660421 เกิดมาต้องรู้จักความเป็นคนกับสังคมจึงไม่เสียชาติเกิดพุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/19e9BijZOHq5NXaYARJiexK3Ov-PLLC7U/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1DAylyX69AoCdzTwHLDuR-k6Dx7PDu9UT/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่
และ https://fb.watch/k2hSlUSXd6/
สมณะเดินดิน… วันนี้วันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เรามีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหิดล มาศึกษาวิถีชีวิตของชาวชุมชนของพวกเราด้วย ยินดีต้อนรับทุกๆคน
อากาศร้อนๆตอนนี้ มีฟ้าอย่างเดียวยังไม่มีฝนร้องเป็นระยะ ช่วยลดอุณหภูมิลงไปได้พอสมควร เมื่อเช้าดูข่าว เขาบอกว่าประเทศไทยมีภัยคุกคามอยู่ 3 เรื่องด้วยกัน
-
ไฟฟ้าแพง ชาวบ้านเดือดร้อนต้องไปเข้าโรงจำนำจ่ายค่าไฟฟ้า เจ้าหน้าที่บอกว่าอากาศร้อนขึ้นทุก 1 องศา ค่าไฟฟ้าก็จะพุ่งตามขึ้นไปด้วย
-
PM 2.5 ตอนนี้ประเทศไทยติดอันดับโลกเลย ที่เชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยว แต่ตอนนี้เป็นเขตฝุ่นละอองติดระดับโลก กทม.เมืองหลวงติดอันดับ 2 ของโลก
-
ดัชนีความร้อน คือความรู้สึกของร่างกาย เทียบกับความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ ก็คือความร้อนที่มนุษย์รู้สึกได้
เล่าให้พอครูฟังพ่อครูบอกว่า มีภัยอันที่ 4 คือภัยจากนักการเมือง ซึ่งไม่รู้จะหนีอย่างไร
มีคำคมคำหนึ่งบอกว่า “ต่อให้ท่านจะมีสติปัญญามากสักเพียงใด แต่หากท่านไม่สนใจการเมืองแล้ว ท่านจะถูกคนโง่ๆขึ้นมาปกครองท่านเอง”
เราลองดูในบ้าน นักการเมืองทำให้ประเทศเราเกิดความแตกแยกรุนแรง แตกแยกไปถึงระดับในมุ้ง ผัวกับเมียก็เลิกพูดกันเพราะคนละสี ตอนหลังก็ค่อยๆกลับคืนมาสู่สภาวะปกติได้ จะเห็นได้ว่า นักการเมืองเป็นตัวสร้างความแตกแยก ทำให้ประเทศชาติหายนะล่มสลายก็ได้
เหมือนอย่างประเทศยูเครน ได้ประธานาธิบดีที่แสดงหนังเป็นตัวตลกมาก่อน เขาก็เลยสู้กับรัสเซียใหญ่เลย สู้แล้วก็บอกว่าจะชนะแล้ว แต่เห็นบ้านเมืองราบเป็นหน้ากลอง ก็มีแต่ความฝันว่าจะชนะแล้ว ไม่รู้เขาคิดว่าเขากำลังแสดงหนังอยู่หรือเปล่า นี่ก็น่าสงสารคนในยูเครนเหมือนกัน ที่ได้ผู้นำที่ไม่ฉลาด
ตอนนี้เราหาเสียงกันก็ดูเหมือนว่านักการเมืองแต่ละคนจะมาทำให้บ้านเมืองเป็นเมืองพระศรีอารย์ภายในปีเดียวนี้แหละ นักการเมืองบางคนหาเสียงบอกว่า จะทำให้คนจนหมดไปจากประเทศไทย ทำคนรวยให้รวยยิ่งขึ้น จะทำคนจนให้รวย จะทำคนรวยให้รวยยิ่งขึ้น
ตอนนี้ใครๆก็เก่งกาจสามารถได้ เพราะคำพูดจะพูดยังไงก็ได้ แต่ความเป็นจริง นักการเมืองเหล่านี้เขาได้ทำอะไรมาให้กับเราบ้าง พ่อครูมองว่า ต่อไปเมืองไทยจะเป็นโรคนักการเมืองขึ้นสมอง นอนละเมอเพ้อฝันว่าจะได้อย่างนั้นอย่างนี้ สุดท้ายก็เลยงอมืองอเท้า ไม่คิดจะทำมาหากิน ซึ่งก็น่ากลัว เพราะถูกนักการเมืองล้างสมอง
ประธานาธิบดียูเครนทุกวันนี้ทำตัวเป็นขอทานระดับโลก ไปขออาวุธ ขอนั่นขอนี่จากประเทศอื่นทำให้ประเทศตกต่ำอย่างมาก พวกนักการเมืองทำให้ประชาชนเป็นคนขี้ขอ
พ่อครูว่า… ขอสุดท้ายเขาจะขอชีวิต ไว้ชีวิตฉันด้วย
เกิดมาเป็นคนต้องรู้จักความเป็นคนและสังคมจึงไม่เสียชาติเกิด
พ่อครูว่า… อาตมาเคยพูดย้ำซ้ำซากมาตลอดว่า
“คนเกิดมาเป็นคนแล้ว แล้วไม่รู้จักความเป็นคน และความเป็นสังคมคน ความเป็นสังคมที่เราจะต้องรู้เขารู้เรา ถ้าเกิดมาไม่รู้ 2 อย่างนี้คือคนอวิชชา”
คุณจะจบด็อกเตอร์ทางแขนงไหนก็แล้วแต่ 100 อย่างเลย ความรู้ทางเทคนิควิชาการแบบไหนก็แล้วแต่ แต่คุณไม่รู้จักความเป็นคนและความเป็นสังคมที่เราอยู่ ที่คนเป็นกัน สังคมหมู่นั้นหมู่นี้เขาเป็นอย่างนี้ คุณเกิดมาชาติหนึ่งเสียชาติเปล่า ได้ความรู้ทางเทคนิคได้ความรู้ทางวิชาการเพื่อมาแลกกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แล้วก็จบชาติไป
ได้มากสุขมากแต่เป็นสุขโลกีย์ สุขเพราะได้ ลาภเยอะ ยศเยอยะ สรรเสริญ และกิเลสก็ติดจิตวิญญาณไป ก็หลงกับสิ่งที่เราเคยได้ ถ้าไม่ได้ก็ทุกข์ พยาบาทจะต้องแย่งให้ได้ๆ ตกลงเกิดมามีชีวิตเป็นคนจมอยู่ในโลกียะแบบนี้ ตายแล้วตายเล่ามีแต่ความมากขึ้นน้อยลงนิดหน่อย ที่จริงก็มีแต่การเติมน้ำหนักความอยากได้โลกีย์ทรัพย์หรือโลกียเวทนา ความรู้สึกสุขความรู้สึกทุกข์
บางคนยุ่งยาก วุ่นวายนี่เขาชอบนะ รุนแรงก็ชอบอย่างนี้เป็นต้นพวกซาดิสม์ ยิ่งหนักเข้าไปเป็นมาโซคิสม์ ตัวเองเจ็บปวดนั่นแหละยิ่งมันยิ่งสุขยิ่งชอบ นั่นแหละคนพวกนี้เกิดมาจะสูญเปล่า ต่อให้คุณไปเรียนรู้วิชาทางเทคนิควิชาการทางโลก จบมาอีกกี่ร้อยวิชา พันวิชาก็ตาม มันก็ใช้ในช่วงชีวิตที่คุณมีชีวิตอยู่แลกได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แล้วคุณก็เสพ เสพติดด้วย ตายไปแล้วก็ได้ความเสพติดรสชาติที่คุณได้เสพโลกียทรัพย์ คุณก็ติดไปอีก
เพราะฉะนั้นชีวิตเกิดมาแต่ละชาติ ถ้าไม่รู้จักโลกุตรธรรม ไม่รู้จักความเป็นคนและจะอยู่กับสังคมอย่างไร จนจบกิจ กตํ กรณียํ นารํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ
คนมันก็มีสังคมศาสตร์อย่างนี้ ซึ่งมีเรื่องหลักๆคือ เศรษฐศาสตร์กับรัฐศาสตร์ 2 กิ่งใหญ่ เศรษฐศาสตร์ก็เสพ รัฐศาสตร์ก็แย่ง เท่านั้นเอง สรุปแล้ว แล้วก็หลงใหลอยู่กับการได้เสพกับการแย่ง ก็อวิชชาไปตลอดแต่ละชาติ ๆ ไม่สิ้นสุด
ฝั่งเทวนิยมที่เป็นศาสนาพระเจ้า ที่คนไทยก็ยังฉลาดน้อย ไปเห็นว่าเป็นประเทศที่เขามีความรู้สูงสุด แล้วก็ไปดีอกดีใจได้ถึงขั้นปริญญาเอกมาจากเมืองนอก แล้วก็เอามาสอนกันแนะนำกัน
ชีวิตของเขาก็จะวนเวียนอยู่อย่างนั้นตลอดไม่จบกิจ ศาสนาพระพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบความจบกิจ อย่างเป็นอรหันต์ก็เป็นผู้จบกิจ จบกิจทุกอย่าง เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์สังคมศาสตร์
แม้จะไม่เป็นทางวิศวกรรมศาสตร์ ก็จบด้วย เพราะว่าเราไม่จำเป็นจะต้องไปเป็น ไม่ได้อยากเป็นหรือเห็นว่าก็อาศัยกันได้ มันก็มีสิ่งที่เรามี อย่างทุกวันนี้อาตมาจะทำธรรมศาสตร์ เป็นธรรมะโลกุตรศาสตร์ อาตมาก็อาศัยอย่างนี้ ชีวิตก็จบกิจ สิ่งที่จะกินจะอยู่อาศัยก็จบแล้ว สบาย กินวันละมื้อ ทำงานแลกกินไปวันๆ เหลือ ถ้าตีค่าตีราคาก็เกินที่กินที่ใช้ที่อาตมาทำงาน ตีราคาตามราคาที่ควรจะเป็นตามสัจจะนะ ไม่ใช่ตีราคาอย่างโลกสมมุติกัน
โลกสมมุติกัน คนที่ไร้ค่าก็ให้ราคากันแพง ซึ่งสับสน มันไม่ใช่สัจจะที่ถูกต้อง คนที่มีราคาค่าตัวแพง อย่างพระพุทธเจ้านี้จะตีราคาคำสอนของท่าน ประโยคละเท่าไหร่ บรรทัดละเท่าไหร่ คำพูดแต่ละครั้งแต่ละคราว ค่าที่ท่านบรรยาย จะให้ครั้งละเท่าไหร่ มันหาค่าบ่มิได้ ผู้ที่มีความรู้อันเป็นโลกุตรธรรมที่รองลงมา ก็เป็นความรู้ที่หาค่าบ่มิได้ เทียบกับค่าแบบโลกๆแล้วเทียบกันไม่ได้
