651028 บุญกิริยาวัตถุ 7 ข้อที่เป็นเนื้องอกของศาสนาพุทธ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/17fCiVgAg6rUQ-_Tobybdc6tNKCEfxkLQowc1QEEQKzI/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/16sAX5pHH-CMqorkchAmz09t1rj0LHkro/view?usp=sharing ดูวิดีโอได้ที่ และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/529029645243759 ต่อที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/501152301937050 พ่อครูว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2565 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก ชีวิตยังอยู่เราก็มาพูดกันถึงเรื่องธรรมะเป็นสำคัญ เป็นเอก เกิดมาชาติหนึ่งถ้าไม่ได้รู้ธรรมะที่เป็นโลกุตระของพระพุทธเจ้าก็จะวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารนี้ไปอีกนานนนนน….แสนนานเท่านาน ต้องมารู้จักโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าจริงๆ แล้วก็ปฏิบัติตาม ฝึกฝนอบรม ให้รู้จักอภิธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน แล้วก็ประหารกิเลสด้วยบุญ ให้สำเร็จได้จริงๆ ดังที่อาตมาได้สาธยายมา 50 กว่าปีแล้ว ก็ยังจะพยายามเลี้ยงขันธ์ 5 ไป อธิบายต่อไปอีกยังไม่ยอมตาย ฝืนสังขารไป เพื่อที่จะพิสูจน์ทั้งอิทธิบาทของพระพุทธเจ้าที่จะยังชีพให้ยาวนาน เท่ากับป์เกินกว่ากัปป์ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ด้วย และก็ทั้งที่จะทำประโยชน์ต่อ ศาสนาพระพุทธเจ้าสมณโคดม ไปให้ยืนยาวไปให้ครบ 5,000 ปี เพราะว่า 2,500 ปีนี้อาตมาเกิดมา โลกุตรธรรมมันเสื่อมไปตามที่พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ไว้ใน อาณิสูตรหรือกลองอานกะ ที่พูดไว้ว่ามันจะเสื่อมสลายยไปมันก็จริง อาตมาก็พูดแต่ความจริงไม่ได้พูดความเท็จ เพราะกรรมเป็นอันทำมันบาปมันเป็นวิบาก อาตมาไม่ทำวิบากบาป เพราะอาตมาเป็นโพธิสัตว์ ก็บอกไปหมดแล้วเป็นอะไร พูดไปก็ คนที่ไม่รู้ไม่เชื่อถือไม่ศรัทธาก็หมั่นไส้เอา ผ่านไป ไม่ต้องพูด ขอเข้าสู่ SMS ก่อน SMS วันที่ 26-27 ตุลาคม 2565 _จรรยา ประเสริฐ · ขออภัยนะคะ ที่แสดงความคิดเห็นอาจจะไม่พอใจ ขอบอกว่า บางครั้งดูแล้ว สมณะ สิกขมาตุ ไม่ละเอียดในการใส่แมสก์เลยค่ะ การติดโควิด ก็เพราะประมาทอย่างนี้ แต่อยากบอกค่ะ การใส่แมสก์อย่างท่านด่วนดีวันนี้ พูด ๆ ไปแมสก์หลุดมาอยู่แค่ริมจมูก และสิกขมาตุกล้าข้ามฝัน นี่ไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ แมสก์ท่านขยับลงมาเกือบถึงปาก ไม่ปิดจมูกเลย บางครั้งความละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ควรใส่ใจ เพราะไม่รอบคอบ แต่ท่านคงปล่อยวางแล้ว ดิฉันไม่เคยฉีดวัคซีน เวลาไปข้างนอกใส่แมสก์และบีบลวดที่อยู่บนแมสก์ให้แนบสนิทกับร่องจมูก เวลาพูดไม่หลุดเลยค่ะ เชื้อโควิดจึงแพร่ได้กระจายแม้ใส่แมสก์เพราะอะไร เพียงแต่อยากบอกให้รู้ค่ะ ด้วยความเคารพ และหวังดี กราบสาธุค่ะ พ่อครูว่า…ขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง พวกเราก็รับฟังไว้ อย่าเพิ่งประมาท _แม่ตุ้ย ชาวสวน · ได้ฟังพ่อท่านเทศน์เรื่องประชาธิปไตย 3 ขา เข้าใจแจ้งเลยเจ้าค่ะ พ่อครูว่า…อาตมาขยายถึง 3 ขาหรือ อาตมาพูดถึงแต่ประชาธิปไตย 1 ขากับประชาธิปไตย 2 ขา ทางด้านเลือกตั้งมีประธานาธิบดีคือประชาธิปไตยขาเดียว แต่ประชาธิปไตยที่มีทั้งนายกและมีทั้งพระเจ้าแผ่นดินหรือกษัตริย์ เป็นประชาธิปไตย 2 ขา อาตมาก็ขอยืนยันว่าเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ เพราะมีทั้งจิตวิญญาณ และมีทั้งกาย มีทั้งรูปและมีทั้งนาม แต่ประชาธิปไตยขาเดียว เป็นประชาธิปไตยพิการ ก็พูดไว้ อาตมาก็พูดเท่าที่ภูมิอาตมามียังไงก็ตามภูมิ พูดความจริงด้วยปรารถนาดีด้วยความจริงใจ เป็นการศึกษาและก็พิสูจน์กันไป ใช้เงินซื้อไม่ได้ต้องเข้าถึงโลกุตระจึงเป็นพระอาริยบุคคล _โกศล สุขเล็ก · กราบนมัสการท่านสมณะ สิกขมาตุ..เงินทองใช้ชื้อใด้หลายอย่างแต่ไม่สามารถซื้อความเป็นอริยบุคคลใด้… พ่อครูว่า…ทำไมพูดความจริงจังเลย ความจริงที่เถียงไม่ออกสักเม็ด เงินทองซื้ออะไรได้หมดแหละ เขาพยายามจะใช้เงินทองซื้อโลกทั้งโลก ให้ได้กัน ทุกวันนี้ ใช้กันไปแล้วก็หาเงินหาทองมาเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต กว่าจะพอรู้ตัว กว่าจะไม่ต้องยุ่งเรื่องเงินทองได้เลย มันเป็นโลกุตรธรรม มันเป็นความรู้ชั้นพิเศษที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ หรือแม้ไม่ถึงขั้นโลกุตรธรรม โลกียธรรมประเภทหนึ่ง เขาก็พอรู้แล้วว่าลาภยศเงินทองเป็นของไม่ได้เรื่องหรอก แต่เขาไม่มีโลกุตรธรรม โลกุตรธรรมคืออะไร ไม่มีโลกุตรธรรมคือยังไม่เข้าถึงจิตเจตสิกรูปนิพพาน ยังไม่เข้าถึงกาย เวทนา จิต ธรรม เขายังแยกไม่ออกและยังหยั่งเข้าไปถึงสภาวะจิตเจตสิกต่างๆ แยกกายแยกจิตไม่ออกจริงๆเลย ซึ่งคำว่ากายคำนี้เป็นภาษา 2 อย่าง มีทั้งกายทั้งจิต มีทั้งภายนอกภายใน มีสภาพ 2 ตลอดเลย อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เป็นความเสื่อมที่หมดความรู้คนได้ผิดเพี้ยน เสริมปัญญาความรู้ของพระพุทธเจ้าไปไกลและนาน ซึ่งเป็น สักกายทิฏฐิ ตัวแรกที่จะต้องเรียนรู้ ถ้าเข้าใจกายกับจิตไม่สัมมาทิฏฐิ ที่อาตมาย้ำ สังโยชน์ข้อที่ 1. สักกายทิฏฐิ คือกายของตนเอง 2. แยกกายแยกจิตเป็นมูลกรรมฐาน 5 ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ให้อุปัชฌาย์ทุกองค์ สอนให้ลูกศิษย์ที่บวชขึ้นมา ต้องอธิบายความรู้เรื่องมูลกรรมฐาน 5 จากผมขนเล็บฟันหนัง นี่คือ 5 ประการ ตัวอย่างจะเอาจากผม จากขน จากเล็บ จากฟัน จากหนัง อันใดอันหนึ่งก็ได้ แยกให้เห็นว่า อุตุนิยามคืออย่างไร