651123 งานโพธิบูชากตัญญู ครั้งที่ 3 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1_C8m8YijQLkCUmpDn7pd0kuTcyI8EWfs5q31g6VbHdk/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1h7ArT8Y_T9EYi98aFROpr8y4jEBZrlFC/view?usp=share_link ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/pqs9U8iGCmk และ https://fb.watch/gZOX_nGEZP/ โพธิสัตว์สยังอภิญญาผู้มากอบกู้พุทธศาสนาในกึ่งพุทธกาล พ่อครูว่า… เจริญธรรมทุกคน ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันพุธที่ 23 พฤศจิกายน 2565 แรม 15 ค่ำ เดือน 12 วันสุดท้ายของเดือน 12 แล้ว พรุ่งนี้ก็จะขึ้นเดือนอ้ายแล้ว ขึ้นปีใหม่ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของงาน โพธิบูชากตัญญู ครั้งที่ 3 ซึ่งจัด 3 วัน ตอนนี้สายตาชักแย่ อ่านผิด ตอนพิมพ์งานก็ไปกดคีย์บอร์ดผิดตัว มันชักเพี้ยนๆไปแล้ว มันก็เป็นไปตามความเสื่อมของมัน ก็มีสติสัมปชัญญะรู้อยู่ว่ามีอะไรไม่ปกตินัก โพธิบูชากตัญญู คำว่ากตัญญู ก็คงพอเข้าใจกันแล้ว ความกตัญญู เพราะฉะนั้นก็มาทำการบูชา คำว่า บูชาหมายความว่า ยกย่อง เชิดชูบูชา ยกย่องเชิดชูความเป็นโพธิ ความเป็นโพธิสัตว์เป็นนามธรรม แต่โพธิรักษ์นี้เป็นรูปธรรม เป็นตัวตนบุคคล เพราะอาตมามีโพธิ มีนามธรรมนั้น พวกคุณก็มาบูชาโพธิ โพธิไม่ใช่ของอาตมาทีเดียว โพธิเป็นสัมมาสัมโพธิญาณของพระพุทธเจ้า โพธิคือความตรัสรู้ หรือความรู้ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรู้ แล้วเอามาตรัส เอามาบอก เอามาพูด ให้มนุษยชาติได้ยินได้ฟัง ความรู้จากพระโอษฐ์ เป็นคำตรัส ตรัสก็คือคำพูด มาพูดให้ประชาชนได้รู้ ก็รวมเรียกความรู้ที่พระพุทธเจ้าท่านเอามาพูด เอามาตรัส มาพูดให้คนได้ยินได้ฟัง ก็รวมเรียกด้วยคำศัพท์ว่า ตรัสรู้ เป็นคำกิริยาก็ได้ คำนามก็ได้ ถ้าเผื่อว่ายังไม่เข้าใจคำว่าโพธิ หรือเข้าใจคำว่าโพธิไม่สัมมาทิฏฐิพอ ไม่ลึกซึ้งพอว่าเป็นความรู้เฉพาะของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เป็นสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เฉพาะพระพุทธเจ้า เพราะศาสดาอื่นๆในมหาจักรวาล ที่เป็นพระศาสดาของเทวนิยม แตกต่างจาก อเทวนิยมหรือแบบพุทธ ในยุคหนึ่ง กัปหนึ่ง ก็มีองค์เดียว แล้วศาสนาของพระพุทธเจ้าสมณโคดมมีอายุยืนยาวแค่ 5,000 ปี ก็หมดสิ้นแล้ว ความรู้นี้หายลงไป สลายไปเสื่อมสิ้นไปไม่เหลือ ไม่มีอะไรมาบังคับ มันจะเป็นอย่างนั้นจริง ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัส ประกาศตั้งแต่ พ.ศ. พระพุทธเจ้า ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เขาก็เริ่มนับ พ.ศ.1 จนมาถึงวันนี้ 2,565 ปี พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ.0 เริ่มนับจาก พ.ศ.1 จนถึง 2,500 ปีนี้มันก็เสื่อม นับตั้งแต่ พ.ศ. 1 พระพุทธเจ้าปรินิพพาน จนถึงปี 2500 นี้ มียืนยันปรากฏการณ์จริงว่า ชาวพุทธ แม้ผู้ที่เป็นกระแสหลัก เป็นผู้นำพา หรือว่าเป็นเจ้าแห่งพิธีการ เป็น MC ของศาสนา เป็น Master of Ceremony ของศาสนาพุทธ คือพุทธกระแสหลัก ชัดๆก็คือ เถรสมาคม เอาชัดๆ ก็ได้ผิดเพี้ยนเสื่อมไปจากความรู้เดิม อาตมาพูดสัจธรรมนะ ไม่ได้ไปข่ม ไปดูถูกดูแคลน มันได้ผิดเพี้ยน บกพร่องไม่ตรงจากสัจธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว มันกลายไปเป็นเรื่องเปลือกผิว เป็นเรื่องปลอมแปลง เป็นเรื่องปรุงแต่งออกนอกรีตไป จากความรู้ที่ถูกต้องตามพยัญชนะ ตามสัจจะ ตามสภาวะ มันไม่ตรง เช่น ภาษาศัพท์ ที่เป็นภาษาทางปรมัตถ์ ภาษาทางสภาวธรรม ภาษาชี้ตัวบอกสภาวธรรม คำว่า สมาธิ คำว่า ฌาน คำว่า กาย คำว่า บุญ อย่างนี้เป็นต้น เพี้ยนหมด มันผิดหมด มันผิด ยิ่งทุกวันนี้อาตมาจึงกล้ายืนยัน ก่อนยังไม่ชัดเจนตอนนี้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นและจะชัดเจนมากยิ่งขึ้นไปอีกจนกว่าอาตมาจะตาย มาถึงวันนี้ก็ได้พยายามฟื้นความรู้ของตัวเองขึ้นมาแล้วก็ขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะอาตมาเป็นโพธิสัตว์เป็น สยังอภิญญา เป็นผู้ที่มีอภิญญาของตัวเอง สยังอภิญญา อันเป็นความรู้ยิ่งของตัวเอง ข้ามชาติ มีมาเก่าแล้วก่อนแล้ว เป็น บุพเพกตปุญตา เป็นสิ่งที่ได้ปฏิบัติแล้ว สะสมแล้วเป็นบุพพะ เป็นของเก่า มาจนถึงทุกวันนี้ มาเกิดทำหน้าที่เพื่อจะกอบกู้ศาสนาพุทธนี้ขึ้นมา ที่อาตมายืนยันอยู่ในพระไตรปิฎก ในสัมมาทิฏฐิ ข้อที่ 10 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าในโลกจะมีผู้มากอบกู้ ที่จะมาอธิบายยืนยันทิฏฐิทั้ง 10 นี้ได้ พาปฏิบัติสำเร็จ อย่างสัมมาทิฏฐิ เพราะฉะนั้นเมื่อความเสื่อมได้เสื่อมแล้วก็ไม่สามารถอธิบายสัมมาทิฏฐิได้ หรืออธิบายสัมมาทิฏฐิอย่างมิจฉาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิเขาก็ได้แต่พยัญชนะ พระไตรปิฎกก็ยังอยู่ สัมมาทิฏฐิ ๑๐ เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา). ๑. ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิทินนัง) ๒. ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง) ๓. สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง) ๔. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ (อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก) ๕. โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ ๖. โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ ๗. มารดา มี (อัตถิ มาตา) ๘. บิดา มี (อัตถิ ปิตา) ๙. . สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา) ๑๐. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) (พตปฎ. เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๕๗) ย้อนระลึกอดีตพ่อครู ที่มาของโพธิบูชากตัญญู อาตมาแสดงธรรมมา 50 กว่าปีแล้ว พวกเราก็เป็นผู้ที่เรียนรู้ตาม ปฏิบัติตามจนได้ผล ก็ระลึกถึงบุญคุณก็มา กตัญญูบูชาต่อโพธิ _ทิดกล้าเป็น… ผมขออนุญาต พูดที่มาที่ไป กองงานวันนี้ ว่า พวกสัมมาบัณฑิตได้พูดคุยกันว่าจริงๆแล้วพ่อครูบรรลุธรรมวันไหนกันแน่ พ่อครูว่า… อย่าไปเอานิยายอะไรกับพวกนั้นมากเลย บัดนี้ วันที่ ๒๓ พฤศจิกาฯ เวียนมาบรรจบครบรอบ ๕๒ ปีเต็ม เป็นวันประจักษ์แจ้งแห่งโพธิภูมิอันสัมบูรณ์ พร้อมปฏิบัติโพธิพันธกิจ ฐานะผู้รับภาระ จะต้องสืบทอดศาสนาให้ยืนยาว จนครบถ้วน ๕,๐๐๐ ปี ให้จงได้ ตามปณิธานของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ผู้เคยให้สัญญาไว้แต่ครั้งพุทธกาลนั่นเทียว ณ โอกาสนี้ เพื่อรำลึกเฉลิมศรัทธา พวกกระผมเหล่าบรรดาสัมมาบัณฑิตทุกท่าน ขอน้อมปฏิบัติบูชา จะตั้งใจศึกษา พากเพียร ลดละกิเลส ก้าวเดินตามสัมมาอาริยมรรค ดำเนินชีวิตชอบ – ปฏิบัติชอบ ตามที่พ่อครูผู้ได้ประกาศโลกนี้ – โลกหน้า ให้แจ่มแจ้งแล้ว เพื่อการบรรลุธรรม และเจริญรอยตามโพธิสัตว์ ตลอดไป ทุกภพ ทุกชาติ เทอญ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพศรัทธายิ่ง ” สัมมาบัณฑิต ” พ่อครูว่า…เขาพิมพ์มาให้หลายหน้า ลองอ่านหน่อย ” อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญจ โลกัง ปรัญจ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ “ ” สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินถูกต้อง ปฏิบัติถูกตรง ซึ่งประกาศ โลกนี้ – โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม มีอยู่ในโลก” พ่อครูว่า… คำว่าโลกหน้าปรโลก จะขอให้ไปเป็นไปตามที่ขอไม่ได้ ผู้ใดที่ทำกรรมอย่างไรก็ไปอย่างนั้น ผู้ทำดีได้ดี หรือผู้ที่ทำเป็นโลกุตระ จนที่สุดเป็นพระอรหันต์ แล้วท่านสามารถตายด้วยนิพพาน 3 สูญเลย ท่านก็ทำได้ของท่านเอง ตายแล้วไปสู่ภพของจิตวิญญาณ ภพของจิตวิญญาณไม่มีใครรู้จักใคร มันไม่มีใครรู้จักใคร เป็นภพของตนๆ เป็นภวังค์ของตน มันไม่ไปกระทบกับใคร ไม่กินสถานที่ ไม่กินเครื่องอาศัยอะไรเลย มันยิ่งกว่าอากาศ มันไม่กินพื้นที่ ไม่กินสถานที่ ไม่กินวัตถุ ไม่กิน มันเป็นนามธรรม ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเป็นภพของตน เพราะฉะนั้น ภพที่ไปสร้างอย่างอุทกดาบส อาฬารดาบส ไปสร้างภพของตนเองเป็นอสัญญี พวกนั่งหลับตาดับจิต ดับสัญญา ไม่รู้เรื่อง พวกนั่งหลับตาเป็นพวกอสัญญีทั้งนั้น แต่ไม่รู้ตัวเองเพราะไม่มีสัมมาทิฎฐิที่สามารถดับสัญญาได้เด็ดขาด จะนานเท่าไหร่ก็แล้วแต่ หรือจะสนิทอย่าง อาฬารดาบส ซึ่งที่จริงไม่สนิททีเดียว แต่ อาฬารดาบส ไม่มีพลังจะไปรู้สภาวะที่เกินกว่าพลังที่ตัวเองจะรู้ได้ รู้ได้แค่กรอบเท่านั้น แม้มันจะแว๊บไปคุณก็ไม่รู้ได้เพราะมันเป็นลักษณะสะกดจิต กดมันไว้ที่เก่า แต่อุทกดาบส รู้นะว่า ยังไม่สนิทมันมีอีก แว้บ ก็เลยนับเป็น 8 เป็นฌานที่ 8 แต่อุทกดาบส