651114 รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูพบอาจารย์หมอเขียวและทีมงานแพทย์วิถีธรรม ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1X_cX15Yo3FtdxeMt3Ty6ufoeHAq_mmUEaJesdeNAu7g/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1ApGrJTAsMHXoTwByDeNkj9uJOF9FRAdA/view?usp=share_link ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/C_sYPatyWjk และ https://fb.watch/gN_1Y8VdmH/ พ่อครูว่า… วันนี้วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 6 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล วันนี้รายการ ต้องเรียกว่าเป็นรายการครั้งที่ 1 ก็ได้นะ หรือเป็นครั้งที่ 2 รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งแรกพบกับคุณจตุพร พรหมพันธุ์ กับ คุณทนายนิติธร เป็นครั้งที่ 2 ที่มาเป็นผู้ที่ได้ร่วมในรายการ ที่ได้โอภาปราศรัยสนทนาคุยกันตามประสา มาวันนี้มีอาจารย์หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจน มาร่วมสำหรับวันนี้ คราวหน้าผู้ติดต่อเห็นว่าจะเป็น ดร.สุริยะใส กตะศิลา ก็ดีก็ปรับทุกข์ปลุกธรรมกันไป คุยกันไป ถ้าว่าไม่มีใครคุยด้วยก็ปลุกธรรมกันอย่างเดียว ก็มีอันใดที่จะโอภาปราศรัยไหม หมอเขียว _อ.หมอเขียว-ใจเพชร …ครั้งนี้ผมได้พาพวกเราชาวแพทย์วิถีธรรมมาช่วย Big cleaning Day พ่อครูว่า… ก็ขอบคุณมาก _อ.หมอเขียว-ใจเพชร…ตอนนี้กลับไปบ้างเหลืออยู่ที่นี่ประมาณ 50 คน ก็จะได้ประสานผู้ที่อยู่ต่างประเทศมาสมทบกันอีก เสร็จจากงานนี้ว่าจะกลับไปทำภารกิจตามที่ได้วางแผนไว้ แต่เมื่อมาเจอสถานการณ์ชัดๆ ก็เห็นว่าพื้นที่ราพณาสูร ไม่เหลืออาหารการกินเลย ประเด็นที่สองคือเห็นว่าพี่น้องที่บ้านราชธานีอโศกออนล้ากันเป็นส่วนใหญ่ เก็บข้าวของก็จะหมดแรงกันแล้ว ก็เห็นว่าสถานการณ์ที่ยากลำบาก สถานการณ์ที่เดือดร้อน เป็นสถานการณ์ที่จำเป็นที่สุดสำคัญที่สุด เป็นประโยชน์ที่สุด ที่เราจะได้ช่วยกัน ในยามยาก ก็เลยมีความคิดว่าบางทีตอนเราที่มีชีวิตปกติพบกันบ้างไม่พบกันบ้างก็ไม่เป็นปัญหา แต่ในยามยากลำบากเป็นยามที่ชีวิตต้องมาช่วยกัน เป็นกาละที่คิดว่าจำเป็นสำคัญที่สุดที่จะได้ช่วยกัน ก็เลยยกเลิกอะไรหลายอย่างที่เรายกเลิกได้ นอกจากอันที่สำคัญที่นัดหมายไว้อย่างเช่น ค่ายสุขภาพที่นัดไว้เอาไว้แล้ว อันนี้ก็ยกเลิกไม่ได้ และที่ภูผาฟ้าน้ำมีทางคณะของพระสงฆ์ ท่านจะเดินทางมาดูงานที่ภูผาฟ้าน้ำ เราปฏิเสธอย่างไรท่านก็จะมาดูงานให้ได้ก็เลยต้องจัด นอกนั้นกิจกรรมอื่นก็ยกเลิก ค่ายสุขภาพเดือนธันวาคม เราก็จะมาระดมช่วยกันที่นี่ถึงงานปีใหม่ ถ้าไม่ได้มาช่วยกันที่นี่จะหนักมากเลยทีเดียว จะได้ช่วยกันแบ่งเบากันได้ สิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คือสัมมาสัมโพธิญาณ(ท่อน 1) พ่อครูว่า… ดี มีน้ำใจ อาตมาเองระลึกถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านมีพระปรีชาสามารถในความรู้ความฉลาด ที่ยิ่งใหญ่ ที่เข้าใจความเป็นคน เข้าใจความเป็นสังคมมนุษย์ เข้าใจถึงพฤติการณ์ ที่มนุษย์ควรจะมีควรจะเป็น อันนี้เป็นความตรัสรู้สิ่งที่สุดยอดในเรื่องของอะไรก็แล้วแต่ เกิดมาเป็นคนแล้วไม่มีความรู้อะไรที่จะยิ่งยอดกว่านี้ สำคัญที่สุด ยิ่งยอดที่สุด เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญตนมา จนกระทั่งได้เป็นผู้ที่ท่านตรัสรู้แล้วว่าสุดยอดแล้วในความเป็นคน ไม่มีความสูงไม่มีความเจริญของในความเป็นคนและเป็นความเป็นมนุษย์ยิ่งกว่าได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีสัมมาสัมโพธิญาณเป็นความตรัสรู้ที่ยิ่งใหญ่ และท่านก็ได้สิ่งนี้เป็นสิ่งนี้เป็นที่สุดชีวิตสุดท้าย ของพระพุทธเจ้าเอง ท่านก็ทำงานเรื่องนี้เป็นสำคัญ ไม่ทำงานเรื่องอื่น ซึ่งไม่ได้หมายความว่าท่านไม่มีความรู้เรื่องอื่นหรือไม่มีความชำนาญในเรื่องอื่น ท่านชำนาญหมด ในความเป็นพระพุทธเจ้านี้ ความรู้ความสามารถที่มนุษย์พึงมีพึงเป็นทุกแขนง ทุกแบบ ทุกทฤษฎี ท่านรู้หมด เท่าที่โลกเขามีในยุคนั้นที่ว่ามีสำนักตักกศิลา ที่ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยของโลกในยุคโน้น ท่านเรียนหมดจบหมด ได้เกียรตินิยมหมดทุกแขนง สุดท้ายท่านมาเอาอย่างเดียว อาตมาต้องการชี้ประเด็น ชี้ความหมายที่สำคัญที่สุดก็คือว่า เกิดมาเป็นคนมันไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่าความรู้ที่รู้ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เรียกว่าโลกุตรธรรม มันไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่านี้ คนในโลกนี้ ต่อให้มีความรู้แยกเป็นเศรษฐศาสตร์ แยกไปเป็นการเมือง รัฐศาสตร์ แยกไปเป็นศาสตร์ต่างๆ จนกระทั่ง ศาสตร์ในการทำอบายมุขต่างๆ ศาสตร์ในการบันเทิงเริงรมย์ ศาสตร์ในการเอาชนะคะคานกัน ในมุมเหลี่ยมไหนก็แล้วแต่ มันไม่ได้เรื่องทั้งนั้น พอมาเอาสาระว่า มาสร้าง สร้างวัสดุ ความรู้ทางเทคนิค เป็นเครื่องกินเครื่องใช้ เครื่องกินทางกสิกรรมสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร ก็ดีขึ้นมากว่าความรู้ที่มอมเมาแล้วเลอะเทอะ ที่ท่านแบ่งไว้ 2 อย่างใหญ่ๆคือ ขิฑฑาปโทสิกะ กับ มโนปโทสิกะ ขิฑฑาปโทสิกะ ก็คือ สนุกรื่นเริง เร้าใจ สนุกสนานมาก คือกามเป็นโทษ ความเป็นโทษจากการไประเริงในความสนุกสนาน