651021 อรหันต์คือด้านมืดเจโต โพธิสัตว์คือด้านสว่างปัญญา พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/18r_q8ESv2kvYVBHbscTegvQhinU5pLvFYb-u6KLYWI8/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1Tcg4lXn5l4TRnxEYbZZHx8DbX3GEFtkY/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่
และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/791778898764791
พ่อครูว่า… วันนี้วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2565 แรม 11 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล เราก็มาสาธยายธรรมกันต่อไป ชีวิตอาตมาก็สรุปได้แล้วว่า มันก็วนเวียน เกิดตาย ตายเกิดไปตามวิบาก สุขบ้างทุกข์บ้างดีบ้าง ชั่วบ้างดีบ้าง ไปเรื่อยไม่เที่ยงไม่แท้จนกว่าจะเป็นอรหันต์ เป็นอรหันต์แล้วเที่ยงแท้ที่จะไม่ชั่วแล้ว มีแต่ดี แต่ก็ยังเกิดตาย เกิดตาย อยู่ได้ ถ้าอรหันต์นั้นจะไม่ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน อันนี้ก็เป็นความรู้ที่ในเถรวาทไม่มี ไม่เชื่อ แต่อาตมาก็พูดความจริงเท่านั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่ออาตมาไม่มีปัญหา อาตมาพูดความจริงเพราะอาตมาเอาความจริงจากที่ตัวอาตมาผ่านมาเป็นมา
อาตมาผ่านความเกิดความตายมาตลอด ปฏิบัติธรรมมาตลอด มาจนถึงปางนี้ นิยตโพธิสัตว์ จึงรู้สิ่งเหล่านี้และเอาสิ่งเหล่านี้มาพูด พูดซื่อๆ ง่ายๆ พูดจริงๆ พูดไม่ได้เหนียมอายไม่ได้เก้อเขิน พูดง่ายๆ พูดสะดวก สะดวก ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหา ไม่มีสิทธิ์ไปบังคับใครหรอก อาตมามีสิทธิ์พูดความจริงของอาตมาเท่านั้น
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ได้ทำงานมาตลอดในทางธรรม มาทุกวันนี้ ผู้ที่เห็นตาม ผู้ที่ฟังแล้วเข้าใจได้ตามก็ได้ประโยชน์ตาม ผู้ที่ยังไม่เข้าใจไม่เชื่อไม่เห็นตาม เขาก็ไปได้ประโยชน์ตามที่เขาเชื่อว่าเขาได้ ทีนี้มันก็ตัดสินกันที่ว่า ไอ้ที่ได้ คนเรามันก็ต้องได้ 2 อย่าง คนไม่ได้อย่างนี้ก็ต้องได้อย่างนี้ เมื่อไปได้อีกอย่างหนึ่งก็ไม่ได้อีกอย่างหนึ่ง ที่อาตมาเสนอนี้เป็นอย่างที่เป็นของพระพุทธเจ้าอ าตมาเชื่ออย่างนั้น อีกฝ่ายหนึ่งเขาก็เชื่อว่าเป็นของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ก็ตัวเองเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสินว่า แล้วจะเอาอันไหนแน่ ก็พยายามกันไป
SMS วันที่ 19-20 ตุลาคม 2565
_เกษม เพ็งกลาง · น้อมรำลึกรักอาลัยพ่อสะอาดคนโคราชบ้านเรา
_ผาหิน จอมภูผา · กราบนมัสการครับ บ้านราชน่าจะปลูกภูพานเฮ(peach palm) ทนน้ำขัง ผลให้โปรตีนสูงถึง 33% รสหวานมัน
พ่อครูว่า…แนะนำพืชที่ควรจะปลูกให้ บ้านราช ฟังไว้นักปลูก
_Thanyaphat Darunphan (ธัญญพัฒน์ ดรุณพันธ์)· เพิ่งกลับมาบ้านเพื่อทำธุระส่วนตัวและพบแพทย์ตามนัด แอบหวังว่าจะเสร็จทันได้ไปร่วมในการบิ๊กคลีนนิ่งที่บ้านราช และได้กราบพ่อครู ท่านสมณะ และสิกขมาตุ เป็นทางการ ค่ะ 🙏🏻
พ่อครูว่า…โอ้โห ใจดีจังเลย ตั้งใจจะมาช่วย Big cleaning ตอนน้ำลง บ้านราชเอ๋ย ทีนี้ล่ะมีเศษสวะ มีเศษขยะให้ Big cleaning กัน มัน so big, big so much เลยนะ ดี มีผู้ฟังแล้วเกิดจิตตัวนี้เหมือนคุณธัญญพัฒน์ ก็ดีจะได้เกิดสนุกสนาน จริงนะ รวมพลังกันคราวนี้ จะได้เกิด Big cleaning มันรกไปด้วยเศษสวะ นานาสารพัด เก็บสิ่งนั้นสิ่งนี้เข้าที่ก็จะตายแล้ว ยังมีเศษขยะอีก น่าดูเลย
ถึงเวลาก็ต้องทำไป นี่แหละ เป็นคนก็ต้องทำแบบนี้ ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน รกยังไงก็ปล่อยมันคลุกอยู่อย่างนั้น
_ประดิษฐ อินทหอม · ต่อไปก็จะมีรถสะเทินน้ำสะเทินบกอยู่ในบ้านราช เมื่อน้ำท่วมก็เป็นเรือ😁👍
พ่อครูว่า…มันก็มีได้ แต่ว่าเราไม่ได้ซื้อมาใช้เพราะเราไม่มีตังค์ ไม่มีตังค์ซื้อหรอกจ้ะ เราก็ได้แต่แค่นี้แหละ
_ปุ้ย ประทับธรรม : กราบขอบพระคุณท่านสิกขมาตุกล้าข้ามฝัน เมตตาส่งข่าวว่า ที่บังแดดซึ่งเป็นไม้ระแนงรูปตารางๆ บ้านที่คุณโอ(สุชัย)อยู่ น้ำท่วมสูงทำให้ที่บังแดดนั้นหลุดลงมา สถานการณ์น้ำท่วมนี้ ทำให้ได้เห็นคุณค่าของสาธารณะโภคีมากยิ่งขึ้นเลยค่ะ ถ้าเรามาใช้และดูแลของส่วนกลางเป็นหลัก ก็จะทำให้ลดการสะสม ลดสัมภาระของส่วนตัวลงไปด้วย น้อมกราบขอบพระคุณพ่อครูอย่างสูง มาสร้างบ้านราชเมืองเรือไว้ ณ ที่แห่งนี้ ทำให้เป็นเหตุเป็นปัจจัยในการปฏิบัติธรรม พอน้ำท่วมมาทีก็ทำให้ได้ฝึกวางใจได้อย่างดีมากเลยค่ะ.
