650921 ปฏิบัติ รูป 28 ในสติปัฏฐาน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
https://www.boonniyom.net/52662.html
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1a16qfXhTdx3F9_BMT5xrgGivZAFn-N0xhNFAvcOauWo/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1ATU4Ll3t6E50mmFbTecz6fwCMvIPJN-z/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/OlI2FalFecI
สมณะฟ้าไท… วันนี้วันพุธที่ 21 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้บ้านราชฯก็น้ำท่วมขึ้นมาเรื่อยๆ พวกเราก็เก็บของกันได้ ต่างคนต่างหาเรือระวังจะหาเรือไม่เจอ ส่วนเทศกาลกินเจ ส่วนหนึ่งเราก็ไปที่อุทยานบุญนิยม ส่วนหนึ่งไปที่สหกรณ์ อีกส่วนหนึ่งไปที่ห้างสุนีย์ และมีคนที่อยู่ที่นี่ก็รักษาการอยู่ที่นี่ เสร็จจากงานเจเดือนนึงก็เข้างานมหาปวารณา
พ่อครูว่า… เราจะเปิดให้คนข้างนอกมาขายของได้ที่อาคารบวร ให้เป็นเรื่องสามัญปกติ ให้คนมาออกร้าน ในเดือนพฤศจิกายน เขาจะได้เตรียมตัวกัน
สมณะฟ้าไท… ไม่รู้ว่าน้ำจะอนุญาตหรือเปล่า ดูสถานการณ์ก่อน พ่อครูก็อยากให้เปิดหมู่บ้านตั้งแต่พฤศจิกายน เราก็จะมีงานเพิ่มขึ้น
พ่อครูว่า… ทางการเปิดแล้วนะ
สมณะฟ้าไท… โรคอื่นเขาก็ตายกันนะ อุบัติเหตุตายมากกว่าโควิคอีก มะเร็งตายเยอะ ถือว่าเป็นภาวะปกติแต่ก็ใส่แมสป้องกันเอาไว้ ที่นี่เราติดจะเลิกติดแล้ว
พ่อครูว่า… ติดก็รักษาอาการเหมือนไข้หวัด ไม่หายก็ตาย
สมณะฟ้าไท… เป็นเรื่องปกติ โรคอะไรไม่หายก็ตาย แม้ไม่เป็นโรคอะไรสุดท้ายก็ตาย งั้นก่อนตายมาฟังพ่อครูก่อนดีกว่า
ชีวกสูตร สุดลึกซึ้ง
พ่อครูว่า… ขออ่าน ก็ใกล้งานเจ งานมังสวิรัติแล้ว
อโศกสัมปวังโก เขียนกลอนมา
ชีวกสูตร สุดลึกซึ้ง
สรรพสัตว์ ทั้งมวล ล้วนมีจิต ใยจึงคิด จับฆ่า เป็นอาหาร
หยุดก่อนมวล มนุษย์ หยุดจ้างวาน หยุดก่อนพราน ผู้พร้อม ยอมกลับใจ
บนผืนปฐพี มีภัตตะ คือผองพันธุ์ ธัญญะ แล้วไฉน
จึงมองเห็น เป็นทุพภิกขภัย เป็นเหตุให้ ชีวาตม์ ต้องศาสตรา
อ้างกินง่าย เลี้ยงง่าย มิอายปาก อีกความอยาก นั้นยัง เป็นมังสา
จึงไม่คิด จะขัด ผู้ศรัทธา จึงกล่าวสาธุไซร้ ในทันที
ผู้ไม่เคี้ยว ไม่ขบ ซากศพสัตว์ จึงถูกจัดว่าพระ เดียรถีย์
ช่างหลอกลวง ปวงชน ว่าตนดี ช่างกล่าวตู่ ผู้มี เมตตาธรรม
ช่างกล้าย้อน กล้าแย้ง แปลงพระสูตร ช่างกล้าพูด วิภาษ พระศาสน์หนำ-
ใจผู้เสพ เนื้อบุตร สุดระยำ จึงมีสำนึกชั่ว กลัวเวรี
อันชีว-กสูตร นั้นจำใส่ สัญญาไว้ จักได้ เลิกป้ายสี
ศิษย์ตถา-คตไซร้ ไม่ยินดี เอาสรี-ระสัตว์ เป็นภัตตา
อโศก สัมปวังโก ….กันยายน ๒๕๖๕
ใช้ศัพท์บาลี ศัพท์ธรรมะมาใส่เยอะ ก็ดูน่าฟังนะสำหรับผู้ที่เข้าใจ อย่างอาตมาเข้าใจก็เข้าท่า ก็ยากสำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจ ฟังแล้วรื่นหูในเชิงกลอน แต่ไม่ค่อยรู้ในเรื่องรายละเอียดเท่าที่เขาต้องการ สมกับการทำกวี กวีนั้นไปเอาคำที่สั้นและเหมาะใส่เข้าไป ให้เป็นเชิงกวีที่ไพเราะด้วย ให้ได้ความมากในคำที่สั้นและเหมาะ เรียกว่า ได้ พูดน้อย แต่ได้ เอาความรู้ความเข้าใจใส่ไว้ความหมายที่ต้องการให้ได้มากๆไว้
ขอขยายความ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งนั้น ก็มีจิตมีวิญญาณ ใยจึงคิดจับฆ่าเป็นอาหาร เขาก็มีจิตมีใจไปฆ่ามาเป็นอาหารทำไม .. หยุดก่อน มวลมนุษย์ หยุดจ้างวาน.. ก็เลยเปรย
หยุดก่อนๆ เราหยุดแล้วแต่เธอยังไม่หยุด พวกมนุษย์ทั้งกินทั้งค่าทั้งจ้าง วานทั้งทำเอง หยุดก่อน พราหมณ์ ผู้พร้อมยอมกลับใจ ก็เปรยๆ หยุดเถิดผู้พร้อมกลับใจ คนที่ไม่พร้อมกลับใจไปพูดก็ไม่รู้เรื่อง
บนผืนปฐพี มีภัตตะ(อาหาร) คือผองพรรณธัญญะแล้วไฉน จึงมองเห็นเป็นทุภิกขภัย ก็ในทั้งนั้น ในปฐพีนี้ มีพืชพันธุ์ธัญญาหารแล้วทำไมจึงมองเห็นว่า เป็นทุภิกขภัย เป็นยุคที่ไม่มีพืชพรรณ ธัญญาหาร อาหารให้กินแล้วทำไม ก็อาหารมีให้กินออกดื่นเยอะถมไป อ้างเหตุ เป็นทุภิกขภัย ไม่มีอาหารให้กิน ชะ มันมีมากกว่าสัตว์ด้วย
ก็เลย เป็นเหตุให้ชีวิตสัตว์ต้องถูกอาวุธคน หรือจับมาฆ่ามากินดื้อๆเลย
อ้างกินง่าย เลี้ยงง่าย ไม่อายปาก อีกความอยาก นั้นยัง เป็นมังสา
จึงไม่คิด จะขัด ผู้ศรัทธา จึงกล่าวสาธุไซร้ ในทันที
ผู้ไม่เคี้ยว ไม่ขบ ซากศพสัตว์ จึงถูกจัดว่าพระ เดียรถีย์
ที่กินอยู่นั้นก็ซากศพทั้งนั้น ก็จัดว่า เป็นพระ เดียรถีย์ มีสมณะอโศกนี่แหละไม่กินเนื้อสัตว์ พระนอกนั้นกินเนื้อสัตว์กัน ช่างหลอกลวง ปวงชน ว่าตนดี ช่างกล่าวตู่ ผู้มี เมตตาธรรม เดี๋ยวนี้ดีขึ้นแล้วแต่ก่อนนี้ตู่กันจังเลยว่า เป็นวัวเป็นควาย เป็นต้น
ช่างกล้าย้อน กล้าแย้ง แปลงพระสูตร ช่างกล้าพูด วิภาษ พระศาสน์หนำ-
ใจผู้เสพ เนื้อบุตร สุดระยำ จึงมีสำนึกชั่ว กลัวเวรี
พ่อครูว่า… พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสใน ปุตตมังสสูตร สูตรว่าด้วยกินเนื้อบุตร สุดท้ายกินเนื้อลูกตัวเองได้ ไม่สำนึกไม่กลัวเวรกรรมอะไร
อันชีว-กสูตร นั้นจำใส่ สัญญาไว้ จักได้ เลิกป้ายสี
ศิษย์ตถา-คตไซร้ ไม่ยินดี เอาสรี-ระสัตว์ เป็นภัตตา
พ่อครูว่า… ก็ดี เอาคำศัพท์ต่างๆมาใช้เป็นภาษากวีรื่นหูดี สำหรับผู้ที่ฟังขึ้นนะ ผู้ที่ฟังแล้วไม่รู้เรื่องในศัพท์ ก็คงไม่รื่นหูเท่าอาตมา ที่เข้าใจศัพท์ทุกตัวก็ดูดี
ก็มาฟังภาษาของอีกคนบ้าง
กราบพ่อครู ผู้ สยังอภิญญา ผู้ระลึกชาติมาสอน กราบพระครูด้วยความเคารพอย่างแรงกล้า วิตกวิจารปีติ ทุกคนต้องเรียนรู้สภาวะ 2 เทวะ 2 รูปนาม 2 1 0 ยกกำลัง 0
ฟังคำซ้ำๆ + อ่านธรรมะ 2 เป็น 1 จบ 0 หมด ขณะปัจจุบันวันนี้
