651121 รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 3 พ่อครูพบ ดร.สุริยะใส กตะศิลา ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1KbH2ZtO7u9Hjw4k7JnfJrq_Ca4ezX_-tB7vAUxQz1to/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1veW52gi5n9QrZbpgfqZ1s-JITx7SNQWA/view?usp=share_link ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/5gxmGGcRoNw และ https://fb.watch/gXbCMSNJli/ การเมืองโลกุตระกับการเมืองโลกียะ พ่อครูว่า…เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 3 อาตมาไม่ได้จำว่าครั้งที่เท่าไหร่ ก็ทำการปรับทุกข์ปลุกธรรมกันมา 52 ย่างเข้า 53 ปีแล้ว วันนี้มีแขกพิเศษที่จะมาร่วม ปรับทุกข์ปลุกธรรมกับเรา ดร.สุริยะใส กตะศิลา เป็นแขกรับเชิญสำหรับวันนี้ อาตมาก็ยินดีมากเลยที่มีผู้ที่เข้ามาโอภาปราศรัย เสมอสมาน ครั้งที่ 1 มีทนายนกเขากับจตุพรมา ครั้งที่ 2 เป็นหมอเขียว ครั้งที่ 3 นี่ ดร.สุริยะใส เราจะโอภาปราศรัยประเด็นอะไร อาตมาก็คิดว่าคุยได้ด้วยทุกประเด็น เพราะฉะนั้นคุณสุริยะใส จะมีอะไรล่ะ จะให้คุยประเด็นอะไร คิดว่าควรจะคุยกันเริ่มต้น แล้วค่อยๆขยายยาวยืดออกไป ก็ลองปล่อยๆดูซิ นี่แสดงว่าสดมากเลยนะรายการเรา ไม่ได้เตรียมกันเลย _ดร.สุริยะใส ว่า… ผม ขออนุญาตเรียนพ่อท่านอย่างนี้นะครับ ว่าผมได้เคยเข้าไปสนทนากับพ่อท่านในช่วงที่มี ปัญหาบ้านเมือง เราก็ได้พูดคุยได้ถกแถลงกัน โดยเฉพาะในช่วงพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นะครับ ผมก็คิดว่าน่าจะได้สนทนาในเรื่องของ การบ้านการเมือง ที่มันจะทำให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เป็นการเมืองที่พึ่งพาได้ เป็นการเมืองที่สร้างสันติภาพ เป็นประเด็นที่ 1 ประเด็นที่ 2 ผมก็คิดว่า อยากฟังความเห็นพ่อท่านหรือสมณะอื่นด้วย ว่าในแง่ประชาชนด้วยกันไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มไหน คิดแตกต่างกันอย่างไร ได้เวลาที่จะพูดคุยกันบ้าง หันหน้ามาคุยกันในเรื่องใดๆ หรือว่าจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปตามกรรม น่าจะเป็น 2 เรื่องหลักๆ ที่ผมอยากจะขออนุญาตฟังความเห็น ขออนุญาตสนทนากับทางพ่อท่านด้วยครับ พ่อครูว่า… เอาอย่างนี้ เรื่องการเมืองก่อน เรื่องการเมืองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อาตมาจะต้องคุย จะต้องพูดจะต้องสาธยายอะไรอีกเยอะเลย เรื่องการเมืองนี้อาตมา เข้าใจการเมืองดีด้วย เข้าใจการเมือง 2 ชนิด การเมืองชนิดที่ 1 คือการเมืองแบบโลกๆ ทั่วไป แบบคนโลกีย์ทั่วไป ที่เขามุ่งอยู่ที่ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ความเป็นใหญ่ เป็นเจ้าโลก นี่คือการเมืองเราโลกีย์สามัญ ส่วนการเมืองอีกแบบหนึ่งนั้น เป็นการเมืองโลกุตระ การเมืองนี้มีอยู่ในประเทศไทยประเทศเดียวในโลกขณะนี้ อาตมาขอใช้คำนี้ก่อน ที่จริงก็เริ่มจะมีเพิ่มขึ้นแล้ว การเมืองชนิดที่จะมีความเป็นไปได้ หรือว่าความเริ่มต้นจากโลกียะ ขยับออกมาจากกรอบของโลกียะ ที่มันไม่ออกนอกกรอบได้เลย เป็นcyclic อยู่อย่างนั้นมานานแสนนานแล้ว โลก 2,500 ปีนี้ พระพุทธเจ้าตอนนี้ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไป 2,500 ปีผ่านมาแล้ว อาตมามาทำงาน 50 กว่าปีมานี้ มันเป็น อจินไตย ที่เกิดในโลกในสังคม อาตมาก็มองได้ว่า ขณะนี้มีจีนแผ่นดินใหญ่ ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง กำลังเริ่มจะมี อัญญธาตุ หรือธาตุ โลกุตระจิต เริ่มจะมีความรู้ความฉลาดแบบโลกุตระเรียกว่าปัญญานี้ มันกำลังจะเกิดขึ้นในมวลมนุษยชาติจีน เขายังไม่ประสีประสาหรอก แต่เขาก็มีผู้นำ หรือมีคณะของผู้บริหาร เขาเข้าใจเรื่องนี้และเริ่มต้นแล้ว ในโลกมันมีตัวอย่าง เพราะฉะนั้น การเมืองของเมืองจีน จึงเป็นการเมืองที่กำลังเริ่มต้น มี อัญญธาตุ อัญญะ แปลว่า ธาตุอื่น ที่แตกต่างจาก ธาตุ คือ ธาตุของจิตวิญญาณ ความรู้ความฉลาด มีความรู้ความฉลาดที่จะออกนอกกรอบของโลกียะมา เข้ามาสู่โลกุตระ เมืองจีนเริ่มแล้ว เริ่มนิดนึง แต่เขามีมวลมนุษยชาติเยอะ เขามีมวลประชาชนเยอะ แล้วเขาก็อยู่ในระบบที่เขาจะต้องเชื่อฟัง เป็นคอมมิวนิสต์มาก่อน เขาจะต้องเชื่อฟังผู้นำ เขามีสภาพที่ใช้เผด็จการในที คอมนิวนิสต์มีเผด็จการโดยที มีเผด็จการของผู้บริหารควบคุมจัดการ มันซับซ้อนอยู่ ความรู้พวกนี้มันซับซ้อนอยู่ แล้วเขาก็ค่อยๆปรับตัวขึ้นมา ด้วยความเรียบร้อย ด้วยความสงบ ด้วยความอุดมสมบูรณ์ มีกินมีใช้มีอยู่ ฐานะก็ดีอะไรอย่างนี้เป็นต้น มันก็เลยดี แล้วมวลมันเยอะ มันก็เลยทำได้ มันก็เลยนำมาในโลกปัจจุบันนี้ ทางจีนกำลังนำ สภาพของ จะเรียกว่าการเมือง จะเรียกว่าสังคมเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ในพยัญชนะที่จะแยกความแตกต่างในมิติอะไรเพิ่มเติมหรือองค์ประกอบต่างๆเพิ่มเติมอีกบ้าง ก็ขยายความไปได้ สรุปแล้วสั้นๆก็คือ โลกขณะนี้ มีเมืองไทยเริ่มต้น มีโลกุตรธรรม ตั้งแต่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงบริหารประเทศ 70 พรรษา แล้วท่านก็สวรรคตไป พระเจ้าอยู่หัว อาตมาก็เคยพูดเคยบอกแล้วว่า ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ มาทำงานให้แก่โลกยุคนี้ แล้วท่านก็เปิดโลกขึ้นมาในเรื่องของการบริหารประเทศ บริหารประชาชน การบริหารประเทศของท่าน ท่านบริหารด้วยระบบโลกุตระ ไม่ได้บริหารประเทศแค่ด้วยระบบโลกียะ คนยังเข้าใจระบบโลกุตระไม่ได้ในโลก มันเป็นโลกเทวนิยม ความรู้ทางรัฐศาสตร์ก็เรียนมาจากตะวันตก เรียนมาจากพวกเทวนิยมทั้งนั้น ส่วนทางด้านโลกุตระ แม้แต่ประเทศไทย ศาสนาพุทธมันก็เสื่อมจากโลกุตระมาแล้วตั้ง 2,500 กว่าปี อาตมาเป็นผู้ที่จะสาธยาย ทั้งความหมายของธรรมะที่เป็นโลกุตระธรรม ทั้งจะนำพาสร้างมวลมนุษย์ มาเป็นตัวอย่าง มาเป็นสังคมมนุษยชาติที่จะเป็น พฤติกรรมแบบโลกุตรธรรม เกิด 1 คน 2 คน 5 คน 100 คน 1,000 คน 10,000 คนขึ้นมา เกิดเป็นชุมชนหรือเป็นหมู่กลุ่มบุคคล ที่เป็นบุคคลอารยธรรมที่เป็นโลกุตระ เป็นบุคคลอาริยะที่เป็นโลกุตรธรรม คือชาวอโศก