พ่อครูว่า…จริงเนาะ นี่แหละ การปฏิบัติธรรมคือชีวิตประจำวัน อาชีวะ กัมมันตะ วาจาสังกัปปะ การปฏิบัติธรรม ได้จัดให้พอดีไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น ปรับให้พอเหมาะพอดีด้วยปัญญาไปได้ตลอดเวลา
_วันชัย สหมโนธรรม · ท่านสิกขมาตุกล้าข้ามฝันยังไออยู่เลยน่าจะมีน้ำอุ่นจิบบ้างครับ
_ตุ๊ก อัศวิน · เป็นห่วงสุขภาพของท่าน สขม กล้าข้ามฝัน..เจ้าค่ะ
ท่านต้องการ ‘ยา’ ชนิดใด..ไหมเจ้าค่ะ ฝ่าย’พลาธิการ’..ยินดีจัดส่งไปถึงที่..เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…อันนี้ล่ะ อาตมาเห็นว่า คนเราไม่ต้องเป็นห่วงกังวลอะไร เราทำดีอย่างเดียวทำเพื่อประชาชน ทำเพื่อคนให้เจริญ ให้บริสุทธิ์ คนจะค่อยๆอนุเคราะห์เรา จะค่อยๆช่วยเหลือเกื้อกูลเราตลอดเวลาได้จริงๆ มันไม่เหลือบ่ากว่าแรง ไม่มีปัญหาเลย หรือแม้ที่สุด จะขนาดระดับเป็นล้าน เขาก็ช่วยได้ อย่างนี้เป็นต้น จริงๆพวกเรานี้ ขอให้ทำดีให้ถึงที่เหอะ ทำไปไม่ต้องเป็นห่วงไปกังวลชีวิตเลย ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา ชีวิตให้คนอื่นเขาเลี้ยงไว้ ดูแลไว้
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_จรรยา ประเสริฐ · ศรีสุวรรณบอกว่า ถูกลุงศักดิ์ต่อย ยังดีกว่า ต่อต่อย มันทั้งเจ็บทั้งปวด ศรีสุวรรณ แค่ปวดคอ เท่านั้น เพราะถูกต่อยจนหน้าหัน เห็นแล้ว ลุงศักดิ์ ถ่อยของแท้ แมน ๆ (หน้าตัวเมียของจริงเล่นทีเผลอ) สาธุค่ะ
_รุ่งศรี แก้วดวงสี : กราบนมัสการท่านทั้งสามท่าน ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ..เป็นอักครั้งที่ได้ธรรมะล้างทุกข์ เรื่องยึดดี ที่ตัวเองกำลัง เจออยู่พอดีเลยค่ะ นึกไม่ออกว่า ตัวเอง ทุกข์ใจแบบกรุ่นๆเรื่องอะไร นึกจะล้าง ก็นึกไม่ออกว่า ตัวเองจะเอาอะไร ที่แท้ก็ ก็ยึดดีนี่เอง กราบขอบพระคุณอย่างสูงเจ้าค่ะ
เกิดมาชาตินี้พ่อครูไม่เคยมีอาการโกรธหรือเศร้าหมองเลย
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ พ่อครูคะ การที่มีคนมาพูดล่วงเกินพ่อครูหยาบๆแรงๆแล้วจิตพ่อครูก็ไม่เกิดอารมณ์โกรธเลยนั้น ก็เป็นอารมณ์เดียวกันกับที่พ่อครูได้ฉันอาหารแม้มีรสอร่อยอย่างมาก จิตพ่อครูก็ไม่เกิดการเสพรสอร่อยเป็นรสฝั่งกามตัณหานั้นเลย อย่างนี้ใช่ไหมคะ
น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า…ถูกต้อง อย่างเดียวกัน แต่ว่า อาตมาเกิดมาชาตินี้ อารมณ์โกรธนี้ อาตมาไม่มีมาแต่ไหนแต่ไร ไม่รู้ว่าโกรธมันอย่างไร ตั้งแต่เด็กจนโต อารมณ์โกรธไม่เคยมี ไม่มี ใครจะโกรธเราเราก็ เอ๊… มีแต่มันเรื่องอะไร อยากจะรู้เท่านั้นเอง
อาตมาไม่ได้โกรธเขา เคยจำได้ 2 ครั้ง กับเพื่อนผู้ชาย คนหนึ่งเขาก็มาอะไรกับเราอยู่เรื่อย มาว่าเราอย่างนั้นอย่างนี้ อีกคนหนึ่งก็กระแนะกระแหน อาตมาก็พยายามที่จะทำความเข้าใจว่า มันโกรธเราเรื่องอะไร เราเป็นคนน่ารักจะตายไป เขามาโกรธเรา
ก็เดินไปหาเขา โอ้โห…เพื่อนดึงเอาไว้นึกว่าจะไปชกเขา ซึ่งมันไม่ใช่ 2 คน ที่อาตมาเดินเข้าไป คนหนึ่งเดินไปถึงที่พักของเขา เพื่อนก็ดึงไว้ อีกคนหนึ่งอยู่ที่ห้องกินข้าวที่หอพักด้วยกัน ก็ต้องกินข้าวด้วยกัน กำลังกินข้าวก็จะเดินเข้าไปถามเขาว่า โกรธเราเรื่องอะไร ทำไมจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อนก็ห้ามไว้ทั้งคู่ นี่ก็เคย เรื่องโกรธ
ไม่เคยโกรธ แต่เรื่องชอบ เรื่องอร่อย ยังพอมีเกิดมาชาตินี้ยังมีบ้าง จนเสร็จแล้วธรรมะมันฟื้นขึ้นมาเต็มที่แล้ว มันไม่อร่อยอะไร มันก็คือสัจจะ รสเค็มก็เค็ม หวานก็หวาน เปรี้ยวก็เปรี้ยว มันก็มัน มันเป็นธรรมชาติ อร่อยมันคือกิเลสจริงๆ รสอัสสาทะ คือรสอร่อยกิเลสจริงๆ
ผู้ใดที่รู้แยกได้ว่ารสจริงกับรสอร่อย ไม่อร่อย ถ้าแยกออกแล้วก็เห็นด้วยปัญญาที่แท้เลยว่า โอ้โห…ให้มันมาแฝงอยู่ทำไมตัวผีตัวหลอก มันยากนะไม่ใช่ง่าย เห็นด้วยปัญญาอันชัดต้องพิจารณาเห็นมันจริงๆแล้วปัญญามันจะเก่งขึ้นเรื่อยๆ ความฉลาดหลักแหลมที่เป็นปัญญา มันจะเก่งขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายไอ้นั่นมันก็จะหายไป เพราะไอ้ไม่เก่งคือตัวกิเลสมันจะสู้ปัญญาไม่ได้
ปัญญาเห็นมันปั๊บ เอ็งมาอีกแล้วเหรอ สักวัน มันก็ไม่กล้ามา นี่คืออธิบายได้เป็นภาษาอย่างนี้ ฟังดีๆ ปฏิบัติอย่างนี้
สู่แดนธรรม… อย่างที่พ่อท่านเป็น เรียกว่าจิตเป็นกลาง ได้ไหมครับ ไม่ดูดไม่ผลัก
พ่อครูว่า…ใช่ๆ จิตกลางเป็น อนุปคัมมะ รู้ทั้งสองอย่าง มันมีความจริงอย่างไรก็รู้อย่างนั้น ไม่มีอารมณ์กิเลสแฝง เป็นหนึ่งอย่างเดียว ไม่มีสอง อธิบายธรรมะด้วยภาษาธรรมดาง่ายๆได้แล้วก็ไปปฏิบัติจริงๆ จะได้เป็นของจริง เพราะฉะนั้น คนที่ไม่มี 2 มีแต่ 1 เป็นอรหันต์ ไม่ใช่เรื่องลึกลับ อรหะ ไม่ใช่เรื่องลึกลับ อรหัน อรหะ เป็นความชัดเจน กระจ่างแจ้ง
_ ใจธรรม สิทธินาวิน : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ ดิฉันคิดสงสัยเรื่องคำว่าหลงมานานค่ะ จนวันนึง ดิฉันคิดว่า คำว่าโลภ แปลว่า อยากได้ไม่รู้จักพอ คำว่าโกรธ แปลว่า ไม่ชอบ ไม่พอใจ คำว่าหลง แปลว่า ไม่รู้จักกิเลสว่า ไม่ใช่ความจริง เป็นตัวทำให้ทุกข์ ไม่มีอยู่จริง เช่น ไม่รู้ว่า ความอร่อย ไม่มีจริง และทำให้เราทุกข์ หลงว่าเป็นสุข ใช่ไหมคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า…โอ้ เข้าท่า ถูกต้องเลย อาตมาอธิบายธรรมะใช้ภาษาไทย อธิบายขยายความจับความหมาย บาลีก็ดี จากภาษาธรรมะวิชาการก็ดี พวกเราเข้าใจสภาวธรรม แล้วก็ปฏิบัติ เห็นด้วยปัญญาขึ้นมาจริง นี่คือการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิตเลยแล้วก็หลงว่าเป็นอรหันต์ หลงว่าได้บรรลุนิโรธ มันน่าสงสาร พวกที่นั่งหลับตา ไม่รู้จะพูดอย่างไร คนก็หาว่าไปว่าเขาทำไมหลับตา ก็มันน่าสงสารก็ไม่รู้จะทำอย่างไร และก็ยังมีอีกเยอะที่ยังหลงผิดอยู่อย่างนี้ เดียรถีย์ มาปลูกฝัง มาเอาพลเมือง มาเอาคนของเราไป แล้วก็ไปหลงเป็นข้าทาสบริวารอยู่จนป่านนี้ มืดบอดอยู่อย่างนั้น น่าสงสารจริงๆ ก็พยายามจะดึงคืนมา ไม่รู้จะได้เท่าไหร่ในชีวิตนี้ แต่ได้มาจำนวนหนึ่งไม่น้อย นอกนั้นก็ยังหลงเป็นบริวารเดียรถีย์กันอยู่ เยอะ จบปริญญาเอก จบเปรียญ 9 จบอะไรต่ออะไรทั้งนั้นที่เรียนมา จำธรรมะก็ได้มาก สอนอยู่ก็มาก สาธยายอยู่ก็มาก แต่ไม่เข้าถึงจิตไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินั้นเป็น ปทปรมบุคคล จริงทั้งนั้น ตามคำสอนพระพุทธเจ้าว่า นี่ไม่ได้ว่าเขาแต่พูดความจริงตามที่เห็นชัดๆอยู่อย่างนั้น