ธรรมะ 2 เกิดดับอยู่ในจิตทั้งรูปทั้งนาม 03:00 น ตื่น 04:00 น ต้องมาฟังย่อย + ทำวัตร + ต้มข้าวด้วย กลางคืนฝนตกน้ำท่วมเดินไม่ได้ + จิตบอกร่างวันนี้หยุด พอเปิด เห็นคนมามีเรือ + ดิฉันรับด้วยเขาไม่รับ ดิฉันปิดไฟจะนอนต่อ ประมาณ 1 มารับแล้ว
คำถาม 1. ธรรมะ 2 2 เราต้องมีอยู่ในจิต เป็น 2 1 0 ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า… คือต้องตี 2 ให้ออกแล้วแยก 2 ให้ออก เป็น 2 เป็น 1 เป็น 0 ให้ได้ แล้วมันก็ไม่ทิ้งความเป็น 2 แม้เราจะได้ 0 แล้วเราจะได้อาศัย 1 อยู่ เราก็ยังอยู่ในความเป็น 2 ขยายความไป นี่อาตมาเข้าใจที่เขาเขียนมา เขียนมาขนาดนี้ก็เก่ง
-
บอกเด็กน่ารักหลายคนยกหม้อหนัก ยายแก่แล้ว เด็กพูดวันนั้น ยังไม่แก่ ธรรมะ 2 ร่างแก่ + จิตสาว ค่ะ แถม + ให้เด็กๆทุกๆคน – หลวงปู่สอนธรรมะ 2-1-0 ทำงาน ธรรมะใจ
ดช.บอส ยายแจ๊ว ลืมชื่อเด็กรับจ่าย + ธรรมะ 2 ต้องมีอยู่ในใจ กาย รูป นาม พ่อครู ดิฉันได้เรียนภาษาค่ะ
พ่อครูว่า… เอาละ ได้เรียนภาษาได้ขนาดนี้ก็ดีแล้ว อายุ 73 แล้ว ขยันเขียน ขยันเรียนได้ไม่แก่เกินเรียน ยิ่งธรรมะไม่มีแก่เกินเรียนจะแก่เท่าไหร่ก็เรียนได้ อย่าว่าแต่เป็นอรหันต์เลยยังไม่เป็นอรหันต์ต้องเรียนแน่นอน เป็นอรหันต์และต้องเรียนแน่นอนอย่างอาตมาต้องเรียนอยู่ ต้องเอาอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้เพราะว่าอรหันต์มีหลายขั้น
พ่อครูว่า… SMS วันที่ 19-20 กันยายน 2565
_Jakkajanthip Sawanglaum (จักจั่นทิพย์ สว่างล้ำ) : ไม่เห็นท่านดินไทและท่านแสนดินนานแล้ว ท่านยังสบายดีอยู่ไหมคะ ? ใครที่รู้ที่ทราบช่วยตอบด้วยค่ะ
มิจฉาอาชีวะ 5 คืออย่างไร
_สว่างแสง ขวัญดาว · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกขอกราบเรียนถามพ่อครูเรื่องมิจฉาอาชีว 5 มี 1.กุหนา การโกง 2.ลปนา การหลอกลวง
3.เนมิตตกตา การตลบตะแลง 4.นิปเปสิกตา การมอบตนไปในทางผิด
5.ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา การเอาลาภแลกลาภ ลูกสงสัยกรณีการโกง การหลอกลวง การตลบตะแลงนั้นมีความหมายและแตกต่างกันอย่างไรคะ ลูกยังแยกไม่ออก ยังไม่ชัดค่ะ กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… ไม่เข้าใจตัวหลัง ตั้งแต่การโกงการหลอกลวง กุหนาก็คือการโกง มันโกงกันอย่างดื้อๆด้านๆ แล้วยังไม่นึกว่าตัวเองโกงเลย หน้าด้านหน้าตาเฉย เหมือนอย่างทักษิณทำกันไป ไม่พอ จนพาน้องนุ่งมาโกง แล้วยังพาพี่พาน้องตระกูลมาโกง
นั่นคือมิจฉาอาชีวะ กรรม เป็นการกระทำ ทำแล้วเขาก็ต้องได้วิบากบาป ได้วิบากอกุศลติดตัวไปแน่นอน แต่คนพวกนี้ไม่เกรงกลัวกรรม กลัวบาปอะไรหรอก โกหกอยู่ได้ทุกวัน พูดไปทั้งๆที่ตัวเองเป็น แล้วก็พูดกลบว่าตัวเองไม่เป็น กลับมายกย่องตัวเอง ทักษิณเอ๋ย จะต้องสร้างบาปอกุศลให้แก่ตัวเองสักเท่าไหร่ ถ้าแกหยุดพูดจะได้เพลา แต่นี่แกพูดคำโกหกตอแหลไปเรื่อยๆ ก็ชัดเจนว่ากรรมเป็นอันทำ น่าสงสาร
การโกง ก็ยกตัวอย่างเป็นตัวเป็นตนชัดแล้วล่ะ คนอื่นๆ ก็ทำสู้ทักษิณไม่ได้หรอก
โกงนี่ ทำครบ กาย วาจา ใจ
“หลอกลวง” นี่ใช้ปาก คำพูด ใช้ภาษาเป็นหลัก หลอกลวง
สู่แดนธรรม… คืออาจพูดไม่ครบก็ได้ครับ
พ่อครูว่า… มีหลายมิติหลายระดับ พูดไม่ครบเจตนาให้หลงผิดไปด้วยก็เป็นการหลอกลวงทั้งนั้น
การ “ตลบแตลง” ท่านแปลมาจากคำว่า เนมิตกตา หรือแปลว่าการเสี่ยงโชค คือ ยังไม่แน่นอน ยังไม่มั่นใจยังไม่ค่อยรู้เรื่องหรือยังไม่ชัดเจนสักอย่าง จะว่าดี จะว่าถูก หรือจะว่าดีจะว่าไม่ถูกก็ไม่แน่ชัด
สู่แดนธรรม… พ่อครูเคยว่า ไปทำให้เขาคิดว่าช่วย แต่ที่จริงหลอกลวง เอาเปรียบเขา
พ่อครูว่า… ตลบแตลง
-
มอบตัวในทางที่ผิดอันนี้เป็นคนชัดเจนแล้วเรื่องดีเรื่องไม่ดีเรื่องสมมุติสัจจะชัด แต่ตัวเองก็ยังเป็นทาสคนผิด ไปรับใช้คนผิด อย่างนี้เรียกว่า ตนสะอาด แต่ตนก็ยังพึ่งตนเองไม่ได้ ไม่อยู่กับผู้ที่ถูกต้องด้วยกัน ไปพึ่งคนที่มีบาป มันน่าขายขี้หน้า นี่เป็นอาชีพระดับที่ 4
ระดับที่ 5 นี้สุดยอด อาชีพที่ทำงานจะต้องเอาสิ่งแลกเปลี่ยนกลับมาให้ตนเอง เป็นอาชีพที่ถือว่ายังไม่ประเสริฐเลิศยอด
อาชีพที่สูงสุดเรียกว่า สัมมาอาชีพ ข้อที่ 5 ทำงานฟรี ทำงานแล้ว ไม่เอาสิ่งตอบแทนเลย จนกระทั่งเป็น ทานข้อที่ 1 ทานหรือให้
ข้อที่ 1 คือ ไม่มี สาเปกโข ทานอย่างชนิดไม่มีจิตที่จะต้องต่อฟไปว่าเรายึดเป็นบุญเป็นคุณ ทำแล้วก็จบในตัวของการให้แล้วก็จบ นี่ทาน สุดยอด
ข้อที่ 2 คือ ไม่มี ปฏิพัทจิตโต ยิ่ง ไปผูกพันอยู่อีก มันก็ยิ่งยาวยืด แล้วสั่งสมเป็น สันนิธิเปกโข และสั่งสมเอาไว้กินใช้ในชาติหน้า ปริภุญชิตสามีติ เลอะไปหมด
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้เป็นอย่างนั้นเลย แต่เดี๋ยวนี้เลยเถิดไปหมด ศาสนาพุทธออกนอกรีตนอกราว เป็นภพ เป็นชาติ ต่างๆนานา มันห่างไกลจากพุทธธรรมไปไกลมาก จนหาร่องรอยธรรมะที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้าไม่ค่อยได้ แม้แต่ทานก็ดี ศีลก็ดี ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องสมาธิ ปัญญา เลย