เกิดขึ้นมาในยุคเดียวที่ในหลวงท่านยังทรงงานอยู่ อาตมาก็ทำงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 แต่ก่อนนี้อาตมายังเป็นฆราวาสยังไม่ได้เริ่มเรื่องนี้เลย พอมาบวชก็มาทำงานเรื่องนี้มาตั้ง 50-60 ปี ก่อนอาตมามา เกือบจะ 20 ปี ในหลวงทรงงานมาเป็นรูปธรรม อาตมาก็เอานามธรรมมาสถาปนาลงไปในโลก ในมนุษยชาติ 52 ปีได้รูปร่าง ได้รูปรอยของคนโลกุตรธรรมที่ถึงแก่นแกนของศาสนาพุทธอยู่คือ สามารถนำพาบุคคล มีเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์ขั้นสาธารณโภคี คือ ขั้นที่ คนทุกคนอยู่ในสังคมนี้เสียภาษี 100% ทุกอย่างเป็นของสาธารณะส่วนกลาง กินใช้ร่วมกัน ทุกคนมักน้อยสันโดษ ไม่มีใครเอาเปรียบเอารัดกัน มีแต่คนเสียสละ แล้วก็ช่วยกันเสียสละ สร้างสรรค์ให้แก่มวลชนข้างนอกออกไป ตั้งแต่มวลชนระยะใกล้ รอบตัวที่ใกล้ จนกระทั่งไกลออกไปเรื่อยๆ ก็ได้ทำมาเรื่อยๆ มันก็ได้ประมาณนี้ ยังไม่กว้าง ยังไม่ไกลนัก แม้แต่ความรู้ที่จะแพร่กระจายไปให้คนรู้ก็ยังแคบ หรือพฤติกรรมที่มีการสร้างสรรค์ แล้วมีผลผลิต มีแรงงาน มีคุณธรรม มีความรู้ ที่จะกระจายออกไปก็ยังยากยังช้า ก็ไม่มีปัญหาอะไร มันก็เป็นไปตามลำดับ สรุปอีกทีนึง ประเทศไทยเป็นประเทศที่มี การเมืองก็ดี สังคมศาสตร์ก็ดี เศรษฐศาสตร์ก็ดี รวมแล้วเป็นแบบโลกุตระของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีในหลวงรัชกาลที่ 9 แล้วก็อาตมามาทำเรื่องนามธรรม ด้วยความรู้ของธรรม สาธยาย แจกแจงธรรมะต่างๆจริงๆเลย ละเอียดลออ ในหลวงก็ทรงรูปธรรม ทำจริง ได้ขึ้นมาจนกระทั่งเข้าตาพวกสากลเขา ก็เขาให้รางวัลมาตั้งแต่พ.ศ. 2540 สหประชาชาติให้รางวัล ในหลวงท่านก็เข้าใจใช้ศัพท์ของท่านว่า ความพอเพียง มีรัฐมนตรีเกาหลี ได้มาถามเรื่องการบริหารประเทศของในหลวง ร.9 ท่านก็ตรัสว่า บริหารประเทศแบบคนจน ประเทศเกาหลีเป็นแหล่งที่รับอารยธรรมแบบโลกุตระนี้ได้แล้ว มีหลักฐานที่ว่า เกาหลีรับอารยธรรม หรือความรู้แบบโลกุตระได้แล้วก็คือ ถึมีมูลนิธิแมนเฮ มองเห็นอาตมาว่า อาตมาได้ทำเรื่องของโลกุตรธรรมขึ้นมาให้แก่โลก โลกจะสันติภาพด้วยโลกุตระ เขามองเห็นว่า โลกจะสันติภาพด้วยโลกุตระ ด้วยโลกียะนั้นมันเป็นสันติภาพผี เป็นสันติภาพหลอก เป็นสันติภาพไม่จริง มันมีแต่สันติภาพแบบเปลือกปากเปล่า แต่จิตจริง ต่างคนต่างจะเป็นเจ้าโลกกันทั้งนั้น ไม่ว่าเจ้าโลกในประเภทใด เจ้าโลกในอำนาจ เจ้าโลกในวัตถุ ในอะไรก็แล้วแต่ แม้แต่จะปั๊มธนบัตรกระดาษเปื้อนสีออกมากระจายทั่วโลก ตั้งค่าไว้ให้สูงแล้วก็ใช้แทคติกต่างๆ เพื่อที่จะให้ธนบัตรที่จะเรียกว่าเป็นแบงค์ Note เป็นตัวแทนเป็นค่าเงินทองพวกนี้ ให้มันมีค่าสูง ให้มันมีฤทธิ์เดชที่จะสามารถ แทนค่า แล้วก็ซื้อหาแลกเปลี่ยนต่างๆนานา ได้เปรียบอะไรมาได้ ได้วัตถุอะไรมาได้ต่างๆนานา อย่างเช่น ประเทศอเมริกาทำดอลล่าร์ออกมา จนกระทั่งไม่มีใครสามารถเช็คได้เลยว่ามีหลักสำคัญ ใช้ทองคำเป็นหลักประกัน อเมริกาจะมีเท่าไหร่เขาเช็คไม่ได้ แต่ว่าดอลลาร์เต็มกันหมดทั่วโลกแล้วตอนนี้ อเมริกานั้นซับซ้อน ตอนนี้อเมริกา ดอลลาร์ก็ชักแย่แล้วล่ะ อีกหน่อยเขาก็จะได้รู้ความจริงกัน มันจะยาวไปอีก การเมืองไทย ในขณะนี้รุ่งเรืองที่สุด เข้าสู่การเมืองในเมืองไทยในขณะนี้ ในเมืองไทย อาตมาเห็นว่ารุ่งเรืองที่สุด อาจจะขัดแย้งกับใสนะ ขออภัย อาตมาขอเรียกด้วยความสนิทสนมก็แล้วกัน ว่า อาตมามองอย่างไรว่า รุ่งเรืองที่สุด ก็ขอบอกความเห็นของอาตมาสู่ฟัง จะขัดแย้งกับคุณก็ได้ แน่นอน เชื่อว่าขัดแย้ง อาตมามองเห็นว่า ตอนนี้เป็นเรื่องจริงๆ เป็นเรื่องพฤติกรรมจริงของนายกประยุทธ์ นายกที่เขาเรียก ลุงตู่ กันทั่วบ้านทั่วเมืองไทย มันเป็นความสนิทใจนะเรียก ลุงตู่ เป็นเรื่องลึกซึ้งของจิตวิญญาณ ขณะนี้ลุงตู่เอง ได้ประพฤติปฏิบัติมาบริหารประเทศมา 8 ปี เป็นการยืนยันครบเทอมตามกฎหมาย มีอะไรต่างๆนานา แล้วพฤติกรรมก็ยังไม่ได้ลดหย่อน พอมาถึงเอเปค ก็ยิ่งชัดเจนใหญ่เลยว่า ประสบความสำเร็จในการเชื่อมโยง ประเทศมี 21 ประเทศนั่นแหละ เชื่อมโยงในวิถีของสังคม วิถีของมนุษยชาติ อาตมาก็เห็นว่า ได้รับความสำเร็จ แม้แต่ยุคของทักษิณก็มีการประชุมเอเปค จัดไปแล้ว คราวนี้ของประยุทธ์นี้ได้ผลมากกว่ากัน ได้ผลที่มีการเชื่อมโยงได้สนิท ที่จะเริ่มต้นมีการทำงานร่วมกัน ประสานกันกับประเทศต่างๆเข้ามา ในกลุ่มเอเปคนี้ ซึ่งเมื่อกลุ่มเอเปครวมกัน มันจะเป็นพลังงานสร้างสรรค์ ทางวัฒนธรรมเข้าไปอีก มันจะลึกซึ้งซับซ้อนอย่างนี้ มันจะเริ่มดำเนินขึ้นมา เริ่มตั้งแต่กลุ่ม 20 กว่าประเทศนี้ จะพัฒนาขึ้นมาเกิดปรากฏการณ์ แล้วในยุคนี้เป็นยุคที่เร็วด้วย เพราะสื่อสารสนเทศต่างๆมันเร็วมาก และมันมีประสิทธิภาพไม่ช้าเลย ประสิทธิภาพและมีเนื้อหาด้วย มันจะเกิดผลขึ้นมาทีเดียว ฉะนั้นตอนนี้เราจะพูดไปก่อน อาตมาก็ไม่อยากจะพูดไปก่อน แต่อาตมามองเห็น ตามประสาตามภูมิปัญญาอาตมามองเห็นว่า เออ.. มันเริ่มต้นแล้ว คนเขาจริงใจที่มาร่วม ไม่ใช่มาเสแสร้ง ตอบตรงสำคัญตรงนี้ เมื่อประเทศต่างๆที่มีความรู้โลกียะ เมื่อมาสัมพันธ์กับเมืองไทย มาใช้เมืองไทยเป็นจุดร่วมเป็นสถานที่ตรงนี้ ไทยจะดำเนินโลกุตระ ไทยเป็นหลักของโลกุตรธรรม ออกจากตัวคุณประยุทธ์นี่แหละ โลกุตรธรรมออกจากพลเอกประยุทธ์ พลเอกประยุทธ์ดำเนินรอยตามศาสตร์พระราชา แล้วคุณประยุทธ์ก็เป็นโลกุตระธรรมคนหนึ่งด้วย เป็นคนไทยที่มีราก มี root ของโลกุตรธรรมอยู่แล้ว ก็จะนำพากันออกไป จะเชื่อมโยงกันออกไป กฎหมายเขาจะตัดคุณประยุทธ์ก็ตาม ถึงอย่างไรคุณประยุทธ์ก็ยังทำงาน แม้จะไม่ได้ทำงานที่เป็นนายกอีกต่อไป ก็ยังอยู่ในตำแหน่ง อย่างน้อยก็มีตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่แล้ว ก็ทำได้ต่ออย่างนี้เป็นต้น คือพฤติกรรมไม่ได้ขาดหรอก แต่เรื่องของกฎหมายหลักเกณฑ์มันอาจจะขาด ไม่ลงตัวทีเดียว แต่พฤติกรรมไม่ขาด อาตมาไม่เชื่อว่า คุณประยุทธ์จะวางมือจะไม่ช่วยประเทศแล้ว อาตมาไม่เชื่อ คุณประยุทธ์จะต้องอยู่ดูแลประเทศ ช่วยประเทศอยู่ ตราบใดที่ยังสนองราชการ หรือสนองกิจของในหลวงของเรา