651019 ฟังธรรมให้เกิดปัญญาเพื่อสละตัวตน พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1JeJgXXTbhJlPDvTtE1Z0guWv6HuE8XCChPMLrmZLGQE/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1aMjIbfkBYt0VGNfyTJHFToF6JLZLvlBp/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/T5Py9j0zJ2A
และ https://fb.watch/gfGzXX4HX3/
พ่อครูว่า… วันนี้วันพุธที่ 19 ตุลาคม 2565 แรม 9 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล วันเวลาก็ล่วงไปเรื่อยๆ เข้าหน้าหนาวแล้ว พายุก็ผ่านไป ก็เป็นไปตามธรรมชาติ
SMS วันที่ 14-16 ต.ค. 2565
มรณานุสสติ พตท.สอาด สุขจิตต์
_จรรยา ประเสริฐ · มาฟังรีรันอีกครั้งแล้ว เมื่อวานฟังพ่อ พ่อบอก อยากตาย ฟังไปใจหาย นึกไปถึงว่า เราต้องทำตัวให้หมดกิเลสให้มาก ถึงมากที่สุด มาฟังท่านติกขวันนี้ เห็นท่านดงเย็น ท่านอายุขนาดนี้ ท่านยังมีพลัง มีระเบียบวินัยให้กับตัวเอง ในการดำรงชีวิตอยู่ให้นาน เพื่ออยู่ให้ได้ถึง 120 ปี ยิ่งชัดมาก ออกกำลังกายด้วยการเดิน เสียงท่านพูดไม่เหมือนคนป่วยเลย อิทธิบาทเท่านั้น ที่ทำให้ท่านมีพลัง ทำตามความตั้งใจได้ นึกถึงพี่น้องที่อยู่ในวัด นอกวัด ก็เพียรต่อไป ตามฐานของตัวเอง ที่สุด ทุกคนก็ต้องตาย สละบ้านช่องเรือนชาน ครอบครัว ญาติพี่น้อง สมบัติพัสถาน ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องไปทุกคน กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า…วันนี้พวกเราก็ไป 1 คน คือพันตำรวจโทสอาด สุขจิตต์ เกิดปีระกา แก่กว่าอาตมา 1 ปี ก็ 89 แต่แกบอกแกอายุ 90 คือมันชักหลงๆ วันนี้ก็ไปแล้ว ตายกี่โมงนะเนี่ย แจ้งมาตอน 14:22 น. ตอนนี้ก็ เฮือนสุดชีวิตที่เผาของเราก็จมน้ำอยู่ น้ำท่วมเผาไม่ได้ ต้องไปอาศัยวัดกุดระงุมแล้ว ต้องไปเผากันที่วัดกุดระงุม ตอนที่ทำหน้าที่ตำรวจอยู่นั้น ตำรวจเขาส่งให้มาสอดแนมชาวอโศก สอดแนมไป สอดแนมมาเลยเป็นชาวอโศกไปจนกระทั่งตายอยู่กับชาวอโศกเลย ก็เป็นไป ในภาพตอนยังหนุ่มอยู่
ก็ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็เป็นธรรมดา ตายก็ตาย อาตมาเองก็ยังพอเป็นไป แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเมื่อไหร่ ก็อยู่ได้ก็อยู่ไป อยู่ไม่ได้ก็ตายไป ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติมนุษยชาติ แล้วแต่
อย่างศาสนาเราก็เผาเป็นหลัก แต่ก็ยังมีคนฝังนะ คนไทยนี่ก็ยังไม่ยอมเผาก็มี ฝัง ผู้ที่เขาชัดเจน เขาก็จะเผา พวกที่นอกรีตนอกรอยหน่อยก็ถึงขั้น จะเอาไว้เป็นอมตะใส่โลงแก้วไว้ก็มี แล้วทักษิณก็บอกว่า ตายแล้วไม่ต้องเผานะ ให้เอาไว้นิรันดรเป็นอมตะ ก็ว่าไป
พระพุทธเจ้าบอกว่า ให้เผาเร็วที่สุด แม้แต่ญาติที่เดินทางไกลยังมาไม่ถึง ก็อย่าไปรอ ให้รีบเผา เพราะว่าคนตายแล้วมันมีแต่จะน่าเกลียดน่าชัง ความห่วงหาอาลัยมัน ยังมีเชื้ออยู่ จัดการเผาสลายเป็นเถ้าไป มันก็จะเบาบาง มันก็จะสลายความคิดถึงสำหรับคน เป็นวิธีการที่ชัดเจนที่ดีที่สุดแล้วสำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่แนะนำให้แต่ละคนทำ ซึ่งในยุคนั้นมันมีการตายแล้วจะเผาจะฝัง จะลอยน้ำอะไรต่ออะไรก็มี อยู่ในอินเดียก็มีทั้งนั้น
อันนั้นก็เป็นเรื่องของมนุษยชาติ
_ตุ๊ก อัศวิน · ได้สดับคำปรารภของท่าน ส.ติกข ให้เตรียมตัว..เตรียมใจในเรื่องการพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักเคารพยิ่ง.. แล้วจิตตก..น้ำจิจะพาลไหลออกตา..เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…จะไปตกทำไม ก็ทำใจให้เข้าใจ เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องสามัญ ทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ เข้าใจยังไม่ได้ มันก็ยังไม่เจริญ ถ้าจิตเจริญจริงๆแล้วก็จะรู้ความเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดาของทุกชีวิต ไม่มีอะไร ไม่มีใครจะไม่พรากจากกัน
_อรุณวรรณ มาลัย · กราบนมัสการพ่อท่าน สมณะ สิกขมาตุทุกท่านด้วยใจเคารพบูชา เป็นคนนอกวัดที่ได้โอกาสเรียนรู้ธรรมจากสื่อต่างๆที่ทางวัดดำเนินการ ฟัง อ่าน เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง มานานพอควรเจ้าค่ะ จนกระทั่งเมื่อปีก่อน คุณแม่ซึ่งเป็นชาวอโศกเต็มตัวท่านจากไปอย่างไม่ทันตั้งตัว ตอนนั้นเคว้งคว้างทางความคิด แต่ได้ธรรมะพ่อครูเป็นเหมือนแสงส่องให้ได้กลับมาทบทวนชีวิตและสู้ต่อค่ะ
พ่อครูว่า…ดี ธรรมะช่วยได้ ก็ดีแล้ว หมู่นี้รู้สึกว่า พวกเราจะพูดถึงการเกิด การตายเยอะเหมือนกันนะ ก็เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องจริงไม่ได้ประมาท เป็นเรื่องไม่ประมาท พูดถึงการเกิด การตาย แน่นอนมันต้องเจอกับเราสักวันหนึ่ง ไม่เราเอง ก็คนข้างเคียงหรือเพื่อนฝูงหรือใครก็แล้วแต่ อยู่ห่างไกลก็ตามก็ได้ข่าวเพื่อนตายก็มี ตอนนี้เพื่อนรุ่นๆอาตมาจะย่างอายุเลข 9 แล้ว เขาถือว่าคนแก่นะ แก่จริงหรือ อาตมาไม่เห็นแก่เลย เขาถือว่า คนแก่แล้ว
ก็จะพูดถึงการตายก็เหลือไม่เท่าไหร่ รุ่นๆอาตมา สมบัติก็ยังไม่ถึง 88 สมบัติอ่อนกว่าอาตมา 4-5 ปี สุเทพเกิดปีเดียวกัน สุเทพ วงศ์กำแหงไปก่อนแล้ว แต่เจ้าน้อย สุรพล โทณะวณิก ไม่รู้หรอก ก็มันเกิดวันเดือนอะไรปีอะไร เขาบอกว่า เขาอายุมากเท่านั้นเท่านี้ เขาก็ตีตัวสูงอยู่เรื่อย แต่เขาไม่รู้หรอกว่าจริงๆวันเกิด เขาไม่รู้หรอก ไม่รู้ว่าทะเบียนจะใส่ปีอะไร แต่จริงๆไม่ตรงกับวันเกิดเขาหรอก เจ้านี่เขากำพร้า มันจรจัด ก็ไม่รู้เรื่องว่าเกิดวันอะไร เดือนอะไร เห็นได้ข่าวว่าตอนนี้ก็อยู่ติดเตียง
ก็ระลึกถึงคนที่สนิทๆกัน ใครต่อใคร เจ้าน้อยสุรพล เก่งนะ เขาเป็นคนเก่ง มี Talent ไม่ได้เรียนหนังสือหนังหา แต่ก็ได้อะไรๆมา จนกระทั่งได้เป็นศิลปินแห่งชาติ ตอนนั้นทำให้กับแมกกาซีน เขียนหนังสือให้เขา ใช้นามปากกา เมฆพันวลี ขอใช้นามปากกาเดิมของเขา ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้ ก็อยู่ไป เราก็ระลึกถึงกัน ผู้ที่รู้จักกันที่ยังอยู่ก็ระลึกถึง คนตายไปแล้วก็ตาย
ธรรมะทำให้ทำงานอย่างมีความสุข
_สมนึก ไลลักษ์ · กราบนมัสการ พ่อครู กราบขอบพระคุณท่านมากค่ะ ที่เอาธรรมมาสอนให้ ลูกไม่ทุกข์เหมือนคนทั่วไปค่ะ เพราะธรรมทำให้ทำงานอย่างมีความสุข เจ้าคะ
พ่อครูว่า…ธรรมะทำให้ทำงานอย่างมีความสุข อันนี้เข้าสู่ธรรมะได้เลย
ผู้ที่ธรรมะทำให้ทำงานอย่างมีความสุข คือคนที่รู้จักปฏิบัติมรรค 8 นี้ตัวปฏิบัติก็มีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
มรรคมีองค์ 8 มีอะไรบ้าง 1. สัมมาทิฏฐิ 2. สัมมาสังกัปปะ 3. สัมมาวาจา 4. สัมมากัมมันตะ 5. สัมมาอาชีวะ 6.สัมมาวายามะ 7. สัมมาสติ 8. สัมมาสมาธิ
สัมมาสมาธิ ตัวนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน มหาจัตตารีสกสูตร ชัดเจนว่า สัมมาสมาธิเกิดได้เพราะมีการปฏิบัติ มรรค 7 องค์ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วเกิดสัมมาสมาธิ
นี่ก็เรียนมาหัวผุหัวพัง เขาเรียนกันมาเยอะ เปรียญ 9 ปริญญาเอกทางศาสนาพุทธ ก็เรียนกัน ก็ชัดๆ ในมหาจัตตารีสกสูตร
[๒๕๓] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉนดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์ ๗ เหล่านี้แล เรียกว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง ฯ
ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาและเกิดสัมมาสมาธิหรือไปเดินจงกรม เดินไปมาแล้วจะเกิดสัมมาสมาธิไม่ใช่ อันนั้นมันเป็นเรื่องสมถะไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้า สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นเป็นจิตที่กิเลส รู้จักกิเลส แล้วก็พิจารณาด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำให้กิเลสมันแพ้ กิเลสมันสลาย กิเลสมันจางคลาย กิเลสมันดับไปได้ ด้วยพลังปัญญา นี่คือ วิธีปฏิบัติ
เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าไปหลับตาเสียแล้ว หลับตาไม่มีปัญญาเกิดในศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธ ปัญญาเกิดในขณะลืมตาเท่านั้น ในมหาจัตตารีสกสูตรนี่แหละ ข้อ 258 เล่ม14
[๒๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะเป็นโลกุตระ
เป็นองค์มรรค เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญา ปัญญินทรีย์ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ความเห็นชอบ องค์แห่งมรรค ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่นี้แล สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระเป็นองค์มรรค ฯ
ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาทิฐิ เพื่อบรรลุสัมมาทิฐิ ความพยายามของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ ฯ
ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาทิฐิได้ มีสติบรรลุสัมมาทิฐิอยู่ สติของเธอนั้นเป็นสัมมาสติ ฯด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะสัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตามสัมมาทิฐิของภิกษุนั้น ฯ
พ่อครูว่า… เพราะฉะนั้น ปัญญาจะเกิดจากการปฏิบัติมรรค 7 องค์ และการปฏิบัติมรรค 7 องค์นั้นไม่มีให้ไปหลับตา ปฏิบัติในขณะคิด สังกัปปะเป็นสัมมา ปฏิบัติในขณะพูดมีวาจาให้เป็นสัมมา ปฏิบัติในขณะมีการกระทำการงานต่างๆ กัมมันตะ ให้เป็นสัมมากัมมันตะ
อยู่ในขณะทำงานอาชีพ ให้เป็นสัมมาอาชีพ มีสติตื่น พยายามตื่น ปฏิบัติ
เรื่องนี้อาตมาพูดมาตั้งแต่ต้นจนทุกวันนี้ 50 กว่าปีแล้ว เขาไม่สะดุ้งสะเทือนกันเลย ผู้ที่ไปลงผิดไปนั่งหลับตาปฏิบัติ
ขอยืนยันว่า นั่งหลับตาปฏิบัติไม่อยู่ในลัทธิศาสนาพุทธ เป็นเดียรถีย์ 100%