แต่พูดไปแล้วคนก็ยังเห็นค่าทางโลกตีราคากันอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นสังคมที่ไปสนใจในเรื่องราคา ค่าแรงงาน ค่าความรู้อะไรของเขาไป ไม่มาสนใจเรื่องพฤติกรรมจริง เขาก็จะสับสนอยู่อย่างนั้น
เช่น เศรษฐกิจ เขาไปสนใจอะไร เรื่องเศรษฐกิจเขาก็ไปสนใจยอดเงินรวม ที่เรียกว่า รายได้ เรียกกันอย่างเท่ห์ๆว่า GDP ก็ไปแย่งชิงกับตัวเลขอันนี้ ถ้าเอาตัวเลข GDP มาเทียบ ชาวอโศก (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
มีรายได้องค์รวมของภายในกลุ่มอโศกเอง คือ Domestic แล้วก็จาก Product จากผลผลิตของพวกเรา นี่แหละเอาไปขาย ดันขายถูกต่ำกว่าราคาตลาด ดีไม่ดีแจก เพราะฉะนั้นตกลงชาวอโศก GDP นี้สูงหรือต่ำ (โยมว่าต่ำ) แล้วมันอยู่ได้ยังไง
แล้วพวกคุณถือว่าเศรษฐกิจ ของพวกคุณดีหรือไม่ดี ดี อ้าวดียังไงแล้วมันต่ำ เพราะฉะนั้นในความเป็นจริงของคนทั้งกายและจิต กายกรรมของคุณก็ทำจริงอย่างที่ว่า แล้วคุณก็มีจิตที่เป็นวรรณะ 9 คือคลาสสิค คือคนชั้น 1 คนชั้นเอก
คุณมีวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) อยู่อย่างนี้ เลี้ยงดูง่าย เลี้ยงดูยิ่งกว่าไก่ในบ้าน ให้มันจิกหากินเอง ว่างๆก็โปรยเมล็ดข้าวให้มันบ้างสบายๆ หากินเอง ที่จริงปลูกสร้างเองหรือแบ่งกันกินเหลือเฟือ แจกจ่ายข้างนอกได้ด้วย เลี้ยงง่าย
บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) ทำให้พัฒนาเจริญทางความรู้ง่ายแล้วถูกต้องด้วย ทั้งโลกีย์จะให้เจริญเป็น สุโปสะ ยาก แล้วไม่ถูกต้องเพราะว่ากลายเป็นความฉลาดอย่างเฉโก เจริญอย่างโลกีย์ จะสร้างอาวุธแข่งกันไปแย่งรายได้เงินๆทองๆตัวเงินตัวทอง เขาไปแย่งจริงๆ ขออภัยเรียกเป็นตัวเงิน เดี๋ยวจะเข้าใจตัวเงินตัวทองเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง เราไม่ได้แย่งกันเลยพวกเงินๆทองๆ
เขาไม่สนใจในพฤติกรรมจริงของคน เขาทำอะไรมีสาระอะไร ชีวิตอาศัยใช้สอยหรือว่าจะไป ให้เงินๆทองๆหรือแบงค์โน้ต มันคือเศษกระดาษชำระ เป็นแต่เพียงว่าใช้หนี้ได้ตามกฎหมายเท่านั้นเอง มันเป็นกระดาษชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย มันเป็นเศษกระดาษชำระจริงๆ
เพราะฉะนั้นพวกเราไม่สำคัญในแบงค์โน้ตไม่สำคัญในธนบัตร เห็นธนบัตรเป็นเรื่องขี้ผง มีก็ได้ไม่มีก็ได้ มีก็ใช้ได้ไม่ลำบากลำบน ไม่ใช่ใช้ไม่เป็นแต่ใช้เป็น แล้วก็ไม่ได้ไปแย่งไปชิงใคร พอมีสะสมก็รู้ว่าโลกเขาสมมุติเป็นค่าก็เก็บไว้ ไม่ทิ้งไม่ขว้างเท่านั้นเอง
ซึ่งเป็นชีวิตที่ง่าย สุโปสะ เป็นความรู้ที่รู้ฉลาดโลกุตระ ไม่ใช่เป็นความรู้โลกียะที่พัฒนาให้รู้ยากเข้าใจยาก ให้มีฌาน ก็ได้โดยยากได้โดยลำบาก เพราะไม่เข้าใจในคำว่า ฌาน
แต่เข้าใจฌานแบบโลกีย์ที่เรียนกันอยู่ในโลก ฌาน ของพระพุทธเจ้ากับฌานโลกียะ มันคนละโลกเลย ฌาน ของพระพุทธเจ้าเป็น ฌานวิสัย เป็น อจินไตย เป็นเรื่องที่เดาไม่ได้หรอก
ฌาน คือ พลังงานของจิต ที่มีฤทธิ์ มีน้ำหนักถึงขั้น รู้จักอาการของกิเลสในจิต แล้วกำจัดกิเลสลงได้ ด้วยฌาน 1 ,2 ,3 ,4 จบเรียกว่าบุญ บุญคือเพชฌฆาตมือสุดท้ายของฌาน หั่นหัวกิเลสขาดแล้วตายไม่มีฟื้น บุญ
ผู้ที่ทำบุญเสร็จ จบสิ้นอาสวะ คนนั้นก็หมดบุญ พระอรหันต์เป็นคนไม่มีบุญ หมดบุญ เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ
พระอรหันต์แต่ละองค์ ท่านบรรลุเสร็จท่านก็บอกว่า เราจบแล้วเราเป็นคนไม่มีบุญไม่มีบาปแล้ว พระพุทธเจ้าก็เช่นกัน ท่านก็ตรัสของท่าน ว่าท่านจบกิจของท่าน แต่อรหันต์ของท่านคืออรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนพระอรหันต์ธรรมดานั้นมีหลายขั้น ตั้งแต่อรหันต์ขั้นต้น ขั้นอนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ อะไรอย่างนี้เป็นต้นเขียนไว้แล้วมากมาย ซึ่งลึกซึ้งซับซ้อน
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ศึกษาความเป็นคนหรือความเป็นสังคมที่คุณจะเกิดอีกกี่ชาติ ถ้าคุณวิบากไม่ดีก็ไปเวียนวนเป็นสัตว์นรกมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็รู้ได้ยาก จะวนเวียนไปถ้าไม่ได้เรียนรู้อันนี้มันจะวนเวียนนับไม่ถ้วนเลยชีวิต ชีวิตไม่มีจบกิจ
จบกิจ คือ หยุดวนเวียน ชีวิตของอรหันต์ คือ ชีวิตของผู้ที่จะตายแล้วสามารถแยกธาตุจิตนิยามของตนเองออกเป็นอุตุนิยาม เป็นดินน้ำไฟลมไปได้เลย ไม่มาจับตัวกันเป็นจิตนิยามอีก อัตภาพเราก็สูญสิ้น สลายไม่เวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสาร ในภพชาติไหนๆอีกเลย
หรือจะอยู่ก็อยู่อย่าง 1.ไม่มีตกต่ำ ไม่มีทำความชั่ว ไม่สุขไม่ทุกข์ มีแต่เป็น จะว่าจริงๆแล้วมีวิญญาณ แต่ยิ่งกว่าวิญญาณเพราะว่ายิ่งกว่าโรบอท ยิ่งกว่าหุ่นยนต์ ที่ไม่สุขไม่ทุกข์กับโลกนี้ แต่รู้ว่าสิ่งนี้ดีสิ่งไม่ดีไม่ทำจริงๆ ตามสมมุติของแต่ละกลุ่ม ซึ่งไม่เที่ยง สมมุติกันคนละอย่าง ชัดเจนหมด แล้วก็เป็นคนไม่มีโทษไม่มีภัย
ถ้าจะอยู่ก็มีแต่ประโยชน์คุณค่าต่อโลก นี้เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่สอนและให้คนกระทำตนเป็นอย่างนี้ คุณจะอยู่ก็จบอรหันต์ แล้วคุณจะเวียนเกิดเวียนตายอยู่ก็อยู่ไปสิ เพราะมีแต่คุณค่าประโยชน์ให้แก่มวลมนุษยชาติกับโลก ถ้าไม่อยู่จะปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปหมดสิ้น คุณก็หมดอัตภาพ นี่แหละคือจบกิจที่สมบูรณ์แบบของพระพุทธเจ้า
ส่วนวิชาการทางเทคนิค วิชาการความรู้พวกนั้น มันก็คือโลกียะที่คุณจะเอามาไว้สำหรับแลก ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไป 1 ชาติแล้วก็วนเวียนตกนรกขึ้นสวรรค์ ขึ้นสวรรค์ตกนรกไปอย่างนั้นอยู่ตลอดอีกนับชาติไม่ถ้วน คุณก็จะอยู่อย่างนั้น วิบากดีหน่อยได้สวรรค์หน่อย วิบากดีมากหน่อยก็ได้สวรรค์ ซึ่งเป็นของหลอก เป็นของลวงของมายาทั้งนั้น สุขก็เป็นมายา ทุกข์ก็เป็นมายา แล้วก็ไม่พ้นจากมายา มันน่าเสียดายชีวิต
ผู้ที่ได้แล้ว ได้แล้วอย่างพวกเราเป็นอรหันต์ก็ดีค่อยยัง หรือยังไม่เป็นอรหันต์ก็เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ส่วนผู้ที่ไม่เข้ากระแสก็หัวหกก้นขวิด วนเวียนอยู่ตลอด คุณจะไปเรียนรู้วิชาการตรงรอบๆอีกกี่ชาติกี่วิชาเก่งเท่าไหร่ ก็รองรับได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มาบำเรอกิเลสคุณเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่มาทางโลกุตระนี้คือปุถุชน ปุถุ แปลว่ามากแปลว่ามาก แปลว่าหนา แปลว่าใหญ่ แปลว่าโต อะไรใหญ่ มากและโตรู้ไหมก็คือกิเลส ไม่มีสิ้นสุดปุถุชน
