650930 ตอบปัญหาไม่ดับสัญญาแต่ดับกิเลส พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1pmbSMYIhdTSBJh31PxKHrf77_oHUIPuhIbMEk2Lc3B8/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/12W5C07PDQXQnpuLrb9Xk9Y7qBe3M361e/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/fSEPYR1-AS/
และ https://youtu.be/IR-67WHamcU
พ่อครูว่า… วันนี้วันศุกร์น้ำท่วมบ้านราชหมดเลย กำลังจะเข้าถึงใต้เฮือนสูญ แล้ว คิดถึงก็จินตนาการเอาเองก็แล้วกัน ตอนนี้เราไปไหนก็มีแต่ไปเรือ ก็เป็นไปตามธรรมชาติ ก่อนอื่นวันนี้ วันที่ 30 กันยายน วันนี้เป็นวันที่เขารอลุ้นพลเอกประยุทธ์กันเต็มที่ พอถึง 15:00 น หวยก็ออกพรวด ตอนนี้ก็พวกที่ดิ้นกระแด่วๆ ก็ดิ้นกัน ตะโกนว่าจะต้องชุมนุมลงถนน พี่ศรีก็ตะโกนบอก ถ้าลงถนนจับทุกคน สนุกกันใหญ่ ผู้เอาจริงเอาจังก็ขออนุโมทนาในการยืนหยัดยืนยันความจริงในความถูกต้องที่เหมาะที่ควร ผู้ที่ดิ้นก็ดิ้นกันไปอยู่เป็นธรรมดาธรรมชาติ
ก็มันจริงๆยังเหลือพวกที่ยังเป็นเศษ เศษธุลีละอองคลองธรรมชาติ มันจะต้องมีสิ่งที่ไม่เหมือนกัน หรือ มันขัดแย้งกัน เป็นธรรมดา ศึกษาธรรมะดีๆไปเถอะ แล้วจะรู้
วันนี้วันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2565 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 11 ปีขาล
SMS วันที่ 29 กันยายน 2565
ลักษณะของอุปกิเลสสายโทสะ
_ขวัญชวนไพร . กราบพ่อครูช่วยแยกน้ำหนักให้ความไม่ชอบใจ เหล่านี้ เบา ไปหาแรง แล้วต่างยังไงกันคะ
ปฏิฆะ
อุปนาหะ
โกธะ
พยาบาท
ขวัญชวนไพร กำลังทำวิจัย ความโกรธ จึงจะมาหาลำดับของเบา หนัก ต่างกันอย่างไรค่ะ
พ่อครูว่า…ปฏิฆะ คือ อาการโกรธมันเกิดขึ้นในใจ พออุปนาหะ มันก็ผูกโกรธ มันไม่อาการโกรธเกิดเท่านั้น มันผูกแล้วตอนนี้ ยึด ผูกโกรธแล้วยึดโกรธไว้ ในใจ
โกธะ ก็โกรธนั้นแรงออกมาภายนอก พอถึงพยาบาท ภายนอกก็โกรธออกมาภายนอก แล้วก็แสดงความโกรธออกมาอย่างนั้นอย่างนี้ จะชนะหรือแพ้ก็แล้วแต่ ก็สนองความโกรธของตัวเองไป ยังไม่พอ พยาบาทก็คือผูกแค้นอาฆาตข้ามชาติกันไปเลย นี่ อธิบายรอบแรก
อธิบายรอบ 2 เพิ่มเติมอีกนิดหน่อย ปฏิฆะ คือจิตของคนนี่เริ่ม ยังไม่มีผัสสะ ก็ยังเกิดปฏิฆะได้ ไม่มีผัสสะภายนอก นึกถึงขึ้นมา คู่อาฆาตเก่าแก่ อยู่ในใจ เกิดขึ้น ปฏิฆะได้ ยิ่งไปเจอกันจริงๆเลย สัมผัสตัวตนกันจริงๆ ที่เป็นคู่แค้น คู่ชัง อะไรกันมาแต่ปางไหนก็แล้วแต่ ก็ยิ่งจะปฏิฆะแรง เป็นแต่เพียงว่า อาการของปฏิฆะ ของความโกรธที่เกิดขึ้นในใจ ยังไม่แสดงออกมาเท่านั้น นั่นคือปฏิฆะ
เสร็จแล้วที่เป็นอุปกิเลส มันกลับกดเข้าไปในจิต ผูกโกรธเข้าไปอีก ผูกโกรูสูงขึ้นไปเรื่อยๆมากขึ้นจนกระทั่งถึงขั้น โกธะ ตัวที่ 3 มันก็แรงเลย แสดงออกมาภายนอกเลยทีนี้ ก็แรงมากจนกระทั่งไม่สงวนไว้ในภายในเท่านั้นแล้ว ออกมาภายนอกเลย มาจัดการ โกรธอย่างนั้นอย่างนี้ ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไปตามลีลา ของสงครามความโกรธ ของแต่ละคน ที่กับใครๆ ก็แล้วแต่
ส่วนพยาบาทนั้น สมบูรณ์แบบ ทั้งในปัจจุบัน ทั้งเกิดในใจ ทั้งมีการแก้แค้นอะไรก็แล้วแต่ หากไม่ อโหสิ หากไม่วางปล่อย เลิกพยาบาท เลิกผูกโกรธ เลิกอุปนาหะ ถ้าไม่เลิก คุณก็จะยิ่งพยาบาท ผูกพันไปชาติหน้า ชาติโน้น ชาติไหนๆๆ ไปอีก ไม่มีจบสิ้น
พูดไปแล้วก็อาการอย่างนี้ ทำให้อาตมาระลึกถึงทักษิณ น่าสงสาร เขาพยายามสงวนท่าทีด้วยความฉลาดเฉลียวของเขาว่า เขาไม่แสดงออกหยาบคาย แต่ในความไม่หยาบคายนั้น ถ้าทำได้ก็ฆ่านะ แต่ลีลามันซับซ้อน เป็นความซับซ้อนของคน ข้างนอกทำให้ดูฉลาด เป็นผู้สูงส่ง เป็นผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติเอง ไม่ได้เป็นผู้มีความโหดร้าย ไม่ได้เป็นผู้ทำร้ายอะไรเลย แต่มีเทคนิค มีกลเม็ดเด็ดพราย มีแทคติกต่างๆ ที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ เพื่อไปให้ผู้อื่นทำแทน ทำให้ดูเหมือนตนบริสุทธิ์สะอาด จัดการไปหมดเลย ให้สมความโกรธ ความแค้น ความอาฆาตของตนเอง นี่เป็นถึงเช่นนั้น คนที่ไม่รู้จักกรรมวิบาก ไม่รู้จักอโหสิ ไม่รู้จักว่าเราจะไปสร้างความคิดเช่นนี้ไว้ในใจทำไม
พูดถึงลักษณะอาการโกรธแล้ว ที่เกิดอยู่ในจิตของคุณทักษิณ ทำให้อาตมาประวัติไปอีกด้านนึง ถึงอาการ โลภ ไม่ใช่โกรธนะ อาการโลภ ของมหาบัว ญาณสัมปันโน ไม่รู้ตัวเหมือนกันเลย แสดงภาพภายนอกเหมือนจะดีเหมือนกับทักษิณเลย แต่ภายใน โลภจัด เป็นของตัวของตน คือไม่รู้จักอาการยึดมั่นถือมั่นตัวตน ไม่รู้หรอก เพราะอาการยึดมั่นถือมั่นตัวตนนี้มันละเอียดลึกซึ้ง ลึกซึ้งมาก ขออภัยที่พูดความจริง ลูกศิษย์ลูกหาเยอะแยะฟังให้ดี อาตมาไม่ได้มีความโกรธแค้นชิงชังมหาบัว แต่สงสาร แล้วก็สงสารลูกศิษย์ลูกหาที่ติดตามไป แล้วก็หลงติดตามไป
อาตมามีหน้าที่เปิดเผยความจริง ไม่ได้เกรงว่าตัวเองจะไม่ได้รับความยอมรับ ไม่ได้รับความชมชอบอย่างไร จะไปบาดเสียดจิตใจอย่างไร ก็ต้องขออภัยจริงๆ ก็ต้องพูดความจริง
เพราะฉะนั้นมหาบัวจึงหลง ในด้านความโลภอย่างมาก โลภจนกระทั่งได้ปฏิบัติประพฤติ เรี่ยไรเงินของประเทศ ประชาชนในประเทศ โดยถือว่าตนเองมีเฟเวอริท มีอิทธิพล มีความยอมรับนับถือของประชาชน แล้วประชาชนก็ศรัทธาเลื่อมใส เชื่อแล้วก็เอาเหตุมา เอาประเทศไทยเป็นประกัน เอาอะไรต่ออะไรมาเป็นประกัน อ้างว่า เอาเงินนี้มาให้แก่ประเทศชาติ เอามาค้ำจุนประเทศชาติไว้ เอาทองคำ เอาเงินเอาทอง