มโนปโทสิกะ คือ ความเป็นโทษของการไม่รู้จักจิต ไม่รู้จักมโน แล้วก็ไปแสวงหา ไปปฏิบัติประพฤติกับมโน ที่มิจฉาทิฏฐิกัน เป็นเดียรถีย์เป็นอะไรกันไปหมด ไม่เข้าใจความเป็นคุณแท้ๆ ของจิต ทางจิต อันนี้ก็เจริญกว่า ขิฑฑาปโทสิกะ ขิฑฑาปโทสิกะ ยังร้ายแรง ยังหลงเลอะๆเทอะๆ แล้วเสียเวลาเกิดมาสูญเสียเวลาเปล่าด้วย เลวร้าย ซ้ำเติม ทำให้คนหลงเลอะเทอะไป แข่งกีฬา การละเล่น มหรสพ การพนัน ในอบายมุข 6 ครบ นั่นคือโลกมนุษย์ที่ไม่รู้จักอะไร อบายมุข 6 เดี๋ยวนี้ แข่งบอลเอาชนะระดับโลก ระดับลีก อะไรต่างๆ ยังไม่รู้เรื่องกันหรอก เสียเวลา เสียแรงงาน เสียทุนรอนไปทำอะไร มันไม่ได้มีอะไรเลย นอกจากกิเลสที่ มันจริงๆ เด็ดขาดๆจริง เตะเข้าโกล์ได้ที เลือดจะฉีด สงสัยสมองระเบิด เส้นเลือดจะแตกสักวัน เส้นประสาทแตกชักกันในสนามสักวัน อาตมาเชื่อว่าจะมีสักวันคอยดู มันดีใจมันตื่นเต้น มันสะใจ สุดยอดเลย ซึ่งมันไร้สาระมาก ทำให้กิเลสหนาไม่รู้กี่ชาติกี่ชาติ จมอยู่ในนั้น ซึ่งมันไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร แต่คนก็ไม่ได้ศึกษาไม่รู้เรื่อง ศาสดาทางเทวนิยมเขาก็ยังไม่รู้เรื่องเลย แต่พุทธเราชัดเจน อาตมา เป็นพุทธชัดเจน อบายมุข 6 นี้สุดยอด ที่เรียกว่า อบายมุข คือ หัวหน้านรก ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เรารู้เผินๆกัน แต่เขาก็ยังงมงายอยู่ในเรื่องอบายมุข 6 ดูดีขึ้นมาหน่อย หลงเลอะเทอะอยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จมงมงายอยู่อย่างนั้นไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในปางที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อรู้ตัวแล้วว่าเป็นพระพุทธเจ้า ท่านออกมาเลย ลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นผู้ที่มีทรัพย์ศฤงคาร มีเกียรติยศสรรเสริญมากมาย ก็เดินออกมา ทิ้งรองเท้าทอง เครื่องทรงกษัตริย์ ออกมานุ่งผ้า ห่มผ้า ที่เป็นผ้าห่อศพ เอามาย้อมน้ำฝาดห่ม คือทิ้งให้เห็นๆเลย เมื่อเห็นว่ามันไร้สาระ ท่านทิ้งให้เห็นๆเลย ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านเป็นผู้รู้ผู้ฉลาด ถ้าอยู่จะได้เป็นจอมจักรพรรดิ โอ้โห.. มีอาณานิคมอะไรอีกมากมาย ท่านไม่เอา ทิ้งออกมาอย่างไม่แยแสเลย แต่ลูกของท่านทุกวันนี้ยังจมอยู่ในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ดีไม่ดี ตั้งยศตั้งฐานะเป็นสังฆราช เป็นสมเด็จอะไรเข้าไปอีก ทำไม ไม่นึกถึงว่าพระพุทธเจ้า ก็นับถือท่านเป็นครูบาอาจารย์ เป็นศาสดาของตนด้วยนะ แต่ทำไมถึงได้ทำย้อนแย้งกับที่พระศาสดาทำ ชัดๆก็ยังไม่รู้เลย ยังไม่รู้ตัวเลย ยังจมอยู่กับลาภยศสรรเสริญ สุข ยิ่งเรื่องสุขนี้เป็นสุดยอด อันนี้แหละโลกุตระสุดยอด พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องสุขซึ่งมันคู่กับทุกข์ ท่านก็เอาเรื่องทุกข์มาให้เรียนรู้ซึ่งมันรู้ง่ายกว่าสุข ผู้ใดมีอารยธรรม เป็นอาริยะบุคคลมีความรู้อาริยะ จะรู้ในสัจจะอันนี้รวมเรียกว่า อาริยสัจ จะรู้ในสัจจะเรื่องนี้ นี่แหละคือเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และสอนเรื่องนี้ ในพระชนม์ชีพทั้ง 45 พรรษา สอนเรื่องทุกข์ เรื่องสุข แล้วก็ดับทุกข์ดับสุขให้ได้ เดี๋ยวนี้เพี้ยนกันไปจนกระทั่งว่า ไม่รู้ว่าทุกข์สุขเป็นอันเดียวกันเป็นมายา แล้วก็ให้แสวงหาสุขกัน จนกระทั่งไปติดยึดสุขในลาภยศ ในตำแหน่งยศศักดิ์ สรรเสริญ มีความสุขในเรื่องความรู้โลกียะ ที่สร้างกันขึ้นมา เป็นความรู้สารพัด โลกจินตา ก็นึกว่าเป็นความรู้ที่สำคัญ มนุษยชาติเขารู้กัน เราจะได้เป็นปราชญ์เป็นผู้รู้ เป็นพหูสูต ไปแปลพหูสูตผิดๆว่าเป็นผู้คงแก่เรียน เรียนหัวผุหัวพัง แล้วก็ได้ความรู้มาเป็น ปัญญาชนสยาม อะไรกัน โอ้.. ฟังแล้วก็เลอะเทอะ ไม่มีอะไรยิ่งกว่าการกำหนดรู้นามรูป ในอาหาร 4 (ตอน 1) ที่ประเด็นของผู้ที่ถามมา ในเรื่องของเครื่องอาศัย พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน ปุตตมังสสูตร เอาชื่อข้อแรกมาตั้งชื่อ คือเรื่องเนื้อลูก ปุตตมังสะเป็นเนื้อลูก ยังหลงใหล ถึงขั้นเอาเนื้อลูกมาเป็นอาหาร เครื่องอาศัยชีวิต เครื่องอาศัยชีวิตที่สำคัญ ท่านสรุปไว้ตรงนี้แหละ กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร และ วิญญาณาหาร สรุปไปแค่นี้แล้วลงท้ายอย่างที่ คุณสว่างแสง ขวัญดาวที่ ตั้งข้อสังเกตมาว่า พ่อครูคะ ในวิญญาณาหาร แม้ลูกจะเข้าใจได้บ้างแล้ว แต่ก็มีข้อสงสัยที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่ออาริยสาวก กำหนดรู้นามรูปได้แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว” นี้หมายถึงอะไรคะ พ่อครูว่า ….มันก็จริงนะ มันน่าข้องใจ มันน่าสงสัยว่า เอ๊ ก็รู้เรื่องวิญญาณ เรื่องนามรูป เป็นเหตุเป็นปัจจัยกับ วิญญาณ นามรูป เท่านี้ ทำไมมันสุดยอด รู้เท่านี้ก็ไม่ต้องไปรู้อะไรอีกแล้ว แล้วมันจะได้หรือ? มันต้องมีนัยยะสำคัญที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ว่าจริงนะ ถ้าใครรู้นามรูปของวิญญาณ จบ ขยายความ อิทัปปัจจยตา ของวิญญาณ คือ นามรูป นามรูป เป็นปัจจัยของวิญญาณ อยู่ใน ปฏิจจสมุปบาท 11-12 เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดเข้าใจนามรูป และเข้าใจว่าเหตุปัจจัยคือภาวะ 2 นามกับรูป ที่เป็นเทวะ ที่อาตมาสรุปแล้วว่า มันไม่มีอะไรนอกจากนี้ ถ้าคุณเข้าใจ เทวฺ ที่เป็นภาวะ 2 และภาวะ 2 นั้น ของมนุษย์ต้องมีนาม ถ้ามนุษย์มีจิตวิญญาณ มีจิตนิยามเป็นนามธรรม แล้วจึงเกิดปฏิภานปัญญาความรู้หรือ วิชชา ไปรู้ อะไรต่ออะไรได้หมดจากภาวะ 2 นี้เอง จากเหตุ ปัจจัยนี้เอง เพราะฉะนั้นถ้าขยายเหตุปัจจัย พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ อวิชชาเป็นเหตุ จึงไม่รู้สังขาร สังขารเป็นเหตุจึงไม่รู้วิญญาณ วิญญาณเป็นเหตุจึงไม่รู้นามรูป นามรูปเป็นเหตุจึงไม่รู้อายตนะ อายตนะ เป็นเหตุเพราะไม่รู้ ผัสสะ ผัสสะเป็นเหตุจึงไม่รู้เวทนา เวทนาเป็นเหตุจึงไม่รู้ตัณหา ตัณหาเป็นเหตุให้ไม่รู้ ภพ ภพ เป็นเหตุให้ไม่รู้ ชาติ จากนั้นจึงเป็นผลที่เป็น โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ นี่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ขอขยายความแต่คงจะไม่หมด ที่คุณสว่างแสง ตั้งข้อสังเกตมา ว่า วิญญาณ ที่ว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้แล้ว ที่ว่า อาริยสาวกกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว ในความเป็นวิญญาณาหาร กำหนดรู้นามรูปได้ก็เป็นอันจบกัน วิญญาณาหาร เป็นองค์รวมแห่งความรู้ความฉลาดทั้งหมดในทั้ง 4 ข้อมา เพราะฉะนั้นต้องไปเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่ข้อที่ 1 มันเป็นเบื้องต้นเป็นความ หยาบที่ต้องเรียน ใช้คำว่าต้อง เป็นคำ Command เป็นคำเชิงบังคับ จะต้องไปเรียนรู้ ถ้าไม่เริ่มต้นจากการเรียนรู้กามตัณหา ที่เกิดจากชีวิตของคนมีภายนอก กับภายใน 2 สภาวะหรือ เทฺว คู่เอก ภายนอกกับภายในด้วยศัพท์วิชาการกันดีว่า กาย กายไม่ขาดกันเลย ระหว่าง ธาตุรู้กับภายนอก กับวัตถุกับความเป็นโลกกับความเป็นภายนอกตั้งแต่ “อวกาศ” กระทั่งมาถึง “ปกาศ” อวกาศ นั่นคือสิ่งที่มันบางเบา กระจายอยู่ ทั่วมหาจักรวาล ส่วน ปกาศ คือสิ่งที่จับต้องได้เป็นเนื้อเป็นตัวอยู่แล้ว เป็นองค์ประกอบ ขึ้นมาแล้ว ที่คุณจะต้อง รู้หรือเรียนรู้ รู้หรือเรียนรู้ เป็นองค์ประกอบรวมตั้งแต่ หยาบ กลาง ละเอียด เพราะฉะนั้นในพยัญชนะ วรรค 5 นี่ ป ผ พภ ม คือ เรียนรู้ไปเป็นลำดับ ป คือ องค์รวมทั้งหมด ต้องเป็นตัวตนอะไรขึ้นมา ผ ก็คือโผฎฐัพพะหรือผัสสะ พ จะต้องรู้อาการพฤติกรรมของมัน พะ พะ ต้องรู้ความเจริญของ ภ ภ ความเจริญทั้งหมดของ ป ผ พ ม ถ้ารู้หมดเลยตั้งแต่ ป ถึง ภ ตัว ม คือจิตวิญญาณ มม คือคนที่หลงจิตวิญญาณเรียนรู้จิตวิญญาณอย่างมิจฉาทิฏฐิก็เป็นมมังการ คืออาการผยอง ถ้าใครเรียนรู้ได้ดีก็เป็น มย เป็นความสำเร็จเป็นตัวเองที่สมบูรณ์แบบ อย่างนี้เป็นต้น อาตมาพยายามอธิบายโดยอาศัยพยัญชนะประกอบกับสภาวะที่เป็นสภาวะของ ธรรมะ สภาวธรรม ที่ลึกซึ้ง ที่อาตมาพูดนี้ คนอาจจะฟังแล้วบอกว่าไม่เคยได้ยิน เขาก็เรียนแต่ ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ไปโน่น แล้วอธิบายโดยอาจารย์ของอาจารย์ขยายความไป ให้ดูมีความรู้ขยายให้พิสดารเฟื่องฟูมา ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสโดยสำนวนของท่านว่า ผู้รสจนายุคใหม่ ก็จะเติมแต่งเป็นความไพเราะ เป็นความอร่อยขึ้นไปใน อาณิสูตร เนื้อหาสาระแท้ๆมันหมดไปจากโลกุตรละ เมิ้ดจ้อย เมืองไทยมีอิสรเสรีจริงยิ่งกว่าสหรัฐอเมริกา เมิ้ดจ้อย คำนี้ ฟัง มาร์ตินวีลเลอร์เป็นคนพูด เขาเป็นชาวอังกฤษมาเป็นคนไทยแล้ว มาเป็นคนอีสานด้วย พูดไทยภาษาอังกฤษอ่านว่า เมิ้ดจ้อย อาตมาเตรียมคลิปเรื่องหนึ่งเตรียมไว้ เลยอยากพาดพิงไปถึงอันนี้ ในโลกถือว่ามีประเทศอังกฤษที่ ถือว่ามีความรู้มีวุฒิอะไรก็แล้วแต่ มานาน ตั้งแต่อดีตจนถึงบัดนี้ยังรักษาสภาพได้ดีอยู่ จนกระทั่งแยกเป็นอเมริกาแล้วก็เลยมีประเทศที่มีแขนงออกไปจากอังกฤษ แล้วก็ไปเกิดลัทธิแก้ หรือลัทธิแปลง จากอังกฤษไปเป็นลัทธิของอเมริกา ชาวอเมริกันเอง คลิปอันนี้ ลองเปิดให้ดูแล้วจะรู้ว่า นี่คือชาวอเมริกันคนหนึ่ง ซึ่งอาจจะไม่ใช่คนอายุมากเขื่องหรูอะไรหรอก แต่เขาก็เป็นชาวอเมริกัน เขามีความเห็นอย่างไร ในความเป็นสหรัฐอเมริกา ซึ่งคุณเปลวสีเงินก็บอกว่าไม่ใช่ชาติเป็นแค่สหรัฐ สหรัฐอเมริกาไม่ได้เป็นชาติอะไรเลย ไม่ได้เป็นประเทศเป็นชาติเป็นแค่สหรัฐ รัฐที่รวมกัน สหะ ก็จริง เขาก็ตั้งถูก เอาเลยลองเปิดมาให้ดู (เปิดคลิป นายแตงโม ที่เป็นชาวสหรัฐอเมริกา(รัฐแคลิฟอร์เนีย) ที่มาอยู่ประเทศไทยไม่ได้กลับอเมริกามา 4 ปีแล้ว ต่อมาได้กลับไปอเมริกา 2 เดือน แล้วกลับมาเมืองไทยจึงมาเล่าให้ฟัง ว่าเขาไม่มีความหวังในประเทศของเขาแล้ว https://youtu.be/UU3UM5rz7Nc ) พ่อครูว่า… นี่คือชาวอเมริกันพูดถึงประเทศของตัวเองสู่ฟังอย่างจริงใจ เขาก็ไม่ใช่เป็นคนไม่มีปัญญา มีปัญญามีปฏิภาณแน่นอน อาตมาก็เห็นตรงกันเลยกับที่เขาพูดว่า โอ้โห แล้วคิดดูซิแล้วคิดดูซิ ในโลกนี้เขานับถือว่าเป็นประเทศที่เจริญ เป็นมหาอำนาจของโลก เป็นประเทศตัวอย่าง ถ้าขืนเข้าใจอย่างนี้นะว่าเป็นประเทศที่เป็นตัวอย่างของโลก แล้วเอาอย่าง ที่จริงเขาไม่ได้เป็นประเทศชาตินะเป็นแค่สหรัฐ รวมรัฐต่างๆเอาไว้ แต่ละรัฐ ก็มีวิธีบริหารของตนเองและเขาก็หลงเลอะเทอะไปกับความเป็นอิสระ ต้องให้แต่ละรัฐเป็นอิสระ เขาถือว่าเป็นเต้ย เป็นหนึ่งเป็นสุดยอดเลย ให้เสรีภาพ แต่แท้จริงปากว่าตาขยิบ เอาไปเอามาก็มีประธานาธิบดีรวบอำนาจเอาไว้อย่างเดิม