ฟังไว้สำหรับท่านผู้ไม่เคยได้ยินที่อาตมาบรรยายเลย หรือได้ยินแล้วก็ยังไม่ชัดฟังให้ชัดๆ ส่วนคนที่นี่ไม่มีปัญหาแล้ว เพราะสมัครใจจะไปเฮือนสุดชีวิตอยู่ที่นี่อยู่แล้ว เฮือนสุดชีวิตคือที่เผา ตายแล้วก็เผากันที่นี่
เพราะว่ามันสบายแล้ว ที่นี่เป็นสังคมชุมชนหมู่กลุ่มที่เป็น มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ที่เป็นกลุ่มชุมชนที่พระพุทธเจ้าสรุปไว้ว่าเป็นกลุ่มชุมชนที่มี สาราณียธรรม 6 อยู่กันอย่าง สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม
ทรัพย์สินผลผลิตได้มาก็เอามารวมกัน แล้วกินใช้ร่วมกัน ก็มารวมกันบริหารทรัพยากรพวกนี้ออกไป กินใช้ในพวกเรา ซึ่งก็สบายแล้วอาศัยใช้กินพอเหลือ เผื่อแผ่แก่ผู้อื่น ด้วยการเกื้อกูลแจกจ่ายหรือขายถูก ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา
สังคมโลกเขาต้องการที่จะจบกิจเศรษฐกิจเหมือนเราเหมือนกัน เรากล่าวว่าจบกิจได้ ก็มันไม่มีปัญหา ในเรื่องของเศรษฐศาสตร์ของพวกเรา ไม่มีปัญหาทางด้านรัฐศาสตร์ในพวกเรา แต่ทางโลกเขายังวุ่นอยู่เลย ยังแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แก้ปัญหาการเมือง รัฐกิจ แล้วก็แก้ปัญหาแก้ไปไม่รู้จบหรอก เขาแก้ปัญหาให้ตายก็ไม่มีจบ
เดี๋ยวจะขยายต่อเรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เพิ่งจะได้ไปข้อ 7 จะมีข้อ 8 ไปถึงข้อ 50 กว่า เขียนต่อไปเรื่อยๆ ถึงข้อ 50 กว่าแล้ว เดี๋ยวค่อยขยาย
แยกรูปแยกนามเป็นแล้วจะไม่เจ็บไม่ปวดใช่หรือไม่
_จาก กิ่งธรรม .. กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพและศรัทธายิ่ง..ลูกได้ฟังเรื่องกายที่พ่อท่านสอนและ สณ.นำมาย่อยแล้วก็เข้าใจค่ะ แต่ก็ยังมีข้อสงสัยอยู่บางกรณีค่ะ
เช่นการแยกจิตออกจากเวทนาที่เจ็บปวดกรณีที่เกิดความทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวด ความเจ็บปวดที่เกิดถือว่าเป็นรูปที่ถูกนามคือใจไปรับรู้…ความเข้าใจนี้ถูกต้องไหมคะ ? (พ่อครูว่า… ถูก)
ถ้าอรหันต์แยกรูปแยกนามได้ ก็แยกความเจ็บปวดออกจากความรู้สึกของใจได้คือไม่เจ็บปวดได้…แบบนี้เข้าใจถูกไหมคะ ?
พ่อครูว่า… ไม่ถูก เพราะพระอรหันต์ไม่ได้ไปเล่นฤทธิ์ ไม่ได้ไปเล่นการสะกด ถ้าอย่างนั้นไปฝึกสะกด ไม่รับรู้ความรู้สึก หรือไม่รับรู้เวทนาแบบสมถะ ทำได้ แต่มันผิดธรรมชาติ
เวทนา ทำหน้าที่ตามธรรมชาติ แต่นี่คุณไปสะกดจิตของคุณ ไม่ให้รับรู้ตามธรรมชาติ คือสามัญของคน ถ้าไปกระทบแบบนี้ ได้รับการกระทบหรือบีบคั้นแบบนี้ เจ็บปวดแบบนี้พอๆกันทุกคน ความจะยึดถือ มากน้อยกว่ากันอาจจะต่างกันบ้างนิดหน่อย แต่ก็แบบนี้ ปกติ หรือสามัญ เหมือนๆกัน แต่นี่มีคนทำให้เป็นคนที่ไม่แตกต่างจากสามัญไป จะเรียกว่า คนพิการ ก็ได้
เพราะฉะนั้นวิชาที่มิจฉาทิฏฐิที่ไปนั่งสะกดจิตแล้วก็ไม่รู้จักเจ็บปวดเลย ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น ไปนั่งสมาธิ มันก็ทับกล้ามเนื้อเส้นประสาท มันปวดเจ็บ เขาก็ทนเอา ดีไม่ดีก็สรีระเสีย ต้องเข้ารักษาโรงหมอ
_สู่แดนธรรม… ส่วนมากคนไทยมักจะเข้าใจผิดว่า พระอรหันต์คือ ผู้ที่มีประสาทด้านชา ซึ่งมันไม่ถูก
พ่อครูว่า… แยกแยะอันนี้ชัดเจนขึ้น นัยยะละเอียดลออพวกนี้ จะค่อยๆศึกษาไปจะได้รู้
สมณะเดินดิน… ความจริงควรจะบอกว่า พระอรหันต์นั้นเจ็บปวดกายแต่ไม่เจ็บปวดจิต
พ่อครูว่า…กาย มันก็เป็นไปตามธรรมดาธรรมชาติเหตุปัจจัยที่เป็นสามัญเหมือนๆกันคล้ายๆกัน ไอ้ที่ ไปทำให้พิการจากคนส่วนใหญ่สามัญเขาเป็น คุณก็พิกลพิการไปจากเขาแล้วไปนับว่าเก่งซึ่งมันไม่ใช่ มันสูงกว่านั้นเป็นโลกุตรจิตหรือโลกุตรธรรม ที่สูงว่า เป็นอย่างนี้ก็คืออย่างนี้ รู้ความจริงตามความเป็นจริง อย่าไปผิดคนพิการอย่าไปอุตริแตกต่างจากส่วนใหญ่ที่เขาเป็นกัน เราก็เป็นอย่างเขาแต่เรายึดมั่นหรือไม่ยึดมั่น
ยึดมั่นมากก็ทุกข์มาก ไม่ยึดมั่นมากก็ทุกข์น้อยลง ไม่ยึดมั่นเลยมันก็เป็นตามสัจจะ มันเป็นอย่างนั้น เรียกมันว่าสุข เรียกมันว่าทุกข์ มันก็กลางๆ
_ถ้าเข้าใจถูกแสดงว่าเป็นอรหันต์แล้วระงับความเจ็บปวดได้ด้วยการแยกรูป(เวทนา) ออกจากนามคือใจได้ใช่ไหมคะ สิ่งที่ทุกคนกลัวก่อนตายคือความเจ็บปวดทรมาน ทำอย่างไรจึงจะแยกความเจ็บปวดทรมานก่อนตายได้โดยไม่เจ็บปวดค่ะ ?
พ่อครูว่า… วันนี้ขอตอบเป้าลึกๆเลย คุณต้องปฏิบัติธรรมให้คุณมีวิบากน้อยลง น้อยลง แล้วคุณจะมีเหตุปัจจัยพวกนี้แล้ว คุณจะตายโดยไม่เจ็บปวด เพราะกรรมวิบากของคุณดี แต่ถ้ากรรมวิบากของคุณมีอย่างไรก็ต้องมีไปตามนั้น ตามวิบากของคุณมันจะต้องมีมากหรือมีน้อยอย่างไรก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นจะไปสะกดไว้ ระงับ ขอผัดหนี้ มันไม่ใช่ความเป็นจริงที่ถูกต้องตาม กาละ เทศะ ฐานะ ของมัน ทุกระยะเวลา ซึ่งไม่ควรทำ ควรจะเผชิญ
_ลูกเองก็กลัวความเจ็บปวดทรมานก่อนตายเช่นกันค่ะ ต้องกราบขออภัยพ่อท่านที่แทรกคำถามไว้หลายคำถามจริง ๆ ค่ะ กราบนมัสการด้วยความเคารพศรัทธายิ่งค่ะ
พ่อครูว่า… ไม่ต้องกลัวหรอก ถ้าคุณมีวิบากก็ต้องเจอ ถ้าคุณไม่มีวิบากมากก็ไม่เจอ ปฏิบัติธรรมให้มันดีเท่านั้นก็พอแล้ว ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องไม่กลัว
กิเลส 1500 ตัณหา 108 มีอะไรบ้าง
_น.ส.จัสพักตร์ …. รบกวนสอบถามค่ะ กิเลส 1500 ตัณหา 108 มีอะไรบ้างคะ ขอบคุณค่ะ
พ่อครูว่า… ไม่รู้ ใครจะนับอย่างไรก็แล้วแต่ อาตมานับได้มากกว่านั้น อาตมาไม่นับด้วยหรอกเพราะอาตมาเห็นมันมากกว่านั้น ทำอวดเก่ง คนอวดเก่งอย่างนี้มีเยอะ อย่าไปเอานิยายอะไรมาก (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… ที่พ่อครูบอกว่า คนเราเกิดมาไม่รู้จักคำว่าคนคือผู้ที่ยังมีอวิชชา แม้จะเรียนมามากมาย อยากจะถามพวกนักศึกษาที่มาใหม่ๆ พวกเธอคิดว่าควายกับคนใครจะโง่หรือฉลาดกว่ากัน ควายเป็นโรคประสาทหรือไม่ ควายเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่ ควายไม่ได้เป็นโรคความดัน ไม่ได้เป็นโรคมะเร็ง
_สู่แดนธรรม… ควายไม่คิดฆ่าตัวตายด้วยครับ
สมณะเดินดิน… ควายนี่เอาเหล้าไปหลอกให้กินก็ไม่กิน
พ่อครูว่า… เอาลูกชิ้นเด้งไปให้กิน มันก็ยังไม่กินเลย มันไม่กินเนื้อสัตว์ควาย มันซื่อสัตย์จะตาย
สมณะเดินดิน… เราเป็นคนน่าจะฉลาดกว่า แต่เพราะเราไม่รู้จักความเป็นคนหรือถูกหลอกไปสารพัด เกิดมาคำว่าคน ไม่รู้จักเลยเพราะถูกหลอกก็เลยไปกับเขาหมด เลยไม่แน่ใจควายกับคนใครจะฉลาดกว่ากัน
_เดชา อำพร..(ฝากไปยัง..กรอบของ “โทษสมบัติ 6ประการ,11เม.ย.66”ด้วยครับ)..
