660419 ตอบปัญหาผ่าการเลือกตั้ง 2566 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1LIb1tBuITCePajwHzLntRfJzmC_6hgp0/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1Ke9TuYdKMHwkUqjtmCuL7PwcV5NbgnVS/view?usp=share_link ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/Aw-57cBLo8Y และ https://fb.watch/j-Gj5h7Ni5/ สมณะฟ้าไท… วันนี้วันพุธที่ 19 เมษายน 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก เราเพิ่งเสร็จงานตลาดอาริยะครั้งที่ 42 ไป ทำมา 40 กว่าปี ตอนเริ่มต้นทำที่สันติอโศก มีคนไม่กี่คนมาขายของ แล้วก็ย้ายไปที่ปฐมอโศก คนมาไม่เท่าไหร่ จนทุกวันนี้คนมามืดฟ้ามัวดินใช้เวลา 40 กว่าปี ซึ่งโลกุตระอาจจะไม่หวือหวาฟู่ฟ่า แต่ว่าค่อยๆไต่ระดับขึ้นไป เป็นการขายราคาขาดทุนโลกีย์แต่กำไรอาริยะ ความคิดอย่างนี้ถ้าไม่ใช่พระโพธิสัตว์ทำไม่ได้หรอก เพราะว่าทางโลกมีแต่จะอยากได้เอาเปรียบกันทั้งนั้น แต่นี่คิดกลับตาลปัตรกับทางโลก อาหารจานละ 1 บาทตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ 40 ปี ไม่มีขึ้นราคาเลย ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าวัตถุดิบอะไรจะขึ้นไม่เกี่ยว 1 บาทอย่างเดียวเรื่อยไป ไม่รีบร้อนแต่เร่งเครื่องตลอดเวลา ไม่หวือหวาแต่มั่นคงยาวนาน คนก็ค่อยๆรู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ เท่าที่อยู่กับพ่อครูมาจะเห็นลักษณะอย่างนี้ โลกุตระจะไม่หวือหวาแต่มั่นคง ทำอย่างเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนตอนไปชุมนุมพ่อครูให้โศลกว่า ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ พ่อครูว่า… SMS วันที่ 17-18 เม.ย. 2566 _สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกกลับมาจากไปร่วมงานที่บ้านราชแล้วค่ะเมื่อวันที่ 16 เม.ย. พอถึงบ้านก็ได้พบแม่และพบสามีที่กลับมาจากทำงานขนขยะที่กรุงเทพ ได้พบลูกสาวลูกชายด้วยค่ะ พอตกค่ำเราก็นั่งล้อมวงคุยกัน ลูกก็ถามว่า”ข่อยไปบ้านราชมาหลายมื่อ ทุกคนคิดจั่งใด๋” แม่บอกว่า”แม่นบหาพ่อครูทุกมื่อ ขอบารมีพ่อครูให้แม่บ่เป็นหยัง ลูกสิได้อยู่ส่อยงานพ่อครูจนจบงาน ลูกกลับมาแล้วแม่ดีใจแฮง แม่บ่เป็นอิหยังเลย บ่ป่วยเล้ยย” ส่วนสามีก็บอกว่า”เจ่าอยู่พุ้นอย่าห่วงหน้าห่วงหลัง ข่อยอยู่ทางนี้ข่อยสิเบิ่งลูกเบิ่งแม่เอง” ส่วนลูกสาวก็ว่า” หล่าคิดฮอดอิแม่แฮง”สำหรับลูกชายก็ถามว่า” งานปลุกเสกเป็นจั่งใด๋ ได้เอาพระไปปลุกเสกนำบ่”ลูกก็ตอบว่า” บ่แม่นแบบนั้น คือเอาคนมาฟังเทศน์ปลุกเสกคนให้เป็นพระ คือจั่งปลุกเสกคนกินเหล้า คนเล่นการพนัน คนกินเนื้อสัตว์ ให้มาเซากินเหล้า เซาเล่นการพนัน เซากินเนื้อสัตว์ จั่งซี่” ลูกชายก็พยักหน้า ลูกก็เล่าบรรยากาศตั้งแต่ตื่นเช้าจนถึงเข้านอนของงานปลุกเสกและงานตลาดอาริยะให้ทุกคนฟัง สุดท้ายลูกก็สรุปให้ทุกคนฟังว่า “เกือบ30ปีมานี่บ่เคยออกบ้านนานเท่านี่ กะมีครั้งนี้หละที่ไปปฏิบัติธรรมและกลับมาด้วยความสบายใจเพราะทุกคนเข้าใจ ข่อยกะขอบคุณทุกคนที่อนุญาตให้ไปบ้านราช” ลูกมากราบเรียนพ่อครู น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ปฏิบัติธรรมไม่หาเงินแต่ชอบยืมเงินแล้วไม่จ่ายหนี้ถูกต้อง _Ampika Chung เอมพิกา ชุง · นมัสการเจ้าค่ะ มีเพื่อนไม่กินสัตว์ ไม่หาเงิน ไม่ใช้เงิน แต่พอเดือดร้อนไปยืมคนอื่นจนเป็นหนี้ แต่เขาก็ปลงได้ด้วย ไม่เดือดร้อนว่าตนเป็นหนี้เป็นสินคนอื่น แบบนี้เรียกว่าปลงได้ และไม่ต้องทำกิน ไม่ขายและบอกไม่ชอบเงิน แต่ทุกครั้งเดือดร้อนต้องยืมเงินคนอื่นบ่อย ๆ (เหตุเพราะชินจากการเคยรับ จากการให้ทานจึงนอนรอโอกาส สักวันคงมีคนนำมาให้ แบบนี้ถือว่าปฎิบัติธรรมมองบวก จนไม่เดือดร้อนกับเจ้าหนี้ต้องฝึกทำจิตแบบไหนคะ) จึงจะทำได้แบบนี้ค่ะ พ่อครูว่า… ก็ต้องทำความฉลาดทำความรู้ให้ได้ก่อนว่า ไอ้คิดแบบนี้ทำแบบนี้ มันจะเข้าท่าหรือ ไปยืมเงินแล้วก็เฉย ทำไม่รู้ร้อนรู้หนาว แล้วไม่ใช้หนี้คืนด้วย จะทำได้ไง เพราะฉะนั้นก็ต้องทำความเข้าใจให้แจ้งว่า ที่ทำอยู่อย่างนั้นมันไม่ถูก ไม่ถูกต้อง ทำเข้าไปวันหนึ่ง ถ้าไปเจอเจ้าหนี้ที่โหดๆ..ตาย มันมาเอาตายเลย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่คืนแบบนี้นานเข้า มันก็เอาตายเท่านั้นเอง ก็ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่ามันไม่ถูกต้อง คิดอย่างนั้นทำอย่างนั้นไม่สอดคล้องแม้แต่สมมุติสัจจะของโลกก็ไม่ถูก ยิ่งปรมัตถ์แล้วยิ่งไม่จริงใหญ่เลยแบบนั้นเรียกว่า มันขี้โกงเขา ไปเอาของเขามาแล้วไม่ใช้คืน มันเป็นเรื่องของสามัญ สังคมโลกเขาง่ายๆ ตื้นๆ จะไปถือเป็นปรมัตถ์ ทุกอย่างไม่ใช่ของใคร ทุกอย่างเป็นสมมุติทั้งนั้นอะไรอย่างนี้ คุณจะตีกินแบบนั้นไม่ได้ มันจะซับซ้อนสลับสับสนวุ่นวายตาย ใช้ไม่ได้ โลกุตระจะไม่ยินดีในการเที่ยวแต่ยินดีในการสร้างอาหารเผื่อโลก _พลังเพ็ญ คำด้วง · ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ละเอียดสุขุมลึกซึ้งอย่างยิ่ง (เรื่องอบายมุขที่พ่อครูอธิบาย แค่มีความยินดีที่ต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยเยอะ) ก็ถือเป็นอบายมุขขั้นละเอียด ทำให้เข้าใจลึกซึ้งขึ้นค่ะ เกิดปัญญามากขึ้น กราบขอบพระคุณค่ะ พ่อครูว่า… เป็นอบายมุขขั้นละเอียดคือเป็นสิ่งที่ไม่ดี อบาย ถ้าใส่คำว่า มุขะคือเป็นหัวหน้า ยิ่งใหญ่ สำหรับเราที่ยังมีจิตที่ยังมีการฟูใจ คนชาวต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยเยอะ เราก็ยินดี แล้วไอ้ความยินดี มันก็มีองค์ประกอบ ยินดีที่เขามาเที่ยวเมืองไทย ตื้นๆก็ยินดีที่เขามาเที่ยวเมืองไทย แต่องค์ประกอบที่มาเที่ยวเมืองไทยก็จะมีว่า ในด้านวัตถุ เขามาเที่ยวเมืองไทยก็เอาเงินมาจ่าย เอาเงินมาใช้สอยในเมืองไทย อันนี้ก็เป็นเรื่องของโลกสากล คิดว่า อันนี้เป็นเศรษฐกิจ อันนี้เป็นรายได้ ที่คนต่างชาติเข้ามาแล้วก็นำเงินเข้ามาแล้วเอามาจับจ่าย เอามาใช้ เอามาสะพัดออก มาให้แก่คนไทยได้รับเงิน จากการซื้อขายของกินของใช้อะไรก็แล้วแต่ มันก็เกิดการเป็นบทบาทของโลก คนทั้งโลกก็มีเรื่องซื้อขายแลกเปลี่ยนด้วยอัตราเงินทอง จนกระทั่งมันสนิทเนียน จนกลายเป็นเรื่องที่เขายึดว่าสำคัญที่สุดที่จะใช้ ในการยังชีพ เพราะฉะนั้นในโลกสามัญปกติธรรมดาๆ ก็มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน สร้างผลผลิตขึ้นมาแล้วก็ขาย เอาเงินมาซื้ออย่างอื่นที่เราไม่ได้ผลิต เราผลิตอันนี้แล้วก็ไปซื้ออย่างอื่นที่เราจำเป็นต้องกินต้องใช้ต้องอาศัยอย่างอื่น สลับไป มันก็เป็นการยังชีพไป ทีนี้ถ้าคนที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีก จนกระทั่งไม่ต้องไปพึ่ง ไม่ต้องไปพึ่งพาเงินของคนอื่น อีกเลย หรือให้ชัดๆก็คือ ไม่ต้องไปพึ่งเงิน ไม่ต้องไปพึ่งธนบัตรอีกเลย เรามีชีวิตอยู่กับปัจจัย เช่น ปัจจัย 4 ปัจจัย 4 คืออาหาร ข้าว ผ้า ยา บ้าน อาหารการกิน พืชพันธุ์ธัญญาหารแล้วก็เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค แล้วก็ที่พักที่อาศัย ที่พักที่อาศัย อย่างเราชาวอโศกไม่ต้องยึดว่าเป็นบ้านของเรา มีบ้านส่วนกลาง แม้คนที่มาสร้างบ้านในส่วนกลางนี้ก็จนกระทั่งไม่ยึดว่าเป็นบ้านของเรา ใครจะมาอาศัยร่วมก็ได้ เพราะว่าบ้านก็อยู่ได้หลายคน อย่างนี้เป็นต้น เราก็พึ่งพาอาศัยกัน บ้านไม่ต้องมีของตนเลย ก็อาศัยพึ่งพากันไปได้ ยาก็มีของส่วนกลาง อย่างบ้านราชที่โฮ่งปัว ผ้านุ่งก็เบิกใช้กับกองกลาง ก็มีเบิกได้ อาหารการกินยิ่งมีส่วนกลาง แต่ละวันแต่ละวันก็เก็บขึ้นมาช่วยกันปลูกช่วยกันใช้ทุกวัน กินไปหมดไป แล้วก็อุจจาระออกไป ทิ้งไป มันก็ต้องปลูกต้องเก็บทุกวัน อันนี้เป็นเรื่องหนักต้องทำงานสำคัญเรื่องอาหารการกิน กวฬิงการาหาร เรากินพืชพันธุ์ธัญญาหาร อุดมสมบูรณ์ เราก็สร้างจนกระทั่งเป็นปกติสามัญ ซึ่งอาตมาก็ยังพยายามจะเร่งรัดพัฒนาให้พวกเราลงมาเป็นชาวไร่ ชาวสวน ชาวกสิกรกัน ไปปลูกพืชผักกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะถ้ามากแล้วเราก็มีหน่วยสะพัดแจกจ่ายออกไป เชื่อว่ามีที่แจกจ่าย จะขายบ้างเพื่อที่จะได้อะไรแลกเปลี่ยนมาอย่างถูกๆจริงๆ แจกได้อยู่แล้ว มันมาก ทุกวันนี้เราก็ยืนยันว่าเราพอแจกได้อยู่ ขายถูกเราก็ขายได้อยู่ แล้วยิ่งทุกวันนี้พวกเราเข้าใจ แล้วก็มาช่วยกันทำให้มากยิ่งขึ้นๆ แจกออกไปอีก ขายให้ถูกลงไปอีก นี่คือความเจริญ ยิ่งแจกได้มากยิ่งถูกลงไปอีก เห็นไหม เศรษฐศาสตร์ของชาวโลกุตระ ทิศทางแนวโน้มของความเจริญกับทิศทางแนวโน้มของความเจริญโลกียะของทุนนิยม มันตรงกันข้ามกันเลยเห็นไหม แล้วเห็นจริงๆอย่างที่ว่านี้ด้วยนะ เห็นจริงอย่างนี้ไหม เรายิ่งทำอย่างนี้ได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปเห็นจริงเฉยๆ มาลงมือทำสิแล้วมันจะได้มากยิ่งๆขึ้น เพื่อการให้เห็นทิศทางของสัจธรรมที่ว่า เจริญจริงๆ ความเจริญที่เป็นโลกุตรธรรมแท้ๆ เรายิ่งได้เสียสละ เพิ่มพูนการเสียสละ ตัวสุดท้าย ใน อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ (พ่อครูคันจมูก ตัดออก) การไปยินดีในสิ่งที่ได้มา จนกระทั่งเราเห็นชัดเจนว่าสิ่งที่ได้มามันดี มันไม่เสียหาย เราก็อย่าไปให้เกิดจิตฟูขึ้นมาถือเป็นอุปกิเลส ของอาริยะชนชั้นสูง ชั้นละเอียด รู้ความจริงตามความเป็นจริงแล้วก็ วางใจ มุทิตา เห็นว่าก็ดีแล้วก็วางไม่ต้องมีจิตฟูใจ มุทิตา แล้วก็อุเบกขา มุทิตา คือ มันรับรู้ในทันทีทันใดนั้นว่าอันนี้มันควรแล้ว แม้เรื่องไม่ควร เราก็รู้มีปฏิภาณซ้อนว่าอันนี้บกพร่องอยู่นะไม่ควร จะต้องปรับปรุงให้มันดี แต่อันนี้ดีแล้วควรแล้วก็มุทิตาดีแล้ว แล้วก็อุเบกขา ใจของเราก็เข้าใจอย่างนี้ ทำใจในใจของเราได้อย่างนี้ อย่างชำนาญอย่างเร็วอย่างได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบากใน ฌานทั้ง 4 นี่แหละเป็นอาการของจิตเจตสิกของผู้ที่ ฝึกดีแล้วก็จะเป็นอย่างนี้ _สมุห์เอิบ คชรัตน์ · สาธุๆ กับรายการพุทธศาสนาตามภูมิ จากพระครูปิติวิริยคุณ วัดชูนวลรัตนาราม สงขลา ตายแล้วไม่เน่าจิตจะอยู่อย่างไร การแยกกายแยกจิตที่แท้ _เมตตา โพธิสุทธิ์ · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชายิ่งค่ะ ลูกมีข้อสงสัยเรื่อง “กาย” ที่ยังเข้าใจไม่ชัดแจ้ง อยากจะเรียนถามพ่อครูในเรื่องที่ว่า คนที่มีกายและจิต (คนที่มีชีวิต) จะต้องทิ้งร่างของตนตอนตาย สิ้นลมหายใจ แต่ผู้ที่ยังอวิชชา มีอุปาทานจัด ยังไม่มีสัมมาทิฐิ จะไม่ยอมทิ้งร่างของตนตอนตาย เพราะยึดติดร่างของตนอยู่ว่าเป็นกาย จึงกลายเป็นศพที่ไม่เน่า แถมยังมีผมและเล็บงอกออกมาด้วยนั้น ลูกมีข้อข้องใจว่า ในความเป็นจริงมีโอกาสเป็นไปได้เช่นนี้หรือค่ะท่าน ในความเห็นของลูกมีความคิดว่า เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะจิตแยกออกจากร่างไปแล้ว จิตจะยังมีอำนาจไปบังคับควบคุมร่างนั้น ไม่ให้เน่าเปี่อยไปตามธรรมชาติได้อย่างไร จึงน้อมกราบขอคำอธิบายเพิ่มเติมในเรื่องนี้ จากพ่อครูด้วยค่ะท่าน