_จากซึ้งซื่อ วิเชียร ครับ : กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ เมื่ออดีตผมมาคบคุ้นกับชาวอโศกแรก ๆ ก็ไม่รู้อะไรมีแต่กิเลสหลงว่า สรรเสริญเป็นสิ่งดีงามแต่พอมาใกล้ชิดพ่อท่านที่สันติอโศกและท่านเดินดิน ติกขวีโร และท่านพิสุทโธและหมู่กลุ่มญาติธรรมได้ใกล้ชิดคุณลุงจำลอง ศรีเมือง คุณหมอฟ้ารักและคุณ สิริ หินทอง ก็รู้ว่าสรรเสริญไม่ดีเลยเพราะเคย มีประสบการณ์ผ่านงานมาบริษัททางโลก ๆ เขาก็ให้สรรเสริญเพื่อเอาผลประโยชน์จากผม แต่พอได้เข้ามาที่สันติอโศกได้ฟังพ่อท่านเทศน์สอนทุกเช้าเสาร์อาทิตย์ ผมก็ได้มาช่วยงานเกี่ยวกับช่างอีเล็คโทรนิคส์ที่บนคลังเสียง อดีตผมเคยไปซ่อม tv.ที่บ้าน พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันต์ ตอนยังมีชีวิตอยู่ และพล.ต.สุดสาย หัวหน้ากระทิงแดงสนิทกันดี และบ้านเจ้าสัวธนินท์ เจ้าของ cp. ถึงตอนนี้พ่อท่านไม่ได้อยู่ กทม.แล้ว ผมยังติดตามทางออนไลน์อยู่ประจำที่บ้าน ก็ได้มรรคผลพอควร ฟังธรรมพ่อท่านเทศสอนเริ่มรู้เรื่องแล้วครับ ก็ขอสัมมาทิฏฐิจาก
พ่อท่านด้วยครับ กราบนมัสการขอบพระคุณพ่อท่านและหมู่กลุ่มสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า… เดี๋ยวนี้ก็ยังมีคนที่หลงสรรเสริญ ไม่กล้าที่จะออกมา เพราะกลัวคนตำหนิ คำสรรเสริญ ไม่มีค่า พระพุทธเจ้าให้ละหน่ายคลายจากกิเลสเลย จะหนีออกมาจากการได้รับคำสรรเสริญมาอยู่อย่างโพธิรักษ์ไม่มีใครสรรเสริญ มีแต่คนว่า ๆๆๆ แต่คนนับถือเท่านั้นเอง ไม่ต้องสรรเสริญ แต่ก็สรรเสริญ เขากราบเคารพอย่างสูงยิ่งตลอดเวลาเลย มันเป็นสัจจะเป็นไป
พวกเรามีอาสโภในจิต มีความกล้า มันชัดเจนมากก็เป็นมรรคผลมันก็กล้าพูด แต่คนข้างนอกไม่กล้าหรอก ว่าเขามีมรรคมีผล เขาไม่กล้า เขาไม่ชัดเจน แล้วเขาก็ไม่มีความมั่นใจ ไม่มีอาสโภ ไม่มีความอาจหาญแกล้วกล้า
อาตมาขยายความให้บ้างแล้ว พอแค่นั้นก็แล้วกัน
_ตุ๊ก อัศวิน · เปรียบเป็นวงดนตรี ได้ดังนี้เจ้าค่ะ สำนักอื่นๆ..เหมือนเป็นศิลปินเดี่ยว เล่นดนตรีชิ้นเดียว เช่น เดี่ยวซออู้ เป็นต้น ส่วนสำนักอโศก เล่นดนตรีเป็นคณะ..เจ้าค่ะ มีเครื่องดนตรีหลากหลาย เช่น ดีด สี ตี เป่า ฉิ่งฉับ ฯลฯ เครื่องดนตรีมีทั้ง พื้นบ้าน และ สากล นักดนตรีก็มีหลากหลาย..ท่านทั้งหลายเล่นเพลงไปในทำนองเดียวกัน โดยมีพ่อครูเป็น วาทยากร (Conductor) ..เจ้าค่ะ ผู้ฟังดนตรีที่เล่นเป็นคณะนี้..จึงฟังได้อรรถรส..ได้อมตะธรรม..เป็นที่ซาบซึ้ง ประทับใจยิ่ง..เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… ที่พูดออกมาพูดจากความจริงใจธรรมดาไม่ได้เขินอะไร เป็นอาสโภ ความอาจหาญแกล้วกล้าของคนที่มีสัจธรรม นี่เป็นโลกุตรธรรม ต่างคนกับคนที่ไม่แกล้วกล้าไม่มี อาสโภ ได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้มรรคผลอย่างไรก็ไม่รู้ ไม่มีสัมมาทิฏฐิมันต่างกันเห็นชัดๆ
_งามใบตอง นิลมณี · คลิปที่ท่านตถภาโวนำมาเปิดเมื่อวันที่ 20 ก.ย. 65 ดีมากๆ ค่ะ เห็นคุณยายออกกำลังกายแล้วทำให้มีไฟที่จะออกกำลังกายให้มากขึ้นค่ะ และตื้นตันใจกับความดีมีน้ำใจของน้องคนไทยที่ฝรั่งสัมผัสได้ น้ำตาซึมตามเลยค่ะ
พ่อครูว่า…สื่อสารก็ทำให้เราเกิดความซาบซึ้งใจ ได้ดีมีประโยชน์
_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม ·กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง ขณะนี้กำลังรับชมอยู่ค่ะ ใกล้เทศกาลกินเจ อาหารมังสวิรัติเป็นอาหารบุญ ชุมชนเรา จำหน่ายอาหารในงานเทศกาลกินเจ ยิ่งชุมชนเราผลิตผักได้ เราน่าจะสาธิตการทำอาหารให้เขาได้เห็น และจำหน่าย ในราคาบุญนิยม 4 ระดับ สุดท้ายแจกฟรี บ้านราชทำได้ทุกวันพฤหัส เห็นแล้วประทับใจค่ะ กราบสาธุค่ะ
ปฏิบัติ รูป 28 ในสติปัฏฐาน 4
_Jaitham Sittinawin (ใจธรรม สิทธินาวิน) · พ่อครูคะ ขอให้พ่อครูกรุณาอธิบาย เรื่องสติปัฏฐาน ๔ และวิธีปฏิบัติข้อสติปัฏฐาน ๔ แต่ละข้อๆ อีกสักครั้งค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
พ่อครูว่า… ก็ตกลงเอาสติปัฏฐาน 4 มาอธิบายกันในวันนี้
สติปัฏฐาน 4 เป็นข้อแรกในโพธิปักขิยธรรม 37 ซึ่งท่านแบ่งเป็น 7 หมวด สติปัฏฐาน 4 อิทธิบาท 4 สัมมัปปธาน 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8
สติปัฏฐาน 4 มี กาย เวทนา จิต ธรรม
ใน ล.๓๑ ข.๖๒๐ เขียนไว้ถึงโลกุตรธรรม ๔๖
สติปัฏฐาน 4 คุณจะต้องชัดเจนในคำว่า “กาย” แล้วในคำว่า กายจะเนื่องเกี่ยวไปถึงเวทนา เนื่องเกี่ยวไปถึงจิต สุดท้ายทรงไว้ก็รวมเรียกว่า ธรรมะ
มีกาย เวทนาในจิต แล้วเรียนให้ครบ กายเวทนาจิต โดยเข้าใจธรรมะหรือหลักใหญ่เลยก็คือ ธรรมะแบ่งเป็น 2 ใหญ่ๆ
ธรรมะหนึ่ง คือ โลกียธรรม ธรรมะอีกหนึ่ง คือ โลกุตรธรรม
โลกุตรธรรมนี้มีในศาสนาพุทธเท่านั้นในโลก (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท… เราจะได้ฟังปรมัตถธรรมอันลึกซึ้ง ให้เราปฏิบัติ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย แล้วจับอาการของจิตให้ได้
พ่อครูว่า… ก็ต้องรู้เป็นคู่ๆ คู่ที่สำคัญก็คือคู่โลกียกับคู่โลกุตระ ซึ่งเป็นธรรมะ โลกุตรธรรมกับโลกียธรรม ต้องชัดเจนก่อน ถ้าไม่ชัดเจน คุณปฏิบัติธรรม คุณจะปฏิบัติธรรมได้เป็นโลกียธรรม
โลกียธรรม คุณจะแยกได้แต่เพียงดีกับชั่ว มีสูงมีต่ำ มีมากมีน้อย มีเจริญมีเสื่อม แค่ดีและชั่ว นี่เป็นโลกียธรรม แต่โลกุตรธรรมนั้นแน่นอน ดีชั่วก็รู้กันแน่นอน แล้วก็ทำก่อนเหมือนกัน ทำให้ได้เหมือนกัน ทำก่อน แล้วยังมีแถม รู้จักสุขและทุกข์
อันนี้แหละเป็นตัวแบ่งชัดเจนว่า เป็นโลกุตรธรรมกับโลกียธรรมต่างกันอย่างไร โลกียธรรมให้รู้เรื่องของสุขและทุกข์ แต่โลกุตรธรรมนั้นรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในสุขทุกข์ แล้วจัดการเรื่องสุขเรื่องทุกข์ เรียนรู้สุขทุกข์นี้แหละ จากกาย จากเวทนา จากจิต เรียนรู้สุขทุกข์ แล้วจัดการกับสุขทุกข์ เรียนรู้สุขทุกข์จาก กาย เวทนา จิต มี 3 ตัว เมื่อกี้นี้ขยายความธรรมะแล้ว