แล้วเขาก็มีค่ายกลมีกลเม็ดต่างๆอีกซับซ้อน แล้วเขาไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ซับซ้อนเรานี้มันมีอยู่ เขาไม่ได้หมดไปตามที่เขาพูด อิสระแท้จริงไม่มี อาตมา ยกตัวอย่างหลายครั้งแล้ว เมืองไทยมีอิสรเสรีภาพกว่าอเมริกาเป็น 100 เท่า นี่ไม่ได้พูดเว่อร์ กฎหมายของอเมริกา หลักเกณฑ์วัฒนธรรมต่างๆเทียบกับไทย จะเห็นได้ว่าไทยมีอิสระกว่า วัฒนธรรมมีอิสระกว่า ของคนอเมริกันกับของคนไทย สรุปแล้วอย่างที่หนุ่มคนนั้นมาพูดว่าไม่สุขสบายเลย อยู่เมืองไทยสุขสบายกว่าเยอะ จริงที่สุด อาตมาเคยพูดถึงว่า ประชาธิปไตยของไทยดีที่สุดในโลก เขายกย่องกันว่า สหรัฐอเมริกาคือประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยประสาทปริญญาทางด้านรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ที่เป็นมหาวิทยาลัยใหญ่ๆของอเมริกา เขาก็ว่าอย่างนั้น แต่ของไทยนี้ดูเหมือนมันไม่มีค่า ไม่มีจุดสำคัญของสิ่งที่มนุษย์ยกย่อง ที่เป็น virtual เป็นความเสมือนจริง ลึกๆคือ เป็นความเสมือนจริง ไม่มีทั้ง สมมุติสัจจะ และปรมัตถสัจจะไม่ต้องพูดถึงเปลือก ถึงกระพี้ ถึงเนื้อ ถึงแก่น สะเก็ดก็ยังไม่มีเลย นี่คือความรู้ความเห็นหรือความรู้สึกของคนที่รู้สึกได้ อาตมาก็นำมาเป็นตัวอย่างที่จะสื่อหรืออธิบายให้คนเห็น ส่วนไทยนี้ มีอยู่อย่างสมบูรณ์แบบมีคุณค่ามากเลย สิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คือสัมมาสัมโพธิญาณ(ท่อน 2) ในคนในโลกสามัญ จะมี ความรู้ความสามารถความฉลาดที่เขามีกันแค่ว่า จะมีชีวิตสุขสบาย เพราะมีเงินทองข้าวของกินใช้มีมาก เป็นสุขสมใจ ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาไม่ว่าชาติไหน ศาสนาไหน ประเทศไหน เป็นความรู้สึกร่วม ที่มีเป็นสามัญปกติธรรมดาของคนทุกคน ทีนี้ ผู้ที่จะเป็นครูบาอาจารย์ ผู้ที่จะมีความรู้ความสามารถ มีความรู้ความฉลาดจนถึงขั้นเป็นศาสดาก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความฉลาดที่เหนือ กว่าคนธรรมดา จนกระทั่งคน ยกย่องให้เป็นอาจารย์ใหญ่เป็นศาสดาแต่ละลัทธิศาสนา และศาสนาทุกองค์ของเทวนิยมสอนให้คนเป็นคนดีอย่าให้เป็นคนชั่ว ผู้ที่สอนได้ สอนให้คนเป็นคนดีได้เป็นคนไม่ชั่วได้ แล้วความดีหรือความชั่วก็ตามแต่ละสังคม แต่ละกลุ่มหมู่ แต่ละประเทศสมมุติกันขึ้น อาจจะตรงกันบ้างในหมู่นั้นหมู่นี้ จนกระทั่งถึงหมู่ใหญ่ อาจจะแตกต่างกันน้อยบ้างมากบ้าง ที่สมมุติว่าเป็นความดี สมมุติว่าเป็นความไม่ดี แล้วเขาก็ประพฤติกันตามนั้น ที่จริงเขามีชีวิตกัน แสวงหาความสุขหนีทุกข์อยู่นะ แต่เขาเผลอเขาเผิน เขาไม่ระแวงว่าจริงๆแล้วเขาแสวงหาสุข ไม่ปรารถนาทุกข์ มากกว่าความดีความชั่วเหมือนกัน คนทั่วไป ทีนี้สุข สุขอะไร สุขเพราะมี ลาภ ทรัพย์ศฤงคาร เงินทอง ข้าวของ เพชรนิลจินดา มีร่ำรวยขึ้นอันดับทำเนียบ เชิดชูกันอยู่ทั่วโลกเลย ฟอร์ปรายงานทุกปี สำรวจกันทุกปี ถ้าอยู่ใน top ten มีจำนวนเท่าไหร่รายงานกันทุกปี ใครได้ขึ้นก็หน้า บาน ใครระดับตกละก็ต้องแก้ตัวให้ขึ้นไป จนตาย ก็งมงายอยู่กับสิ่งเหล่านี้ หรือแม้แต่ ตำแหน่ง ยศศักดิ์ สรรเสริญ ก็ปูนตำแหน่งยศศักดิ์กัน อย่างเกาหลีเหนือใช้ปูนบำเหน็จ ตำแหน่งยศศักดิ์เป็นเรื่องหลัก ยกย่องกัน ปรบมือ ใครได้เหรียญที เชิดชู ปรบมือกัน มันเป็นจิตวิทยา เป็นอุปาทาน เขาต้องใช้อย่างนี้เกาหลีเหนือ ประเทศชาติมนุษยชาติในโลกโลกีย์ทั่วไปเขาก็ใช้แม้แต่ประเทศไทยที่มีศาสนา พุทธโลกุตระ แล้วรู้ดีในเรื่องลาภยศสรรเสริญโลกียสุขแล้ว ไม่ได้ไยดี ขนาดนั้นคนไทยยังจมอยู่แม้แต่กระแสหลักยังต้องมียศมีศักดิ์ มีตำแหน่ง ต้องเป็นเจ้าคุณชั้นล่าง เจ้าคุณชั้นเทพ เจ้าคุณชั้นพรหม เจ้าคุณสมเด็จ จนเป็นสังฆราชเลย ไม่ได้ขว้างงูพ้นคอ คือ กบฏ ต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าท่านเคยมีหมด แต่ท่านเข้ามาเป็นสามัญทุกอย่าง ไม่ได้มีตำแหน่งยศศักดิ์อะไรเลย มีแต่ความจริงกับความรู้ความฉลาดความจริงที่เป็น โลกุตระภูมิที่ท่านมีสัพพัญญุตญาณ แล้วสัพพัญญุตญาณของท่าน ทวนกระแสกับสิ่งเหล่านั้นเลย ปฏิโสตัง ย้อนแย้งกับสิ่งที่ทั้งคนทั้งหลายยึดถืออุปาทานแล้วอยากได้แสวงหา ทวนเลย ทวนกระแส แล้วท่านก็ประสบผลสำเร็จ แล้วที่มันสำคัญก็คือท่านเรียนรู้เรื่องจิตเจตสิกรูปนิพพาน ท่านเรียนสิ่งเหล่านี้แหละ ซึ่งมันจะต้องมีเหตุปัจจัยให้อาศัย อาศัย อาลัย อาศัย เป็นวิสัย เป็นอนุสัย พยัญชนะเหล่านี้ หยิบมาใช้สื่อสภาวธรรม เพื่ออธิบาย ไม่มีอะไรยิ่งกว่าการกำหนดรู้นามรูป ในอาหาร 4 (ตอน 2) ใช้อาหารเป็นเครื่องยืนยันในอาหาร 4 ที่ พระพุทธเจ้า ท่านตรัส รวมไว้ 4 อาหาร พอถึงอาหารข้อที่ 4 ก็บอกว่า สุดแล้ว ไม่ต้องรู้อะไรนอกจากนี้ รู้วิญญาณาหาร อาหารของวิญญาณก็เรียนรู้จากรูปนาม สรุปได้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น คนที่ไม่เข้าใจเรื่อง รูป นาม ที่เป็นเหตุปัจจัยของวิญญาณในปฏิจจสมุปบาท ถ้าคุณไม่ รู้จักรูปนาม คุณก็ไม่รู้จักวิญญาณ คุณต้องเรียนรู้รูปนาม ทีนี้ รูปนาม ตั้งแต่หยาบที่สุด ท่านก็ให้เริ่มต้นตั้งแต่เบื้องต้นของพรหมจรรย์คือ กามคุณ 5 ที่เกิดจากการสัมผัสแล้วคุณก็มีกิเลสเรียกว่า เจตนา เจตนาที่เป็นกิเลส มโนสัญเจตนาหาร ซึ่งมีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ขออธิบาย