่า ภาวะกับความเป็น มันก็อันเดียวกัน ภาวะเป็นภาษาบาลี ความเป็นคือภาษาไทย ) ดิฉันเข้าใจว่ามีสภาวะความเป็นหนึ่งที่ต่างกันคือ เป็นหนึ่งเป็นแบบเทวนิยม (ความเป็นพระเจ้า ) อีกนัยหนึ่งคือเป็น 1 แบบสภาวะของพระอรหันต์ พ่อครูว่า คุณก็แยกของคุณเองแยกจาก 2 เป็น 1 ซึ่งมันไม่มีปัญหาหรอก คนที่เข้าใจ 2 เข้าใจ 1 แล้วแยก 1 ใน 2 และ 2ใน 1 มันจะมีอย่างนี้เท่านั้นในโลก จะมีสภาวะ 2 แล้วแยกให้เป็น 1 ให้ได้ แล้วแม้ว่าได้เป็น 1 แล้วคุณก็อยู่กับ 2 เป็น อนุปคัมมะ อันนี้ดี อันนี้ไม่ดี อันไหนควรอันไหนไม่ควร อันนี้มี อันนี้ไม่ให้มี คุณก็อยู่กับ 2 อย่าง เป็นธรรมดาธรรมชาติของสิ่ง 2 สิ่งที่จะต้องต่างกันทั้งนั้น ปรมาณู 2 ตัวก็ต้องต่างกัน อณู สุญญาณู หรือว่านามธรรม 2 มันก็ต่างกันเป็น 2 เท่านั้น มันมีอย่างเดียวที่เท่ากันนั้นคือนิพพาน ผู้ใดมีนิพพานสูญได้ในชีวิตเลย นี่คือสิ่งเดียวเท่านั้นในมหาจักรวาลที่เป็นหนึ่งเดียว นอกนั้นเป็นเรื่องคู่ แม้จะเป็นของโลกุตระบุคคลที่รู้จักสภาพ 2 หรือแม้แต่ อวิชชา ของโลกียบุคคลที่เขาไม่รู้จักสภาวะ 2 เขาก็หลงว่า เป็น 1 เหมือนกับหลงว่าพระเจ้าเป็น 1 แต่ที่แท้เป็น 2 ถ้าเป็น 1 1 ก็คือจินตนาการของเขาอันเดียว คนเดียว คุณเข้าใจสภาวะถูกอยู่แต่คนแยกภาษามาเท่านั้น ที่ต้องอาศัยอยู่ก็ต้องใช่ ก็เราเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะถ้าไม่ลึกซึ้งแล้วจะฟังงงว่าเดี๋ยวดีหรือเดี๋ยวไม่ดี เมื่อชัดเจนแล้วว่าไม่ดีนั้นไม่ใช่เรา ไม่ดีมันก็คือคนที่เขาเป็นกันอยู่ ดีไม่ดีมันเป็นสมมุติ ในกลุ่มคนนี้ กลุ่มหมู่คนกลุ่มนี้ ถือว่าดีเป็นอย่างนี้ ไม่ดีเป็นอย่างนี้ กลุ่มหมู่คนอื่นอาจจะไม่เหมือนกันผิดเพี้ยนกันเล็กน้อยหรือผิดเพี้ยนกันไปตรงข้ามเลย มันก็เป็นธรรมดา แล้วแต่สังคม แล้วแต่บริบท ถ้าไม่ลึกซึ้งแล้วจะมองว่า เดี๋ยวดี เดี๋ยวไม่ดี ดิฉันเข้าใจถูกหรือเปล่าคะ พ่อครูว่า… คุณเข้าใจได้ แต่ว่า มันสับสนระหว่างพยัญชนะกับสภาวธรรมที่แท้จริง อันนี้แหละยาก มันสลับกันไปบางทีก็งง เพราะฉะนั้น สลับกันอยู่นี่แหละคือ มายา มันสลับผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิด ผิดเป็นถูก หลอกเราอยู่ตลอดเวลามายา ส่วนสิริมหามายานั้นนะ รู้ทัน เพราะมันต้องมี 2 เสมอ ผิดถูก ดีชั่ว มันมีหนึ่งเดียวอยู่คือที่เป็นมายาสุดยอดมหามายาคือ สุขกับทุกข์ สุขกับทุกข์เป็น 2 หรือเป็น 1 ยกมือตอบสิ …ใครว่าเป็น 1 ยกมือขึ้น ใครว่าเป็น 2 ยกมือขึ้น ?… จะเห็นว่าเป็น 2 นี้ยกมือเยอะ เป็น 2 แต่ผู้ที่สำเร็จแล้วสามารถรู้ว่า สุขกับทุกข์เป็น 1 เป็น 1 คืออะไร เป็น 0 คือไม่มีทั้ง 1 ทั้ง 2 เป็น 1 คือรู้ว่ามี ถ้ามีอยู่ก็เรามีชีวิตก็มี 1 กับ 2 มีเรากับไอ้สิ่งนั้น อันนั้นไม่หรืออันนั้นไม่ถูก อันนี้ถูก เราก็รู้หมด แต่เราก็ไม่ไป รู้แล้ว เป็น อนุปคัมมะ ก็มันมีอยู่อย่างนี้ อะไรควรกับไม่ควร เราก็รู้แล้ว ถึงเวลาที่จะต้องสมทบ ที่จะร่วมไม้ร่วมมือ ก็ร่วมกับสิ่งที่ควร ฝ่ายที่ควรก็เป็นธรรมดา อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นกลางแล้ว รู้ดีแล้ว มีปัญญาแล้ว ไม่ใช่ไม่เข้าข้างคนดี แต่ต้องเข้าข้างคนดีช่วยเหลือคนดีที่สมควรตาม กาละ เทศะ ฐานะ บางทีเราก็เห็นอยู่ แต่เราเข้าข้างไม่ได้ ฐานะ เราไม่ใช่ที่จะต้องไปเข้าข้าง กาละนั้นเทศะนั้น เราก็ทำอะไรไม่ได้ บางครั้งสมควรจะต้องเข้าข้าง อย่างเราไปชุมนุมประท้วงเราเข้าข้างแน่ๆอะไรอย่างนี้เป็นต้น เราแสดงออก ทุกวันนี้ก็แสดงออกเข้าข้าง อย่างพวกคุณมาเข้าข้างอโศก ไม่เข้าข้างเถรสมาคม เป็นต้น ก็ชัดๆง่ายๆ สบายสงบและมั่นคงที่ 1 ในโลกคือประเทศไทย ทีนี้ อาตมาว่าจะไขความ คำตรัสของในหลวง ร. 9 สั้นๆ เคยได้ยินมาก็หลายทีแล้ว แต่เอามาขยายความเป็นธรรมะลึกซึ้งให้ฟัง คำตรัสของในหลวงก็คือ ที่ท่านตรัสไว้ว่า เราจะเป็นที่หนึ่งในโลก “…ประเทศไทยเราอาจไม่เป็นประเทศที่รุ่งเรืองที่สุดในโลก หรือรวยที่สุดในโลก หรือฟู่ฟ่าที่สุดในโลก แต่ก็ขอให้เมืองไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นคง มีความสงบได้ เพราะว่าในโลกนี้หายากแล้ว เราทำเป็นประเทศที่สงบ ประเทศที่มีคนที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันจริงๆ เราจะเป็นที่หนึ่งในโลกในข้อนี้ แล้วรู้สึกว่าที่หนึ่งในโลกในข้อนี้จะดีกว่าผู้อื่น จะดีกว่าคนที่รวยที่สุดในโลก จะดีกว่าคนที่เก่งในทางอะไรก็ตามที่สุดในโลก ถ้าเรามีความสงบ แล้วมีความสบาย ความมั่นคงที่สุดในโลกนั้น รู้สึกจะไม่มีใครสู้เราได้…” พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ในโอกาสที่ประธานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำคณะกรรมการบริหารมูลนิธิฯ และนักเรียนทุนพระราชทาน เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี ณ ศาลาดุสิดาลัย วันจันทร์ที่ ๒๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๙ พ่อครูว่า… จริงที่สุด และประเทศในยุคนี้ทำได้ด้วย อาตมาไม่ได้พูดเล่นนะ แต่คนไม่เข้าใจคำตรัสของในหลวงที่ว่า เราเป็นประเทศที่มีความสงบมีความสบาย หรือสัปปายะ ความมั่นคงที่สุดในโลก ซึ่งความมั่นคงของแต่ละประเทศในยุคนี้ มันมีระยะความยาวของความมั่นคงสั้น ๆๆ แข่งกัน ทุกวันนี้นี่ความสงบของแต่ละประเทศ หรือความสบายของแต่ละประเทศในโลก ระยะความสงบ ระยะความสบายของแต่ละประเทศในโลกขณะนี้ มันมีความมั่นคงสถิตเสถียรยาวนานน้อย แต่ประเทศไทยเรานี่ จะว่าไปแล้ว เรามีความสงบมาตั้งนาน เอาในยุคนี้ ยุคพระเจ้าอยู่หัวราชวงศ์จักรี ตั้งแต่พระเจ้าตากสิน จัดการกอบกู้ประเทศเสร็จ พระมหาจักรี สมเด็จเจ้าพระยาจักรีคือพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรับช่วงมา ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ ประเทศไทยไม่เคยมีสงคราม สงบมาตลอด สบายมาตลอด แม้มันจะเกิดผันผวนในเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมืองเป็นเรื่องขี้ผง ในประเทศไทย เรื่องการเมืองก็จะมีแย่ที่สุดตั้งแต่เคยมีมา ตั้งแต่ยุคจอมพลแปลก พิบูลสงคราม เพราะเราเป็นประชาธิปไตยมา มีอะไรต่ออะไรมีกบฎมาจนกระทั่งถึงจอมพลแปลก มันก็มีนานที่สุด จอมพลแปลก เผด็จการยึดอำนาจนานที่สุด จนกระทั่ง พลเอกสฤษดิ์ ยึดอำนาจจากจอมพลแปลกอีก ไม่ได้พาคณะยึดหรอก จะมีจอมพลถนอม จอมพลประภาสร่วมกันยึด ยึดเสร็จแล้ว จอมพลสฤษดิ์ก็ยึด 2 คนนี้ต่อจน 2 คนนี้ต้องออกนอกประเทศ ก็เป็นเหตุการณ์ภายในของเรา เกิดรุนแรงที่สุดในยุคตุลาคม 14 ตุลากับ 6 ตุลาคม คนละปี พุทธศักราช พวกที่ได้รับความรู้เ ป็นนักศึกษาหนุ่มสาวกำลังร้อนวิชากัน ออกมาแล้วก็เกิดปั่นป่วนอะไรต่ออะไรขึ้นในนี้ จนเป็นเรื่องเป็นราว มันก็เป็นเรื่องภายในของเราช่วงหนึ่ง เราไม่ได้ไปวุ่นวายรบรากับประเทศไหนเลย ถือว่าสงบแน่นอน ในความสงบมันต้องมีคลื่นเป็นธรรมชาติบ้าง แต่จากนั้นมา เป็นบทเรียนที่ไทยเราสามารถรู้แล้ว มาถึงยุคทักษิณเกิดรุนแรง ทรยศต่อประเทศรุนแรงยิ่งกว่าจอมพลถนอม จอมพลประภาส แต่ไทยเราสงบ สุภาพขึ้นยิ่งกว่ายุคก่อน เพราะบทเรียนก็ดีและการพัฒนาของคนไทยก็ดี เจริญขึ้น จึงเกิดการปราบทักษิณโดยใช้ความสงบสยบความรุนแรง อย่างพวกเราได้ออกไปร่วมทำ ใช้เวลากันหลายช่วง เราออกไปชุมนุมประท้วงกันหลายช่วง ตั้งแต่พศ. 2549 ถึง 2557 หลายครั้งหลายช่วง ทักษิณและนอมินีตั้งแต่ปี 2549 จนถึง 2557 หลังจาก 2557 มาแล้ว เรียบร้อยก็เหลือแต่พวกที่เป็นเศษเสี้ยวเศษสวะ หมาเห่ามาหอนบ๊องแบ๊งๆ อยู่อย่างนี้ ตัวสำคัญก็เห่าอยู่ในประเทศไม่ได้ ก็ไปเห่าอยู่ข้างนอกประเทศ ไม่น้อยนะที่ไปเห่าอยู่ข้างนอก ไม่ใช่คุณทักษิณคนเดียว อยู่ข้างนอก ถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ถือว่าเป็นผู้ที่มีอิทธิพล ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น ถือว่าสงบที่สุด เมืองไทยสบายที่สุด สัปปายะที่สุด สัปปายะ 4 สถานที่สบาย บุคคลสบาย อาหารสบาย ธรรมะสบายๆ จึงถือว่ามั่นคงที่สุดในโลกนั้น รู้สึกจะไม่มีใครสู้เราได้ ในหลวงท่านตรัสยืนยันด้วยว่า ไม่มีใครสู้เราได้ อาตมาวงเล็บต่อว่าในโลกนี้ไม่มีใครสู้เราได้ ท่านตรัสมาแล้วที่สุดในโลกว่ารู้สึกว่าจะไม่มีใครสู้เราได้นะ ท่านตรัสมาก่อนและมีความสงบสบายความมั่นคงที่สุดในโลกนั้น รู้สึกจะไม่มีใครสู้เราได้ ความเห็นของในหลวงกับความเห็นของอาตมาตรงกัน ขออภัยที่พูดเหมือนยกตนข่มท่าน