เดียรถีย์ คือ คนนอกรีตพุทธ คนนอกศาสนาพุทธ คนแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ
แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ คือผู้ที่พยายามจะสร้างจิตให้เกิดบุญ เข้าใจแบบนอกขอบเขตพุทธ ไปเข้าใจแบบเดียรถีย์
เพราะฉะนั้นคำว่า บุญ คำนี้ยิ่งใหญ่มาก เดี๋ยวนี้เสื่อมผิดเพี้ยนไปไกลมาก เข้าใจบุญว่าเป็นกุศล ผิดถนัดเลย ถ้าคุณเข้าใจว่า บุญ เป็นกุศลเมื่อไหร่ คุณจะไม่มีทางปฏิบัติธรรมบรรลุนิพพาน เพราะบุญนั้นทำงานเป็นพลังงานในปัจจุบัน ทำงานฆ่ากิเลสอย่างเดียว ฆ่าเสร็จก็หายไปไม่สะสมเลย กุศลนั้นสะสม ทำแล้วเป็นอันทำ
กุศลนั้นทำแล้วสั่งสมเป็นวิบาก กุศลเป็นสิ่งที่เป็นความดีงาม เป็นโลกียะ ส่วนบุญนั้นเป็นโลกุตระเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าอยู่ในศาสนาพุทธศาสนาเดียว ศาสนาอื่นไม่มี ศาสนาอื่นที่เอาไปใช้เป็นคำว่า นักบุญนั้น นักบุญนี้ทั้งนั้นเลย เก๊ แล้วเอาคำว่าบุญของศาสนาพุทธไปใช้ให้เสียหายหมดเลย บุญ ไม่ใช่เป็นเทวนิยม บุญเป็น อเทวนิยมเป็นนิพพาน ฆ่ากิเลสแล้วสูญ ปุญญปาปปริกขีโณ ภาษาบาลีว่าอย่างนั้น
ปุญญปาปปริกขีโณ แปลว่า สูญสิ้น สิ้นบาป สิ้นบุญ สิ้นบุญสิ้นบาป เพราะฉะนั้น ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร อภิสังขาร 3 ผู้ที่ไม่สัมมาทิฏฐิจะเข้าใจไม่ได้
เข้าใจว่า บุญเป็นกุศล ก็ยังไม่สัมมาทิฏฐิ อปุญญาภิสังขาร เขาจะไปอธิบายว่า อปุญญ ว่าเป็นอกุศล ที่จริงไม่ใช่ ที่จริง อปุญญาภิสังขาร เป็นกุศล คือเป็นอภิสังขารที่ไม่ต้องใช้บุญอีกแล้ว
เพราะฉะนั้นทุกกรรม สัพพปาปส อกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) เพราะ สจิตต ปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) เพราะจิตท่านสะอาดแล้ว ท่านกระทำกรรมที่เหลือไม่มีบาป สัพพปาปัสส อกรณัง มีแต่กุศลเกิดท่าเดียว บุญก็ไม่มี บาปก็ไม่มี ปุญญปาปปริกขีโณ แล้ว
ไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายๆนะ พูดกัน โอวาทปาติโมกข์ 3 นี่ก็พูดกันจังเลย แต่ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจได้ชัดเจนละเอียดลออเท่าไหร่
เพราะฉะนั้นยิ่งไปถึงคำๆหนึ่ง อยู่ในหนังสือเปิดยุคบุญนิยม เล่ม2 ข้อ 486 หน้า 361 หัวข้อบอกว่า บุพเพกตปุญญตา อธิบายกันอย่างไร
บุพเพกตปุญญตา ที่มีอยู่ใน จักรสูตร เล่มที่ 21 ข้อ 31
จักร 4 นั้น บรรดาผู้รู้ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ได้แปล บุพเพกตปุญญตา หรือให้ความหมายกันมาว่า ความเป็นผู้ที่ทำบุญไว้ในกาลก่อน หรือ ความเป็นผู้มีบุญ ได้กระทำไว้แล้วในปางก่อน
บุพเพ แปลว่า ปางก่อน อดีตที่ผ่านมาแล้ว ปุพพะ ปุพเพ แปลว่า ก่อน ปุพเพกต แปลว่าทำไปแล้ว เพราะฉะนั้น ความเป็นบุญที่ทำผ่านไปแล้วเกิดจากคนพวกนี้
ผู้ใดเข้าใจคำว่า บุญเป็นกุศลเป็นสมบัติ บุญก็คือสิ่งที่ได้มาใส่ตน ความเป็นบุญก็เติมเพิ่มขึ้นใส่อัตตาของตนเป็นสมบัติ ข้ามภพข้ามชาติมาด้วยเลย
นั่นผิดถนัดแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ บุญนั้นก็ไม่ใช่วิบัติ อันหมายถึง ทำความฉิบหายให้กิเลสไป กิเลสเสื่อมสิ้นไปจากจิตผู้นั้น แน่ะ
ก็จะกลายเป็นว่า ผู้นั้นทำบุญก็สะสมบุญ บุญ ก็เป็นสมบัติที่ยิ่งทำบุญ บุญก็ยิ่งมากขึ้น ๆ บุญก็ไม่ใช่วิบัติ บุญก็กลายเป็นตัวสมบัติ ก็เลยไม่เป็นอัน สิ้นบุญสิ้นบาป (ปุญญปาปปริกขีโณ ) ก็เป็นอันไม่ได้สำเร็จ สิ้นบุญสิ้นบาปกันได้สักที
แท้จริงนั้น บุญ คือ การชำระล้างกิเลสเท่านั้น แต่แท้จริงนั้นคำว่า บุญก็คือ ชำระกิเลสที่แปลงตัวเป็นจิตสันดานให้หมดจด สันตานังปุนาติ วิโสเทติ ก็คือการชำระกิเลสที่มันแปลงตัวอยู่ในจิตให้สะอาดเกลี้ยง แล้วบุญก็สิ้นไปจากจิตเช่นเดียวกับบาปที่สิ้นไป เป็นผู้ไม่มีบุญไม่มีบาปอีกแล้ว ที่เป็นสภาพของ ปุญญปาปปริกขีโณ ตรงตามคำตรัสของพระพุทธเจ้า
บุญ เมื่อชำระกิเลสเสร็จกิจ บุญก็หมดสิ้นไปพร้อมกับกิเลสหรือบาป ที่เป็น ซาตาน ให้หมดสิ้นไป ไม่เกิดในตนอีกแล้วตามที่บาลีว่า ปุญญปาปปริกขีโณ คนผู้นั้นจึงจะชื่อว่า มีนิพพานได้แท้จริง และเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป เป็นผู้จบกิจ
ข้อต่อมา 488 หมดหน้าที่บุญ ที่เหลือคือ อภิสังขาร
นั่นคือเป็นผู้ไม่มีกิเลส ไม่มีบาป ไม่มีซาตานเกิดขึ้นในจิตผู้นั้นอีกเลย ตลอดกาลนิรันดร ดังนั้นบุญก็หมดสิ้นไปด้วย เพราะพลังงานจิตก็ไม่จำเป็นที่จะต้องชำระกิเลสอีกแล้ว การปรุงแต่งจิต หรือปรุงพลังงานจิตขึ้นมาทำงานต่างๆ ที่ภาษาว่า อภิสังขารคือปรุงแต่งพลังงานจิตอยู่ตามปกติที่เป็นคนไม่ตาย ซึ่งไม่ใช่การสังขารปกติ ของปุถุชน
แต่เป็นการปรุงแต่งอย่างอภิสังขารของอริยชนแท้ๆ และเมื่อจบกิจก็ไม่ต้องเป็นบุญกันอีกแล้ว