_พอใจ รักดี · น้อมกราบท่านพ่อครูเจ้าค่ะ ลูกเคยสะสมทุกข์ เจอทุกข์อะไรก็เก็บไว้ๆจนทุกข์นั้นมันก้อนใหญ่ขึ้น มันทำให้หนักใจเจ้าค่ะ ลูกก็พยายามสลัดออกโดยการนั่งสมาธิ ฟังธรรมะจากพระเกจิดังๆแต่ก็เหมือนวนเวียนๆไม่หลุดสักทีค่ะ เหมือนหนูติดจั่น วิ่งวนหาทางออกไม่เจอ แต่พอลูกได้มาฟังธรรมะจากท่านพ่อครู จากอาจารย์หมอเขียว ทุกข์ก้อนใหญ่ที่สะสมมาหายไปหมดเกลี้ยงแล้วเจ้าค่ะ เจอแสงสว่างแล้ว เจอทางออกแล้วเจ้าค่ะ สาธุ ๆ ๆ
พ่อครูว่า…ท่านทั้งหลายเลยพวกนั่งหลับตายังไม่เจอทางออกอย่างนี้ มืดแล้วมืดอีกมืดหนักเข้าไปใหญ่ จนเต็มไปอยู่ในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ได้ฟังได้ยินแล้วก็สะดุดใจ มาฟังธรรมะอาตมา มี ปรโตโฆษะบ้าง ฟังด้วยดี สุสูสังลภเตปัญญัง เทน้ำชาออกจากถ้วยบ้างไม่งั้นก็จะมีแต่ของเก่าไม่มีใหม่เลย แล้วมันก็จะเสียเวลาจมไป
_พลังเพ็ญ คำด้วง · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพค่ะ ได้อ่านหนังสือสมาธิพุทธที่พ่อครูเขียน มรรคองค์แปดเป็นเรื่องที่วิเศษยิ่ง มรรคทุกองค์ ช่วยไม่ให้เราทำสิ่งที่ไม่ดี ต่างๆตั้งแต่หยาบไปจนถึงเรื่องละเอียดถ้าเราปฏิบัติตามมรรคทุกองค์ได้ เราพ้นทุกข์ได้เป็นลำดับไปได้จริงๆ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่พ่อครูนำมาถ่ายทอดเป็นสัจจะความจริง ที่พิสูจน์ได้จริง กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า… ก็จริง อาตมาพยายามแยกแยะวิจัยธรรม ให้เห็นชัดเจนว่า ธรรมะพระพุทธเจ้านั้น มันมีโลกียะกับโลกุตระ
โลกียะมันจะรู้แต่ประเด็นของชั่วและดี ส่วนโลกุตระนั้นจะรู้จักประเด็นสุขและทุกข์เพิ่มขึ้นมาอีก ชั่วและดีก็รู้ด้วยแล้วก็ทำดีไม่ทำชั่วจริงด้วย แล้วก็รู้ความสุขความทุกข์ที่เป็นตัวมายา
เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้ทุกสุขแล้วก็หมดสุขหมดทุกข์ได้ ล้างกิเลสที่เป็นความโง่ออกจากจิต ก็ลด ไม่ติดยึดในสุขทุกข์ไปเรื่อยๆเป็นลำดับ จนกิเลสหมดอาสวะเกลี้ยง จิตก็สะอาด
จิตสะอาด เป็นจิตอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ปริสุทธา สะอาดยิ่งขึ้นสะสมความแข็งแรงของจิตสะอาด จนกระทั่งอยู่กับกรรม กัมมัญญาด้วยปัญญาที่มี อัญญธาตุ เป็นความฉลาด กัมมัญญา อยู่กับโลกเขา ยังทำกรรมกิริยากับเขาไป จิตก็ยัง ปภัสสรา ใสสะอาดอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ไม่มีหมองไม่มีหม่น ไม่มีลดเลย ไม่เศร้าไม่มองอะไรเลยเหมือนอย่างอาตมาที่พูดไป ไม่โกรธไม่เคยเศร้า ไม่เคยหมอง มีแต่เรื่องบันเทิงใจ มีแต่ร่าเริงเป็นพุทธะ เป็นผู้เบิกบานผู้ร่าเริงไป เป็นอย่างนั้นจริงๆไม่ได้เสแสร้งไม่ได้กลั่นแกล้ง ไม่ได้ฝืนอะไรเลย มันเป็นธรรมชาติธรรมดาๆ สบาย สบาย ไม่ว่าจะอย่างอุดม หรืออย่างเบิร์ด สบายหมด จริงๆเลยชีวิต
ต่อมา ทีนี้
อรหันต์คือด้านมืดเจโต โพธิสัตว์คือด้านสว่างปัญญา
_วรกันต์ อินทรีย์ : กราบนมัสการครับ ท่านสมณะครับ ผมเจอประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ ข้อความในพระไตรปิฎกที่สนับสนุนว่า โพธิสัตว์สูงกว่าอรหันต์ โพธิสัตว์ไม่ใช่ปุถุชนครับ
[๗๓] อนึ่ง พระราชาพระองค์ใดได้ทรงตัดบรรพชิตผู้กล่าวขันติ ผู้สงบ ไม่ประทุษร้าย ขาดออกเป็นท่อน ๆ พระราชาพระองค์นั้นทรงพระนามว่าพระเจ้ากลาพุ ตกอเวจีมหานรกซึ่งมีความร้อนร้ายแรง มีเวทนาเผ็ดร้อน น่าหวาดกลัว หมกไหม้อยู่
พ่อครูว่า… คนเราฟังภาษาก็พอรู้ แต่มันไม่รู้สึกจริงๆ มันไม่สามารถเข้าใจอะไรได้ มันฟังภาษาก็ฟังเด๋อไปอย่างนั้น แต่ก็พอรู้ว่า มันไม่ดี มันต่ำ มันหนัก อันนั้นมันสูง มันเจริญก็รู้ แต่ว่าจิตความรู้สึกที่จะหยั่งเข้าไปถึง เวทนา สัญญากำหนดเห็นเวทนา แล้วจิตเราก็เคยปรุงไปอย่างนั้นมันไม่รู้ มันกลายเป็นคนไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้สีรู้สาไม่รู้ร้อนรู้หนาว คือ มันด้านชาไปหมด มันโง่จนไม่รู้จะโง่อย่างไรอีกแล้ว มันเต็มบ้อง โง่ จนกระทั่งไม่กระดิก เอาอะไรมาเปรียบมันก็ไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ คนนี้น่าสงสารมากเป็นคนจน ถูกความมืดบอด ถูกนรกอเวจีทับถมไว้
_จาก สรภังคชาดก
๓. ขันติวาทิชาดก (๓๑๓) ว่าด้วยขันติวาทีดาบส
(เสนาบดีขอร้องดาบสโพธิสัตว์ไม่ให้โกรธว่า) {๕๕๐} [๔๙] ท่านมหาวีระ ผู้ใดสั่งให้ตัดมือ เท้า ใบหู และจมูกของท่าน ท่านจงโกรธผู้นั้นเถิด อย่าให้แว่นแคว้นนี้พินาศเลย
(ดาบสโพธิสัตว์กล่าวว่า) {๕๕๑} [๕๐] พระราชาพระองค์ใดรับสั่งให้ตัดมือ เท้า ใบหู และจมูกของข้าพเจ้า ขอให้พระราชาพระองค์นั้นจงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน บัณฑิตทั้งหลายเช่นอาตมาไม่โกรธเคืองเลย (พระศาสดาได้ตรัส ๒ พระคาถานี้ว่า) {๕๕๒} [๕๑] สมณะผู้ถึงสรรเสริญขันติมีในอดีตกาลนานมาแล้ว พระเจ้ากาสีได้รับสั่งให้ประหารดาบสผู้ดำรงมั่นในขันติธรรมองค์นั้น {๕๕๓} [๕๒] พระเจ้ากาสีเบียดเสียดอยู่ในนรก เสวยวิบากอันเผ็ดร้อนแห่งกรรมอันหยาบช้านั้น
ขันติวาทิชาดกที่ ๓ จบ
จากหลักฐานในพระไตรปิฎกนี้ ทำให้ผมสรุปได้ว่า โพธิสัตวภูมิสูงกว่าอรหันต์ หรือ ถ้าจะกล่าวไม่ให้คลาดเคลื่อนจากสัจจะ จะบอกว่าโพธิสัตว์เป็นแค่ปุถุชนนั้นไม่ได้ เพราะ เหตุที่จะทำให้คนๆหนึ่งตกอเวจีมหานรก นั้น คือการทำอนันตริยกรรม ฆ่าพระอรหันต์นั่นเอง ขันติวาทีดาบส (พระโพธิสัตว์ปางหนึ่ง) จึงต้องมีสภาวะเป็นอรหันต์ขึ้นไปเท่านั้น
ขันติวาทีดาบสเป็นปางหนึ่งในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าเมื่อสมัยยังแสวงหาพุทธภูมิ บำเพ็ญขันติปรมัตถบารมี
ผมคิดว่าเราสามารถใช้เรื่องตรงนี้ในการตอบคนที่ยังรู้ไม่จริงในเรื่องความเป็นโพธิสัตว์ได้ครับ โดยเฉพาะ คนที่หลงตัวเองว่าเป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธ
พ่อครูว่า… ก็บอกไปตอบไป ตามความรู้ ตามความจริงใจ ตามความสัตย์ซื่อ ก็พูดไป จะพูดให้ฟัง หรือไม่ฟังเสียงเลยก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เราก็พูดความจริงไปสู่กันฟังไปเรื่อยๆ ผู้ใดแสวงหาพากเพียรระวังที่จะแก้กลับ สิ่งที่เรายอมรับรู้ได้ว่า เราผิดหนอ เกิดความละอายอย่างแรงกล้าขึ้นมา เกรงกลัวอย่างแรงกล้าขึ้นมา เคารพอย่างแรงกล้าขึ้นมา ก็จะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าเกิดว่ายังไม่รู้สึก ยังไม่ละอายต่อสิ่งที่ได้ยึดมั่นถือมั่นแล้วที่ไปละลาบละล้วง ผู้ที่ไม่ควรละลาบละล้วงก็ต้องปล่อยไป