แต่อาตมาอธิบายสัจธรรมให้ฟังว่า ประเทศไทยเรามีพฤติการณ์ของสังคมมนุษยชาติอย่างไร อาตมาก็เอาธรรมะพวกท่านอธิบาย แจกแจงสาธยายความจริงสู่ฟัง ไม่ใช่อื่นเลย ไม่ใช่อวดดี อวดโอ่ ยกตนข่มท่าน ตามที่คนหาเรื่อง เขาก็หาได้ แต่มันไม่มีหรอก ตัวอกุศลเหล่านั้นไม่มีในจิตอาตมา ตลอดเวลาที่อาตมาทำงานทางธรรมะมาไม่มีอกุศลจิต ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มี แม้แต่จะตำหนิติเตียนจะว่า คนนั้นคนนี้ อยู่ต่างประเทศก็ว่า พวกเราชาวไทย ว่าพวกเราชาวธรรมะ ว่ามหาบัวหนัก ว่าธัมมชโยหนัก ก็ว่ากันตามความจริง เพื่อที่จะให้คนที่รับฟังได้รับรู้เหตุผล เรื่องราว เนื้อหา ที่มันมีความแตกต่างจากที่หมู่นั้นหลงยึดว่าถูกหรือดี อาตมาเห็นว่าไม่ถูกไม่ดีคืออย่างไรเป็นภาวะ 2 ทุกคนก็มีอิสรเสรีภาพที่จะฟังความ 2 ฝ่าย มันก็ห้ามไม่ได้ ใครจะมีธรรมวาทีด้านไหน คนที่ยังยึดอยู่ว่าอย่างน้อยเถรสมาคม มหาบัว ธัมมชโย เขาก็ยึดของเขาอยู่นั้น ไปดึงไปห้ามเขาได้ที่ไหนใช่ไหม มันเป็นธรรมชาติธรรมดา ส่วนผู้ที่จะรู้จักโลกุตรธรรมที่อาตมายืนยันว่า อาตมานี่ล่ะ แสดงโลกุตรธรรม ไม่มีใครกล้ายืนยันเหมือนอาตมา ในยุคนี้ไม่มีใครกล้ายืนยันโลกุตระ แล้วก็นำพาคนให้ศึกษาปฏิบัติประพฤติจนประสบผลมา ชีวิตเปลี่ยนแปลงได้ตาม ยืนยันมาตลอด บางคนเปลี่ยนแปลงมากบ้างน้อยบ้าง จนกระทั่งเอาตัวมาอยู่ร่วมกับชาวอโศก แต่ละชุมชนแต่ละแห่งตามที่เขาเลือก มันก็ได้หมู่มาอย่างนี้ ซึ่งจริงๆยุคนี้มันเป็นยุคเสื่อมแล้ว ก็เหลือน้อยที่จะเป็นผู้มีภูมิปัญญาบารมีที่รับโลกุตระธรรมได้ มันเหลือน้อย นี่เป็นสัจจะความจริง ผู้ที่เริ่มฟังแล้วพยายามแสวงหา แล้วก็ได้บ้าง ตามมาได้เรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นมีพลังพอที่จะเอาตัวเองเข้ามาอยู่ในหมู่กลุ่มชาวอโศก คนที่ SMS ก็อยากจะมา อยากจะมาอยู่ บางคนก็มีจิตที่แรงอยากจะมาแต่ก็มีสัมภาระวิบาก มาไม่ได้ อาจจะตลอดชาติมาไม่ได้ อาจจะสักวันหนึ่ง เขาก็คงมาได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่ากรรมวิบากของคนมีเยอะ อย่างนี้มีนานาสารพัดแตกต่างกัน แต่สรุปรวมแล้วที่อาตมานำคำตรัสของในหลวงมาสาธยาย ขยายความ ให้เห็นสัจธรรมความเป็นจริงกับความหมายของธรรมะต่างๆ ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัส เป็นภูมิธรรมของท่าน กับสัจธรรมภูมิธรรมของอาตมา อาตมาเคยบอกแล้วว่า ในหลวงกับอาตมาคือธรรมิกราช 2 องค์ นี่เป็นเรื่องจริงที่คนฟังแล้วก็อาจจะหมั่นไส้มาก แต่อาตมาจำเป็นจะต้องพูด ทำไมต้องพูดย้ำ ทำไมต้องย้ำอย่างนี้ ที่ต้องย้ำอย่างนี้ เพื่อให้รู้ว่า ความจริงมันมีในความจริง แล้วความจริงเมื่อใดจะมีการปรากฏตัว ก็ยุคนี้ไง ในยุคเสื่อม จะมีธรรมิกราชมากอบกู้ไง ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านก็กอบกู้ไปแล้วจนสิ้นพระชนม์แล้ว ยังเหลือโพธิรักษ์นี่ แบกหามอยู่นี่ ยังลุยถั่วอยู่นี่ สังขารร่างกายก็อายุ ในหลวง 89 อาตมาก็กำลัง 89 ก็น่าจะเลยท่าน น่าจะเลย 89 อยู่ ในหลวง 89 ไม่เต็ม สิ้นพระชนม์ตุลาคม ยังไม่ถึงธันวาคม ถ้าถึงธันวาคมก็เต็ม 89 ปี ตุลาคม พ.ศ. 2513 อาตมาอายุ 89 ปี เกือบจะเต็ม 5 เดือนแล้ว เต็มก็ต้อง 5 ธันวาคม คนเราก็วนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร อยู่ในกาละ มันก็วนเวียนอยู่ กรรมวิบากก็ทำให้คนเรานี่ตกต่ำ ได้ดี จนกระทั่งมาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว บรรลุความเที่ยง คือบรรลุมีจิตมีปัญญารู้กิเลส ได้ลดกิเลสจนกระทั่งเข้าเขตของความ นิยตะ เข้าเขตเที่ยงแล้ว ตั้งแต่ขั้นโสดาบันเที่ยง สกิทาคามีเที่ยง อนาคามีเที่ยง (เที่ยงคือไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา) ธรรมะของพระพุทธเจ้า ถ้าเข้ากระแสโลกุตระแล้ว มันจะมีความจริงที่สามารถรู้เหตุตัวร้ายที่ทำให้เกิดความไม่เที่ยง ตกต่ำ ได้ดีสุดแล้วตกต่ำแบบเฉโก แบบเทวนิยมไม่เที่ยง ได้เป็นพระศาสดาแล้วก็ไม่เที่ยง จะตกต่ำได้เป็นสัตว์นรกได้อีก แม้ศาสดาของเทวนิยมก็ไม่เที่ยง เพราะเขาไม่มีปัญญาที่จะรู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน เขาไม่สามารถทำให้จิตลดกิเลส