เพราะฉะนั้น สังขารหรืออภิสังขาร พลังงานจิตที่ทำอภิสังขารได้ต่อกัน ไม่เป็นบุญกันอีกแล้ว แต่เป็น อเนญชาภิสังขาร สั่งสมลงไปให้ตั้งมั่นแข็งแรงไม่หวั่นไหวไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นภาษาก็คือ อปุญญะ ซึ่งก็คือไม่เป็นบุญ กันอีกแล้ว แม้จะมีการสังขารก็เป็นขั้นอภิสังขาร เช่น ยังเป็นฌานอยู่ เป็นต้น ก็ได้ พลังงานจิตที่เต็มไปด้วยปัญญา ฌานคือปัญญา แล้วไม่มีบาปเกิดในจิตอีกแล้ว จึงอย่าไปแปลคำว่า อปุญญะที่เป็น อปุญญาภิสังขารว่า บาป กันอีกล่ะ เพราะท่านผู้นี้เป็นคนสิ้นบุญ สิ้นบาปแล้ว
ซึ่งแค่นี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเข้าใจกัน อาตมาก็เมื่อยๆ แต่เมื่อยก็ต้องทำ เพราะอาตมาเลือกงานนี้ ชีวิตของอาตมานี้ไม่มีงานอื่นที่จะทำ คนจะมาจ้างอาตมาไปทำงาน เดือนละ 50 ล้าน เดือนละ 100 ล้าน ให้เงินเดือน ไม่ได้ จริง แล้วคนก็จะบอกว่าใครจะมาจ้างเอ็ง ก็จริงอีก
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
ธรรมะโลกุตระนั้นทวนกระแสโลก ปฏิโสตัง
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านมาชาตินี้ เอาความรู้ชาติก่อนมาสอนพวกเรา ไม่มีอาจารย์
พ่อครูว่า… ใช่ ยังอีกนาน คนที่เขาหยิ่งผยองในความรู้ของเขา
_สู่แดนธรรม… ซึ่งคำของพ่อท่าน ผมเคยคิดว่า ใครฟังแล้วเชื่อในทันที คงเป็นคนที่พิเศษเหมือนกันนะครับ คนเหล่านี้ก็จะถูกมองว่า เป็นพวกบ้าๆบอๆเหมือนกัน
พ่อครูว่า… จริงนะ พวกที่บรรลุธรรมที่เป็นโลกุตระ มันเป็นคนแปลกจากกลุ่มโลกียะเขา เขาก็ไปทิศทางเดินแบบเขา ส่วนโลกุตระอารยธรรมของพระพุทธเจ้านั้นสวนทาง ปฏิโสตัง มันสวนทางกัน เพราะฉะนั้น แน่นอนมันย่อมไม่เหมือนกันแน่ ถ้ามันเหมือนกัน มันก็ไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องไปในทางเดียวกัน
เพราะฉะนั้น จะไปทางของคุณที่คุณว่าถูกแล้ว เราก็ไปอีกทางหนึ่ง แต่มันมีอีกอันสวนทางกัน ตอนนี้ไม่ใครก็ใครต้องเป็นผู้ถูก สวนทางกัน ไม่คุณก็เราล่ะถูก คนหนึ่งผิดแน่ เพราะฉะนั้นก็ต้องมาพิจารณากันดูว่า ถ้าฝ่ายใหญ่ กระแสหลักถูก ศาสนาพุทธจะเป็นอย่างนี้ไหมอย่างที่มันเป็นอยู่ทุกวัน ที่คุณบอกว่า โอ้โห! มันเคารพพระกันจะไม่ได้กันแล้ว ต่างๆนานาสารพัดของคุณ แต่คุณเคารพกันอยู่ก็เป็นโลกีย์ว่า ยังมี แต่ธรรมะพระพุทธเจ้านั้นเป็นโลกุตระมันเหนือกว่าตรงสวนทางนี่ล่ะ ถ้าไปโลกียะเหมือนกันมันก็จะไปดีๆสูงสุด แต่นี่ไม่ใช่แม้แต่ดีสูงสุดก็ไม่เอา ของพระพุทธเจ้านี้ ดีสูงสุดก็ไม่เอา แต่ทำดีสูงสุดให้ได้แต่ไม่ได้ยึดดีเป็นเราเป็นของเราไม่เอา
เพราะฉะนั้น อาตมาทำดีสูงสุดได้ ขออภัยนะที่พูดตรงๆชัดๆพูดความจริง อาตมาพูด 2 คำ วกไปวนมา ไม่ค่อยเก่ง พูดมีแต่คำจริง เปรี้ยงๆ คำเดียว
อาตมานี่ ทำและพูด ก็อย่างเดียว ไม่เป็น 2 อย่าง เป็นโลกีย์บ้าง เป็นโลกุตระบ้าง ไม่ใช่ โลกียะบางทีมันก็ทำดีบ้างไม่ทำดีบ้าง แต่ของโลกุตระต้องทำดีอย่างเดียวและดีไปหาความสูญด้วย
ดีไปหาสูญ จริงๆ อาตมาพูดแต่คำจริง คำไม่จริงไม่มี พูดแล้วก็น่าหมั่นไส้ พูดอะไรไม่จริงไม่มี พูดอะไรจริงหมด มันเป็นไปได้อย่างไร มันก็ต้องมีผิดบ้างพลาดบ้าง อาตมาว่า ยากเนาะ
_สู่แดนธรรม… มันมีสภาพย้อนแย้งด้วยครับ ดี ไปหาความสูญ แต่ของพ่อท่านสูญ นี่แหละมีเยอะ สูญ เท่ากับอนันตัง
พ่อครูว่า… Infinity เลย
_สู่แดนธรรม… ศึกษาแต่ชั่วดีเป็นกุศล ก็จะไม่เหมือนกันกับนักธรรมะ ถ้าเหมือนกันเมื่อไหร่ก็จะเป็นโลกุตรบุคคล บุตรดีเหมือน จะเป็นลูกที่ดีเลยนะ
พ่อครูว่า… มันมีชาวอโศกเราคนนึงมีนามสกุล บุตรดีเหมือน
ข้อ 489 ย้ำ บุญ เป็นเรื่องจบกิจ จริงๆ อย่าวนเวียน เป็นคนไม่จบกิจ แม้จะหมดบาป หมดบุญแล้วก็อย่าหลงติด ติดอยู่กับพยัญชนะ วนกลับไปเอาอปุญญะ ไปเป็นบาป วนกลับไปเป็นบาปอีก ทั้งๆที่คนผู้นี้ทำกรรมใดก็ไม่เป็นบุญอีกแล้ว ก็ยังไปหลงแปล อปุญญะ เป็นบาปอีก มันก็ไม่สิ้นบุญสิ้นบาปกันได้สักที ถ้าขืนวนกันไม่สิ้นสุดได้เลย การจบกิจก็มีไม่ได้เลย
ดังนั้นคำว่า บุญ หรือปุญญะ ถึงไม่ใช่พลังงานที่จะ ปุญญาภิสังขารแล้วยังจะสั่งสมบุญลงไปในจิตอีก และเมื่อผู้ที่ ปุญญาภิสังขารเสร็จ เป็นอปุญญาภิสังขารและ ก็ยังจะให้กลับไปเป็นบาปอีก และเมื่อไหร่ผู้ที่ทำอภิสังขารจึงจะเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป ที่บาลียืนยันว่า ปุญญปาปปริกขีโณ กันได้สักที
เป็นเรื่องโลกุตรธรรมที่ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ในพระวินัยปิฎกเล่ม 1
สันตา เขาแปลกันง่ายๆว่าสงบ สันตา สันติ เขาแปลง่ายๆว่า สงบ มันคือ…ขออภัยนะ ขอวิจัยตามภาษาไทย ทาง เถรสมาคมเขายี้เลย
ส กับ อันตา อันตา แปลว่า ข้างหรือฝ่าย แปลว่าที่สุด ปลายข้างฝ่ายสุด หรือข้างใดข้างหนึ่ง
เพราะฉะนั้น สันตาคือ มันไม่มีข้างใดข้างหนึ่งแล้ว เกี่ยวอยู่แต่คำภาษาเท่านั้น ส เกี่ยวอยู่กับภาษา อันตา เท่านั้น แต่ความจริงแล้วมันไม่มีข้างใดข้างหนึ่งเลย หรือแม้มี ทั้งสองข้าง ก็เฉยๆนิ่งๆ