มโนสัญเจตนาหาร มี กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตัณหาแรกคือ กาม ซึ่งคนจะต้องเรียนรู้เป็นเบื้องต้นก่อนทั้งนั้น จะเรียนรู้เรื่องกามตัณหาก็ต้องไปเรียนรู้จาก กวฬิงการาหาร เป็นตัวสำคัญ แล้วจะเรียนรู้ได้ต้องมีผัสสะ อาศัยผัสสะจึงจะเรียนรู้เรื่องกามได้ แล้วจะเรียนรู้ได้ต้องมีผัสสะ อาศัยผัสสะจึงจะเรียนรู้เรื่องกามได้ ศาสนาพุทธตกต่ำจนไปนั่งหลับตาไม่เรียนรู้เรื่องกาม กาม เกิดจากการสัมผัสภายนอก 5 ทวารแล้วเกิดจากอาการของกามตัณหา ต้องเรียนรู้อันนี้ก่อนแล้วเรียนรู้ให้ดีที่สุดคืออาหารการกิน รู้สิ่งที่สัมผัสเข้าทางปากแม้คุณจะไม่กิน เช่น หมากพลู คุณไม่ได้กลืนกินหรอกแต่คุณกิน มันกลืนกินไม่ได้หรรอก มันแรง สายหลับตา กินหมากอย่างมหาบัว ไม่รู้เริ่มต้นการผัสสะ อาตมาให้ศึกษามหาบัว เพราะมีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ มันมีความจำเป็นต้องพูดเพราะจะได้ประโยชน์มาก ลูกศิษย์เขาจะไม่ชอบอาตมามากนะ แต่อาตมาไม่กลัวหรอก คนไม่ชอบอาตมามันเป็นเรื่องความโง่ของเขาทั้งนั้น นี่ก็พูดตรงอีก ใครจะไม่เห็นว่าอาตมามีสิ่งที่น่านับถือ ฉลาดน้อยทั้งนั้น ก็แปลว่าโง่อยู่นั่นเอง จริงนี่พูดอย่างซื่อๆจริงใจ ไม่ได้มีมังกุ อุทธัจจะเก้อเขินอะไร เพียวๆ เป็นเรื่องจริงที่อาตมาพูดนี้เป็นเรื่องจริงไม่แฝงอะไรเลย โดยเฉพาะไม่แฝงสาเฐยยะ อยากอวดอยากโอ่ เขาไม่เชื่อก็ช่างศีรษะใครช่างศีรษะมัน ไม่เชื่อก็แล้วไป เพราะฉะนั้น เริ่มต้นรู้จัก ต้องมาเริ่มต้นเรียนรู้เครื่องอาศัยที่เรียกว่าอาหาร จึงจะรู้จักกามตัณหา และต้องเรียนรู้โดยมีผัสสะไม่มีผัสสะ ตาไปกระทบรูป หูไม่กระทบเสียง จมูกไม่กระทบกลิ่น ลิ้นไม่กระทบรส ผัสสะไม่มีสัมผัส 5 6 ก็คือใจร่วมด้วยกับสัมผัส 5 ภายนอกตลอดเวลาเป็น ปสาทรูป โคจรรูปและเป็นวิสยรูป ต้องมี ตาหูจมูกลิ้นกาย และมีใจทำงานร่วมอยู่ ประสาททั้ง 5 โคจระ เร่ิมทำงาน ดำเนินไปจนเกิดเป็น วิสยะ เป็นวิสัยของรูปของการ สัมผัสแล้วเกิดภาวะ 2 คือเป็นภาวะเอกกับภาวะรอง เอกคือ ปุริสภาวะ รองคือ อิตถีภาวะ เพราะฉะนั้นต้องทำให้เป็นหนึ่ง เอกสโมสรณา เรียนรู้อันนี้ได้จากเวทนา ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 สรุปแล้วพระพุทธเจ้าสรุปฐานที่จะปฏิบัติได้คือเวทนา แล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้ศึกษาอันนี้มันเหนือชั้นกว่าที่ศาสดาทุกศาสนาเขารู้ เนื่องจากเขาไปงมงายอยู่กับเรื่องดีและชั่วเท่านั้น ศาสนาพุทธไม่ได้ปฏิเสธเรื่องดีและชั่วต้องทำให้ได้ก่อน จนกระทั่งเป็นคนไม่ทำชั่วทำแต่ดี สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) สำคัญคือทำให้จิตสะอาดผ่องใส จิตสะอาดผ่องใส คือ จิตที่หมดกิเลสที่เป็นเหตุใหญ่ เมื่อกิเลสออกจากจิตหมด จิตก็สะอาดผ่องใส จิตก็เป็นอุเบกขา ซึ่งมีองค์ธรรม 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา อาศัย ตั้งแต่ ต้องรู้จักนามรูป คู่ 2 ที่จะต้องรู้ เรียน ถ้าคุณรู้นามรูปเป็น คุณก็จะเรียนรู้จักวิญญาณได้ คุณจะรู้จักวิญญาณได้คุณต้องเรียนจาก กวฬิงการาหาร เรียนจากเวทนา เรียนจากที่มันมีตัณหาตั้งแต่กามตัณหา ฟังตรงนี้ กามตัณหาก็ดี ภวตัณหาก็ดี วิภวตัณหาก็ดี ประกอบไปด้วยกาย ถ้าไม่มีกายไม่มีกาม ต้องเรียนรู้กายเป็นเบื้องต้น เรียนรู้กามเป็นเบื้องต้น ถ้าตัดลัด ไปนั่งหลับตาไม่ได้มีกายเป็นเบื้องต้น ไม่ได้เรียนรู้กามเป็นเบื้องต้นนั้นก็เป็นโมฆะ ถ้าคุณจะไปเรียนรู้จากจิตเก๊ เป็นสัมภเวสีไม่ใช่จิตที่เป็นปัจจุบันที่มีที่ตั้งทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไม่เป็นทิฏฐกาละ เป็นของจริง สัมภเวสีไม่ใช่ของจริง เป็นสัญญาจากความจำ ปรุงแต่งเป็นอะไรกันก็ได้ จากความจำ แต่ไม่เป็นความจริง ตาเราสัมผัสรูป หูสัมผัสเสียง จมูกสัมผัสกลิ่น ลิ้นสัมผัสรส กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งเป็น ทิฏฐิกาละ นี่เป็นความจริง ผู้ที่ไม่ได้เรียนรู้ความจริงไปนั่งหลับตาปฏิบัติเป็นพวกโมฆะทั้งนั้นเลย ไปปฏิบัติกับจิตสัมภเวสี จิตเก๊ ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสกับภิกษุ สาติ ถ้าเธอไปศึกษาแบบสัมภเวสี เท่ากับขุดตัวเอง ขี้ตู่ พระพุทธเจ้า เราไม่เคยสอนแบบนี้ ในประเทศไทยพุทธศาสนาไปนั่งหลับตาหนีออกป่าออกเขาออกถ้ำ ไปหลงสภาวะของจิตเก๊ ไม่ใช่จิตที่เป็นความจริง แต่เป็นจิตที่เป็นความจำ แล้วก็หลงอรหันต์เก๊เลย ว่า มันเก๊ใหญ่ เก๊ยกกำลัง ไม่ใช่คูณด้วยนะ เก๊ยกกำลัง หนักกว่าคูณ นี่ไม่ใช่ใส่ความแต่เป็นเรื่องจริงมันซับซ้อนเป็นความเชื่อผิดคูณ เชื่อผิดยกกำลัง เป็นความเชื่อผิดที่ยกกำลัง หนาแน่นเป็นปุถุ ไม่รู้กี่ชั้น อาตมาพูดอย่างนี้พวกหลับตาจะฉุกคิดสะดุ้งสะเทือนอะไรบ้างหรือเปล่า จะมีสักคนสองคนไหมหนอ ฝากความหวังไปกับสายลมหนาว ลมหนาวจะมาแล้ว ได้สักคนสองคนก็ดีหนอ ให้เขาเข้าใจและเลิกมาเลย อย่าไปงมงายอย่างนั้น อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้าสอนได้เต็มที่ ส่วนพระพุทธเจ้าท่านพูดอย่างอาตมาไม่ได้ เพราะท่านต้องอาศัยในยุคนั้น ต้องอาศัยคนในยุคนั้นแหละ เพราะฉะนั้นพูดอย่างเด็ดขาดอย่างอาตมาไม่ได้หรอก ท่านตีทิ้งอย่างนี้ไม่ได้ แต่อาตมาไม่ได้อยู่ในยุคนั้น กาละ เทศะ ฐานะ มันคนละเรื่องไม่เหมือนกัน อาตมาอธิบายพาดพิงไปหมดแล้ว