650923 วิสัยทัศน์ของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1LKyYBo3bi7k9fLnm3hVRxLnlG76M0mc8GIl4OgCP6CA/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1ATU4Ll3t6E50mmFbTecz6fwCMvIPJN-z/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/u0slXdlUazk
และ https://fb.watch/fJpCcvcntq/
สมณะเดินดิน… วันนี้วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานี เปิดกระทรวงสาธารณสุข แถลงการณ์ว่าตอนนี้เป็นระยะสุดท้ายของโควิด มีคนเสียชีวิตเพราะโควิตจำนวนน้อย คนที่ติดโรคก็อาการไม่รุนแรง เป็นระยะแผ่วปลาย แต่ก็ประมาทไม่ได้ โควิดจะต้องอยู่กับเราไปอีกเป็นปี ไม่เป็นโรครุนแรงแต่ไม่ติดก็จะดีกว่า สิ่งที่จะต้องปฏิบัติคือใส่แมสก์ ขยันล้างมือ รักษาระยะห่าง ในชุมชนของเราก็มีกลุ่มที่เสี่ยง อายุมาก และมีคนยังไม่ได้ฉีดวัคซีนด้วย มีโอกาสเกิดอาการรุนแรงได้ มีการยกเลิกศบค. พรบ.ฉุกเฉิน
วันนี้ถือว่าเป็นวันสุกดิบของเทศกาลกินเจ ของพวกเรานะ ส่วนทั่วไปเขาจะเริ่มวันอาทิตย์ ก็เริ่มเข้าสู่เทศกาลกินเจ ปีนี้พ่อครูแนะให้เกิดแนวคิด การกินเจกับการกินมังสวิรัติเป็นเรื่องเดียวกัน พ่อครูให้เป็นบุญญาวุธหมายเลข 1 ศีลข้อที่ 1 เป็นวิบากที่แรง ทำให้ชีวิตของคนที่ยังกิน ยังฆ่าอยู่ก็เป็นวิบากแรง
พ่อครูว่า… หรือเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้คนอื่นเขาต้องฆ่ากัน
สมณะเดินดิน… พ่อครูยกตัวอย่างว่า เราไม่รู้ว่าสัตว์ตัวนี้อาจจะเป็นพระโพธิสัตว์มาบำเพ็ญก็ได้ สัตว์ตัวนี้จะสามารถพัฒนาตนเองเป็นพระพุทธเจ้าต่อไปได้ก็ไม่รู้ เราจึงพยายามสร้างค่านิยมที่ทำให้สัตว์ไม่ต้องตายเพราะการกินของคน ซึ่ง 99% ที่สัตว์ต้องตายนั้นเกิดจากการกินของคน ที่เป็นโรคตายเองไม่เท่าไหร่ แต่การฆ่ามากินนี่เป็นเหตุหลัก
พวกเราจึงต้องออกไปช่วยกันทำงาน ปักธงเมตตาธรรมค้ำจุนโลก
บุญญาวุธหมายเลข 1 อาหารมังสวิรัติ อาหารเจ
พ่อครูว่า… ก็ต่อไขความประเด็นที่ว่า ทำไมมังสวิรัติ อาตมาเอามาเป็นบุญญาวุธหมายเลข 1 หรือที่อาตมาพูดไปแล้ว มีคนอยากรู้รายละเอียด อาตมาบอกว่า เจก็คือมังสวิรัติมังสวิรัติก็คือเจ อันเดียวกัน
ทำไม เจกับมังฯอันเดียวกัน
มังสวิรัติ แปลว่า ไม่กินเนื้อสัตว์ เจ เขาก็ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่เขาไปแถมทำเท่ห์ ทำโก้ ไม่กินผักอีกบางชนิด เติมเป็นสัญลักษณ์ของคนอยากจะเท่ห์ ให้ประเทือง ให้มันโก้เข้าไปอีกก็เท่านั้นเองไม่มีปัญหาอะไร
ข้อสำคัญคือมังสวิรัติ คือ ลัทธิไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ใช่ลัทธิไม่กินกระเทียม พวกจะทำเท่ห์ก็ให้เขาเท่ห์ไปเถอะ เขาจะเอามากกว่านั้นไม่กินกะเพราไม่กินผักอีตู่ ไม่กินที่มันมีเมนทอลทั้งหลาย ถ้าจะให้เท่ห์ไปอีกก็เติมไปอีก มันมีตั้งเยอะแยะรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอื่นๆอีก ถ้าหากหมดเลยก็ไม่ต้องกินอะไร ทำเท่ห์มากๆ ทุกอย่างมันก็ต้องมีกลิ่นมีรส
_คุณเข่ง…เขาบอกว่า คนจีนสมัยโบราณเวลาสวดมนต์มันจะมีกลิ่นออกมา
พ่อครู… ก็หัดดมไปสิ ตัดกิเลส พวกกลิ่น มันเป็นของกินจะไปรังเกียจอะไรกันนักกันหนาเล่า ก็แล้วแต่จะมีเหตุผลอะไรเยอะแยะ
นั่นคือประเด็นหนึ่งที่ว่ามังสวิรัติกับเจ ทีนี้ทำไมสำคัญเป็นหมายเลข 1
เรื่องของสัตว์กับเรื่องของชีวิต เรื่องของคน มันเนื่องกันต่อกัน ซึ่งอาตมาอธิบายไปมาก แต่ก็เข้าใจได้ยากเพราะมันละเอียด
จิตวิญญาณเป็นธาตุรู้ ที่โง่ที่สุด อวิชชา โง่ตรงไหน โง่ตรงไม่รู้จักอจินไตย เขาโง่จนคิดไม่ออกหรอก หรือแม้บอกแล้วบอกอีก ก็เข้าใจไม่ได้ง่ายๆ เป็นอจินไตย
อจินไตย ตรงกรรมวิบาก ศาสนาเทวนิยมเขาไม่รู้จักกรรมวิบาก ไม่ได้รู้เรื่องกรรมวิบากไม่ได้เรียนรู้เลย ขนาดชาวพุทธเรียนรู้เรื่องกรรมวิบากเรียนปฏิจจสมุปบาท
เพราะอวิชชา จึงมีสังขารปรุงแต่งขึ้นมาเป็น มีสภาพแล้วที่ปรุงแต่งกันรวมกันเป็นขันธ์ 5 เวทนาสัญญาสังขารรวมกันเป็นวิญญาณ เป็นกอง ธาตุรู้กับธาตุไม่รู้รวมกันปรุงแต่งเป็น 2 สภาวะ
ก็ต้องมาแยกวิญญาณเป็น 2 สภาวะคือ นามกับรูป แยกแล้วมันก็มาสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันเป็นอายตนะ ถ้ามันไม่มาสัมผัสเกี่ยวข้องกันอายตนะก็ไม่มีให้คุณศึกษา คุณต้องศึกษาอายตนะ อายตนะมันสนิทกว่าคำว่า สังขารเลย เนียนสนิทกว่าคำว่าสังขาร