….เห็นด้วย “ทั้ง 6ประการ”เลยครับ….
แต่มี”คำถามเพิ่ม”ว่า.. ถ้าเผอิญมี “นกม.บางท่าน”ที่ท่านพอรู้ว่ามี “โทษสมบัติ?”ดังกล่าว?,มาเยี่ยมเยียน?,เพื่อหา “เรตติ้ง?”ที่ “ราชธานีอโศก”?,และมา “กราบท่าน?”?.. ท่านจะ “พูดกับเขา”หรือ “แนะนำเขา”..ว่าอย่างไร?..(ครับ?)..
…ด้วยความเคารพครับ…
พ่อครูว่า… ตอบว่าไม่รู้ เพราะไม่รู้เขาจะถามอะไร เขามาตอนนั้นถามอะไรก็จะตอบตอนนั้น มันไม่รู้เพราะยังไม่เกิดเหตุ ยังไม่รู้ว่าเขาจะมาอย่างไร คำถามของเขาจะเป็นอย่างไรแล้วเขาจะมาท่าทีไหน มันเยอะนะ
ถ้ามาแบบนี้ คนนี้โหงวเฮ้งอย่างนี้ หน้าตาเป็นอย่างนี้ พอรู้บ้างเราก็ตอบแบบนี้ ก็ต้องมีเหตุปัจจัยประกอบถ้าเราจะตอบคนไหนก็แล้วแต่ คำถามของคุณอาตมาตอบให้ทันทีไม่ได้ ต้องมีเหตุปัจจัยพร้อมก่อนจึงจะตอบได้
SMS วันที่ 19-20 เม.ย. 2566
_สินอโศก : ขอนอบน้อมก้มกราบพ่อครูด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ ลูกตั้งใจจะไปอยู่โฮงปัวเจ้าค่ะ แต่มาคิดอีกที ทุกอย่างยังไม่พร้อม เลยจะอยู่ที่บ้านไปก่อน แล้วเข้า-ออกไปก่อน จนกว่าทุกอย่างจะลงตัวเจ้าค่ะ ไปดูเขาเล่นน้ำโตนตอนกลางวัน กินก๋วยเตี๋ยวที่เฮือนบวร เย็นก็กลับมานอนที่บ้านอะไรประมาณนั้นเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… ก็ทำตามที่ตนเองชอบแต่ละคนชอบ
_อุบล คนโก้ · ขอน้อมกราบนมัสการหลวงปู่ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ ปีนี้ลูกชายรับกลด คุณปู่คุณอา_ป้า_พ่อแม่ยินดีปลื้มปริ่มกับมหาลัยชีวิตของลูกชาย เสร็จพิธี ป้าๆ พ่ออยู่ช่วยงานขายต้นไม้จนจบงาน ป้าบอกสนุกมาก ไม่เคยเจอ แบบนี้ครั้งต่อไปอยากมาอีก บอกอาหารกะแซ่บ กินเข่ากะแซ่บคัก ได้เล่นน้ำทุกวันหลังขายต้นไม้ นวดน้ำโตนค่ะ ป้าประทับใจค่ะ ลูกชายกลับสันติแล้วค่ะ แม่ก็ไปขายของที่ร้านมังลูกแม่ต่อ
_พลังเพ็ญ คำด้วง · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ ตอนนี้ลูกกลับมาเยี่ยมพ่อที่บ้านที่จ.ยโสธรค่ะ ทางหมู่บ้านที่ลูกอยู่ส่วนมากเขาไม่เลือกพรรคลุงตู่ค่ะ เขาเลือกเพื่อไทยค่ะพ่อครู ไม่รู้จะอธิบายยังไงเพราะอธิบายไปเขาก็ไม่ฟังค่ะ ก็เลยต้องทำใจ ให้ไม่ยึดตามที่พ่อครูบอกจะได้ไม่ทุกข์ค่ะอย่างน้อยก็มีเรา ๑ เสียงที่เลือกลุงตู่ค่ะ
…อยากเป็นคนชั้นเอกคนชั้นหนึ่งต้องเป็นคนมีวรรณะ๙ ลูกจะพยายามฝึกตนให้เป็นคนมีวรรณะ ๙ ให้ยิ่งๆขึ้นค่ะ ฟังแล้วประทับใจมากค่ะพ่อครู กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า… ผู้ที่ฟังธรรมะอาตมาเข้าใจ แล้วก็ซาบซึ้ง มันก็เป็นสัจจะ เป็นวิมุติรส ธรรมรสที่เป็นโลกุตระ คนที่ไม่เข้าใจโลกุตรธรรมฟังแล้ว ก็ไม่เป็นรส ไม่เป็นรสเป็นชาติ ไม่เป็นธรรมรสด้วย กระทั่งเป็นวิมุติที่รสมันไม่เกิด มันก็เป็นธรรมชาติธรรมดาจริงๆ
เพราะฉะนั้นคนที่พูดกันอย่างที่พูดนี้ก็เป็นคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีความรู้และมีความเข้าใจและรู้จักความสำคัญในความสำคัญอยู่ตรงกัน ส่วนคนที่ไม่เห็นความสำคัญ ไปเห็นความสำคัญในโลกียะ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เขาก็ไปตื่นเต้นสนใจเห็นความเป็นค่า เห็นสาระอยู่กับสิ่งเหล่าโน้น ส่วนคนที่เห็นว่าสิ่งเหล่าโน้น ค่า หรือว่าความสนใจความที่จะไปกระดี๊กระด๊าด้วยมันลดต่ำลงมา ก็มาทางนี้ก็เป็น 2 ทิศ ทิศทางโลกียะกับโลกุตระ 2 ทิศ มันก็เป็นไปตามสัจจะ อาตมาก็มาเก็บคนที่มาทางโลกุตระนี่แหละ คนที่เป็นโลกียะฟังไม่ติดก็เป็นธรรมชาติของเขา คนไหนที่มาฟังบ้างก็ยังเป็นกุศล ยิ่งฟังแล้วก็ยิ่ง get เลย คนนี้ก็จะได้ต่อไป ก็เป็นธรรมดา
เอาซากศพที่ไม่เน่าที่จิตเขายึดติดไปเผา เขาจะพยาบาทไหม
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ พ่อครูคะ ลูกขอถามว่า คนที่ตายแต่เป็นพีชะ แต่ยังยึดถือร่างเป็นของตนอยู่ หากเราเอาร่างนี้ไปเผาแล้ว จิตเขาจะพยาบาทเพราะยึดอยู่ไหมคะ
…พ่อครูคะในสมัยพุทธกาลมีงานคล้ายๆงานปลุกเสกและงานตลาดอาริยะไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… ถามคนละ กาละ เทศะ ฐานะ ตอบอันนี้ก่อน ไม่มี ยุคโน้น ไม่มีงานปลุกเสกอย่างที่อาตมาพาทำ ยิ่งงานตลาดอาริยะยิ่งไม่มีใหญ่เลยในยุคโน้น
สิกขามาตุกล้าข้ามฝันว่า… อินเดียเขามีโรงทาน นางวิสาขาก็ทำ
พ่อครูว่า… ก็มีนัยยะที่สอดคล้องกันบ้าง แต่องค์ประกอบมันไม่สมบูรณ์ตรงกันทุกๆประเด็น ทุกๆนัยยะ
ทีนี้ที่ถามว่า คนที่ตายแต่เป็นพีชะ ยังยึดถือร่างของตนอยู่ หากเอาร่างไปเผา จิตเขาจะพยาบาทหรือไม่
ถ้าจิตเขายึดว่าเป็นร่างของเขา เขาก็ต้องพยาบาทเพราะไปทำร้ายร่างของเขา เพราะเขาติดยึดว่า เขาจะต้องมีร่าง แล้วเอาร่างของเขาไปทำลายไปเผา เขาก็ต้องพยาบาท นี่ นัยยะของกิเลสต่างๆ มันมากมายก่ายกอง ที่ถามมาก็เป็นนัยยะหนึ่ง เป็นมุมเป็นแง่แต่ละเหลี่ยม แต่ละประเด็นเอามาถาม มันก็เป็นอย่างนั้นได้
คนที่จะไม่ยึดถือร่าง เฉพาะร่างนี้คือสรีระ Body ไม่มีจิตร่วม ถ้ามีจิตร่วมเมื่อไหร่เราเรียกว่า กาย กายะที่ไม่มีจิตร่วมมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ
คนที่เข้าใจกายะ หรือกาย ไม่มีจิตร่วมเลย คนนั้นมิจฉาทิฏฐิตั้งแต่ต้น คนที่มิจฉาทิฏฐิอันนี้คือคนที่ยังไม่พ้น สักกายทิฏฐิ สังโยชน์ข้อที่ 1 คนที่เข้าใจผิดว่ากายะไม่เกี่ยวกับจิตเลยกายะคือBody คือสรีระอย่างเดียว จิตก็แยกไปอีกอย่างหนึ่งไม่เกี่ยวกัน คนเข้าใจอย่างนี้ผิดตั้งแต่ต้น เรียนรู้ปฏิบัติธรรมให้ตายอย่างไรก็ไม่มีทางบรรลุธรรม เพราะกระดุมเม็ดแรกคือ สักกายทิฏฐิ ที่เป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 ไม่พ้น
แล้วคนไทยนี่แหละ ภาษาคำว่า “กาย” มาเป็นภาษาไทยชัดหมดแล้ว ถ้าไปเปิดพจนานุกรมไทย กาย คือร่าง คือสรีระ คือเฉพาะBody ไม่มีจิตร่วม แต่พจนานุกรมบาลีไทยเขายังแปลอยู่ว่า กายคือองค์ประชุมของเจตสิก เวทนา สัญญา สังขาร ก็ยังใช้ได้