เรามองอย่างตื้นๆเผินๆ ไม่ใช่ความไม่ดีนะ ตื้นๆเผินๆ เป็นความดีงาม (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สู่แดนธรรม… เมื่อวานนี้มีคนบอกว่า เห็นลีลาอาการของพ่อท่านไอ หรือแม้แต่ได้ยินเสียงที่เล็ดลอดออกมาทางไมโครโฟน ก็มีคนดูอยู่ เขาร้องโอย กันหลายคน เขารู้สึกสงสารพ่อท่าน
พ่อครูว่า… ก็ขอบคุณ ไม่รู้จะทำอย่างไร มันเป็นวิบากของอาตมา อาการวิบากอันนี้หนักที่สุดแล้ว ก็ทรมาน ไม่ได้ทรมานแบบเจ็บปวดรวดร้าวอะไร แต่มัน impact
มายา กับ สิริมหามายา
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
ลูกขอกราบเรียนถามว่า หากให้พระพุทธเจ้าเป็นพระเจ้า พวกเราก็เป็นพระบุตรแบบพุทธ คือ นำคำสอนของพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)มาปฏิบัติแล้ว บรรลุธรรม และธรรมะที่ได้จากการบรรลุธรรมนั้น เป็นของพระบุตรแต่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมะของพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)จะได้ไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า…ได้ แสดงว่าเข้าใจพยัญชนะและสภาวะ ลงตัวกันได้ อันนี้เข้าใจดี ดีมากเลย อาตมาอธิบายธรรมะให้พวกเราฟัง ซึ่งลักษณะเทฺว ลักษณะ2 และลักษณะ 2 ที่เป็น 1 เป็นเทฺวที่เป็นสิริมหามายา มันไม่ใช่อธิบายได้ง่ายๆ แต่มันเป็นสัจจะที่ต้องเป็นเช่นนั้น ในโลกนี้ มันจะบอกไม่เป็นเช่นนั้นไม่ได้ มันไม่ได้ อาตมาเห็นใจพวกทางตะวันตกหรือว่าทางยุโรป ทางภาษาอังกฤษเขามีคำว่า dialectic แต่เขาไม่สามารถที่จะแยกแยะ dialectic ไม่สามารถรู้ทั้งสภาวะและบัญญัติ ตัดสินลงไปได้เลยว่า มันจะจบอย่างไร เขายังไม่ได้ เพราะเขาเป็นเทวนิยม
แต่ของพระพุทธเจ้านั้น รู้ชัดเจน จบได้ จะให้มี แล้วก็อยู่ มีอิทธิพลเหนือสภาวะ 2 นี้ได้ แล้วก็ทำเป็น 1 ได้ ด้วยสัจจะด้วย
สิริมหามายา มีคำว่ามายา เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับเป็นมายาชนิดหนึ่ง ในเรื่องของเทวนิยม หรือในเรื่องของอวิชชา แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่มายา แต่เป็นสิ่งที่ดีที่ประเสริฐสุด สิริมหา ยิ่งใหญ่มากแล้ว จบ สิริมหามายา เพราะฉะนั้นความหมายและสภาวะจริงของสิ่งนี้ จริงๆแล้ว มันหมายถึง จิตเจตสิก ต่างๆ แต่มันเป็นตัวตนบุคคลก็ลงตัวกัน ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระมารดาก็จะเป็นสิริมหามายาทุกองค์ พระพุทธเจ้าก็จะเป็นสิทธัตถะทุกองค์ โดยพยัญชนะมันบอกอย่างนั้นเลย แต่สภาวะของแต่ละอัตภาพ แต่ละยุค แต่ละสมัย แต่ละอะไร มันก็คนละอัน
ไม่ใช่พระพุทธเจ้าองค์นี้ไปเกิดแล้วเกิดอีก เกิดแล้วเกิดอีกตลอด ไม่ใช่ ก็คนใหม่นั่นแหละ แต่มาอยู่ในบัญญัติเก่า อยู่ในพยัญชนะเก่า อยู่ในคำสอนเก่าของพระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ตรงกันหมด
อาตมาก็เดินเป็นสิทธัตถะมาเรื่อยๆ และพยายามสอนให้พวกเรารู้จักสิริมหามายา และสร้างสิริมหามายาของตัวเอง เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดสิทธัตถะ
สิทธัตถะคือ มีตัณหา หรือมีความอยาก อันสำเร็จแล้ว สิทธัตถะ ท่านแปลไว้กระชับดี
สิทธัตถะคือ มีตัณหาหรือมีความอยาก ผู้มีความอยากอันสำเร็จแล้ว มีความอยากเป็นกิริยา มีความอยากอันสำเร็จแล้ว และก็ทำความอยากอันนี้ให้สำเร็จเรียบร้อยแล้วด้วย คำแปลนี้กระชับดีมาก
_สู่แดนธรรม… ก็อย่างที่พ่อท่านเอามาให้พวกเราพิจารณาว่า หมดความอยาก สิ้นความเสพแล้ว
พ่อครูว่า… นั่นแหละ มันเป็นซินโนนีมเดียวกัน ใช้ได้
_ยอดหญ้า น้องอาร์ม · เห็นพ่อครูไอ,,,น้ำตาซึมค่ะ,น้อมกราบพ่อครูด้วยความเคารพบูชายิ่งเหนือชีวิตยิ่งค่ะ
_เสน่ห์ นอกกระโทก · ลูกได้ฟังธรรมะจากพ่อท่านแล้ว มีความรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์อยู่ตลอดเวลาเลยค่ะพ่อท่าน ลูกขอกราบอนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
จากโสดาปัตติผลจนบรรลุอรหันต์
_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับอยากฟังซ้ำเรื่องบรรลุพระโสดาปัตติผลแล้วจะข้ามไป เป็นพระอรหันต์ได้อย่างไรครับ ขอให้พ่อท่านช่วย
อธิบายด้วยครับ กราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า…ฟังให้ดี การเป็นโสดาปัตติผล พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดอยู่แล้วว่า เอาสังโยชน์ 3 เป็นตัวตัดสิน
สังโยชน์ 3 ก็คือ 1. รู้จัก กาย มีความรู้ในเรื่องกาย พ้นความไม่รู้ มิจฉาทิฏฐิ แล้วคำว่ากาย คำนั้น ก็ต้องน้อมเข้ามาที่ตัวเรา สักกะ เป็น สักกายะ ตรวจภาวะของความหมายของคำว่า กาย และ ทำสภาวะ อ่านสภาวะ รู้อาการของสภาวะของตนได้ กายนี้ ซึ่งมันไม่ใช่เข้าใจง่ายๆเลย คำที่ยิ่งใหญ่มาก กาย นี่
อธิบายคร่าวๆ ว่า กายก็คือสภาวะ 2 กายมีสภาวะ 1 ไม่ได้ เช่น รูปกับนาม คือกาย อายตนะสัมผัสกันแล้ว มันจะมี 2 ใน 1 ก็คือ กาย
เวทนา 2 ขึ้นไป หรือมีองค์ประชุมไปอีก เวทนา สัญญา สังขาร ประชุมกันอีก เรียกว่า กาย เป็นองค์ประชุมของเจตสิกต่างๆ เรียกว่า กาย
เพราะฉะนั้นท่านรวมตั้งแต่ 2 ขึ้นไป จนกระทั่ง นับไม่ถ้วน ประชุมกันเข้าเรียกว่า กาย ทั้งภายนอก ต้องมีภายนอกอีกด้วย ถ้าไม่มีภายนอก ไม่มีกาย ไม่ถือว่าเป็นกาย
และอาการกายนี้ซับซ้อนลึกซึ้งไปถึงว่า ถ้าในจิตมียึดมั่นถือมั่นว่าเป็นกายของเรา เรามีกาย ไม่บรรลุอีก ต้องอย่ายึดกายเป็นของเรา แต่อาศัย แต่อย่ายึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา ไม่มีกายของเรา จะต้องเข้าใจและปฏิบัติให้ได้