ทีนี้ คนจะเกิดอายตนะต้องมีรูปนาม เกิดผัสสะกันภายนอกภายในสัมผัสกัน เป็นภาวะ 2
คำว่า ภาวะสอง ภาษาบาลีว่า เทฺว คือสิ่งที่ต้องเรียนเทวฺ พระพุทธเจ้าให้มาเรียนรู้ที่เวทนา 108 จะได้รู้ตัณหาอุปาทาน เป็นเหตุให้หลงติดอยู่ที่เวทนาติดอะไรแยกสุขทุกข์ที่เป็นเทวเป็น 2 สภาวะ เขาแยกไม่ออก เทวนิยมจึงไม่ได้เรียนสุขทุกข์ เรียนแต่ดีชั่วมันไม่เป็นโลกุตระ เขาจึงจบไม่ได้ มันไม่รู้กรรมวิบาก ไม่จบแม้กระทั่ง เขาเป็นจิตวิญญาณที่ศาสดาของเทวดานิยมก็ต้องวนมาตกนรก มาขึ้นสวรรค์ มาตกต่ำขึ้นสูงอีก ไม่ได้เลิกราเลย
-
ไม่ทำความดีเที่ยง 2. เลิกสภาวะจิตนิยามเป็นดินน้ำไฟลมไปเลยได้ ไม่จบ จบตรงที่ 1. ถ้าเป็นโลกียจะเกิดอีกกี่ชาติก็เป็นคนที่ดี ไม่ทำอีกแล้วบาปทั้งปวงจะทำแต่ดี เป็นหลักประกันของจิตนิยามเลย 2. จิตนิยามสลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย ได้ด้วยจึงเรียกว่า จบ นี่คือศาสนาพุทธที่รู้ที่จบที่จริง
เพราะฉะนั้นเมื่อไม่จบ คุณก็จะมีกรรมวิบาก โพธิสัตว์จะรู้กรรมวิบากดีเป็นสัมภาระวิบากให้ศึกษาไป อีกกี่ภพอีกกี่ชาติจนสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้า ไม่มีอะไรที่จะรู้ยิ่งกว่านี้แล้วในมหาจักรวาล ในมนุษย์ ในสัตว์ทั้งหลายในความเป็นชีวะทั้งอุตุทั้งพีชะ ทั้งจิต ด้วยกรรมด้วยธรรมะ
มันจะหมุนเวียนเกิดอยู่จากธรรมชาติที่คุณจะปฏิบัติด้วยกรรม จะอยู่หรือสลายไปด้วยกรรม นี่คือสูงสุดแห่งสูงสุด
เพราะฉะนั้นเรื่องติดรสเป็นสุขอยู่นี่ ยิ่งใหญ่มากเลยแต่คนไม่รู้ คำว่า รส คำนี้ ไม่ได้หมายความว่า ลิ้น อย่างเดียวนะ รูปก็รส กลิ่นก็รส เสียงก็รส รสทั้งน้้นแหละ เห็นทางตาก็รส สัมผัสทางกาย รส มันเป็นรสชาติ
แล้วไม่รู้จักรสชาติพวกนี้ว่ามันคือ เวทนา อ้างต่อไปอีก จนเรียนรู้ว่าเหตุที่ทำให้โง่เง่าเวียนวน หากเราเป็นอรหันต์แล้วจะมีหลักประกัน จะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ ไม่ใช่ว่าตายไปแล้วไปอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าเป็นของจิตวิญญาณ
มาเรียนรู้อาหารมังสวิรัติ โภชเนมัตตัญญุตานี่แหละจะรู้จักทั้งผัสสะทั้งเจตนา ทั้งวิญญาณ อาหาร 4 แล้วสลายวิญญาณไป ถ้ารู้เป็นวิชชาหมดแล้ว สลายภพสลายชาติจบเลย
มันเป็นการเรียนรู้เรื่องกินอาหารนี่แหละ ฟังอาตมาอธิบายไปเรื่อยๆแล้วจะเกิดความเข้าใจจริงๆ
SMS วันที่ 21-22 กันยายน 2565
_Aeamaua Lee (เอื้อมเอื้อ ลี ) · เทศน์พุทธศาสนาตามภูมิวันที่ 21 ก.ย. 65 ได้ฟังสดพ่อท่านอธิบายอภิธรรมขั้นสูงเลย น้อมนมัสการ
_จรรยา ประเสริฐ · วันนี้ได้คุ้มค่าของตัวเอง เรื่องหทัยรูป ว่ามีชีวิต หรือไม่มีชีวิต ผัสสะ เห็นเวทนาตรงนี้ ให้ไม่มีชีวิต หรือมีชีวิต จับได้ตรงกับสภาวะตัวเอง เรื่องเวทนาแท้ เวทนาเทียม เวทนาเทียมคือรสน้ำพริก อร่อย หรือ ไม่อร่อย เวทนาแท้คือ เผ็ด เปรี้ยว เค็ม หวาน เหมือนกันหมด เวทนามีชีวิต ติดในรส รูปน้ำพริก ไม่มีชีวิต คือไม่ติดในรส ในรูป ของน้ำพริกนั้น ๆ เมื่อก่อนนึกไม่ออกว่าหทัยรูปคืออะไร คือเห็นผัสสะแล้วเกิดอาการเป็นยังไง กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า…พวกเรานี้ อาตมา ภูมิใจที่เปิดเผยธรรมะพุทธเจ้าและพวกเราฟังธรรมะเข้าถึงสภาวะ รู้สภาวะจริงตรง อาตมาสงสารทางเถรสมาคมเขาสอนจนเก่งจบเปรียญ 9 จบดร.ตามตำราเรียนแล้วไม่รู้จักทำให้มันจบ ยิ่งในยุคนี้ทาง อาจาริยวาท คนแต่งตำราเพิ่มเติมอีกไม่รู้ตั้งมากมาย มันไม่จบหรอก แต่ของพระพุทธเจ้าก็มี บางอย่างอาตมาไม่พูดถึงหรอกเพราะมันเฟ้อมันเกิน มันออกนอกรีตไปแล้วเอามาปนเป ก็ไม่รู้กัน ไม่รู้ว่าพวกนี้มันไร้สาระ ยิบย่อยมโนสาเร่ ไม่ควรเอามาปนกับแก่นแท้ของศาสนาพุทธ มันจะยุ่งยาก อันนี้น่าสงสารผู้รู้ทางเถรสมาคม อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ส่วนผู้ไม่รู้ก็ไปนั่งหลับตาอยู่ในป่าโน่น ไปไม่รู้ ไม่อ่านตำราด้วยนะ ให้นั่งอย่างเดียวแล้วรู้เอง ซึ่งบางคนก็ลงบาดาลเคยเป็นพญานาค บางคนก็ฟุ้งไปเป็นพญาครุฑไม่รู้บินไปที่ไหน
_ตุ๊ก อัศวิน · ญาติธรรม@72ขวบ.. ท่านนั้น ซุ๊ดดดดด ย้อด ยอด ยอด!!