แต่ความรู้สึก ขนาดพจนานุกรมบาลีไทยเขายังแปลถูกอยู่ แต่คนไทยเข้าใจว่า กายคือสรีระอย่างเดียว body อย่างนั้นเลย แม้จะเรียนมาแล้วก็เผินมา เมื่อพูดถึงกายก็คืออันนั้นแหละ เพราะถ้าเข้าใจว่ากาย หนึ่งถูกต้องสัมมาทิฏฐิว่าต้องมีภายนอก ต้องมีสรีระให้เชื่อมต่อเป็นอายตนะอยู่กับภายใน ขาดกันไม่ได้ ถ้าขาดกันไม่มีกาย
เพราะฉะนั้นคนที่ตายลง ทิ้ง เหลือแต่ซากศพ ซากศพไม่มีกาย คือซาก ศพคือซากของสรีระ ซากของดินน้ำไฟลม ไม่มีจิตเข้าไปร่วมเลย
ประเด็นนี้ถามว่า คนที่ตาย ยังยึดร่างของตัวเองอยู่ยังไม่ออกไปไหน จิตวิญญาณยังเฝ้าอยู่กับร่าง แล้วร่างก็ไม่เน่า คนนี้โง่ดักดาน อย่างภาพที่เขา insert มา อึ้ง! ล้างป่าช้า เจอศพหลวงพ่อทองไม่เน่า แล้วก็กราบเคารพกันเพราะไม่เน่า
ก็คือซากศพของคนอวิชชา หรือคนมิจฉาทิฏฐิคนหนึ่งที่เรียนผิดจากสัจธรรม ตายแล้วควรจะออกจากร่าง สามัญคนทั่วไปไม่ต้องเป็นนักปฏิบัติธรรมไม่ต้องเรียนรู้มากอะไร ตายแล้วก็ออกจากร่างไปทิ้งซากศพไป ก็ธรรมชาติถูกต้องเป็นธรรมดา แต่นี่รู้มากยากนานเลยกลายเป็นปู่โสมเฝ้าซาก มันก็ยิ่งเสียเวลาช้า แล้วตัวเองก็ยิ่งอวิชชา ไปยึดซากดินน้ำไฟลมว่าเป็นเรา ปัดโธ่เอ้ย.. เนื้อไม่ใช่เรา หนังไม่ใช่เรา พระพุทธเจ้าสอนเท่าไหร่ๆ ก็ยังโง่อยู่ดักดาน อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นความผิดพลาดพวกนี้ ซับซ้อนลึกซึ้งเยอะ อาตมาก็ตอบตามที่ประเด็นถามมา
คนไม่อยากคบคนมีศีลคือคนโง่
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ · คนมีศีล สังเกตดูคนภายนอกไม่อยากคบด้วย เป็นเพราะอะไรครับ
พ่อครูว่า… เป็นเพราะเขาโง่ ไม่อยากคบคนมีศีลเพราะเขาโง่ เขาเห็นว่าไม่เหมือนกับเรา พวกนี้เป็นคนต่างดาว คนอะไรวะไม่ฆ่าสัตว์ ยุงกัดก็ไม่ตบ จะบ้าหรือไง ก็ตบหน่อยเดียวมันก็ตายแล้วยุง
คนอะไรถ้าไปฆ่าสัตว์มากินว่าบาป พระพุทธเจ้าก็สอนเป็นธรรมดาอยู่แล้วว่า อย่าฆ่าสัตว์ ฆ่าสัตว์ผิดศีลข้อที่ 1 ก็บาปแล้ว แม้คุณไม่ฆ่าแต่คนอื่นเขาฆ่ามาให้คุณ คุณก็เกี่ยวเนื่องไม่ได้ขาดกัน เท่ากับคุณเป็นคนว่าจ้างให้เขาฆ่ามา โดยไม่ต้องตกลงกัน คนฆ่าแล้วก็ไปที่ตลาดคุณก็ไปซื้อมาอีกที หรือว่าคนก็ทำอาหารให้คุณมากินอาหารเนื้อสัตว์
เพราะฉะนั้นเข้าใจว่าการกินเนื้อสัตว์นั้นเป็นบาป บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลยใน ชีวกสูตร 5 ข้อ
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
เพราะฉะนั้นคนที่ไปบอกว่าพระพุทธเจ้าท่านฉันเนื้อสัตว์นี้ยังตื้นเขินมาก ในพระไตรปิฎกก็ ก็เรียนจบเปรียญ 9 จบด็อกเตอร์ ทางศาสนา ทางบาลี ทางสันสกฤตอะไรก็แล้วแต่ แต่อ่านคำตรัสของพระพุทธเจ้าไม่แตก ไม่ชัดเจน แล้วไปเบี้ยวมาลีว่า สัญจิตจ ปานัง ชีวิตาโมโรเปตุง สัญจิตจ คือมุ่งหมาย ปานัง คือชีวิต คือ ธาตุวิญญาณของชีวิต ไปทำให้มันตกร่วง
เปตุง คือ ทำให้มันตกร่วง ชีพมันตก ชีวิตมันขาดตกไป ผู้มีเจตนาไปทำให้ชีวิตของสัตว์ตาย
นี่คือผู้ที่มีความเจาะจงทำบาปเต็มรูปแล้ว เขาก็ไปเบี้ยวบาลีว่า เจตนาฆ่าสัตว์เพื่อคนชื่อนี้ คนนี้กินไม่ได้ คนอื่นกินได้หมด เห็นไหมนักเบี้ยบาลี
เจาะจงสู่แดนธรรม สู่แดนธรรมกินไม่ได้นะสัตว์นี้เขาฆ่ามา แต่ท่านที่นั่งอยู่ ท่านดินไท ท่านแสนดินฉันได้ เขาไม่ได้เจาะจงท่าน เก่งไหมนักเบี้ยวบาลี โอ้โห!เก่งชิบหายเลย ชิบหายตัวเองด้วยเพราะตัวเองนั้นบาป เสร็จแล้วก็พาให้คนอื่นชิบหายไปด้วย นี่เป็นสัจจะ
เพราะฉะนั้นอธิบายไป คนเขาเข้าใจอย่างพวกคุณพอรับได้ชัดเจน ไม่ต้องมามีวิบากที่จะไปเกี่ยวเนื่องกับสัตว์ทั้งหลาย เพราะแต่ก่อนเรายังไม่รู้ เราก็มีวิบากแก่กัน เป็นวิบากบาปเป็นหมาไล่เนื้อตามไล่เราอยู่ เพราะฉะนั้นเราหยุดวิบากบาปแล้ว จงสร้างแต่กุศลวิบากไปนำหน้าหมาไล่เนื้อ ก็จะมีสิทธิ์หมาไล่ไม่ทัน แต่ถ้าคุณยังทำต่ออยู่ เดี๋ยวก็หมางาบไปลงนรก ไล่ทัน วิบากบาปของเราไล่เราทัน
อาตมาไม่ได้พูดเล่นนะ พูดจริง คนที่ยังกินเนื้อสัตว์อยู่ วันหนึ่งคุณก็จะตกนรกเพราะกินเนื้อสัตว์ที่มีวิบากบาป มันมากท่วมจนกระทั่งคุณจะต้อง เหตุปัจจัยของคุณที่เป็นวิบากบาปถึงขั้นนรก คุณก็จะตกลงนรก เพราะกินเนื้อสัตว์
ฟังดีๆอาตมาไม่ได้พูดเล่น
สมณะเดินดิน… เขาจะแย้งข้างๆคูๆ บอกว่า เอาไปถวายพระก็อาจจะเป็นบาป แต่ก็ไม่ได้บอกนี่ว่ากินเองจะเป็นบาป (ขนาดถวายพระเป็นการเสียสละก็ยังบาปเป็นอันมาก แล้วเอามากินเองนะเห็นแก่ตัวชัด ๆ จะไม่บาปอย่างไร)
พ่อครูว่า… ฉลาดก็ตามที่คุณฉลาดไป คนเราก็เป็นอย่างนั้นอธิบายเพื่อที่จะให้ตัวเองสมใจ จะโง่หรือฉลาดมันก็เป็นสัจจะ เราอธิบายชัดเจนว่าโง่เป็นอย่างนี้ ฉลาดเป็นอย่างนี้
จริงๆแล้ว คนฉลาดนั้นคือคนที่เลิกละหมดเลย เลิกละสิ่งที่จะเกี่ยวเนื่องเป็นวิบากบาปต่างๆ เข้าใจความหมายของวิบากบาป
ถ้าเรากินพืชไม่มีวิบากบาป ถ้าเรากินสัตว์มีวิบากบาป เพราะฉะนั้นคนเข้าใจเท่านี้ เราก็ไม่ฉลาดมากหรอก เราเข้าใจแล้ว กินสัตว์วิบากบาปมากกว่ากินพืช เราก็มากินแต่พืช แล้วตายไหม ไม่ตาย แล้วเราจะไปมีวิบากบาปไหม ก็ไม่ คนนี้ก็ฉลาด
แต่คนยังกินเนื้อสัตว์อยู่เขาก็ต้องมีวิบากบาป ยิ่งคนตะวันตกกินแต่เนื้อ พืชไม่ค่อยกิน เขาก็ยิ่งมีวิบากบาป เขาไม่รู้เรื่องหรอก
เพราะฉะนั้นคนที่เป็นเทวนิยม คนนับถือพระเจ้า คนที่เป็นศาสนาที่ไม่ได้รู้ละเอียดเหมือนอย่างพระพุทธเจ้าถึงจิตวิญญาณ ถึงวิบากบาปวิบากบุญ ไม่เข้าใจเรื่องกรรมวิบาก เขาก็จะเป็นของเขาอย่างนั้น เขาจะสร้างอาวุธเขาจะฆ่ากัน เขาก็จะแย่งกันเป็นใหญ่อย่างนั้นไปตลอด ไม่จบหรอก
ในโลกขณะนี้มีเมืองไทยที่เข้าใจเรื่องนี้ ดีขึ้น ดีขึ้น จนอาตมาเคยบอกว่า ถ้าพร้อม เมืองไทยจงประกาศความเป็นกลางเลย ใครจะรบกันที่ไหน เราจะเป็นกาชาดกับพลาธิการเท่านั้น ช่วย เราจะไม่รบกับใคร สร้างอาหารการกิน ทำหยูกทำยาไว้รักษา รู้จักวิธีการดูแลรักษาเจ็บป่วยได้ไข้ ซึ่งเป็นทุกข์อันสำคัญ ช่วยคน เท่านั้นก็มีพลังงานหรือว่ามีความสามารถหรือมีความรู้ที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติสูงสุดแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องรู้วิชาการอะไรเก่งกาจมากเกินการ 2 วิชานี้คือเหตุปัจจัย เป็นเหตุปัจจัยของชีวิต ส่วนข้าวกับบ้าน สร้างผ้าสร้างบ้านก็เป็นเหตุปัจจัยหนึ่ง ส่วนข้าวกับยาเราก็มาสร้างอันนี้ ทุกวันนี้มันก็ไม่น่าลำบากลำบนอะไร