เข้าใจอย่างนี้ แล้วคุณก็ถึงขั้นไม่สงสัยข้องใจ พ้นวิจิกิจฉา ข้อที่ 2 ของสังโยชน์
ข้อที่ 3 มีหลักการ ศีลพรต มีวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องแล้ว เป็นข้อ ปฏิบัติคือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ จรณะ 15 วิชชา 8 ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 ฌาน 4 วิชชา 8 นั่นแหละคือศีล สมาธิ ปัญญา มีความรู้เป็นศีลพรตอันนี้ อย่างสัมมาทิฏฐิถูกต้อง พ้นสีลพตุปาทาน คือ การรู้ในวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง แล้วคุณก็เอามาปฏิบัติ ต้องพ้นการปรามาสเท่านั้น
หมายความว่า รู้ถูกต้องแล้วนะ สัมมาทิฏฐิแล้วนะ แต่ไม่ปฏิบัติสักที ลูบๆ คลำๆ เล่นๆ หัวๆ เหลาะๆ แหละๆ ไม่เอาจริง เรียกว่า สีลัพพตปรามาส ต้องเอาจริง จึงจะขึ้นไปสู่ โสดาปัตติผล จึงจะเกิดผลสำเร็จ ต้องพ้นสังโยชน์ 3 นี้ นี่คือพ้นสังโยชน์ 3
เมื่อเป็นโสดาปฏิผล แล้วจะข้ามเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไรครับ คุณก็ทำข้ออื่นตามศีลข้อ 1 2 3 เป็นศีลหรือเป็นอธิศีล ขึ้นไปตามลำดับ หรือศีลตามที่พระพุทธเจ้าไล่ให้ฟังเลย จุลศีล คุณทำแต่ละข้อไปเลย ศีลข้อ 1 2 3 4 5 ในจุลศีล 26 ข้อ คุณไปอ่าน ศึกษาดีๆ ทำไปเรื่อยๆ ตามลำดับ
ไม่ใช่ว่า ศีลก็แค่รู้เป็น สีลัพพตุปาทาน เป็นจารีตประเพณีไป แล้วเข้าใจว่า ศีลนี่จะขัดเกลาแค่กายกับวาจา ไม่ไปถึงจิตวิญญาณ นั่นก็มิจฉาทิฏฐิไปแล้ว ศีลนี่เข้าถึงจิตเลย ทำให้จิตมันลดกิเลสๆ จนเข้าไปถึง อวิปฏิสาร แล้วก็จะเกิด ยินดี มีปีติ ปราโมทย์ ละ ลด ตัดกิเลสได้ตามลำดับ ตาม กิมัตถิยสูตร ข้อ 1 กับข้อ 208 ในเล่ม 24 หมวด 10
จะเป็นอรหันต์ก็เมื่อทำแต่ละข้อๆ สูงขึ้นๆ ได้มากขึ้น สังโยชน์ทั้ง 10 ได้เป็นลำดับ จนกระทั่งคุณสามารถทำได้เข้าใจด้านภายนอก เรียกว่ากามภพ ของคุณหลุดพ้นหมดเลย อยู่กับโลกแต่คุณเหนือหมดแล้ว เรียกว่า อุตระ อยู่เหนือมันไม่ต้องไปปฏิบัติอีก เหลือแต่กิเลสภายใน ก็เป็นสังโยชน์เบื้องสูง ซึ่งเป็นอนาคามี จะค่อยๆ ทำเก็บรายละเอียดไปตามลำดับ จนหมดจากอนาคามี หลุดพ้นได้ ล้างกิเลสภายในได้ ก็เป็นอรหันต์ได้ เอาเท่านี้ก่อนก็แล้วกันนะ เป็นอรหันต์ได้อย่างนี้
_คุณบ้านราช ต้องรอด…พวกเราจะได้ประโยชน์อะไรจากน้ำท่วมขณะเริ่มงานเจครับ รู้สึกวุ่นๆ บางทีก็สับสนว่า จะไปช่วยงานเจหรือจะไปขนย้ายของที่บ้านราชดี เห็นหลายคนหน้าบึ้งๆ เริ่มเครียด ชักเสียงแข็งแล้ว
พ่อครูว่า…ก็ค่อยๆรู้จักใจตัวเอง ไปเครียดไปแข็งอะไรกันนักหนา ไม่ต้องไปเครียดไปแข็งอะไรกันนักหนาหรอก ช่วยกันไปทำกันไป
อาตมานี่ภูมิใจในพวกเรามันเป็นสาธารณโภคี มีสาราณียธรรม 6 ได้ตามคำสอนพระพุทธเจ้า เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์จริง ส่วนตัวที่จะมีจิตใจสับสนวุ่นวาย ก็พยายามทำไป ใจเย็นๆ ทำอะไรได้แค่ไหน เราก็ไม่ได้เป็นคนดูดาย ไม่ได้เป็นคนขี้เกียจ มีความขยันขันแข็ง เมื่อยก็พักไม่เมื่อยก็เพียรไป ช่วยกัน คุณถนัดอะไรและคุณเห็นอะไรควรกว่า จะช่วยงานเจหรือจะช่วยขนของที่นี่ ขนาดพวกเราของไม่มาก เป็นพวกไม่สะสม น้ำท่วมนี่ยังต้องขนของ ไม่อย่างนั้นมันจะเสียหาย เราก็ยิ่งจนๆ อยู่ด้วย ปล่อยให้น้ำท่วม มันก็ดูไม่ดี
_สู่แดนธรรม… มีแต่ของส่วนรวมส่วนมาก
พ่อครูว่า… ก็ค่อยๆ เป็นไป
สติปัฏฐาน 4 แบบสรุปย่อ
_ใจธรรม สิทธินาวิน · ขอสรุปย่อ เรื่องสติปัฏฐาน ๔ ที่พ่อครูอธิบาย ค่ะ
๑. เข้าใจว่า กาย มีจิตบ้าง มีมโนบ้าง เป็นหลัก
๒. เวทนาเป็นตัวปฏิบัติ มีผัสสะแล้วให้รู่ว่ามีเวทนาแท้กับเวทนาเทียม เช่น ทานพริก มีรสเผ็ดเป็นเวทนาแท้ กับรู้สึกว่าอร่อยเป็นเวทนาเทียม
พ่อครูว่า…เวทนาเป็นฐานปฏิบัติ พระพุทธเจ้าแจกแจงไปถึงเวทนา 108
_(แบ่งเป็น ๒ เวทนา ได้แก่..)
-เวทนาที่มีกายเป็นเหตุ (กายิกเวทนา อาศัยมหาภูตรูป+นาม)
-เวทนาที่มีใจเป็นเหตุ (เจตสิกเวทนา อาศัยนามรูป).
_แยกเป็น ๓ เวทนา ได้แก่..
-
สุขเวทนา
-
ทุกขเวทนา . .
-
อทุกขมสุขเวทนา (ไม่สุขไม่ทุกข์ อุเบกขา).
_(รู้กำลังของเวทนาทั้ง ๕ ได้แก่)
-
สุขินทรีย์
-
ทุกขินทรีย์
-
โสมนัสสินทรีย์
-
โทมนัสสินทรีย์
-
อุเบกขินทรีย์
_(แยกเป็น ๖ เวทนา ได้แก่)
-
จักขุสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทตา
-
โสตสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทหู
-
ฆานสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทจมูก
-
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทลิ้น
-
กายสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทกาย
-
มโนสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากใจปรุงแต่งเอง
_ได้แก่ มโนปวิจาร ๑๘ (คือ เวทนา๓ ร่วมกับอายตนะ๖)
สุขเวทนาแบบโสมนัสสูปวิจาร (๖ทวาร+โสมนัส)
ทุกขเวทนาแบบโทมนัสสูปวิจาร (๖ทวาร+โทมนัส)
เฉยๆ ที่เป็นอุเบกขูปวิจาร (๖ทวาร+อุเบกขา)
เคหสิตโสมนัส ๖ เคหสิตโทมนัส ๖
เคหสิตอุเบกขา ๖
เนกขัมมสิตโสมนัส ๖
เนกขัมมสิตโทมนัส ๖ . .
เนกขัมมสิตอุเบกขา ๖ . . .
_ครบ ๑๐๘ เวทนา โดยกาละทั้งสาม ได้แก่ . . .
เวทนามโนปวิจาร ที่เป็นอดีตทั้ง ๓๖ ก็สูญแล้ว
เวทนามโนปวิจาร ที่เป็นปัจจุบัน ๓๖ ก็สูญอยู่
เวทนามโนปวิจาร ที่เป็นอนาคต ๓๖ ก็สูญอีก .