มาพูดถึงเรื่องของโพธิสัตว์กับพระอรหันต์ 2 คำนี้
โพธิ แปลว่า มีปัญญารู้แจ้ง เช่นโพธิญาณ ปัญญารู้แจ้งที่เป็นโลกุตรธรรม
อรหันต์ คือ ผู้ที่พ้นความลับความลึก มิสภาพที่พ้นจากความไม่รู้ที่มันลึกลับ โพธิญาณเป็นความรู้เป็นปัญญา อรหันต์เป็น เจโต ก็เกิดสภาวะที่ อรหะ
รหะ รโห แปลว่า ลึกลับ อรหะ คือ หมดความลึกความลับ สว่างแจ้งออกมาแล้ว พระอรหันต์จะเกิดหลังโพธิ โพธิคือปัญญา อรหันต์คืออยู่ในความมืดแล้วมาสว่างทีหลัง
เพราะฉะนั้น โพธิจึงรู้ รหะ รู้ความลึกลับ ถ้าไม่มีโพธิ ก็พ้น รหะ เป็นอรหะ ไม่ได้
เพราะฉะนั้น ต้องเกิด รหะ ต้องมีโพธิขึ้นมาแล้วจึงจะมี อรหะ ไม่อย่างนั้นก็จมอยู่ที่ รหะ รโห จมลึกลับอยู่อย่างนี้แหละ ขออธิบายกว้างไปอีก
เหมือนอย่างเทวนิยม เทวนิยมนี่ เที่ยงอยู่กับ ความไม่รู้ ไม่รู้ว่า เทวะ คือสอง
ภาวะในโลกนี้มี 2 อย่าง ตั้งแต่ไอน์สไตน์มีเกิดปัญญาเกิดค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ 2 สภาพ คือ space and time of continuum ค้นพบ ทุกอย่างมันก็เป็นสิ่งที่ ทั้งหมดนี่แหละ ทั้งหมดคืออวกาศ Space การเคลื่อนไปคือเวลา เขาก็ค้นพบอันนั้น ก็เป็นจริง เรื่องของอุตุ เรื่องของสสาร เรื่องของสภาพดิน น้ำ ไฟ ลม เทหวัตถุแทงก่อนก็มีการเคลื่อน แล้วเขาก็เอาพลังงานมาใช้ได้
ที่นี้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็น Kama and time of continuum กรรมนี่จริงๆคือ ธาตุวิญญาณ คือก๊อต God คือธาตุจิต ธาตุวิญญาณ ซึ่งเป็นของใครของมัน ซึ่งผู้ไม่รู้อย่างสายเทวนิยมพระเจ้าแยกไม่ออก แยกเทวไม่ออกแล้วก็นึกว่าตัวเองไม่มี แยกไม่ออก นึกว่าตนเองเป็นนี่แล้วก็จมอยู่ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นสอง สุดท้ายตัวเองเป็นหนึ่ง สะสมความเป็นหนึ่งตามวิบากได้จริงเป็นผู้รู้มาก เป็นผู้ที่มีบริวาร เป็นผู้ที่มีอิทธิพล สามารถเป็นผู้ยิ่งใหญ่ พระบุตรเองนั่นแหละ แต่ไม่รู้ว่ากรรมวิบากของตัวเองได้สั่งสมมาจนเป็นผู้รู้ใหญ่มีบริวารมีลูกศิษย์ลูกหา แล้วไม่รู้ว่าเป็นความรู้ของตนเอง นึกว่าของใครหนอของพระบิดาให้มา ไม่รู้จักตัวเอง
พระศาสดาทางเทวนิยมไม่รู้ อัตตา อันนี้เป็นความลึกซึ้ง พระพุทธเจ้าค้นพบ อัตตา จนกระทั่งเห็นว่า อัตตานี่คือสังขารปรุงแต่งกับสภาวะ 2 อย่าง
ไอน์สไตน์ค้นพบบวกกับลบ พลังงานกับสภาวะ 2อย่าง ส่วน พระพุทธเจ้านั้นค้นพบกายกับจิต เป็นนามธรรม กายคือจิต คือมโน คือวิญญาณ พระเจ้าตรัสไว้เลย คนก็จะงง คนที่ไปยึดมั่นว่า กาย ที่เป็นภาษาไทยหมายถึงสรีระ หมายถึงวัตถุหมายถึงดินน้ำไฟลมเท่านั้น ไม่มีจิตเข้าไปร่วมเลย คนนั้นมิจฉาทิฏฐิเต็มที่ คนใดเข้าใจว่ากายคือสรีระดิน น้ำ ไฟ ลมอย่างเดียวเลย เป็นมิจฉาทิฐิเต็มที่ ไม่สามารถที่จะมาบรรลุธรรมในศาสนาพุทธได้เลย ถ้าเข้าใจคำว่า กายผิด ก็ไม่พ้นสังโยชน์ข้อที่ 1 สักกายทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิในคำว่า กาย อยู่ ซึ่งก็มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองในบัดนี้ ไม่ค่อยจะชัดเจนเรื่องนี้
อาตมาเกิดมาชาตินี้มาขยายความ คำว่ากายก็ดี คำว่าบุญก็ดี คำว่าฌานก็ดี คำว่าสมาธิก็ดีคำว่าวิมุติ อะไรต่างๆพวกนี้แม้แต่คำว่า เทวะ อาตมานำมาขยายคำว่า โลกียะ คำว่าโลกุตระ ซึ่งขยายแล้วให้มาสัมผัสจริงมาเรียนรู้จริง ปฏิบัติจนกระทั่งมีสภาวธรรม บรรลุธรรมจริง จึงไม่ใช่เรื่องสูญเปล่า ไม่ใช่เรื่องโมฆะในศาสนา
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านว่า จะขยายความเรื่องโพธิสัตว์กับอรหันต์ ให้ได้ความรู้มากๆ
พ่อครูว่า… อรหันค์คือตัวเจโต โพธิสัตว์คือตัวปัญญา ตระกูลของจริตสัตว์โลก มันเป็นจริงๆตามจริต ศรัทธาจริตกับพุทธิจริต หรือสายปัญญากับสายเจโต มันเป็นตระกูลมาแต่ไหนแต่ไร โมคคัลลา สารีบุตร โมคคัลลานะเป็นสายเจโต สารีบุตรเป็นสายปัญญาอย่างนี้เป็นต้น จนกระทั่งทั่วรอบแล้วก็เป็นพระพุทธเจ้า สุดยอด มันจะเป็นอย่างนั้น เป็นสัจจะ
เพราะฉะนั้นผู้ที่สุดโต่งไปทางเจโต สุดโต่งไปทางอรหันต์อย่างยุคนี้ เถรวาทไทย สุดโต่งไปทาง เจโต สุดตรงไปทางอรหันต์ ฝ่ายมหายานก็สุดโต่งไปทางปัญญาไปใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีที่จบเลย ทางนี้จะว่าจบมันก็ไม่จบเพราะมันมืด มืดบอดเข้าไปๆๆ ก็เลยยิ่งมืดใหญ่ ลงไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าอย่างที่ว่า หาไม่เจอเลย
อาตมาก็พยายามจะใช้เครื่องมือวิเศษ ดึงขึ้นมาจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ากันให้ได้
ส่วนพวกที่เป็นแบบมหายาน เป็นพญาครุฑ อาตมาก็ดึงลงมาบ้างเหมือนกัน แต่มันเยอะ พวกนั้นเยอะ เพราะมันสว่าง มันก็ไปกัน ส่วนไปมืดนั้น มืดแล้วก็เป็นฟอสซิลเป็นก้อนแข็ง ทำอะไรไม่ได้เลย กลายเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม กลายเป็นแท่งก้อน ไม่รู้เรื่อง ยาก แต่ก็ต้องช่วย ช่วยทั้ง 2 ฝ่ายแหละไม่ว่าทั้งพญาครุฑและทั้งพญานาค
พญานาคคือพวกลงไปในที่มืด ลงไปในใต้ก้นมหาสมุทร ส่วนพญาครุฑเป็นพวกบนเวหา ไม่รู้ที่ไหน นี่เป็นพยัญชนะสื่อสภาวะที่อาตมาหยิบมาขยายความเอง
เพราะฉะนั้น ผู้ที่หลงโพธิ หลงความฉลาด หลงปัญญา หลงความตรัสรู้ ท่านเรียกง่ายๆว่า วิปัสสนูปกิเลส หลงแสงสว่าง หลงญาณ หลงความรู้ แม้แต่หลงวิมุติ หลงอะไรพวกนี้ ซึ่งมันเป็นความจริงที่ไม่ชัดเจน ก็ไม่รู้จะพูดยังไง จะบอกอย่างไรว่า ไอ้ความรู้ที่ คม เด็ดขาด แม่น ชัด ตรง และรู้เข้าไปในความจริงตามความเป็นจริงที่ท่านสรุปปัญญาไว้ว่าคือ ความรู้ความจริงตามความเป็นจริง ก็เป็นภาษาไทยที่หมดแล้ว มันรู้ความจริงอันนั้นเป็นอันนั้น จริงๆเลย ยิ่งเป็นนามธรรมละเอียดเข้าไป โอ้.. อรหันต์อย่างนี้ นิพพานอย่างนี้ มันก็ละเอียดลึก มันก็ใช้ภาษาสื่อ ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่นำไปให้รู้ความจริงนั้นได้
อาตมาเป็นคนซื่อ พูดจริง โกหกไม่เป็น บอกว่า อาตมาเป็นอย่างนี้ๆๆ พูดซื่อ พูดอย่างนั้นเฉยตาเฉย พูดเหมือนคนไม่เดียงสา เราเป็นอย่างนี้แล้วก็บอกอย่างนี้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ต้องให้ตีความ อาตมาไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรก ไม่มีติงสะ ไม่มีแล้วสวรรค์ไม่มีนรกแล้ว มันเป็นหนึ่งเดียว มีแต่หนึ่งพูดตรงๆ เอกังสะ ส่วนเดียว ถ่ายเดียว แต่คนเข้าใจไม่ได้ หาว่าอวดตัวอวดตน