ทีนี้มาดูรายละเอียด พระพุทธเจ้ายกอุทธาหรณ์ อาหารอันแรกหยาบที่สุด เป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์ต้องเรียนรู้เรื่องนี้ ล.16 ข้อ 63 (พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ) กวฬิงการาหาร จะพึงเห็นได้อย่างไร คือ เปรียบเหมือนภรรยาสามีทั้งสอง ถือเอาเสบียงเล็กน้อย เดินทางกันดาร๑-เขาทั้งสองมีบุตรน้อย ๑ คนทั้งน่ารัก และน่าพอใจ ขณะที่พวกเขากำลังเดินทางกันดาร เสบียงที่มีเพียงเล็กน้อยได้หมดสิ้นไป แต่ทางกันดารของพวกเขายังไม่ผ่านไปยังเหลืออยู่ไกล ลำดับนั้น เขาทั้งสองตกลงกันว่า ‘เสบียงที่เหลืออยู่เล็กน้อย ได้หมดสิ้นไปแล้ว แต่ทางกันดารยังเหลืออยู่ไกล ทางที่ดี พวกเราช่วยกันฆ่าบุตรน้อย ที่น่ารักน่าพอใจคนนี้เสีย ทำเป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง บริโภคเนื้อบุตร ก็จะข้ามพ้นทางกันดารที่เหลืออยู่ได้ เราทั้ง ๓ อย่าพินาศพร้อมกันเลย’ ต่อมา ภรรยาสามีทั้งสองนั้นก็ฆ่าบุตรน้อยที่น่ารักน่าพอใจคนนั้น ทำเป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง บริโภคเนื้อบุตรนั้นแหละจึงข้ามพ้นทางกันดารนั้นไปได้ พวกเขาบริโภคเนื้อบุตรไปพลาง ทุบอกไปพลางรำพันว่า ‘บุตรน้อยอยู่ที่ไหน บุตรน้อยอยู่ที่ไหน’ พ่อครูว่า… เพราะฉะนั้นคนพวกนี้ไม่ได้เริ่มเรียนตั้งแต่คุณติดยึดอะไร ติด รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสจากเนื้อ จากเนื้อ มันติดยิ่งกว่าพืช เพราะฉะนั้นจุดเริ่มต้นอันนี้คุณไม่มีปัญญาจะรู้ แล้วคุณจะเดินไปในทางไกลกันดารคือนิพพาน คุณจะเอาทรัพย์สมบัติทั้งโลกมาจ้าง ก็ไม่มีทางสำเร็จ ไม่มีทางเดินทางไปถึงได้ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร คือ พวกเขาบริโภคเนื้อบุตรเป็นอาหาร เพื่อเล่น เพื่อความมัวเมา หรือเพื่อตกแต่ง เพื่อประดับร่างกายหรือ” “หามิได้ พระพุทธเจ้าข้า” “พวกเขาบริโภคอาหารที่ปรุงจากเนื้อบุตรเพียงเพื่อจะข้ามทางกันดารให้พ้นหรือ” “ใช่ พระพุทธเจ้าข้า” “ภิกษุทั้งหลาย อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น เรากล่าวว่า ‘บุคคลพึงเห็นกวฬิงการาหาร (เปรียบเหมือนเนื้อบุตร)’ เมื่ออริยสาวกกำหนด๒- รู้กวฬิงการาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ราคะซึ่งเกิดจากกามคุณ ๕ เมื่อกำหนดรู้ราคะซึ่งเกิดจากกามคุณ ๕ ได้แล้ว สังโยชน์ที่เป็นเครื่องชักนำอริยสาวกให้มาสู่โลกนี้อีก ก็ไม่มี @เชิงอรรถ : @๑ ทางกันดาร ในที่นี้หมายถึงทางที่ข้ามยากและมีภัย ๕ อย่าง คือ (๑) ภัยจากโจร (๒) ภัยจากสัตว์ร้าย @(๓) ภัยจากอมนุษย์ เช่น พวกยักษ์ (๔) ภัยเพราะไม่มีน้ำ (๕) ภัยเพราะอาหารน้อย (สํ.นิ.อ. ๒/๖๓/๑๑๘) @๒ กำหนดรู้ ในที่นี้หมายถึงกำหนดรู้ด้วยปริญญา ๓ อย่าง คือ (๑) ญาตปริญญา การกำหนดรู้ขั้นรู้จัก @(๒) ตีรณปริญญา การกำหนดรู้ขั้นพิจารณา (๓) ปหานปริญญา การกำหนดรู้ขั้นละ (สํ.นิ.อ. ๒/๖๓/๑๒๔) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๖ หน้า : ๑๒๐} พ่อครูว่า…ท่านตรัสว่า เมื่อรู้ราคะอันเกิดจากกามคุณ 5 ได้แล้ว แล้วท่านไม่ได้ตรัสต่อว่าต้องปฏิบัติลดละจากราคะให้ได้ แต่ท่านตรัสว่า สังโยชน์ที่เป็นเครื่องชักนำอริยสาวกให้มาสู่โลกนี้อีก ก็ไม่มี เป็นคำสรุปที่บอกว่าสังโยชน์คือเครื่องร้อยรัดเกี่ยวเกาะคืออยู่กับกามคุณ 5 นี่แหละ ราคะเกิดจากกามคุณ 5 มันก็มีตั้งแต่ กามราคะ และมีรูปราคะ อรูปราคะ กามราคะเป็นเบื้องต้น รูปราคะเป็นเรื่องรอง อรูปราคะเห็นเรื่องเหลือสุดท้าย เหมือนคุณจะกินทุเรียน คุณก็ต้องเลาะเปลือกที่มีหนามออกก่อน นั่นคือเบื้องต้นที่จะได้กินเนื้อทุเรียน ถ้าคุณไม่เลาะเปลือกเอาหนามทุเรียนออกก่อน แล้วคุณจะไปกินเนื้อทุเรียน โดยหาวิธีอย่างไรก็แล้วแต่ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันเป็นเรื่องปลอมเก๊ นึกคิดเอาเอง มันไม่มีความจริงของสิ่งที่จะต้องเป็นไปตามลำดับ เมื่อคุณสามารถลดกามคุณ 5 เรียนรู้แล้วละล้าง ลดละมันได้จริงด้วยปัญญาอันยิ่ง อยู่เหนือกามคุณ 5 ได้คุณก็จะเหลือ รูปราคะ ซึ่งเป็นรูปาวจร กามวจรคุณก็เป็นไปได้ในโลกแห่งกาม ที่มันเกิดจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส คุณก็อยู่เหนือมันได้ กิเลสไม่มี มันจะจัดจ้านอย่างไร กามคุณ 5 มันจะเป็นเหตุยุแหย่อย่างไร หลอกล่อรุนแรง เก่งกาจขนาดไหน ผู้ที่มีการหลุดพ้นไปแล้ว เหนือกามราคะได้แล้ว ก็อยู่กับโลกนี้ ไม่ได้หนี เป็นอุตรธรรม เป็นธรรมะที่ ตรัสรู้โดยพระพุทธเจ้า ไม่หนี แม้แต่ เราจะปฏิบัติรูปาวจรต่อไป ก็ยังอยู่ในกามาวจรต่อไป ก็ยังอยู่ในอวจรอยู่ในโลกแห่งกามคุณ 5 ที่มันมีในโลก มันจะจัดจ้านสุดยอดในการหลอกล่อมนุษยชาติให้ตกเป็นเหยื่อเก่งขนาดไหนก็ตาม ไม่ได้หนีเลย แต่ที่เหลือเป็นรูปาวจร รูปราคะ คุณก็ต้องเรียนรู้ต่อ เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่ปอกเปลือกทุเรียนเลย จะไปกินเนื้อทุเรียนได้อย่างไร และคุณจะหายตัวไปกินได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้เขาดันทุรังไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมเข้าไปหา รูปาวจร อรูปาวจร ที่เป็นภพใน ดูถูกเปลือกทุเรียน ดูถูกกามคุณ 5 เขาไม่ได้ปฏิบัติในเบื้องต้น ที่เขาบอกว่าเขาได้กินเนื้ออยู่นั้นเป็นเรื่องปลอม