เพราะพลเอกประยุทธ์นี้เทิดทูนสถาบันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ทุกอย่างมันไม่หยุด มันไม่จบหรอก สรุปอีกทีหนึ่งก็คืออาตมามองเห็นว่า ไม่ได้สะดุดเลย การพัฒนาหรือที่พัฒนาการของประเทศไทยไม่ได้หยุด โดยเฉพาะลักษณะอารยธรรมแบบโลกุตรธรรม ที่ไม่เหมือนโลกียะของชาวโลกทั้งโลก อาตมาเกริ่นไปแล้วว่าเมืองไทยมีแก่นแกน มีรากของโลกุตระ วันนี้เริ่มต้นมีประเทศจีน ที่มีกระแสของ อัญญธาตุ กระแสของธรรมะโลกุตระกระจายขึ้นไปที่เมืองจีนบ้างแล้ว สีจิ้นผิงเขาก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นโพธิสัตว์เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่โพธิสัตว์ทำงานอย่างนี้ไม่ได้ ทำงานจนคนจีนไว้ใจ ก็อยู่ไปเลยจะอยู่กี่ปีกี่ปี ก็เป็นประธานาธิบดีไปอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องที่ แสดงถึงเมืองจีนประชาชนจีนเขา เขาก็มีตัวราก หรือความรู้โลกุตรธรรมหยั่งลงไปแล้วเหมือนกัน เขาจึงยกให้สีจิ้นผิง เอาไปเลยอะไรอะไร อย่างนี้เป็นต้น เพราะว่าพฤติกรรมอันนั้นเข้าตาเข้าใจในใจของประชาชน พ่อครูว่า… อาตมามองแบบความรู้ของพระพุทธเจ้า จึงไม่ได้มองแบบความรู้ตะวันตกแบบเทวนิยม ความรู้ของชาวศาสดาเทวนิยมที่เป็นความรู้ ที่มันไม่ครบสมบูรณ์ อาตมาขยายธรรมะนี้อยู่ว่า มันยังไม่เป็น 2 แบบ ที่เป็นปฏิสัมพัทธ์กัน จนกระทั่งจากผู้เดียวกระจายออกไปจนถึงประมาณไม่ได้ เขายังไม่เข้าใจปฏิสัมพัทธ์ตรงนี้ หรือว่าเป็นอิทัปปัจจยตาหรือปัจจยาการของมัน เขายังเข้าใจไม่ได้ เพราะเหตุนี้จึงเป็นผลอันนี้ เพราะเหตุอันนี้จึงเกิดผลอันนี้เขายังไม่รู้ถึงวันนี้ เป็นการเชื่อมต่อกันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ยิ่งใหญ่ มันไม่ขาดจากกันหรอก มันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป ใครจะอยู่ในที่แคบ วนอยู่ในที่แคบ หรือ วนอยู่ในกรอบความรู้ที่กว้างขึ้น แล้วก็มีคนที่จะมีความรู้ทะลุออกมาจากกรอบเดิม กว้างขึ้นไปอีก ทะลุออกมาจากกรอบเดิมกว้างขึ้นไปอีก มันจะเป็นอย่างนั้น ความรู้ของคนมันจะขยายความรู้ที่เจริญขึ้นพัฒนาขึ้นวิวัฒนาการขึ้นไปอย่างนี้ สรุปอีก อาตมาว่าเมืองไทยเป็นรากเหง้าของจิตวิญญาณมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมืองรัฐศาสตร์หรือว่าด้านเศรษฐศาสตร์หรือไม่ว่าจะเป็นด้านสังคมศาสตร์ อาตมาพูดไปประมาณนี้ก่อน ใสจะว่ายังไงมีอะไรเป็นประเด็น นายกฯประยุทธ์ควรเป็นนายกฯต่อไปในกาละนี้ _ดร.สุริยะใส ว่า… ผมคิดว่ามีอยู่ 2-3 ประเด็นสำคัญที่พ่อท่านได้พูดถึงเมื่อกี้นะครับ คือเรื่องของโลกียะ โลกุตระ ผมคิดว่ามันเป็นโจทย์ที่ไม่ว่าเราจะเปลี่ยนรัฐบาลครั้งแล้วครั้งเล่า ก็รู้สึกว่าบางครั้งมันไปไม่ถึงความต้องการความคาดหวังของผู้คน เหมือนเมื่อครั้งสมัยเราเคลื่อนไหวในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทุกวันนี้ผมจำได้ตอนเข้าไปกราบพ่อท่าน แล้วได้สนทนากับพ่อท่าน คำหนึ่งที่เราพูดกันตอนนั้น คือเรื่องการเมืองใหม่ สร้างการเมืองที่มีคุณธรรมขึ้นมา พ่อท่านท้วงผมเลย ว่า ใส การเมืองใหม่มันไม่ได้ใหม่หรอก มันคือการเมืองที่เราเอาของเก่าดั้งเดิมกลับมา เพราะว่าการเมืองดั้งเดิมถูกทำลายล้าง ถูกลบ ถูกครอบงำจากการเมืองที่มีแต่การเลือกตั้ง การเมืองที่มีผลประโยชน์ มันบังตาเข้ามาทำลาย ทำให้เรา การเมืองดั้งเดิมคือการเมืองที่มีคุณธรรมนำหน้า การเมืองที่เป็นจิตอาสา ไม่ได้ไปแข่ง ไปแสวงหาว่าสส.ต้องมีมากเท่าไหร่ ผมก็จำได้ถือว่าเป็นสิ่งที่ให้สตินำทางผม เราชัดเจนในทศพิธราชธรรม เป็นเรื่องใหญ่กว่าธรรมาภิบาลของตะวันตก แต่เราไปหลงเรื่องที่เขาออกแบบมา เราไปหลง เรื่องที่เขาออกแบบมาที่มันดูเหมือนจริง แต่มันไม่จริง ตอนหลัง ชุมนุม กปปส. ที่มีลุงกำนันเป็นหัวขบวน เมื่อจบจาก กปปส. ผมก็ไปทำดุษฏีนิพนธ์ของปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยรังสิต จบด็อกเตอร์มา ผมก็ไปตั้งแต่หัวค่ำเราพากันไปหลายล้าน ซึ่งผมว่ามันต้องมากกว่านั้น คนที่เคยชอบลุง เคยไม่ชอบลุง ก็ยังออกมา ผมไปสัมภาษณ์กระทั่งญาติคนที่เจ็บ คนที่ตายตั้งแต่สมัยพฤษภาคม สมัยพันธมิตร ผมถามว่าทำไมคนกลุ่มนี้ยังสู้อยู่ ครอบครัวล้มตายก็มี ลูกสูญหายก็มี แต่ทุกวันนี้เขาก็ยังสู้อยู่แสดงว่าเขาต้องมีอะไรที่ใหญ่กว่าแกนนำพาไป ผมรู้สึกว่ามันคือแก่นแกนของการเสียสละ การต้องการสังคมที่มีธรรมาธิปไตย ไม่ใช่โลกาธิปไตย ไม่ใช่อัตตาธิปไตย แต่เป็นธรรมาธิปไตย ผมก็ตั้งชื่อภาษาอังกฤษว่าเป็น moral democracy เป็นประชาธิปไตยคุณธรรม ฝรั่งมาอ่านงานของผมก็บอกว่า ไม่มีหรอกประชาธิปไตยแบบนี้ พ่อครูว่า… ตำรานี้ของพวกเขามันไม่มีเลย _ดร.สุริยะใส ว่า… ทำดีมันต้องดี ทำดีต้องไม่รังแกใคร ไม่เบียดเบียนใคร ผมก็เขียนเอามาตำรา เป็นวิถีประชาธิปไตยแบบชาวพุทธตะวันออก ที่ไม่ต้องไป ตามฝรั่งมังค่า ส่วนตัวผมไม่เคยสนทนากับพลเอกประยุทธ์ เมื่อเปรียบเทียบกับนายกท่านอื่น โดยส่วนตัวผมคิดว่า น่าจะคิดคล้ายกับพ่อท่านคือการที่เขาเป็นคนที่ไม่ส่งสัญญาณ ของการโกง ไม่ส่งสัญญาณของการคอรัปชั่น มีความน่าไว้วางใจเรื่องนี้ แต่ผมอาจจะเห็นต่างจากพ่อท่าน อาจจะเพราะว่าระบบการเมืองที่พลเอกประยุทธ์ ไปสังกัด โครงสร้างการเมืองเป็นแบบโลกียะ มันต้องเอาผลประโยชน์ไปติดปากกัน มันถึงจะเดิน แม้จะมีความสามารถก็ไม่สามารถไปจัดการได้ทุกอย่าง มีพวกที่หลงเข้ามาหาผลประโยชน์จากช่องว่าง ทำให้บ้านเมืองเดินไปไม่ได้ มันจะต้องมีอะไรที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือ จากคนที่ไม่หวังดี มาเกาะกระแสอาสาว่าจะมาทำงานให้ ตามวาระซ่อนเร้น มีผลประโยชน์ส่วนตัวหรือเปล่า สภาพรัฐสภากลายเป็นเสียงข้างมาก นำพาทุกอย่าง ความถูกต้องและธรรมจริยธรรม กลายเป็นเรื่องที่มาทีหลังตลอด พอเราจมอยู่ในสังคมแบบนี้เลยเป็นกับดักที่ทำให้เรารู้สึกว่า มาปีนี้มันน่าจะกระเตื้อง น่าจะดีกว่านี้ไหม ก็จะมีความรู้สึกและมีมุมมองที่อาจจะไม่ได้ตรงกับพ่อท่านเสียทีเดียว แต่ก็เมื่อเปรียบเทียบกับอดีตนายกอีกหลายคน เอาความโกงมาตัดสินกัน พลเอกประยุทธ์ชนะขาด