พีชนิยามคืออย่างไร จิตนิยามคืออย่างไร ต้องปฏิบัติด้วยกรรมนิยามและธรรมนิยามอย่างนี้เป็นต้น ถ้าแยกไม่ออก รู้ไม่ได้ เพราะมันแยกขาดกันไม่ได้จริงๆ จิต มันจะต้องรู้เรื่องกายและต้องอยู่กับกายตราบที่ยังมีชีวิต ยังมีรูปนามขันธ์ 5 ตายไปหมดเลยเป็นดินน้ำไฟลม หมดความเป็นรูปนามหมดทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้ายังมีอยู่ก็ต้องรู้ทันเรียกว่า โลกุตรธรรม ถ้าไม่สามารถเข้าใจและอยู่เหนือมันได้ ให้มันมีอิทธิพลครอบงำความมี แต่เราไม่ให้ความมี มามีอิทธิพลกับเรา ทำความไม่มีสำเร็จ แล้วเราก็ไม่หลงไปติดอยู่ในแต่ความไม่มี เห็นทั้งความมีและความไม่มีเป็นสิ่ง 2 สิ่งที่เป็นเทวะ สภาพ 2 อย่างที่จะต้องใช้อาศัยในความแตมีชีวิต สายศรัทธาสายปัญญากับการอบรมจิตควบคุมจิต _สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ มีท่านผู้แสดงความคิดเห็นต่างต่อพ่อครู ต่อการที่พ่อครูสอนให้ลูกๆ”อบรมจิต ควบคุมจิตเพื่อลดละกิเลส” นั้นท่านว่าโดยความจริงแล้วจิตมีสภาพเป็นอนัตตา เราจึงไม่สามารถเข้าไปอบรม หรือควบคุมจิตได้ โดยท่านได้ตั้งประเด็นไว้ว่า พ่อครูจะต้องตอบปัญหานี้ภายใต้ความคิดที่ท่านมีความเชื่อว่า”ความจริงจิตเป็นอนัตตา”นี้นับว่าเป็นโจทย์ที่ยากมาก เพราะเป็นการเดินตามคำบอก ของผู้ที่เข้าใจผิด แต่พ่อครูก็ตอบท่านผู้เห็นต่างอย่างรักษามิตร อย่างอนุโลมโดยไม่ให้เสียสัจจะว่า เราไม่ต้องควบคุมจิตก็ได้ แต่เราต้องรู้ว่าจิตมีสภาพเป็นสอง พ่อครูคะ นี่ใช่ไหมคะที่พ่อครูว่า เราต้องอนุโลมให้กับโลกอย่างเป็นสองคือ รู้ปรมัตถสัจจะ รู้สมมุติสัจจะ และเราอยู่อาศัยกับความเป็นหนึ่ง(พีชะ) น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ พ่อครูคะ การที่ลูกเรียนหนังสือไม่เก่งเป็นคนปึ๊กมากๆ แต่มาปฏิบัติธรรมแบบมี”กาย” แยกเวทนาแท้ เวทนาเทียม ทำใจในใจหน่ายคลายในเวทนาเทียมเสมอๆจะถือว่าลูกปฏิบัติธรรมอย่างสายปัญญาได้ไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ พ่อครูว่า…เออ..พอเข้าใจ ใช่ๆๆ ต้องอนุโลมกับโลกอย่างเป็น 2 รู้ปรมัตถสัจจะ รู้สมมุติสัจจะ ถือว่าปฏิบัติธรรมอย่างสายปัญญาได้ๆๆ นึกว่าตัวเองปึ๊ก แต่ที่จริงเป็นสายปัญญา มันไม่รู้ เพราะมันไม่รู้ แต่พอรู้แล้วมันก็รู้มันไม่ยาก ขยับกลับเข้าไปให้เห็นว่าความจริงจิตที่เป็นอนัตตานั้น อย่าไปควบคุมมัน ความที่คุณสว่างแสงพูดมา คำว่า ควบคุม คำนี้ กับรู้ความจริงตามความเป็นจริง ควบคุม ภาษาก็บอกอยู่แล้วว่ามันถูกควบคุม เหมือนคุณเป็นนักโทษ ที่จริงมันละเอียดนะ ควบคุมหรือระมัดระวัง พิจารณา แล้วจัดการ ขยายความอย่างนี้ ระมัดระวังดูแลเห็นอะไรผิดพลาดก็แก้ไขปรับปรุงทำใหม่ อย่างนั้นใช้ปัญญา ไม่ใช่ไปควบคุม ใช้ความรู้ความเห็นตามความเป็นจริง แล้วเราก็มีปฏิภาณปัญญารู้แล้วว่า อะไรควรมี อะไรไม่ควรมี เราก็จัดการไป ทีนี้จะมีหรือไม่มี เราก็ต้องสร้างพลังงานทางจิตที่เรียกว่า ฌานหรือปัญญา ฌานหรือปัญญาจึงไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต แต่เป็นจิตที่จะต้องเห็นความจริงจริงๆ มีสติสัมโพชฌงค์ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ละเอียดขึ้นเรื่อยๆเลย รู้แยกกายแยกเวทนาแยกจิตแยกทำได้ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ มันก็รู้ความจริงที่มันแยกได้ละเอียดไปเรื่อยๆ เท่าที่จะสามารถละเอียดได้ ทุกวันนี้อาตมาก็แยกละเอียด ซ้อนไปเรื่อยๆ ยังไม่จบนะ ยังจะมีละเอียดอีก สนุก ผู้ที่มีธรรมรสแล้วยิ่งไปถึงวิมุติรสด้วยแล้ว สนุก รู้ด้วยปัญญาให้ละเอียดไปตามลำดับ จิตจะไปถึงขนาดนั้น คำว่าควบคุมจิต กับ คำว่าอบรมฝึกฝน อบรมจิตฝึกฝนเรียนรู้จิต อย่างให้เห็นละเอียดด้วยปัญญาอันยิ่ง บริบูรณ์สมบูรณ์ เป็นการรู้ชัดแจ้งกระจ่าง รู้หมดปัญหา รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง รู้ไม่เหลือเศษ ภาษาบาลีว่า วิเศษ เศษ แปลว่าเหลือ ไม่เหลือเหลือ วิเศษก็คือไม่เหลืออย่างยิ่ง มันก็จะเหลือชีวิตอยู่ มีปัญญายิ่งเหลืออยู่ _สู่แดนธรรม… ปัญหาที่เขานำมาถามพ่อท่าน ที่เขาบอกว่าอย่าไปควบคุมจิตเพราะว่า การปฏิบัติที่ทำจิตให้มีกำลังแล้วนี่ มักจะเอาจิตไปเล่นกับอำนาจ ไปบังคับให้มัน เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ พ่อครูว่า… เป็นสายบังคับ พวกสายเจโต ข่มบังคับ อันนี้ละเอียดลึกซึ้งนะ เรื่องสายศรัทธากับสายปัญญา สายข่มบังคับกับสายรู้ด้วยปัญญา เป็นเรื่องใหญ่นะ จุดนี้เป็นจุดใหญ่ จุดใหญ่ 2 อย่างนี้ ที่ใช้ภาษาเรียกใหญ่ๆว่าปัญญากับศรัทธา หรือเจโตกับปัญญา ศรัทธากับปัญญา พลเมืองอินเดียกับจีนเป็นตัวอย่างศรัทธากับปัญญา เรียนศึกษาดีๆเถอะ มันทั้งมี หยาบ กลาง ละเอียด ที่ลึกซึ้งมาก อาตมาก็พยายามหยิบตัวอย่างพวกนี้มาอธิบายให้ฟัง แล้วก็เห็นตัวอย่าง จนกระทั่งเข้ามาใกล้ตัว จนกระทั่งถึงสิ่งที่อยู่กับตัวเอง ปฏิบัติประพฤติเป็น และอ่านทั้งกายวาจาใจ หรืออ่านทางกาย เวทนา จิต ธรรม และว่าจะค่อยๆแยกภาวะ 2 ในโลก หรือ ภาวะในโลกที่เปรียบเทียบ 2 อย่างทีละคู่ๆๆ นี่แหละ แล้วคุณจะแยกได้ อ๋อ.. อันนี้แหละใช่ เป็นตัวอย่างที่จะรู้ด้วยปัญญาอันนี้ถูกอันนี้ควร เป็นตัวอย่างเทียบไปเรื่อยๆ คุณก็จะเจริญ ไพบูลย์ งอกงามไพบูลย์ ไปตามปัญญาที่มันเจริญงอกงามไพบูลย์ ไม่ใช่ไปบีบบังคับ ไปควบคุมให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่ มันจะมีความเจริญงอกงามไพบูลย์ไปตามขั้นตามตอน เหมือนฝั่งทะเลที่ลาดลุ่ม ยิ่งพูดยิ่งสวยงาม เอ้า.. ค่อยๆทำความเข้าใจไป ภาวะ ความเป็นศูนย์กับความเป็นหนึ่ง ของพระอรหันต์คือเช่นไร _ผาหิน จอมภูผา · กราบนมัสการพ่อครูอีกรอบครับ….กฐินทุกวันนี้อวดกัน วัดไหนได้เงินมากกว่ากัน….