ที่ท่านส่งสภาวะธรรมเป็น รหัสธรรม 2-2 / 2-1-0 เป็นที่น่าประทับใจยิ่งนักแล
กราบสาาาธุ…ในธรรมเจ้าค่ะ
เพราะวิปลาสจึงอวดโชว์สิ่งที่ไม่น่าโชว์น่าอวด
_Tarine Charlie (ธารินทร์ ชาร์ลี)· น้อมกราบพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงคะ ดิฉันอยากถามพ่อครูคะ ฉันเห็นศิษย์เก่าสัมมาบางคนเล่นติ๊กตอกและโพสในเฟสบุคเปิดโชว์หน้าอกและแต่งตัวนุ่งห่มน้อยโชว์ของที่ไม่ควรโชว์และแสดงยั่วยวนเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าไม่รู้ธรรมะเลยดิฉันก็ไม่ติดใจหรอกคะ แต่บางคนมาอยู่วัดตั้งแต่เล็กชั้นอนุบาลด้วยซ้ำเขาจะมีวิบากกรรมไหมคะ
พ่อครูว่า…ก็มีสิ เป็นวิบากกรรมของเขา คนเรามีทั้งที่เรียนได้และเรียนไม่ได้ เรียกว่า เวไนยสัตว์และ อเวไนยสัตว์ แม้คนที่จะมีโชคเข้ามาสู่วงศ์อโศก แม้ได้ศึกษามาตั้งแต่เด็กแต่เล็กก็ตาม พูดถึงคำชัดๆก็คือ สันดานของเขา ลึก เขามาไม่ได้ พยายามเท่าไหร่ แต่ก็เป็นเหตุปัจจัย ที่ทำให้เขามาได้บ้าง แต่เขามีโลกียะมากจัดจ้าน ก็ต้องไปจัดจ้าน นี่ก็พูดถึงแค่ เป็นเด็กผู้หญิงอโศก ไปแล้ว ก็ไปทำอย่างนั้น มันก็ของเขา เป็นผู้ที่วิปลาส เห็นสิ่งไม่น่าโชว์เป็นสิ่งที่หน้าโชว์ ก็ไปโชว์นึกว่า น่าโชว์ พวกที่อวดอยู่ ดาราหลายล้าน พวกน่าอาย มันน่าอายทั้งนั้น ก็พูดสามัญธรรมดาเข้าใจใช่มั้ย อาตมาไม่ได้ด่าเขานะ รู้จักอายบ้างสิ เป็นคนเจริญแล้วก็นุ่งผ้ากันทั้งนั้น คนไม่เจริญเท่านั้นถึงไม่นุ่งผ้า เป็นพวกมิลักขะ เป็นผู้เจริญอริยกะ สิ่งที่ควรปิด จะไปเปิดทำไม มันเป็นเรื่องสามัญไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย แค่นี้ก็ไม่รู้ แล้วยังแถม ไปฝืน อวดสิ่งที่ไม่น่าอวด โชว์สิ่งที่ไม่น่าโชว์ มันก็โง่เท่านั้น อวิชชา
_จรรยา ประเสริฐ · ฟังท่านด่วนดี เรื่องอาฆาต พยาบาท เห็นสภาวะตัวเองค่ะ เราไม่ชอบคนนั้น คนนี้ เราคงอาฆาตพยาบาทเขามา พอเจอกัน ไม่ชอบขี้หน้ากันเฉย ๆ โดยไม่มีสาเหตุ หรือถูกจองล้าง จองผลาญ ด้วยวิธีการต่าง ๆ ทางโลก เห็นกันง่าย ๆ คือการอยู่กินฉันสามีภรรยา บางคนมาในรูปเป็นคนดีที่เราทิ้งเขาไม่ได้เลย รับใช้ไปจนตาย บางคนถูกทุบตี แม้กระทั่งถูกฆ่า ก็ยอมเพราะรัก ดิฉันเห็นตัวนี้ชัดเหลือหลาย บางคนมาในรูปพี่น้อง ที่เราต้องช่วยเหลือ ถ้าเรายอมรับวิบากโดยดุษฏี เท่ากับใช้วิบากไป แต่ถ้าเราคิดเคียดแค้นชิงชังซ้อนขึ้นมา ถือว่ายังไม่ล้าง และสร้างวิบากใหม่ ผูกโยงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด วิบากแนบแน่นที่เราไม่รู้เลยคือความรัก ไม่ว่ารัก ลูก หลาน พ่อ แม่ พี่น้อง แล้วแต่วิบากมาในรูปแบบไหน กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า… นี่ก็ เข้าใจเรื่องกรรมวิบากเพิ่มขึ้น จริง เรื่องกรรมวิบากเป็นอจินไตย ที่ศาสนาเทวนิยมไม่รู้ แต่ของศาสนาพุทธนั้นเรียนรู้ ลดเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดวนเวียนไปรับวิบาก แล้วสามารถจบเป็นอรหันต์ได้ จบเลยทุกอย่างเลย จบแม้กระทั่งรู้จักพระเจ้า ทำลายจิตนิยามตัวเองได้เลย ไม่ต้องไปเชื่อพระเจ้าหรอก เป็นของพระเจ้าต้องไปอยู่กับพระเจ้าไม่ต้องเลย พิสูจน์เด็ดขาดเลยว่า มันของเรา จิตวิญญาณนี้ของเรา ไม่ใช่ของพระเจ้า เราจัดการสลายเลิกไปได้เลย อันนี้เป็นสัจจะที่ยิ่งใหญ่ ของเทวนิยมเป็น อเวไนยสัตว์ เขาก็เรียนรู้ได้ยาก แต่ก็มีนะผู้ที่รับวิบากไปเป็นเทวนิยมอยู่ เป็นชาวศาสนาอื่น ก็จะฟังง่าย วันหนึ่งเขาก็จะต้องมา
จากผู้ใช้นามปากกาว่า ..นักลดกิเลส..
กราบนมัสการค่ะพ่อครู…
ลูกเป็นลูกของพ่อครูมาประมาณเกือบ 20 ปี..
ลูกเป็นคนเยอะ เป็นคนพลังเยอะ…สายยึด…รู้ในความถูกความผิด…และเข้าไปจัดการๆๆ…แบกเหนื่อยหนัก…
การลดกิเลสตัวเอง เป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้ลูกนั้นได้มีภาวะแห่งความอยู่ตรงกลาง…ไม่สุดโต่งภาวะอารมณ์ไปข้างใดข้างหนึ่ง…ลูกเหนื่อยเหลือเกิน…ลูกก็สร้างวิบากปากมาไม่น้อย…กับการติดนิสัยผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรมของลูก..จึงจัดการไปทั่วในแวดวงของชีวิต…ในครอบครัว..ในที่ทำงาน…
ลูกฟังพ่อครูเทศน์เรื่อยๆๆมาจนกระทั่งรู้มาตลอดว่า…ที่แท้ ที่เรามองว่าเราเป็นคนดี..ช่วยเหลือสังคมทุกอย่างเนี่ย…ที่แท้เราเป็นคนไม่ดีนะ…เป็นสายยึด..ดุดัน ตรงเกินไป…
และการติดตามเป็นลูกพ่อครูมาตลอด…ทำให้ลูกอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง..และพยายามเรื่อยมา…
จึงตั้งใจที่จะลดกิเลสตัวเอง..ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะพ้นทุกข์เป็นเรื่องๆ…
ตั้งใจพากเพียรลดกิเลสเพื่อที่จะ ได้เป็นคนที่ทำหน้าที่..แต่ไม่แบก..ลูกตั้งใจที่จะทำให้ได้…เพราะลูกเหนื่อยเหลือเกินกับกิเลสของตัวเอง…
วันนี้ลูกตั้งใจเขียนเผื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้างค่ะ…
การปฏิบัติของลูก ลูกทำดังนี้..
ในทุกๆขณะ..ลูกจะปฏิบัติด้วย..วิธีลดกิเลสรอบตัว ในรายละเอียดของตัวเองขัดใจตัวเองทุกกรณี(แต่มีศิลปะในการให้อาหารกิเลสบ้างด้วยนะคะเพื่อความพอดี ลูกจะหลอกล่อให้กิเลสตายใจ แล้วมาตลบหลังกิเลส..จนกิเลสยอม จบกิจเป็นเรื่องๆได้เสมอ เพราะ..ความหยั่งลงที่ลึกแน่นมั่นข้างล่างจิต ทำงานลดกิเลส ในความจำนงหมายอย่างมั่นคง)
การลดกิเลสของตัวเองดังนี้…เช่น ใส่เสื้อตัวที่ไม่ชอบ..กินอาหารที่ไม่ชอบกินอาหารขี้เหร่…โดยกระชากจิตจากการได้ยินเสียง 2 ว่าเดี๋ยวก่อนไว้ก่อน ไม่เอาหรอก..ไม่ใส่หรอก..ไม่กินหรอก…ไม่พูดหรอก…ไม่ทำหรอก…พอได้ยินเสียง2 แล้ว…พลิกจิตปั้ป..ลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ตรงข้ามกับกิเลสสั่ง..ทันที…
ฝึกแบบนี้ได้ผลดียิ่งๆๆๆจนกระทั่งกลายเป็นคนที่..ไม่ยินดีในเสื้อผ้าสวย…และเรื่องราวอื่นๆอีก…แต่ลูกก็ทำให้มันอยู่ตรงกลาง…ฝึกจนใส่ได้ทั้งสวยและไม่สวย..ค่อนข้างอยู่ได้ทั้งชอบและชัง…อัตตาลดลงๆๆๆๆ
จากการลดกิเลสตนเองจากสิ่งรอบตัวมากๆๆ…จนเกิดเป็นพลังในการทำสิ่งนอกตัวได้…เช่น ชมคนที่ไม่ชอบเราได้…ให้สิ่งของคนที่ไม่ชอบเราได้…ยอมและหยุดได้ในคำพูดไม่ดี ที่เราได้ยิน กระทบเราขณะนั้น..ยอมและหยุดนิ่งได้…ยอมได้หลายกรณีอนุโลมปฏิโลมได้(ไม่ง่ายนะ กลืนความเจ็บปวดของกิเลสตัวเอง..อย่างหนักหนาสาหัสหลายปีที่ผ่านมาที่ตั้งใจลดล้างกิเลส)
และใช้ศิลปะในการดำรงชีวิตกับผู้คน อย่างผู้ปิดประตูอบายในการสร้างศัตรู..แต่ใช้ความเย็นเข้าไปสอนเขา ครั้งแล้วครั้งเล่าใช้กรรมกิริยาของเราเป็นตัวสอนโดยไม่ต้องพูด…(อันนี้จำป้ายที่สันติอโศกมา..แล้วเอามาใช้ได้ผลยิ่ง..คือตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคำสอน และคำนี้ สอนกันได้จริงค่ะ…)
ชีวิตประจำวันของลูก..ลูกจะตามดูตามรู้ ในเจโตปริยญาณ 16 ชัดเจนในจรณะ 15 และวิชชา 8 ตรวจตัวเองด้วย โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ การมีสติให้มาก…การสำรวมสังวร ประหารให้มาก..การใช้ความเพียรให้มาก ใช้ธรรมวิจัยให้มาก…ปฏิบัติสัมมามรรคให้มากทุกอย่างเช็คว่า…เราทำดี ทำเต็มอยู่หรือไม่ อย่างยวดยิ่ง…
ทั้งหมดนี้ทำมาจากพลังงานความเยอะของตัวเอง..ที่เคยเอาไปเยอะกับกิเลสจนเหนื่อยๆๆๆ…แต่วันนี้เอามาจิตตะจดจ่อๆๆ ต่อเนื่องกับกิเลสตัวเองค่ะ..
ลูกจะหยิบหัวข้อธรรมทุกอย่างมาดูให้ชัดเจนว่าลูกขาดข้อไหนอยู่หรือไม่….
ปฏิบัติมาได้ประมาณถึงปี 63 มีมรรคผลเรื่อยมา..เพราะโจทย์หนักข้อขึ้น..ยากเลือดตาแทบกระเด็น..บางทีมาหลายโจทย์พร้อมกันแบบกระสุน m 16..ได้ยินเสียงของธรรมชาติบอกว่า..มึงเก่งนักเหรอ.. (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… การปฏิบัติธรรมตามลำดับนั้นยากที่สุด แม้เขาอยู่นอกวัดก็ทำได้
จัดโจทย์มาเป็นชุดๆพร้อมๆกัน…ให้เราดูซิว่าปัญญาที่ สอนสร้างมรรคผลขึ้นมา..จะทันรอบหรือไม่…บอกเลยว่าเกือบตายหลายครั้ง
แต่ความที่ไม่ได้ ไม่ได้ปฏิบัติสายกดข่ม..จึงดึงทุกเรื่องออกมาล้างให้จบ…
ผลจนวันหนึ่ง…เมื่อปี 63 ร้อนรนทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส..เนื่องจากจิตเราตอนนี้เกิดมรรคผล…กำลังจะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อจะสลัดเรือนออก สลัดรุงรังออก…
บอกเลยว่า…ทรมานปางตายแต่ไปไม่ได้ออกเรือนไม่ได้..
เพราะติดดูแลพ่อ…ดูแลลูก..ดูแลลูกน้อง(ลูกน้องผู้มีพระคุณทำงานกับเรามา 30 กว่าปี เราจึงไม่สามารถทอดทิ้งเขาได้..เหลือเวลาอีกแค่ 4 ปีกว่าเท่านั้น. คือลูกของลูกน้องจะเรียนจบในปี 68…เขาขอเราให้ทำงานธุรกิจต่อไปถึงปี 68 ซึ่งเราก็ตกลงกันตามนั้น)
อ้าวแล้วยังไงล่ะ…สภาวะนี้เกิดขึ้นแล้วร้อนดังไฟบรรลัยกัลป์ทุกขณะจิตต้องออกจากเรือน…ลูกก็คิดว่าคงต้องยอมตายคาที่ทำงาน..คาบ้าน…
ลูกคิดว่าเราเสียสละเพื่อผู้อื่น…มันต้องทนได้สิ…จึงยอมฝืนฐานจิตลากมาต่อๆๆ…ล้มลุกคลุกคลานทรมานที่สุดกับการฝืนฐานจิต…ล้มแล้วล้มอีก…ด้วยวิธีหลอกล่อปะเหลาะจิตสารพัด..เพื่อให้ประคับประคองอยู่ได้เหมือนหลอกตัวเอง…แต่ก็ลากจิตมา
จนจิตกลาย มีลักษณะมีชีวิตแต่ไม่มีชีวา…ประคับประคองจิตหลอกล่อตัวเอง..ด้วยเอากิเลสต่างๆเอามายั่วย้อมมอมเมาตัวเอง..ให้อยู่ได้กับโลกียะก่อน..เช่นศึกษาการอบขนมปังต่างๆ..ออกกำลังกายว่ายน้ำให้สดชื่น..สร้างสระว่ายน้ำที่บ้านขึ้นมา..เพื่อหลอกล่อตัวเองให้อยู่บ้าน..อบขนมไปด้วย…
ทำอย่างนี้วันแล้ววันเล่าอยู่หลายเดือนเพื่อหลอกล่อตัวเองให้ทำงานอยู่กับโลกียะ…แต่ก็หลอกไม่ขึ้น…จะเอาดีงามสวยหรูแค่ไหนมาหลอกล่อ..จะไปเที่ยวที่ไหน มาหลอกล่อแค่ไหนก็หลอกไม่ขึ้น… เสมือนจิตวิ่งวนไปชนกำแพงดำ ที่ออกไปไม่ได้…
ต้องกลับมานั่งคุดคู้อยู่กับตัวเองอีกว่า..ฉันจะต้องลองทนต่อไปอีกนิดนะ…
เพื่อทำภารกิจสัมภาระวิบากให้ถึงฝั่ง..โดยไม่สร้างวิบากให้กับพวกเขาเหล่านั้น..ฉันไม่ตัดช่องน้อยแต่พอตัว…ฉันยอมตาย…ฉันเชื่อว่าการลดกิเลสจะช่วยฉันได้อย่างแน่นอน..ฉันปักมั่นอย่างนั้น..