เรื่องเก่าๆวิธีคิดที่มีลักษณะอย่างนี้ทำให้เกิดการปฏิรูปได้หน่อย ส่วนตัวผมรู้สึกว่าอันนี้ไม่ชัด เช่นเรื่องปฏิรูปตำรวจเราก็พูดกัน แต่เมื่อเข้าสู่อำนาจแล้วไม่ขยับ อย่างเช่นขั้นตอนที่ป๋าเปรมท่านก็ยังเคยบอก บอกว่าลุงตู่ใช้กองหนุนมากไปแล้วนะ เป็นประโยคที่คลาสสิค ที่หลายสายว่าลุงตู่เสียแนวร่วม ส่วนพ่อท่านและพี่น้องชาวอโศก ยัง support พลเอกประยุทธ์ ผมไม่มีปัญหาหรอก แล้วหลายเรื่องที่คิดว่า รัฐบาลนี้ก็ดีกว่ารัฐบาลอื่นหลายเท่า รัฐบาลต้องมีหลายเรื่องที่ต้องชำระสะสาง ผมเองก็เข้าใจตั้งใจว่าให้สำเร็จอีกหลายเรื่อง ผมก็เลยรู้สึกอย่างนั้น ถ้าหากท่านจะเป็นนายกสมัยที่ 3 มันต้องคิดอย่างไร เปลี่ยนมุมมองในการจัดการบ้านเมืองอย่างไร พ่อครูว่า… อาตมาเห็นว่านายกประยุทธ์ยังไม่สมควรจะเปลี่ยนวิธี อะไรออกไปหรอก วิธีที่ทำมานี้ดีแล้ว มีความซื่อสัตย์นำหน้า มีการรับใช้ประชาชนจริง มีความตั้งใจเต็มใจและทำอย่างจริงจังและมีปฏิภาณปัญญา ที่เป็นแกนของโลกุตระอยู่ด้วย ซึ่งอาตมาเห็นว่า นายกประยุทธ์มีแกนของโลกุตระ ทั้งของตัวเองและรับถ่ายทอดมาจากในหลวงรัชกาลที่ 9 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นโลกุตระแน่ๆ เพราะท่านเป็นพระโพธิสัตว์ การเมืองของไทยจึงเป็นการต่อยอด เป็นการทำงานเชื่อมต่อสืบต่อกันอย่างไม่ได้ขาดสายกันไปได้ ถ้าจะตัดไปให้คนอื่น อะไรยังไม่รู้เลยว่าคนอื่น เขาจะทำได้เท่ากับพลเอกประยุทธ์หรือเปล่า ยิ่งการทำงานรับใช้ประชาชนจริงๆด้วย หรือแม้แต่จะมีคณะ ผู้ที่จะร่วม เรื่องซับซ้อนเรื่องคณะ คณะผู้จะมาร่วมงาน มันเป็นเรื่องที่วิจิตรพิสดารมาก ลำบากมากเลย คณะที่จะบริหาร เช่น คณะรัฐมนตรี เป็นต้น คณะรัฐมนตรีไม่ได้หมายความว่าเป็นคนที่เป็นโพธิสัตว์หรือเป็นคนที่เป็นโลกุตระ ส่วนมากเป็นโลกียะกันอยู่ เพราะฉะนั้น พลเอกประยุทธ์จึงจำเป็นจะต้องใช้พลังงาน ที่จะสามารถยืนหยัด ทำให้พวกโลกียะที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่พรรคพวก สามารถที่จะดำเนินไปตามที่พลเอกประยุทธ์สามารถทำได้ เขาทำได้ พลเอกประยุทธ์ทำได้ มีหลักฐานยืนยัน มีปรากฏการณ์ที่อ้างอิงได้ คือผลงานทำมา 8 ปีนี้ ตัวเอเปคที่เพิ่งผ่านไปนี้ เป็นเครื่องชี้บ่ง ถึงผลว่า พลเอกประยุทธ์ทำได้ และตัวบุคคล ของผู้นำประเทศ ของแต่ละประเทศที่มาร่วม แสดงออกแล้ว เรื่องวิธีการ เรื่องของนโยบาย เรื่องของวิธีการทำงานอะไรต่ออะไรต่างๆ มันเป็นเปลือก แต่แก่นแท้ๆมันคือจิตวิญญาณ อาตมาจะมองเห็นด้วยปัญญาหรือภูมิปัญญาตามมาว่า จิตวิญญาณของคนที่มาร่วมเอเปคนี้ Appreciate กันทั้งเลย รับได้ แล้วยินดีที่จะให้ประเทศไทยเมืองเล็กๆนี่แหละ เป็นแก่นแกน ต่อไปเอเปคจะไปที่อเมริกา อเมริกาไม่ใช่แดนที่จะเอาคุณลักษณะ ที่มาหยั่งลงในประเทศไทยไปหยั่งลงได้ที่อเมริกา ไม่ใช่ ภูมิประเทศ สิ่งแวดล้อม และจิตวิญญาณคนละแบบ เพราะว่าอเมริกานั้นเป็นโลกียะ 100% แล้วจัดจ้านด้วย จะต้องเป็นเจ้าโลกให้ได้ จะต้องรุนแรง ฆ่าแกง ฉันไม่กลัว เป็นอย่างนั้น แล้วกำลังล้มเหลวด้วย อาตมาบอกได้อย่างนี้ล่ะ อเมริกา เจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกาอยากจะมาพบอาตมานะ เพราะเห็นว่าอาตมาพูดเป็นอย่างไร อาตมาไม่ได้รังเกียจอเมริกา เขาเป็นคนน่าสงสาร แต่อาตมาพูดความจริงว่า เขากำลังล้มเหลวและเขาก็หลงตัวเองอยู่ เขาอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะ 1. ดอลลาร์เก๋ๆ กระดาษแบงค์กงเต็กกับ 2.อำนาจที่สามารถสร้างอาวุธยุทธภัณฑ์ได้เก่ง เขาอยู่ได้ได้เท่านี้เอง อยู่ได้ด้วยแบงค์ดอลลาร์กับอยู่ได้ด้วยอำนาจอาวุธยุทธภัณฑ์ เขาอยู่ได้เท่านี้แหละ นอกนั้นเขาก็ไม่มีอะไรเหลือหรอก อเมริกา พูดอย่างนี้อเมริกาอาจจะร้อน โดนอาตมาว่ากระหน่ำย่ำยี แต่ว่าอาตมาพูดชัดจากความจริงถ้าเขารู้ตัวเสร็จแล้ว แล้วเขาก็ปรับตัวให้ดีขึ้น อาตมาขอพูดถึง อุดมการณ์ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติสักนิดหนึ่งว่า โลกจริงๆนั้น มนุษยชาติจริงๆนั้น ต้องเป็นคนที่ให้แก่ผู้อื่นได้ หรือเสียสละแก่ผู้อื่นได้ หรือเป็นผู้แพ้แก่ผู้อื่นได้ นี่คือสัจจะของมนุษยชาติผู้เจริญที่สุด ผู้ให้ได้ เป็นผู้เสียสละได้ เป็นผู้แพ้ได้ ยิ่งคำว่า เป็นผู้แพ้นี้สุดยอดแห่งความรอบรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกุตรธรรม คนที่จะมาเอาชนะคะคานมนุษยชาติ จะเอาชนะคะคานทุกอย่างทั้งทางด้านวัตถุ ทั้งทางด้านอำนาจ แม้แต่ที่สุดทางด้านจิตวิญญาณ จะเป็นผู้ได้เปรียบจะเป็นผู้มีอำนาจจะเป็นผู้ที่ใหญ่กว่า เป็นผู้น้อยกว่าไม่ได้เป็นผู้แพ้ไม่ได้เป็นผู้น้อยกว่าไม่ได้เป็นผู้แพ้ไม่ได้ เขาไม่มีวันชนะหรอกเขาจะทำวนเวียนอยู่อย่างนั้นตลอดกาลนาน เพราะโลกียะไม่มีใครยอมใคร มันมีอัตตามานะ มีกิเลส มันไม่มีใครยอมใครหรอกโลกียะ มีแต่โลกุตระเท่านั้นที่ยอมคนและสงบด้วยจริง โลกียะไม่มีความสงบจริง สันติภาพในโลกียะไม่มีในมหาจักรวาล มีสันติภาพจริงอยู่ในโลกุตระเท่านั้น เพราะว่ายอมหยุด ยอมแพ้ ยอมเสียสละ ยอมให้ เพราะฉะนั้นชีวิตที่มีชีวิตอยู่ ด้วยเมตตาให้อะไรได้ ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าเป็นอาริยะแล้วไม่สะสมเงินทองทรัพย์สินที่โลกเขา นิยมยกย่องให้เป็นคุณค่าแม้แต่ทองคำเราก็ไม่สะสม แต่รู้จักปัจจัยชีวิต คือข้าว ผ้า ยา บ้าน รู้จักความสำคัญของชีวิต ข้าว ผ้า ยา บ้านที่อุดมสมบูรณ์เท่านี้แหละ ให้ดี ให้อุดมสมบูรณ์จริงๆให้มากจนกระทั่งเผื่อแผ่ไปเป็นอำนาจโลก ไม่ใช่ไปเอาธนบัตรเป็นอำนาจ ไม่ใช่เอาอาวุธปืนเป็นอำนาจ แต่เอาอาหารเป็นอำนาจ เอาข้าว ผ้า ยา บ้านเป็นอำนาจ เผื่อแผ่คนอื่นให้เขา เป็นกองพลาธิการของโลก อันนี้จะชนะอย่างสงบ จะชนะอย่างอบอุ่น จะชนะอย่างสะเด็ด จะชนะอย่างเด็ดขาด อย่าง Absolute เลย เพราะมันจะกินถึงจิตวิญญาณของมนุษยชาติ แล้วมนุษยชาติทุกคนที่จะพัฒนาไปสู่ความสูงสุดทางจิตวิญญาณ ก็จะมาหาโลกุตรธรรม เพราะฉะนั้นเมืองไทยเป็นแกนของโลกุตรธรรมแล้ว ชมพูทวีปจากประเทศอินเดีย ก็ย้ายมาอยู่ที่ประเทศไทยแล้ว เมืองไทยมีโลกุตรธรรม เพราะฉะนั้น เมืองไทยที่พลเอกประยุทธ์เป็นตัวหลัก