สันตา เขาแปลเอาอรรถว่า สงบ
มันเป็นสภาพของผู้ที่ รู้แจ้ง รู้จริง ถึงสภาพ 2 อย่าง 2 ข้าง อันตา แปลว่าข้างใดข้างหนึ่ง ในโลกมีกามกับอัตตา 2 ข้าง ผู้นี้เป็นผู้ที่เป็นมัชฌิมาหรืออนุปคัมมะแล้ว เข้าใจความไม่มีกาม ไม่มีอัตตา 2 ข้างแล้ว แล้วไม่เข้าไปอยู่ทั้งสองข้าง เพราะเรายังมีชีวิตและยังมีจิตวิญญาณ มีธาตุรู้ รู้ความจริงอย่างนี้ เราก็ไม่ไป take side ข้างไหน
แสดงว่าความหมายคำว่า สงบของสันตา จะไม่ใช่ความหมายตื้น
พ่อครูว่า… ปณีตา ไม่ใช่ตื้นๆ สุขุม ปราณีตมาก อตักกาวจา ไม่สามารถด้นเดาด้วยความลึก นิปุณา ละเอียดระดับนิพพาน ยิ่งกว่าปรมาณู
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นบัณฑิตจริง บัณฑิตเวทนียา มีความรู้เป็นบัณฑิตจริง จึงจะมีความรู้จริงในเรื่องนี้ ไม่ใช่สภาพการณ์ ตักกะเอา อตักกาวจรา ไม่ได้ เก็งความจริงก็ไม่ได้ คุณจะเอาอะไรมาเก็งความจริงนี่ไม่ได้ คุณต้องปฏิบัติประพฤติเข้าไปเป็นอันนั้นจริงๆ คุณจึงจะรู้สิ่งนี้จริง ทั้งหมด นี่คือธรรมะของพระพุทธเจ้า
_สู่แดนธรรม… ตอนที่พ่อท่านพูดถึงเรื่องบาป บุญไม่มีเหลือแล้ว มีท่านผู้ชมส่งไลน์มาร่วมแสดงความเห็นด้วย
บอกว่า พระอรหันต์ไม่มีงานให้บุญได้ทำ บุญ ไม่มีความหมาย บุญไร้ค่า หมดสภาพ พระอรหันต์เก่งแค่ไหนก็ทำบุญไม่ได้อีกแล้ว แม้มีอิทธิฤทธิ์มากปานใดก็ตาม แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ทำบุญไม่ได้อีกแล้ว
พ่อครูว่า… ท่านก็ตรัสว่าท่าน ปุญญปาปปริกขีโณ ยืนยันเลยในพระสูตรที่ท่านตรัสรู้ ที่พูดถึงวิบากกรรมเก่า ท่านก็บอกเลย มีพยัญชนะบอกว่า ปุญญปาปปริกขีโณ อยู่ในนั้นด้วย
_สู่แดนธรรม… ประโยคสุดท้ายเขาบอกมาว่า คนที่จะทำบุญได้ ต้องมีกิเลสอยู่เท่านั้น แล้วที่สำคัญยิ่ง จะต้องใช้ปัญญาโลกุตระไปทำ
พ่อครูว่า… ใช่ คนนี้เข้าใจพูดด้วยสำนวนของเขาเอง ชัดเจนเขาบอกถึงความเข้าใจของเขามา คนนี้เข้าใจดี แหม อาตมาก็สบายใจนะ มาเผยแพร่ธรรมะพระพุทธเจ้า คนฟังเข้าใจได้ อย่างนี้ อันนี้สื่อภาษาก็สื่อออกมา เป็นภาษาของเขาแล้วก็สื่อความเข้าใจของเขาออกมาเป็นสภาวะจริงของเขา อาตมาฟังแล้วก็ได้
อาตมาถึงบอกว่าได้ผล อาตมาทำงานได้ผล
_สมยศ ระวังผิด · ผักกระฉูด บ้านลุงเหม ที่วังจันท์พฤกษา ไม่เหนียวครับ
พ่อครูว่า…พูดถึงกระเฉดแล้วต้องแกงส้ม ยายของท่านดาวดิน แกง ถ้าเอาซื้อผักกระเฉดมาก็แกงส้ม ฝีมือ อาตมาเรียกพี่ แม่ของแม่ของเขา ยายของดาวดิน แกง โอ้โห อร่อย ถ้าวันไหนได้กินแกงส้มผักกระเฉด ฝีมือแม่ครัวปทุม รับรองข้าวหลายจาน
_วันชัย สหมโนธรรม · ท่านดาวดินยังไปร่วมกับพวกสามนิ้วอยู่เลยครับ..ไม่อยากจะเชื่อว่าท่านเปลี่ยนไปเยอะมากเลย..ท่านคงจะหลงทางแน่ ๆ เลย.
พ่อครูว่า…ท่านก็ป่วงๆ ไปอยู่อย่างนั้นแหละ ก็ปล่อยให้ท่านป่วงไปก่อน ก็มันมีทางสองทาง ถ้าอยู่ทางนี้ ก็ไม่หลง ท่านออกไปทางโน้นมันก็หลง หรือทางโน้นถือว่าไม่หลง ทางเราเขาว่าเป็นผู้หลง มันก็เท่านั้น
สโมหะ วีตโมหะคืออย่างไร
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะพ่อครูคะ ในเจโตปริยญาณ คำว่า สราคะ วีตราคะ สโทสะ วีตโทสะ ลูกพอเข้าใจได้บ้าง แต่สโมหะ กับ วีตโมหะนั้นมีสภาวะอย่างไรลูกยังไม่เข้าใจคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… สโมหะ หรือ ส นี่ ก็แปลง่ายๆว่า สราคะ ก็คือมีราคะ วีตะราคะคือไม่มีราคะ สโทสะคือมีโทสะ วีตโทสะคือไม่มีโทสะ
โมหะก็เหมือนกัน สโมหะก็มีโมหะ วีตโมหะก็คือไม่มีโมหะ
ราคะโทสะ เข้าใจได้ อาการราคะอาการโทสะ
อาการโมหะคือ มันหมายความว่า มันแยกไม่ออก มันวุ่น มันวน มันสะเปะสะปะเลอะๆเทอะๆ จะว่าราคะก็ไม่ใช่ จะว่าโทสะก็ไม่เชิง จะรักก็ไม่ใช่ จะว่าโกรธก็ไม่ใช่อะไรอย่างนี้เป็นต้น สับสนปนเป หนักเข้าจะบ้าเอา
_สู่แดนธรรม… แบบนี้ด้วยไหมครับ คนที่เขาคิดว่าเขาบรรลุแล้วเขาก็หลงว่าเขารู้แล้ว หลงว่าสะอาดแล้ว
พ่อครูว่า… นั่นก็โมโหเหมือนกัน หลงผิด หลงเลอะเทอะ
หลงนี่โมหะท่านแปลว่ายๆว่าหลง
อาตมาเคยไล่ มี หลงลืม หลงผิด หลงใหล หลงเหลือ หลงตัว
หลงผิด นี่มันเห็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิดเลย
หลงลืม คือ ลืมไป มันจำไม่ได้ สัญญามันไม่เกิด
หลงใหล คลั่งไคล้เลย ละเมอเพ้อพกเรียกว่า ดีไม่ดีเหมือนพวกติดยา คลั่ง
หลงเหลือ ทีนี้ คือ มันค่อยๆเจริญไปก็เหลือเศษ หลงเหลือ มันยังไม่หมดเกลี้ยง
อันสุดท้าย หลงตัว อันนี้หมดเนื้อหมดตัวเลย ครอบคลุมหมดเลย นึกว่า ตัวเองบ้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองบ้า ตัวเองดีก็ไม่รู้ว่าตัวเองดี
ยกตัวอย่างเช่น ทักษิณ หลงตัว หรือ ธัมมชโย อย่างนี้เป็นต้น หลงตัว เต็มสภาพเต็มสตรีม ไม่มีฟังเสียงใครทั้งนั้น
_สู่แดนธรรม… คนที่จะลงตัวได้แสดงว่าเขาต้องมีศักยภาพของเขามาก ต้องมี Power ของเขามาก คนธรรมดาไม่ค่อยจะคิดหลงตัว