ตัวที่จะต้องวนเวียนคือกิเลส ดับได้ถึงขั้นถอนอาสวะถอนเชื้อรากเหง้าของกิเลส ไม่เหลือ นี่คือ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จึงเที่ยง เขตของผู้ที่ได้รอบแรกเข้ากระแสโสดาบันก็เที่ยงเท่าโสดาบัน เจริญขึ้นเจริญขึ้นเป็นสกิทาคามี จะมีหลายขั้น จนกระทั่งหมดภูมิกามาวจร หมดกิเลสในกามภพ มีกามคุณ 5 เป็นต้น หมดก็หมายความว่า กิเลสที่เป็นตัวเชื้อ ตัวหลงในกาม กามราคะหมด เพราะฉะนั้นก็อยู่กับโลกเขา จะเกิดอีกกี่ชาติ กี่ชาติ มันก็มีกามอยู่ตลอด เกิดมาจนกระทั่งถ้าเป็นแค่ อรหันต์ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อรหันต์รอบที่ 1 อรหันต์นี้ก็คือ ผู้ที่สามารถจะตาย ตายกายแตกแล้ว กายสเภทา ปรัมมรณา จะไม่วนเวียนกลับมาเกิดอีกเลย ตายแล้วก็ขอหายไปในกาละ ก็ตามบารมีของพระอรหันต์ อาตมาไม่ลงลึกในความเป็นอรหันต์ที่จะต้องตายไปแล้วอยู่กับสุทธาวาส 5 อย่างพระสมณโคดม อาตมาเหมือนกัน คือตายแล้วจะไม่เข้าไปอยู่ในสุทธาวาส 5 เคยเป็นอรหันต์มาแล้ว ตายไปแล้วไม่ขอไปอยู่ในสุทธาวาส 5 มาขอเกิดต่อเลยมาบำเพ็ญเป็นโพธิสัตว์ต่อเลย เพราะฉะนั้นจากอรหันต์อริยะ 4 ขั้น อรหันต์โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อนุ คือ ผู้ที่จบแล้วแต่ยังไม่จบคือ ขอตามพระพุทธเจ้าต่อ อนุ แปลว่า ตาม คือผู้ตาม ผู้ที่สืบสานต่อไปตามลำดับ ไป อนุ แล้วได้ไปเรื่อยๆเป็นอนิยตะ คือจะตามพระพุทธเจ้าไปสูงขึ้นสูงๆขึ้นจนถึงรอบ ตอนนี้เที่ยงแล้ว เที่ยงอะไร เที่ยง ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโพธิสัตว์ระดับ 7 ขึ้นไปเป็นผู้ที่เที่ยง สอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แล้ว ทีนี้ก็อยู่ที่คุณจะพากเพียรให้จบ จบปริญญามหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้าเท่านั้น คุณสอบได้แล้ว คุณสามารถรีไทร์ได้ด้วยนะ ทำเป็นเล่นไป ก็มีรีไทร์ไปเยอะ แล้วไม่มีปัญหาหรอก รีไทร์คือตัวเอง ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ทำได้ตั้งแต่อรหันต์ขั้นที่ 4 เป็นต้นไปก็ทำ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ได้หมดแล้ว ยิ่งมาอยู่ระดับ 7 อยู่ในมหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้า คุณจะรีไทร์เมื่อไหร่ ก็ทำได้เลย จะไปยากอะไร ซึ่งก็มีรีไทร์กันเยอะ เพราะตั้งใจเป็นพระพุทธเจ้า ขนาดเข้ามหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้าได้แล้ว ก็ยังมีรีไทร์ตัวเอง อาตมาเคยอธิบายจนถึงขั้นพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า หมายความว่า ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณเท่ากันกับพระพุทธเจ้าเลย แต่ไม่เอาแล้ว พอ ไม่ประกาศเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งต่อโลก จึงไม่ได้ชื่อว่า เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใด องค์หนึ่งขึ้นทำเนียบโลก ในโลกเลยไม่รู้จัก ท่านก็ปรินิพพานของท่านไปเองเลย เท่านั้นเอง มันก็ทำงานมาเยอะเหมือนกับอาตมาไปจนกระทั่งถึงขั้นสัมมาสัมโพธิญาณเหน็ดเหนื่อยจะตาย ไม่ไหว เป็นแต่เพียงว่า ก็ไม่จำเป็นจะต้องให้โลกรู้หรือว่า บันทึกไปในทำเนียบว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเท่านั้นเอง แล้วท่านมีตัวตนหรือเปล่า ก็ท่านไม่มีตัวตนแล้ว มันจะมีปัญหาอะไร แต่ละองค์ก็แล้วแต่สิ ถ้ามันเมื่อยแล้ว มันไม่ใช่น้อยกว่าจะต่อภพต่อภูมิมาเป็นสัมมาสัมโพธิญาณ แม้เป็นแล้ว ได้แล้ว ก็หมดตัวตนไปตั้งนานแล้ว ไม่ต้องไปประกาศอะไรก็ได้ ก็ปรินิพพานไป สับสนไหม เข้าใจใช่ไหม มาเข้าสู่ คำตรัสของในหลวงที่บอกว่า ประเทศไทยเราเป็นหนึ่ง อันนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นแต่เป็นเรื่องจริง อาตตมายกเหตุการณ์สภาวะจริงของประเทศไทยมายืนยันแล้วว่า เมืองไทยเป็นเมืองสงบ สบาย มั่นคง ตามที่ในหลวงท่านตรัส ถ้าเรามีความสงบและมีความสบาย ความมั่นคงที่สุดในโลกนั้น รู้สึกจะไม่มีใครสู้เราได้ ทั้งโลกสู้เราไม่ได้ ถ้าเรามี ถ้าเรามี มีหรือยัง มันมีในกลุ่มหนึ่งคือพวกเรา ยืนยันความจริงอยู่นี้ จนกระทั่งสามารถเป็นสาราณียธรรม 6 เป็นชุมชนสาราณียธรรม 6 คืออะไร สังคมอยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภที่ได้โดยธรรม ลาภธัมมิกา เอามารวมกันกินใช้ร่วมกันเป็นสาธารณโภคีและอยู่ร่วมกัน พัฒนาตัวเองด้วยศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา นี่คือ 6 อย่างของสาราณียธรรม สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ชีวิตก็สงบ สบาย มีหลักแหล่งที่มั่นคง มีหลักแหล่งที่สถิตเสถียร นี่แหละจึงเป็นสังคมที่สมบูรณ์แบบแล้ว เป็นสังคมทำได้ในยุคใกล้กลียุคนี้ มีกลุ่มน้อยๆ แต่ก็พยายามกระจายอยู่ทั่วไป ก็ได้ในประเทศไทย เพราะฉะนั้นในหลวงตรัสว่าในประเทศไทยมีสิ่งนี้ มีความสงบสบาย มั่นคง ในโลกไม่มีสังคมอย่างนี้ในที่ไหนๆ แม้แต่ในประเทศจีนบัดนี้ หรือในประเทศอินเดียบัดนี้ ประเทศอินเดียคือสมถะ ประเทศจีนคือพุทธิหรือปัญญา อินเดียนั้นสัทธานุสารี จีนนั้นเป็นธัมมานุสารี อินเดียเขาสงบด้วยนาน เขามีสมถะ แบบนั้นเขาก็อยู่อย่างนั้นของเขาไป ไม่หวือหวาไม่ฟู่ฟ่า เหมือนโลกเขา เขาก็ได้แต่ร้องรำทำเพลงไปอยู่อย่างนั้น หนังของเขามีแต่ร้องเพลง ไม่มีใครสู้ได้ในเรื่องหนังของอินเดียที่ร้องเพลง ร้องเพลงแล้วก็เต้นรำไป มันเบิกบานร่าเริงในความสงบ ในความสมถะ มันมีสภาวะ 2 ใน 1 มี 1 ใน 2 ส่วนจีนนั้นก็เป็นความสงบ ขณะนี้สงบ แต่มันจะไม่เที่ยงเท่าอินเดีย ใครพอมองออกไหม จะมีเที่ยงเท่าอินเดีย จีนเขาก็สงบได้ในช่วงนี้แหละ ก็คงจะนาน ที่อาตมามองเห็นว่าโลกยุคนี้มันมีอะไรแสดง ที่อาตมาบอกไปแล้ว ประเทศจีนชักจะมี อัญญธาตุ ขึ้นไปหน่อยๆ เขาไม่รู้หรอก เขาไม่รู้เรื่องหรอก หรือ ที่อื่นเขาไม่รู้เรื่อง เถรสมาคม อาตมาพูดก็ไม่รู้เรื่อง มีพวกคุณฟังรู้เรื่องไหม … รู้เรื่องด้วยหรือว่า จีนเขามี อัญญธาตุ อัญญธาตุ คืออะไร เป็นธาตุที่จะทำให้เกิดความสบาย ความสงบ ความมั่นคง สงบนี้ก็คือ เรียบร้อย สบายนี้ก็คือ ความสุข ความสบาย อารมณ์อันพอดี พอใจ สบายใจ แล้วก็มีระยะมีความมั่นคง มีระยะยาวยืนไป มีระยะความยาวนานไป (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมณะเดินดิน… สิ่งที่ในหลวงตรัสไว้ซึ่งตรงกับที่พ่อครูมี 3 เรื่องใหญ่ๆ คือเรื่องที่ 1 คือความจนกับเรื่องที่ 2 คือ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา อีกเรื่องหนึ่งคือประเทศไทยเป็นที่ 1 ในโลก จริงๆทั้ง 3 เรื่องนี้ คิดว่า คนที่ไม่มีโลกุตรธรรม ไม่มีภูมิโลกุตระ ก็คงเข้าใจไม่ได้ ที่ 3 เรื่องนี้ตรงกัน ก็เพราะว่ามีภูมิธรรมที่เป็นโลกุตระเหมือนกัน คนทั่วไปจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่า ขาดทุนของเรา คือ กำไรของเรา หรือว่าให้ทำแบบคนจน หรือว่าที่บอกว่า เราไม่ต้องการเป็นประเทศที่ร่ำรวย รุ่งเรือง ฟู่ฟ่า ซึ่งคนทั้งโลกเขาต้องการอยากจะร่ำรวย อยากจะรุ่งเรือง อยากจะฟู่ฟ่ากันทั้งนั้น แต่เราไม่ต้องการ เราต้องการแค่ความสงบ ความสบาย ถ้าไม่มีภูมิโลกุตระ อาตมาว่าเข้าใจไม่ได้ เป็น 3 เรื่องใหญ่ๆที่พ่อครูเห็นตรงและสอดคล้อง และพยายามทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องสำคัญ อย่างที่บอกว่าจะมีพระยาธรรมิกราช 2 องค์ประกอบพุทธศาสนาในสมัยกึ่งพุทธกาลองค์หนึ่งเป็นกษัตริย์องค์หนึ่งเป็นมหาเถระ ทีนี้ก็จะอยู่ที่ว่า ไปวัดไหน เจ้าสำนักแต่ละที่เขาบอกว่า ตัวเองเป็นมหาเถระองค์นั้น ก็อยู่ที่แต่ละแห่งจะกำหนดเอา พ่อครูว่า… เมื่อพูดแล้วก็อธิบายต่อในประเด็นที่ว่า ความสงบ ความสงบนี้ลึกซึ้ง ไม่ใช่ความสงบง่ายๆ ตื้นๆ แค่ไปนั่งหลับตาแล้วก็หยุด หยุดเฉยๆ อยู่นิ่งๆ ไม่ใช่ ความสงบอย่างนั้น มีความสงบซื่อบื้อ ความสงบพาซื่อ ความสงบของโลกียะธรรมดาๆ แต่ความสงบของพระพุทธเจ้านั้น มันมีปัญญา มันมีภูมิธรรม ความสงบมันมีอยู่ 3 อย่างง่ายๆ อย่างที่ 1 คือ สัทธานุสารี อีกอย่างหนึ่ง คือ ธัมมานุสารี อีกอย่างหนึ่ง คือ ปัญญาวิมุติ สงบสัทธานุสารีนั้น คือ อินเดีย สงบอย่างธัมมานุสารี คือ จีน สงบแบบปัญญาวิมุติคือประเทศไทย อาตมาไม่ได้มองโลกในเรื่องของสังคมศาสตร์ก็ดี รัฐศาสตร์หรือการเมืองก็ดี แม้แต่เศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ อาตมาก็ไม่ได้มองอย่างที่เขาเรียนกันในมหาวิทยาลัยตะวันตกหรือในมหาวิทยาลัยประเทศอเมริกา