ดำเนินการบริหาร ดำเนินบทบาทในการที่จะ ทั้งให้คนอื่นเข้าใจ ทั้งพาประชาชนคนไทยทำ 8 ปี ได้ผลขนาดนี้อาตมาพอใจ ที่พอใจนี่คืออาตมามองไม่เห็นคนอื่น มองไปดูคนอื่นว่าใครจะมาแทนพลเอกประยุทธ์ อาตมาก็ใช้ภูมิปัญญาของอาตมา ดูทั้ง background ทั้งชีวิตของเขาที่ทำมา ยกตัวอย่าง ตัวบุคคลเลย อุ๊งอิ๊งเหรอ พิธาเหรอ อนุทินเหรอ อาตมาใช้ปัญญาของอาตมาเทียบวัด อาตมาก็ว่า ยังสู้คุณประยุทธิ์ไม่ได้ ตกไปคนหนึ่งก็คือ คุณจุรินทร์ พรรคประชาธิปัตย์ อาตมาก็ว่ายังไม่ควรจะขึ้นมาหรือที่ซ้อนๆกันอยู่ ก็คือให้พลเอกป้อมขึ้นมา อาตมามองกว้างๆอย่างนี้ อาตมาพูดอย่างเปิดเผยใจให้ฟังว่า พลเอกป้อม ก็แน่นอน อยากจะเป็นนายกสักวาระหนึ่งในชีวิต ก็คงอยากจะเป็น ซึ่งพลเอกประยุทธ์เขาก็ไม่เกี่ยงเท่าไหร่ ถ้าพลเอกป้อมจะขึ้นมา อาตมาว่า พลเอกประยุทธ์นี้กึ่งๆ ถ้าพี่ป้อมจะขึ้นมาเป็นนายก พลเอกประยุทธ์ก็บายให้ได้ แต่มันจะสะดุด เพราะ พลเอกป้อม อาตมามองเห็นและว่าท่านเก่งในการสร้างมนุษย์ให้อยู่ในมวลของตนเอง มันไม่ใช่ประชาธิปไตยมันเป็นพรรค พรรค ไม่ใช่ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยไม่มีพรรค ประชาชนทั้งมวลที่มีจิตวิญญาณร่วมด้วยคือพรรคของนายกฯ พรรคของนายกคือหมู่มวลประชาชนที่มีจิตวิญญาณเป็นหลัก โดยไม่ต้องมาลงคะแนนเสียง เพราะการลงคะแนนเสียงเป็นวิธีการของโลก มีอะไรซับซ้อนอยู่ในนั้นเยอะเลยในการลงคะแนนเสียง ก็ได้คนนั้นคนนี้มา เลือกมาเป็นตัวแทน เป็น สส. ประธาน เป็นรัฐมนตรีจนมาเป็นนายก หรือ วิธีการเลือกประธานาธิบดี ยิ่งซับซ้อนยิ่งกว่านั้น เพราะฉะนั้นไม่จริงเลยมีแต่เต็มไปด้วยแทคติกในการที่จะทำให้ตัวผู้นำ ได้ผู้นำมาเป็นตัวปลอมทั้งนั้น ใช่ตัวประชาธิปไตยไม่ใช่ตัวจริงเลย แต่ตัวจริงที่ประชาชน ยกตัวอย่าง พลเอกประยุทธ์ ขณะนี้โพลแต่ละโพล ก็คะแนนนำ โพลนี้ไม่มีวิธีบังคับเหมือนจะต้องไปลงคะแนนเสียงเป็นกฎหมาย ไม่ใช่ โพลนี้ เอาจิตวิญญาณอิสระของคน เพียงแต่ว่าโพลกลุ่มไหนเขาจะมีประชากรกระจายทั่วไปมากหน่อย ไม่ใช่เอาแต่กลุ่มมวลประชาชนของตัวเองที่มีแนวคิดเดิม อันนั้นก็เป็นโพลเก๊ โพล ใช้ไม่ได้ โพล จะต้องไม่จำกัดว่าเป็นใครก็ได้ตลอดเวลา ต้องเป็นโพลที่ประชากรผู้ที่ จะมาให้เก็บคะแนนทำสถิติต้องเป็นคนทั่วไปเสมอ ไม่ใช่ไปกระจุกอยู่ที่กลุ่มเก่า ก็คิดอยู่ในกรอบเดิมมันก็ใช้ไม่ได้ มันก็ต้องเปิดอิสระทั่วออกไปหมด เมื่อใดก็เอาไปกระจายไปขว้างไกลที่สุดเท่าที่ทำได้ ยิ่งกว้างไกลเท่าไหร่ได้ยิ่งเป็นอิสระ เป็นโพลที่ได้ความจริงของประชาชนมากกว่า โพลกับลงคะแนนเสียง การลงคะแนนเสียงเป็นเรื่องของการบังคับหรือเป็นเรื่องของกฎหลัก แต่ว่า โพล เป็นเรื่องอิสระ นี่ก็ต่างกัน ฉะนั้นอาตมาเชื่อโพลมากกว่าเชื่อการลงคะแนนเสียง เป็นแต่เพียงว่าต้องดูสำนักไหนที่แสดงโพล ถ้าหากมีกลุ่มประชากรตายตัวเป็นแนวคิดเดิมกรอบเก่า มันก็เท่านั้นเองมันก็ไม่ไปไหน มันก็อยู่ในกะลาครอบ เสียงเดิมเพราะความคิดเป็นแนวเดิมอย่างเดิมไม่กว้างออกไป สรุปแล้วมันจะเข้าลึกไป มันจะมากมายไปอีก สรุปง่ายๆอีกทีว่า ตอนนี้อาตมาเห็นว่าให้พลเอกประยุทธ์ทำงานไปอีกดีกว่า แม้แต่กฎหมายจะไปไม่ได้แล้ว ก็น่าจะแก้กฎหมายให้พลเอกประยุทธ์ทำ นี่คือความเห็นของอาตมานะ สรุปไว้เท่านี้ก่อนก็แล้วกัน ใส จะมีอะไรว่ามา _ดร.สุริยะใส ว่า… อีกประเด็นหนึ่งที่ผมคิดว่าพลเอกประยุทธ์ไม่ค่อยได้ทำ หรืออาจจะทำในมุมของท่านครับ การปรองดอง ความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ อันนี้ผมคิดว่าสอบตก พ่อครูว่า… อาตมาเห็นว่า ปรองดองมากขึ้น คนที่มีความเห็นขัดแย้งนั้นมีพวกที่ออกมาเห่าบ๊องๆเท่านั้น คณะใหญ่นี้ปรองดอง ประยุทธ์นี้ แต่ขณะที่กำลังออกมาตอนนี้เป็นลูกศิษย์ของพวกแดงที่เป็นเศษกากเท่านั้นเอง จะเห็นว่าโฆษณากันใหญ่จะให้มาชุมนุมใหญ่ แต่ขี้หมาเถอะเรื่องรวมกัน 100 คนก็ไม่ถึง มันหมดน้ำยาแล้วมันไม่ใช่ ปรองดองสิ มวลของพลเอกประยุทธ์นี้เป็นมวลใหญ่ แต่มวลที่ขัดแย้งเป็นกระจุกนิดเดียว รูปธรรมก็ยืนยันอยู่แล้วยิ่งนามธรรมก็ยิ่งยืนยัน _ดร.สุริยะใส ว่า… อันนี้อาจจะเห็นต่าง จริงๆ ในมุมของประชาชนทุกกลุ่ม ทุกชั้นก็คิดว่าน่าจะมีประเด็นที่คุยกันมากขึ้นแต่ก็เห็นอยู่นะครับ อยากเห็นการส่งเสริมสนับสนุน นโยบาย พ่อครูว่า… ขอแทรกตรงนี้ว่า การที่จะได้พรรคพวก จะได้พวกเห็นดีด้วย ดูวิธีโฆษณาตนเอง หรือมีแทคติกในการโฆษณาตัวเอง วิธีที่ไม่ได้โฆษณาตัวเองเลยทำงานอย่างเดียว พลเอกประยุทธ์ทำได้ วิธีจะโฆษณาตัวเองนั้น พลเอกประยุทธ์สอบตกในการโฆษณาตัวเอง ซึ่งต่างกันกับทักษิณกันคนละมุมคนละโลกเลย พลเอกประยุทธ์ทำงานไม่โฆษณาตัวเอง จนกระทั่งได้รับการตำหนิว่า ไม่บอกว่าตัวเองทำอะไรบ้าง ลึกโดยสัจธรรม คนไม่โฆษณาตัวเองแต่ทำงานมีผลประโยชน์แก่ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นการประสานทางจิตวิญญาณ เอเปคเป็นตัวชี้บ่งให้เห็นเลยว่าจิตวิญญาณมนุษย์ของแต่ละประเทศ เริ่มต้น 20 กว่าประเทศแล้วจะเป็นกำลังขยายผลไปสู่ทั้งโลก เขาก็มีกลุ่มในโลกนี้ตั้งมากมาย เพราะฉะนั้นมันจะค่อยๆแผ่รังสี หรือแผ่กำลัง ไม่ได้แผ่อำนาจนะ แผ่คุณธรรมออกไปเรื่อยๆ รากของโลกุตระคือรากของประชาธิปไตยที่ประเทศไทยมี เพราะฉะนั้น ในเมืองไทยอาตมาว่า มันมีรากของศาสนาพุทธนี่เป็นโลกุตระธรรมเป็นอาริยะแท้ๆ ไม่ใช่พวกมิลักขะ แต่เป็นพวก อาริยกะ ที่แรกเริ่มและทำมา ขยายมา จนกระทั่งถึงวันนี้ ประเทศไทยเป็นแกนตัวแท้ของ อาริยกชน ซึ่งเป็นตัวแก่นแกนของโลก เริ่มไปเรื่อยๆขยายผลไปเรื่อยๆ อย่างงอกงาม ไพบูลย์ ใช้ศัพท์ของพระพุทธเจ้าเจริญงอกงามไพบูลย์ไปตามลำดับ ไพบูลย์แปลว่าเต็ม เจริญงอกงามไป ภาษาก็พูดว่า เจริญงอกงามไพบูลย์ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น เรื่องมนุษยชาติจึงเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านศึกษา ท่านเกิดมาบำเพ็ญบารมีมาตลอดจนกว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านศึกษาเรื่องมนุษยชาติกับสังคม และในตัวมนุษย์นี้มีจิตวิญญาณ จิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง พระพุทธเจ้าท่านสรุปไว้หมด จิตวิญญาณเป็นตัวบงการ จิตวิญญาณเป็นตัวที่จะขับดันขับเคลื่อน ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ในบรรดามีนี่ จนออกไปเกี่ยวพันกับวัตถุและ การสัมพันธ์ของมวลมนุษยชาติ ก็ออกไปจากความรู้ความจริงที่เป็นตัวจิตวิญญาณของบุคคลใดก็แล้วแต่ ที่จะมีความรู้ความจริงนั้น เป็นโลกุตระธรรมจริง เนื้อแท้จริง ตั้งแต่ในยุคพระพุทธเจ้าก็มีที่พระพุทธเจ้าเป็นต้น พระพุทธเจ้าก็ทำ ท่านทรงปฏิบัติในยุคของสังคมยุคนั้น เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์เด็ดขาด แล้วก็เป็นยุคทาส มีทาส มีนายทาสเด็ดขาด และเป็นยุคที่คนมนุษย์ยังไม่เข้าใจเรื่องของสิทธิมนุษยชนยังไม่รู้เรื่อง เพราะมันเป็นยุคทาส แต่พระพุทธเจ้านั้นให้อิสรเสรีภาพแก่มนุษย์แล้ว มนุษย์มีสิทธิ์ พระพุทธเจ้าประกาศธรรมนูญของท่านเอง เมื่อประกาศธรรมนูญของท่านก็คือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้านั่นแหละ ทั้งธรรมทั้งวินัยนั่นแหละ เมื่อท่านประกาศออกไปแล้ว คนในยุคพระพุทธเจ้าที่มีภูมิปัญญาจะรับโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้าได้ก็มาทันที แล้วพระพุทธเจ้าท่านมีบารมีมีมวลมีปริมาณ ท่านก็ได้บริวารของท่านประมาณหนึ่ง เนื้อหาโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าในยุคพระพุทธเจ้านั้น ยังเป็นสังคมยุคชาติยังเป็นสังคมยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กันเป็นสังคมที่มนุษย์ยังไม่รู้จักสิทธิมนุษยชนใดๆเลย แต่ละคนนี้ยังไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองมีสิทธิ์อะไร มีสิทธิ์ในการพูด มีสิทธิ์ในการแสดงออก มีสิทธิ์ในการที่จะเป็นเจ้าของสมบัติตามทางนั้นที่ตัวเองสร้างเองแท้ๆ ถูกนายทาสเอาไม่เป็นของเขาหมด มันยังไม่มีสิทธิอะไรต่างๆนานาเลย ฉะนั้นการดำเนินการของพระพุทธเจ้าก็ทำได้แต่กับคนที่มีภูมิปัญญากลุ่มหนึ่งเข้ามา แล้วก็เป็นรูปธรรม เมื่อมาอยู่ในธรรมนูญของพระพุทธเจ้าเป็นรูปธรรมที่ดี จนกระทั่งมนุษยชาติในยุคนั้นไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งเป็นรัฐใหญ่ในยุคนั้น เหมือนกับในยุคนี้มีอินเดียกับจีน เป็น 2 รัฐใหญ่ เมื่อพระเจ้าพิมพิสารก็ดี พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ดีที่เป็น 2 แคว้นใหญ่ ยอมรับเข้าใจในอุดมการณ์ของพระพุทธเจ้า ยกให้เป็นอิสรเสรีภาพเลย ยกให้เลย ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ดี ซึ่งพระพุทธเจ้าในประชาธิปไตยแล้ว แต่คนอย่างเข้าใจคำว่า ประชาธิปไตยยังไม่ได้เพราะยังไม่มีพยัญชนะคำนี้ แต่มีพยัญชนะคำว่า ธรรมาธิปไตย ที่เป็นผู้ที่เข้าใจโลก เข้าใจ อัตตา เพราะฉะนั้นจึงอยู่เหนือ เป็นอธิปไตยด้วยปัญญาที่อยู่เหนือโลก อยู่เหนืออัตตา นี่คือธรรมาธิปไตย ซึ่งธรรมาธิปไตยนั้นเข้าใจโลกและอัตตา โลกคือสิ่งที่รวมกันอยู่ อัตตาคือตัวเองของแต่ละคน จะทำอย่างไรให้ โลกและอัตตาอยู่ร่วมกันได้อย่างเรียบร้อย สันติ ง่าย งาม อบอุ่น ท่านทำได้ มีมวลประชากรมาอยู่ในธรรมนูญของพระพุทธเจ้าในยุคนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ยอมรับ พระเจ้าพิมพิสารก็ยอมรับ พระพุทธเจ้าท่านทดสอบ จนกระทั่ง ท่านพูดกับพระเจ้าอชาตศัตรูซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าพิมพิสาร เป็นพระโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งพระเจ้าอชาตศัตรูมีอนันตริยกรรมคือฆ่าพ่อ ภูมิปัญญายังไม่เข้าโลกุตระ เป็นโลกียะแต่ยังเข้าใจได้ พระพุทธเจ้าท่านสอบทานกับพระเจ้าอชาตศัตรูทดสอบว่า ถ้าคนรับใช้ของท่านที่เป็นคนใกล้ชิดตื่นก่อนนอนทีหลัง เป็นผู้ที่ท่านไว้ใจมากที่สุด เป็นคนของท่าน เกิดมายอมรับลัทธิของพระพุทธเจ้า ยอมรับแบบของพระพุทธเจ้า ท่านจะเอาคนของท่านคืนไปไหม พระเจ้าอชาตศัตรูก็บอกว่า ไม่ ไม่ ไม่เอาคืนหรอก มีแต่จะยกให้ท่านไปเลย เพราะเขาเจริญแล้ว มีแต่จะยกให้สนับสนุน อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นความเป็น อจินไตย ชนิดหนึ่งว่า โลกุตรธรรมนี่ ยิ่งใหญ่แม้แต่คนที่มีอนันตริยกรรมยังต้องยอม พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นอนันตริยกรรมฆ่าพ่อ ก็ยังยอมพระพุทธเจ้าเลย อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทางตำนาน ทางพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น สรุปแล้วโลกุตรธรรมมันเป็นพลังงานทางจิตวิญญาณ ที่มีทั้งความรู้ มีทั้งความจริง มีทั้งความเฉลียวฉลาด จะพูดแล้วก็คือยิ่งใหญ่ และทุกวันนี้เขาก็แสวงหาจุดนี้กัน แต่เขาไม่รู้ตัว มีแต่เพียง Concept ของเขาว่า อยากได้อะไรให้มันเลิศยอดทางจิตวิญญาณ เขารู้แล้วว่าจิตวิญญาณมันเหนือกว่าจิตนิยม เหนือกว่าวัตถุนิยม ก็พอรู้แล้วล่ะเดี๋ยวนี้คนทั้งโลก โดยเฉพาะผู้บริหารเข้าใจแล้ว เป็นจิตนิยมเหนือกว่า วัตถุนิยม แต่ก่อนนี้เขาเถียงกันว่าวัตถุนิยมหรือจิตนิยม อันไหนจะเหนือกว่า เขาก็เถียงกันไป ทุกวันนี้ก็มาเข้าใจแล้วว่า จิตนิยมเหนือกว่าวัตถุนิยม ฉะนั้นเขาก็จะเริ่มต้นเข้ามาหาจิตวิญญาณ ก็จะเริ่มต้นมาหาโลกุตระได้ นี่คือวิวัฒนาการของสังคมโลก ทุกวันนี้ มวลมนุษยชาติของโลกที่ยังยึดถืออยู่แต่วัตถุไม่เข้าหาวิญญาณ แม้หาจิตวิญญาณ ยังตกอยู่ พวกที่ยังหลงอำนาจแต่เฉพาะวัตถุ ขอเอา ปัจจุบันเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิด ขณะนี้ชาวตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นคนกลุ่มนึงที่ไม่ออกมาประสานกับใครต่อใคร ตอนนี้เขาก็ขยายตัวออกมาแล้ว โดยเฉพาะขยายตัวออกมาตอนประชุมเอเปคนี่มันชัดเจน ซาอุดิอาระเบียเขาก็นำมาเลย เป็นใหญ่ในตะวันออกกลาง พระเจ้าแผ่นดินของซาอุดิอาระเบีย เสด็จมาเอง แล้วมาทำความสำคัญมาทำสัญญา MOU อะไรต่างๆ ที่จะมีอะไรออกไป ตะวันออกกลางเป็นเรื่องของโลกตะวันออกกลางเป็นโลกที่รวยที่สุด เขารวยมาตั้งแต่ทองดำ ทองดิบ มา แล้วคนก็ใช้ ทองดิบทองดำ ซึ่งเป็น Dynamic ส่วนทองคำแท้ๆนั้นเป็น Static ไม่ค่อยมีประโยชน์หรอก