วันก่อนอาแป้งพูดว่า เราอาศัยภาวะ 0 แต่พ่อครูย้ำว่าต้องอาศัยภาวะ 1 อยู่ร่วมกับภาวะ 2 ผมจึงเข้าใจว่าเมื่อเราทำภาวะ 2 เป็น 1 ได้เราจึงเป็นอรหันต์ จะทำภาวะ 0 ก็ต่อเมื่อเราจะทำปรินิพพานปริโยสานใช่ไหมครับ…แต่เมื่อวานฟังทบทวนจากท่านซาบซึ้งว่าเราต้องอาศัยภาวะ 0..จึงทำให้ผมชักไม่แน่ใจ….ส่วน จักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา อาโลก ผมฟังแต่ไม่ได้จดบันทึก จึงทำให้สับสน…กราบขอบพระคุณมากครับ พ่อครูว่า…ตอบไปก่อนว่า ใช่ ก็คงต้องการให้ขยายความบ้าง คำว่า 0 คือกิเลสมันหมด เราสามารถปฏิบัติตั้งแต่ตอนเป็นๆ ยังไม่ตาย การบรรลุธรรมต้องบรรลุธรรมตั้งแต่ยังไม่ตายทำให้สำเร็จ ทำ 0 ทำให้กิเลสหมด สูญ ก็คือกิเลสนะ แยกให้ดี กิเลสหมด 0 แต่ความเหลือยังเหลือชีวิตชีวะของคุณยังไม่ตายยังเป็น 1 อยู่ แล้วความเป็น 1 ของคุณนี้รู้ภาวะ 2 ภาวะเทวะ ภาวะที่ไปเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น ซึ่งจะต้องแยกเอา 1 ยืนหยัดอยู่กับ 1 แต่คุณจะต้องอยู่กับ 2 เพราะฉะนั้น คำว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 เทฺว ธมฺมา พระพุทธเจ้าให้ศึกษา 2 จากเวทนา แล้วขยายบาลีว่า ทฺวเยน เวทนายะ คือให้ขยาย 2 จากเวทนา ให้เป็น 1 ให้รวมลงเป็น 1 ทำให้สรุป เหลือตัวความจริงความแท้ เวทนาแท้กับเวทนาเก๊ เวทนาเทียม เวทนาที่ถูกกิเลสปรุงแต่ง กับเวทนาที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่มีกิเลสเข้าไปร่วม ให้ชัดเจน ภาษาพยัญชนะก็บอกอย่างนี้ คุณต้องตามรู้ภาษาให้รู้ถึงสภาวะจริงให้ได้ _ล. ๙ ข. [๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ ๕ ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ _ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 พ่อครูว่า…เว้นจากผัสสะจะไม่มีเวทนาให้ปฏิบัติ เพราะฉะนั้นไม่เป็นฐานที่จะมีได้ เป็นกรรมฐาน แล้ว ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 อาตมาก็ขยายความด้วยภาษาไทยง่ายๆ คุณต้องมีสภาวะรองรับ มีเหตุปัจจัยที่มีความรู้ประกอบไปเรื่อยๆ ไม่เช่นนั้นคุณปฏิบัติธรรมไม่รู้เรื่องหรอก มันต้องฟังแล้วก็เข้าใจ อ้อ..อันนี้มีความรู้อันนี้ มีองค์ประกอบอย่างไรอย่างไร มีกาย มีเวทนา มีจิตก็ต้องมีธรรมะ จะต้องรู้ประกอบเป็นจริง ถ้าไม่อย่างนั้นคุณไม่รู้องค์ประกอบของมัน เป็นกระบวนการที่มันจะต้องใช้ร่วมกัน มันขาดไป หล่นไปมันก็บกพร่อง มันก็ไม่ครบ มันก็ทำไม่ได้ ทำไม่สำเร็จ สรุปตรงที่ภูผาหินเขางงๆนี่ก็คือว่า ผู้ปฏิบัติธรรมกิเลสลดสูญได้แล้วตอนเป็นๆอยู่ ก็คือ ผู้ได้ปรินิพพาน แต่ยังไม่ตายชนิดที่ตายอย่างสูงสุด ตายอย่าง สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน ตายอย่างนิพพาน 3 คือ ไม่มีนิมิต ไม่ตั้งจิต ไม่สร้างภพชาติอะไรอีก แล้วไม่ตั้งจิตอีกเลย จิตก็ไม่ตั้ง สถานที่ก็ไม่กำหนดภพชาติอะไรอีกเลย คุณตายด้วยสภาวะ สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน จิตของคุณก็จะสลายเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมเป็น ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จิตของพระอรหันต์ก็จะแยกเป็นดินน้ำไปลงไปเลย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เหมือนพวงมะม่วง ถูกตัดตกลงมาแตกกระจายหายไปเลย มันไม่กลับไปเป็นพวงมะม่วงกันอีก อย่างนี้เป็นต้น จะไม่เหลือพวงมะม่วงให้อีกแล้ว มันเอามารวมกันอีกไม่ได้ มันขาดมันแตกไปหมดแล้ว นั่นคือดับเป็น 0 ชนิดปรินิพพานเป็นปริโยสาน แต่คุณทำให้กิเลสหมดแล้วเป็น 0 ได้แล้วตั้งแต่ตอนเป็นๆ ตั้งแต่โลกอบาย โลกกาม โลกรูปโลก อรูปโลก ครบหมดทุกโลก ไม่มีโลกใดเหลืออีกแล้ว คุณก็เป็นพระอรหันต์ คุณยังไม่ตายคุณยังมีโลกที่คุณจะอาศัยอยู่ เกิดหมุนเวียนอยู่ในโลกนี้ไป และเป็นผู้ที่ได้ภูมิธรรม ขั้นอรหัตตผล ได้แล้วมันต้องได้จริง สัมมาทิฎฐิจริงมีมรรคมีผลสมบูรณ์จริง มันจริง มันไม่ใช่พูดด้วยปาก ไม่ใช่เหลาะแหละ เป็นเรื่องจริง ทำอย่างให้ชัดเจนด้วยความรู้ และปฏิบัติให้ตรงตามความจริงนั้นให้ครบบริบูรณ์เถอะ แล้วคุณจะยืนยันได้ ค่อยๆศึกษาไป เพราะฉะนั้นคุณเมื่อได้แล้ว คุณผาหินงงๆ ที่ว่า จักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา อาโลก มันยังไง คือเวลาตรัสรู้ จะต้องตรัสรู้ด้วยตาเปิด จักษุ ต้องมี ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกระทบภายนอก เห็นอยู่มีแสงสว่าง(อาโลก) แล้วปฏิบัติให้เกิดปัญญา ญาณ วิชชา นี่คือการตรัสรู้ของพุทธเจ้าที่จะบรรลุธรรม การรู้ตามคำตรัสของพระพุทธเจ้า คือการตรัสรู้คือรู้ตามคำสอนคำตรัสของพระพุทธเจ้า การจะตรัสรู้ได้ต้องมีครบองค์อย่างนี้ จักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา อาโลก _สู่แดนธรรม… ที่คุณผาหินเขาว่า ผมพูดไม่ตรงกับพ่อท่าน ที่ว่าอาศัยภาวะ 0 คือผมหมายถึงว่า 0 เป็นที่พึ่งเป็นหลักประกันในการปฏิบัติที่แท้จริง ไม่ได้หมายกำหนดว่าใช้อาศัย ผมหมายถึงว่า 0 เป็นหลักประกันเอา 0 เป็นหลังพิง 0 ไว้เลย เป็นที่พึ่งสุดท้ายก่อน แล้วสู้กันด้วย 1 พ่อครูว่า… เอาอย่างนั้นก็ได้สู้กับ 1 แล้วเอา 0 เป็นเทรนเนอร์เป็นโค้ชอยู่ข้างหลังแล้วจะมีกี่ 2 ก็นับคู่ชกมาแล้วเอาทีละ 1 หรือจะมาทีละ 2 ทีละ 3 ถ้าเก่ง เป็นอย่างนั้น มีสภาวธรรมดีกว่าเข้าใจเพียงภาษา _ตุ๊ก อัศวิน · ขอโอกาส..เจ้าค่ะ พ่อครู เคยให้โศลกธรรมว่า..’ตั้งอยู่ในความลำบาก..กุศลธรรมเจริญยิ่ง’..!! พ่อครูว่า…คำว่า ตั้งตนอยู่ในความลำบาก กุศลธรรมเจริญยิ่ง เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของอาตมา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน เทวทหสูตร เก้งเอ๋ง คือ หมา อาตมาเคยบอกว่าเป็นหมากลางตลาด _ตุ๊ก อัศวิน(ต่อ…การเป็น..’