แม้แต่ในจุฬา มหามกุฏ ก็ไม่ได้เรียนมาอย่างนี้แล้วก็ไม่เหมือนอย่างที่เขาเข้าใจ เมืองไทย เพราะว่าเป็นพุทธ มันน่าจะต้องมีความเข้าใจอย่างที่อาตมาพูด อาตมาสาธยายอยู่นี่ เขาก็ไม่ได้สาธยายกันแบบที่อาตมาสาธยายหรอก แม้แต่ความสงบที่ว่านี้ ความสงบของพระพุทธเจ้านั้น เป็นความสงบที่ คนผู้ที่สงบแล้วจะเป็นคนที่แคล่วคล่องว่องไว คนที่สงบ ไม่ได้อยู่นิ่งๆ กายปัสสัทธิ กายสงบแล้วก็ไม่ได้หมายความว่า กายอยู่เฉยๆ กายมีกายกรรม มีกายวิญญัติ มีการเคลื่อนไหว มีการสร้างสรรค์ ทำงาน ทำอะไรต่ออะไรอยู่ในสังคม แต่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคม ไม่เป็นพิษเป็นภัย จะว่าไปแล้วต่อประเทศอื่นเลยด้วย ไม่เป็นโทษเป็นภัยไม่มีกลิหรือกายกลิ เพราะฉะนั้น มีกายกรรม ก็ไม่มีโทษภัย เพราะไม่มีกลิ กลิคือโทษภัย หรือปัจจัยของกิเลสมันไม่มี นี่เป็นความจริง เพราะฉะนั้น ไม่ต้องแปลกใจหรอก ที่ต่างประเทศมาประชุม APEC ที่นี่แล้วมาสัมผัสประเทศไทยแล้ว สามัญสำนึกของคนที่เขามาร่วมประชุมใน APEC เขารับความสงบ เขาก็รับได้ เขาก็ยังต้องออกไปนั่งสมาธิกับฝ่ายนั้นแหละตามพระป่า เขาไปหรือเปล่า ไม่ได้ไปไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย แต่ความสงบ บรรยากาศของประเทศไทย นี่คือ ความสงบของสังคมมนุษยชาติ ไม่ใช่เป็นสุดโต่ง เป็นความสงบคือแข็งทื่อ คือหยุดคิด หยุดกาย หยุดวจี หยุดมโน อันนั้นแหละ แบบอินเดีย ที่เขาเชื่ออย่างนั้น แล้วเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น ส่วนของจีนนั้น พอมีความรู้อันนี้ จึงทำให้จีนสงบอยู่อย่างไม่มีอะไรมาทำอะไรได้ แต่เขาก็ยัง บอกว่าใครอย่ามาแตะนะ น่านน้ำนี้ของฉันนะ เขายังมีตัวตนอยู่ไม่ใช่น้อย สิ่งเหล่านี้ ถ้าเผื่อว่ามีธรรมะ มีภูมิธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว จะมองออก แม้แต่ในรอบกว้าง กรอบกว้าง เป็นประเทศๆ อย่างที่อาตมาอธิบาย ย่นเข้ามาหาวงเล็กวงแคบ มันก็ยากขึ้น มันละเอียดลงมา ถ้ากว้างมันหยาบ เล็กลงละเอียด ก็จะเข้าใจยากขึ้น เพราะฉะนั้น ในชาวอโศกนี่แหละ เป็นกลุ่มที่สงบที่สุดและเป็น กลุ่มที่มีมวลชนของชาวอโศก เป็นกลุ่มที่สงบที่มีบทบาท มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ขนาดออกไปประท้วงกับการเมืองเขาก็ทำ แล้วก็เอาความสงบสยบความเคลื่อนไหว เป็นพลังจากชาวอโศกเป็นหลัก อาตมาไม่อยากพูดว่า อาตมาดูอยู่แล้วก็ควบคุมอยู่ ที่พูดไปนี้ไม่ได้ความอยากแต่อาตมาประพฤติจริงทำจริงอยู่ เป็นแต่เพียงว่าอาตมาไม่ได้โด่เด่ แสดงตัวอยากเด่น อยากดังอะไรหรอก มันก็ไม่มีอะไร แม้แต่ในหลักฐานก็ไม่ได้โด่เด่ แต่มีบ้าง เขาจะหาว่าองค์นี้มาวุ่นวายมาอะไรประท้วงอะไรกันเล็กๆน้อยๆ แต่เขาก็ตู่ ก็ว่าเอา เพราะเขามีความถือสา พวกที่ถือสาแรงๆก็มี เพราะฉะนัั้น ในประเด็นของความสงบอย่างเดียวนี้ ก็ยากที่จะเข้าใจ ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสไว้ในยุคของท่าน ท่านผ่านอะไรมาหมด จนกระทั่งถึงพ.ศ. 2559 ที่ท่านจะสิ้นพระชนม์ มันก็ผ่านความสงบ ปราบทักษิณมาเรียบร้อยตั้งแต่ พ.ศ. 2557 แต่ท่านรู้ก่อนนั้น รู้ก่อนปี 2557 อีก แล้วท่านก็รู้แล้วว่า ขนาดที่มันยังมีอะไรต่ออะไรบ้าง ในทักษิณนี่แหละ มันเป็นตัวกวนอยู่ในเมืองไทย แต่ไม่ได้ไปถึงประเทศอื่นประเทศอื่นไม่มี เมืองไทยไม่ได้ก่อวิวาทกับประเทศอื่นไหน เป็นความสงบแล้วในระดับประเทศ กับประเทศ มันก็มีอยู่ข้างในนี่แหละ ตัวอย่างก็คือทักษิณตัวลำบาก ตัวกวน นอกนั้นคนอื่นๆก็จะมาพยายามจะมาทำแต่มันก็ไม่ใหญ่ ไม่บ้าบอเท่าทักษิณ อย่างพวกที่จะขึ้นมาปฏิวัติมาเป็นนายก ก็ไม่มีใครคิดจะเป็นประธานาธิบดี จะล้มล้างอะไร ใช่ไหม ก็มีนี่แหละ ทำไมทักษิณมีคนใส่ความว่าเขาจะมาล้มล้างสถาบัน แต่ทักษิณแน่นอนเขาก็ไม่รับหรอก แต่มีคนว่าเขาจะมาล้มล้างสถาบัน ก็เท่ากับล้มล้างสถาบันนะ จะทำตนเองเป็นประธานาธิบดีให้ได้ หรือดีไม่ดีก็จะตั้งวงศ์ เป็นวงศ์ชินวัตร สิ่งเหล่านี้เป็นพฤติกรรมของมนุษย์ที่แสดงออก ที่อาตมาพยายามขยายความอยู่นี่ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในปัญญาข้อที่ 1 ปัญญาข้อที่ 2 