เพราะเขาไม่ได้ปอกเปลือกออกเลย เขาจึงปากแดงเหมือนมหาบัว เคี้ยวหมากอยู่แต่เขาไม่รู้จักกามคุณ 5 แต่เขาไม่ได้ก็กินหรอกนะ เพราะมันกินไม่ได้หมากพลู แต่เขาติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของมัน โง่ไม่รู้กี่ชั้น มันไม่ใช่ของจริงแต่มันก็จริง ทั้ง รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เขาไม่รู้จักกามคุณ 5 มหาบัว อาจรู้ว่ากามหมายถึงเมถุน เกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงเท่านั้น เขาไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ อาจจะรู้อย่างนี้ อาตมาไม่รับรองนะ แต่เขาก็ไม่รู้จักกามคุณ 5 เขาไม่รู้ ฆราวาสก็ตาม ที่ติด รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสน้อย แม้จะมีผัวเมีย มีเพศสัมพันธ์ เขาก็ติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสน้อย แต่ผู้ที่ติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมาก เพศสัมพันธ์เขาก็จัดจ้าน เห็นไหม เพราะฉะนั้นเมื่อไม่เรียนรู้ให้ชัดเจนพวกนี้ไม่เริ่มต้นตั้งแต่เริ่มต้นของพรหมจรรย์แล้ว มันน่าสงสาร ไปหลงว่าเป็นพระอรหันต์อีก อาตมาพูดด้วยสุดสงสาร พูดความจริงจากใจชัดเจนที่สงสารทั้งความหมายทางปรมัตถ์ และความหมายของทางโลกที่สงสาร สงสารที่เขาน่าจะได้ดี ปรมัตถ์คือเขายังหลงวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร อาตมาพูดเหมือนลบหลู่ดูถูก แต่ไม่ได้มีจิตลบหลู่ดูถูกเลย หากอาตมาไปทำจะได้รับความชังจากลูกศิษย์ลูกหาของเขา แต่อาตมาไม่มีจิตดูถูกดูแคลน แต่อาตมากำลังแสดงสัจธรรม แสดงธรรมะ แต่คนไม่มีปัญญาจะรู้สึกว่าดูถูกอาจารย์เขา อาตมากำลังพูดธรรมะให้ชัดเจนโดยอ้างอิงยืนยันความมีตัวตนบุคคลเป็นมหาบัว คุณไปหลงมหาบัวเป็นอาจารย์ เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ฟังให้ดี มันเป็นสัจธรรมจริงมันเปรี้ยงๆเลยก็เลยดูแรง มันเป็นความผิด มันเป็นทุ ไม่เป็นสุ ก็เลยแรง ถ้าสุแล้วจะดีงาม อบอุ่น กว่าทุ เพราะฉะนั้นในอาหาร 4 พระพุทธเจ้าท่านตรัสยืนยันไว้ทั้งหมด ร้อยเรียงกันเลย ถ้าเรียนรู้ กวฬิงการาหาร คุณก็ต้องเรียนรู้จากกามคุณ 5 จากผัสสะ แต่ถ้าไม่มีกามคุณเบื้องต้น คุณก็ไม่ได้ศึกษา ชีวิตอย่างมหาบัวไม่ได้เริ่มต้นศึกษาเลยชีวิตเป็นโมฆะ เสียเวลาแล้วได้ความเข้าใจผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิหลงผิด ติดตัวไปด้วย อุตส่าห์มีชีวิตบวชตั้งแต่อายุน้อยจนกระทั่งอายุมากยังได้มิจฉาทิฏฐิได้ความ หลงตัวว่าตนเองเป็นชาติสุดท้ายแล้ว คืออรหันต์แล้ว ไม่เกิดอีกแล้ว ซึ่งมันหลงผิดไปหมด เพราะมันเชื่ออย่างนั้นของตัวเอง ก็เป็นความซับซ้อนของความไม่รู้ที่ตัวเองไม่รู้ซับซ้อน ติดไปชาติไหนๆ ซึ่งมันก็หนักกว่าเก่า ชาตินี้ไม่รู้ตายไปชาติหน้ามันก็จะเป็นความโง่ซับซ้อน ที่เป็นตัวตั้งต้น แล้วก็ไปหลงงมงายกับลิงลมอมข้าวพอง แล้วมีเบื้องลึกพ่วงแพของกิเลสเก่าที่นำพาไปอีก ถ้าไม่มาเรียนรู้ธรรมะเขาก็จะซับซ้อนในการแสวงหากาม ถ้าเขาไม่ได้บวชเป็นฆราวาสนะแต่ถ้าเขาบวชอีก เมื่อเขายังไม่มีสัมมาทิฏฐิ ยังเข้าใจผิดว่าที่ตนเองทำมาทุกอย่างนั้นยิ่งใหญ่ไปหลงอัตตา ไมรู้กามแต่สุดโต่งไปหลงอัตตา หลงภพชาติหลงสรรเสริญเยินยอ ลาภยศ ละเอียดนะมหาบัวหลงลาภยศ มหาบัวหลงว่าตนเองเป็นเจ้าของลาภช่วยประเทศชาติไว้ เพราะได้เรี่ยไรระดมทองคำ และดอลล่าร์ เข้ากองคลังเพราะฉะนั้นประเทศไทยอยู่ได้ด้วยทองคำ ของมหาบ้ว ได้สรรเสริญว่าตนได้ช่วยประเทศชาติ โดยเอาค่าของ พระพุทธเจ้า สาวก พระพุทธเจ้า ภิกษุไปเรี่ยไร ซึ่งผิดแล้ว นี่คือความซับซ้อนของความไม่รู้ เอาไปเข้าคลัง นึกว่ายิ่งใหญ่ อัตตาจึงใหญ่ จะหลงตัวหลงตนว่า ประเทศไทยของฉันนะ ฉันเลี้ยงไว้นะเหมือนกับทักษิณ เคยบอกว่า เขาเป็นคนเลี้ยงไว้ทั้งนั้น แม้แต่ชั้นสูงสุดก็เขาเลี้ยงเอาไว้ ใครเคยได้ยินไหมคล้ายกัน คือคนมันหลงตัวซ้อน ไม่รู้ความ โต่งไปไกลที่เป็นอันตา ที่สุดแห่งที่สุดมันไปเรื่อยๆ อันตา ไปหา กาม หาอัตตา ทางกามเขาไม่รู้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อาตมา นำตัวอย่างของปรากฏการณ์จริงตัวตนจริงมาอธิบายธรรมะ ก็ขอบคุณมหาบัวที่อาตมานำมาใช้เป็นตัวอย่างอธิบาย เพื่อที่จะอธิบายหรือชี้สัจจะได้ชัดเจน อาตมาก็ยอมให้ ลูกศิษย์ลูกหาเขาชังน้ำหน้าถือสา แต่อาตมาว่า จะมีลูกศิษย์ลูกหามหาบัวอยู่มาก แต่ว่าคนที่เป็นพุทธศาสนิกชนก็ยังมีมากกว่าที่นับถือมหาบัวแน่นอน คนที่มีปฏิภาณปัญญาพอจะรู้ และก็มองว่า ไปเรี่ยไรเงินเข้าคลังก็ดี เป็นเรื่องโลกๆอย่างหนึ่ง แต่มันไม่ใช่สาระสัจจะอะไรของนักบวชหรอก แต่ก็ต้องเข้าใจยอมรับในโลกเขาถือว่าดีก็ใช่ เราไม่ได้โง่ มันก็เป็นความสามารถแต่ก็ไม่ได้สามารถอะไรมากมายหรอก ไปเรี่ยไร 1.อ้างอิงประเทศชาติช่วยชาติ 2.