ทุกเช้าที่จิตลืมตาเปิดรับวิถีจิตจะไปจะออกตลอดเวลา..ทรมานเหลือเกิน….ทรมานอยู่ภาวะนี้ประมาณ 2 ปี..
เมื่อผ่านความต่อสู้อันแสนเจ็บปวด..ราวต้นปี 65 ที่ผ่านมา…
เช้าวันหนึ่ง เมื่อลืมตาจิตเปิดรับวิถีขึ้นมา…ได้ยินเสียงดังลั่นว่า….
“อะไรก็ได้ด้ด้”…เสียงในจิตนี้ดังมาก….
ลูกรู้ทันทีว่าเป็นภาวะเลื่อนภพภูมิ…ไปสู่ความ…อะไรก็ได้..อีกขั้นหนึ่ง..
จิตของลูกอิสระจากความต้องการ…อยู่ไหนก็ได้…อะไรก็ได้ทุกอย่าง…(แต่เชื่อว่ายังไม่หมด มันเป็นเพียงรอบหนึ่ง แม้เสียงจะดังก็ตามแต่ลูกก็รู้) ลูกรู้ในทันทีว่าการลดกิเลสและเสียสละเพื่อผู้อื่น..
เราฝืนฐานจิต ที่จะออกเรือนได้จริง…แต่ยากและเจ็บปวดทรมานที่สุดเลยค่ะ
แต่เห็นความที่ต้องเป็นไป ก็ต้องเป็นไป ตามภาวะของจิตอย่างแน่นอน…
จึงเป็นการปฏินิสสัคคะอีกรอบหนึ่งค่ะ…ปฏิบัติด้วยวิธีเดิมไปเรื่อยมาเรื่อยมา…
และวันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่ง…ที่ได้ยินเสียงดังเมื่อจิตเปิดรับวิถีแรกตื่นว่า….”อะไรก็ได้”
แต่เสียงเบา ไม่ได้มีพลังหนักแน่นเหมือนครั้งแรก เพราะจิตค่อนข้างไม่มีความยินดียินร้าย..รู้แต่ว่าสร้างเหตุไปเรื่อยๆ…
ลูกยังมีรายละเอียดต่างๆให้เราต้องเก็บละเอียดอีกมากมายไปตลอดชีวิตค่ะพ่อ…
น้อมกราบปฏิบัติบูชาพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
พ่อครูว่า… ที่อธิบายมานี้อาตมาภาคภูมิใจว่าพวกเราปฏิบัติธรรมแบบลืมตาเป็น รู้ว่ามีกิเลสอย่างไรและปฏิบัติไปตามลำดับ นี่แหละธรรมะของพระพุทธเจ้า อาตมาไม่รู้จะตอกหัวตะปูย้ำซ้ำเท่าไหร่พวกนั่งหลับได้ มันออกนอกรีตเป็น เดียรถีย์
ปฏิบัติธรรมตามที่ฟังอาตมาสอน เอาสภาวะมาเขียนมาพูดอธิบายแก่ผู้อื่นได้ ไม่ใช่ว่า ดับๆๆ นั่งหลับตา กิเลสตายสูญแล้ว แล้วอะไรยังไงก็ไม่รู้ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องจิตเจตสิกต่างๆสารพัด เวทนา 108 มโนปวิจาร 18 ไม่รู้เรื่องเลย อ่านเวทนา สัญญา อ่านรูป เวทนาสัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ที่เป็นนาม 5 ไม่ได้ ไม่ได้ใช้นาม 5 เลย ไปนั่งหลับตาอย่างเดียว กลายเป็นสภาพ รูปแข็งรูปนิ่ง เวทนา สัญญา เจตนา ก็ไม่รู้เรื่องเพราะทำใจในใจเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไปนั่งหลับตา มันผิด ถึงบอกว่าพวกนั่งหลับตา มันน่าสงสาร ไม่รู้จะทำยังไง เตือนแล้วเตือนอีกบอกแล้วบอกอีก
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน… ที่เขียนมาเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม ภาวะพวกนี้ช่วยทุ่นแรงพ่อครูได้มากทีเดียว พวกเราก็ได้ร่วมอนุโมทนาด้วย พ่อครูได้รู้ว่า ไม่ได้สอนไปเปล่า การเขียนเป็นการทบทวนสภาวธรรมก็จะบรรลุธรรมได้ เกิดความชัดเจน
พ่อครูว่า…
_ปีกบุญ… 23 กันยายน 2565
กราบนมัสการค่ะพ่อครูที่เคารพอย่างสูงยิ่ง
เรื่อง อุปาทายรูป 24 เป็นเรื่องที่เข้าใจยากมากค่ะ โดยเฉพาะ หทยรูป ขนาดพ่อครูยังอธิบายยากแล้ว ดิฉันยิ่งยากไปใหญ่ แต่ก็พยายามทำความเข้าใจอย่างยิ่งยวดด้วยปัญญาญาณอันน้อยนิดของดิฉัน
ดิฉันเข้าใจว่า หทยรูป เป็นอุปาทายรูปข้อหนึ่ง จึงไม่ใช่รูปของหัวใจ 4 ห้อง ที่มีเลือดเนื้ออย่างแน่นอน
แต่หมายถึงรูป ลักษณะ ลีลา อาการของจิตใจเป็นสำคัญ เช่น เมื่อตากระทบรูป จิตของเรามีรูปลักษณะของความยินดี พอใจ หรือสุขเวทนาเกิดขึ้น หรือไม่ยินดีไม่พอใจ เกิดทุกขเวทนาขึ้นในจิต
หรือใจของเรามีลักษณะของอิตถีภาวะ หรือ ปุริสภาวะ ใจเรามีความว่างเบา หรือเต็มไปด้วยนิวรณ์ 5 รบกวนอยู่ก็รู้
เรื่องอาหารรูปก็มิใช่รูปของกวฬิงการาหาร หรือคำข้าวอย่างแน่นอน แต่หมายถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดอกุศลธรรม ในจิต เจริญงอกงามขึ้น ตามอวิชชาสูตร
เช่นการไม่สำรวมอินทรีย์เป็นอาหารของทุจริต 3, ทุจริต 3 เป็นอาหารของนิวรณ์ 5,นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของอวิชชา เป็นต้น
ดิฉันเข้าใจเช่นนี้ ผิดหรือถูก พ่อครูกรุณาอธิบายด้วยค่ะ
ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
ปีกบุญ
พ่อครูว่า… ดีมากเลยเขียนสภาวธรรมมา เป็นการตอบข้อสอบมาให้อาตมาได้รู้ว่าใครต่อใครปฏิบัติแล้วได้อะไร ในอวิชชาสูตร
-
การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์
-
การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
-
ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์
-
การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
-
สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
-
ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
-
สุจริต 3 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์
-
สติปัฏฐาน 4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .
-
โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์ (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61)
พ่อครูว่า… ที่ส่งมานี้ถูกต้องดีแล้ว
วิสัยทัศน์ของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์
พ่อครูว่า… มีคนถามอาตมา อยากให้อาตมาอธิบายว่า ในฐานะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณชาวอโศก มีวิสัยทัศน์อย่างไรบ้าง
… ก็ต้องเข้าใจคำว่า วิสัยทัศน์ก่อน มันคืออะไร ผู้รู้บัญญัติศัพท์ไว้
วิสัย กับ ทัศนะ
ทัศนะ คือ ความรู้ความเห็นความเข้าใจ ที่มีวิสัย อย่างนั้น
วิสัย เป็นอย่างไรก็ต้องหมายถึงวิสัยของอาตมา ถามมาในฐานะ ผู้นำทางจิตวิญญาณ
อาตมาจะต้องอธิบายเรื่องของจิตวิญญาณ ที่เรียกเต็มว่า จิตวิญญาณชาวอโศกก็หมายความว่า ชาวอโศกมีวิสัย ที่อาตมามุ่งหมายจะให้มีแล้ว ได้บ้างแล้ว บางคนได้บั้ง สิบตรี บางคนได้ 2 บั้ง สิบโท บางคนได้ 3 บั้งสิบเอก บางคนได้เป็นจ่าเป็นดาบเป็นนายร้อยเลย ก็ได้ไปตามลำดับๆ
ทีนี้ จิตวิญญาณ ที่อาตมาเอามาอธิบายเอามาซ้อนเอามาเปิดเผยให้เรียนรู้แล้วให้ปฏิบัติ จนได้ความจริงของจิตวิญญาณ ได้มากขั้นต้น โสดาบัน ขั้นต่อมาสกิทาฯ ขั้นต่อมาอนาคามี ขั้นตอนมาอรหันต์
ได้ขั้นอรหันต์ถือว่าเต็มแล้ว เพราะฉะนั้นอาตมาก็จะต้อง พามาให้พวกเรา ปฏิบัติให้เกิดความเต็ม คืออรหันต์ นี่คือวิสัยทัศน์ของอาตมา
จะต้องมาทำให้คนอื่น ถ่ายทอดสอนพาปฏิบัติจนเกิดผลแล้วก็ย้ำ ทวนให้รู้ว่าคุณได้แล้วหรือคุณยังไม่ได้ให้ชัดเจน แม้จบแล้วก็บอกแล้วว่า พวกเราสรุปไม่เป็น เพราะว่าอาตมาสอนมาก รู้มาก มันเลยเยอะหน่อย ก็เลยบางคนสรุปไม่เป็น อ่านสภาวะจิตกับเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง แล้วสรุปไม่เป็นว่า จริงๆเราปฏิบัติแล้ว ผัสสะ ในปัจจุบัน
ปัจจุบันมีผัสสะแล้วกิเลสเราไม่มีหรอก แต่สภาวะสัญญาความจำ มันกลับมาย้ำซ้ำซ้อนภาวะใหม่ ในปัจจุบันนี่
สัญญาเก่าที่คุณเคยสัมผัสอย่างนี้ เคยติด เคยยึดอะไรมา แต่ในปัจจุบันนี้ ที่จริงคุณก็ไม่เป็นปัญหา ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่โหยหาอาลัยอาวรณ์ แต่มันเหมือนมี ก็ไม่มีแล้วคุณจะไปมีมันทำไม ปัจจุบันเป็นตัวตัดสินนะ ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ต้องมีความเข้าใจที่ว่าตัวตัดสินคือปัจจุบันไม่ใช่อดีตหรืออนาคต แต่คุณไปงงหลงอดีต ในทิฏฐิ 62 ของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าจึงตรัสกับพระอานนท์ว่า เรื่องสัญญา อดีต ความจำ เป็นเรื่องยากที่จะล้างในที่สุด มันยากจริงๆ
สัญญาณมันมีสภาวะหน้าที่ของมัน 2 อย่างคือ 1 ความจำ 2 กำหนดรู้ สำคัญมั่นหมายในสภาพที่สัมผัสอันนั้นๆๆๆ แล้วเรียนรู้ความจริงอันนั้น ว่ามันคืออะไร ที่จริงมันคืออนัตตาทั้งนั้นมันเป็นสังขารที่ปรุงแต่งกันอยู่เท่านั้น แล้วเราไปยึด ยึดว่า มันมี มันเป็น มันอร่อย มันน่าได้น่ามีน่าเป็น ถ้าเข้าใจแล้วคำว่า น่าได้ น่ามี น่าเป็น คุณก็ไม่ต้องไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น
เมื่อคุณไม่ได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็นแล้ว คุณก็สลัดคืน คุณยังไม่ตาย มันไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น แต่มันก็มีให้เรามาสัมผัส บางทีก็ผลักที่ไม่น่ามี ไม่น่าได้ แล้วดูดไม่มีแล้ว จะไปผลักมันทำไม แล้วมันทำไมถึงจะจบ ก็ต้องไม่ดูดไม่ผลัก กลางเฉยให้ได้
ยากมาก มัชเฌนธรรม หมายถึงการทรงสิ่งที่ทรงไว้ซึ่งความเป็นกลาง ไม่ได้หมายถึงทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทา แปลว่าทางปฏิบัติเพื่อจะให้ถึงความเป็นกลาง แต่ไปปนเปแปล อธิบายโดยไม่เข้าใจสภาวธรรมว่า วิธีปฏิบัติเพื่อไปสู่ความเป็นกลางนั้นคือ ทางสายกลางที่คุณจะต้องเดินกลางๆไปโดยไม่ต้องเรียน กาม ไม่ต้องเรียน อัตตา คุณก็จะเดินไปอีกเรื่อยๆ เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าบอกว่า
ผัวเมียคู่หนึ่งมีลูกน้อยเดินไปในทางไกลทุรกันดาร ไม่รู้ว่าที่ตัวเองเดินคือทางทุรกันดารไม่ได้ใช้ทางสายกลาง เพราะคุณไม่ได้เรียน 2 ข้าง กามกับอัตตา คุณไม่ได้รู้จัก อันตาสองข้างเลย ข้างกามข้างอัตตา แล้วเรียนกามก่อน กามหยาบครบพร้อมข้างนอกข้างใน
จนล้างกามนอกก่อน และเหลือรูปราคะ อรูปราคะ ต่อไป ขณะปฏิบัติล้าง รูปอัตตา อรูปอัตตา คุณก็ยังมีการกระทบสัมผัสอยู่กับตา หู จมูก ลิ้น กายที่เป็น กาม กาย ภายนอกอยู่นะ แต่ข้างนอกมันไม่มีแล้ว คุณอยู่เหนือกิเลสภายนอกแล้ว ไม่ใช่ไปหลับตาหนีมัน ไม่ใช่ ต้องอยู่เหนือ ไม่ใช่ตรัสรู้หนี หลับตานั้นมันหนีออกป่าเขาถ้ำ มันหนี ของพระพุทธเจ้าต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย ประเด็นแค่นี้สัมมาทิฏฐิไม่ได้ ปฏิบัติไม่ถูกก็โมฆะ ไม่มีทางที่จะเรียนรู้อะไรได้
มาเข้าสู่คำถามที่ว่า มีวิสัยทัศน์อย่างไร
คำว่า วิสัย มันเป็นคำที่ลึกของจิตวิญญาณ ที่จะต้องสั่งสม สิ่งที่คุณจะรู้แล้ว คุณเอามาพูดได้อธิบายได้ คือ
-
คุณมีชีวิต คุณต้องอาศัยทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องอาศัยการปฏิบัติ จนกระทั่งเรียนรู้ เลิกละล้าง สิ่งที่มันเป็นกิเลสหรือเป็นสิ่งที่ไม่ควรที่จะต้องเอามาปรุงแต่งร่วมกับจิตไปเรื่อยๆ จนรู้และลดได้บ้าง เป็นนิสัย คุณต้องอาศัยการอยู่การสัมผัสกับคนต่างๆ อย่างน้อยต้องอาศัยผู้รู้ที่สัมมาทิฏฐิเป็นสัตบุรุษ เป็นผู้รู้สัมมาทิฏฐิแท้อธิบาย แล้วก็ปฏิบัติได้ปฏิบัติไปด้วย ท่านจะพาให้ปฏิบัติจนได้ผลแล้วท่านก็จะบอกเป็นต้น
จนได้สั่งสมเป็นนิสัย สูงขึ้นไปอีก สั่งสมจนกระทั่งไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน เป็นวิสัย ไม่เปลี่ยนแปลงในตัวเราแล้ว ได้สั่งสมลงไปเป็นความตั้งมั่น วิสัย ที่ลึกซึ้ง เป็นเอง จนกระทั่งติดในตัวเรา เป็นผู้เป็นเอง มีเอง
คำว่า เป็นผู้เป็นเอง มีเองนี้ ภาษาบาลีท่านเริ่มตั้งแต่คำว่า สยังอภิญญา แล้วก็ อภิภู
สยังอภิญญา เป็นระดับ 7 อภิภู เป็นระดับ 8
เป็นเองที่เรียกว่าเป็นเอง เพราะผู้นี้สั่งสมได้ติดตัวแล้วตายข้ามชาติมาก็ต้องไม่มีครูบาอาจารย์แล้ว มีได้ด้วยตัวเองเรียกว่า สยังอภิญญา อย่างอาตมา เป็น สยังอภิญญา กำลังเข้าหา อภิภู อาตมาก็บอกตั้งแต่ต้นแล้วชาตินี้ไม่มีใครมาเป็นครูบาอาจารย์อาตมา อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ แล้วก็ยืนยันว่าอาตมาไม่ได้หลงเลอะเทอะ อาตมาพาทำจริง ส่วนคนที่ไม่เชื่อจะไปบังคับเขาได้ยังไง เขาไม่มีปัญญาพอที่ว่าอันนี้ถูก อันนี้ใช่ ที่เขายึดถือเลอะเทอะนั้นมันไม่ใช่ เขาไม่มีปัญญาตัดสิน ไม่มีปัญญารู้ได้ ก็เป็นความจริงที่ตัวเขา เขายังไม่มีภูมิจะมารู้อันนี้ เราทำ เราประกาศมา 40-50 ปี มีสภาวะ มีสิ่งจริงปรากฏการณ์จริง มีมนุษย์ มีพฤติกรรม มีวัฒนธรรม มีความเป็นอยู่ มีชีวิตจริง นี่เป็นหมู่กลุ่มเป็นสังคมเป็นชาวอโศกแต่ละชุมชนกระจายกันอยู่ทั่วประเทศในขณะนี้แล้ว เขาก็ไม่แยแส แล้วจะทำอะไรได้ เราบอกความจริงอยู่เขาก็หาว่าอวดตัวอวดตนไปโน่น เรามีของดีจริงๆจะไม่อวดได้อย่างไร ของไม่ดีคุณยังอวดกันเละเทะ เราของดีจริงๆ สุดยอดยิ่งกว่าทองคำ แล้วไม่ให้อวด จะไปอวดขี้หมาทำไม
ทีนี้ ในฐานะ ผู้นำทางจิตวิญญาณชาวอโศก มีวิสัยทัศน์อย่างไร
ก็ต้องแสดงวิสัยของตัวเอง ตามความเห็น ตามทัศนะ หรือมีทิฏฐิ ความเห็นของอาตมาเป็นเช่นนี้ ยืนยันว่านี่เป็นความเห็น เป็นทัศนะของตัวเองที่มั่นใจว่า ถูก แล้วเอามาประกาศลงในปางนี้ ในยุคนี้ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดแล้ว ก็ต้องอาศัยพระโพธิสัตว์ คนที่เป็นไก่ตัวพี่อาตมาก็ประกาศว่าอาตมาเป็นไก่ตัวพี่ ไม่ได้ไปมดเท็จ ไม่ได้นั่งอวดดี ก็พูดความจริง ขยายความจริงสู่ฟัง ก็หาว่าอวดตัวอวดตน คนเพ่งโทษก็เป็นธรรมชาติของเขา ก็ไม่มีปัญหา อาตมาก็ยืนอยู่ในฐานความจริง พูดไปไม่รู้กี่ทีแล้ว ยิ่งแสดงธรรมนี้ไม่มีที่จะเอาสิ่งที่ไม่มีจริงมาพูด แสดงธรรมก็ยิ่งเอาจริงเอาจังในการแสดงธรรม เวลาไม่แสดงธรรมก็เล่นหัวบ้างเล็กน้อยแต่เป็นคนจริง
แล้วอาตมาก็อยู่ในฐานะของผู้ประกาศธรรมมเป็นไก่ตัวพี่ ในแต่ละยุคที่ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ ไก่ตัวพี่ก็ต้องเป็นผู้สืบทอด เป็นผู้นำธรรมะพระพุทธเจ้าไป ตัวเองต้องฝึกฝนความเจริญที่จะงอกงามไพบูลย์ขึ้นไปสู่ความเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ก็เป็นธรรมชาติอย่างนี้ นี่เรียกว่า วิสัยที่อาตมาต้องทำตามทัศนะที่อาตมาเข้าใจ อย่างนี้แหละ
แล้วจิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง ข้อปฏิบัติเรียนรู้ที่จิตวิญญาณให้สมบูรณ์ให้จบ จบถ้วนคืออะไร จบกิจคืออะไร พระอรหันต์ถือว่าจบถ้วน จบกิจ คือรู้จัก จิต เจตสิก รูปนิพพาน รู้จักปฏิจจสมุปบาทจนครบ
เวลาที่เหลือ จะขยายความปฏิจจสมุปบาทตามลำดับ
อวิชชา ไม่รู้จึงเกิดสังขาร สังขารคือการปรุงแต่งอยู่ในจิต คนไม่รู้จักสังขารก็ไม่ต้องเรียนรู้อะไรแล้ว สังขารอะไร สังขารทางกายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร มันปรุงแต่งกันอยู่