ฟังแล้วฟังอีกเข้ามาไถ่ถามฟังความรู้เพิ่มอีก จึงจะเข้าใจ มีความรู้เป็นปัญญาข้อที่ 3 คือจะรู้ความสงบ 2 อย่าง ในปัญญา 8 เพราะฉะนั้น ประเด็นแยกของศาสนาพุทธโลกุตระกับโลกียะ คือ ตรงที่มีความสงบ 2 อย่างนี้แหละเป็นตัวแยก เพราะฉะนั้น ความสงบของมิจฉาทิฏฐิคือสงบซื่อบื้อ อย่างที่พูดไปแล้ว แต่ความสงบของพระพุทธเจ้านั้น ตัวเหตุมันสงบ ตัวกิเลสมันสงบ มันหยุด เป็นตัวพลังมาขับดันกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อิสระ คล่องแคล่ว ว่องไว เป็น กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา คล่องแคล่ว ปราดเปรียว ว่องไว เหมือนอย่างโพธิรักษ์ เขาว่าสงบอย่างไร อย่างกับลิง ก็นี่แหละสงบ คุณสิโดน โดนลูกดีดของโพธิรักษ์ สงบ คนโดนลูกดีดเข้าก็ร้องเอ๋งๆบ้าง ในฐานะที่เป็นพี่เป็นน้องกัน เป็นสังวาสเดียวกัน เป็นพุทธเหมือนกัน ก็ว่าให้บ้าง โดนดีด พอเข้าใจความสงบแบบโลกุตระไหม มันไม่ใช่สงบแบบพาซื่อโดยไม่มีบทบาท ไม่มีกายกรรม ไม่มีวจีกรรมอะไรขึ้นมาทำอะไร ไม่ใช่ แต่มันกลับทำเก่ง ทำอย่างปราดเปรียวว่องไว แคล่วคล่อง มีพลังสร้างสรร ไม่มีโทษ วิเศษไหม เป็นพลังงานสร้างสรร ไม่ใช่เป็นพลังงานที่มีโทษ _สู่แดนธรรม… พ่อท่าน เคยอุปมาความสงบว่าเปรียบเสมือนลูกข่างที่มันเหมือนไม่นิ่งแต่มันนิ่ง พ่อครู ยิ่งนิ่งยิ่งหมุนเร็วยิ่งนิ่ง นึกออกไหมลูกข่าง ยิ่งหมุนเร็วเท่าไหร่ยิ่งนิ่งเท่านั้น นี่คือสภาพ 2ใน1 สงบ แต่เร็วไวมากเลย _สู่แดนธรรม… ผมก็เลยอุปมาต่อว่า เหมือนเครื่องปั่นโมลิเน็กซ์ ใบพัดมันจะหมุนทำงาน แต่มันนิ่ง พ่อครูว่า… ใช่ ความเร็วที่เร็วมากเหมือนลูกข่างที่ว่านี่ เร็วมากจนกระทั่งมันไม่กระดิกเลย มันนิ่ง นี่แหละเป็นความซ้อน 2 สภาพอยู่ใน 1 มีทั้งความเคลื่อนและความนิ่ง มีทั้ง Static และ Dynamic รวมกันแล้ว มุทุภูตธาตุ อันนี้ มีทั้งพลังงานสูงเร็วแรงมากมาย มีทั้งความนิ่งๆๆ ใครทำอะไรไม่ได้เลย _สู่แดนธรรม… จะปั่นละเอียดแค่ไหนก็ได้ แยกน้ำแยกกากได้ด้วย นี่คือเป็นงานเป็นการของความสงบ ครับ พ่อครูว่า… นั่นแหละคือเอาพลังงานเท่านั้นมาทำทางวัตถุแยกกันอย่างได้ที่จัดสรรเหตุปัจจัยต่างๆออกมา ก็เหมือนกันกับที่เขาสร้างเทคโนโลยีทุกวันนี้ต่างๆนานาขึ้นมา ก็ใช้พลังงานใช้ความรู้อันนี้ เป็นความรู้ทางอุตุธาตุ อุตุนิยาม เป็นพลังงานของวัตถุ ดินน้ำไฟลม มันก็ทำได้ง่ายกว่าที่จิต จิต จะทำให้เกิดเป็นความพิเศษ มุทุทั้ง Static และ Dynamic ทั้งตัวนิ่งและตัวเร็ว ไฟฟ้าในตัวก็มีทั้ง กระแสและแรงเคลื่อน 2 ตัวทำงานฉันใด สภาพ 2 มันมีอยู่ในสภาพที่มันมีพลังงาน ถ้ามันไม่มีพลังงานอะไรแล้ว มันกลายเป็น Static แข็งเน่า แข็งนิ่ง แต่ ก็อยู่ได้ด้วยพลังงานที่มันสะกดไว้ หมดพลังงานสะกดคลายแล้ว มันก็กลับมาดิ้นใหม่อีก มันไม่เสถียรหรอก มันต้องใช้ปัญญาล้างเหตุของพระพุทธเจ้านี่ จึงจะเกิดความสงบที่เสถียร อย่างประเทศไทย คนไทยมีธรรมะที่เป็นพุทธ แม้ว่าจะยังไม่มีโลกุตรธรรมกว้าง แต่ก็รับกระแสของอัญญธาตุโลกุตรธรรมไปได้เรื่อยๆ ซึมซับกระจายไปเรื่อยๆ ซึ่งอาตมายกตัวอย่างเมืองจีน เมืองจีนไม่ใช่เมืองพุทธ แต่มันเป็นธรรมะชนิดหนึ่งที่เขาแสวงหา แล้วถึงคราว ถึงครา ที่มันจะถึงยุคของมัน ที่ทำได้ ถ้าสีจิ้นผิง เข้าใจตรงนี้แล้วรักษาสภาพนี้ โดยมองมาที่ไทย เอาโลกุตตรธรรมจากเมืองไทยเข้าไป ถ้าสีจิ้นผิงศึกษาแล้วเมืองจีนจะรักษาอันนี้ได้มีโลกุตรธรรม อัญญธาตุ เจริญเป็นอัญญา(พหูพจน์ของ อัญญธาตุ ) จึงเกิดเป็นปัญญา ถ้าเมืองจีนพลเมืองพันกว่าล้านมีปัญญาเหมือนคนไทยชาวอโศกที่มีปัญญา 8 นี้ โอ้โหจะเป็นมหาอำนาจยืนยาวนานเลย แล้วจะยิ่งใหญ่มากที่สุดเป็นเจ้าโลกโดยไม่ต้องเป็นเจ้าโลก ปัญญานี้จะเป็นเจ้าโลกโดยไม่เป็นเจ้าโลกเพราะมันไม่ถือตัวตน มันเป็นใหญ่โดยไม่ต้องเป็นใหญ่ เหมือนในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นใหญ่ แต่ท่านไม่ทำตัวเป็นใหญ่เลย เป็นนั่งคลุกอยู่กับชาวบ้านต่างๆนานา ท่านนั่งคลุกเสมอกับชาวบ้าน แต่ท่านไม่ได้นั่งคลุกเสมอกับคนในเมือง หรือกับคนที่มีศักดิ์ มันเป็นคนละ กาละ เทศะ ฐานะ เห็นไหมในรายละเอียด ท่านวางตนได้เหมาะสมกับ กาละ เทศะ ฐานะ นี่เอาพฤติกรรมจริงมายืนยัน