(ปัญจกังคสูตร พตปฎ. เล่ม ๑๘ ข้อ ๔๑๒-๔๒๔)
พ่อครูว่า…โลกุตรธรรมไม่ใช่ของตื้นๆที่จะรู้ได้ง่าย แต่ละยุค แต่ละกัปกัลป์ จะมีศาสดาอย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องนี้ นานๆจะมีสักองค์ อย่างในยุคนี้พระสมณโคดมได้มาอุบัติแล้วศาสนาจะไปอีก 5,000 ปี จาก 5,000ปี ศาสนาจะว่างจากศาสนาพุทธไปอีกนานเป็นพุทธันดร กว่าจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อีกองค์หนึ่ง เพราะมันมีกลียุค
ในภัทรกัป พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ พระพุทธเจ้าองค์นี้เป็นองค์สุดท้าย จากนั้นก็จะมีพระศรีอาริยเมตไตรยมาเกิดอุบัติ ก็อีกนาน
เวทนาก็เป็นตัวปฏิบัติ
_มีผัสสะแล้วให้รู่ว่ามีเวทนาแท้กับเวทนาเทียม เช่น ทานพริก มีรสเผ็ดเป็นเวทนาแท้ กับรู้สึกว่าอร่อยเป็นเวทนาเทียม
พ่อครูว่า…ถูกต้องแล้ว
๓. จิต เป็นเป้าหมายในการปฏิบัติ พิจารณาตามเจโตปริยญาน ๑๖ เป็นหลัก ว่ามีราคะ หรือไม่มีราคะ มีโทสะหรือไม่มีโทสะ มีโมหะหรือไม่มีโมหะ จิตที่ไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้น เป็นฐานที่ตั้งมั่น
พ่อครูว่า…เรียนรู้เจโตปริยญาณ 16 คือ 1. สราคจิต (จิตมีราคะ) 2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ) 3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ) 4. วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ) 5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ) 6. วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ) 7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) 8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) 9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) 11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) 12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) 13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) 14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) 15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) 16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)
สมาหิตะ อสมาหิตะ และวิมุติ อวิมุติ เป็นการตรวจ 2 สภาวะสุดท้าย สมาหิตะก็คือการตั้งมั่นของจิต โดยทั่วไป เดียรถีย์ นึกว่าสมาธิเป็นจิตตั้งมั่น แต่ความตั้งมั่นของจิตพระพุทธเจ้าต้องมีหลักการ ตรวจสอบมีความบริสุทธิ์หรือไม่ สมาธิที่รู้จักกิเลสตั้งแต่ ราคะ โทสะ โมหะ ลดลงไปตามลำดับว่า มันลดลงไปแล้วหรือมันไม่มีแล้ว แล้วก็ต้องตรวจว่า มันหลุดพ้นหรือมันตั้งมั่นหรือไม่ วิมุติหรืออวิมุติ ตรวจสอบ 2 คู่
นี่คือ 8 คู่ของเจโตปริยญาณ คุณต้องมีสูตรนี้ตรวจ อาจจะต้องท่องหน่อย แต่ถ้ามันมีสภาวะแล้วก็จะจำง่าย เอาพยัญชนะมาใช้บ้าง ถ้าเป็นสภาวะจริงที่คุณมีในตัวมันจะไม่ลืมเลย มันจะเรียงเป็นตัวสภาวะจริงชัดๆเลย อย่างอาตมาอธิบายมันออกมาจากสภาวะ มันเป็นสัจธรรมจริงๆไม่ได้ยากเย็นอะไร ถ้ามันมี แต่ถ้าไม่มีมันก็ยาก น่าเห็นใจเหมือนกัน
๔. ธรรม คือภาวะทรงไว้จากการปฏิบัติ กาย เวทนา จิต จนทรงไว้ได้จากการปฏิบัติ
พ่อครูว่า…ใช่ ธรรมะนี่แปลว่า สภาวะที่ทรงไว้หรือทรงอยู่ ที่มีอยู่ สัมผัสได้ ของเรานี่ ธรรมะ คือ องค์รวม ถ้าธาตุนี่คือสภาพที่จะแยกมาเป็นตัวๆ 2 ธาตุเป็น 1 ธรรม อะไรอย่างนี้ หรือ 3 ธาตุ 4 ธาตุ 5 ธาตุ เป็นหลักธรรม เป็นองค์รวม ธาตุเป็นตัวแยกย่อย ธาตุคือตัวหนึ่ง ตัวธาตุแยกเป็นตัวสุดท้ายคือธาตุ ต้นธาตุคือหนึ่งเลย ส่วนต้นธรรม คือองค์ประชุมไปเรื่อยๆ แล้วก็จะมีในตัวเรา เรียกว่า ทรงอยู่ ทรงไว้ เรียกว่า ธรรมะ หรือธาตุที่เรารู้ เราก็มีธาตุพวกนั้นผสมกันอยู่ในชีวิตจิตใจของเรา เพราะงั้น ธรรมะคือภาวะทรงไว้ จากการปฏิบัติกาย เวทนา จิต ใช่ กายก็ผสมอยู่ เวทนาก็พยายามทำให้เป็น 1 หรือแม้ที่สุด ทำให้เวทนา ไม่เป็น 1 ให้ความรู้สึกนี้ ที่จริงเวทนามันก็มีอยู่ ถ้าไม่มีเลยก็คือ ทำให้เวทนาที่ไม่ใช่เวทนาแท้ให้มันเป็น 0 ไป แต่ถ้าคุณยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณก็ต้องมีเวทนาอยู่ ต้องมีธาตุรู้ที่ยังรู้สึก
แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ขึ้นไปจะมีเวทนาเดียวคือเวทนาแท้ ส่วนเวทนาเทียมไม่มีเลยในอรหันต์ แต่เป็นพระอาริยะสูงขึ้น ก็มีเวทนาเทียมเหลือน้อยลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายไม่มีเวทนาเทียมเลย มีแต่เวทนาแท้ คุณก็อาศัยเวทนาแท้ และที่สุดคุณก็จะชัดเจน ศึกษาไปว่าแม้แต่เวทนาก็ไม่ใช่ตัวเรา ของเรา เวทนาก็ไม่ใช่ ก็เป็นอนัตตาอีก ก็ศึกษาไปเป็นขั้นตอน เป็นลำดับก็แล้วกัน
เพราะฉะนั้น กาย คือสภาวะทรงไว้จากการปฏิบัติ เวทนา และจิตก็คือ เป็นภาษาที่ใช้แทนกันได้ เป็นซินโนนีมของ วิญญาณ แยกไปเป็น เจตสิกอีก เพื่อเรียน จิต เจตสิก รูปนิพพาน นี่คือสภาพที่จะต้องเรียนหลักการใหญ่ของอภิธรรมก็คือ จิตแยกเป็น เจตสิกต่างๆและเรียนรู้เรื่องรูป จนถึงขั้นนิพพาน 4 คำ จิต เจตสิก รูป นิพพาน
คุณจะต้องรู้เจตสิกต่างๆ คืออาการของจิตอีกที เจตสิก แจกไปอีกที พระอภิธรรมก็แจกไปเป็น 121 ตัว เป็น 68 หรือ 69 ตัว อะไรอย่างนี้ ก็ได้สำหรับผู้รู้เอามาแจกไว้ แต่คุณรู้สภาวะไหม ถ้าคุณไม่รู้สภาวะก็มีแต่ภาษาบัญญัติ ก็ทำให้บรรลุไม่ได้ ก็พยายามทำให้ถึงทั้งสภาวะ นี่เป็นหลัก ไม่ใช่รู้แต่พยัญชนะเท่านั้น
นามทั้ง 5 สัมพันธ์กับรูป 28
การเทศน์ขอพ่อครูเรื่อง รูป ๒๘ ได้ฟังแล้วได้เปิดหูเปิดตาจริงๆค่ะ โดยเฉพาะเรื่องหทัยรูปค่ะ พ่อครู ค้างคำอธิบายศัพท์ หทย ด้วยนะคะ เผื่อพ่อครูจะกรุณาอธิบายเพิ่มค่ะ
พ่อครูว่า… ต้องรู้รายละเอียดรูป 28 จนถึงลักขณะรูป 4 นี่คือจบแล้ว วิการรูป 5 วิการรูป 3 คือปฏิบัติจนมาถึงขั้น เหลืออาการของรูป อย่างดียิ่ง เรียกว่า วิการะ เหลืออาการของรูป อย่างดียิ่ง ถึงขั้นลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา กายวิญญัต วจีวิญญัติ รวมเป็น 5