เก้งเอ๋งกลางตลาด’..นับว่าไม่เลวนัก..เจ้าค่ะ เพราะเป็นเหตุให้ได้รับการฝึกฝน..อบรม..บ่มเพาะ ..ในหลักสูตรเข้มข้น(Advance) ทำให้ พ่อครู แกร่ง เข้มแข็ง อดทน ต่อการเสียดสี ต่อความยากลำบาก (เป็นคน วรรณะ 9) ดังคำกล่าวว่า..’มารบ่มี_บารมีบ่เกิด’..เจ้าค่ะ (พ่อครูว่า ถูกต้อง ) ประทับใจใน ‘สยังอภิญญา’ ของพ่อครู..ยิ่ง เจ้าค่ะ!!ท่านเป็นยิ่งกว่า การทรงจำไว้ซึ่ง พ่อครูว่า…ใช่ ทรงจำ ก็คือเหมือนพวกที่รู้ พระไตรปิฎกสอนอยู่ก็มาก ท่องจำอยู่ได้ก็มาก แต่ตัวเองไม่ได้บรรลุธรรม ไม่เข้าถึงธรรม ไม่มีภูมิธรรมที่สัมมาทิฏฐิที่จะบรรลุธรรมได้ในชาตินั้น เรียกว่า learned man หรือผู้คงแก่เรียน ก็จริง พวกเทวนิยมไม่รู้จักพหูสูตแท้จริงหรอกเขาเลยแปลพหูสูตว่า learned man คิดถึงพหูสูตคือผู้ที่เจริญงอกงามไปตามลำดับจากการเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้ามีปัญญา เจริญจริง มีความรู้ที่เรียกว่าปัญญาของพระพุทธเจ้า จากความสงบ 2 อย่างแล้วมาปฏิบัติต่อคือมีศีล จากศีลจึงจะมีพหูสูต จากพหูสูตก็ยิ่งเจริญขึ้นมากๆก็ยิ่งจะมีวิริยะ วิริยารัมภะ เจริญมากขึ้นเรื่อยๆจนมนุษย์สมบูรณ์แบบเป็นพระอรหันต์เป็นผู้รู้เป็นบัณฑิตแล้วก็รู้ความเหมาะควรอยู่กับสภาอยู่กับบัณฑิตไป ก็เจริญบริบูรณ์สูงสุดเป็นปัญญาข้อที่ 8 ได้ ซึ่งมันจะเป็นสภาวะอาตมาไม่ต้องทำอะไรมากมายไล่เรียงสภาวะมา แล้วเอาภาษามาใช้มาประกอบมันก็เรียงลำดับมาได้ เพราะจริงๆแล้วคนได้สภาวธรรมแล้ว ภาษาไม่จำเป็นมาก แต่ก็ต้องอาศัยบ้าง มีภาษาหลัก เช่น อาตมาชาตินี้มาใช้ภาษาไทย มีภาษาหลักจากบาลีเก่า แต่ บางทีมาชาตินี้ เขาก็แปลบาลีมาผิดเพี้ยนต่างๆนานา แปลผิดไป เยอะแยะเลย มาอาศัยบาลีตามเขาแปลเขายึดถือไม่ได้ อาตมาต้องอาศัยสภาวะหลัก สภาวะธรรมแท้ที่ตนเองมีมา แล้วก็มาอาศัยบาลีแล้วก็ขยายเป็นภาษาไทย มันก็เลยแปลที่เขาเข้าใจผิด เขาได้แปลผิดไปแล้ว อาตมาแปลอย่างยืนยันด้วยสภาวะ มันก็เลยค้านแย้งกัน มันเป็นความจริง ก็เขาเสื่อมไป ผิดเพี้ยนไปแล้วไปยึดถือบัญญัติ หลงบัญญัติ ฉะนั้นผู้ที่ศึกษาบัญญัติทั้งหลายเลิกยึดถือที่คุณเข้าใจมาฟังอาตมาอย่างง่ายๆ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย คุณจะบรรลุธรรมได้เร็ว คุณทิ้งอันนั้นได้เลย ขออภัยที่ต้องยืนยันว่าคุณเข้าใจภาษาไปผิด มันเจริญงอกงามเป็นความรู้ที่ปรุงแต่งใหม่ แล้วความรู้ผู้รู้ก็ใช้เหตุใช้ผลใช้ปัจจัยของตนเอง ปรุงไป กลายเป็นว่า วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์อะไร เรียนงอกงอกงามกระทั่งทางพยัญชนะบานเป็นโลกจินตา ไปๆออกนอกโลกไปไกล มันไม่บรรลุธรรมได้ง่ายๆ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่อาตมาพูดติงพูดเตือน พยายามบอกให้รู้สึกตัว แต่เขาไม่เชื่ออาตมาว่าอาตมาบรรลุธรรม อาตมาเป็นผู้นำความจริงมาประกาศ เขาไม่เชื่อ อาตมายืนยันว่าชาตินี้อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ก็พูดไปหมด พูดจริงๆไม่ได้กระดากไม่ได้มังกุ ไม่มีเก้อเขินอะไรเลย พูดแต่ความจริงใจสะอาดบริสุทธิ์ไม่มีอุปกิเลสเลยในตัว ไม่มี อุปกิเลสข้อไหนก็ไม่มี ในอุปกิเลส 16 ไล่เลย อาตมาไม่มีอุปกิเลสในนั้นสักตัวเดียว แม้แต่ในข้อที่ประมาทก็ไม่ได้ประมาทก็ระมัดระวัง มานะ อติมานะ ก็ไม่มี หมวดปลายของอปุกิเลส ก็ไม่ได้มีไม่ได้มานะถือตัวไม่ได้หยิ่งไม่มีความประมาทหรือตัวอะไรเลย แต่ก็พูดความจริงเท่านั้น ใครไม่เชื่อหรือเชื่อก็บังคับกันไม่ได้ _ตุ๊ก อัศวิน(ต่อ)…พตปฎ !!ท่าน คือ พตปฎ ที่มีชีวิต!!ท่านสามารถ ให้สัมมาทิฎฐิ ไขข้ออรรถ ข้อธรรม อย่างผู้มีสภาวะธรรม!! ตัวอย่างที่ประทับใจ..ในการปรารภธรรม ณ วันนี้คือ ท่านให้สัมมาทิฎฐิ ด้วยการแก้ไขให้ถูกต้อง ตรงธรรมดังนี้ จักษุ_ปัญญา_ญาณ_วิชชา_อาโลก= Enlighten ‘นัตถิปัญญา สมาอาภา’ พ่อครูว่า…คนเข้าใจก็ทราบซึ้งอย่างนี้ก็ยกยอยกย่องอาตมา อาตมาก็ต้องรับ เพราะเป็นความจริงปฏิเสธไม่ได้ จะไปให้สงสัยว่าไม่ใช่หรือใช่ว่า อาตมารู้หรือไม่รู้ มันก็ไม่แน่นไม่ปักมั่น อาตมาก็ต้องยืนยันอย่างเป็นหลักแน่นหนา ให้มั่นคง ใช่ที่อาตมามีสภาวะธรรมเป็นตัวหลัก Enlighten ก็หมายถึงว่า สว่างจ้าเลย ดี เจริญในธรรม อาตมาก็สบายใจ ก็ไม่ฟูฟองอะไร ก็เห็นจริงว่า ไม่สูญเปล่าที่อาตมาทำงานมา _นิมรัตน์ บุตรอุดม • ….ผมศึกษาธรรมมา 15 ปี สายหลวงปูมั่น สายฤาษีลิงดำ สายหลวงพ่อเทียน สมาธิก็เคยเข้าได้ละเอียด ศีลก็เคร่งรักษา พวกนี้สอนไม่มีระบบระเบียบ พอหยุดปฏิบัติก็เสื่อม มาฟังท่านโพธิรักษ์ เกือบห้าปี ความหมดเนื้อหมดตัวหมดกิเลสเลิกละมีอยู่จริง อธิบายรูปนามได้อย่างไม่มีใครเก่งเท่า แค่นี้ก็รู้พอแล้ว พ่อครูว่า…ขอบคุณ แค่นี้ก็รู้พอแล้ว คือมั่นใจ ว่าแค่นี้ก็ใช่แล้ว พอใจแล้ว พอใจๆเลย รู้ว่าองค์นี้ใช่ เอา..ติดตามไป _นิรนาม ไร้สังกัด • …..คณะสงฆ์ในไทย เป็นแต่เพียงรูปแบบกลุ่มคนที่อ้างว่านับถือศาสนา อ้างว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า แต่การเข้าถึง ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เป็นหัวใจหลักหรือธรรมนูญของพุทธศาสนานั้นไม่มีเลย…ต่างอาศัยเพียงกฎหมายสงฆ์หรือพระวินัย 227 ข้อ เป็นหลักยึด(ทั้งที่ก็ปฏิบัติกันอย่างหละหลวมเต็มที)..