3 ตัวนี้ไม่ได้แยกกัน คนที่ไปแยกกาย พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องแยกกายแยกจิต ต้องเข้าใจให้เป็นสัมมาทิฏฐิก่อนอื่นด้วย ถ้าแยกกายแยกจิต ไม่สัมมาทิฏฐิก่อนอื่น มันก็มาปฏิบัติธรรมไม่ไปไหนอีกเหมือนกัน ไม่มีทางบรรลุหรอก
ผู้ที่เรียนธรรมะกันอยู่จบด็อกเตอร์ จบเปรียญ 9 จบอะไรก็แล้วแต่ที่เรียนกันอยู่ ขออภัยที่พูดความจริงเขาไม่ได้รู้รายละเอียดพวกนี้หรอก จึงไม่ได้พูดกันเรื่องแบบนี้ มีแต่พาไปนั่งหลับตามีแต่พาไปเดินหนอ ย่างหนอ ไปทำตามจารีตประเพณีต่างๆหมด ไม่ได้มาสนใจอย่างที่ว่านี้ อธิบายกันให้เข้าใจ ผู้ที่เป็นอาจารย์จะต้องรู้จริงและปฏิบัติได้ มันไม่มี มันก็บังคับไม่ได้ เขาก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาพูดมาอธิบายมายืนยัน เพราะว่าเขาก็ทำไม่เป็นด้วย มันก็เป็นสัจจะ
เพราะฉะนั้นข้อที่ 1 กาย ข้อที่ 2 เวทนา ข้อที่ 3 จิต
กายนี้ กว้าง รวมทั้งภายนอก กายนี่เป็นองค์รวม องค์ประชุม กาย ไม่ใช่เดี่ยวๆ คำว่ากายเป็น 1 ไม่ได้ กาย ต้องมี 2 เสมอ ไม่มีกายก็คือ ไม่มีอะไรเลยเป็น 0 กายไม่มี 1
นี่ก็ไม่ได้เข้าใจกันง่ายๆ ว่า กายไม่เป็น 1 มันมีแต่วัตถุ มีแต่สรีระ ไม่ได้ ถ้าใช้ศัพท์คำว่า “กาย” ต้องมี 2 แล้วต้องมีวัตถุกับจิต พุทธเจ้าตรัสไว้ว่ากายคือ จิต มโน วิญญาณ คือองค์รวม องค์ประชุมของจิตเป็นหลัก ถ้าจะมีวัตถุด้วย มีสสาร มีข้างนอกด้วย ก็ต้องมีจิตเป็นหลัก เป็นประธาน
แต่คนไทย ภาษาคำว่า กาย มาเป็นภาษาไทยแล้ว หมายความว่า สรีระข้างนอก นี่เป็นประธาน ดีไม่ดีไม่มีจิตร่วมด้วย เข้าป่าเลย หลงเลอะเทอะเลย แล้วก็เข้าป่าจริงๆ พระธุดงค์ เรานึกว่าตัวเองมีธุดงค์ ซึ่งมันไม่มีเลย ธุดงค์แปลว่าศีลที่สูงขึ้น เขาไม่มีเลยมันสับสนไปหมดที่จริงภาษาบาลีไม่มี ด.เด็ก ธุตังคะ ถ้าเป็นภาษาไทยก็คือธุดงค์ ก็เลยไปเข้าป่าเข้าดงไปหมดเลย บอกว่าผ่านมาเยอะแล้ว ไปธุดงค์มาหนัก บอกว่าเป็นพระเกจิเป็นพระกรรมฐาน
อาตมาเห็นแล้วก็น่าสงสารที่ไม่เข้าใจไม่ประสีประสาเหมือนเด็กๆ อาตมาฟังแล้วดูแล้ว เหมือนเด็กๆพูดกันสนุกดี แต่ไร้สาระไม่เข้าหาแก่นหาเนื้อเลย มีแต่เหมือนเล่นขายหม้อข้าวหม้อแกงเลอะเทอะ
สมณะฟ้าไท… แต่เขาคิดว่ายิ่งใหญ่มาก
พ่อครูว่า… แล้วไปเข้าใจสิ่งที่ไม่เข้าท่าว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่แล้วมันจะเป็นอย่างไร มันก็เป็นโมฆะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ก็ขอยืนยันพูดคำใหญ่เลยว่า นั่งหลับตานั้นเลิกไปเถิด มาศึกษาให้สัมมาทิฏฐิจรณะ 15 วิชชา 8 ให้มีศีลสมาธิปัญญากันจริงๆ
ไม่ใช่ว่า ศีลก็ไม่ได้เป็นหลักเลย สมาธิไม่มีศีลเป็นหลักเลย อธิจิตไม่มีอธิศีลเป็นหลักเลย อธิปัญญา อธิวิมุติ อย่างไรก็ไม่ได้
มาถึง กาย เวทนาและจิต มันไม่แยกกัน ปฏิบัติธรรมต้องมีภายนอกภายในต้องตื่นลืมตา ตาม อปัณณกปฏิปทา 3 ชาคริยานุโยคะ ผู้ตื่นมีความตื่นต้องตื่นมีสติสัมปชัญญะลืมตา มันต้องลืมตา ขนาดลืมตาแล้วยังต้องมีสัมปชัญญะ มีความรับรู้ ที่ต้องทำให้ตัวเองตื่นเต็ม100 สติ มาจากคำว่า 100 (สตะ) กายกรรมก็ตื่นเต็ม วจีกรรมก็ตื่นเต็ม มโนกรรมก็ตื่นเต็ม เพราะรู้ตัวทั่วพร้อม เรียกว่ามีสติ เป็นฐาน สติปัฏฐาน
มีที่ตั้งของการปฏิบัติ ฐาน คือ สติปัฏฐาน มีสติเป็นที่ตั้งของการปฏิบัติ นี่เรียกว่า กรรมฐานแท้ ไม่ใช่ไปนั่งสมาธิ สะกดเอา กสิณ 40 เอาอะไรสะกดจิตจดจ่อ อย่างนั้นเป็นเรื่องนอกศาสนาพุทธทั้งสิ้นเลย เลิกได้ แล้วก็จะเป็นกุศลแก่ศาสนาพุทธมาก แก่ตัวเองมากเลย
ฟังดีๆอาตมาเอาหนักเอาชัดๆไม่ต้องมาทำแบบเห็นอกเห็นใจ แต่ตีหัวเข้าบ้านเลย
เมื่อไม่เข้าใจคำว่า กาย ซึ่งเป็นคำแรกที่จะต้องรู้ พ้น สักกายทิฏฐิ อธิบายตามหลักวิชาพระพุทธเจ้าทั้งนั้นเลย อ้างอิงหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระบาลีด้วย
สังโยชน์ ข้อที่ 1 สักกายทิฏฐิ ต้องเข้าใจ เข้าใจ กาย และกายคือที่ตัวเรา สักกะ(ตัวเรา) มันมีภายนอกกับภายในในตัวเรา
วิโมกข์ ข้อที่ 1 รูปีรูปานิปัสสติ อ้างอิงวิโมกข์ วิโมกข์คือความตรัสรู้ หรือความรู้ที่เข้าขั้นโลกุตระของพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว พยัญชนะบาลีมีแค่ 3 คำ รูปี รูปานิ ปัสสติ
ปัสสติ แปลว่าเห็นแปลว่าสัมผัสด้วยคู่ ตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส ต้องสัมผัสกันเห็นชัดๆ
เพราะฉะนั้น รูปี รูปานิ ปัสสติ คือ ผู้มีความสามารถจะเห็นรูป ปกติ คนที่มีตาหูจมูกลิ้นกายพร้อมที่จะเห็นหรือสัมผัส รูปที่เป็นภาพ เสียง กลิ่น รส พร้อม
เพราะฉะนั้นผู้ที่จะหลุดพ้นต้องมีการเห็น มีปฏิกิริยาเห็นด้วย ได้ยินก็ได้ยินด้วย ได้กลิ่นก็ได้กลิ่นด้วย เปิดรับ ตื่นเต็ม รู้ตัวเต็มๆอยู่ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา ไปนั่งหลับตาทำให้ตัวเองตาอด ถ้านั่งหลับตาเข้าไปข้างในด้วย ปิดหู ปิดความรู้สึกสัมผัสหมดเลย มันออกนอกรีตไปไกล ออกนอกทางศาสนาพุทธไปไกลมากเลย ไปนั่งหลับตาปิดหูปิดตา
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อินทริยภาวนาสูตร พระพุทธเจ้าตรัสกับอุตตระมานพ บอกว่าอาจารย์เธอสอนอย่างไร เขาก็บอกว่าสอนให้ปิดหู ปิดตา ปิดทวารทั้ง 5 พระบูชาก็บอกว่าอย่างนั้นสอนให้เป็นคนตาบอด หูหนวกเหรอ อุตรมานพก็เลยคอตก นั่งนิ่ง เก้อเขิน ก้มหน้าซบเซา หมดปฏิภาณปัญญา
นีผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาจะฉุกคิด แต่พวกที่ไม่มีปฏิภาณปัญญา พูดเท่าไหร่ก็ไม่ฉุกคิด เจ้าประคุณเอ๋ย เมื่อไหร่จะเป็นคนที่เลิกเป็นเต่าตาบอด มุดห่วงสักที โผล่มามุดห่วง น่าสงสาร น่าเห็นใจจริงๆเลย ทำไมถึงได้ปึกได้ปึกดี ภาษาอีสาน ปึกได้ปึกดีปึกขนาด