ถ้าคุณไม่มีที่อยู่ก็เอาป้ายหาเสียงมามุงๆๆ ก็เป็นบ้านได้แล้ว แล้วเมืองไทยก็ไม่ได้มีธรรมชาติอะไร โฮกฮาก เหมือนกับย่านอื่นๆ เมืองไทยนี้เป็นสุดแดนที่ธรรมชาติที่จะโหดร้ายลมแรง พัดพัง พายุน้ำท่วมหรือว่าแผ่นดินไหวอะไรต่ออะไร ที่เป็นภัยธรรมชาตินั้นน้อยที่สุดแล้ว
_สู่แดนธรรม… ประเทศอื่นเป็นเกราะป้องกันไว้เยอะเลยครับ
พ่อครูว่า… ประเทศอื่นๆเขาหนักกว่าหมดเลยในย่านเรา เพราะฉะนั้นคนจะเกิดในประเทศไทย เรียกว่า เสนาสนะสัปปาย เป็นคนมีกุศล เป็นคนไม่ใช่คนธรรมดาจะมาเกิดเป็นคนไทย นี่อธิบายถึงเชิงวิบาก เพราะฉะนั้นจงดีใจที่ได้เกิดเป็นคนไทยและนับถือศาสนาพุทธ ได้เกิดในย่านนี้เพราะวิบากที่เป็นกุศลของเราจริงๆ
ยิ่งได้เกิดแล้วพบศาสนาพุทธก็ยิ่งเจริญ นอกจากพบศาสนาพุทธแล้วได้ศึกษา ได้เข้าใจโลกุตรธรรมอีก มันก็ยิ่งเจริญยิ่งๆขึ้น
ยิ่งโลกุตรธรรมแล้วปฏิบัติจนบรรลุอรหันต์ก็จบกิจ คุณจะเกิดเป็นคนอีกหรือไม่เกิดเป็นคนอีกก็จบแล้ว คำว่า จบกิจ กตํ กรณียํ นารํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ ไม่ต้องไปทำอย่างอื่นอีกแล้ว
คุณจะอยู่เป็นโพธิสัตว์อย่างอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เขาไม่เข้าใจเขาก็ไม่เชื่อ อาตมาไม่มีปัญหาไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ อาตมาบอกว่าอาตมาพูดความจริง อาตมาบอกความเท็จไม่ได้ เพราะว่ารู้ว่าพูดความเท็จมันบาป อาตมาเป็นอรหันต์แล้วจะไปทำบาปทำไมโง่จะตาย อรหันต์จะทำบาปไหม ไม่
ไม่มี เราพูดเท็จหรือพูดจริงก็ต้องรู้ว่าเราพูดเท็จหรือพูดจริง เพราะฉะนั้นอาตมาจะไม่พูดเท็จ พูดมันเป็นกรรมที่เป็นอันทำหรือเปล่า …เป็น แล้วคุณพูดเท็จ แล้วคุณจะบอกว่าเอายางลบลบนะ เอาลิควิดลบ พูดไปแล้วลบออกหน่อยเราไม่รับ ได้ไหม ไม่ได้ กรรมเป็นอันทำ คุณทำแล้วก็เป็นของคุณ กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก
ทิ้งก็ไม่ได้ ไม่เอาก็ไม่ได้ มันต้องเป็นของคุณ มรดกกรรมคุณทำแล้วต้องเป็นของคุณ ทำดีทำชั่ว ทำหยาบทำละเอียดอะไรก็แล้วแต่
เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงมีกรรมเป็นกำเนิด กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เพราะฉะนั้นคุณจะยังไงคุณก็เพราะกรรมนี่แหละ พาคุณเป็นพาคุณไป กัมมโยนิ แล้วคุณก็พึ่งพาอาศัยกรรมของคุณเอง ไม่มีใครมาบัญชา ไม่มีใครมาสั่ง ไม่มีใครมาบันดาล คุณทำของคุณเองแล้วก็เป็นไปตามกรรมวิบากของคุณเองทั้งนั้น คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าสูงสุดแล้ว
ถ้ารู้แล้วเราก็มาสำคัญที่กรรม เพราะฉะนั้นจบสูงสุดแล้วถ้าใครรู้ kama and time of continuum ไอน์สไตน์รู้ space and time of continuum อาตมารู้ kama and time of continuum ทุกอย่างก็มีแต่ contunuing กับ continuum ของสิ่งที่สังขารสังเคราะห์กันอยู่ในกรรมปัจจุบันนี้ ทุกอย่างก็เป็นความสัมพันธ์ของ กาละและกรรม
ทุกวินาทีก็ไปกับกรรมที่คุณทำ กรรมของคุณจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วตามสมมุติสัจจะที่สุด กรรมของคุณนั้นพ้นดีพ้นชั่ว ทำแต่ดี สัพพปาปัสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) และกรรมนั้น ทำกรรมอย่าง หมดสุขหมดทุกข์ กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)
เพราะฉะนั้นความรู้ที่เรียนรู้สุขทุกข์คือโลกุตระ ความรู้ที่เรียนรู้แค่ดีและชั่วคือโลกียะ ผู้ที่สอนกันบอกว่า มาทำดีอย่าทำชั่ว ก็สอนแค่โลกียะ ตะวันตกเทวนิยมก็สอนแต่ดีชั่ว ไม่ได้สอนเรื่องสุข และทุกข์
แม้แต่พระเจ้าก็เป็นสุขนิยม ไม่ได้พ้นสุขพ้นทุกข์ ไม่ได้มีนิพพาน พระเจ้า ไม่รู้เรื่องสุขไม่เรื่องทุกข์ เพราะไม่ได้รู้จักจิต เจตสิกรูป นิพพาน เพราะฉะนั้นก็จะวนเวียนอยู่กับสุขๆทุกข์ๆ ทุกข์ๆสุขๆ
ไม่รู้เรื่องกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ไม่รู้เรื่อง พอเบื่อสิ่งที่พอใจซึ่งไม่ตรงกัน อะไรพอใจตัวเองได้สมใจ ได้สัมผัสอันก็เป็นสุขก็เท่านั้นเอง ก็ไม่รู้สุขทุกข์ ก็บำรุงสุขแล้วก็เป็นกิเลสไป ไม่เอาทุกข์เอาแต่สุข คุณก็สะสมกิเลสไป
องค์ประกอบที่จะไม่ให้คุณทุกข์ คุณก็จะต้องมีสารพัดนึก มีทรัพย์ศฤงคารมีอำนาจบาตรใหญ่ที่จะทำตามที่คุณต้องการ ทำตามกิเลสตัณหาแล้วก็เอามาได้สมใจ ถือว่าสุดยอดแล้วมนุษย์สูงสุด ความต้องการอันยิ่งใหญ่บำเรอใจ แล้วก็หลงเป็นสิ่งที่บำเรอใจเป็นกิเลสสะสมไปเรื่อยๆ หนาขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีความจบของความหนา หรือ ปุถุ คือความหนา ความใหญ่ ความมาก ความโต ภาษาบาลีเรียก ปุถุ
คนไม่เลิกเป็นปุถุชน มาเป็นอาริยชน เป็นคนเจริญ มาเป็นอาริยกะ คนไม่มาเป็นอาริยกะ ได้คือคนที่วนเวียนกับ มิลักขะ คนเถื่อนคนบาป คนโง่ แม้คุณจะบอกว่าคุณเจริญแต่คุณก็ยังมาสร้างระเบิดสร้างปืนมาฆ่ากัน แย่งอำนาจ แย่งยศศักดิ์ แย่งภูมิประเทศกัน แย่งความคิดที่ฉันได้เหนือกว่า ได้เปรียบกว่า
ผู้ที่เสียเปรียบอย่างรู้ๆไม่ได้คิดว่าเสียรู้ เสียเปรียบอย่างรู้ๆเรียกว่าเสียสละด้วยความเต็มใจ คนนี้คือคนช่วยเศรษฐกิจ ช่วยรัฐกิจหรือช่วยการเมืองให้แก่สังคมมนุษยชาติ
คนที่ยังแย่งอะไรอยู่ คือคนที่ก่อให้เกิดปัญหาในเศรษฐกิจและมีปัญหาในการเมือง ในรัฐศาสตร์ เขาไม่รู้เรื่อง ได้แต่แย่งแข่งกันแล้วก็ไปติดสินบนกัน เอาไป อายุ 16 จะได้หัวละ 10,000 บาท อะไรอย่างนี้ แล้วก็เป็นเรื่องกันอยู่ทุกวันนี้ คนที่ดูแลคลังก็บอกว่า พูดอย่างนี้ชิบหายใหญ่สิ จะเอาเงินที่ไหนมา คุณจะเอาไปละเลงเล่นอย่างนี้
ชิบหาย คุณได้คะแนนเสียง แต่การคลังหนักหนาสาหัส ไม่รู้เรื่องแล้วก็เป็นนักบริหาร