อาตมาไม่มีอะไรจะพูด จะเอาออกมาให้ มันมีแต่ความจริงอย่างเดียว เพราะฉะนั้นพูดไปมันก็มีแต่อันนี้ แล้วจะให้อาตมาทำอย่างไร อาตมาก็จนปัญญา
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
เจโตปริยญาณของคนสองสายในบุคคล 7
_สู่แดนธรรม… วันนี้จึงได้รู้เจตนาพ่อท่านที่พยายามสอนและสื่อ ไม่ได้เอาที่เกิดจากตัวตน ว่าเขาจะต้องมาเชื่อฟังเราเป็นบริวารเรา ผู้ที่เห็นความจริงใจของพ่อท่านก็จะรู้ว่า ความบริสุทธิ์เป็นของอิสระของทุกคนไปเลย ใครที่สามารถเปิดหรือออกจากหล่มหรือไขเปิดก๊อกที่ปิดอยู่ ไขได้แล้วก็เป็นอิสระส่วนตัวของบุคคลนั้นเลย ไม่ต้องบอกว่ามาจากพ่อท่าน
ว่ากันถึงเรื่องพระอรหันต์กับพระโพธิสัตว์ ผมเคยไปค้นหาหลักฐานที่ไปยืนยัน ฝากพระโพธิสัตว์ซึ่งคนทั่วไปจะคิดว่ายังไม่ใช่ พระอริยะ ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ เขาจะไปติดอยู่ว่าถ้าเป็นอรหันต์แล้วบรรลุธรรมแล้วจะตายสูญ ไม่สามารถบำเพ็ญได้อีก
เล่ม 19 ข้อ [๑๓๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า เมื่อก่อนแต่ตรัสรู้ ครั้งเราเป็นโพธิสัตว์ยังมิได้ตรัสรู้ ก็ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้โดยมาก เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้โดยมาก กายไม่ลำบากจักษุไม่ลำบาก และจิตของเราย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
_สู่แดนธรรม… อันนี้เห็นด้วยว่าพระโพธิสัตว์มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะแล้ว จึงมีกำลังในการทำได้เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปที่ยังมีกิเลสต้านทานอยู่ นิมนต์พ่อท่านขยายความเรื่องพระโพธิสัตว์ พระอาริยะ ต่อ
พ่อครูว่า… คือมีพระพุทธเจ้าท่านตรัสถึง บุรุษ 7 ทักขิเนยบุคคล7 อุภโตภาควิมุติ ปัญญาวิมุติ ทิฏฐิปัตตะ กายสักขี สัทธาวิมุติ สัทธานุสารี ธัมมานุสารี
อาตมาเกริ่นไว้แล้วว่า จริตของคนมันมี 2 แบบเหมือนอย่างพระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตร จริตของคนมันเป็นของตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร มันไม่ได้แกล้ง เป็นแทนก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น สัทธานุสารี มาก่อน แล้วถึงเป็นธัมมานุสารีเป็นระดับเหนือกว่ากัน แล้วจากสัทธานุสารีก็มาเป็นสัทธาวิมุติ ส่วนธัมมานุสารีจะไปเป็นทิฏฐิปัตตะ
สัทธาวิมุติจะกลายเป็นกายสักขี ส่วนทิฏฐิปัตตะจะไปเป็นปัญญาวิมุติ
พูดถึงปัญญาวิมุติ คือผู้ที่สิ้นอาสวะได้ กายสักขีนี้ อาสวะบางอย่าง ผู้ที่มีกายมีความรู้เรื่องการสัมมาทิฏฐิในเรื่องกายและปฏิบัติธรรมได้ ก็จะมีความบรรลุ
เริ่มต้นมีปัญญาหรือว่าผลที่ปัญญานี้ เขาถึงบรรลุทิฐิเป็นซ้ำมาปฏิบัติได้ ก็ทำให้ กาย พ้นทุกข์ได้ ก็เป็น กายสักขี เพราะฉะนั้น อาสวะตัวที่กายพ้นทุกข์ได้ มันก็เป็นตัวบรรลุของตัวเองไปได้เรื่อยๆ อาสวะ สิ้น บางอย่างไปตามลำดับจนถึงปัญญาวิมุติ
เพราะฉะนั้น แม้แต่สายศรัทธา ก็จะต้องกระเถิบตัวเองมาให้เป็น ธัมมานุสารี วิมุติ ไม่เอาแต่ศรัทธาวิมุติ ให้บรรลุถึงทิฏฐิปัตตะ ให้เป็นบรรลุถึงทิฏฐิ ให้บรรลุถึงทางสายปัญญา จนกระทั่งมีปัญญาแล้วก็ถึงจะเข้าใจเรื่อง กาย ก็จะปฏิบัติมีกายสักขี ทำอาสวะบางอย่างได้หมดไปเรื่อยๆ
_สู่แดนธรรม… ใน สัทธาวิมุติ ส่งก็ตรัสไว้ว่าผู้นี้จะบรรลุ อาสวะสิ้น ก็ต้องเห็นแจ้งด้วยปัญญา เห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จึงจะเห็นอริยสัจ
พ่อครูว่า… เพราะฉะนั้น อาตมาจะอธิบายสัทธาวิมุต สัทธาวิมุตที่เป็นสัทธานุสารี 100% หลงวิมุตที่เป็นมิจฉาวิมุตติ หรือ มิจฉานิโรธ หลงเดียรถีย์ หลงแบบโลกียะ จมวนอยู่นั่น ไม่มีปัญญา จมอยู่นานเลย จนกว่าจะค่อยๆเกิด อัญญธาตุ เกิดธาตุรู้ สะสมธาตุรู้ อัญญธาตุ 1 หน่วย 2 หน่วย 5 หน่วย 50 หน่วย 60 หน่วย 70 หน่วย จึงจะเกิดเป็นธาตุปัญญา อาตมาอธิบายถึงต้นธาตุต้นธรรมละเอียดแล้วนะ
มันเป็นปัญญาถึงจะรู้ว่า มันเกี่ยวกับจิต มันเป็นจิตอย่างนี้หรือ ที่เป็นธาตุรู้นะ ไม่ใช่รู้แต่เปลือกๆผิวๆเผินๆ แต่มันรู้ถึงจิตเจตสิกขึ้นไป รู้ขึ้นไปถึงจิตเลย ทำจิตในจิต มนสิการเป็น ทำจิตในจิตของตัวเอง เข้าถึงจิตในจิต
อธิบายถึง จิตในจิต ใน กาย เวทนา จิต ธรรม นี้ ผู้ที่ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4
กาย ยังไม่สัมมาทิฏฐินี้ปิดประตูเลย เวทนาเขาก็ไม่ถูกต้อง เขาจะไม่เข้าใจเวทนาที่เกิดจากผัสสะในปัจจุบันนั้นๆ เขาไม่เข้าใจละเอียดลออพอ ปฏิบัติธรรมไม่ต้องไปหาสถานที่อื่นเลย ปฏิบัติธรรมปัจจุบัน กระทบสัมผัสกับปัจจุบัน เรียนรู้ปัจจุบันนี้ในเวทนาปัจจุบัน แล้วช่วยพัฒนาเป็นจิตในจิตได้ จิตในจิตคือเจโตปริยญาณ 16
-
สราคจิต (จิตมีราคะ) 2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ) 3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ)
แล้วก็มีความรู้ให้มันดับลงได้ไปตามลำดับ 4. วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ) 5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ) 6. วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ) 7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) . 8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) 9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)
หมายความว่า จิตจะค่อยๆเจริญ สายเจโตจะค่อยๆขยายแต่ถ้าเป็นสายปัญญาแล้วมันจะเร็ว ไว มันรู้ ราคะโทสะโมหะ ยิ่ง แต่สายเจโตจะสังขิตฺตํจิตตํ
สายปัญญาจะฟุ้งเลยเถิด เป็นโลกจินตาไปเยอะ เหมือนอย่างที่ท่านได้ศึกษาเปรียญ 9 ศึกษาวิชาการทางศาสนามาเยอะ แล้วก็จะไปติด สรุปไม่ลง ไม่บรรลุในชาตินั้น รู้มากเป็นปทปรมบุคคลอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้หมด
อาตมาก็พยายามจะให้มาฟังอาตมาหน่อยสิ จะได้รู้จักการปฏิบัติเป็นชุดๆ เป็นปริเฉทเป็นกรอบๆ เป็นคู่ๆ ไปตามลำดับ ไม่อย่างนั้นมันปนกันเละเทะสับสน มันไม่ได้สำเร็จสักอันเลย มันไม่มีอะไรบริสุทธิ์ บริบูรณ์ได้สำเร็จสะอาดได้ มันไม่รู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน มันไม่รู้เวทนาในเวทนา เป็นต้น