แต่ทองดำทองดิบ มันเป็นพลังงานที่เขาต้องใช้ในโลก เขาก็ได้ใช้อันนั้น เขาใช้ทองดำ ทองดิบ เป็นตัวทรัพย์สินเอง แต่อนาคตต่อไปพลังงานเหล่านี้ มันก็จะลดลง ทรัพยากรในโลกมีจำกัดแล้ว ทองดิบทองดำมันก็จะค่อยๆร่อยหรอ ต่อไปก็จะพยายามใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เมื่อพลังงานแสงอาทิตย์ใช้แทนทองดำ เมื่อไหร่ตะวันออกกลางก็มีฤทธิ์น้อยลง อำนาจน้อยลง ความยอมรับนับถือก็จะน้อยลง แต่ตอนนี้เขายังนับถืออยู่ก็ว่ายังใช้น้ำมันอยู่ กว่าจะสร้าง กว่าจะพัฒนาการใช้ไฟแดดก็ยังใช้เวลานาน และทางตะวันออกกลางก็เข้ามาประสานพวกเรา ไม่ได้ดูถูกนะแต่ตะวันออกกลางไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องของทางช่าง ทางก่อสร้าง จะเป็นวิศวกรรม ทางศิลปกรรม ทางด้านโน้นยัง แต่เขาก็จะพัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ วิวัฒนาการของมนุษยชาติของสังคม อาตมาเรียนรู้เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 มาจากพระพุทธเจ้า อาตมาพูดมาก่อนแล้วว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้เรียนรู้อะไรนอกจากเรื่องของมนุษย์และสังคม และ มนุษย์นี้ หยั่งลงไปถึงจิตวิญญาณเลย ตั้งแต่ต้นตอของจิตวิญญาณเลยทีเดียว เป็นประธาน รากเหง้าของจิตวิญญาณเลยคือปัญญา หรือวิชชา ปัญญา ญาณ วิชชา เป็นรากเหง้าของจิตวิญญาณและมันมีส่วนที่เป็น Static ของจิตวิญญาณคือสงบ หยุด นิ่ง ไม่เป็นพิษภัยต่อใคร เราก็เป็นประโยชน์ต่อไป ลักษณะอันนี้ อาตมาจะขยายให้ดูเป็นรูปธรรมก็คือ อินเดียกับจีน อินเดียเป็นพวกสงบไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร อินเดียสงบนิ่งไม่เป็นภัยกับใคร แต่ก็อยู่อย่างนั้นแหละ อยู่อย่างนั้น ส่วนจีนเป็นพวก dynamic เป็นพวกเคลื่อนไหว เป็นพวกปฏิกิริยา ทำ เพราะฉะนั้นก็จะมีรูปธรรม มีวิวัฒนาการ มีพลังหรืออำนาจหรืออธิปไตยในโลก มากกว่า แต่ถึงอย่างไรก็ใครจะไปทำอะไรอินเดียก็ไม่ง่าย เพราะว่ามวลของเขามีมาก มันหนัก มันนิ่ง ขยับเขยื้อนไม่ได้ง่ายๆ เป็นมวลใหญ่มวลมาก หนัก แน่น สถิต เสถียร เพราะฉะนั้นจึงไปเคลื่อนที่เขายาก ต้องแก้ไขปรับปรุงหรือทำลาย จะทำให้แยกสลายออกจากกันไม่ง่ายหรอก เป็นเรื่องที่คิดได้ยาก แต่มันเป็นจริงอย่างนั้น มันก็มี 2 ลักษณะในโลกมี Static กับ Dynamic 2 อย่างเท่านั้นแหละ ในโลกนี้ มันก็ทำปฏิกิริยากันไป จนกว่าจะเกิดสภาพที่อะไรมันพร่อง อะไรมันมากกว่าแล้วก็จะเอียง ไม่สมดุลแล้ว ไม่สมดุลก็เกิดความสลายของโลก ถ้ามันยังถ่วงดุลกันได้อยู่ มันก็ดำเนินกันไป หมุนเวียนกันไปพอเป็นไปได้ แต่ถ้ามันหมุนได้ จังหวะ มีทศนิยมเล็กน้อย มันก็จะหมุนได้นิ่งเนียน ถ้าไม่มีทศนิยมเลย มันจะหยุดตาย เริ่มต้นถ้ามีทศนิยมพอเหมาะมันจะเคลื่อนที่ได้ มีอำนาจ มีพลัง มี Co-efficient มีพลังงานเพิ่ม อัตราคูณ ทำให้เกิดพัฒนาการอยู่ได้ เป็น MC2 ของไอสไตน์ มันก็ไปได้เรื่อยๆ แต่ทุกวันนี้มันมากกว่า MC2 แล้ว พวกนิ่งน้อยลง แต่พวกเคลื่อนนี่มากขึ้นแล้วตอนนี้ อย่างนี้เป็นต้น นี่อาตมาก็พูดไปตามประสาอาตมานะ จะทำให้ใสมีปฏิภาณปัญญาจะเห็นดีหรือมีอะไรจะแย้งก็ว่ามาก็แล้วกัน _ดร.สุริยะใส ว่า… ไม่ใช่ประเด็นแย้งกับพ่อท่านนะครับ แต่ ในยุคหนึ่งที่อเมริกาเป็นเจ้าโลก อินเดียกับจีน ใครเป็นผู้นำที่แสวงหาสันติภาพมากกว่า ผมเฝ้าดูนายกรัฐมนตรีที่เป็นอังกฤษคนใหม่ คำพูดของเขาหลังเข้ารับตำแหน่ง มีคำพูดคำหนึ่งที่ผมผิดหวังมากกับเขาคือ เขาจะยืนหยัดเข้าข้างยูเครนในการทำสงครามกับรัสเซียจนวาระสุดท้าย เขาอายุ 40 กว่าแล้วน่าจะให้ความหวังกับโลกได้มากกว่านี้ หากพูด กลางๆว่าเจรจากันก็น่าจะดีกว่านี้ ในขณะใกล้ๆกัน สีจิ้นผิง ได้เป็นประธานาธิบดีสมัยต่อไปสมัยที่ 3 เขาก็ยังพูดออกมาดีกว่านี้ รู้สึกมันเตือนสติ มีพลัง แล้วโลกก็มีความหวังขึ้นมาทันที ผมเลยรู้สึกว่าระบบอย่างเดียวไม่พอ คนที่มีจิตสำนึก มีจิตวิญญาณ คิดว่าเราต้องการคนแบบนี้ เราต้องหาคนแบบนี้ด้วย มาเติมเข้าสู่การเมืองมากขึ้น เหมือนในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านได้ตรัสไว้ เราไม่สามารถทำให้ทุกคนมีอำนาจได้ แต่เราจะทำให้คนดีเข้าสู่อำนาจได้อย่างไร อันนี้ผมเห็นว่าน่าจะเป็นแง่คิดที่ผมเห็นด้วยกับพ่อท่านเรื่องนี้ว่า บางทีมันใหญ่เกินกว่าจะมาเฝ้าดูว่า จะแลนด์สไลด์ไม่แลนด์สไลด์ ทักษิณจะกลับ จะไม่กลับ ผมว่า ฟังที่พ่อเทศน์มันใหญ่กว่านั้น เราเล็กนิดเดียว พ่อครูว่า… ไอ้นั่นเรื่องกิเลสตัณหา แลนด์สลงแลนด์สไลด์ _ดร.สุริยะใส ว่า… พาทำแต่เรื่องอุ๊งอิ๊ง เรื่องพิธา มันวนเวียนอยู่อย่างนั้น ผมยังไม่เห็นโพลไหนถามว่าเอเปคมีเรื่องอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ต่อคนไทย มีเรื่องอะไรที่เราต้องผลักดันต่อ ไม่มีโพลไหนทำนะครับ มีแต่โพลแข่งกันว่า ใครจะเป็นนายกต่อ ซึ่งพรรคพวกกัน ผมก็สื่อสารกันอยู่ว่าน่าจะทำเรื่องอื่นบ้าง มันยังไม่ถึงเวลาหรอก เลือกตั้งก็ยังอีกนาน แต่ผมคิดว่า ในบริบทของโลก ระบบระเบียบมันเปลี่ยนไป หรือภูมิรัฐศาสตร์ใหม่มันเกิดขึ้น บ้านเมืองเราก็น่าจะมองอะไรให้ไกลกว่าเดิมด้วย หลังเลือกตั้งจะได้พลเอกประยุทธ์กลับมาหรือไม่ ผมคิดว่า บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องเล็กด้วยซ้ำไป ถ้าเปรียบเทียบกับโลกใบใหญ่ที่พ่อท่านเตือนสติเราอยู่ dynamic บางอย่างเราต้องตามให้ทัน เพื่อไม่ตกเป็นหลุม เป็นทาส เหมือนที่ผ่านมา ซึ่งอันนี้ผมเห็นด้วยแล้วผมก็รู้สึกว่า สถาบันการศึกษาหรือกระทั่งนักการเมืองพูดเรื่องนี้กันน้อยมาก จะมีแต่แลนด์สไลด์ จะพาทักษิณกลับ แทนที่เราจะพูดให้ชัดเราควรจะทำอะไรต่อ เราพูดกันน้อยไปหน่อยว่าทิศทางเราควรไปอย่างไร ต้องขอกราบนมัสการและขอขอบพระคุณพ่อท่านที่เตือนสติ แล้วก็พูดเรื่องนี้ให้พวกเราได้ฟัง ได้เห็น ซึ่งผมคิดว่าเราไม่ค่อยได้ยินคนพูดเรื่องนี้กันเท่าไร มันเป็นแต่เรื่องของนักวิชาการ แต่คนที่ปฏิบัติการทางสังคม เป็นกลุ่มที่ทำงานเพื่อชุมชน พูดเรื่องนี้น้อยไปหน่อย พ่อครูว่า… อาตมาขอบอกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่อาตมามองพลเอกประยุทธ์ว่า อันนี้ดีมาก อันนี้เป็นประชาธิปไตย อันนี้เป็นอิสรเสรีภาพสมบูรณ์แบบ คือ พลเอกประยุทธไม่เข้าเป็นสมาชิกของพรรคใดๆ ยืนหยัด ยืนยัน แล้วเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีพรรค นี่เป็นประชาธิปไตยที่ absolute ที่สุด ultimate ที่สุด นี่แหละประชาธิปไตยที่แท้ และก็สามารถทำงานมาได้ อยู่ในกรอบกฎหมายเก่าอ้างว่าจะหมดเวลาเท่านี้ รองนายกฯวิษณุก็ออกมายืนยันว่า 8 ปีแล้วหมด ไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นได้แล้วอะไรในกฎหมาย อาตมาเห็นว่าถ้าแก้ กม.