สมณะฟ้าไท… แล้วคนพวกนี้ไม่ฟังด้วย
พ่อครูว่า… นั่นสิ..กลับไม่ฟัง พวกนี้ไม่มี ปรโตโฆษะ ก็ไม่มีโยนิโสมนสิการ ก็ปิดประตูที่จะมีสัมมาทิฏฐิ นอกจากโง่แล้วไม่ฟังผู้ที่เขาฉลาดจริง คนที่มีความรู้จริงพูดถูกจริงอย่างอาตมาเขาไม่ฟัง ใครไม่ฟังอาตมาก็คือผู้ที่โง่ได้ระดับ โง่สมบูรณ์แบบ ผลักไสด้วย ไม่เชื่อไม่รับเรียกว่า โง่สมบูรณ์แบบ
ขออภัยพูดจริงๆชัดๆไม่ได้พูดดูแคลนไม่ได้ข่ม ที่พูดนี้เป็นสัจธรรม ที่บอกว่าโง่สมบูรณ์แบบก็เป็นสัจธรรม อาตมาไม่ได้ยกตัวเองข่ม แต่ อาตมาว่าอาตมาถูกต้องก็บอกความถูกต้องบอกว่าอันนั้นผิด พูดความจริงให้ตรงๆอย่างนี้ แต่ไปเข้าใจเองว่าไปข่มคนนั้นดูถูกคนนี้ คุณก็เข้าใจของคุณเองอาตมาไม่ได้มีจิตแบบนั้น อาตมามีแต่ใจสงสารมีแต่ความเห็นใจ ทำอย่างไรจะให้พวกคุณเข้าใจกันหนอ
สมณะฟ้าไท… ดูอาการพ่อครูก็ได้ครับ
พ่อครูว่า… อาการไม่ได้โกรธเคืองถือสาไม่ได้จริงจังอะไรเลย
สมณะฟ้าไท… ถ้าไปอ่านภาษาจะคิดไม่ออกแต่ถ้ามาดูที่แสดงธรรมจะไม่มีอาการโกรธให้เห็นเลย
พ่อครูว่า… เหมือนคนไม่เดียงสา จะไปถือสาก็ไม่ได้ มันทำไปอย่างไม่รู้ความจริง มันจะจับไฟเราก็บอกว่าอย่า พูดแรงๆด้วย มันจะไปคว้า อะไรที่ทำผิดไปให้แก่ตัวเองเราก็พยายามป้องกันจะช่วยก็ยาก
สมณะฟ้าไท… พระพุทธเจ้าบอกว่าเหมือนเด็กกำลังกลืนกระเบื้อง
พ่อครูว่า… ต้องรีบควักออกจะเจ็บต้องทนเลือดออกก็ต้องยอม ต้องช่วยไม่อย่างนั้นตายกำลังกลืนกระเบื้องเข้าไปก็ตาย พวกนี้ก็เป็นคำจากพระพุทธเจ้าสอนเอาไว้
เพราะฉะนั้นสติปัฏฐาน 4 จึงเป็นเบื้องต้นของโลกุตรธรรม ถ้าเข้าใจคำว่ากายผิด ทุกอย่างผิด เหมือนกับการกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด ต้องเข้าใจให้ถูกก่อน
เมื่อเข้าใจกายแล้ว จะเนื่องไปถึงเวทนา มีสัมผัส ตาสัมผัสรูป หูสัมผัสเสียง จมูกสัมผัสกลิ่น ลิ้นสัมผัสรส ภายนอก โผฏฐัพพะ สัมผัสสระภายนอกเย็นร้อนอ่อนแข็ง ก็จะมีการรับรู้ มีอะไรขึ้นมา เป็นตัวรู้ได้รู้ขึ้นมา เป็นของจริง ถ้าไม่มีผัสสะมันไม่มีของจริง คุณนั่งหลับตาแล้วไม่มีผัสสะ แล้วคุณก็มีความคิดไป มันไม่เป็นความจริง มันเป็นสัมภเวสี มันเป็นจิตฝันเพ้ออยู่ในภพชาติของตนเอง อยู่ในภวังค์ของตนเอง ความจริงมันต้องมี 2 ความจริงมันต้องมีภาวะนอกภาวะใน คำว่ากายเป็นความจริง ต้องมีปัจจุบันธรรมต้องมีภายนอกภายใน ปัจจุบันคือขณะนี้ หลัดๆ มีแสงสว่างครบพร้อม เป็นทิฏฐธรรม
ถ้าไม่ใช่อันนี้เป็นของเพ้อฝันในจิตของเราเองอยู่ในภพของเราเองคนเดียว ไม่เกี่ยวอะไรกับใครเลย มันเป็นความไม่จริง มันจะฝันอะไรก็ได้ นิรมาณกายฝันเฟื่องอะไรเลอะเทอะก็ได้ทั้งนั้น ใครจะเป็นคนตัดสินให้คุณ คุณก็ต้องมาหาผู้ที่รู้จริงมาตัดสินมาช่วยบอกได้ว่าถูกหรือไม่ถูก ควรหรือไม่ควร ก็ต้องมี
ถ้าคุณเป็นผู้รู้แล้ว มันก็ต้องเป็นอันเดียวกับของพุทธเจ้า ตรงกัน และตรงกับสัตบุรุษ ตรงกับอาตมา แต่ที่ไม่ตรงแสดงว่า คุณออกนอกไปแล้ว ไม่ตรงกับอาตมา แล้วไม่รับฟังหาว่าอาตมาผิดคุณถูก ก็ยิ่งไปใหญ่เลย ก็คนถูกมายืนยันอยู่แท้ๆ คุณก็บอกว่าคุณนั่นแหละถูก แล้วคุณก็ไม่รับคนถูก จะพูดอย่างไรหนอ
เพราะฉะนั้นเมื่อไม่เข้าใจกาย ซึ่งต้องมีเวทนาเป็นสัมผัสเป็นปัจจัย ภายนอกเป็นปัจจัยจึงจะเป็นเวทนาแท้ เรียกว่าวิญญาณฐีติ มีจิตวิญญาณร่วมด้วยตั้งอยู่ทางตากระทบรูปก็ดี หูกระทบเสียง เออนี่แหละวิญญาณอยู่ตรงนี้ธาตุรู้อยู่ตรงนี้ องค์ประกอบอื่นของโลกอะไรทั้งหมดก็ใช่แล้วครบอยู่ตรงนี้ ถ้ามีแต่จิตไม่ครบ ถ้ามีแต่ สรีระ มีแต่ตาไม่มีธาตุรู้ไม่มีประสาท มีแต่หูไม่มีถ้าได้ยินไม่มีประสาท หรือมีก็ไม่โคจร มีก็ไม่ออกมา หูมีก็ไม่เปิดออกมา ตามีก็ไม่เปิดออกมา จมูกมีก็ไม่เปิด ลิ้นไม่เปิด โผฏฐัพพะไม่เปิดรับอะไรเลยไม่มี 2 ไม่ได้
เพราะฉะนั้นกายต้องมี 2 ถ้าไม่มีกายก็สูญไปเลย ถ้ามีกายต้องมี 2 กาย ไม่เป็น 1
ในพจนานุกรมบาลียังแปลว่า กาย คือ องค์ประชุม คือฝูง คือกลุ่ม คือหมู่ คือพวก เรียกว่า องค์ประชุมของเจตสิก แต่ขนาดนั้น บาลีเรียน เปรียญ 9 มาแท้ๆ ยังถือว่ากายเป็น 1 ไปหมดเลย เรียนมานะ ไปยึดเอาผิดๆ เมื่อมีสิ่งที่ถูกมาพูด เขาจะบอกว่าใช่ สำหรับคนเคยเรียนเคยผ่าน คนไม่เคยเรียนไม่เคยผ่านก็จะบอกว่าพูดอะไรวะ เขายึดมั่นถือมั่นว่ากายเป็นเพียงภายนอก เป็นเพียง 1 แต่กายนั้นมี 2 เป็นต้นไป ตั้งแต่ 2 เป็นต้นไป เป็นองค์ประชุม อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีกาย ไม่รู้จักกาย มิจฉาทิฏฐิในคำว่ากาย เวทนาคุณก็ปฏิบัติไม่ได้ เพราะมีสัมผัสจึงเกิดเวทนาตามปฏิจจสมุปบาท มีเวทนาเป็นปัจจัย แล้วก็ศึกษาเวทนา กายแล้วมีเวทนาเป็นปัจจัย มีสัมผัสแล้วจึงได้ศึกษาเวทนาเป็นปัจจัย
ย้อนกลับไปคำว่า กายอีก ผู้ที่ไม่รู้ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่รู้จักกายสังขาร
ผู้ที่เริ่มมีปัญญา มีความรู้สัมมาทิฏฐิขึ้นมา ก็จะเริ่มมีอภิสังขาร ตั้งแต่กายนี่แหละ เป็นอภิสังขาร เป็นสังขารที่ยิ่ง ที่มีปัญญา ที่จัดการมันได้ จัดการอะไร จัดการแยกกิเลสจากสิ่งที่กายนี่แหละ จะทำให้เกิดกิเลส กระทบสัมผัสแล้วจะเกิดกิเลสสำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส ตั้งแต่หยาบๆเลย กิเลสกามภายนอก หรือปฏิฆะ กาม รักหรือชัง โลภหรือโกรธ คุณจะมีอันนี้ อ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทส คำอธิบายอาตมาคืออุเทส แล้วอ่านอาการของมัน รู้ความต่าง กามกับปฏิฆะต่างกันนะ หรือกามไม่หยาบ ก็รู้ลิงค ความแตกต่าง