เข้าใจถึงปริเฉทรูป จับที่ละคู่จนเหลือ 1 และอาหารรูป 1 ชีวิตรูป 1 1 1 หทยรูป ไปสภาวะรูป 2 แล้วจึงไปเป็น วิสยรูป หรือมีโคจร ก็มีประสาท จัดการสัมผัสกันแล้ว แล้วก็หักออก 1 เหลือ 9 อันนี้ก็ยากเหมือนกัน เพราะจิตเป็นตัวเดียวกันที่ซ้อนทำงานอยู่กับทวาร 5 มันจะมีสิทธิ์ เพราะมันมี 5 คู่ ตาหูจมูกลิ้นกาย แต่ใจตัวนี้มันทำงานอยู่ตัวเดียวกับ 5 ฉะนั้นจึงหักออก 1 อธิบายยากจริงๆ
อย่าไปคิดว่ามันเป็นรูป เพราะว่าใจมันไม่เป็นรูป รูป มันมี ต้องหักออก 1 จึงเป็น 9 เพราะมัน 10 มี 5 คู่
_สู่แดนธรรม… ผมเข้าใจอย่างนี้จะถูกไหมครับ ที่ท่านหักออก 1 ท่านหักโผฏฐัพพะออก
พ่อครูว่า… โผฏฐัพพะภายนอกนี่มี 5 ข้างในมีผัสสะ ปฏิฆะสัมผัสโส ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เรียนแล้วจะรู้ แล้วจะเข้าใจความจริงถึงสภาวธรรมพวกนี้ ไม่ใช่ไปมีแต่พยัญชนะเฉยๆ เมื่อ มันมีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส และมีตาหูจมูกลิ้นกาย จะเหลือ 5 คู่ แล้วก็ไล่ไป อุปาทายรูป 24 และมี มหาภูตรูปอีก 4 รวมกันเป็นรูป 28
พระพุทธเจ้าท่านสอนรูป 28 นาม 5
นาม 5 มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
_สู่แดนธรรม… แสดงว่า นามทั้ง 5 สัมพันธ์กับรูป 28 หมด
คุณจะมนสิการได้เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นโยนิโสมนสิการคุณต้องมีผัสสะ นาม 5 มี เวทนาสัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ คุณจะมนสิการคุณจะทำใจในใจ คุณนั่งหลับตาคุณก็ทำใจในใจ เป็นการทำใจวิธีของเดียรถีย์ วิธีเทวนิยมโลกโลกีย์ แต่ของพระพุทธเจ้าจะทำใจในใจได้ถูกต้องลงไปถึงที่เกิด โยนิโสลงไปถึงที่เกิดหรือถูกต้องถ่องแท้อย่างแท้จริง ไม่ใช่อยู่แค่ โยนิโสคือทำให้ถูกต้องของแท้ มนสิการถ่องแท้เลย ก็ทำใจในใจได้อย่างถ่องแท้แยบคายลงไปถึงที่เกิดเลย ไม่ใช่อยู่แค่เหตุผล ความรู้ ความแตกต่าง ได้รู้แค่พิจารณาเท่านั้น ไม่ใช่ แต่ปฏิบัติถึงเลย เปลี่ยนแปลงได้เลย นี่เรียกว่ามนสิการ อย่างเป็นรากเหง้าเลยในมูลสูตร 10 มันเป็นข้อ 2 ธรรมะพุทธเจ้าต้องเอามาทำใจในใจทั้งนั้น ข้อที่ 1 ยินดี มีฉันทะ แล้วก็มีมนสิการ มนสิการแล้วต้องมีผัสสะ ข้อที่ 3 ของมูลสูตร 10 จึงจะมีเวทนาเป็นข้อที่ 4 ของมูลสูตร 10
เพราะฉะนั้น ในธรรมะพวกนี้จะสัมพันธ์ไปหมดเลย อธิบายกันและกันเชื่อมโยงกันไปอย่างที่อาตมาอธิบาย อาตมาไม่ได้เป็นนักศึกษาในชาตินี้ ไม่ได้เรียนรู้อภิธรรม อภิธรรมเขาท่องกันเก่ง แต่อาตมามีสภาวะให้ไปปฏิบัติได้เป็นขั้นเป็นตอน
ขอยืนยันอย่างหนึ่งว่า อาตมาพูดเหล่านี้มั่นใจว่า เป็นความถูกต้องทั้งนั้น เป็นความจริงทั้งนั้น ไม่ได้พูดความผิด ไม่ได้พูดสิ่งที่มันไม่ถูกต้อง เพราะมันเป็นบาป อาตมาไม่ทำ ไม่ทำเด็ดขาด เพราะทำแล้วกรรมเป็นอันทำ อาตมาจะไปทำทำไมเพราะมันผิดเป็นบาป ยิ่งจะไปมดเท็จโกหกมันไกลที่อาตมาจะต้องทำ อาตมาไกลในเรื่องโกหกในเรื่องที่ไม่จริง
_สู่แดนธรรม… เจตนาของพ่อท่านไม่ต้องการ ลาภยศสรรเสริญ เพราะปกติคนที่ทำบาปจะมีสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องล่อ
_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับการที่จะทำให้พ่อท่านเป็นที่รู้จักของชาวโลกนั้นหรือเป็นที่ยอมรับของชาวโลกได้ ก็ขึ้นอยู่ที่พวกเราชาวอโศกนี้แหละ ต้องปฏิบัติศีลธรรมลดละกิเลสให้ได้ดีจริง ๆก่อน แล้วพ่อท่านก็จะเป็นที่รู้จัก และยอมรับของชาวโลกได้ ผมขอสัมมาทิฏฐิจากพ่อท่านด้วยครับ ขอกราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า…ถูกต้อง คนอื่นจะรู้จักชาวอโศกได้ต้องรู้จักพวกเรานี่แหละ จริงถูกต้อง
ถูกต้องแล้ว คุณคิดอย่างที่คุณพูดเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว
_ป่ารุ่ง วนาศิริ · กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง กระผมมีข้อสงสัยเรื่องการจะคบคุ้นกับชาวอโศกสามารถทำได้อย่างไรบ้างครับ และการที่จะได้มีโอกาสได้เข้ากราบนมัสการหรือได้พบพ่อท่าน มีโอกาสไหนบ้างครับ ✨🙏✨
พ่อครูว่า…คุณมาพูดนี้ไม่รู้ว่าคุณอยู่จังหวัดไหน ถ้าอยู่จังหวัดอุบลเข้ามาเลย ถ้าอยู่ไกลก็เดินทางมาหน่อย อยู่ที่บ้านราช ตำบลบุ่งไหม อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี คุณก็หาพิกัดของสถานที่ที่อยู่ อยู่ตรงไหนคุณก็หาพิกัดเอาเอง
_สู่แดนธรรม… หมายความว่าถ้าเขาอยู่ใกล้พุทธสถานในก็เข้าไปคบคุ้นที่นั่นได้เลย
พ่อครูว่า… ได้ ดีแล้วพากเพียร จากทีวีก็ดูได้ มันไม่ตรง
SMS วันที่ 25-26 กันยายน 2565
_พันธุ์ พอเพียง · รายการตุ้มตะลุ่มตุ้มม้ง วันที่ 26 ก.ย. 65 อาแป้งจะพยายามลำดับเหตุการณ์ให้พ่อครูฟังว่า เมื่อปี 57 คุณยิ่งลักษณ์อยู่บ้าน เลยส่งคุณนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล มาเจรจา จน พลเอก ประยุทธ์ประกาศปฏิวัติ ส่วนคนที่คุณยิ่งลักษณ์บอกว่า พี่รอหน่อย หนูกำลังไป คนนี้ชื่อ บุญทรง เตริยาภิรมย์ กรณีไม่มาฟังคำตัดสินจำนำข้าว ประมาณนี้แหละครับพ่อ กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า… เรื่องการเมืองอาตมาไม่ได้เอาเป็นเรื่องหลัก แต่อาตมาขอยืนยันอีกอย่าง ไม่ใช่อาตมาไม่เคยผ่าน ผ่านมาไม่รู้กี่ชาติ และยิ่งการเมืองประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้านี่แหละทุกชาติ ที่อาตมาเป็นพระอาริยะตามแบบพระพุทธเจ้ามาเรื่อยๆ จนมาชาตินี้ ผ่านมากับการเมืองไม่รู้กี่ชาติ บริหารถึงขั้นเป็นผู้นำสูงสุดก็ไม่รู้กี่ระดับมาแล้ว ในชาติต่างๆ
เพราะฉะนั้น อาตมาก็ไม่อยากจะพูดอะไรมาก เพราะว่าพูดแล้วก็ไม่มีหลักฐาน จะเอาไปอ้างอิงยืนยันกับพวกคุณ ยิ่งไปพูดถึงตำนานที่พวกคุณไม่รู้เรื่องเลย ไม่มีบันทึกอะไรไว้ด้วยยิ่งยากใหญ่เลย แต่บันทึกเข้ามาแล้ว อาตมาอ้างอิงว่าเป็นผู้นี้ มันยิ่งจะยุ่งไปใหญ่เลย ก็เลยบอกว่าอย่าเลย บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติแบบนั้นมาอ้างอิง อาตมาไม่สนุกและไม่อยากจะให้พวกเราไปหลงใหล เพราะเรื่องจริงก็คือจริง ไม่มีปัญหา แต่เอามาพูดแล้ว จะไปย้อนทำไมเพราะมันอดีตทั้งนั้น เอาปัจจุบันไปข้างหน้านี่ เอาปฏิบัติที่เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ที่เป็นจริงในขณะนี้ อันนี้เป็นหลักฐานความจริงยืนยันที่ดีที่สุด