ดังนั้นจึงไม่มีใครเป็นพระจริงๆสักคน ล้วนแต่เป็นคนทำงานในคราบภิกษุ เห็นแต่เหล่าสมณะในสำนักสันติอโศก ที่ยังเดินตามรอยพระศาสดา ออกบวชเพื่อทำความเพียร เพื่อเข้าถึงธรรมนูญของพุทธแท้ อันเป็นทางสู่การบรรลุธรรม ที่เป็นจุดหมายสำคัญของพระพุทธศาสนาจริงๆ พ่อครูว่า…คุณนิรนาม ไร้สังกัด ก็เริ่มเข้าใจได้อาตมาไม่พูดย้ำทวน ไม่ซ้ำ ไม่เติม ไม่ขยายผลไปอีก มันจะกลายเป็นเรื่องยกตนข่มท่าน หรือ กระหน่ำย่ำยีกันแล้วก็ยกตัวตนมากขึ้นอีก ก็พอเข้าใจแล้วก็เอาไว้ _สินอโศก · น้อมกราบนมัสการพ่อท่านเจ้าค่ะ ในแต่ละวันก็ติดตามดูตัวเองว่า เราทำสิ่งนี้ถูกมั้ย พยายามดูตัวเอง ทบทวนตัวเองและพยายามปฎิบัติให้ถูกต้องอยู่เสมอเจ้าค่ะ พ่อครูว่า…ก็ดี รายงานตัวเองมา ทำไป.. เขาก็อยู่ที่คำกลางนี่ไม่ใช่หรือ…ใช่ _เบญจวรรณ · บุญกิริยาวัตถุ 10 ข้อ ทานมัย กับ ปัตติทานมัย มีสภาวะจิต & สภาวะธรรมต่างกันอย่างไรคะ พ่อครูว่า… คำว่า บุญกิริยาวัตถุ 10 10 ข้อนี้ มันไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าทีเดียว ของพระพุทธเจ้าสอนนั้น มีบุญกิริยาวัตถุ 3 คือ ทานมัย สีลมัย ภาวนามัย พระพุทธเจ้าสอน อยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 11 ข้อ 228 ก็สอนไว้เท่านี้ แต่เสร็จแล้วอรรถกถาจารย์เอาไปขยายความ หรืออาจาริยวาทขยายบุญ ด้วย ความนึกว่าตัวเองฉลาด ก็มีส่วนดี มีความเข้าใจพอสมควร แต่มันเฟ้อ มันเกิน แทนที่จะเข้าหาแก่นไปหา 0 มันเลยยิ่งกลายเป็นเรื่องปรุงแต่งออกไปเรื่อยๆ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ _สู่แดนธรรม… ผมได้รับข้อความประกาศ งานมหาปวารณาปีนี้มี 2 กิจกรรม กิจกรรมสำหรับท่านสมณะ ก็จะประชุมมหาปวารณากันที่บวรของตัวเอง ผ่านโปรแกรม Zoom ส่วนฆราวาสนั้น ช่วยกันกอบกู้บ้านเมืองที่เละตุ้มเป๊ะ ใครที่พอมีกำลังจะเข้ามาช่วยงานก็จะมีกิจกรรมเป็น 2 ระยะ ใครที่พอมีกำลังจะเข้ามาช่วยงานก็จะมีกิจกรรมเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 ก็คือมหา Big cleaning คือ วันที่ 5 ถึงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 รอบที่ 2 มหา Big cleaning พื้นที่หลังจากน้ำแห้งแล้ว เริ่มตั้งแต่ 20 พฤศจิกายนเป็นต้นไป บุญกิริยาวัตถุ 7 ข้อที่เป็นเนื้องอกของศาสนาพุทธ พ่อครูว่า…เรื่องบุญกิริยาวัตถุ มีอาจาริยวาท เข้าใจไปตามภูมิของเขา แล้วก็มาเขียนบรรยายบันทึกไว้เป็นอรรถกถาจารย์ แล้วเอาของอรรถกถาจารย์มารวมเข้าไปเป็นบุญกิริยาวัตถุ 10 ที่จริงของพระพุทธเจ้ามีบุญกิริยาวัตถุ 3 เท่านั้น บุญ คือ เครื่องชำระกิเลส เพราะฉะนั้นหลักในการชำระกิเลสก็มี ทาน ศีล ภาวนา 3 อย่าง ฟังอันนี้ก่อน ฟังแก่นแกนก่อน ก่อนจะไปฟังบุญกิริยาวัตถุ 10 ข้อของอาจารย์ที่เพี้ยนไปเรื่อยๆ ขยายความเละเทะ ทานอย่างไร ทานมัย เป็นผลสำเร็จของการทำทาน ทานอย่างไรมีผลสำเร็จเป็นอานิสงส์ ศีล ปฏิบัติศีลอย่างไร จะมีความสำเร็จเป็นอานิสงส์ หลักปฏิบัติก็มี ทาน ศีล เสร็จแล้วก็มีคำว่า ภาวนา ภาวนาแปลว่า การเกิดผล เขาก็ไปแปลภาวนากลายเป็นมรรคค เป็นวิธีทำ บอกว่าไปภาวนา คือไปนั่งสมาธิหลับตา และที่ให้ไปปฏิบัติก็ผิดด้วย (พ่อครูไอตัดออกด้วย) _สู่แดนธรรม… ภาวนา เขาบอกว่าไปนั่งหลับตา พ่อครูว่า… ภาวนาแปลว่าการเกิดผล ภาวะ มีสภาวะ ซึ่งปรากฏจริง แต่ก็ไปติดอยู่ในบัญญัติ อยู่ในพิธี อยู่ในภาษา อยู่ในเปลือก ก็เลยงมงายกันอยู่ตรงนั้น และก็ไปเข้าใจผิดไปต่ออีกว่า ภาวนาคือต้องไปนั่งหลับตาสะกดจิต ซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิในการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นก็ขอพูดย้ำตีหัวตะปู จนกระทั่ง บี้หมดเลย ก็ให้เลิกนั่งหลับตาสะกดจิตได้แล้ว ชาวพุทธเอ๋ย อาตมาพูดแรงพูดตัด สมัยพระพุทธเจ้าท่านพูดตัดไม่ได้ เพราะว่าท่านจะต้องมีมวล เพราะว่านั่งหลับตากันทั้งป่ากันทั้งเมืองเลย มันอยู่ป่ามาก่อนก็เป็น เดียรถีย์ ทั้งนั้น ท่านก็ต้องประนีประนอมกันก่อน เสร็จแล้วท่านก็ค่อยๆได้จากหมู่นั้นมาเป็นมวล แต่อาตมา เป็นชาวพุทธแล้ว มันเข้าใจกันคนละ กาละ เทศะ ฐานะ พูดกันคนละบริบทคนละ กาละ เทศะ ฐานะ คนละเวลาคนละภูมิธรรม ภูมิธรรมระดับลูกศิษย์ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าท่านบุกเบิก อาตมาไม่ใช่ผู้บุกเบิก แล้ว พูดกับชาวพุทธด้วย เหมือนกับพี่พูดกับน้อง ต้องแรงๆเลย เพราะฉะนั้นก็เลยไม่เหมือนกัน ทีนี้ มาเข้าสู่ประเด็นที่เบญจวรรณเขาถามมา บุญกิริยาวัตถุ 10 ข้อ ของพระพุทธเจ้ามี 3 ข้อ แล้ว อรรถกถาจารย์มาใส่ไปอีก 7 ข้อ ซึ่งเป็นเนื้องอก ๑. ทานมัย (บุญสำเร็จด้วยการให้ – การสละออก) ๒. ศีลมัย (บุญสำเร็จด้วยการชำระล้างกิเลสออก) ๓. ภาวนามัย (บุญสำเร็จด้วยการทำผลเจริญให้จิต) ๔. อัปปัจจายนมัย (บุญสำเร็จด้วยการอ่อนน้อม) ๕. เวยยาวัจจมัย (บุญสำเร็จด้วยการช่วยขวนขวาย เอาภาระการงาน) ๖. ปัตติทานมัย (บุญสำเร็จด้วยการเข้าถึง ที่เป็น ส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ ยิ่งขึ้นๆ) ท่านผู้รู้แปลว่า “บุญสำเร็จด้วยการแบ่งส่วนแห่งความดีให้แก่ผู้อื่น” ๗. ปัตตานุโมทนามัย (บุญสำเร็จด้วยการยินดี ที่ได้ชำระกิเลสหรือได้บุญแล้ว แม้ผู้อื่นกระทำ) ๘. ธัมมัสสวนมัย (บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม) ๙. ธัมมเทสนามัย (บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม) ๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ (การทำความเห็นให้ถูกตรง) (๓ ข้อแรกมีใน พตปฎ. เล่ม ๒๓ ข้อ ๑๒๖) พ่อครูว่า… ทานมัย ศีลมัย ภาวนามัย คือของพระพุทธเจ้า 100% ส่วนอปจายนมัยไปจนกระทั่งถึงทิฏฐุชุกัมม์ เป็นเนื้องอก 7 ข้อเป็นเนื้องอก เนื้องอกอย่างไร ไล่ไปตามลำดับก่อน 2 ข้อแรก อปจายนมัย ทำด้วยความอ่อนน้อม เวยยาวัจจมัยทำด้วยความขวนขวาย ซึ่งมันเป็นคุณธรรมนะ เขาเอาคุณธรรมนี้มาใส่ มัย แปลว่า ความสำเร็จ สำเร็จด้วยความอ่อนน้อม สำเร็จด้วยความขวนขวาย ก็ดี เป็นธรรมะที่เสริมหนุน แต่มันไม่ไปเข้าสู่ปรมัตถ์ที่จะให้ไปถึงจิต เจตสิก รูป นิพพาน มันก็ทำความดีงาม เป็นกุศล ความอ่อนน้อมก็เป็นกุศล