ก็เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็ไม่รู้ว่าอายตนะนี้ มันเป็นภพหรือไม่เป็นภพ จะว่าภพก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ภพก็ไม่ใช่ เขาก็ดับสะกดจิตหนักเข้าไปอีก เขาทำเท่าไหร่มันก็ได้ เป็นมิจฉาผล เป็นผลของพวกฤาษี เทวนิยม เดียรถีย์ ทั้งหลายแหล่ มีความรู้เป็นโลกียะอยู่แค่นี้ อุทกดาบส ดับได้ทนได้นาน ทนได้นานมากยิ่งกว่าอาฬารดาบส นานจนกระทั่งตายไปในคราบของความยึดติดยึดถือนั้น เมื่อตายไปแล้วมันก็จะจมอยู่ในภวังค์ของตัวเอง นานเท่าไหร่ไม่มีอะไรมากระทบ ไม่มีอะไรมาสะกิด ไม่มีอะไรสะเทือนเลย มีแต่พลังสะกดของตัวเองอีกนานๆๆๆๆ จนพระพุทธเจ้าจะไปโปรด เห็นว่าสององค์นี้เคยเป็นอาจารย์ ตอนที่ท่านออกบวชใหม่ๆก็ไปฝึกสมาธิแบบนั้น ตอนแรก ลิงลมอมข้าวพอง ของ พระพุทธเจ้า ก็คิดว่า ท่านมีบุญคุณเคยได้เคยโอภาปราศรัย ในลักษณะนี้ก็ถือว่าเป็นอาจารย์ แม้จะเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ตาม ท่านก็จะไปโปรด เพราะว่าเห็นมีพื้นฐาน พอระลึกถึงไปว่า ท่านอยู่ที่ไหนหนอ พระพุทธเจ้าก็หยั่งญาณดูว่า อยู่ที่ไหนหนอ อ้าว.. ตายแล้ว ตายไปก่อน 7 วัน อาฬารดาบส ส่วนอุทกดาบส ตายไปเมื่อ 2 วันก่อนนี่เอง ท่านก็เลยอุทานว่า ฉิบหายใหญ่เลย เพราะช่วยกันไม่ได้แล้ว ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมของ อาฬารดาบส อุทกดาบส ท่านก็ช่วยไม่ได้ ก็ต้องไปตามยถากรรม กรรมวิบากของท่านเองหนอ หากว่าไปทันจะช่วยได้ไหม…น่าจะช่วยได้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านหยั่งญาณไปรู้แล้วน่าจะช่วยได้ เอาลองอ่านดู ตามบันทึกที่อาตมาได้เขียนไว้ พวกคุณไปเก็บมา อาตมายังไม่มีบันทึกนี้เลยนะ อ่านดูก็ระลึกพอได้ ย้อนรำลึกเปิดบันทึกวันประวัติศาสตร์พ่อครู ๐ ๒ฯ๑๒ ๑๐ จันทร์ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๓ เป็นวันสำคัญยิ่งอีกเช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จสิ้น สิ่งที่ปรากฏ ณ เบื้องท้ายสุด ใน “มโนวิญญาณ”แห่งข้าพเจ้านั้น มันคือ “ความสูญ จุดแท้ จุดจริง”นั่นเอง ที่ปรากฏเกิดขึ้นมาให้กระจ่าง และพร้อมกับชัด ประจักษ์ต่อสภาวะ “อาสวักขยญาณ” จริงๆ เมื่อเดินจงกรมไปครบเที่ยวที่ ๗๗ อันเป็นปีเกิดของข้าพเจ้า ครบถ้วนครบรอบพอดิบพอดี ซึ่ง “เตวิชโช” ที่ชัด ญาณนั้นก็ปรากฏ จนข้าพเจ้าต้องหยุดนิ่งอยู่เป็นครู่ เพื่อรักษาสภาวะปีตินั้น ลมหายใจเฮือกสุดท้าย แห่งความแทงทะลุ ก็ถอนออกมาจากอก อย่างจริงอย่างแท้ เป็นสภาพที่เกิดแล้วเป็นแล้ว มันลึกมันไกล ใครบ้างจะเข้าใจได้ง่ายๆ ถ้าไม่เกิดกับตน ผุดโผล่ออกมาให้ซับซาบ สัมผัสกับตนดังนี้ ข้าพเจ้าทบทวนรำลึก พร้อมกับเดินจงกรมต่อไป จนครบถ้วน ๑๕๐ เที่ยว ซึ่งก่อนจะถึงเที่ยวที่ ๑๕๐ เหลืออีกสัก ๕-๖ เที่ยว ท้องไส้ก็เร่งเร้า เข้าสู่สภาวะ “ทุกข์หนัก” ข้าพเจ้าต้องเอาชนะกันด้วย “จิต” อย่างแกร่งกล้า มั่นคง และดำรงไปด้วยดี แม้จะต้องทน แต่ก็บริบูรณ์ถ้วนทั่ว ไปอย่างดี เมื่อข้าพเจ้ามาเปิดดูสมุดนี้ขึ้นดู วันที่ ๒๓ พ.ย. ๑๓ จะได้พบเลข ๐ อยู่ตรงแนวบนหน้ากระดาษนี้ ข้าพเจ้ายิ่งงงเพิ่มขึ้นว่า วันอย่างนี้ในไดอารี่นี้ มีเลข ๐ อยู่อย่างนี้ทุกวันหรือ? ข้าพเจ้าเปิดย้อนไปดู ตามหน้า ที่มีวันอาทิตย์ต่างๆ ก็ไม่เห็นมี เพราะไดอารี่อันนี้ เป็นของเก่าปีที่แล้ว ข้าพเจ้าเอามาใช้ โดยประทับวันใหม่ลงไป วันจันทร์จึงไปทับวันอาทิตย์ ของปีที่แล้ว เปิดดูทั้งหมดก็ทราบว่า เป็นเครื่องหมายชนิดหนึ่ง แต่ไม่ทราบว่า เขาจะใช้หมายถึงอะไรแน่ แต่มันก็เป็นความบริบูรณ์ของข้าพเจ้านั้นแน่ๆ นิมิตเกิดก่อนเดินจงกรม ขณะนอน ในช่วงก่อนจะลุกขึ้นมาทำสมาธิ และเดินจงกรม ประมาณตี ๒ เศษเท่านั้น นิมิตอันหนึ่ง คือ ข้าพเจ้าอาบอาจมเต็มตัว เปื้อนไปหมดทีเดียว เพราะในห้องน้ำของข้าพเจ้า ส้วมก็แตกร้าวออกมา อาจมก็ทะลักออกมา เปื้อนเปรอะเลอะอาบตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทราบได้ดีจากนิมิตนี้ทันที ดุจดังนิมิตที่พระพุทธองค์ทรงได้ ที่พระองค์ทรงเดินลุยไปในอาจม ทั้งปวงเช่นกัน และอีกนิมิตหนึ่งคือ ข้าพเจ้าพบ ๐ นิมิตนั้นเป็นลูกปิงปอง ข้าพเจ้าพบคนต่างๆ ที่สนุกสนานกันอยู่กับการเล่นลูกปิงปอง เล่นกันมากมายหลายตา หลายโต๊ะ ต่างสนุกสนานกัน ไม่มีใครคิดอื่น ลูกปิงปองที่ตีแล้ว แตกไป-ร้าวไป ก็ทิ้งขว้างไป ที่ดีอยู่ก็ตีโต้กันอยู่อย่างสนุก ข้าพเจ้าสิ ไปเก็บลูกปิงปองเหล่านั้นมาดู มันมีทั้งที่ร้าว ทั้งที่แตก และที่ยังดี และทุกลูก เมื่อข้าพเจ้านำมันมาซ้อนกันดู มันก็คือ ปิงปองลูกบริบูรณ์ ที่ไม่มีร้าวมี-แตก ลูกเดียวกัน หรือเหมือนกันนั่นเอง นิมิตทั้งสองนี้ ชัดแจ้ง ให้ความหมายกระจ่างแจ้งที่สุด เมื่อข้าพเจ้าผ่านการพบเลข ๐ มาแล้ว ณ บัดจงกรมครบรอบที่ ๗๗ นั้น วันเสาร์ที่ ๒๑ พ.