แล้วก็จับนิมิตเป็นเครื่องหมายว่ามันมีอาการอย่างไร ให้ชัดๆ อาการคือตัวเคลื่อนอยู่ นิมิตคือตัวตน นิมิต คือ static อาการคือ dynamic เป็นต้น ตัวเคลื่อนกับตัวกระแส ในภาษาไฟฟ้าเขา เป็นต้น
เพราะฉะนั้นต้องเรียนรู้ความเป็น กาย แล้วโยงไปถึง เวทนา จึงจะแยกจิตออก แยกจิตนั้นมีหลักธรรมเรียกว่า เจโตปริยญาณ 16
เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราไม่สามารถเข้าใจ ไม่สามารถรู้ได้ว่า ในเจโตปริยญาณ 16 มีตั้งแต่จิต มีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ จิตมีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ จิตมีโมหะก็ร้ว่าจิตมีโมหะ พยายามให้มีความลด ละจางคลายให้ได้ เรียกว่า เนกขัมมะ เรียกว่าทำออก ทำให้มันลดลง เป็น วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ คือทำให้มันไม่มี ทำลดลงให้ได้
คุณทำได้นิดนึงก็ตามสำเร็จขึ้นมา คุณก็รู้ได้เลยตามตระกูลของคุณ คุณอาจจะเป็นตระกูลศรัทธา เจโต อีกคนเป็น ตระกูลปัญญา พุทธิจริต มันก็จะเกิดผลของตนเองเป็น สังขิตฺตํจิตตํ(สายศรัทธา) หรือ วิกขิตฺตํจิตตํ(สายปัญญา) จิตมันจับยากกระจาย ถ้า สังขิตฺตํจิตตํ มันเป็นก้อนตีแตกได้ยาก
มันติดก็ต้องแยกให้ออก ให้มันกระจาย ให้เห็นชัด มันกระจายต้องจับตัวให้มั่น รู้ให้มั่น จับมั่นคั้นตาย
ให้ได้ หมายความว่าจะต้องมีความรู้ทางจิต แก้ไข จุดบกพร่องของเรา สังขิตฺตํจิตตํ ก็แก้ วิกขิตฺตํจิตตํ ก็แก้
ถ้าคุณแก้ไม่ได้มันก็ยังติดอยู่อย่างเก่า ยังโง่อยู่อย่างเก่า ยังไม่เปลี่ยนแปลงให้เจริญมันไม่เจริญเหมือนเก่า คุณก็เป็น อมหัคตะ คือ ทำให้เจริญ มหะก็ไม่ได้ อัคคะก็ไม่ได้ ทำให้ได้ปริมาณมากกว่า มหะ อัคค ให้มันยิ่งใหญ่ขึ้นก็ไม่ได้ คุณก็ต้องให้มันเป็น มหัคคตะให้ได้ทำให้จิตมันเจริญให้ได้ ปริมาณดีมากขึ้นถูกต้องให้ได้ก็ต้องทำเจโตปริยญาณให้จิตของตนเองเจริญขึ้นมาสู่ มหัคตะให้ได้ คุณทำได้คุณก็จะเจริญขึ้นเรื่อยๆจิตก็เจริญขึ้นเรื่อยๆเรียกว่า สอุตรังจิตตัง จิตเราเจริญแล้วเจริญอีก แต่ยังมีความเจริญยิ่งกว่านี้อีก ยังไม่จบ ยังไม่เป็น อนุตตรังจิตตัง
ขยายความเป็นภาษาง่ายๆภาษาไทยให้ฟัง แปลบาลี เอาสภาวธรรมมากระจายให้ฟัง ทุกคำเจโตปริยญาณ 16 เป็นปรมัตถ์ เป็นเรื่องของโลกุตรธรรมทั้งนั้นเลยนะ
ขยายความให้ฟังคุณเข้าใจ แล้วทำอย่างนี้แหละ คุณจะเป็นอรหันต์แน่นอน เข้าใจดีแล้ว ปฏิบัติให้ถึง
เพราะฉะนั้นถ้าคุณทำได้ อนุตตรังจิตตังคือ ไม่มีจิตดีกว่านี้อีกแล้ว นี่ตรวจจิตทุกอย่างตรวจด้วย สมาหิโตกับอสมาหิโต วิมุติกับอวิมุติ อีก 2 คู่เพื่อความบริบูรณ์เพื่อความสมบูรณ์ของจิตเจโตปริยญาณ 16
ถ้ามันยังไม่ สมาหิโต ยังไม่เป็นจิตตั้งมั่นเรียกว่าสมาธิของพุทธต้องเป็นจิตตัวนี้ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา แต่จะต้องมีปัญญารู้ตั้งแต่ 1. สราคจิต (จิตมีราคะ) 2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ) 3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ) 4. วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ) 5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ) 6. วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ) 7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) . 8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) 9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) 11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) 12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) . 13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) 14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) 15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . . 16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)
สมาธิของพุทธเจ้านั้นคือเอาจิตสะอาดจากอาสวะ เคยอธิบายมาแล้ว ปฏิบัติจิตให้สะอาดจากอาสวะแล้ว ไม่มีอาสวะแล้ว นั่นคือจิตสะอาด มาตกผลึกสั่งสมลง หากเอาจิตเลอะเทอะมาสะกดไว้นั่งสะกดจิตไว้ สั่งสมไว้ มันจะเป็นจิตที่สะสมไว้ทำไมล่ะ ขยะอะไรก็สะสมไว้หมด ให้เอาจิตสะอาดจากกิเลสจริงๆ ถึงขั้นอนุตตรังจิตตัง ไม่มีจิตอื่นดีกว่านี้อีกแล้วเป็นอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา จิตนั้นแหละ สั่งสมลงเป็นจิตที่ตั้งมั่น จิตที่ตกผลึก แข็งแรงเป็น อเนญชา มากยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น
จิต อย่างนี้ต่างหากเป็นจิตสมาธิของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นสมาธินั่งหลับตา ขยะอะไรก็สะสมเข้าไป กดเข้าไป กองเข้าไป ถมเข้าไป สุมเข้าไป แน่นเข้าไป พูดอย่างนี้ชัดเจนไหมเลิกเถอะไปนั่งหลับตามาปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ แล้วจะเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ อย่างนั้นมันเลอะเทอะ ไปได้แต่อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์แล้วเพ้อเจ้อฟุ้งซ่านอะไรกันไป เห็นแล้วก็น่าสงสารจริงๆ เฮ้อ! เมื่อไหร่จะสัมมาทิฏฐิ เมื่อไหร่จะเข้าใจ
อาตมาบอกตัวเองว่า อาตมาเป็นใคร เกิดมาในยุคนี้ปางนี้ เป็นสยังอภิญญา มากอบกู้โลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะโลกุตระธรรมของพุทธเจ้ามันเสื่อมไปหมดแล้วตามหลักใน อาณิสูตร หรือกลองอานะที่ผิดเพี้ยนไปแล้ว แต่คนไปยึดกลองอันที่มันเป็นของเทียมของเก๊ ให้เลิก มาเอากลองอานกะ พระพุทธเจ้าของแท้ดั้งเดิมที่อาตมาเอามานำเสนอนี้ อันนั้นมันเป็นของปลอม ยืนยันอย่างนี้แหละ