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านเคยพูดเรื่องการระลึกชาติ หากระลึกชาติเป็นตัวตน มันก็ไม่มีใครจะไปรู้ร่วมกันได้ด้วย ต่อมาพ่อท่านเฉลยถึงการระลึกชาติแบบมีสภาวะธรรม บรรลุธรรม ผมก็เอาไปพิจารณาปฏิบัติในเรื่องอาหาร ให้หมดเวทนาเทียม แต่ก็ยังรับรู้รสชาติ เวทนาแท้ได้ ผมได้ความชัดเจนตอนกินข้าว ผมเคี้ยวไปแล้ว เคี้ยวจนเห็นอนิจจัง
บริหารประเทศแบบทักษิณคือทำให้คนไทยโง่
_แก้วตะวัน พวงบุบผา · นักการเมืองที่หวังผลก็จะสร้างความหวัง(ลมๆแล้งๆ)และสัญญาลวงโลกว่าจะให้ ถ้าคนไทยไม่รู้จักการพึ่งตนเองอย่างมีประสิทธิภาพแล้วก็จะรอสิ่งที่นักการเมืองกุขึ้นมาว่าจะให้ …คำกล่าวที่ว่านักการเมืองให้ปลา พระราชาให้เบ็ด..ถ้าคนไทยพิจารณาและไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งก็จะมองเห็นความปรารถนาดีของผู้ปกครองที่ดีที่จะให้เราได้รู้จักพึ่งตนเอง ไม่ใช่จะให้เราแบมือขออย่างเดียว
พ่อครูว่า… ดี ครอบคลุมพฤติกรรมของคนโดยเฉพาะนักการเมือง ดังที่พูดมานี้เห็นชัด นักการเมืองเก่าก็จะคุยโม้ให้ประชาชนนิยม เชื่อว่าเขานี่แหละเป็นนักบันดาล เป็นนักจะให้ เป็นผู้ที่มีความสามารถ เป็นผู้ที่จะทำให้คุณพ้นทุกข์ได้เป็นสุข เป็นอยู่ดี จะร่ำจะรวย แบบโลกียะ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็จะอุดมสมบูรณ์พร้อมกันทั้งประเทศเลย จะไม่มีคนจนทั้งประเทศ จะไม่มีคนเป็นทุกข์ทั้งประเทศ จะมีกินมีอยู่ทั้งประเทศ ขี้หมาแน่ะครับ มันทำไม่ได้
เพราะฉะนั้นประเด็นนี้แหละ จะให้มีทั้งประเทศก็ต้องให้มีมากๆ อุดมสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นทุกคนก็จะต้องขี้โลภ เพราะตัวผู้นำก็ขี้โลภ แล้วเขาเข้าใจว่าให้มีขี้โลภนี่แหละ
ความขี้โลภ มันจะค้านแย้งกับการแจกกันให้ คนพูดเองนั้นไม่ค่อยแจกหรอก ขี้โลภแล้วก็เป็นคนรวยแล้วก็เป็นตัวอย่างทำให้คนอยากจะรวยแบบคนที่ขี้โลภ มันซ้อนเห็นไหม
เพราะฉะนั้น คนที่รวยแล้ว แล้วมาเป็นผู้มาบริหาร บอกว่า ผมรวยแล้วผมไม่โกงหรอกอย่างทักษิณ เสร็จแล้วเขาก็ไม่หยุดนะ ถ้าเขาอยู่ต่อเขาจะโกงอีกไม่หยุดหรอก เขาได้แต่พูด โก้ๆ พูดกับเสนาะว่า ผมพอแล้วพี่ แบ่งให้ลูกให้เมียก็พอแล้ว ผมก็จะมาช่วยประชาชน
เพราะฉะนั้น คนที่โกหกสับปรับ พูดไม่จริง มีอยู่ในโลกมาก รู้ตัวก็มีไม่รู้ตัวก็มี แต่ที่จริงเอาเข้าจริงๆก็พอรู้ตัวทั้งนั้น แต่มันรู้ว่าหลอกได้ จนกระทั่งอย่างทักษิณบอกว่า พี่เหนาะ คนตาบอดมันไม่กลัวเสือหรอกนะ เป็นคำคมสูงมากเลยนะ คนไม่รู้ หลอกอะไร มันก็ไม่รู้เรื่องหรอก แปลว่าอย่างนั้น มันก็ไม่รู้เรื่องหรอกแปลว่าอย่างนั้น คนตาบอดมันไม่กลัวเสือเพราะมันไม่เห็น มันโง่
ทักษิณเขาต้องการให้คนโง่ เพราะฉะนั้นเขาจะมาบริหารประเทศ ก็พยายามทำให้คนโง่หมด เขาก็จะได้ปกครองคนโง่ ที่จริงซ้อนอีก เขาจะปกครองคนตาดีเหมือนคนตาบอด เขาจะทำอะไรก็ได้หมด เพราะคนตาบอดไม่กลัวเสือ เสือจะขบจะกัดเอา มันก็ไม่รู้ มันลึกซึ้งซับซ้อนอยู่
_สู่แดนธรรม… ผมเห็นเขาเอามาโฆษณา ไม่รู้ว่าทักษิณพูดจริงหรือเปล่า ที่ทักษิณทำนโยบายหาเสียงให้แก่ประเทศไทยบอกว่าจะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้เป็น 800 บาทต่อวัน ถ้าเขาพูดเช่นนั้นจริงๆ ข้าวก็คงจานละ 300 มันจะเป็นไปได้ยังไง
พ่อครูว่า… ดูเหมือนเขาว่า
พูดถึงประเด็นนี้การที่จะบริหารลักษณะให้คนไปรวยแล้วก็จะเพิ่มราคาเพิ่มเงินทองไปเรื่อยๆไม่มีวันสำเร็จ เศรษฐศาสตร์ที่จะต้องให้มากขึ้น ๆๆ เพิ่มให้คนได้มากขึ้น ไม่มีวันสำเร็จ แต่ถ้าทำให้คนรู้จักมักน้อยสันโดษลงมา อันนี้สำเร็จ ฟังที่อาตมาพูดประโยคเท่านี้แหละไปคิดดีๆ นักเศรษฐศาสตร์ในโลกเขาไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ แต่นักเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตระจะเข้าใจอย่างนี้ เหมือนกับที่พระเจ้าแผ่นดินของไทย รัชกาลที่ 9 ที่ท่านตรัส พอเพียง และขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ท่านตรัสเท่านี้ แต่อาตมาขยายความอันนี้มากมาย และพามาทำให้เห็นจริงด้วย สำเร็จจริงด้วย
_สู่แดนธรรม… ได้ทั้งความเสมอภาคด้วย
พ่อครูว่า… เลย ความเสมอภาคไปอีก เราขาดทุนและเสียสละ เสมอภาค เป็นอุดมคติภายในจิตว่าเราเสมอภาคกับทุกๆคน คนจะต่ำกว่าเรา จะน้อยกว่าเรา จะด้อยกว่าเรา จะเลวกว่าเรา อย่างไรก็อย่าไป ข่มเขา อันนี้มันเป็นอุดมคติ เสมอภาค เป็นอุดมคติที่เป็นไปไม่ได้ เสมอภาคไม่มีอะไรเสมอเท่ากัน เป็นไปได้อย่างไร ของประเทศฝรั่งเศสที่มีความเสมอภาคมันไม่จริง มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นอุดมคติ มันเป็นตรรกะเท่านั้น
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านเคยเสนอว่า สังคมที่คิดแต่จะเอาเสมอภาค มันสู้สังคมที่มีความเสียสละไม่ได้
พ่อครูว่า… เสมอภาค มันไม่ได้ ต้องเอาคนเสียสละ สู้คนเสียสละไม่ได้ คนเสียสละนี้สุดยอด เพราะฉะนั้นของอาตมามีแค่
อิสระเสรีภาพ ภราดรภาพ อิสรภาพ สันติภาพ บูรณภาพ สุญภาพ สุนทรียภาพ
โสดาบันเสมอโสดาบัน อรหันต์เสมออรหันต์คือเช่นไร
_สู่แดนธรรม… ทำไมสังคมที่มีคนเสียสละทำไมดีกว่าสังคมที่เอาแต่เสมอภาค
พ่อครูว่า… การเอาเปรียบหรือได้เปรียบนี้เลวแล้ว เสมอภาคก็ยังเป็นไปไม่ได้
พ่อครูว่า… อาตมา อธิบายว่าสภาวะเกิด 2 ชิ้นแม้แต่ปรมาณูที่เล็กที่สุดที่เกิดขึ้นมาก็ไม่มีอะไรเท่ากัน ไม่มีอะไรเท่ากันเสมอกันไม่มี มีแต่เสมอสมาน เสมอแล้วก็ร่วมกัน ถ้าเข้าใจพระพุทธเจ้าใช้คำว่า โสดาบันเสมอกับโสดาบัน สกิทาเสมอสกิทา อนาคาเสมออนาคา อรหันต์เสมออรหันต์
หมายความว่า โสดาบันก็ไม่ได้เท่ากันเลย สกิทาคามีก็ไม่เคยเท่ากันเลย 2 คน อนาคามี 2 คนก็ไม่เคยเท่ากันเลยอรหันต์ 2 คนก็ไม่เคยเท่ากัน
แต่มีที่เท่ากันตรงกันอยู่อีก 1 อีกอันหนึ่งถ้ามี 2 ไม่มีอะไรเท่ากัน เพราะฉะนั้นถ้ามี 2 ของใครของใครก็คือของคนนั้น แต่ของที่จะเท่ากันคือศูนย์คือนิพพาน พระอรหันต์ทุกองค์มีศูนย์หรือนิพพานเท่ากันและมี 1 เท่ากันหมด เพราะฉะนั้นเริ่มต้น 2 นี่แหละ จะเริ่มต้นเป็น เทวะ ต่างกันหมด
_สู่แดนธรรม… อรหันต์มีความไม่เหมือนกัน อย่างนี้ พระทั่วไปเข้าใจยากครับ