พ่อครูว่า… หลงลืม หลงผิด หลงใหล หลงตัว หลงเหลือ
ต่อมา
_สินอโศก : จะพยายามมาเป็นลูกของพ่อ มาเป็นคนใหม่ และมาเป็นชาวอโศกให้ได้เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…เชิญ ยินดีต้อนรับ
การเสียสละตัวตนและนานาสังวาสในศาสนาพุทธคืออย่างไร
_มั่นใจพุทธ บุญเสร็จ · น้อมกราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง หากลูกไม่ได้พบพ่อท่าน ไม่ได้เจอชาวอโศก ลูกคงไม่สามารถเสียสละ ตัวตนได้ถึงเพียงนี้ น้อมกราบขอบพระคุณพ่อท่าน ที่ยึดอายุเพื่อลูกๆ เพื่อศาสนา (ลูกเพิ่งได้พบพ่อท่านเมื่อ พ.ย. ๖๒)มีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในชีวิต ชนิดจากหน้ามือเป็นหลังมือ ด้วยน้อมสำนึกในพระคุณยิ่งเจ้าค่ะพ่อท่าน
พ่อครูว่า…การเสียสละตัวตนนี่นะ ตัวตนคืออะไร ภาษาบาลีว่า อัตตา
ตัวตน คือ อัตตา คือตัวเรา รวมทั้งหมดเลยคนเราเนี่ย พระพุทธเจ้าสรุปลงที่คำว่า ยึดตัวตน ยึดเป็นตัวเรา ศัพท์ท่านพุทธทาสแปลให้ถึงสะใจเลยว่า ตัวกู ตัวตน
มันยึดตัวเรา ยึด หลงตัวเอง ไม่เข้าใจมันไม่รู้เรื่องง่ายๆ คนหลงตัวไม่รู้เรื่องง่ายๆ คนยิ่งมีความเก่ง ยิ่งมีความรู้เฉลียวฉลาด สามารถอีก ก็จะหลงตัว หลงตน หลงความเก่ง หลงความรู้ หลงความสามารถของตน มันเป็นสัจจะของมัน กิเลสมันจะซ้อนอย่างนี้
เพราะฉะนั้น การที่จะเป็นผู้รู้จริงๆ เก่งจริงๆ สามารถจริงๆแล้วไม่หลงตัวตน ไม่ยึดตัวยึด ใครจะเชื่อ ใครจะเคารพ ใครจะนับถือว่าเรานี้ถูก เรานี่ชัดเจนมีความจริง แต่เขาไม่เชื่อ ไม่เคารพ ไม่นับถือ เขาจะด่าจะทอ แม้แต่ที่สุดจะมาต่อต้านทำร้ายอะไรเรา ก็เข้าใจเขา เห็นใจเขา อย่างอาตมานี่ เห็นใจคนที่มาต่อต้านอาตมา มาจัดการอาตมา ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเลย ทำงานศาสนามา เริ่มต้นมา อาตมาก็จะมีคนต่อต้านมาเรื่อยๆ
พอเริ่มแสดงตัวเองมา มันก็จะขัดแย้งกับเขา เขาจะค่อยๆต่อต้าน จนกระทั่งต่อต้าน หนัก พ.ศ.2532 ต่อต้านมากที่สุด ยกพรรคพวกทั้งนิกายธรรมยุตและมหานิกายมาร่วมกัน รวมกันมาซัดอาตมา เต็มทีเลย ซึ่งมันก็ผ่านมาแล้วเหตุการณ์
จนกระทั่งจบลงที่นานาสังวาสของพระพุทธเจ้า อาตมาก็ประกาศอย่างถูกต้องนานาสังวาสมาเขาก็ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ทั้งๆมีผู้รู้มีปราชญ์ตั้งเยอะแยะ เข้ามาทำเยอะๆต่างๆนานา ไม่ยาวไปจนกระทั่งสุดท้าย ลงท้ายก็จบด้วยสัจจะของมัน
นานาสังวาสแปลว่า ต่างคนต่างอยู่ เป็นพุทธร่วมกัน สังวาส เรียกว่า ร่วมกัน สังวาสเดียวกันแต่ เห็นพูดร่วมกัน แต่เห็นแตกต่างกัน นานาสังวาส
เพราะฉะนั้น ต่างคนต่างเห็นแตกต่างกัน พระพุทธเจ้าก็มีหลักพระธรรมวินัย นานาสังวาส
1.จะมาฟ้องร้องกันไม่ได้ แต่เขาก็ฟ้องร้องอาตมา ฟ้องขึ้นศาลด้วย ซึ่งเขาอาบัตินะ เขาผิดนะ ฟ้องอาตมา นานาสังวาสนี้ฟ้องไม่ได้
อาตมาประกาศนานาสังวาสตั้งแต่ วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.2518 ประกาศเป็นทางการเลยต่อหน้าสงฆ์ 180 รูป มีหลักฐาน มีเอกสารตัวหนังสือเขียนประกาศด้วย ส่งให้ไปเลย เอาขึ้นไปถึงเถรสมาคม ถึงเจ้าคณะอำเภอขึ้นไป ถึงเจ้าคณะจังหวัด ส่งไปถึงเถรสมาคม ยืนยันไปอยู่ในเอกสารที่เขาพิมพ์ตำรา หนังสือเกี่ยวกับเรื่องของเรานี่ เขาก็เอาลงไป ยืนยันหลักฐานว่าอาตมาได้ทำทุกอย่างถูกต้องตามพระธรรมวินัยของพระเจ้าทุกอย่าง แต่เขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลย เหมือนคนเด็กๆไม่เดียงสา ไม่รู้เรื่อง ไม่ประสีประสา
_สู่แดนธรรม… คงไม่มีธรรมเนียมไม่เคยเกิดมา
พ่อครูว่า… ไม่มี ในยุคพระพุทธเจ้าท่านก็ประกาศแค่ว่าพระเทวทัตกับเราเป็นนานาสังวาส ท่านไม่ทำนิกาย แม้ท่านไม่ทำ พระเทวทัตจะเป็นอย่างนั้นท่านก็ไม่ทำให้เกิดนิกาย แต่ผู้ใดทำให้เกิดนิกายมีจิตเจตนา ต้องแยกกันให้เป็นนิกาย คิดแบบนั้น เป็นอนันตริยกรรมแล้ว
ถ้าจิตเราไม่เอานิกาย เรานานาสังวาส อย่างอาตมานี่ เขาจะเอานิกายกับอาตมาอาตมาก็ไม่เอา อาตมาจะเอานานาสังวาสตามพระธรรมวินัย สำหรับผู้ใดจะเข้ามาก็ต้องมีลักษณะของสมานสังวาส หรือเป็นผู้ที่เข้าใจนานาสังวาส แล้วก็พูดกันรู้เรื่อง
ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง มันมี อสังวาส แล้วก็สมานสังวาส แล้วก็นานาสังวาส
ถ้า อสังวาส คือพวกที่ปาราชิกไปแล้ว พวกที่ไม่อยู่ในพุทธเลยต้องตัดทิ้งไป อสังวาส
สมานสังวาส หมายความว่า ยังร่วมกันได้ สามารถที่จะสมานกันได้ วาระใดวาระหนึ่ง เพราะฉะนั้นยังไม่สมานกัน ก็อยู่กันอย่างนานาสังวาส อยู่กันอย่างต่างคนต่างอยู่แตกต่างกัน
_สู่แดนธรรม…แล้ววิจารณ์กันได้ไหมครับ
พ่อครูว่า…ได้ วิจารณ์กันได้วิจารณ์กัน ปฏิกโกสนา คือหมายความว่าตำหนิกัน ตำหนิว่ากันอย่างแรงขนาดไหนก็ได้ ไม่เป็นไร แต่อย่าฟ้องร้องอย่าธรรมาธิกรณ์ อย่าให้เป็นคดี อย่าให้เป็นเรื่องเป็นราว 1. ไม่ทะเลาะวิวาท 2. ไม่เป็นคดีความ ไม่เป็นเรื่องเป็นราว