ไปต่างจังหวัดท่านก็นั่งเสมอสมาน ให้เคารพก็เคารพยิ่งอย่างได้ใจเลยนะ ประชาชนยิ่ง หือ.. ในหลวงไม่ถือตัว เห็นไหมว่าคนเรา ถ้ายิ่งไม่มีตัวตนไม่ถือตัวถือตนยิ่งได้รับความเคารพยิ่งกว่า ที่ท่านทำ อย่างมหาระแบบว่า โพธิรักษ์เป็นใคร ท่านเป็นเปรียญ 6 ปริญญาโทนะ โพธิรักษ์มีอะไร มหาระแบบพี่ชายของจตุพร แต่คนละพ่อ เพราะฉะนั้นความสงบก็ดี ที่นี้มาพูดถึงความจน ที่ในหลวงบอกว่า เราไม่จำเป็นต้องรวยแต่เราก็รวยพอตัวนะ เราจะดีกว่าคนรวยที่สุดในโลก เราจะเป็นหนึ่งในโลกในข้อนี้ แล้วรู้สึกว่าที่หนึ่งในโลกในข้อนี้จะดีกว่าผู้อื่น จะดีกว่าคนที่รวยที่สุดในโลก จะดีกว่าคนที่เก่งในทางอะไรก็ตามที่สุดในโลก ถ้าเรามีความสงบมีความสบาย ความมั่นคงที่สุดในโลกนั้น รู้สึกจะไม่มีใครสู้เราได้…. นี่ท่านไม่ได้เอาเรื่องความจนมาเกี่ยวด้วย เพราะว่าท่านจะไม่ได้ตรัสว่า จะมาจนที่สุด มีแต่ความสงบความสบายความมั่นคง แต่ท่านไม่ได้เอาคำว่ามาจนที่สุดในโลก เพราะประเทศที่จนกว่าเราก็มี แต่ประเทศของเรานี้จน เปรียบเทียบกันในโลกถือว่าเป็นประเทศที่จน มันมีความคิดทำสถิติซับซ้อน ว่าประเทศไทยนี้ รวยหรือจนเมื่อเทียบกับต่างประเทศประเทศต่างๆ ประเทศไทยก็รวยกว่าหลายประเทศ โดยค่าเฉลี่ย จะจนก็ต่างประเทศมากกว่า เทียบกับ 200 กว่าประเทศ ประเทศไทย ก็รวยกว่าเขาอยู่ ไม่ใช่น้อย แต่จนนี้ ค่าเฉลี่ยของความจนนี่ ไทยจน ไม่ได้จนอย่างสิ้นไร้ไม้ตอกเหมือนอย่างหลายประเทศ จนอย่างมีเศรษฐกิจ พออยู่พอกินถึงขั้นอุดมสมบูรณ์ ประเทศไทย สถิติที่อาตผ่านๆมาพอจะจำได้ว่า ประเทศไทยเป็นหนี้ต่างประเทศอยู่ แต่ประเทศไทยมีเงินคงคลัง อยู่มากอยู่ ซึ่งไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยจะไปยืมเขามาไปกู้เขามา มาพัฒนาประเทศ เพราะมันต้องมีธนบัตร ใบรับรอง ถ้าเมืองไทยจะปั๊มธนบัตรออกมามากๆ ธนบัตรไทยก็สู้ธนบัตรที่สากลเขายอมรับ เช่นดอลลาร์เป็นต้น ทั้งๆที่ดอลลาร์มันคือแบงค์กงเต็ก แต่ในโลกเขายอมรับ เราก็จำนน เราก็บอกว่า เอ็งยอมรับเราก็เอาอันนี้มาใช้ จะให้กู้อเมริกาก็ให้กู้ได้ ก็เอามาทำงานให้เกิดเศรษฐกิจคือความเคลื่อนที่ แลกเปลี่ยน เศรษฐกิจมันก็ดำเนินไปได้ เป็นตั๋วแลกเงิน แต่ถึงอย่างไร ประเทศไทยแม้ว่าจะไม่ค้าไม่ขายกับประเทศอื่นเลย คุณเชื่อไหมว่าประเทศไทยอยู่รอด ปิดประเทศ เหมือนอย่างเกาหลีเหนือ เขาก็ค้าขายอยู่ แต่เขามีแต่อาวุธค้าขายอย่างอื่นเขาก็พออยู่พอกิน เอาจากเกาหลีใต้ เอาจากจีนหรือประเทศอื่นไปกินใช้ จีนนั้นเป็นหลัก เขาต้องเลี้ยงชีพ เขากินไม่ได้หรอกลูกระเบิดนิวเคลียร์ เขากินไม่ได้ แต่ลงทุนไว้เยอะนะ ลงทุนด้วยกระดาษชำระ กระดาษเปื้อนหมึกนี่แหละ แต่เราไม่รู้หรอกเงินเกาหลีเหนือ เราก็ใช้เงินวอน ในโลกก็ใช้สมมุติพวกนี้แหละอาศัยกันไป พวกเราใช้สมมุติกันน้อย ที่นั่งอยู่ในนี้ขอถามหน่อย ใครมีธนบัตรดอลลาร์บ้างยกมือขึ้น ขณะนี้มีกี่ดอลลาร์ _สู่แดนธรรม… มี 10 ดอลลาร์ พ่อครูว่า… มันมีฤทธิ์มากนะดอลลาร์ แต่พวกเราไม่มี พวกเราไม่แยแสดอลลาร์ เราใช้แต่ธนบัตรไทยก็พอแล้ว ถ้ายังใช้อยู่ พวกเราก็ใช้น้อยจนกระทั่งหลายคนไม่ต้องมี มีก็ไว้กองกลางหรือฝากเพื่อนไว้ เอาไว้เราต้องรักษาดูแล เราต้องเก็บ 10 บาท 20 บาทก็ต้องเก็บนะ แต่ของที่มันทิ้งเรี่ยราดแพงกว่า 10 บาท 20 บาท ไม่เก็บ แต่ธนบัตรนั้น 10 บาท 20 บาท 100 บาทก็เก็บ แต่ของราคาเป็นพัน ทิ้งขว้างไม่เก็บไม่ดูแล แต่ธนบัตรอย่าให้เห็นเชียว ทำไมมันโง่จัง เห็นไหมเห็นความโง่ของคนไหม มันไปติดสมมุติธนบัตร ปัดโธ่เอ๊ย เศษกระดาษ กระดาษชำระ กระดาษเปื้อนหมึก แล้วตั้งค่าสมมุติกันไป มันหลอกกันในโลก มันเกิดมาจากตั๋วแลกเงิน เสร็จแล้วก็กลายเป็นธนบัตรประจำของแต่ละประเทศ วิวัฒนาการของมันก็ไม่ต้องพูดยาว สมณะเดินดิน… สรุปจบ Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin30 พฤศจิกายน 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:651128 รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูตอบปัญหาผู้ชมทางบ้านNextNext post:ฉบับที่ ๕๔๔(๕๖๖) นสพ.ข่าวอโศกปักษ์หลัง พฤศจิกายน ๒๕๖๕Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024