ความขวนขวายขยันหมั่นเพียรก็เป็นกุศล เป็นสมมติสัจจะ ยังไม่ใช่ตัวปรมัตถสัจจะ ต่อมา ปัตติทานามัย ปัตติ แปลว่าบรรลุ แปลว่าการเข้าถึง เข้าไปถึงความเป็นทาน ก็หมายถึงว่า คุณต้องปฏิบัติทาน ให้รู้จักกิเลส แล้วก็กำจัดกิเลสได้ กิเลสลดออก เป็นอานิสงส์เป็นผลในการปฏิบัติทาน ปัตติทานามัย สำเร็จด้วยการทาน บรรลุธรรมอย่างเป็นปรมัตถด้วยกันถึงสัมมาทิฏฐิ แต่ทีนี้ เขาไปเข้าใจว่าการทานที่เข้าถึงทานของเขาคือ ทำทาน ให้สำเร็จจงทำทานการให้ แต่เขาไม่ได้เข้าถึงสภาวะธรรม _สู่แดนธรรม… เขาบอกว่า เอาบุญมาฝากครับ พ่อครูว่า… นั่นแหละเป็นการได้บุญ ทำทานเป็นการได้บุญ ชื่อว่า บุญกิริยาวัตถุ เขาก็เข้าใจว่า ทำทาน ได้บุญแล้ว ซึ่งบุญเป็นสมบัติไปเสียแล้ว เข้าใจมิจฉาทิฏฐิว่าบุญเป็นสมบัติ ทำทานนี่แหละจะได้บุญ ทำทานจริงๆแล้วคุณได้กุศล ไม่ได้บุญถ้าคุณยังไม่สัมมาทิฏฐิ คุณยังทำใจในใจมนสิการไม่เป็น มิจฉาทิฏฐิยังไม่โยนิโส มิจฉาทิฏฐิยังไม่ถ่องแท้ มนสิการยังไม่โยนิโส คุณก็ทำใจในใจไม่ถูกต้องไม่ถ่องแท้ไม่แยบคาย ทำเพี้ยน ทำผิดไป ไปทำใจในใจในการได้ภพได้ชาติ แล้วมันจะจบได้อย่างไร ทานแล้วไปสร้างภพชาติต่อ เพราะฉะนั้นในทานะมัย ข้อ 1 ไม่ต้องสร้างอะไรต่อเลยไม่ต้องมี สาเปกโข ไม่ต้องมี ปฏิพัทจิตโต มีความโยงใยปฏิพัทธ์กันอยู่ อันที่ 3. มีสันนิธิเปกโข ลงไปใส่สะสมไว้เลย เข้าธนาคารไว้เลย 4. โน่น จะได้ไปกินในชาติหน้าในภพในชาติหน้า นี่คือมิจฉาทิฏฐิละเอียดลออเลย ถ้าหากตั้งจิตไว้ผิดเข้าใจผิดในทาน ในทานสูตร ศึกษาดู เพราะฉะนั้น ผู้เข้าใจผิดทำใจในใจผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ คุณบอกว่า ปัตติทานามัยเขาถึงผลทาน ก็เข้าถึงแบบมิจฉาทิฏฐิไปได้กุศลได้สมบัติได้ภพชาติ คุณทานแล้วก็ไม่มีทางจะบรรลุนิพพาน เพราะคุณทานแล้วไปได้ภพชาติ จะได้สิ่งที่เป็นสมบัติต่อ ถ้าเป็นบุญมันต้องเป็นวิบัติ มันต้องล้างกิเลส ต้องรู้กิเลส ต้องกำจัดกิเลสได้จริงมันจึงจะเป็นปัตติทานามัยที่แท้ เพราะฉะนั้น ภาษาดูท่าดี ปัตติ ทาน ดูดี มัย หรือมยัง สำเร็จ แต่เสร็จแล้วอธิบายผิด อรรถกถาจารย์ผิด ก็เลยไม่ใช่บุญ ปัตติทาน มีการละเอียดไปอีกว่าเป็นการบรรลุธรรม ก็ขยายความไปว่าบรรลุผิดหรือบรรลุถูก _สู่แดนธรรม… เอาบุญมาฝาก คำว่าเข้าถึง คุณไม่ได้ทำนะแต่เพื่อนไปทำมาเอามาฝากกันด้วย เพื่อนก็ได้เขาถึงแล้ว พ่อครูว่า…ข้อ 7 ปัตตานุโมทนามัย เมื่อเป็นสมบัติก็เอาสมบัติมาฝากสิ เข้าใจว่า ทานแล้วได้กุศลได้สมบัติ ไปทำบุญมาเอาบุญมาฝากเน้อ สาธุ ลูบใส่หัวเลยโอ้โห… เราอยู่บ้านไม่ต้องไปทำอะไรก็ได้แล้วคนเอามาฝาก ที่จริงแล้วกรรมเป็นของของตน ตัวเองทำตนเองได้ ตัวเองไม่ได้ทำแล้วจะบอกว่า เราได้ มันไม่ได้หรอก เขาไปทำทานเขาก็ยังทำผิด เขาก็เอาทานผิดๆเข้าใจผิดมาฝากอีก คนก็เลยเข้าใจผิดไปต่ออีก เพราะฉะนั้นปัตตานุโมทนามัยก็คือ ยินดีด้วยที่คุณได้ดีและเอาดีมาฝาก เอาสมบัติมาฝาก เอากุศลมาฝาก มันไม่ใช่บุญ มันเป็นกุศล คุณเอามาฝากนั่นมันเป็นกุศลเท่านั้น มันเป็นสมบัติ บุญนั้นมันเป็นวิบัติ เอามาฝากกันไม่ได้ ใครทำใครได้ ใครตัดกิเลสของตนคนเดียว วิบัติฝากไม่ได้ คุณต้องวิบัติกิเลสของคุณเอง ต้องกำจัดกิเลสของคุณเอง เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้ อรรถกถาอาจารย์ เกจิอาจารย์ผู้รู้ที่เพี้ยน นี่แหละพาให้ศาสนาพุทธเสื่อม ผิดไปเรื่อยๆๆ ตามนี้ แล้วก็เรียนต่อกันมาเป็นตำราเห็นไหม ฟังดีๆนะอาตมาชำแหละวันนี้ อปจายนมัย เวยยาวัจจมัย 2 ข้อนี้เป็นกรรมกิริยาที่ดี เป็นการอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นการขวนขวายดี แต่พอเข้าถึงเนื้อหา ปัตติทานมัย ปัตตานุโมทนามัย บรรลุทานอย่างมิจฉาทิฏฐิของคุณก็ไปได้กุศล ไปได้สมบัติมา ไปได้ภพชาติมา ไม่ได้ตัดกิเลส ทานคือการให้ ให้แล้วเป็น 0 เลย ให้แล้วไม่ต้องไป สาเปกโข ไม่ต้องต่อภพชาติอันใด ให้แล้วจบ ไม่ต้องถือว่าเราได้ทำดี เราได้ทำกุศล แล้วไปเรียกว่าเราได้ทำบุญอีก ถ้าคุณทำบุญเป็นบุญที่สัมมาทิฏฐิ คือการตัดกิเลส ไม่ใช่กุศลอย่างนั้น มันเข้าใจยากกัน แต่คิดว่าผู้ฟังด้วยดี สุสูสัง ลภเตปันยัง ฟังดีๆอย่างเข้าใจจะได้ปัญญา เพราะฉะนั้นเกจิอาจารย์เข้าใจผิดก็เลย ขยายปัตติทานามัยผิด บอกว่าเอาบุญมาฝากนะ พอเป็นปัตตานุโมทนามัย เอาบุญมาฝาก ก็อนุโมทนา ยินดีด้วย หรือยินดีด้วยนะที่คุณได้บุญ ปัตตานุโมทนามัย บรรลุด้วยการยินดีด้วยที่คุณได้บุญ มันมีสัมมาทิฏฐิเหมือนกัน ถ้าคุณตัดกิเลสได้ดีจริงๆจะถูกต้องจริงๆสัมมาทิฏฐิจริง เราก็ยินดีกับคุณที่ปฏิบัติได้สำเร็จ มันก็เป็นปัตตานุโมทนามัยที่ถูกต้อง มาส่งข้อที่ 8 ข้อที่ 9 ธัมมัสสะวะนะวัย กับธรรมเทศนาใหม่ ธัมมัสสวนมัย เป็นการฟังธรรมแล้วก็จะได้ชำระกิเลสก็จริงถ้าคุณฟังทำเป็น รับรู้เอามาปฏิบัติ หรือธรรมเทศนาใหม่ คุณบรรลุธรรมแล้วเอาธรรมะไปเทศน์ เอาไปอธิบายเอาไปบอกผู้อื่น ก็เป็นกุศลของคุณ แต่คุณต้องมีความเป็นธรรมมะโลกุตรธรรม หรือการรู้กิเลส ละกิเลสถูกต้อง แล้วคุณทำได้คุณก็ไปบอกเขาอย่างถูกต้อง ก็ดี แต่ถ้าอย่างที่เข้าใจผิด เป็นปัตติทานมัย ปัตตานุโมทนามัย คือตัวผิดตัวแท้เลย ปัตติ แปลว่าการบรรลุการเข้าถึง เข้าถึงทานที่ผิด แล้วก็ไปยินดีในทานที่ผิด เอามาแบ่งกันอีก แบ่งบุญกันอีก ซึ่งมันแบ่งไม่ได้ บุญแบ่งไม่ได้ บุญใครบุญมัน บุญคือการตัดกิเลส ชำระกิเลสของเราเองหมด ของเรา คนอื่นจะตัดกิเลสของตนเองก็ต้องเป็น กัมมัสกะ เป็นกรรมของเขาเองใครทำแทนใครไม่ได้ ไม่ได้ บุญนี้แทนกันไม่ได้เลย ฟังให้ดีๆ บัญญัติคำว่าบุญคำเดียวนี่แหละ มันพิการมันวิปริต มันเข้าใจผิดมันมิจฉาทิฏฐิกันมานาน นี่คือความเสื่อมของโลกุตรธรรม บุญเป็นโลกุตระเป็นพลังงานที่ลึกซึ้ง อาตมาอธิบายไว้แล้วว่าต่อจากพลังงานฌาน 