เพราะฉะนั้นคุณจะแย้งอย่างไร คุณจะเถียงอย่างไร คุณจะค้านคอแตกอย่างไร เชิญ
_สู่แดนธรรม… เหมือนกับพ่อท่านวิพากษ์วิจารณ์พวกหลับตา
พ่อครูว่า… ทั้งนั้นแหละ เคยตำหนิพวกหลับตา เคยตำหนิธัมมชโย เคยตำหนิผู้ที่เขาไม่ถูกต้องว่ากันไปอย่างแรง สำหรับผู้ไม่แรง ก็แล้วไป
_สู่แดนธรรม… อันนี้อยู่ในหลักเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ทำได้ตามหลักเกณฑ์
พ่อครูว่า… ไม่ได้พูดหยาบ ด่า ไม่เอา พูดแต่เรื่องที่ตำหนิอย่างแรง ค้านอย่างแรงได้ ปฏิกโฏสนา
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เสียสละและเข้าใจตัวตน ตัวตนคือมาเป็นตัวเรา แล้วก็มาเป็นของเรา มาเป็นของของเรา เพราะงั้นจะยึดอะไรมาเป็นของของเราตั้งแต่ หยาบๆ เป็นวัตถุ เป็นของเรา นั่นคือไม่เสียสละ ถ้าเสียสละออกไป คุณก็จะลดตัวตน เป็นวัตถุหยาบๆ
2.ยึดถือสิ่งที่ไม่ใช่วัตถุแล้ว เป็นนามธรรม เป็นความรู้ เป็นความเห็น ยึดถือความเห็นยึดถือความรู้ ก็เป็นตัวตน ซึ่งใครแย้งก็โกรธก็เคือง ก็ถือดีอะไรต่างๆ สูงขึ้นไปอีกก็ยึดถือความดี ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านไม่ให้ยึดความดีใดๆ
ถ้ายังยึดอะไรเป็นเรา อะไรเป็นของเราอยู่ นั่นคือยังเป็นตัวตน ท่านให้เสียสละทุกอย่าง เช่น
การทำทาน ทำทานแล้ว อย่าสร้างภพสร้างชาติใส่จิต คืออย่างไร
ในทานสูตร ข้อแรกเลย ทำทานแล้วอย่าตั้งจิตให้มีภพชาติต่อไป คุณให้อะไรใครแล้ว เช่น ทำทานไป 900 ล้าน เหมือนอย่างเถ้าแก่จุล ทำทานไป 900 ล้าน แล้วไม่ต้องการอะไร กลับคืนมา จิตไม่มีสาเปกโข
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สู่แดนธรรม… ตอนนี้เราอยู่ในขั้นรายละเอียด การไม่มีตัวตน คนเรามักจะมีตัวตนเป็นอุปาทานของเขา เช่น การทำทานเสียสละ คนที่ไม่หมดตัวตน ก็จะมีความข้องเกี่ยวอยู่ในสรรเสริญ ถ้าทำทานด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองให้ออกไปโดยไม่มีความเกี่ยวข้อง ไม่ต้องไปติดตามหรอกว่า ทาน ของตัวเองจะเกิดประโยชน์แค่ไหน นี่คือ ตัดความยึดถือไปได้เลย
พ่อครูว่า… ใช่ อธิบายได้ชัดเจนดีนะ
การทำทานของพระพุทธเจ้าท่านที่ดีที่สุดแล้ว คือทำทานแล้วไม่ต้องคิดหวัง ไม่ต้องมีอาการความหวังอะไรต่อ ไม่มีอาการจิตที่จะหวังว่าให้แล้วนี่คือมีเราตามไปกับการให้ ไม่มีเราไม่มีตัวเราไปกับการให้ ให้แล้วก็หายไปเลย ให้แล้วก็วางไปเลย
_สู่แดนธรรม… แม้ว่าเขาจะไม่คิดกตัญญูกับเราก็ตาม
พ่อครู ไม่เกี่ยว หายไปเลย นั่นคือ ทำทานที่ดีที่สุดให้ทานและเสียสละ เป็น 0
การทำงานกับสังคมทำงานกับมนุษย์แม่เรียกว่าทาน แต่เรียกว่าทำงานรับใช้เสียสละ อย่างเช่นนักการเมืองหรือว่านักบริหารประเทศ ทำงานอย่างรับใช้ประชาชนซื่อสัตย์ แล้วก็ไม่คิดไปทวงบุญคุณอะไรจากเขา ไม่จดไม่จำ ที่ว่าเราทำดีแล้วจะไปคิดเป็นบุญทวงบุญคุณ จะทำดีกับคุณ ไม่ต้อง ให้เราลืมไปเลยสำหรับตัวเรา ลืมไปเลย ส่วนเขาจะตอบแทน จะกตัญญูกตเวทีเป็นเรื่องของเขา
ผู้ที่มีภูมิธรรมมีปฏิภาณปัญญาก็จะตอบแทนบุญคุณ เป็นธรรมดา สัจจะมันจะเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปตั้ง ว่าจะต้องทำอะไรแล้วจะต้องได้รับอะไร แลกเปลี่ยนหรือตอบแทนมา ไม่ต้องเลย นี่คือการเสียสละอัตตา
คำสรรเสริญคือของต่ำทราม คำตำหนิคือของเจริญ
_ชาญณรงค์ จินดาธรรม · ปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ ย่อมอยู่ในร่างภายนอกที่ดูเหมือนมอซอ คุณสู่แดนธรรมเป็นหนึ่งใน”อัฏฐปุริสปุคคลา เอส ภควโต สาวกสังโฆ”ครับ เจริญในธรรม
พ่อครูว่า…ได้รับคำชม ระวังนะคำชมนี้เป็นคำเสื่อม คำต่ำทรามนะ ตั้งหลักดีๆกับคำชมเชยเพราะมันเป็นความต่ำทราม รู้จริงตามความเป็นจริง อย่าไปเที่ยวได้หลงเป็นอันขาด มันเป็นความลำบากเลยนะ ถ้าถูกชมเยอะๆ ระวังยาก ถ้าถูกติเยอะๆ โอ้โห! ตั้งรับดีๆจะได้กำไร อาตมานี่ โอ้โห! ชาตินี้เกิดมาดีจังเลย มีแต่คนด่ามีแต่คนตำหนิตั้งรับดีจังเลย ได้ประโยชน์เยอะเลย ที่เคยพูดถึงอ่านคอมเม้นท์ ด่าทั้งนั้นเลย อ่านจนเมื่อยเป็นชั่วโมง ทำไมมันเยอะมันเยอะ แสดงให้เห็นว่า สังคมมนุษย์ทุกวันนี้ เป็นชาวพุทธหรือชาวอะไรก็ตาม เขาไม่รู้โลกุตรธรรม
อาตมาพูดโลกุตรธรรมเขาไม่รู้เขาก็ด่าเอาด่าเอา ก็มีคนที่มีความรู้อย่างเช่น ชาวอโศกหรือไม่ใช่ชาวอโศกที่เขามีความรู้ ก็มีบ้าง แต่คนไม่รู้มีเยอะมากกว่า แสดงให้เห็นว่าในยุคนี้มันเสื่อมโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้า ตามอาณิสูตร ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้จริงมาก
_สู่แดนธรรม… เห็นได้ว่าพ่อท่านไม่ได้มีจิตตก
พ่อครูว่า… ไม่มีจิตต่อต้าน จิตไม่ชอบใจ ไม่มี ก็เป็นจิตที่เข้าใจตามความเป็นจริง เห็นใจเขาด้วย สงสารเขาด้วย เขายิ่งด่าทำไมยิ่งสงสารผู้ที่ด่า นี่เป็นสัจจะอาตมาไม่ได้พูดความจริง อาตมาพูดคำไม่จริงไม่เป็น