ย. ข้าพเจ้าเกิดญาณแจ้งในความเป็น “อนุพุทธ” ได้ด้วย “บุพเพนิวาสานุสติญาณ”และ “จุตูปปาตญาณ” และเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๒ พ.ย. ความรู้ก็เพิ่มขึ้นมาบ้าง ขณะจงกรมอยู่ ความแน่ใจ-มั่นใจ-แกร่งใจใดๆนั้น มีมากขึ้น จนที่สุดวันนี้ คือวันจันทร์ที่ ๒๓ พ.ย. ๑๓ นี้ มันเป็นความจบ ดังที่ข้าพเจ้าได้รู้สึกล่วงหน้ามาแล้ว ตั้งแต่วันเสาร์ว่า “ต้องคอยดูในวัน ๑๐ ค่ำ อันเป็นวันครบ ๐ และเป็นวันครบวันที่ ๒๓ เพราะข้าพเจ้า พระพุทธโคดม และพระศรีอารยะ ย่อมเกี่ยวกันอยู่ในเลข ๑-๒-๓ นี้ ทั้งสิ้น พระโคดม คือเลข ๑ พระศรีอารยะ คือเลข ๒ และ ข้าพเจ้า ย่อมคือเลข ๓ ดังนั้น แม้วันเสาร์ (๗) อาทิตย์ (๑) และจันทร์ (๒) ก็ย่อมหมายถึง ๑-๒-๓ โดยนัยเดียวกัน” และในวันนี้เอง ก็แจ้งใน “จุตูปปาตญาณ” อีกแยะเยอะ พบแม้กระทั่ง “ปฐมครู”ของข้าพเจ้า ในปางร่วมยุคแห่งท่านผู้หมายเลข ๑ นั้น และข้าพเจ้าได้ตื้นตัน ปีติเกิดด้วยญาณที่ได้รู้ว่า “ครูคือใคร” อย่างมากล้น จนน้ำตาไหลล้นออกมา ในขณะแจ้งทีเดียว และข้าพเจ้าจึงได้รู้ต่อไปอีกว่า “มานะสังโยชน์”นั้น ขาดสะบั้นลงไป ในวาระนี้-บัดนี้-มื้อนี้-คาบนี้ นั่นเอง คงจะต้องเหลือเพียง “อุทธัจจะ” อันจะคงมีไว้ เพื่อใช้เป็นประโยชน์โลก และประโยชน์ตนเท่านั้น เมื่อคืนนี้ ก่อนจะล่วงเข้าสู่ราตรี พระ ๒ รูป คือท่านสุมิตร กับ ท่านชิต ก็ได้มาหาข้าพเจ้าถึงกุฏิ และได้ไต่ถามปัญหาต่างๆ อันพึงควร จนได้รับความเข้าใจ และได้ปัญญาญาณ ไปพอสมควร พร้อมกันนั้น ทั้ง ๒ รูป ก็ได้ร่วมกัน “อาราธนา” ให้ข้าพเจ้าค้นคว้า นำพระไตรปิฎก ออกมากระจายขยายความ สอนส่ำสัตว์ พ่อครูว่า… ธุดงค์ไม่ได้หมายความว่าไปเดินออกป่าเท้าเปล่าอย่างครูบาบุญชื่น เดินเอาไม้เคาะหัวคนไปอย่างนั้น เป็นเรื่องสร้างภพสร้างชาติสร้างนิมิตเอง ไม่ได้เป็นกรรมทางกายวาจาใจ เป็นเหตุปัจจัยที่เป็นรูปนาม รู้จักสภาพนอก สภาพใน ที่มีกายมีจิตเลย คนที่มาศรัทธาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและก็ยิ่งงมงายตามไป ขออภัยที่อาตมาพูดตรง ก็ต้องไปกระทบครูบาบุญชื่นล่ะ เพราะถูกอาตมาว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ อาตมาก็ต้องมั่นใจว่าตำหนิถูกต้อง (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมณะฟ้าไท… คนเขาศรัทธากันมาก แล้วก็ยาวนาน เอาแค่เดิน คนก็มาถวายของ ท่านก็ไม่เอา แต่ของพ่อครู เราไม่ได้ถวายของ ให้เอากิเลสออก พ่อครูเป็น สยังอภิญญา แสดงว่า พระพุทธเจ้าวางหมากไว้ ว่าต้องมีคนนี้มาเกิดเพื่อต่อศาสนา ท่านวางไว้เลย พ่อครูว่า… ไม่ใช่วาง แต่ผมบำเพ็ญมาแล้วมาตรงกัน มันเป็น Born To Be พระพุทธเจ้าก็ต้องหยั่งรู้ว่าเป็นผู้รับสืบทอด มันห้ามไม่ได้ ผม โพธิรักษ์ทำไมต้องมาเกิด มันต้องมาเกิดมันห้ามไม่ได้ ของจริง ศาสนาพุทธของพระสมณโคดมต้องไปอีก 5,000 ปีถ้าไม่มีอาตมามันไม่เกิด ขอยืนยันว่ามันไม่เกิด _ป๋อง…วันนี้เป็นวันปรินิพพานของพระสารีบุตรด้วยครับ พ่อครูว่า… ในหลวง ร.9 นี่ ก็เป็นคู่บารมี ท่านเป็นทางรูปธรรม จะพูดอย่างเทียบๆกัน ก็คือท่านเป็นโมคคัลลานะ อาตมาเป็นสารีบุตร อะไรอย่างนี้ ก็ทำมาคู่กัน อันนี้พูดมาแล้วบอกมาแล้วว่าเป็นธัมมิกราชสองรูปที่จะมาเกิดในยุคนี้ คนไม่ศรัทธาก็ไม่เชื่อหรอก แต่ก็เอาเถอะไม่มีปัญหาหรอก อาตมาก็มีสิทธิ์ที่จะพูดความจริงก็พูดให้ฟังเท่านั้นเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะต้องเป็นต้องมีต้องเกิด แล้วก็พิสูจน์ยืนยัน ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงงานมา 70 ปี อาตมาก็จะอิลากอิเหลื่อไปให้ถึง 70 ปีให้ได้ ก็ต้องพยายามเพื่อที่จะสืบทอด ธรรมะตอนนี้ก็มีคนเข้าใจมากขึ้น แต่แม้จะขัดแย้งกับเถรสมาคม ซึ่งเขาก็ทำให้คนอื่นเขาเชื่อกัน อาตมาก็พิสูจน์ตัวเองมา 50 ปีนี้ ธัมโมหะเว รักขติ ธัมมะจาริง ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม มีปรากฏผล มีบุคคลจริงพฤติกรรมจริง อ้างอิงจาก พระไตรปิฎกต่างๆนานา แม้แต่ขยายความได้ต่างกันแต่มันสอดคล้องร้อยเรียงกัน ไม่ขัดแย้งกันในตัวมันเอง แต่มันขัดแย้งกับของเขา เขาก็ดูรู้ เขาก็เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น การต่อต้านการขัดแย้งก็ลดลง นอกจากคนไม่รู้เรื่องไม่รู้ธรรมะอะไร ก็เยอะ ใครได้ดูอาตมาบ้างออกทางสื่อต่างๆ เขาก็คอมเม้นท์ อยู่ในสื่อสาร มีผู้รวบรวมคอมเม้นท์ที่เขาด่าอาตมา อ่านเป็นชั่วโมงจนเมื่อย ยังมีคนเข้าใจผิดไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ มันเป็นธรรมชาติ ธรรมดา ต้องเป็นอย่างนั้นในยุคนี้ มันจะมีส่วนน้อยเท่านั้นที่คิดได้ ส่วนมากรู้ไม่ได้ จะไปบังคับเขาก็ไม่ได้ด้วย ไม่สามารถทำให้เขาเข้ามาเข้าใจได้ ถ้าเขามีบารมีพอจะเข้าใจได้ ผู้ไม่มีบารมีพอมันเข้าใจไม่ได้ มันไม่ใช่สิ่งที่จะบังคับกันได้ มันเป็นอิสรเสรีภาพ มันเป็นเรื่องของความจริง คนมีบารมีพอได้จะรู้เข้าใจ ใครเข้าใจดีก็เลิกทั้งโลกมา ซึ่งมันไม่ใช่ของง่าย ไม่ใช่ของเล่นๆนะที่จะทิ้งโลกโลกีย์มา จนกระทั่งมาอยู่ในนี้ พวกคนนี้เป็นพวกไม่มีอนาคต _ป๋อง… ขอโอกาสครับ วันนี้เป็นวันปรินิพพานของพระโมคคัลลานะ วันลอยกระทงเป็นวันปรินิพพานของพระสารีบุตร ครับ ขอแก้ไข _สู่แดนธรรม… พ่อท่านอ่านต่อดีไหมครับ พ่อครูจึงอ่านต่อ _พระชิต เป็นผู้กล่าวโดยตรง และคงจะมั่นใจด้วย จึงได้กล่าวด้วยว่า “ท่านจะเป็นเพชรเม็ดหนึ่ง ในพุทธศาสนาทีเดียว” แรกๆ..มาถึง ทั้งสองขอ ก็คือ “อย่าออกธุดงค์เลย อยู่ในนี้เถิด อยู่สอนคนเถิด” ข้าพเจ้าก็แจ้งให้ทราบว่า “ที่ข้าพเจ้าจะธุดงค์ไปนั้น มิใช่เจตจำนงแท้ แต่เป็นทัศนมรรค ที่ข้าพเจ้าวางไว้เท่านั้น” ถ้าข้าพเจ้าออกธุดงค์ ก็เพราะว่า ๑. ไปเพราะเพื่อให้ผู้อยู่เป็นสุข เหตุก็เนื่องจาก ผู้อยู่ในนี้ จะมีทุกข์เพราะข้าพเจ้า อันเนื่องมาแต่ “กิเลส”ของเขาเอง ดังนั้น ข้าพเจ้าก็ต้องปลดทุกข์นั้นให้เขาด้วย ข้าพเจ้าต้องไป ๒. ไปเพื่อสงบระงับ เหมือนไปหาอาหารเติมให้ “จิต”เสียบ้าง บางครั้ง บางคราว “จิต”ก็กินอาหาร “จิต” เมื่อใช้อาหารคือ “ความสงบในจิต” เมื่อ “จิต” ของผู้สงบหมดความสงบ อันเป็นอาหารที่ยัง “จิต”อยู่ ก็จะต้องไปหาอาหารนี้เติม นัยสำคัญ เช่น พระพุทธเจ้า ก็ทรงออกปฏิสัลลีนะ นั้นแล ทั้ง ๒ รูปเข้าใจดี และโดยเฉพาะท่านสุมิตร บอก…ยินดีปรีดามาก เมื่อได้ยินจากปากข้าพเจ้าว่า “เถระวาทนั่นแหละ ถูกต้องบริสุทธิ์ มั่นคง และแท้จริง ตรงกว่ามหายาน เป็นหลักการเบื้องต้น ที่จะต้องทำให้บรรลุให้ได้ ส่วนใครจะเป็นมหายาน จะต่อภพต่อภูมิกันต่อไปอย่างไร ก็เป็นเรื่องของผู้นั้น” เหตุเพราะท่านสุมิตร เข้าใจข้าพเจ้าว่า “ข้าพเจ้าไปยึดมหายาน” จึงได้ถามข้าพเจ้าประโยคหนึ่งว่า “ถ้าใครมาถามท่านว่า ท่านเป็นเถรวาท หรือมหายาน ท่านจะตอบเขาว่าอย่างไร?” ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นพุทธ มิได้เป็นเถรวาท หรือมหายาน ความแบ่งแยกไม่มี ข้าพเจ้าเห็นแต่ความเหมือนกันของสัตว์ และความเป็นสูญ” และเมื่อได้พูดกันไปมา ท่านสุมิตรจึงได้บอกว่า “ยินดีปรีดามาก เมื่อได้รู้ “จิต” รู้ความเข้าใจของข้าพเจ้าแท้ๆว่า ข้าพเจ้าไม่จงใจ ทำอะไรออกไป นอกลู่นอกทางแต่อย่างใด แม้ข้าพเจ้าจะเคยเล่า ปัญญาญาณ อันรู้แจ้ง ในส่วนนอกเรื่อง นอกพิภพใดๆ ไปจนล้นจนเกินเหตุ เกินความต้องการใดๆ อย่างใดก็ตาม” เป็นดังหนึ่ง พระพรหม มาอาราธนา ให้พึงสอนคนที่พอรู้ได้ อย่าก้าวไปให้มากนักเลย เพราะถ้าเป็นดังนั้น คนจะไม่มีอะไรนั้นหนึ่ง และขอให้ข้าพเจ้าอยู่สอนคนเถิด อย่าหนีออกสู่ป่า หนีบ้านไป ทิ้งผู้คนไปเลย “ญาณ” หรือ “วิชชา ๓” ที่ต้องทะลุแจ้งแทงตลอดนั้น แทงตลอดดังนี้ “ญาณ” อันคือ “วิชชาบริสุทธิ์ขึ้น” เรียกว่า “ญาณ” เรียกว่า “ปัญญา”นั้น ต้องประกอบด้วย “ของจริงแท้” อันเป็นนามรูป แล้วประกอบด้วยเหตุและผล พร้อม “เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย”ดังนี้ อิงอาศัยกันเป็นวัฏจักร เป็นรอบเป็นสาย เป็นลูกโซ่ ไม่มีออกนอกของจริง-เหตุและผล ที่หนุนเนื่องเกี่ยวโยงกัน มันไม่ใช่เพียงนิมิต… แค่รูปภพ-แค่สมมุติ-แค่สภาวธรรม ที่เป็นตัวตนให้คนเห็น ให้คนเข้าใจว่า นี่แหละจริงแท้ นี้แหละคือปรากฏการณ์แท้ หาใช่เท่านั้นไม่ แท้ที่สุด “ปรากฏการณ์ที่สัมบูรณ์” ก็คือ ไม่มีเลยที่เป็นของเรา