อ้างอิงเบื้องสูงอีก อย่างนี้เป็นต้น คุณก็ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ อ้างชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไปช่วยชาติ แล้วก็เป็นภิกษุ เรี่ยไร อิงสถาบันเบื้องสูงหมด ชาติก็ระคายเคือง ศาสนาก็ระคายเคือง สถาบันก็ระคายเคือง แต่เขาก็ไม่รู้ไม่เข้าใจว่ามันระคายเคือง จะพระบาทห้อเลือดบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ระคายเคืองหรือเปล่า อาตมาสาธยายให้ความรู้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนอธิบายไปจะชัดเจนใช่ไหม อย่าไปคิดอ่านอย่างนี้ เอาเป็นเยี่ยงอย่าง มันซับซ้อน มองตื้นเหมือนดี แต่ในแนวลึกซับซ้อนมันแย่ ความจริงของสิริมหามายามันเป็น 2 สภาพซับซ้อน อันนึงดูดีๆ แต่มันแย่ๆ เข้าสู่สภาพสมัยใหม่ เหมือนอเมริกันเขาเข้าใจกันว่าดี แต่มันแย่ คนก็เห็นจริงใจ ตัวอย่างแค่คนเดียวก็เถอะ เขาไม่ใช่คนบ้าคนบอ เขามีปฏิภาณปัญญา เป็นคนปฏิภาณดีด้วย ไม่งมงาย เป็นคนตื่นรู้ โลกนี้ เพราะฉะนั้น โลกที่สมมุติกันอยู่ทุกวันนี้ไม่เข้าใจถึงเรื่องโลกๆ โลกียะ แล้วก็ยังยกย่องกัน ไบเดนไม่มาประชุม APEC ก็ช่างหัวประไร คนสหรัฐอเมริกา ปูตินก็ไม่มา ช่างหัวปูติน ปูตินนี้คนอำมหิตมาก แล้วเขาอยู่ได้ด้วยความอำมหิต เขามีความซับซ้อน เชิงชั้น ทำให้คนเกรงกลัว เขาจะครองอำนาจไป ปูตินกับสีจิ้นผิง อาตมาอ้างอิงสิ่งจริง คนจริงสถานการณ์จริง ปรากฏการณ์จริงของโลกอธิบายธรรมะฟังดีๆเถอะ อาตมาถามพวกคุณ ให้เลือกว่าคุณจะยอมรับนับถือสีจิ้นผิงหรือปูติน พวกเราก็ยอมรับนับถือสีจิ้นผิง ประเทศจีนคนตั้งพันกว่าล้านมากกว่ารัสเซีย แต่สีจิ้นผิงเขาจะสามารถบริหารอยู่ได้สงบดี แต่รัสเซียจะต้องแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ต้องรุกรานยูเครน แสดงอำนาจทางอาวุธทางการฆ่า มันคนละเรื่องเลย คนไม่ถึง 1,000 ล้านเหมือนกับประเทศจีนด้วย แต่เขาก็ต้องแสดงอำนาจกับคนในประเทศเขา ถ้าเทียบปูตินกับเกาหลีเหนืนือ เกาหลีเหนือดูร้ายแรง อำมหิตกว่าปูติน แล้วเกาหลีเหนือก็ปูนบำเหน็จรางวัลสร้างให้เป็นเกียรติยศ จะเห็นได้ว่าทหารของเกาหลีเหนือนี้เหรียญเต็มแผงอกเลย เป็นเสื้อเกราะกันกระสุนเลย แล้วเขาก็ยกย่องชมเชยกัน ส่งเสริมกัน เชิดชูกัน ลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นอำนาจใหญ่ เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจโลกธรรม แล้วไม่อาศัยอำนาจลาภ มีเงินทองเยอะ มีสมบัติพัสถาน วัตถุเยอะ คนนับถือ คนมีสรรเสริญ ได้รับคำสรรเสริญว่าเป็นคนดี เป็นคนประเสริฐอย่างนั้นอย่างนี้ได้ อิงอาศัยสรรเสริญ ไม่เอา ใครจะมาให้คำสรรเสริญยกยอเรามันเป็นเรื่องของเขา เขาจะให้ผู้ใดมันเป็นเรื่องของเขา ยังไม่พอยังหลงสุข เสพสุขเรื่องสรรเสริญ เสพสุขด้วยตำแหน่งยศศักดิ์ เสพสุข ด้วยลาภ ทรัพย์ศฤงคาร วัตถุต่างๆ ติดสุข อาตมา เกิดมาในชาตินี้ในเมืองไทย ศาสนาพุทธในเมืองไทยไม่ได้สอนให้เลิกความสุขนะ ให้เลิกแต่ทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนทุกข์อริยสัจ แต่เขาไม่รู้ว่าสุขทุกข์เป็นมายาที่เป็นอันเดียวกัน แยกกันไม่ออก แล้วต้องทำให้เป็น อทุกขมสุข คือไม่มีทั้งทุกข์ไม่มีทั้งสุข มันเป็นซินโนนีมของอุเบกขา แต่มันไม่ใช่อันเดียวกัน มันไม่ทุกข์ไม่สุข เพราะคุณทำจิตสะอาดจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน เกลี้ยงหมด หมดอาสวะ หมดอนุสยะ อาสวะ อนุ สยะ เล็กละเอียดกว่า ว ใน ย ร ล ว ย เป็นตัวที่ 1 เล็กละเอียด อนุสยะ เล็กละเอียดกว่า อาสวะ อนุ ก็เล็กละเอียดกว่า อา พวกเรามีสภาวะจึงเข้าใจพยัญชนะได้ดีด้วย เพราะฉะนั้นในเรื่องของ กวฬิงการาหาร ซึ่งต้องเป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์ที่ให้อาศัยจึงต้องอาศัยผัสสะให้เรียนรู้กิเลสตัณหา และอาศัยนามรูปในการศึกษา ภาวะ 2 รูป คือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือตัวรู้ ผู้รู้ ถ้าไม่มีนาม กายไม่มี รูปนามไม่แยกกันฉันใด ในคน นั่นนคือ นามรูปคือวิญญาณนามรูปก็คืออายตนะ ใน ปฏิจจสมุปบาท นามรูป มีเหตุมีปัจจัยของอายตนะ เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนรู้ จะสรุปรวมลงเป็นอายตนะ 2 เป็น 1 ก็เรียนรู้ อายตนะคือสภาพ 2 ที่มันเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันแล้วมีความแตกต่างกัน 2 สภาพมีความต่างกันทั้งนั้น ในระดับโพธิสัตว์ ระดับอภิภู จะเรียนรู้เรื่องอภิภายตนะ 8 ความแตกต่างระหว่างความละเอียดละออของ 2 สิ่ง จนกระทั่งถึงขั้นสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องอาศัยสีเปรียบเทียบความแตกต่างของเฉดสี ตั้งแต่สีน้ำเงิน เหลือง ดำ เขียว แล้วก็แดง แล้วก็เหลือง เบาลงไปแล้วก็ขาว เทียบความแตกต่างระหว่างเฉดของสี ผู้ใดสามารถแยกจิตวิญญาณ ออกได้จาก วิญญาณขันธ์ แจกไปเป็นเจตสิก เวทนาสัญญา สังขาร โดยใช้สัญญาเป็นตัวสำคัญกำหนดรู้ กำหนดรู้ กาย คือ ภายนอก ภายใน _สู่แดนธรรม… _อ.หมอเขียว-ใจเพชร …ความลึกซึ้งของปรมัตถ์ คนไม่เจอสัตบุรุษจะไม่มี สัมมาทิฏฐิไม่มีทางรู้ได้ ไม่มีทางคิดออกเองได้ ด้นเดาเอาไม่ได้ มันมืดไปหมด อย่างใน ปุตตมังสสูตร มันจะเมา พ่อครูว่า… ยังมี ผัสสาหาร ท่านเทียบเหมือนวัวไม่มีหนัง และมี มโนสัญเจตนาหาร ที่เหมือนคนดึงลงหลุมถ่านเพลิง วิญญาณาหารเทียบเหมือนโจรถูกหอกแทงร้อยเล่ม เช้ากลางวันเย็น มันก็ยังไม่ตาย _สู่แดนธรรม… สรุป Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin14 พฤศจิกายน 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:651111 คนเกิดมาหากไม่ได้โลกุตระ เท่ากับชิงหมาเกิด พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯNextNext post:สัมมาสิกขา สันติอโศก ESAR 2564Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024