ตัวนี้ได้ ไม่ใช่ว่าจะเอาแค่ 8 ปี แต่ถ้าเอาตัวบุคคลและผลงาน และแถมประชาชนยังต้องการอยู่ด้วย ตัวบุคคลเอง ผลงานดี ประชาชนก็เห็นด้วยต้องการด้วย แค่ 3 เส้าแค่นี้ พลเอกประยุทธ์ก็เป็นคนที่อาตมาเห็นว่าเป็นคนที่สมควรได้ทำงานต่อไป แต่ถ้าไม่แก้พลเอกประยุทธ์ก็ไม่ได้ทำงาน ก็ทำงานแค่ข้างเคียง อาจเป็น รมต. กลาโหมอยู่เท่านั้น ซึ่งก็ไม่เต็มที่ ก็แล้วแต่ อาตมาก็ดูว่าประเทศไทยจะยังไงต่อไป อาตมาไม่ได้ไปร่วมไม้ร่วมมือกับเขาหรอกการบริหารประเทศ อาตมาทำตามประสาอาตมา จะมีคนฟังบ้างด่าบ้าง คนด่ามากกว่าคนเห็นด้วย อาตมาทำอยู่ทุกวันนี้ ก็ไม่ได้ท้อแท้อะไร ไม่ได้ย่อหย่อน เพราะอาตมาเข้าใจอยู่แล้ว ในยุคนี้ อาตมาทำได้เท่านี้ อาตมาก็คิดว่าได้กำไรเยอะแยะแล้ว อาตมาว่าไม่ได้ขาดทุนอะไรเลย แม้ว่าอาตมาจะแพ้ๆๆๆ ยังไม่ชนะเลยก็ตาม แต่อาตมาก็ยังเห็นว่าอาตมามีอัตราการก้าวหน้ารายทาง เท่าที่อาตมาทำงานมา 50 กว่าปีมีการก้าวหน้ารายทางอยู่ ทั้งที่สังขารร่างกายทุกวันนี้ควรตายได้แล้ว ก็มันย่ำแย่แล้ว มันเกินอายุขัยของอาตมา ผ่านมาตั้ง 1 นักษัตรแล้ว จะพยายามลากให้ไปถึงนักษัตรที่ 2 ถ้าหากอายุ 96 เมื่อไรก็เข้านักษัตรที่ 2 ก็ลากขันธ์อยู่นี่ ตามพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าด้วยว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้กับพระอานนท์ว่า ตถาคตจะอายุถึง 1 กัปป์เหลือเกินกว่ากัปป์ไปอีกก็ทำได้อานนท์ อาตมาก็พิสูจน์เรื่องนี้ ที่พระพุทธเจ้าตรัส แล้วก็เห็นว่ามันเป็นไปได้จริง อาตมาคิดว่าจะอยู่ถึง 96 แม้ตอนนี้ก็กำลังจะ 90 แล้ว ยังแข็งแรงทุกวันนี้ แม้จะรู้สึกว่าสรีระส่วนรวม มันแย่ มันจะไม่ให้หายใจ ไม่หายใจมันก็ตาย เชื้อโรคไม่ต้องมากหรอก ถ้ามันไม่ให้หายใจก็ตายแล้วคนเรา ภายในเวลาไม่กี่นาทีก็ตายแล้ว ก็อาจจะเป็นโรคอย่างนั้น โรคที่จะไม่ให้หายใจทุกวันนี้ แต่ก็พยายามที่จะแก้ไข แต่มันสุดวิสัยที่จะแก้ไข ก็พยายามไป สรุปแล้วอาตมาก็อยู่กับโลก อยู่กับมนุษยชาติ อาตมาเป็นโพธิสัตว์เข้าใจเรื่องโพธิสัตว์ ประเทศไทยอยู่ในตำราของพระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นตำราของพวกฤาษี ไม่ใช่พวกประชาธิปไตย เป็นพวกฤาษี เป็นพวกเชน เป็นพวกพระป่า อยู่ป่า เมืองไทยก็ยังนิยมพระป่ากันอยู่ อย่างโพธิรักษ์นี้เขาไม่เอา เขาว่าไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่นิพพาน ไม่ใช่อาริยะ อย่างที่อาตมาถูกต่อต้านมาแล้ว แต่อาตมาก็อยู่ได้เพราะธรรม ธัมโมหะเว รักขติ ธัมมะจาริง อาตมาอยู่ได้เพราะธรรมรักษาอาตมา ทำตามธรรมะพระพุทธเจ้าก็อยู่ได้ จนกระทั่งแม้แต่กฎหมายก็หมดไป จะให้อาตมาทำงานกับมนุษยชาติต่อไปตามกำลัง ตามที่จะลากสังขารไปได้ ก็ดีนะทำให้อาตมา พยายามจะให้มีอายุขัยยืนยาวแม้จะเป็นรูปธรรม มองเห็น โดยมีการใช้หลัก 8 อ. เขาก็ใช้กันอยู่ ใช้ได้ นอกนั้นก็ทำนามธรรมเป็นหลัก ที่อาตมาทำงานอยู่ทุกวันนี้ เป็นเรื่องนามธรรมเป็นหลักเป็นเรื่องจิตเจตสิกรูปนิพพาน และจะสาธยายต่อไปอีกเท่าที่จะทำได้ ทุกวันนี้เทคโนโลยีมันก็เก็บไว้ได้หมด เก็บที่อาตมาพูดอาตมาเขียน เก็บไว้ได้หมดอยู่แล้ว อันนี้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติต่อไปในอนาคต อาตมาตายไปแล้วนั่นแหละ สัก 100 ปี 200 ปีมั้ง คนถึงจะนึกออกว่า อ้อ..อันนี้มีบันทึกเก็บไว้เป็นของโพธิรักษ์ว่าไว้ 100 ปี 200 ปี 300ปีที่แล้ว เขาจะค่อยๆได้เห็น เพราะฉะนั้นในยุคนี้อาตมาไม่มีทางที่จะได้รับความยอมรับ จะเชิดหน้าชูตาเป็นที่ยอมรับของคนจำนวนมากจำนวนกว้างอะไร อาตมารู้ดีว่าอาตมาไม่ได้หรอก อาตมาต้องตายก่อน ในสิ่งที่บันทึกไว้นี้ มันก็เป็นไปได้ เป็นไปเอง เหลือเวลานาทีเดียวตอนนี้ ใสมีอะไรไหม _ดร.สุริยะใส ว่า… เป็นความโชคดีที่ผมได้สนทนากับพ่อท่าน จริงๆแล้วเรามีเรื่องมากมาย การจะได้พบปะพูดคุยกับพ่อท่านในเรื่องยาว ในหลายเรื่องน่าจะได้ประโยชน์ มีโอกาสผมอยากจะขอประสานพูดคุยอีก โดยส่วนตัวผมเห็นว่ารายการแบบนี้ดีมากๆ แล้วก็หาไม่ได้ง่ายๆในทีวีกระแสหลัก ทีวีกระแสหลักก็เป็นทีวีที่บางทีเป็นทีวีที่นำเสนอความขัดแย้งนำเสนอการเผชิญหน้ากันจนบางที ไม่ได้ให้สติกันเลย คนที่อยู่ภายใต้แสงไฟที่สาดส่องที่รุ่มร้อน แล้วมาพูดคุยสนทนากับพ่อท่านที่แบกสติมาเต็ม ที่มาเตือนเรา ผมก็อยากให้จัดไปเรื่อยๆ แล้วเชิญคนอื่นๆอีก ซึ่งถ้าจะให้ผมประสานใคร ผมก็ยินดีครับ ผมประสานพี่แซมดิน อยากให้เจอกลุ่มนั้นกลุ่มนี้แล้วได้ไปคุยกันที่วัดก็ยิ่งดี พ่อครูว่า… สรุปวันนี้ก็คงหมดเวลาพอดี ขอบคุณดร.สุริยะใส กตะศิลามาในวันนี้ ในรายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ที่เป็นแขกมาในรายการของเราก็เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ก็ขอบคุณมาก ที่เราได้สื่อจากใจ จากใจใสด้วย จากใจอาตมาด้วย ที่สื่อออกไปสู่สังคมสาธารณะ มันเป็นประโยชน์ไม่น่าจะเป็นโทษนะ น่าจะเป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติบ้างไม่มากก็คงจะน้อย ก็ขอบคุณทุกคน ขอจบรายการเพียงเท่านี้ เจริญธรรมทุกคน Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin21 พฤศจิกายน 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:651118 ชีวิตหนอพอ อยู่พอกิน เพราะมีอาหาร 4 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯNextNext post:651123 งานโพธิบูชากตัญญู ครั้งที่ 3 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024