เขาเก่งในการหาทางได้เปรียบไง กิจการแสนสิริของเขา โอ้โห!ได้เปรียบมารวยเละอะไรอย่างนี้ แล้วคุณก็จะเอาแบบนั้นของคุณมาทำกับสังคมประเทศชาติ อธิบายไปแล้วอาตมาก็เห็นแต่ น่าสังเวชใจน่าสมเพชความคิด ที่เขาว่าจะแก้ปัญหาเขาก็ไม่รู้ว่าเขาคือปัญหา เขายิ่งทำปัญหาให้มันยิ่งยากใหญ่ เขาก็ไม่รู้ตัว นี่แหละคือความฉลาดกับความโง่ มันอยู่ด้วยกัน
ถ้าไม่เข้าใจตัวเองก็นึกว่าตัวเองฉลาด แต่แท้จริงตัวเองโง่
_สู่แดนธรรม… ทำไมคนภายนอกจึงไม่ค่อยอยากคบคนมีศีล เพราะว่าคนมีศีลเป็นอย่างที่พ่อท่านว่า แค่เขารู้สึกว่าเราประพฤติดีเราไม่ได้บอกเขาสักหน่อย เห็นความประพฤติแบบนี้ เขาจะหมั่นไส้ออกมาทันที
พ่อครูว่า… นั่นแหละเป็นความถือดีเยอะ เห็นคนมีศีลแทนที่จะอนุโมทนา กลับหมั่นไส้ นั่นแหละเป็นความมีมานะอัตตา ไม่รู้ว่าตัวเองต่ำตัวเองโง่ น่าจะอนุโมทนากับคนมีศีล แต่แค่นี้เขาก็ไม่ฉลาดพอ ก็ตื้นๆ
มนุษย์พืชที่จิตยึดยังมีอาฆาตพยาบาทหรือไม่
_สมเจตน์ เชาว์ศิริ · อนุมานกับเนื้อสัตว์ที่พ่อครูว่า วิญญาณอาฆาตพยาบาทครองอยู่ไหมครับ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… ที่คนไม่อยากคบคนมีศีล เพราะว่า เขาบอกว่าคบพ่อค้าอายุหมื่นปี คบพระคบชีตายวันตายพรุ่ง คนเขายินดีกับความโกหก
พ่อครูว่า… ที่ยังอวิชชาอยู่มันอาฆาตทั้งนั้น แล้วคุณว่าสัตว์เดรัจฉานมันจะมีวิชชาไหม มันจะไม่อาฆาตไหม ขนาดร่างมันตายแล้วนี่นะ มันก็ยังนึกว่าร่างของกู ร่างของกูอยู่ มันจะไปรู้อะไร ขนาดคนมันยังไม่ออกจากร่างง่ายๆ ดีไม่ดีมิจฉาทิฏฐิไปเรียนอีก ตายแล้วตัวเองไม่เน่าอีก กลายเป็นมนุษย์พืชที่ไม่เน่า
ถ้าคนให้อาหารมนุษย์ที่ตายแล้วเป็นพืช ต่อท่อไว้เหมือนอยู่ในห้องไอซียู ก็อยู่ไปได้อีกนานเท่านาน เท่าที่สรีระสังขารมันจะเลิกปรุงแต่งของตัวมันเอง จิตของตัวเองบอกว่าไม่เอาแล้วร่างนี้ พอแล้ว ถ้าเขายังพอใจในร่างที่ยังนอนนิ่งตลอดกาลนาน เขาก็จะอยู่อย่างนั้น ถ้าบอกว่าไม่เอาแล้ว ก็เรื่องของเขาตัดสิน
_เบญจวรรณ • -ปชต.คือปชช.มีสติปัญญาทำดี รู้ดีชั่วถูกผิดบาปบุญคุณโทษ
นกม.ทำผิดต้องติดคุก&ยึดทรัพย์ใช้หนี้ปทช.ด้วย จึงจะถูกต้อง
นกม.ยุคทษ.&ยล.ทำเสียหายหนักมากรวมๆแล้วนับล้านๆ จับติดคุก ก็หาทางช่วยกัน ได้ลดโทษอีก ต้องยึดทรัพย์ทั้งหมดใช้หนี้ปท.ด้วย จึงจะถูกต้องเป็นธรรมเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…
พ่อครูเชียร์ทหารคือเชียร์เผด็จการหรือไม่
_สุรชัย เดชนพรัตน์ • เชียร์ทหาร จบแล้วนาย
_สู่แดนธรรม… หมายถึงพ่อท่านเป็นสมณะแต่ไปเชียร์ทหาร
พ่อครูว่า… เขาหาว่าอาตมาไปเชียร์เผด็จการ เขาหาว่าพลเอกประยุทธ์เป็นเผด็จการ คนนั้นยังไม่เข้าใจเรื่องประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยที่พลเอกประยุทธ์มารับไม้ต่อจากประชาชนที่ทำรัฐประหาร สำเร็จแล้ว ตั้งหลายรัฐบาล กว่าประยุทธ์จะมารับไม้ต่อจากประชาชนไปบริหาร ประชาชนนั้น Neo – Protest นั่นแหละคือพวกProtestant แท้ๆ ประชาชนของไทยไปโปรเทส ไปประท้วง ประท้วงด้วยความสงบเรียบร้อยไม่รุนแรงไม่มีอาวุธถูกต้องตามสากลกฎหมายโลก แล้วใช้ความสงบ ใช้ความเรียบร้อยไม่มีอาวุธ ประท้วงเอาความถูกต้องความผิดมาประกาศมายืนยันมาชี้แจงมาอ้างอิง ทำให้เห็นชัดเจนจนประชาชนเข้าใจว่ารัฐบาลทักษิณผิดจริงๆ จบไป ทหารมาช่วย
พลเอกสนธิมาช่วยปฏิวัติ มีแต่คนเอาดอกไม้ไปเสียบปากกระบอกปืน เสร็จแล้วก็จับนอมินีสมัครเข้ามาแทน เราก็ไปไล่อีก ตุลาการภิวัฒน์ก็สั่งให้สมัครผิดกฎหมายตกจากเป็นนายกอีก อันหนึ่งเป็นทหารอภิวัฒน์ให้ อันนี้ก็เป็นตุลาการภิวัฒน์ให้ ต่อมาก็มายกสมชายขึ้นไปอีกเก่งจริงๆนะ สมชายขึ้นมาอีกตอนนี้ไม่มีทำเนียบเข้าเลยทีนี้ พวกประชาชนเข้าไปยึดทำเนียบหมดเลยไปทำนาในทำเนียบเลย นี่เป็นเรื่องจริงทั้งนั้นนะ
คือเรื่องพฤติกรรมของประชาชนที่ทำรัฐศาสตร์หรือทำการเมืองประท้วงด้วยความสงบ ขับไล่เป็นประชาธิปไตยที่สวยงามที่สุดในโลก ตั้งไม่รู้กี่รัฐบาลสำเร็จ เป็นการทำรัฐประหารหรือปฏิวัติ ประชาชนปฏิวัติรัฐบาลเลวออกไปได้อย่างถูกต้องตามหลักสากล
จนกระทั่งมาถึงยิ่งลักษณ์ ประชาชนปฏิวัติทั้งนั้น ปฏิวัติไปจนกระทั่งยิ่งลักษณ์ ขาด เอาตัวแทนมาเด๋อๆด๋าๆ นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล แล้วก็ทางกฎหมายก็ขาดหมดแล้ว พอเข้ามาพลเอกประยุทธ์ พอตื่นขึ้นมาได้ก็บอกว่าทำเสียที
สุดท้ายพลเอกประยุทธ์ก็บอกว่าผมขอยึดอำนาจ เรียบร้อยสุภาพ จริงๆไม่ได้ยึดอำนาจจากพวกนั้น เพราะประชาชนยึดอำนาจไว้หมดแล้ว ไม่มีคำว่า เผด็จการของทหารเลย ทหารไม่ได้ทำหน้าที่ขี้หมาอะไรเลยที่จะไปทำรุนแรงอะไรกับประชาชน ไม่มี แล้วประชาชนก็ปฏิวัติโดยไม่ได้รุนแรงถูกต้องตามหลักเกณฑ์สากลด้วย นักรัฐศาสตร์ฟังโพธิรักษ์พูดบ้าง เมืองไทยนี้เป็นตัวอย่างประชาธิปไตยที่สวยงามที่สุดในโลก บันทึกไว้เลย นี่คือเหตุการณ์จริงมีหลักฐาน เดี๋ยวนี้มีการเก็บเป็นภาพ เป็นรูป เป็นเหตุการณ์ทุกอย่างไว้เยอะแยะไป เป็นเรื่องจริงทั้งนั้นเลย
เพราะฉะนั้นคนที่ยังงมงาย บอกว่าเป็นรัฐบาลเผด็จการ เขาไม่มีความรู้ในเรื่องประชาธิปไตยสักเท่าขี้เล็บเลย ว่ามันไม่ใช่ ไม่มีการเผด็จการ มีแต่ปฏิวัติเป็นประชาชนปฏิวัติ มีแต่ประชาชนปฏิวัติ แล้วเขาทำหน้าที่เพราะตอนนั้นเขาเป็นหัวหน้า คสช. พลเอกประยุทธ์ก็มารับไม้ต่อจากประชาชน
พอพลเอกประยุทธ์ รับไม้ต่อจากประชาชนไปบริหาร ประชาชนไม่ได้ไปปฏิวัติหรือไปไล่อีก ก็ดูให้พลเอกประยุทธ์บริหาร บริหารไปก็เข้าตาประชาชน ทุกวันนี้คะแนนสูงเท่าไหร่ 8 ปีที่บริหารมาคะแนนของพลเอกประยุทธ์สูงขึ้นไปเท่าไหร่ในการบริหาร มีพวกที่งมงายโง่ๆหลงอยู่ในอำนาจที่จะเอาคืนอยู่เท่านั้น เห่าบ๊องๆอยู่
คอยดูวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ การเลือกตั้งนี้ดูคะแนน ดูซิ เป็นคำตอบชนิดหนึ่ง อาตมาก็ไม่พยากรณ์หรอก ก็จะดูจากเหตุการณ์จริงที่มันเกิดขึ้น จะเป็นคำตอบที่ทำให้ไขว่า
เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา มันก็จะไขให้เห็นว่าประเทศไทยมีการเมืองหรือมีรัฐศาสตร์ก้าวหน้า หรือยังไม่ก้าวหน้าไปอีกเท่าไหร่ ก็จะให้คำตอบ อาตมาก็จะดูความจริงจากอันนั้น ต้องดู status quo ตอนนี้ยังไม่ถึงวาระนั้น ก็รอไปก่อน