ถ้าคุณไม่เปลี่ยนแปลง หมดหวัง ไอ้หวังตายแน่ ตายแน่ไอ้หวัง อาการน่าเป็นห่วง ไม่รอด ไม่รอดๆ ใครๆ เขาก็เตือน ไม่มีใครเตือนมากเท่ากับอาตมา อาตมานี่แหละเตือนมาก จริงๆนะ
จิตในจิต อธิบาย เจโตปริยญาณ 16 ถ้าคุณไม่รู้จิตเจตสิกต่างๆ ในเจโตปริยญาณ 16 คุณก็ไม่มีแผนที่ ไม่มีทิศทาง คุณก็ไม่มีอะไรที่จะไปทำให้เป็นขั้นตอน เป็นลำดับ คุณก็ทำอย่างเละเทะปนเป ได้หัวได้หางได้กลางอะไรก็ไม่รู้ สับสนปนเปไปหมด ไปเอาหาง บอกว่าหัวสับยัง สับหัวอีก แล้วสับกลางหรือยัง สับหางอีก มันไม่จบไม่เป็นลำดับมันไม่ได้อะไร
อาตมาไม่ได้ไปดูถูกดูแคลนพวกคุณ แต่มันน่าสงสาร เห็นใจเข้าใจ ผู้ที่สอนมันไม่ถูกไม่มีผู้สอนถูกมาเก่า พาผิดออกไปไกล ก็เลยดึงกลับคืนมาเท่านั้น ที่พูดนี้ไม่ได้โขกสับ ไม่ได้ดูถูกดูแคลน อะไร นะ พูดบอกว่า คุณยังไม่ประสีประสา เอาชัดๆ ก็ยังโง่อยู่ มันไม่ฉลาดพอที่จะมาฟังธรรมพระพุทธเจ้าที่ถูกนี้ มาฟังบ้างสิ ตั้งใจดีๆ ฟังดีๆด้วยดีจะเกิดปัญญา ถ้าฟังแบบเพ่งโทษ ไม่ได้หรอกปัญญา เพราะฉะนั้นใครที่เขียนแย้งมาใน sms ไม่ได้ปัญญาหรอก มีแต่จะหาข้อแย้งวนหัวไปหาหางเจ็ดศูนย์อยู่อย่างนั้นแหละ สับสนอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะไม่ตั้งใจฟังด้วยดี คือเพ่งโทษ ถ้าไม่หยุดเพ่งโทษไม่ฟังด้วยดี ไม่ได้ เพราะธรรมะพุทธเจ้าละเอียดลึกซึ้งนะ มันต้องตั้งใจดีๆจริงๆไม่อย่างนั้นไม่ได้
กาย เวทนา จิต ขยายจิตให้ฟังแล้ว โลกียธรรมกับโลกุตรธรรมก็ขยายพอสมควร เมื่อเข้าใจแล้วทำตามสูตรเจโตปริยญาณ 16 ได้ คุณก็มาทำเวทนาเป็นตัวปฏิบัติแท้ คุณต้องมีความรู้เจโตปริยญาณ เป็นแผนที่เป็นหลักคร่าวๆ แม้จะจำพยัญชนะไม่ได้ แต่คุณก็คงพอเข้าใจ ว่าต้องมีราคะ โทสะ โมหะ มันมีหรือมันไม่มี เริ่มเข้าท่า ทำได้เป็นคู่แรก เป็นคู่ที่ 2 สูงขึ้น คู่ที่ 3 สูงขึ้นไปอีก แล้วคู่ที่ 3 ก็ตรวจสอบว่า เป็นความตั้งมั่นหรือความหลุดพ้น สมาหิตะหรือวิมุติ นี่ สรุปเป็นภาษาไทยง่ายๆในเจโตปริยญาณให้ฟังสั้นๆ
เมื่อคุณมีหลักแล้ว คุณก็มาดูเวทนาในเวทนา เวทนาต้องมีกาย ไม่มีกาย ไม่มีผัสสะ ไม่มีฐานที่ตั้ง ในพระไตรปิฎก พระสูตรแรก พรหมชาลสูตร ไม่มีผัสสะ ไม่มีเวทนา ไม่เป็นฐานะที่จะปฏิบัติได้ เวทนาต้องมีผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย คุณจะต้องเรียนรู้ด้วยรูป 28
สิ่งที่ถูกรู้ แยกแยะ 28 คุณอาจจะไม่จำเป็นต้องท่องภาษา แต่ทำ ฟังดีๆแล้วจึงจะเป็นลำดับของมัน เช่น รูป4 ดินน้ำไฟลม นี่เป็นมหาภูตรูป ไม่มีจิตวิญญาณ แต่รูปอีก 24 มีจิตวิญญาณร่วม
เริ่มต้นตั้งแต่ ประสาทตา หู จมูก ลิ้น กาย 5 เรียกว่า ปสาทรูป เมื่อทำการดำเนินไปเรียกว่า โคจรรูป อีก 5
ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกระทบภายนอกทางกาย
ซึ่งทั้ง 5 ตัวนี้ใช้จิตร่วมกันทั้งหมดด้วยกันทั้งนั้น เป็นอันหนึ่ง จิตกับกาย เป็นอันเดียวกัน ก็เลยหัก จิต ออกไป 1 เลยเหลือ 9 รูปเหลือ 9 อันนี้
อธิบายยากนะว่าทำไมมี 5 คู่แล้วเหลือ 9 ไม่อย่างนั้นไม่เป็นรูปที่ 28 มันจะเป็นรูปที่ 29
เพราะมันใจตัวเดียวกัน ใช้ร่วมอยู่ทั้ง 5 กายนอกและในไม่แยกกัน กายต้องมีใจ เพราะกาย ไปร่วมทำกับอีกทั้ง 4 ทวาร มันก็เป็นจิตด้วย กายคือจิต
ทีนี้ก็มาเรียนรู้ภาวะ 2 สำทับแล้วนะ ว่าถ้าตาไม่กระทบรูป หูไม่กระทบเสียงฯ คุณไม่ได้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า เพราะไม่มีจิตร่วมทำงานด้วยเลย ไม่มีกาย ไม่มีคู่ 2 ไม่มีภายนอกภายใน เพราะฉะนั้นไม่มีทางไปปฏิบัติ อธิบายกันถึงป่านนี้แล้ว พวกหลับตาปิดหูอยู่ในภวังค์ก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง ยังไปนั่งทำ เป็นโมฆะบุรุษไปเปล่าๆปลี้ๆ เกิดมาชาติหนึ่งทิ้งเปล่า น่าสงสารน่าเสียดายจริงๆ ใจอยากจะได้นิพพานนะ เยอะแยะทั้งนั้นเลย บางทีบวช เหมือนกับเด็กๆบอกว่าผมจะบวชวันนี้ วันนี้ เหมือนที่ออกคลิปกันมา อยากบวชๆ บางคนอยู่ในเถรสมาคม เป็นอาจารย์ใหญ่บวชตั้งแต่เด็กๆก็มี ตั้งแต่เป็นเณร พออายุ 20 ก็บวชเป็นพระ ก็กลายเป็นพวกหลงทิศหลงทางไป น่าสงสาร มาฟังใหม่ อาตมาไม่ได้ปิดบังตัวเอง เปิดเผยแล้วอาตมาว่าเป็นผู้รู้จริง เป็นธรรมิกราช ที่จะมายืนยันธรรมะนี้ สถาปนาโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าลงไป มันสูญ เสื่อมเป็นกลอง อานกะ บอกแล้ว เอาหลักธรรมพระพุทธเจ้าอ้างอิงทุกข้อ พูดไปนี้
จนกระทั่งสามารถที่จะรู้รูปต่อมา มหาภูตรูป 4 ตัดออกไปแล้วนะ เข้าหา อุปาทายรูป ไล่มาได้ 9 แล้วนะ เสร็จแล้วต้องเรียนรู้ 2 จาก 9 ต้องมาเรียนรู้ 2 ต้องแยกให้ได้ว่ามันไม่เหมือนกัน ถ้า 2 มันต้องต่างกันเสมอ ต่างมาก
ต่างน้อยก็แล้วแต่เรียกว่าอิทธิภาวะ กับ ปุริสภาวะ 2 อย่าง นี่เป็นรูป 2 ภาวะคือของจริงที่ปรากฏ คุณต้องรู้ 2 อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ นี้ของตนเองให้ได้ ในกายของเรา รู้ให้ได้ ถ้าคุณรู้ 2 นี้ไม่ได้ รู้จากอะไร รู้จัก หทยรูป
หทยรูปอยู่ไหน พวกที่เรียนอภิธรรมก็บอกว่า อยู่ที่หัวใจห้องที่ 4 มีน้ำใสสีน้ำเงิน จิตวิญญาณอยู่ในห้องนั้น ทำไมมีอาจารย์ไหนไม่รู้ไม่เข้าใจอธิบายอย่างนั้น
หทยรูป ไม่มีที่ตั้งไม่มีที่อยู่ ต้องประกอบไปด้วยผัสสะเป็นปัจจัย สัมผัสที่ไหน ตาคุณสัมผัสที่นั่น นั่นหทยรูป รู้ หูสัมผัสเสียงที่ไหนนั่นคือ หทยรูปที่คุณต้องรู้ หทัย คือตรงนั้นแหละคุณต้องรู้อันนั้น