เวทนา 108 ต้องมีสภาวะจริง กายิกเวทนา เจตสิกเวทนา ที่เป็นเวทนา 2 คู่แรกเลย
มันเป็นสุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์อีกเป็น 3
แล้วมันมีน้ำหนักข้างนอกข้างในอีกเป็น 5 ทุกขเวทนา สูขเวทนา โสมนัสเวทนา โทมนัสเวทนา อุเบกขา มีลักษณะของมัน 5 ชนิด ก็แยกออก ถ้าเป็นอย่างนั้นอย่างนั้น เกิดจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 6 ทวาร แล้วเกิดสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ 3 อย่างนี้ เช่นเป็น 18 มโนปวิจาร
อาตมาอธิบายมานานด้วยภาษาไทย ซึ่งก็เห็นใจว่า มันไม่ง่ายที่จะรู้สภาวะ ก็พอจะฟังรู้เรื่องว่าของทวารมันมีอะไร สุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ มันมีอะไรก็รู้ แล้วมันไปยังไงมายังไง
ตากระทบรูป ผู้ยังอวิชชาอยู่ก็จะมี 2 บางทีก็สุขบางทีก็ทุกข์ บางทีไม่ทุกข์ ก็อยู่เฉยๆแต่ไม่รู้เรื่อง เสร็จแล้วก็สุขทุกข์ใหม่ หรือกดข่มอย่างมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งมันไม่ใช่ ไปกดมันทำไม ต้องให้รู้มันสุขมันเป็นมายา มันเป็น 2 มันไม่มีจริง มันเป็นอนัตตา ไปยึดความสุขมันก็เลว ไปยึดความทุกข์มันก็เลว มันก็โง่ทั้งนั้น
กว่าจะเข้าใจกลัวจะเกิดญาณปัญญาเกิดโพธิ กว่าจะหายลึกลับ กว่าจะอรหะ พ้นอรหะ ไม่ลึกลับแล้ว
ผู้ที่ไม่ลึกลับแล้วจึงตั้งชื่อว่า อรหันต์ อรหัตตาก็ค่อยๆได้ ไปทีละหน่วย
อาตมาก็หยิบพยัญชนะมาสื่อสภาวะให้ละเอียดแล้วก็อย่างนี้แหละ ซึ่งจะหาคนอธิบายให้ละเอียดอย่างนี้ยาก พูดไปแล้วก็เหมือนคุยตัวแต่พูดจากความจริงที่อาตมามีอย่างจริงใจ หนึ่งเดียว ไม่มี จิต 2 ที่เป็น สาเถยยจิต จิตแฝงไม่มี มีแต่พูดความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้นเอง
อาตมาไม่มีความโกรธ ไม่มีความถือสา ชีวิตนี้อาตมาไม่มีความโกรธ ถือสา มีแต่การไปติดสุข ติดอะไรนิดๆหน่อยๆ ลิงลมข้าวพองตามโลกเขาหลอกไปบ้าง จนกระทั่งรู้ตัวเอง ก็ปัดโธ่เอ๋ย จนกระทั่งทุกวันนี้ ไม่รู้อร่อยหรือไม่อร่อยไม่รู้แบบโลกีย์เขา ก็เลยกลายเป็นคนที่อยูไปธรรมดา รู้ความจริงตามความเป็นจริงอย่างเดียว
อาตมาได้อ่านคนที่คอมเม้นมาเป็นพันคน พยายามอ่านที่เขาด่า เขาว่ามาไป อย่างหยาบคายเขาก็จุดจุดจุด คำด่า คำ comment ที่หยาบคายเขาพิมพ์ออกมา อันไหนหยาบก็จุดๆๆไว้ ก็เลยเห็นว่า คนเขามองเราอย่างนี้ เขาไม่เข้าใจเลย ยิ่งเห็นชัดเจนว่า ในยุคนี้กลียุค ธรรมได้สูญเสื่อมไปจากคนจากชาวพุทธจากรูปพระพุทธเจ้าไปแล้วหมดจริงๆ
อาตมาไม่ได้โกรธไม่ได้เคืองไม่ได้ถือสาที่เขาคอมเม้นเขาด่าอาตมามา ตั้งยาว อาตมาก็อ่าน คนก็มาบอกอายุทำไมมันยาว ก็อ่านให้เขาหน่อยเขาอุตส่าห์แสดงความเห็นเราก็จะได้รู้เขาไง โพธิสัตว์นี้ต้องรู้เขารู้เรา ต้องอ๋อ เขาเป็นอย่างนี้เขารู้สึกอย่างนี้เห็นไหม ก็ได้แต่สงสาร ไม่รู้จะไปอย่างไร ก็เลยพยายาม เอ้า ก็นำเอาความจริงออกมาสาธยายอธิบายให้เขาได้ฟังบ้าง แต่เขาก็ไม่ค่อยฟัง คนก็เลยยิ่งยากที่จะได้รับความจริง ได้รับความรู้ เขาก็ไปงมงาย กับคนที่พูดไม่เต็ม พูดไม่ค่อยถูก พูดผิดด้วยซ้ำ คุณไปหลงกับพวกที่ผิด พวกที่ไม่เต็มไม่รู้เรื่อง มันก็เลยไม่ได้ฉลาด ไม่มีปัญญาสักที
อาตมาจนมาถึงขั้นนี้แล้วเอาปัญญา 8 ของพระพุทธเจ้ามาขยายความ เขียนเป็นเล่ม เล่ม 2 เล่ม 3 แล้วเขียนอยู่ยังไม่จบ จะถึงเล่น 4 หรือเปล่าก็ไม่รู้อ่ะแต่มันก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องฟรี แล้วเล่มหนึ่งไม่ใช่น้อยนะ 400 กว่าหน้า
ปัญญานี่แหละ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร นี่ก็เป็นความจริง ก็คือความรู้ ความเฉลียวฉลาด โพธิ มันเป็นเช่นนี้ เรื่องอรหันต์นั้น จบไปนานแล้ว อาตมาจบ มันต้องอย่างนี้
พระพุทธเจ้านี้ เข้าใจความเจริญของธาตุจิตที่เป็นเจโตก่อน ได้เจโตแล้วเป็นปัญญา พอได้โพธิของโสดา ได้โพธิของสกิทา ก็ต้องได้ความบรรลุเป็นอรหัตผลของโสดาบัน อรหัตผลของสกิทาคามี อรหัตผลของอนาคามี อรหัตผลของอรหันต์
อรหัตผลของอนุโพธิสัตว์ อรหัตผลของอนิยตโพธิสัตว์ อรหัตผลของนิยตโพธิสัตว์ จนกระทั้ง อรหัตผลของมหาโพธิสัตว์ จึงจะเป็นการบรรลุอรหันตสัมมาสัมพุทธะเจ้า
เพราะฉะนั้น อรหันต์มันมีขั้นๆๆๆ ไปเข้าใจว่าอรหันต์มีอรหันต์เดียว ก็คือคุณไม่มีโพธิสัตวภูมิเลย เป็นได้เหมือนกัน พาซื่อ ถ้ามันสัมมาทิฏฐิมันก็บรรลุได้ แต่มันยาก มันไม่มีที่เปรียบ ก็ยาก
_สู่แดนธรรม… เมื่อก่อน พ่อท่านเคยเปรียบเทียบ พระอรหันต์กับพระโพธิสัตว์ต้องอยู่ด้วยกันเหมือนเหรียญ 2 ด้าน เอาด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้
พ่อครูว่า… ได้ ถ้าจะว่าไปแล้ว 2 ด้าน มันต้องมีด้านหนึ่งเป็นด้านหน้า อีกด้านหนึ่งเป็นด้านหนัง ด้านหนึ่งเป็นด้านสว่าง อีกด้านหนึ่งเป็นด้านมืด มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ความจริงก็โพธิ เป็นด้านสว่าง อรหันต์เป็นด้านมืด
_สู่แดนธรรม… การหันหน้ามาควรหันด้านโพธิออกมา
พ่อครูว่า… ใช่ ควรหันด้านโพธิออกมา ถ้าหันด้านอรหันต์ มันก็ยิ่งดิ่งลึกเข้าไปหาความมืด แล้วหลงเป็น สุภกิณหา หลงว่ามืดนี่แหละดี สุภะดี น่าได้น่ามีน่าเป็น แต่มืดๆๆๆ เดินเข้าไปหาความมืด หลงว่าเป็นนิโรธเป็นต้น ไปใหญ่เลย
เพราะฉะนั้น คนที่อยู่ในระดับ สุภกิณหา พูดกันไม่รู้เรื่องเลย กระตุกกันไม่ขึ้นเลย เอาหอกแทง เช้า 100 เล่ม กลางวัน 100เล่ม เย็น 100 เล่ม หมด หอกมีเท่าไหร่
_สู่แดนธรรม… เรามาพูดถึงอรหันต์ที่สัมมาทิฏฐิ พ่อท่าน จะหันด้านโพธิออกมา แท้จริงด้านที่เป็นอรหันต์ คือด้านที่มีหลักประกันว่า จิตของผู้ประเสริฐแล้ว แม้ไม่หันอีกด้านก็รู้ว่ามีฐานนั้นแล้ว
พ่อครูว่า… ใช่ ไม่หลงสุขลงทุกข์อีกแล้ว อาตมาพูดไม่ได้แกล้งพูด ไม่ได้เสแสร้งพูดไม่ได้เอาของใครมาพูด แม้อาตมาเรียนตามพระพุทธเจ้า ก็พูดของตัวเองขณะนี้ ที่เข้าใจอย่างนี้แล้วเป็นอย่างนี้ ยถาวาที ตถาการี ยถาการี ตถาวาที พูดอย่างไรเป็นอย่างนั้น เพราะเป็นอย่างนั้นจึงเอาอย่างนั้นมาพูด เป็นอย่างนั้นไม่ได้มามี 2 มีแต่ 1 ยถาวาที ตถาการี เป็นอย่าง ยถาการี ตถาวาที ก็เป็นหนึ่ง อาตมาเป็นอย่างนี้ อาตมาถึงพูดอย่างนี้ พูดอย่างนี้ อาตมาก็เป็นอย่างนี้ 2 มันเป็นอย่างนี้ เข้าใจให้ได้ให้ดี