1 2 3 4 เพราะฉะนั้นบุญอยู่ที่ฌานที่ 4 หรือชั้นที่ 5 ก็ได้ ชั้นที่ 1 คือพลังงาน ที่เผากิเลส หรือประหารกิเลส ใช้คำว่าเผาเป็น อุณหธาตุ ไม่ได้ใช้เป็นวัตถุ ด้วยมีดพร้าด้วยหนาวด้วยขวาน เป็นดาบเป็นง้าว ไม่ใช่ แต่เป็นพลังงาน พลังงานปัญญา ฌานคือปัญญาปัญญาคือฌาน ฌานคือพลังงานปัญญาที่สร้างความเฉลียวฉลาดโลกุตระที่จะอยู่เหนือ ไฟเหมือนกัน อุณหธาตุ เหมือนกัน ราคะ โทสะ โมหะ แต่ฌาน เป็นตัวปัญญาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ฌาน เป็นปัญญาเป็นพลังงานไฟ อุณหธาตุ ที่มันเหนือชั้นกว่าไฟราคะ โทสะ โมหะ มันเป็นความจริงจึงทำลายกันได้ ถ้าคุณทำไม่ถูกไม่จริง ทำลายไม่ลง มิจฉาทิฏฐิทำผิด ทำไม่ลง ทำไม่ได้ ต้องถูกต้องจริงๆจึงเป็นพลังงานฌาน พลังงานปัญญา หรือ พลังงานบุญ ที่จะกำจัด สลายกิเลสลงไปได้ เผากิเลสไปได้ ท่านใช้คำว่าไฟ ท่านใช้คำว่าเผา มันทำให้เป็นจุลเป็นขี้เถ้าไปเลยนะ เป็นผุยผงไปเลย เอาวัตถุมาเรียกชัดเจนดี มันสลายสภาพนั้นไปเลย เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจสภาวะผิดจากบัญญัติ ฌาน เข้าใจคำว่าบุญผิด บุญกิริยาวัตถุมันก็เลยเพี้ยน เพราะฉะนั้นสรุปซ้อนอีกที ข้อ 4 มาถึงข้อ 10 นี้ เป็นคำอธิบายเพี้ยนผิดของอาจารย์ เป็นอรรถกถา เป็นคำพูดของอาจารย์รุ่นหลังที่มิจฉาทิฏฐิ เพราะฉะนั้นบุญกิริยาข้อ 4 ถึงข้อ 10 คือ ความรู้มิจฉาทิฏฐิ เอาละสิ…. วันนี้ ชำแหละกันหนักเลย เพราะฉะนั้น เมื่อปัตติทานมัยก็ผิดเพี้ยน ปัตตานุโมทนามัยก็เพี้ยน กลายเป็นเรื่องสมบัติ กลายเป็นเรื่องที่ได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องสูญหาย ไม่ใช่เรื่องวิบัติ เสร็จแล้วคุณก็เอามาสอนเป็นการพูดเรียกว่าได้ฟังการเทศน์การพูด เป็นธัมมัสสวนมัย มาฟังเป็นเทศน์แล้วก็สอนผิดๆมาจากข้างบนทั้งหมด ก็เลยพากันบรรลัยจักรหมดเลย ผิดหมดเลย ขออภัยวันนี้ใช้ลูกระเบิดปรมาณู ขอยืมของคิมจองอึนมาหน่อย หรือของปูตินก็ได้ เพราะฉะนั้น ข้อที่ 10 ทิฏฐุชุกรรม คุณก็ไปตีขลุ่มว่าเป็นความถูกตรง ถ้าคุณไม่ถูกตรงโดยสภาวธรรมจริงแล้ว คุณก็เอาภาษามาตีขลุมว่าถูกตรง คุณก็เป็นการขี้โกง เอาความผิดไปเป็นความถูก ไปขี้โกงเอาของพระพุทธเจ้า ที่ถูกๆไปทำผิดๆ คุณก็บาป เพราะฉะนั้นข้อ 10 ทิฏฐุชุกัมม์จึงเป็นความเห็นที่ถูกตรงที่เขาตีขลุมเอาหมด หมดเลย ว่าอย่างนี้แหละ นี่คือความเสื่อมของธรรมะพระพุทธเจ้ามาตามลำดับ เป็นการอวดดีของเกจิอาจารย์หรืออรรถกถาอาจารย์หรือผู้รู้รุ่นหลัง แล้วก็สืบทอดกันไว้ด้วยความผิด ผิดจาก 1 จาก 2 กระจายไปเรื่อยๆผิด 3-4 ผิดยกกำลังสูงขึ้น สูงขึ้น 2,500 ปีมาถึงวันนี้ความผิดพลาดมาก ที่อาตมาหนักมากต้องแก้ไข คนที่ฟังคำอธิบายจากอาตมาไป กาลามสูตรพระพุทธเจ้าก็บอกไว้แล้วว่าอย่าเพิ่งเชื่อทุกเรื่อง คุณเข้ามาสิ มาสอดแนม มาปฏิบัติ ลองเลย ที่อาตมาพาปฏิบัติแล้วคุณจะได้รู้จริง คุณจะได้เป็นคนสะอาดดี สะอาดดีมาสอดแนมอาตมา เป็นตำรวจถูกใช้ให้มาสอดแนมอาตมา เลยมาเข้าใจธรรมะที่นี่ แล้วก็ไม่ไปแล้ว ปลดเกษียณแล้วอยู่ตรงนี้ อยู่ไปจนกระทั่งตาย เผาไปแล้ว เลยได้ธรรมะไปเลย มาจับโจรได้อยู่กับโจร ที่จริงไม่ใช่โจร มาเข้าใจผิดว่าเป็นโจร อาตมาพูดไปกลับไปกลับมาฟังดีๆ มันไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องยากมาก สรุปที่เบญจวรรณถามมา ทานมัย กับ ปัตติทานมัย มีสภาวะจิตกับสภาวะธรรมอย่างไร สภาวธรรมนั้นได้ทั้งรูปธรรม นามธรรม สภาวะจิตคือนามธรรม มันก็ต่างกันอีก สภาวะจิตคือนามธรรม สภาวธรรมมันมีคู่ ธรรมะมีคู่ ถ้าธาตุ มันมาเดี่ยว ถ้าธรรมมันมีคู่ เป็นต้นธาตุ ต้นธรรม ต้นธาตุคือเดี่ยว ต้นธรรมคือคู่ อาตมาเอา sms มาหมดพอดี เหลือเวลาอีก 15 นาที มหาวิทยาลัยนี้เกิดมาเพื่อเป็นปฏิปักษ์กับศาสนา อาตมาเลยจะเก็บตก เรื่อง “บริบูรณ์” เรื่องเก็บตกต่างๆ ซึ่งอธิบายไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ผ่านมา คบสัตตบุรุษ ที่เป็นผู้ที่มีความรู้จริง สัตตบุรุษคือผู้ที่มีความรู้จริง เป็นผู้ที่มีความรู้ความจริงที่จริง เพราะฉะนั้นเรื่องผู้ที่มีความรู้ที่จริงและท่านเป็นผู้ที่มีจริงนี้ มันไม่ใช่เป็นแต่เพียงแค่ เรียนรู้บัญญัติเรียนรู้พยัญชนะ ภาษา ตรรกะต่างๆ สำนักตักสิลาคือ สำนักที่เรียนรู้เหมือนมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย เป็นที่ให้ความรู้ทางบัญญัติ ทางภาษา แต่ อนุวิทยาลัย พวกชาวอโศก เป็นอนุวิทยาลัย ไม่ใช่มหาลัยน้อย เป็นอนุวิทยาลัย ไม่ใช่มหาวิทยาลัย มีพวกผู้ที่เป็นผู้รู้กันในยุคนี้ เขา Facebook เขา LINE มาว่า มหาวิทยาลัยนี้เกิดมาเพื่อเป็นปฏิปักษ์กับศาสนา เขาว่าอย่างนั้น ลึกๆซึ้งๆ จริงนะ มหาวิทยาลัยสงฆ์ ยังเมืองไทยก็มีมหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 ฝ่าย มหานิกายกับธรรมยุต เกิดมาเพื่อเป็นปฏิปักษ์กับศาสนา อาตมาว่าจริง ลึกซึ้งมาก เพราะยึดบัญญัติ ยึดภาษา เพราะงั้นอย่าว่าแต่ของศาสนาพุทธเลย ของศาสนาเทวนิยมก็ตาม มหาวิทยาลัยต่างๆสอนบัญญัติทั้งนั้น คุณเรียนบัญญัติแล้วคุณก็เอามาปฏิบัติให้เกิดสมาธิที่จริงแล้วจะเกิดผล แต่ผู้ที่ไปเป็นอาจารย์ส่วนมาก ก็เรียนจากสำนักตักสิลาหรือว่าเรียนจากสำนักมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยที่เป็นหลักเป็นฐาน รวมผู้รู้ไว้ ถ้ามหาวิทยาลัยใดมีผู้รู้ที่เป็นสัตตบุรุษจริง เป็นผู้บรรลุธรรมจริงก็ดีไป แต่สัตตบุรุษก็จะไม่ค่อยไปรับใช้มหาวิทยาลัยเท่าไหร ท่านจะเป็นอิสระเสียส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้น สัตตบุรุษท่านจะเป็นอิสระ เมื่อท่านเป็นอิสระ ไม่มีคณะไม่มีโครงสร้างไม่มีองค์ประกอบ ที่เป็นอะไรต่ออะไรเป็นพิธีการ เป็นแบบ..