จากหทยรูปมา ก็ดูความที่มันมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ชีวิตรูป มันมีชีวิตก็หมายความว่ามันมีกำลัง ไม่มีชีวิตก็หมายความว่ามันตายหรือมันนิ่งมันหยุด มันหยุดชั่วคราวก็คือมันตายชั่วคราว และคนปฏิบัติธรรมนี้ไม่ได้ให้หยุด ไม่ได้ให้ตายจริงหรอก ให้มันหยุดชั่วคราว พักชั่วคราวแล้วนึกว่ามันตายหมดชีวิตซึ่งมันไม่ใช่ มันไม่ตายง่ายๆนะ เหมือนพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ไปฆ่าโจรนั้น เอาหอก 100เล่มไปแทง ฆ่ามันให้ตายเช้า ไม่ตายหรือ ไปแทงกลางวันอีก 100 เล่ม ไม่ตายหรือ เย็นแทงอีก 100เล่ม ก็ไม่ตาย เหมือนอย่างนี้เลย หนังเหนียวจริงๆ ก็ดูว่า ชีวิตมันจะตายหรือไม่ให้ตาย จะทำให้มันตายได้อย่างไร ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิไม่มีตาย จะทำให้ชีวิตินทรีย์ กำลังของชีวิต อินทรีย์คือกำลัง มีพลังงานของชีวะ เมื่อผัสสะอยู่ แล้วชีวะนี้ ต้องแยกให้ออก
มันอาศัยที่อยู่ อาหารรูป อาศัย อาหารเป็นเครื่องอาศัย จึงจะรู้ เช่น
คุณกินอาหาร กวฬิงการาหาร เคี้ยวเอาใส่ปาก มันก็จะเกิดภาวะเวทนา 2
เวทนา 1 เป็นเวทนาแท้ เวทนา 1 เป็นเวทนาเทียม
เวทนาเทียม หมายความว่า คุณตำแจ่วใส่กระเทียม มาเวทนาแท้ ตำแจ่ว มีแต่พริกไม่ต้องใส่กระเทียม ก็เรียก น้ำพริก ไม่ได้เรียกน้ำกระเทียมเมื่อไหร่ หรือคุณเรียกน้ำกระเทียมไม่ใช่ คุณเรียกน้ำพริกเท่านั้นแหละไม่ใช่น้ำกระเทียม อธิบายอย่างนี้เป็นภาษาง่ายๆเข้าใจดีไหม ภาษาเชยๆโลกๆ เหมือนนเล่นๆ แต่ที่จริงมันจริงเข้าไปลึกเลย
แยกเครื่องอาศัยนี้ให้ออก จากอาหารที่คุณกินนี่แหละว่า รส คุณกินมะนาว รสเปรี้ยวคือรสแท้ แต่คนที่ชอบก็บอกว่า อร่อย นั่นปลอม แท้ก็คือรสนั้นๆ ไทยเจ็กแขกฝรั่งมาแตะรสนี้ก็เหมือนกันหมด แตะที่เขาชอบ
เอาภาคอีสานกับภาคกลาง เดี๋ยวนี้ภาคกลางก็เผ็ดไม่ใช่เล่น แต่อีสานนั้นเผ็ดมาก่อนเผ็ดนี้ชอบ ภาคกลางไม่ค่อยไหว
น้ำพริกของภาคอีสานไม่ค่อยมีหรอกน้ำตาล ตำน้ำพริกของภาคกลางใส่น้ำตาล อาตมาไปกรุงเทพฯใหม่ๆ น้ำพริกเขาใส่น้ำตาลก็เลยงง มันใส่น้ำตาลมีรสหวานด้วย ตลกตายเลย อีสานไม่มีหรอก น้ำพริกก็มีเค็ม อย่างเก่งก็ใส่เปรี้ยว เท่านั้นแหละ น้ำพริกก็คือ เผ็ด เค็มเปรี้ยว แล้วเอาหวานไปใส่น้ำพริก ไปภาคกลางนี้มันหวานด้วยแฮะ ก็แล้วแต่จะปรุงแต่ง
ก็นั่นแหละมันผสมความเก๊ พลิกแพลง เราก็เอาออก ก็เอาของแท้ให้เป็นหนึ่ง ๆๆ เวทนาก็เป็นหนึ่ง อาหารก็เป็นหนึ่ง
มีรูปอีกรูปหนึ่งคือ ปริเฉทรูป คือรูปว่างๆ ปริเฉท เป็นกรอบ เป็นวง เป็นความจำกัด ว่าง บอกกำหนดส่วนให้ว่า คุณว่าง หมายความอย่างไร หมายความว่าจิตของคุณมันไม่ได้ติด ได้ยึด แม้รสจริง ไอ้รสเก๊ เอาออกก่อนเลย แม้รสจริงก็ไม่ได้ติดไม่ได้ยึด ปริเฉทรูป รูปที่ว่าง จากการติดยึดหมดเลย เป็นแต่เพียงสิ่งที่สัมผัสกัน ก็รู้ จบในตัว ไม่ไปยึดติดว่าเป็นเราเป็นของเรา หรือจะไปติดที่ว่า ไอ้นี่อร่อย ต้องไปด้วยกันนะจ๊ะ ไอ้นี่ไม่อร่อย อย่ามาใกล้กันนะจ๊ะ ไม่ใช่ ไม่มี ปริเฉทรูป ว่าง กลาง รู้ความจริงตามความเป็นจริง แตะรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็รู้ตามจริงนั้น แล้วจิตก็ให้ว่างให้ได้ ว่าง จากอะไรของคุณ อันไหนก็ต้องไม่ให้มีอันนั้น
คุณรู้ความจริงตามความเป็นจริง แล้วก็แตะสัมผัสแล้วก็จบ แล้วก็วาง อย่าไปยึดถือเป็นเราเป็นของเราแล้วก็เกิดความชอบความชังเข้าไปอีก ตายๆๆ อีกกี่ชาติ
เพราะฉะนั้นถ้าปริเฉทรูป คุณรู้แล้วก็ทำให้เป็นอากาศธาตุ ให้ว่าง รู้ความจริงไม่ใช่ตาบอดหูหนวก รู้ว่า เค็มเปรี้ยวหวานมันมี เห็นรูปมันมี เสียงก็มี แต่เราเป็น อนุปคัมมะ มันมี ไม่มี แม้ที่สุด ไม่มีเราก็ไม่ยึดไม่ติดทั้ง 2 ข้าง แต่ในโลกนี้มันมีกับไม่มี แต่เราทำให้มีได้แล้วเราก็ไม่ติด
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในธรรมะข้อที่มีและไม่มี ก็ทำได้ทั้ง 2 อย่าง สุดท้ายเราก็ทำให้ไม่มี แล้วก็ต้องมี
วิญญัติรูป วิการรูป
วิการรูป 5 รวมวิญญัติ 2 ด้วย คือ กายวิญญัติ วจีวิญญัติ เป็นสิ่งที่เอามาชี้แจงได้ทางกาย เอามาชี้แจงได้ทางวจี มีเอามาชี้แจงได้ เรียกว่าวิญญัติ เอามาอธิบายชี้แจงได้
เสร็จแล้ว วิการรูปอีก 3 คือ ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา เรียกว่า สรุปจบหมดเลย ให้รู้อย่างเบาที่สุด อย่างมุทุตา แล้วใช้งานด้วยคือ กัมมัญญตา
คุณเข้าใจ วิการรูป 5 คุณก็ยืนอยู่กับความเป็นจริงว่า คุณจะต้องมีความรู้ที่จะต้องทำทุกอย่างให้มันเบา อย่าให้หนัก อย่าใหัจัด ถ้าไม่งั้น มันจะไปติดไปยึดง่าย ทำเฉพาะมันเป็นเรื่องของการกระทำ กัมมัญญา สักแต่ว่ากระทำด้วยปัญญาควบคุม
2 อย่างนี้แหละ ทำลหุตา ทำกัมมัญญาให้ดี โดยที่จิตตัวเอง มุทุตา ด้วยจิตมีสภาพ 2 มีทั้งปัญญา มีทั้งความจริง และความรู้ ทำให้ได้ง่ายๆ สุดท้ายจบ ลักษณะมันค้างไว้
และสุดท้ายคือจะเกิดหรือไม่เกิด เกิดเรียก อปุจยะ ไม่เกิดเรียกว่าชรตา เสื่อมลง เสื่อมลง จะให้มีหรือไม่มีเรียกว่า สันตติ จะให้เกิด อุปจยะ ไม่ให้เกิดก็ให้มัน ชรตา ถ้าทำยังไม่ได้ก็ อนิจจตา นี่คือลักษณะของรูปสุดท้าย 4 ตัวเป็นเครื่องตัดสิน แล้วคุณก็กำหนดอยู่เหนือมันสามารถที่จะทำให้มัน อุปจยะ ให้เกิด หรือไม่ให้เกิด
ไม่ให้เกิดมันก็เสื่อมถ้าคุณยังไม่บรรลุสูงสุด ไม่ให้เกิดสันตติ ไม่มีอะไรต่อเลย ชรตา ก็ไม่มี ให้เกิดก็ให้เกิดอย่างมีปัญญาเป็นอภินิพพัตติ เสื่อมก็ไม่ต้อง ชรตา ไม่งั้นเสียเวลา
เผื่อว่าคุณไม่เป็นอรหันต์ที่ชัดเจนเลย โดยไม่ต้องไปติดอยู่ในสุทธาวาส 5 คุณตัดสันตติ ตัดผลั๊วะเลย ไม่มีอะไรโมเมนตัม ชรตาไป เป็น สุทธาวาส 5 ไม่มี
สมณะฟ้าไท… สรุปจบ