พ่อครูว่า… พระอรหันต์ 0 เท่ากัน สิ่งที่ไม่เท่ากันคือของส่วนตัวของแต่ละคน บารมีวาสนาแต่ละคนไม่เท่ากัน วิบากกรรมต่างๆ กรรมต่างๆ ก็ไม่เท่ากัน กรรมของใครของมันไม่เท่ากัน
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านเคยบอกว่า พระอรหันต์บางรูปก็ไม่เหมาะจะเป็นผู้บริหาร เพราะความสามารถทางโลก เก่งสู้ฆราวาสไม่ได้ บางทีต้องยกให้ฆราวาส เป็นผู้บริหารเรื่องนี้ไป และพระอรหันต์ท่านก็ยอม
พ่อครูว่า… ก็ได้ อย่างนั้นมันก็ยากอยู่นะ จริงๆแล้ว คนนี่นะ ที่เป็นโพธิสัตว์ ไม่ได้หมายความว่า พระโพธิสัตว์จะมีแต่ธรรมะ พระโพธิสัตว์จะไปบริหารด้วย อย่างอาตมาบอกว่า อย่าว่าแต่โพธิสัตว์ไปบริหารเลย ไปคิดค้นเหมือนอย่างไอสไตน์ ไม่ได้บริหารอะไรนี่ ไอสไตน์หรืออาตมาว่า คานธีเป็นโพธิสัตว์ คานธี ก็ไม่บริหาร คานธีเป็นนักธรรมะ เป็น ที่ปรึกษาของเนห์รู เป็นที่ปรึกษาของนักการเมืองทั้งหลาย ไม่ได้ไปบริหาร ไม่ได้ไปรับผิดชอบ แต่เป็นผู้ที่บอกความรู้ แล้วก็เพราะความรู้นั่นแหละ ทางการเมืองนั้นแหละ เอาท่านไปติดคุกตั้งหลายเที่ยว ท่านก็ไม่ว่าอะไร เพราะว่าท่านเป็นนักธรรมะ เป็นโพธิสัตว์
ยิ่งบอกว่า ไอน์สไตน์เป็นโพธิสัตว์ ยิ่งเข้าใจยากใหญ่เลย เพราะหน้าที่ของไอน์สไตน์ แยกแยะให้รู้สภาวะ 2 สุดท้ายจะเรียกว่า ตรัสรู้ก็ได้ ของโพธิสัตว์ เรียกว่า แจ่มแจ้งของไอน์สไตน์ก็คือ Space and Time of Continuum คือ 3 เส้าของรูปนาม แต่เป็นทางวัตถุ สสาร
ได้เป็นสเปซ คือ ความว่างกับกาลเวลา คือแรงเคลื่อนกับสภาวะ Static กับ Dynamic คือ continuum คือการปฏิสัมพันธ์เกี่ยวข้องสังเคราะห์สังขารกันกับ 2 สิ่งนี้
_สู่แดนธรรม… พระโพธิสัตว์บางทีก็ไม่ได้อธิบายธรรมะ ไปบริหารก็ได้ใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… เหมือนกับอาตมาบอกว่า นายกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นโพธิสัตว์ ก็พูดไปแล้วก็บอกไปแล้ว เคยพูดไปแล้ว
_สู่แดนธรรม… คนเราส่วนมากจะเข้าใจว่า โพธิสัตว์ต้องพูดธรรมะเท่านั้น
พ่อครูว่า… ธรรมะไม่ใช่มีแค่คำพูดภาษาที่เอามาจากตำราธรรมะของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ ธรรมะคือสิ่งที่ดีงามทางโลกีย์ทั้งหมดก็เป็นธรรมะ การไม่ให้ไปติดในสุข ก็อย่าไปทรมานทนทุกข์ตัวเองทั้งนั้นก็เป็นธรรมะ เป็นแต่เพียงว่า อาตมาก็แยกไว้ชัดว่า ดีชั่วเป็นโลกีย์เท่านั้น แต่สุขทุกข์เป็นเรื่องของปรมัตถ์ เป็นเรื่องของจิตใจ เป็นเรื่องละเอียดที่สุดต้องเรียนรู้ให้เกิดไม่สุขไม่ทุกข์ เรื่องดีชั่วเป็นเบื้องต้นของโลกียะ ต้องศึกษาและทำก่อน มันไม่ยากเท่าโลกุตระที่จะต้องละความสุขความทุกข์หรอก หรือจะมีความรู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์จนเราสามารถละความสุขความทุกข์ได้ จนเป็นพระอรหันต์ มันไม่ใช่ธรรมดา โลกุตรสุขทุกข์นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นเรื่องครอบงำโลกเลย
ไม่ใช่ครอบงำโลกเท่านั้นนะ ครอบงำโลกียะ ยิ่งใหญ่ ครอบงำโลกียะทั้งหมด หรือชัดเจนคือ พระเจ้า ลัทธิศาสนาพระเจ้าทั้งหมด เพราะศาสนาพระเจ้าคือสุขนิยม ไม่ได้เรียนรู้เรื่องสุขทุกข์ ไม่ได้เรียนรู้เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นแต่เพียงพยายามอย่าให้มีความทุกข์ มีแต่สุข แต่เขาเข้าใจไม่ได้ว่า ความสุขความทุกข์เป็นเรื่องมายาไม่ใช่ของจริง นี่ยิ่งลึกใหญ่เลย เพราะฉะนั้นต้องมาเรียนศาสนาพุทธ ชาวพุทธเองในยุคนี้มันเสื่อมมาก จนกระทั่งพูดกันยาก พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาจะต้องมีบารมี ตรัสนิดหน่อยก็สามารถบรรลุธรรมได้เดี๋ยวเป็นพระอรหันต์กัน 50 60 รูป เดี๋ยวเป็นอรหันต์กันพันรูป แต่ละวันๆ สามารถสร้างพระอรหันต์เพราะเหตุปัจจัยบารมีของผู้จะมาเป็นบริวารของพระพุทธเจ้าพร้อมแล้วที่จะสร้างศาสนา ท่านจะใช้เวลาแค่ 45 ปี พระพุทธเจ้าสมณโคดม ทุกอย่างจึงต้องเร็วๆๆ
อาตมาทำงานมา 50 ปีแล้ว ก็ได้ไปตามลำดับขนาดนี้ มันคนละยุคกับของพระพุทธเจ้า
_Aeamaua Lee เอื้อมเอื้อ ลี · โรงเจแถวนี้เขาไม่ให้คนไม่ใส่ชุดขาว เข้าไปกินเจ ว่าเราไม่บริสุทธิ์ เลยงง!กับความคิดเขามาก เลยบอกเขาไปว่านี่เรากินมังสวิรัติมาตลอดเลยนะ เขาบอกว่าไม่บริสุทธิ์ เจเคร่งกว่า ไม่มีกระเทียม และเธอต้องนุ่งชุดขาวด้วยถึงให้เข้ามากินได้ 55
พ่อครูว่า… เป็นธรรมชาติของคนที่ยังเข้าใจอะไรไม่ได้ เขาก็จะเอาแต่เปลือก ต้องไปยึดชุดขาว เขาบอกว่ากินเจสูงกว่ามังสวิรัติ เพราะพวกแกเขาไม่กินกระเทียม ไม่กินของที่เป็นกลิ่นฉุนจัด เขาเอาประเด็นที่เขาเคร่งจัดพวกนี้มาตีข่ม ซึ่งเราเองไม่ติดยึดสิ่งเหล่านี้เพราะเราเรียนรู้เหนือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอยู่แล้ว แต่เขาไม่ได้เรียนรู้รายละเอียด มันเป็นเรื่องของจารีตประเพณีเสียจน มันเสื่อม ความรู้ทางธรรมะโลกุตระของจีนมันเสื่อม เสื่อมจนกระทั่งคำว่า เจ จริงๆที่ถูกต้องมันก็เหมือนกับมังสวิรัตินี่แหละ แต่เสร็จแล้วก็ไปมีผู้ที่เคร่งขึ้นมา ไม่เอารส ไม่เอากลิ่น 5 อย่างนี้ พืช 5 อย่างนี้ เขาไม่เอา มันจัด ทำเคร่งเหมือนเทวทัต ทำเคร่งต้องกำหนดอะไรไปอีกอย่างนั้น ไม่ต้อง เพราะฉะนั้น เขาก็บอกว่า นี่ เคร่งกว่าสูงกว่า ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกว่า จะสูงจะต่ำอะไร
พ่อครูหยิบหนังสือปัญญา 8 ขึ้นมา และบอกว่า เป็นหนังสือที่ควรอ่านอย่างยิ่ง ควรมี ใครยังไม่มีก็ขอมา
พ่อครูว่า… อาตมายังเขียนหนังสือค้างเอาไว้ได้ 100 กว่าหน้า จะไปรื้อฟื้นให้จบปัญญา 8 นี้ก่อน เรื่องประชาธิปไตยไทยที่ใครก็ไล่ไม่ทัน
ถ้าอาตมายังทำงานนี้ไม่เสร็จจะพยายามไม่ยอมตาย มันจะเอาให้ตาย บางทีมันๆมันจะขาดใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็พยายามฝืนสังขาร อาตมาต่ออายุขัยฝืนสังขาร อิทธิบาท มันก็เป็นสัจธรรมของพระพุทธเจ้า
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
การดับ “สัญญา” กับ “อสัญญีสัตว์” ต่างกันหรือไม่
_สิกขมาตุเทียนคำเพชร อโศกตระกูล . ขอกราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพยิ่งค่ะ ดิฉันขอถามว่า
-
การดับ “สัญญา” กับ “อสัญญีสัตว์” มีสภาวะเหมือนกันใช่ใหมคะ?