มีจุดศูนย์เท่านั้น ที่รวมลงในที่สุด จนขั้นสิ้นสุดยอด “อาสวักขยญาณ” สำหรับชีวิต อันอุบัติขึ้นมาในภพนี้ของข้าพเจ้า แต่ยังจะมีรอบของ “อาสวักขยญาณ” ในช่วงต่อไปอีกข้างหน้า ที่ยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้าในภพนี้ ไม่ใช่งานของข้าพเจ้าเลยในภพนี้ นี่แหละจึงเรียกว่า “รู้ได้ด้วยตนว่า หมดภาระแห่งตน หมดงานของตน อย่างครบถ้วน” 5 ……………………….. พ่อครูว่า… นี่คือสัมมาบัณฑิตไปค้นไปโค้ดมาให้อาตมาฟื้นความจำ ฟื้นความเป็นจริงที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งในตอนนั้นมันก็จะยังไม่มีอะไรสมบูรณ์เท่าไหร่ ก็จะมีอะไรเริ่มต้นที่เป็นตัวจริงขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาถึงวันนี้ อาตมาขอบอกว่าอาตมาจริงกว่าเมื่อ 50 ปีที่แล้ว อาตมาเป็นโพธิสัตว์ที่จริงยิ่งกว่าเมื่อ 52 ปีที่ผ่านมาขึ้นปี 53 แล้ว เพราะนั่นเป็นเหตุการณ์ พ.ศ. 2513 นี่ พ.ศ.2565 ธรรมาภิบาล กับ ธรรมาธิปไตย ได้พูดคุยกับ ดร.สุริยะใส กตะศิลา มาไม่กี่วัน พูดถึงเรื่องนักวิชาการ เขาเป็นคณบดีทางด้านนี้อยู่ ก็พูดถึงเรื่อง Good Governance พูดถึง ธรรมาภิบาล คำว่า ธรรมาภิบาล ในยุคพระพุทธเจ้าพูดกันไม่รู้เรื่องหรอก เพราะเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มันมีอภิบาลกันจริงๆ แต่มันไม่เป็นธรรมะ อภิบาลกันแบบเผด็จการ อภิบาลแบบพระราชาเป็นเจ้าชีวิตเลย จะสั่งฆ่าใครได้หมด เป็นยุคทาส เป็นยุคไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน เลยเป็นแบบอัตตาธิปไตย สังคมเป็นอัตตาธิปไตย ได้มีความรู้ทางการเมืองทางสังคม ความเป็นมนุษยชาติ มีอธิปไตยของพระพุทธเจ้า ที่ยิ่งใหญ่ ในยุคโน้นใช้ภาษาว่าเป็น ธรรมาธิปไตย ถ้าจะอธิบายคำ 2 คำ คำว่า ธรรมาภิบาล กับ ธรรมาธิปไตย ธรรมาภิบาล ก็คือสมมุติสัจจะ หรือ สมมุติธรรม ส่วน ธรรมาธิปไตย นั้นเป็นปรมัตถธรรม หรือ เป็นปรมัตถสัจจะ ธรรมาภิบาลคือ การอภิบาลกันด้วยธรรมะ ซึ่งต้องเป็นธรรมะที่ดี Good governance ต้องเป็นธรรมะที่ดี ที่สุจริต จึงจะเรียกว่าเป็น good ตามหลักวิชาเขา ธรรมาธิปไตย คือ อธิปไตยหรือ พลังอำนาจที่เป็นธรรม อธิปไตยคือพลัง หรืออำนาจที่เป็นธรรมะ มันเจาะลึกเข้าไปถึงความเป็น เอาผู้ที่มีอธิปไตย มีอำนาจ มีธรรมะ แล้วทำงานเป็นธรรมาภิบาล ธรรมาภิบาลธรรมาภิบาล จึงเป็นการบริหาร เป็นการปกครอง ในโลกียะหรือประเทศที่มีศาสนาเป็นเทวนิยม โลกียะคือประเทศที่มีศาสนาเป็นเทวนิยม ก็มีโลกียธรรมของเขายังมีแค่โลกียะ มันเป็นสัจจะ เป็นความจริงที่เขามี ชาวเทวนิยมชัดๆก็คือ ชาวตะวันตก แม้ตะวันออกกลางก็ตาม ยังเป็นเทวนิยมอยู่อย่างนั้น เขาก็มีแค่ โลกียธรรม ประเทศที่เป็นพุทธจึงจะมีโลกุตระธรรม ประเทศที่เป็นพุทธ แล้วเป็นพุทธอย่างสัมมาทิฏฐิด้วย จึงจะมีโลกุตรธรรม โลกุตรธรรมนั้น เข้าใจโลก เข้าใจอัตตา อีกทีหนึ่ง คือโลกาธิปไตยและอัตตาธิปไตย ผู้มีธรรมาธิปไตยที่เป็นโลกุตระ ซึ่งจะเข้าใจโลก เข้าใจอัตตา เพราะฉะนั้นจึงรู้ความเป็นใหญ่ของโลก รู้ความเป็นใหญ่ของอัตตา แต่คนที่ไม่รู้ความเป็นใหญ่ของโลกและอัตตา ก็ต้องการชนะ ต้องการเป็นผู้ได้เปรียบ ต้องการเป็นใหญ่ อย่างที่เขาประพฤติกันทั้งโลก โลกียะ เทวนิยมทั้งหลาย ไม่มีใครเล็กกว่าใคร ไม่มีใครกลัวใคร ไม่มีใครแพ้ใครเลย เพราะเขาไม่เข้าใจเรื่องโลกไม่เข้าใจเรื่องโลกุตรธรรม จะต้องการเป็นใหญ่เป็นผู้ชนะเป็นผู้ได้เปรียบแต่ผู้ที่เข้าใจโลกเข้าใจอัตตาแล้ว เขาจะอยู่ในความเป็นกลาง ไม่เอียงไปอย่างที่จะเป็นใหญ่ในโลกหรือในอัตตา แม้ที่สุด อยู่อย่างผู้เสียสละ หรือ อยู่อย่างผู้ไม่มีอัตตา ถอดตัวถอดตน เป็นผู้แพ้ เป็นผู้ไม่มี เป็นผู้มีก็ให้ เป็นผู้มีก็เสียสละให้ผู้อื่น เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความจริง มีสัจจะในตัวเองแล้วว่า ผู้นี้ไม่มีตัวตน มีแต่ให้ ไม่ใหญ่มีแต่เล็ก มีแต่แพ้ แต่ผู้ที่มีนี้ไม่ใช่ผู้ที่สิ้นไร้ไม้ตอก แต่เป็นผู้ที่มีอย่างที่เขามีกันได้ แต่เสียสละ คนจะแย่งกัน เอาไปเลย แล้วเราอยู่ได้ เพราะเรารู้จักปัจจัยของชีวิต เช่น ปัจจัย 4 บริขารบ้าง จึงมีแต่ส่วนน้อย จึงเป็นผู้ที่เรียกว่า เป็นพวกอัปปิจฉะ เป็นพวกมักน้อย เพราะฉะนั้นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ในโลกที่อุ้มชูโลกอยู่คือ พวกโลกุตรธรรม เป็นอาริยบุคคลที่แท้จริงไม่ใช่ มิลักขะ เป็นคนเถื่อน ยังมีตัวตน มีอำนาจไปแบ่งไปทับ ไปแย่งชิง ต้องฆ่าแกงกันอะไรอยู่ ความรู้เหล่านี้ อาตมาอธิบายธรรมะเพิ่งผ่านไปไม่กี่วันนี้ พูดเปรียบเทียบไปถึงขั้นประเทศ จีนก็ดี อินเดียก็ดี รัสเซียก็ตาม แม้พาดพิงไปเกาหลีเหนือนิดหน่อย และเปรียบเทียบกับประเทศไทย ประเทศไทยเป็นประเทศอาริยะ นำเพื่อนหมดในโลก ขณะนี้ นิมิตที่เพิ่งเสร็จ APEC ไปนี้ เป็นความงดงาม คนเข้ามาเขาจะนำไปในเรื่องเศรษฐกิจ ไปในเรื่องการที่จะสร้างเรื่องของรูปธรรม สร้างเรื่องของวัตถุ แต่มีความซ้อนอยู่ในนั้นได้รับนามธรรม คือคุณธรรมอันวิเศษจากตั้งแต่หัวหน้าคือ นายกประยุทธ์เอง ที่เป็นผู้ที่เป็นองค์ประกอบของชาวไทย ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ทุกคน จนกระทั่งถึงคน คนไทยทุกคน คนที่ไปอยู่ในเหตุการณ์ สัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้อง คนที่ไม่ได้เข้าไปใกล้ก็เป็นมวลเท่านั้นเอง แต่ผู้ที่มีปฏิกิริยากับเขา ผู้นำของประเทศ 20 ประเทศมานั้น ผู้แทนหรือหัวหน้าใหญ่ของประเทศมา มีตัวแทนมาบ้าง มาสัมผัสความเป็นจริงจากพฤติกรรมของไทย องค์ประกอบที่มันเกิดปฏิกิริยาไปแล้ว ผ่านไปในการประชุม APEC เขาก็ได้รับความจริงนั้น ความจริงที่ทุกคนมีปฏิภาณปัญญาก็รับรู้ได้เองทั้งนั้น ไม่ว่าใครต่อใครก็รับรู้ได้ทั้งนั้น คุณจะรับรู้โดยการปฏิเสธ รับรู้ด้วยการยอมรับ รับรู้ด้วยการเชิดชู มันก็เป็นของจริง ของแต่ละคนเขา แต่เท่าที่อ่านด้วยภาษากายข้างนอกก่อน ก็เห็นแล้วว่างาม ประสบความสำเร็จ มีผลเป็นประชาธิปไตยชัดว่า แม้แต่ประชุม APEC เมืองไทยยังมีอิสระเสรีภาพให้ออกมาประท้วงได้เลย ไม่ได้ปิดกั้น คนที่รู้เรื่องประชาธิปไตยจริง เขาจะเข้าใจเลยว่า ประเทศไทยมีอิสรเสรีภาพเต็มที่ งานใหญ่ๆอย่างนี้ ยังไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ระงับพวกนี้ จนกระทั่งเกิดการปะทะกันแล้วมีการซ้อน ปะทะกับตำรวจจนกระทั่งบาดเจ็บ แล้วเจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุเลย แต่พวกนั้นจะเอาเต็มที่เลยน่ะ แต่แม้กระนั้นมวล ผู้ที่เต็มที่ก็ตาม เขาก็ยังไม่รุนแรงถึงขนาดที่พกปืนมายิง เอาระเบิดมาทำลาย มันซับซ้อน ว่าประเทศไทยนี่ คนไทยทั้งหมดงดงามหมด แม้แต่พวกที่มา บ๊องๆๆ บางทีก็เป็นเศษ เหลือเศษที่จะแสดงความเป็นจริงออกมาเท่านั้นเอง สมณะฟ้าไท… เป็นอเมริกา พ่อครูว่า… ถ้าเป็นอเมริกายิงกันตายแล้ว แต่นี่เป็นประเทศไทย คำพูดตรงนี้ ที่บอกว่าถ้าเป็นอเมริกายิงตายแล้ว แต่นี่เป็นประเทศไทย คนประเทศต่างๆที่มาสัมผัส เขาจะรู้ไหม ที่เป็นแนวลึกของคุณธรรมมนุษยชาติ เป็นแนวลึกของคุณธรรม เพราะฉะนั้นองค์รวมทั้งหมดเลย ถูกต้องแล้ว สรุปออกมาแล้ว งดงามยิ่ง เหตุการณ์ที่ประชุม APEC สุดยอด เพราะฉะนั้นห้ามไม่ได้ที่ทักษิณจะริษยาตาร้อน แกก็ผยองของแกว่า ถ้าแกทำ แกจะทำให้ดีกว่าประยุทธ์ ที่จริงแล้วแกทำเคยทำมาแล้วเละเทะกว่าประยุทธ์เท่าไร ง่ายกว่ายุคนี้ด้วย ตอนนั้นทักษิณทำผ่านไป 5,000 ล้าน แต่นี่ของแพงกง่าเราเสียไป 3,000 กว่าล้าน เพราะฉะนั้นสรุปแล้วเมืองไทยขณะนี้เป็นตัวอย่างของโลก ประชุม APEC เป็นการปักหมุดลงไปอาเซียนก่อนกลุ่มหนึ่ง ทั้งโลกมีประมาณ 200 ประเทศ ก็มีประมาณนี้มา 20 กว่าประเทศ แต่เป็นประเทศหลักๆ ประเทศใหญ่ของโลก มีประเทศที่เป็นประเทศน่าสังเกตุอยู่ประเทศที่ใหญ่แต่ไม่มาคือ อินเดีย อเมริกาส่งตัวแทนมา อเมริกาส่งตัวแทนมามันส่อให้เห็นว่า ตัวใหญ่ของอเมริกาไม่มีวาสนาจะมาร่วมงาน APEC บนแผ่นดินไทย เพราะมันไม่ลงตัว อเมริกากับปูติน อเมริกากับปูติน อเมริกาคือประชาธิปไตยสุดโต่ง ประชาธิปไตยพิการ ส่วนปูตินก็คือคอมมิวนิสต์ที่ลงตัว รัสเซียคือคอมมิวนิสต์ที่ลงตัว ประชาธิปไตยสุดโต่งหรือประชาธิปไตยพิการ เป็นประชาธิปไตยขาเดียว ไม่มีพระเจ้าอยู่หัว ไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน อาตมาเคยอธิบายมามากแล้ว ถ้าคนเข้าใจว่า ความเป็นมนุษยชาตินั้นต้องมี 2 ถ้ามีขาเดียว หนึ่งเดียวมันพิการ คนต้องมี 2 ต้องมีกาย มีจิต ประชาธิปไตยขาเดียวมีแต่กาย ไม่มีจิต ส่วนคอมมิวนิสต์ที่ลงตัว คือมันไม่โต่ง แต่มันลด ลดบทบาทของคอมมิวนิสต์ลงไปในโลก เพราะในโลกนี้ จริงๆคอมมิวนิสคต์แพ้แล้ว อย่างเช่น จีนแดง คอมมิวนิสต์ตั้งแต่เหมา เดี๋ยวนี้จีนแดงเปลี่ยนไปหมดแล้ว มาเป็นประชาธิปไตย