จะว่าไป มหาวิทยาลัยมันไม่มีประโยชน์ ก็ไม่ได้ อย่างน้อยมันก็ประสาทพยัญชนะ ให้เรียนรู้พยัญชนะ ข้อสำคัญก็คืออาจารย์ที่สอนในสำนักนั้น ต้องเป็นสัตตบุรุษจริง ถ้าสัตตบุรุษเป็นอาจารย์อยู่ในนั้นจริงก็จะสำทับการปฏิบัติ ธรรมใดๆก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ ไม่ปฏิบัติ คุณจะเรียนพยัญชนะมาเท่าไหร่ๆ เป็น Lerned Man เป็นผู้คงแก่เรียน แล้วก็จะกลายเป็น ปทปรมบุคคล แต่ก็จะเป็นบุคคลผู้รู้มาก ซึ่งขณะนี้มีตัวอย่างอยู่ในประเทศไทย ก็ยังหลุดไม่ออกจากลาภ ยศสรรเสริญ แล้วกรึ่มอยู่ในโลกียสุข อยู่อย่างนั้นแหละ บุคคลทางสายเชิงพยัญชนะความรู้ ก็มีตัวบุคคลอยู่ เดี๋ยวนี้ก็มี บุคคลทางเจโตก็มี แต่เดี๋ยวนี้ก็มี หัวหน้าๆ ตั้งแต่อาจารย์เสาร์ อาจารย์มั่น มหาบัว ซึ่งก็มิจฉาทิฏฐิกัน ขออภัยนะที่อาตมาพูดตรง พูดลัด พูดชื่อ พูดไม่ได้ดูมันแข็งๆ ก็ต้องขออภัย ท่านก็เป็นภันเตนะก็ต้องขออภัยบวชก่อน ก็เสียกันไปแล้ว อาตมาก็ต้องพูดความจริง ความจริง อาตมาจริงๆไม่ใช่เป็นคนห่าม คะนอง แต่อาตมาต้องพูดมันดูท่าทางแข็งกระด้าง ไม่อ่อนน้อม ไม่กะหนุงกะหนิงเท่าไหร่ มันเปรี้ยงๆ จนอาตมาได้รับฉายาว่า เป็นขวานจักตอก พูดตรง พูดแข็ง พูดแรง ซึ่งเป็นการคัดเลือกคนชนิดหนึ่ง คนที่ น๊องๆแน๊งๆ มาอยู่กับอาตมาไม่ได้หรอก ต้องคนที่เด็ดต้องขาดหน่อยหนึ่งมาปฏิบัติธรรมกับอาตมาได้สำเร็จได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องง่าย เพราะฉะนั้น การรู้ความจริง จากคนจริงๆ ที่บรรลุจริง มีธรรมะจริง จึงเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อได้ในยุคที่ขออภัยที่ต้องพูดความจริงว่า คนโง่ คนฉลาดน้อย ก็ต้องพากเพียรหน่อย อาตมาว่า นี่มันจริง ฉะนั้นดูเหมือนเขาจะเป็นผู้รู้ เป็น Lerned Man เป็นผู้คงแก่เรียน เป็นผู้เรียนมาก ปรปรมบุคคล อย่างที่อธิบายไปแล้วมันก็มีตัวอย่างให้เห็น พวกที่เข้าใจหลับตาปฏิบัติธรรมก็ไปสายมืดสายป่า ไปตามพยัญชนะความรู้ความเห็นที่เป็นตรรกศาสตร์มันก็ไปกันอีก มันก็เลยไปยึดติดสิ่งที่หลงเลอะเทอะพวกนั้น ทำไมต้องพูดจริงๆ ปราชญ์ทั้งหลายทางโลก ปราชญ์ เขาถือว่าเป็นผู้รู้ ส่วนผู้ที่บรรลุธรรม เขาไม่ถือว่าเป็นปราชญ์ เขาถือว่าเป็นอริยบุคคล ปราชญ์นี้บางทีเขายังไม่ให้เป็นอริยบุคคลเท่าไหร่ แต่ก็เป็นผู้ที่รู้มาก แต่ทางอริยบุคคลถือว่า เป็นผู้ที่บรรลุทางจิตเลย นั่งหลับตาบรรลุทางจิต นี่คือมิจฉาทิฏฐิ นี่คือความเข้าใจผิด 2 ฝ่ายที่อาตมามาขยายความเป็นพญานาคกับพญาครุฑ พญาครุฑไปโน่นเลยขึ้นเวหาไปนู่นเลย ส่วนพวกลงดิ่งในบาดาลก็เป็น อตัปปาไปเลย เวหัปผลากับอตัปปา พญาครุฑกับพญานาค อตัปปาคืออัตตา เวหัปผลาคือขึ้นสู่เวหาไปเลย ส่วนพวกที่เป็นคุ้มพญานาค คือเป็นพวกที่ไม่รู้เรื่องอัตตา อตัปปา ลงดิ่ง เป็นพญานาค เพราะฉะนั้น ที่มีพูดกันว่ามหาวิทยาลัยนั้นเกิดมาเพื่อเป็นปฏิปักษ์กับศาสนานั้นก็จริง ที่เป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่จริงไม่ชัดเจน สังคมทุกวันนี้มีตัวอย่าง ที่เป็นแบบอย่างต่างๆที่กล่าวพาดพิงไปถึงหลายท่านหลายคนแล้ว เป็นตัวอย่างที่เราจะได้ศึกษา แม้แต่พวกอาตมาก็เป็นตัวอย่าง แต่ผู้ที่มีปัญญาเท่านั้นที่จะเห็น พวกอาตมาชาวอโศก เป็นตัวอย่างที่จะน่าจะมาเรียนรู้ปฏิบัติตาม แต่เป็นพวกอนุวิทยาลัย ไม่ใช่มหาวิทยาลัย จริงๆแล้วอาตมาขวนขวายเพื่อจะขอตั้งมหาวิทยาลัยนะ แต่ขวนขวายยังไงก็ไม่ได้ ก็เลยไม่เอา ไม่ตั้ง ก็ดี อาตมาเห็นแล้วว่าก็ดีเหมือนกันนะ ดีตรงไหน ดีตรงที่ว่าไม่ต้องไปแข่ง ไม่ต้องไปแย่งลูกค้า ไม่ต้องไปรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นใครที่มีภูมิปัญญา ใครที่เข้าใจ ใครที่สมัครใจมาเอง ก็เป็นการ Entrance ตรวจสอบคัดเลือก ผลการสอบคัดเลือกในตัว เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นสัจจะที่ดีมากเลย ถ้าอาตมาไปตั้งมหาวิทยาลัย มันจะคัดเลือกไม่จริง แต่นี่คัดเลือกด้วยสัจจะ คัดเลือกด้วยภูมิธรรม คัดเลือกด้วย…. ทั้งหมดของชาวอโศก เป็นมหาวิทยาลัย แต่มันไม่ใช่เป็นวิทยาลัยที่ไปจดทะเบียน มันก็เลยไม่ได้เป็นมหาวิทยาลัย มันก็เลยกลายเป็นอนุวิทยาลัย เหมือนกับเป็นพวกวิทยาลัยเถื่อน นอกทำเนียบแอบแฝง เหมือนกับอนุภรรยา ไม่ได้จดทะเบียน ถ้าหลวงภรรยาก็จดทะเบียน ถ้าอนุภรรยาก็ไม่ได้จดทะเบียน คล้ายๆอย่างนั้น ก็จริงๆนะ แต่อาตมาก็ไม่ได้มีปัญหา ไม่ได้สงสัย ไม่ได้ท้อถอย ไม่ได้ท้อแท้ ไม่ได้อ่อนแรง ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องร้าย แต่เป็นเรื่องท้าทายด้วยซ้ำไป เป็นเรื่องที่เห็นจริง อาตมาอายุปูนนี้เข้าไปแล้ว ก็ยังจะพากเพียรเพื่อที่จะทำงานให้ได้นานที่สุด เพื่อพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างที่กล่าวไปแล้ว และก็ได้ทำงานต่อเนื่องไป ขออย่างเดียวเถอะ อย่าให้มีพยาธิรบกวนเท่านั้นเอง ก็ไม่ได้เป็นโรคภัยอะไรมากมายนัก แต่ความเสื่อมของสังขารนี่เห็นชัดเจน ทุกวันนี้ อาตมาต้องอาศัยพักผ่อน ต้องอาศัยนอนเยอะ กินก็กินไม่ค่อยได้เยอะเท่าไหร่ แต่เขาก็พยายามจะให้กินเยอะๆ มันก็จะขย้อนออกมา อาศัยสิ่งที่จะเข้าไปสังเคราะห์สังขารร่างกาย ก็พยายามประคองชีวิตนี้ ขันธ์นี้ไปเพื่อทำงาน เพื่อที่จะทำงาน ก็เต็มใจ ไม่ได้ท้อถอยอะไร _สู่แดนธรรม… สรุปจบ Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin28 ตุลาคม 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:ฉบับที่ ๕๔๒ (๕๖๔) นสพ.ข่าวอโศกรายปักษ์ ปักษ์หลัง ตุลาคม ๒๕๖๕NextNext post:651031 สลายพระเจ้าแห่งอวิชชาด้วยปัญญาจากสัตตบุรุษ รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 61Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024