เพราะฉะนั้น สัจจะพระพุทธเจ้าอาตมาเกิดมาในปางนี้จึงเห็นความจริง อาตมาเกิดมาเอาความจริง มาสาธยายธรรมมะหรือว่ามาแสดงงานทำงานอยู่ตั้งแต่บวชมา เริ่มมาจนถึงบัดนี้ อาตมามีแต่เรื่องความจริง เอาความจริงมาเปิดเผย เอาความจริงมาขยาย สาธยาย เอาความจริงมาแจก เอาความจริงมาให้ทุกๆคน
แต่คนที่รู้ความจริงไม่ได้ มันก็ช่วยยาก นอกจากความจริงไม่ได้แล้วยังไม่เชื่ออีก หรือระแวง สงสัย อย่างนี้เป็นต้น มันก็ห้ามเขาไม่ได้คนจะมี
โลกุตระที่จับต้องได้เป็นรูปธรรมชัดคือเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคี
_สู่แดนธรรม… หรือว่า ความจริงของพ่อท่านเป็นความจริงที่ล้ำหน้าโลกเขาไปก่อน
พ่อครูว่า… อันนี้แหละใช่ เป็นความจริงที่ล้ำหน้า เป็นความจริงที่หายไปนาน ความจริงที่พระพุทธเจ้าเอามาเปิดเผยตั้ง 2,500 กว่าปี มันได้เสื่อมไปแล้วอย่างที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน อาณิสูตร กลองอานกะ ธรรมะโลกุตระมันจะเสื่อมไปแล้ว มันหายไปจริงๆ อาตมาเลยเอามาพูดกลับมา
กว่าคนที่จะแสวงหาแล้วไม่มีอคติ ตั้งใจจริงๆ กว่าจะค่อยๆรู้ เห็นจริง คนจริง ว่า ท่านองค์นี้เป็นสัตบุรุษ ท่านองค์นี้เป็นโพธิสัตว์จริงๆนะ โพธิสัตว์ที่ไม่ใช่ระดับธรรมดา ถ้าหากระดับธรรมดามาขยายขนาดนี้ เขาเหยียบเอาตายนานแล้ว นี่มันมีบารมี มันมีความจริงที่คุ้มตัวเองอยู่
_สู่แดนธรรม… แล้วก็สอดคล้องกับที่พ่อท่านบอกว่า อาตมาระดับ 7 ไม่มีใครตามทัน กว่าที่เขาจะรู้ทันตามก็ต้องรอไปอีกนาน
พ่อครูว่า… อันนี้ก็ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังดักดานโง่อยู่ จนกระทั่งห้ามอาตมาไม่อยู่แล้ว ต้องปล่อยให้อาตมาเป็น แม้จะเป็นคนเดียว แม้จะเป็นหมู่มีพวกน้อยไม่มากไม่มาย เขาก็จำนน เพราะว่าเราเองเราไม่ได้เป็นการสาธยายธรรมอย่างไม่มีหลักฐาน อย่างม่มีสิ่งอ้างอิงไม่มีอะไรยืนยัน มันมีหมด อ้างอิงพระไตรปิฎก อ้างอิงหลักฐาน คำสอน อธิบายมาให้รู้ คนก็มารู้ได้ รู้แล้วมาปฏิบัติได้ แล้วก็มาเห็นคนปฏิบัติได้ แล้วก็มีพฤติกรรม มีองค์ประกอบ มีพฤตินัย มีปรากฏการณ์ จนกระทั่งเป็นสาราณียธรรม 6 มีสาธารณโภคี ลาภที่ได้มาโดยธรรม แล้วก็เอามารวมกัน ไม่ยึดถือเป็นของตัวของตน มันสุดยอดของโลกนะ
เศรษฐกิจของโลกเขาต้องการให้คนไม่ยึดถือเป็นของตัวของตนเอง ให้ออกมาเป็นรวมส่วนกลางและออกมาแจกจ่ายเอามาใช้ร่วมกัน เป็นวิธีการที่รู้กันของคอมมิวนิสต์ มีแต่เป็นเผด็จการสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ริบของเขาหมด ใช้อำนาจบาตรใหญ่ นอกนั้นก็เป็นคอมมิวนิสต์ก็ตาม ประชาธิปไตยก็ตาม ต้องการให้เอามาเป็นส่วนกลางให้มาก
หลักฐานก็คือ คอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตยก็ต้องพยายามให้เสียภาษีแก่ส่วนกลางให้มากๆ อย่างเช่น อเมริกาเขาก็ออกกฎหมายมา เก็บภาษีจากผู้ที่หาเงินได้มากๆ เขาก็เลยมีเงินส่วนกลางมาก เอามาเบ่งอำนาจใหญ่โตได้ แล้วก็มีกิจการต่างๆโดยเฉพาะกิจการขายอาวุธ ก็เลยได้เงินมามาก ขายเครื่องมือเครื่องไม้ เครื่องมืออุตสาหกรรม วิศวกรรมต่างๆนานา มันก็เป็นไปเป็นธรรมดา
สิ่งเหล่านั้น มันซื้อด้วยเงิน เครื่องมือ เครื่องอาวุธ เครื่องกลไกต่างๆ กินไม่ได้ คุณจะขายราคาแพงเท่าไหร่ คุณขายไป ขายได้ทำได้ อาหารการกิน คุณขายแพงไม่ได้ ขายแพงแล้วมันทารุณคนจน คนจนตายหมดสิ ขายแพง
เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นข้อจำกัด ที่อาหารการกิน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นของมนุษย์ สำคัญกว่าอาวุธยุทธภัณฑ์ต่างๆ หมด แต่คนหลงอาวุธยุทธภัณฑ์
คำตรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา ที่ท่านตรัสว่า เราไม่อยากก้าวหน้าอย่างโลกเขา ก้าวหน้าอย่างโลกนั้น มันจะถอยหลังอย่างเดียว คำศัพท์เหล่านี้เป็นคำตอบที่ลึกซึ้งละเอียดย้อนสภาพ เป็นสัจจะย้อนสภาพที่คนรู้ไม่ได้
ก้าวหน้ามีแต่ก้าวหน้าถอยหลัง ภาษามันกลับไปกลับมาในหลวงท่านตรัสอย่างนี้ หรือว่าท่านไม่รู้ภาษาที่ท่านตรัสหรืออย่างไร ท่านตรัสได้ถูกแล้วแต่ว่าคนเข้าใจไม่ได้ เป็นภาษาสิริมหามายา ก้าวหน้าอย่างนั้นมีแต่ถอยหลัง ถอยหลังอย่างน่ากลัวด้วยเราไม่เอา ต้องมาเอาอย่างประนีประนอมกัน อย่างอะลุ่มอล่วยกัน อยู่กันอย่างมีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรมเมตตามโนกรรม นี้จบ ท่านตรัสเข้าหาสาราณียธรรม
อาตมาอย่าว่าแต่พูดเลย อย่างเดียวกันกับในหลวงเลย ก็พูดอย่างเดียวกัน เพราะเป็นโพธิสัตว์ เป็นธรรมิกราชเหมือนกัน แต่อาตมาพาทำสำเร็จ พามาจน ในหลวงท่านตรัสมาจนเหมือนกันแต่ท่านพาใครมาจนไม่ได้ แต่อาตมาทำได้ ทำได้เป็นหมู่บ้าน
หมู่บ้านคนจน เป็นหมู่บ้านคนจนที่บรรลุเศรษฐศาสตร์สูงสุด เป็นเศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบ พูดอย่างนี้ นักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายฟัง จะฟังเข้าใจที่อาตมาพูดไหม อาตมาพูดนี้เป็นของจริงนะ ไม่ใช่พูดแค่ปากพูด
เพราะฉะนั้น การที่จะพัฒนา แก้ปัญหาเศรษฐกิจไปให้คนรวย Impossible มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันเป็นเรื่องตรรกะที่หลงใหล หลงเลอะ ต้องมาทำให้คนมักน้อย สันโดษตามวรรณะ 9 ของพระพุทธเจ้า ถ้ามีคุณธรรมวรรณะ 9 ของพระพุทธเจ้า
เลี้ยงง่าย มีอยู่มีกินแค่นี้ก็เลี้ยงง่าย อยู่สบาย ไม่เดือดไม่ร้อน ไม่ดิ้นรน ไม่หาเรื่องหาราว
สอนให้เจริญ สุโปสะ ง่าย
มีน้อยๆก็เอา กล้าจน อัปปิจฉะ พอ น้อยก็พอ จิตพอด้วย มากไม่เอา
สันตุฏฐิ สันโดษคือมากไม่เอา เอาแต่น้อย มีมากสะพัดออก
ขัดเกลาตนเอง สัลเลขะ อะไรที่มีตัวตนก็ลดลง โดยหลักปฏิบัติของพระพุทธเจ้า
ธูตะ ข้อปฏิบัติขัดเกลาตนเอง
จนกระทั่งมีอาการน่าเลื่อมใส ผู้รู้ผู้ที่มีปัญญาจะเห็นว่าน่าเลื่อมใส
ไม่สะสม อปจยะ แล้วยอดขยัน วิริยารัมภะ ขยันเสมอ ปรารภความเพียรอยู่เสมอ คนที่สุดยอด
_สู่แดนธรรม… เป็นเศรษฐศาสตร์ที่สุดยอดที่สุดเลย
พ่อครูว่า… สุดยอดแล้ว พวกเราขยันทำงานกินข้าววันละมื้อ ทำงานทั้งวัน ถึงเวลาพักก็พักถึงเวลาเพียรก็เพียร คนพูดเขาก็ฟังเข้าใจหมด เขาบอกว่าหน้าโง่ มารับใช้ไม่ได้อะไรเลย ความสามารถก็มี ความรู้ก็มี จบด็อกเตอร์ก็มี อะไรก็มี แล้วมาจมอยู่ทำไม โง่ๆ
อาตมาพยายามให้พวกเราไปเรียนปริญญาโท ปริญญาเอก เรียนมา เสร็จแล้วก็ไม่ได้เอาไปหากินอะไรเลย มาอยู่นี่ ก็มาทำงานฟรีอยู่ในนี้ Doctor ทำงานฟรีไม่ได้ขั้นได้ตอน ทำงานฟรีไม่ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ ทำงานฟรีไม่ได้ยศฐาบรรดาศักดิ์