สีจิ้นผิงเป็นประชาธิปไตย จึงเกิดความสงบได้ และเป็นประชาธิปไตยในสายธัมมานุสารี ส่วนอินเดียนั้นเป็นประชาธิปไตยแบบสัทธานุสารี ซึ่งอาตมาจะได้สาธยายความรู้นี้ให้ฟังในอนาคต เพราะฉะนั้นในการเป็นอยู่ในสังคมหรือในโลกมนุษย์ อาตมาไม่ได้อยู่ในรู ไม่ได้อยู่ในวงแคบ กรอบเล็กๆเท่านั้น อาตมาอ่านความสัมพันธ์ ความสัมพัทธ์ ปฏิกิริยาต่อกันและกันของมนุษยชาติในโลก มีให้เราเห็นความจริงที่เราสามารถจะเรียนรู้ได้ จากความจริง ไม่ใช่ไปนั่งนึกคิดลมๆแล้งๆ จินตนาการ เพ้อๆฝันๆ ไปคนเดียว ไม่ใช่ มันมีเหตุปัจจัยที่ยืนยันได้กับโลกกับมนุษยชาติกับพฤติกรรมมนุษย์ ตัวอย่างของสังคม ตั้งแต่จุดเล็กไปถึงสังคมที่กว้างจุดใหญ่ เป็นประเทศที่ใหญ่ สิ่งเหล่านี้เป็นสัจธรรมของธรรมชาติ เช่น ในโลกมีประชาชน ประเทศที่มีประชาชนมากที่สุด 2 ประเทศ เป็นต้น มันจะมีคู่ แล้วลักษณะของ 2 ประเทศนี้เป็นคนละลักษณะ อินเดียก็อย่างหนึ่ง จีนก็อย่างหนึ่ง ประเทศ 2 ประเทศนี้มีพลเมืองประเทศละ 1,000 กว่าล้าน อินเดียก็จิตวิญญาณลักษณะหนึ่ง จีนก็วิญญาณอีกลักษณะหนึ่ง สุดโต่งไปคนละข้าง เมื่อยังไม่มีวิชชาหรือไม่มีภูมิ ยังเป็นอวิชชา ก็สุดโต่งไปคนละข้าง แล้วอินเดียก็ต้องปรับตัวให้อยู่ในสายสัทธานุสารี เขาจะอยู่ได้ จีนก็พยายามปรับตัว เขาจะเอาคอมมิวนิสต์จนกระทั่งคอมมิวนิสต์สามารถเปลี่ยนแปลงมาหาปัจจุบันนี้ได้ ค่อยๆแก้ คอมนิวนิสต์แก้ๆมา แล้วมันจะแก้ไปหาอะไร มันต้องแก้ไปหาปัญญา ถ้าไม่แก้ปัญหาด้วยปัญญาแต่ไปแก้ปัญหาแบบอินเดียแบบสมถะ แต่ว่าจีนไม่ใช่สายสมถะ มันเป็นธรรมชาติธรรมดาของโลก มันจะมี 2 เป็นเทวดาที่ยิ่งใหญ่ มันเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่มากเลย จนกระทั่งทุกวันนี้ บทบาทพฤติกรรมของสังคมจีน พฤติกรรมสังคมของอินเดีย ก็เห็นชัดๆ ว่าเป็น 2 รูปแบบ 2 ลักษณะ ที่ให้เราศึกษาถึงสภาพเทว สภาพธรรมะ 2 ส่วนไทยนั้นเป็นกลางเป็นผู้ที่รู้ยิ่งทั้งสอง เพราะเป็นลูกพระพุทธเจ้า อินเดียนั้นหมดเรื่อง หมดรูป ที่ไปหาพระพุทธเจ้าในอินเดียเก่า ชมพูทวีปถอนจากอินเดียมาอยู่ในประเทศไทยแล้ว เพราะฉะนั้นอินเดียจึงไม่อยู่ในรูปของสัมมาทิฏฐิ เป็นฤาษี ชีไพร เป็นอย่างดีกันเต็มรูป แต่เขาก็สามารถที่จะทำความสงบสันติภาพหรือความอยู่ในลักษณะของเขา ลักษณะของสัทธานุสารี ส่วนจีนนั้นเป็นธัมมานุสารี พยายามตามศึกษา ออกมาเป็นทิฏฐิปัตตะ มาเป็นผู้ที่มีความรู้ความเห็นบรรลุโลกุตระ เขาก็ค่อยๆพัฒนามา มีวิวัฒนาการจริง เป็นสภาพจริงเป็นฟีโนมีนอล เพราะมีประเทศเดียวคือจีน เป็นปรากฏการณ์จริง ที่อาตมาเห็น อาตมารู้ อาตมาเข้าใจ เรื่องสังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์เหล่านี้ แม้แต่เศรษฐศาสตร์ของจีน อาตมาก็เข้าใจ เศรษฐศาสตร์ของจีนนี่เขาก็เข้าใจเป็นโลกุตระเพิ่มขึ้น จีนเห็นแล้วว่า ทำราคาต่ำลงไปเรื่อยๆ รอด พวกที่ยังมิจฉาทิฏฐิจะเห็นว่า ต้องทำราคาให้สูง สินค้าของฉันยิ่งดียิ่งตีราคาแพงเข้า เอาเปรียบเอารัดเข้า แต่จีนนี้ ถ้าไปแพง มันได้น้อยมันแคบ กระจายไม่ได้กว้างมันไม่ถึงมือคนจนไม่ได้แต่ถึงมือคนรวย เพราะฉะนั้นเขาค่อยๆเข้าใจ แล้วมันซับซ้อนตรงที่ว่าตอนแรกๆ เขาก็ต้องใช้วัสดุถูก ราคาถูก วัตถุที่ไม่ดี ในตอนแรก แต่คนที่รับเขาก็รู้แล้วว่า ของไม่ดีมาราคาถูก มันก็แข่งกัน แข่งกันสร้าง ของดีราคาถูก ของดีราคาถูก ของถูกราคาไม่ดี ของราคาไม่ดีก็ไม่ดี ก็เลยไม่ค่อยมีคนซื้อ ของไม่ดีราคาถูก มันก็ไม่ขึ้น ของดีราคาถูกมันก็จะขึ้น ความฉลาดเขาก็ค่อยๆ รู้ขึ้นมา เขาก็ยอม แล้วจิตมันเจริญขึ้นจริงๆด้วย มันมี อัญญธาตุ เริ่มแพร่กระจายเข้าไปสู่ผิว ยังไม่ลึกไปหารากนะ ผิวบนของประชาชนคนจีนแล้ว ยังจะได้พูดกันต่อไปอีก อาตมายังไม่ยอมตายจะลากไปอีก ก็ไม่รู้มันจะขาดสะบั้นเมื่อไหร่โดยที่เราไม่อยากตาย แต่มันขาดจะตายไป เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นก็แล้วแต่ เอาที่มันจะได้สูงสุด สมณะฟ้าไท… สรุปจบ Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin23 พฤศจิกายน 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:651121 รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 3 พ่อครูพบ ดร.สุริยะใส กตะศิลาNextNext post:651125 นวนิยายโลกุตระที่เราอย่ารีบตายก่อนได้ดู พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024