แล้วเรียกโดยภาษารวมว่า วิญญาณ ที่มันปรุงแต่งกันอยู่นี้ เป็นรูปเป็นนาม
วิญญาณคืออะไร ก็คือรูปนาม การสังขารนั้นคือผัสสะกระทบกันอยู่ มีอายตนะนั่นแหละคือสังขาร แล้วในสังขารมีอะไร ในสังขารก็มีเวทนา ปรุงแต่งกันอยู่นี้ เจตสิกละเอียดขึ้นไปเรียกมันว่า เวทนาเป็นความรู้สึก เป็นอารมณ์ ก็มีรูปมีนามนั่นแหละ ปรุงแต่งกันอยู่ วิญญาณครบ ขันธ์ 5 นั่นแหละ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั่นแหละ เป็นองค์รวมนั่นแหละ
ก็เรียนรู้ที่เวทนาว่า แล้วเหตุอะไร เวทนามันถึงไม่ดับ เวทนาไม่ดับคืออะไร เพราะมันมีเหตุที่ไม่พาดับ เหตุนั้นคืออะไร ก็คือตัณหา อุปาทาน ตัณหาคือไดนามิก อุปาทานคือสแตติก
สิ่งที่ยึดอยู่คืออุปาทาน ไม่ยอมปล่อย ไม่ฉลาด ไม่รู้ อวิชชา ไม่สามารถรู้ว่าสิ่งที่เรายึดนี้คืออะไร เช่น เทวนิยมยึดสุขเป็นสุขนิยม ชีวิตต้องได้รับสุข ความสุขที่สูงสุดคือพระเจ้า เขาก็เรียนรู้แค่ดีกับชั่ว ไม่ได้เรียนรู้สุขทุกข์เลย
ฟังตรงนี้ให้ชัดนะเทวนิยมไม่รู้สึกทุกข์ ไม่ได้เรียนรู้สุขทุกข์เพราะเป็นโลกุตระ ส่วนโลกียะนั้น เขาดีชั่วดีชั่ว เขาทำดีไม่ทำชั่ว แต่เขางมงายเขาไม่รู้เรื่อง เขาจึงจบกิจของจิตวิญญาณไม่ได้เขาจึงหลงว่าจิตวิญญาณนิรันดร พระเจ้านิรันดร ก็ไม่ผิดของเขา เขาก็ไม่ไปไหน เขาก็อยู่นิรันดรนี่แหละ แล้วสุขทุกข์มันก็ไม่เที่ยง มันก็วนไปวนมา แต่เขาไม่รู้ว่าเขาจะต้องวน เขานึกว่า ชาตินี้เป็นศาสดามีสาวก เขาก็เลยหลงความสุข ก็ได้รับลาภยศสรรเสริญโลกียสุขไปเต็มเหนี่ยวในชาตินี้ แล้วก็เสพสุข ได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เหมือนกับเถรสมาคมที่เสวยสุขเสพ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่ยอมหยุด ออกมาไม่ได้
พระพุทธเจ้าท่านจะมีหมดได้เลยในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เจ้าชายสิทธัตถะ พอรู้แล้วท่านก็ทิ้งออกมาหมดเลยพวกนั้น พวกเถรสมาคมนี้มีลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ขนาดเป็นสมเด็จพระสังฆราชแบกอยู่นั่นแหละ พระพุทธเจ้าท่านยิ่งกว่าสังฆราช ท่านยังไม่แบกเลย ทิ้งเลย นี่ยังหลงอยู่นั่นแหละ เข้าใจชัดไหม
ถ้าเข้าใจแล้วจะไม่เอาหรอก เหมือนอย่างอาตมาจะให้ไปเป็นเจ้าคุณเป็นสังฆราช ไม่เอา นี่แหละ มาสอนสัจจะธรรมโลกุตระอย่างนี้แหละค้านแย้งกับพวกคุณด้วย ก็ไม่กลัว มีอาสโภพอ มีความมั่นใจพอ แกล้วกล้าพอ ที่จะยืนยันพิสูจน์ แม้พวกเราน้อยก็กล้าที่จะยืนยันสู้กับพวกใหญ่ ไม่ได้สู้แบบรบราฆ่าฟันหรอก แต่สู้เพื่อจะยืนยันว่านี่คือของจริงของพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นอาตมามีทัศนะอย่างนี้ จึงทำอย่างนี้เต็มที่ เป็นวิสัย เรียนรู้กรรมวิบาก เรียนรู้วิสัยที่เป็นฌาน
มาสู่ คำสำคัญ คำว่า ฌาน เมื่อกี้นี้ อธิบายไปถึงตัณหา อุปาทานของปฏิจจสมุปบาท เพราะคุณเองดับตัณหาไม่ได้ดับอุปาทานไม่ได้ จิตของคุณ จึงเป็นภพชาติ วนเวียนอยู่ในภพชาติอยู่ นี่คือ ปฏิจจสมุปบาททั้งแถว
เมื่อคุณรู้ คุณก็ดับเหตุและดับชาติดับภพ เพราะว่าดับอุปาทานดับตัณหา เวทนาจึงคือธาตุรู้ ที่รู้เป็นปัจจุบันเท่านั้น ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีเราไม่มีเขา ทั้งมีทั้งไม่มี เป็นผู้เห็นความจริงแล้ว ไม่หลงใหล เพราะเรายังมีชีวิต เรายังมีชีวะ ยังมีธาตุรู้ ที่รู้ความมีความไม่มี แล้วจะทำความไม่มีถึงขั้นเป็น 0 ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ได้แล้ว แต่เมื่อรู้ความมี ต้องรู้สัจจะ ดูตามสัจจะว่าเรายังมีอยู่นะ เรายังไม่ตาย เพราะฉะนั้นเราต้องมีธาตุรู้ที่ครบ แล้วมีอยู่ทำไม อยู่ถ่ายทอดความจริงนี้ให้แก่ผู้อื่นต่อไป เท่านั้นเอง
นี่คือวิสัยทัศน์ของอาตมาในเรื่องของจิตวิญญาณ ก็ต้องทำให้คนเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณนี้จริงๆ จนกระทั่งสามารถ
1.เป็นคนดีไม่ทำชั่วเลย นี่โลกียะสมบูรณ์แล้ว เป็นหลักประกันชีวิตแล้ว อย่างจริงจังเลยนะคุณจะไม่ทำชั่วเลย ชั่วคืออะไรตามสมมติ ก็รู้ตามสังคมเขา แล้วเราก็ไม่ทำชั่วอันนั้น เราทำแต่ดี
-
รู้สุขรู้ทุกข์ที่เป็นโลกุตระ ก็เรียนรู้สุขทุกข์ มันเป็นจอมนักมายาหลอก ปัดโธ่ ไปหลงสุขหลงทุกข์อยู่ได้ เป็นภาวะ 2 เท่านั้นเอง มันหลอกเราอยู่นั่นแหละ จนกระทั่งสามารถ เป็นสิทธัตถะ เป็นผู้มีตัณหาอันสำเร็จแล้ว