แต่เราเรียนเพื่อให้รู้โลกเขา แล้วก็ให้เห็นว่า อย่างนั้นเราก็เรียนได้เราก็รู้กับเขาได้เป็นได้อย่างที่เขาเป็น แต่ว่าเราไม่ไปหลงกับคนนั้นเขาหรอก เอาไปตีราคาลาภยศสรรเสริญสุขไม่เอา เรามาทำงานอยู่กับหมู่ ที่เป็นกลุ่มหมู่ที่ควรอยู่ด้วย อยู่ด้วยกัน เป็นสามัคคี เอกีภาวะ ที่ควรอยู่เป็น เสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ อาหารสัปปายะ ธรรมะสัปปายะอยู่ที่นี่ เจริญที่สุดแล้ว
_สู่แดนธรรม… ผมเห็นว่า ถ้าธรรมะของพระพุทธศาสนาจะเจริญต่อไปได้ ผมเห็นแนวทางว่าจะเจริญไปกับเศรษฐศาสตร์แบบนี้ โลกจะยอมรับตรงนี้มากกว่า
พ่อครูว่า… ใช่เขากำลังแสวงหากันอยู่แต่เขาคิดไม่ออกหรอก เพราะว่ามหาวิทยาลัยที่สอนเศรษฐศาสตร์ในโลกเป็นมหาวิทยาลัยเทวนิยม มีอยู่ในประเทศไทย แล้วโดยเฉพาะมีอยู่ในอโศกนี่แหละ แม้แต่มหาวิทยาลัยจุฬา มหามกุฏ ก็ไม่ได้สอนอย่างที่อาตมาสอน ไม่ได้สอนอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจะไม่มีโลกุตระ อาตมาสอนมีโลกุตระ ที่พูดไปเป็นความจริงเท่านั้นเหมือนอวดตัวอ่อนตนว่ารู้มากกว่าเขา ซึ่งมันก็รู้มากจริงๆ นี่ก็พูดความจริง
_สู่แดนธรรม… ธรรมะโลกุตระ ถ้าจับต้องไม่ได้ มันก็ไร้ประโยชน์
พ่อครูว่า… ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้าจับต้องไม่ได้ ไม่มีตัวตนให้พิสูจน์ แสดงว่าเป็นยุคพุทธธันดร ไม่ใช่ธรรมะพระพุทธเจ้า
_สู่แดนธรรม… ถ้าจับต้องได้ก็เป็นแบบเศรษฐศาสตร์
พ่อครูว่า… เศรษฐศาสตร์สังคมศาสตร์รัฐศาสตร์อย่างที่โลกเขาจับต้องได้อย่างนั้น
สรุปแล้วทุกอย่างมี 2 เทวะ มีโพธิสัตว์ มีอรหันต์ เป็นต้น มีเจโต มีปัญญา อย่างนี้เป็นต้นเป็นธรรมชาติ
เพราะฉะนั้น เราเข้าใจแล้วจะรู้ได้ว่า อุภโตภาควิมุติ ปัญญาวิมุติ ทิฏฐิปัตตะ กายสักขี สัทธาวิมุติ สัทธานุสารี ธัมมานุสารี 2 อย่างสมบูรณ์แบบ
เจโตวิมุติ ต่อให้คุณมีวิมุติ อย่างไรๆ คุณก็ต้องเติมด้วยปัญญา ถึงจะเป็น อุภโตภาควิมุติ
ศรัทธา คุณจะวิมุติขนาดไหน คุณต้องเติมด้วยปัญญา แต่ปัญญา แค่บุคคลที่ 6 อาสวะสิ้นแล้ว จบกิจได้เลย จบเลยปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ แต่เจโต ต้องไปเติมปัญญาอีก เป็๋น อุภโตภาควิมุติ จะว่าไปแล้ว อุภโตภาควิมุติ กับปัญญาวิมุติใครเจริญกว่ากัน บุคคลที่ 6 กับคนที่ 7
บุคคลที่ 7 ยังต้องเติมต้องแถมยังไม่เต็มทีเดียว อุภโตภาควิมุติ เพราะฉะนั้น ต่ำกลับไปหาสูง สูงจะไปหาต่ำ 6 มันเป็นความถ้วน แต่ 7 มันเป็นความหลุดพ้นเลย สูญ
6 มัน 2 เส้า cyclic order 2 ส่วน แต่ว่า 7 เป็น อนุปคัมมะ รู้สภาพ 2 ส่วนมีกับไม่มีบริสุทธิ์สะอาด
วิปัสสนูปกิเลส 10 ของสายฟุ้งซ่าน
พ่อครูว่า… อาตมาอธิบายธรรมะในชาตินี้ ปางนี้ เป็นการเอาโลกุตรธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาสถาปนาลงไปในโลกที่เสื่อมไปจากโลกุตระ เสื่อมจากธรรมะพระพุทธเจ้าไปหมดสิ้นแล้ว ก็ขอยืนยันว่า อาตมาเป็นโพธิ อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า อาตมาเป็นพระบุตรจริงๆ
เป็นพระบุตรที่เป็นสารีปุตโต เป็นสารีบุตรที่นำเอาทั้งธัมมานุสารี นำเอาทั้งสัทธานุสารี สาระที่ทั้งศรัทธาและปัญญา สัทธานุสารีและ ธัมมานุสารีมาพร้อม
ที่จริงอาตมาเป็นปัญญาวิมุติ แต่ผู้ อุภโตภาควิมุติ เป็นสายเจโต แต่จะช้ากว่าสายปัญญา
พวกที่น่าสงสารไปหลงอยู่ใน วิปัสสนูปกิเลส
๑. โอภาส (แสงสว่าง)
๒. ญาณ (ความหยั่งรู้)
๓. ปีติ (ความอิ่มใจ)
๔. ปัสสัทธิ (ความสงบเย็น)
๕. สุข (ความสุขสบายใจ)
๖. อธิโมกข์ (ความน้อมใจเชื่อ)
๗. ปัคคาหะ (ความเพียร)
๘. อุปัฏฐาน (สติแก่กล้า)
๙. อุเบกขา (ความมีจิตเฉยๆ)
๑๐. นิกันติ (ความพอใจ, ติดใจ)
เพราะฉะนั้นเขาจะจบด้วยความไม่จบ จบด้วย นิกันตะ ความดิ้นรนปรารถนาไม่จบ คือมันวน ถึงเรียกว่าเป็นอุปกิเลส มันไม่จบมันสรุปไม่เป็น มันไม่รู้
โอภาส ความสงบ สว่างเกิน พร่าหมด กระจายเกินไป ญาณรู้ รู้แจังแล้ว มีกรอบ มีขอบมีเขตจบ แต่ก็จบไม่ลง สรุปญาณไม่ได้ ยิ่งมีปิติแล้ว อุพเพงคาปีติ ปีติที่มันมากก็ไปติดหรือผรณาปีติ แผ่ซ่าน ไม่หมดไปจากตัวเลย มันก็เลยไม่หมด หรือสงบปัสสัทธิ ก็ยิ่งโง่ ยิ่งติด หรือสุขจม ไม่รู้จักสภาวะของความสุข ยิ่งอธิโมก ก็ยิ่งเชื่อๆๆแบบนี้ โน้มไปหาความเชื่อแบบผิด เสร็จแล้วก็ยังมีความเพียรอยู่นะ จิตก็ยิ่งสะสม อุปัฏฐานะ สะสมส่วนที่ได้มาก เสร็จแล้วพอได้คิดได้มีปฏิภาณก็บอกว่าอุเบกขาที่แปลว่า วางเฉย ที่จริงอุเบกขาคือความบริสุทธิ์สะอาดจากกิเลส ก็จบในกรอบของมันอยู่แล้ว จบเป็นความวางเฉย แต่มันก็เพี้ยนๆกันอยู่ ไม่ทุกข์ไม่สุข วางเฉย ไม่ใช่ เอาที่เจตสิก จิตสะอาดจากกิเลสมันก็จบแล้วนี่ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา คุณก็เข้าใจสภาวะองค์ธรรม 5 ของอุเบกขาให้ได้สิ ถ้าคุณทำสภาวะ เข้าใจสภาวะ โดยเฉพาะองค์ 5 ของอุเบกขา คุณเข้าใจไม่ได้ คุณจบไม่ลงหรอก คุณไม่มีสภาวะคุณไม่รู้เรื่อง คุณก็จะวนไปเป็น โอกกันติ ตลอดกาลนาน
นี่คือวิปัสสนูปกิเลส 10 คนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้อาตมาก็เห็น คนบางคนก็มากไปทางนั้นทางนี้ เห็นแล้ว จริงๆอาตมารู้อยู่ว่า ตัวเองเกิดมาในปางนี้ เป็นปางน่าเกลียด เป็นปางน่าชัง เป็น อภัพพบุคคล เป็นคนที่เกิดมาอาภัพ ไม่มีอะไรที่จะเป็นเครื่องน่าดู มันดูเหมือนมันน่าไม่ดู มันไม่น่าดู ได้แต่พูดเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ตำหนิแต่ความไม่ถูกต้อง ไม่ชมสิ่งที่ถูกต้อง ก็มาชมสิ่งที่พวกเราเป็น สิ่งที่เขาเป็นนั้น ชมไม่ได้ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็เลยต้องยิ่งแต่ตำหนิ เพื่อให้ตำหนิให้เขาเข้าใจ ตื่นมาเป็นสิ่งที่ถูก คนที่ถูก ไม่ต้องไปชมมันหรอก มันถูก มันดีอยู่แล้วมันก็ดีไปสิ ช่วยคนที่ไม่ดี คนที่ไม่รู้ให้รู้ มันก็ได้แค่นั้น
_สู่แดนธรรม… สรุปจบ
-
สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) 12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) . 13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) 14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) 15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . . 16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)