เป็นหมู่กลุ่มคนจนที่จบกิจเป็นเช่นไร
เพราะฉะนั้นในเมืองไทยไม่ว่าเรื่องเศรษฐกิจ ไม่ว่าทางด้านการเมืองนำหน้าประเทศอื่นเขาอยู่ เพราะเป็นโลกุตรธรรม
เขาบอกว่าเศรษฐกิจมันเดือดร้อนอย่างนั้นอย่างนี้ ไปเอาตัวเลขง่ายๆมาตีความ เหตุปัจจัยมันโยงใยกันทั่วโลก ตัวเลขของราคาสินค้ามันขึ้น มันไม่ได้หมายความว่าเป็นความตกต่ำหรือว่าเป็นความไม่เจริญ ไม่ได้ชี้บ่งความชัดเจนเลย
ผ้าขาวม้าผืนหนึ่ง สมัยอาตมานั้นผืนละ 1 บาท สูงสุดผ้าขาวม้าชั้นดีผ้าขาวม้าไหมผืนละ 10 บาท ผ้าขาวม้าผ้าฝ้ายผืนละ 2-3 บาทผืนละบาท เดี๋ยวนี้ผืนหนึ่งเท่าไหร่ 100 หรือ 200 ต่อให้ผ้าขาวม้าไหมผืนละ 500 มันก็ไอ้ผ้าขาวม้าเหมือนกันกับยุคโน้น ดีไม่ดีทอได้ดีกว่ายุคโน้นด้วย แต่ตัวเลขมันขึ้นไปตามประสา
สมัยอาตมาเป็นเด็ก กินก๋วยเตี๋ยวชามละ 2 สตางค์ หรือ 3 สตางค์ เดี๋ยวนี้ก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่ง 500 บาท ไฮโซหน่อย มันก็ไอ้ก๋วยเตี๋ยวเหมือนๆกันนั่นแหละ อาจจะปรุงแต่งสีสันโน่นนี่ ชามงามๆ มีผ้าปูโต๊ะแจ๋วๆ ห้องแอร์เย็น เท่านั้นเอง ปรุงแต่งเพื่อประเทืองหลอกคนไปอย่างนั้น ให้ไปจ่ายเงิน
พวกที่ทำห้องเย็นขายก๋วยเตี๋ยว มีผ้าปูโต๊ะสวยๆ มันคิดค่าใช้จ่ายพวกนั้นหรือเปล่า คิด เศรษฐกิจที่พวกคนสังคมไฮโซเขาทำคือพวกถูกหลอกถูกขูดรีดจากความฉลาดของคนซ้ำซ้อน เอาเงินของคุณออกมาเพื่อที่จะสะพัดให้คนระดับอื่น เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบเอาจากคนโง่ที่รวยมาเฉลี่ยให้คนจนบ้าง ก็เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบง่ายๆ
มันต้องสอนให้คนรู้จักสัจจะสาระแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ให้คนรู้จักว่า ชีวิตนี้มีปัจจัยสี่ง่ายๆถูกๆไม่ต้องไปเดือดร้อน อย่างพวกเราแก้ปัญหาเศรษฐกิจจบสบาย มาเป็นคนจน ไม่มีปัญหาเศรษฐกิจ ไม่มีปัญหาการเมือง มันไม่ดีหรืออย่างไร แต่คนรวยมีปัญหาเศรษฐกิจปัญหาการเมืองคุณก็แย่งกันไป
สาระประเด็นแห่งความสำคัญเท่านี้ มองให้ออก แล้วก็ทำให้ชีวิตมันอยู่อย่าง อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ
จนกระทั่งถึงขั้นใจเกื้อกูลก็เข้าใจว่า พวกเรามีใจเกื้อกูลจริงๆ เพิ่มพูนการเสียสละ มันมีคุณสมบัติแบบนั้นได้ด้วยนะคน มันพัฒนาเจริญมาถึงขั้นเป็นคนเพิ่มพูนการเสียสละ เพราะเราเหลือกินพอกินพอใช้ เสียสละได้อีกมากเท่าไหร่นี่คือยิ่งเจริญ เอาเปรียบเอารัดได้มากขึ้นเท่าไหร่คือความโง่เขลา คือ มิลักขะ พวกเรานี่ อาริยกะ
เห็นสัจจะความจริง อาตมาพูดไม่ได้มายกย่องตัวเองแต่เอาพฤติกรรมจริงมาอธิบาย พวกคุณเป็นอย่างที่อาตมาอธิบายไหม พฤติกรรม พฤติกรรมของทางโลกเขาเป็นอย่างนั้น อาตมาอธิบายชี้แจงความจริง ไม่ได้ยกเราข่มเขา พูดความจริง
เพราะฉะนั้นในมนุษยชาตินี้จุดสำคัญของความเป็นคนกับความเป็นสังคม ถ้าเข้าใจแก่นสารสาระของชีวิตแล้ว
พระพุทธเจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ถ้าบริหารแผ่นดินไปต่อ ท่านเกิดในแคว้นเล็กถ้าบริหารต่อ ท่านจะเป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าพิมพิสารก็จะแบ่งให้อีกครึ่งหนึ่งเลย ท่านมีกู๊ดวิน มี Favorite ถึงขนาดนั้น
พระเจ้าแผ่นดินแคว้นใหญ่ พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าพิมพิสาร แคว้นใหญ่ 2 แคว้นในอินเดียสมัยนั้น ยอมรับหรือนับถือพระพุทธเจ้าเลย ถ้าบริหารแล้วประชาชนเป็นสุข ประชาชนดีเอาไปครึ่งหนึ่งใดบริหารยกให้ ไม่ต้องไปแย่งชิง ไม่ต้องไปรบราฆ่าฟัน แผ่นดินใหญ่ยังยกให้เลย
เพราะในยุคนั้นพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าปเสนทิโกศลมีพระปัญญาธิคุณสูง ว่าถ้าบริหารอย่างพระพุทธเจ้าทำให้ประชาชนเป็นสุข เพราะฉะนั้นเอาไปเลยครึ่งหนึ่งท่านบริหารเลย ยินดีเลย นี่คือสัจจะที่มันมีมาแล้วตั้งแต่ในสมัยพระพุทธเจ้า แต่ในยุคนี้อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาทำ เขาไม่ให้ คนไม่มา เขาไม่ให้ด้วยแล้วคนก็ไม่เข้าใจไม่ค่อยมา มีพวกคุณแหละ มา จะบอกว่าหน้าโง่หรือหน้าฉลาดก็ไม่รู้
_สู่แดนธรรม… ต้องเป็นคนมหัศจรรย์จึงมาได้ครับ
พ่อครูว่า… มันเป็นความจนที่มหัศจรรย์ เพราะว่าเป็นความเป็นคนจนที่มีคุณค่าต่อสังคม เป็นคนจนที่ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจเขาเสื่อม ไม่ได้ทำให้เรื่องการเมืองเขาต้องลำบาก แต่กลับช่วย การเมืองก็ไม่ต้องมาบริหารชาวอโศก ในสังคมชาวอโศกไม่มีตำรวจสักคน มีตำรวจก็เป็นตำรวจปลดเกษียณแล้ว ก็อยู่อย่างเป็นสุข อยู่สบายไปไม่ได้ทำหน้าที่อะไร นานๆก็แต่งเครื่องแบบออกมาที ทำเป็นเต๊ะท่าบ้าง มีคนเยอะๆก็ช่วยหน่อยให้ตำรวจเต๊ะท่า เพราะทางการเขาไม่ค่อยส่งตำรวจมาเพราะที่นี่ไม่ค่อยเกิดเรื่องที่จะต้องไปเดือดร้อนให้ตำรวจช่วยดูแล ไม่ต้อง แม้แต่ตำรวจจราจรก็ไม่ต้อง ใช้เด็กทำจราจรได้ มันง่ายถึงขนาดนั้น มันเป็นสังคมที่สะดวกง่ายดาย ไม่เกิดปัญหารุนแรง ไม่เกิดปัญหาวุ่นวาย ไม่ใช่ฆ่ากัน ถือมีดไล่กัน ถือปืนยิงกันเต็มเมืองวุ่นกันไปหมด ตำรวจต้องทำงานอย่างนี้ ไม่ต้อง
นี่เป็นเรื่องยืนยันพิสูจน์ได้ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่อง อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ จริงๆ
เพราะฉะนั้นในเรื่องของคุณสมบัติที่อาตมาพูดถึง เป็นคุณสมบัติที่ เป็นสังคมที่ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ
หันมองไปทางสังคมการเมือง เศรษฐกิจก็ตาม มีโทษสมบัติ 6 ประการ คุณเดชา บอกเห็นด้วย ในเรื่องที่มีโทษสมบัติ 6 ประการที่เห็นด้วย เห็นด้วยอย่างยิ่ง
โทษสมบัติ 6 ประการของนักการเมือง
-
อวดตัวเอง
-
เบ่งอำนาจ
-
ฉลาดโกง
-
โขมงโม้แหลก
-
แจกมีเล่ห์
-
ทำเท่โง่ๆ
แสบไหม ปฏิเสธไม่ได้หรอก
ลองสังเกตดูนะ พลเอกประยุทธ์นี้
-
อวดตัวเองไหม
-
เบ่งอำนาจ ไหม
-
ฉลาดโกง ไหม
-
โขมง โม้ แหลก ไหม