พ่อครูว่า… ใช่ สภาวะมันเหมือนกัน มันต่างกันตรงที่ อันหนึ่ง คุณว่าดับสัญญาคุณดับนามธรรม แต่ อสัญญีสัตว์ มันเป็นรูปธรรม อสัญญี แปลว่าผู้ดับสัญญา ไม่มีสัญญา เพราะฉะนั้นการไม่ให้มีสัญญาก็คือ ดับอาการของสัญญา ไม่ให้มันเกิดอาการ ไม่ให้มันทำงาน
-
ไม่ให้มันทำงาน
-
ไม่ให้มันมี ไม่ให้มันเหลืออยู่ในจิต
เพราะฉะนั้นสัญญาที่มันวิปลาส ก็ต้องเปลี่ยนให้หมด อย่าไปเอาสัญญาวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส จิตวิปลาส สัญญาวิปลาส ในวิปลาส 3
เมื่อจิต ทิฏฐิ สัญญา ของคุณวิปลาส คุณก็จะมี วิปลาส 4 ต่อ คือ
1) ไปเห็นความไม่เที่ยงว่าเที่ยง แล้วคุณก็จะปฏิบัติให้เป็นความเที่ยงให้ได้
2) ไปเห็นความทุกข์เป็นความสุข นี่วิปลาสแท้ๆ
3) ไปเห็นว่าสิ่งที่ไม่มีตัวตนเป็นมีตัวตน
4) ไปเห็นสิ่งที่ไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น คุณก็ไปเห็นว่า น่าได้ น่ามี น่าเป็น สุภะ แปลว่างาม มันไม่งามคุณก็ไปเห็นว่า มันงาม มันไม่น่าได้ คุณเข้าไปเห็นว่ามันน่าได้
สรุปที่ถามมา การดับสัญญา คือกิริยา อสัญญีสตว์คือ ตัวสัตว์ เป็นรูป การดับสัญญาเป็นนาม
นิโรธคือดับกิเลสได้เป็นบุญ ไม่ใช่ดับสัญญา
-
“นิโรธ” คือการดับกิเลสแล้วทำบุญทันที โดยไม่ดับสัญญา ใช่ใหมคะ?
พ่อครูว่า… อันนี้ซ้อนนะ ฟังดีๆ นิโรธ พยัญชนะแปลว่า ความดับ คุณดับอะไร ดับกิเลส
การดับกิเลสลงไปได้สนิทด้วยวิธีของพุทธเจ้าเรียกว่า เผาทิ้งเลย ฌาน นี่แปลว่าไฟ เผา พลังงานจิต ที่มันเป็นพลังงานความร้อน อุณหธาตุ ทำลายพลังงานจิตเหมือนกัน ที่มันเป็นกิเลส ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ เพราะฉะนั้น ไฟบุญ ไฟที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าสร้างจิต อภิสังขารให้เป็น ปุญญาภิสังขาร จัดการตกแต่งปรับปรุง ทำจิต ให้มันเป็น อภิ ปรุงแต่งอย่างยิ่ง ให้ปรุงแต่งพลังงานจิต ให้เป็น อุณหธาตุ ฌานเป็นพลังงานไฟเผากิเลส ฌาน 1 2 3 4
ฌาน ที่ 4 นั้นแหละ บุญอยู่ตรงนั้น จะสำเร็จเรียกว่าเป็น ฌานที่ 5 ก็ได้เป็นเพชฌฆาตคนสุดท้ายฆ่าซ้ำ ตั้งแต่มือที่ 3 มือที่ 4 บุญก็ฆ่าอีก จะเรียกมือที่ 4 สุดท้ายจะเรียกมือที่ 5 ก็ได้ ถ้าถึงมือบุญแล้วถือว่า ตายสนิทเด็ดขาด ไม่มีการเหลือ เพราะฉะนั้นสำเร็จบุญแล้ว จบเลย ไม่ต้องมีเพชฌฆาตอีก ไม่ต้องมีการฆ่าอีกเลย มันตายสนิท ตายไม่ฟื้น ตาย นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ตายเที่ยงแท้ ยั่งยืนตลอดกาล ไม่มีเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ไม่มีอะไรมาหักล้างการตายนี้ได้อีกเลย ไม่กลับกำเริบเลย
ที่ถามว่า นิโรธ กับ ดับกิเลส บุญทันทีไหม บุญทันทีแล้วก็เลิกทันที ก็ถ้าจบบุญ เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้ายก็ประหารจบ บุญก็หายไป
ก็เข้าใจยากบุญ เป็น one way Traffic มันทำไปทางเดียวโดยส่วนเดียวไม่มีส่วน 2 เอกังสะ โดยส่วนเดียว ไม่มีส่วน 2 ไม่เป็น เทวะ เอกังสะไม่เป็นเทวะ ไม่มีส่วน 2 ถ้า เทวธัมมา จะทรงไว้ซึ่งส่วน 2 ถ้าเอกังสธรรม มีหนึ่งเดียว เป็น 1 กับ 0
บุญ นี้ปรากฎตัวเป็น 1 ถ้าทำเสร็จแล้วเป็น 0 มี 0 กับ 1 ทำงานเสร็จแล้วไม่เป็นบุญ อเสขบุคคล ไม่ต้องใช้บุญอีกเลย เป็น อปุญญาภิสังขาร เพราะฉะนั้น จะปรุงแต่งอย่างไรก็ไม่ต้องใช้บุญอีกแล้ว แต่ผู้ที่ยังไม่เป็น One Way Traffic ยังโค้งกลับมาเป็นบาปอีก ก็จะอธิบาย อปุญญะว่าบาป นี่คือไม่เข้าใจสภาวะบุญบาป เป็นมิจฉาทิฏฐิก็ไม่มีทางปฏิบัติธรรมถึงขั้นฆ่ากิเลส ถอนอาสวะสิ้นได้ อาจจะฆ่าได้เป็นคราวๆ ก็จะเวียนกลับ วนอยู่นั่นแหละ
ถอนอาสวะสิน หมายความว่า ตายแล้วไม่ฟื้น ดับอาสวะสิ้นแล้ว ตายและไม่ฟื้นมาอีก ถอนดับอาสวะ ผู้ที่ดับอาสวะถูกต้องสัมมาทิฎฐิไม่มีวันฟื้น ถ้ายังฝืนอยู่ไม่ใช่อรหัตผล อรหัตผล ต้องดับอาสวะ เสขบุคคล ดับอาสวะอย่างเป็นขั้นตอนจนหมด ก็เป็น อเสขบุคคล อย่างนี้เป็นต้น
สรุปแล้ว ดับกิเลสบุญก็ทำทันทีสรุปแล้วดับกิเลส บุญก็ทำทันที ไม่ต้องดับสัญญาเพราะสัญญาคือธาตุกำหนดรู้อยู่ จะต้องฆ่าคือ กิเลส แต่สัญญาไม่ใช่กิเลส มิจฉาทิฏฐิใช้สัญญาวิปลาส มันก็เป็นกิเลส แต่ตัวที่ถูกแท้ มันเป็นขันธ์ เป็นเจตสิก ที่จะต้องทำงานหนักมากเลยสำหรับสัญญา ทั้งจำไว้ และเอามาใช้กำหนดต้องรู้ ตั้งแต่ต้นจนจบเลย กายก็เหมือนกัน กายก็ทำตั้งแต่ต้นจนจบเหมือนกัน เรียนรู้จนจบ จบโดยการตรวจสอบวิญญาณฐีติ 7
สัญญาบันทึกไว้ มันไม่หายไป สัญญาจะขึ้นมาได้สักวันหนึ่งมันก็จะขึ้นมาได้
นิโรธกับอภิสัญญานิโรธ คืออะไร
-
ขอรบกวนพ่อท่านอธิบายขยายความของ “นิโรธ” กับ “อภิสัญญานิโรธ” ด้วยค่ะ ขอกราบนมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