_สู่แดนธรรม… ที่ผมพูดแค่นี้จะให้กำลังใจคนที่ถูกตำหนิถูกด่า ให้สังเกตดูจากพ่อท่านเป็นบุคคลตัวอย่าง
_ป่ารุ่ง วนาศิริ · กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้า กระผมติดตามสถานการณ์น้ำท่วมที่บ้านราชในช่วงที่ผ่านมา รู้สึกประทับใจท่านสมณะหลายๆท่านที่รับหน้าที่ดูแลแก้ปัญหาที่เกิดจากสภาวะน้ำท่วม อย่างเช่น ท่านสมณะถักบุญ ที่คอยแก้ไขเรื่องสาธารณูปโภคต่างในพื้นที่บ้านราช และส่วนตัวกระผมกชอบในอุปนิสัยหรือจริตของท่านที่ อารมณ์ดี ร่าเริง มีเล่นมุข ทำให้คนรอบข้างไม่เคร่งเครียด แม้ท่านจะรับภาระกิจที่หนักและต้องเหน็ดเหนื่อยมากก็ตาม สุดท้ายนี้ก็เป็นกำลังใจให้ทุกๆท่านที่บ้านราชได้ผ่านพ้นอุทกภัยครั้งนี้ไปได้ด้วยดีครับ🙏✨
พ่อครูว่า… ขอบคุณ สาธุ ก็จนกว่าน้ำท่านจะลดไปให้ ถ้าน้ำท่านไม่ลดไปให้เราก็แช่น้ำอย่างนี้แหละ ลดลง พูดแล้ว อีกไม่นานก็คงจะลดหมด เป็นอย่างนี้แหละก็ขึ้นๆลงๆเป็นธรรมดาธรรมชาติ แต่ปีนี้มันเยอะกว่าปี 62
ทำไมพ่อครูให้มาอยู่ที่น้ำท่วมอย่างบ้านราช
_ใจธรรม สิทธินาวิน · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งค่ะ เห็นน้ำท่วมชาวบ้านลำบากแล้ว นึกถึงว่า ที่พ่อครูพาชาวอโศกไปปักหลักอยู่บ้านราช แล้วอยู่กับน้ำท่วมได้ อย่างสบาย และยังได้ช่วยเหลือผู้เดือดร้อนอื่นๆ ได้ด้วย พ่อครูท่านรู้ล่วงหน้าหรือเปล่าคะ อนาคตังสญานของพ่อครูนี่คาดไม่ถึงจริงๆค่ะ 🙏🙏🙏😀
พ่อครูว่า… ใช่…เข็มขัดคุณก็สั้นจริงๆ คาดไม่ถึง อาตมารู้อยู่แล้วว่า มาอยู่ที่นี่น้ำท่วม ไม่ได้หมายความว่ามาอย่างมืดบอด มาอย่างงมงาย เพราะฉะนั้นจะต้องเจอกับน้ำ อาตมาจึงสอนให้พวกเราอยู่กับน้ำ เตรียมอุปกรณ์ อย่างที่มีเรือเยอะแยะ ดีไม่ดีจะกลายเป็นเรือบกไปเยอะแยะแล้ว อย่างนี้เป็นต้น แล้วเอาเรือบกมาทำเป็นเรือนเรือ ไม่ต้องไปปักเสาเลย อยู่กันสบาย มีเรือนเรือก็เยอะ ถึงเรียก บ้านราชเมืองเรือ ก็เป็นไปได้อย่างที่มันเป็น ก็จะเป็นอะไรอันหนึ่งในอนาคตว่า ในประเทศไทยมีหมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่ง หมู่บ้านบ้านราชเมืองเรือ แล้วบ้านเขาไม่ได้ตั้งเสาเหมือนบ้านทั้งหลายแหล่ เอาโครงเรือ แล้วก็ตั้งเข้าไป ทำแท่นทำที่ตั้งเป็นเรือนเรืออยู่กันได้ 20 30 40 ปี ได้ เพราะเรือมันมีแต่ไม้ทน ไม้หนาๆมาทำ ก็หาไม้นานๆมาที ไม้เก่าๆแก่ก็เอา อาตมาหมดไปเยอะนะ หมดไปกับเรือ ไม่รู้กี่ร้อยล้านแล้ว แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่า
-
เราอนุรักษ์ เพราะทุกวันนี้เราอยู่ข้างแม่น้ำมูล พยายามจะปลุกแม่น้ำมูล แต่เสร็จแล้วมันก็ไม่ขึ้น เพราะคนอื่นเขาไม่เอาด้วย คนอื่นเขาไม่หือไม่อือด้วย แม้แต่องค์การเจ้าท่า อาตมาก็เลยไม่เป็นไร ทำที่เราก็แล้วกัน แล้วก็อยู่อาศัย ก็ไม่ต้องเสียเวลาอะไรมากมาย อาศัยใช้เป็นเครื่องอาศัย ในชีวิตไป
_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูง เห็นลูกหลานศิษย์เก่า นำถุงยังชีพไปให้พี่น้อง ที่ประสบภัยพิบัติน้ำท่วมแล้วประทับใจทั้ง ๆ ที่ชุมชนเราก็ประสบภัยเช่น แต่เราไม่ทุกข์ใจ และยังจุนเจือช่วยเหลือ มีองค์ประกอบครบเช่นมีเรือใช้และสามารถแบ่งปัน ข้าวของช่วยได้ กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า… ไม่ใช่เรื่องเสแสร้ง ทำเอาโก้แต่เป็นเรื่องจริงใจ สิ่งที่มันไม่ใช่เรื่องราบรื่นทีเดียวเป็นเรื่องขลุกขลัก แต่เราก็ไม่ได้ท้อแท้อะไรเพราะเราฝึกฝนตัวเองว่า สู้กับความลำบากได้ ความลำบากเราไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ เราถือเป็นเรื่องเล็กเป็นเรื่องที่แก้ไขไป จะหนักแค่ไหนคนแก้ได้ ปัญหาทุกปัญหา เราสามารถบำบัด แก้ไขได้
_สู่แดนธรรม… เป็นอย่างนี้มาแทบทุกปี
พ่อครูว่า… ทั้งนั้นตลอดเวลา เพราะเราฝึกตนมาอย่างนั้นจริง เราไม่ได้มาอย่างงมงายมาอย่างจำนน เราไม่จำนน แต่เราตั้งใจ เต็มใจมาอยู่ที่นี่ แล้วก็ปักหลักลงแหล่งด้วย ไม่ใช่ทำบ้านราชอย่างเหลาะๆแหละๆ จะทำอย่างปักลงแหล่ง ถมไปไม่รู้กี่เท่าไหร่แล้ว แล้วก็จะทำไปเรื่อยๆทำให้เป็นอยู่ไป ให้อยู่ไปได้อีกนานเท่าไรมันก็นาน เอาที่มันจะเป็นไปได้ มันก็จะเป็นของมันไป
แม้ที่สุด ถ้าโลกมันเปลี่ยนทิศ บ้านราชกลายเป็นสถานที่โลกหมุน เปลี่ยนกลายเป็นที่สูง ที่อื่นกลายเป็นที่ต่ำ ก็ได้ แต่ไม่รู้อีกกี่ล้านปี
พ่อครูเป็นคนโบราณ
_บุญญากร พัฒนสัตถาพร · บ้านเมืองเรา รอดมาได้เพราะคนโบราณ, ทั้งการทูตและวางรากฐานไว้มากมาย อย่าปล่อยให้ลูกหลานเป็นเครื่องมือคนชั่วจนทำบ้านเมืองฉิบหาย ทหารช่วยรักษาบ้านเมืองไว้ ขอสนับสนุนคนดีซื่อสัตย์จริงใจให้ได้ปกครองบ้านเมืองต่อไป #ทีมลุงตู่ #ทีมรปภ #ลุงตู่อยู่ยาว
พ่อครูว่า… จริง อาตมานี้คนโบราณ อาตมาใช้นามปากกาโบราณถึง 3 นามปากกา
-
โบราณสนิมรัก 2. โบราณนวทัศน์ แปลว่าโบราณแต่สมัยใหม่ 3. โบราณใหม่เสมอ