กราบขอบพระคุณค่ะ พ่อครูว่า… เรื่องนี้ซับซ้อนลึกซึ้ง ตั้งใจฟังดีๆ จิตวิญญาณของคน เอาหยาบๆก่อน ปกติสามัญเลย คนที่ยังอวิชชา เมื่อตัวเองตาย สิ้นลม ขาดลมหายใจลง เป็นปกติสามัญตื้นๆของคนทั่วไป พอตายลงปั๊บ จิตวิญญาณเขาจะไม่มีในร่าง จะออกจากร่างไป จิตวิญญาณหรือจิตนิยามนั้นจะออกจากร่างไปเต็มรูปเลย ก็เหลือร่างที่เป็นซากศพ แล้วซากศพนั้นเมื่อไม่มีพลังงานใดเลยของจิตนิยามเหลืออยู่ที่ซากศพ ซากศพนั้นก็จะเน่า หรือแม้ว่าซากศพนั้น มันไม่มีความชื้นไม่มีน้ำ มันไม่มีอะไรมาก มันก็จะทำปฏิกิริยาเน่าช้า เน่าช้าจนกระทั่งบางทีไม่รู้สึกว่ามันเน่า มันจะค่อยๆแห้งลง แห้งลง แห้งลง ใช้เวลา ทีนี้ คนที่มีมิจฉาทิฏฐิ ว่านี่คือร่างของเรา ตายลง จิตๅวิญญาณควรออกจากร่าง แต่ไม่ออกยึดร่างเป็นของเรา คนๆนี้ส่วนมาก ที่จะยึดร่างของตนเองได้นั้น ก็คือคนที่ศึกษาเรียนรู้ คนไม่ศึกษาเรียนรู้ยึดร่างตัวเองไม่เป็น แต่คนที่มิจฉาทิฏฐินั้นจะศึกษาเรียนรู้สร้างความยึดสายหลับตายึดเก่ง ทำให้จิตวิญญาณเป็นความแน่นแข็ง ติดอยู่กับจิตวิญญาณได้เก่ง ก็จึงตายแล้วยึด เพราะฉะนั้นสายหลับตา สายเจโต พวกนี้จึงมีร่างของอาจารย์ที่ไม่เน่าเยอะ ฟังแล้ว แล้วไอ้การยึดร่างไม่เน่านี่ สัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ … มิจฉาทิฏฐิ แต่เขาไปหลงว่าสัมมาทิฏฐิว่า นี่แหละวิเศษ นี่แหละประเสริฐ ว่ายอดว่าเก่ง เอาใส่โลงแก้ว เอาไว้กราบไหว้เคารพนับถือก็ยังมีอยู่เยอะ แต่แท้จริงทุกอย่างแล้วเมื่อมันได้ทุกอย่างลงตัวได้สัดส่วนพอเหมาะก็ต้องตาย ร่างกายตายก็คือตาย เช่น คนที่ไม่เข้าใจ คนที่ยังยึดร่างตัวเอง แล้วก็ไม่ยอมออกจากร่าง เมื่อไม่ยอมออกจากร่าง ยึดร่างตัวเองอยู่ ทั้งๆที่เป็นมนุษย์พืชแล้ว ข้างนอกไม่รับรู้สึกแล้ว ไม่มีกายแล้ว ไม่มีกายคือ ไม่มีเวทนา ไม่รับรู้สึกเลย จิต อยู่ในจิตเท่านั้นเป็นจิตระดับ พีชนิยาม เหมือนพืช แล้วทางหมอก็เรียก มนุษย์พืช ถ้ามนุษย์พืชนี้จะไม่มีเวทนา ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีจิตนิยามเป็นตัวตนแล้ว เป็นพืชแล้ว เพราะฉะนั้นเราฆ่าพืชโดยเราจะบาปไหม?… ไม่บาป _ป๋อง… จะเข้ากับ เมถุนสังโยคว่า ปรารถนาเป็นพระเจ้าหรือเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งแล้วยึดไว้หรือไม่ครับ พ่อครูว่า… จะตีความเป็นอย่างนั้นก็ได้ แต่มันต้องมีนัยยะสำคัญต่างกัน อันนี้เรากำลังพูดถึงสรีระ มันจะเน่าหรือไม่เน่า แต่อันนั้นมันยึดถือนามธรรมก็เป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง เป็นกาม เขาก็ยึดเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง ตายแล้วต้องไม่พรากจากกัน จะต้องยึดเป็นเราอยู่นั่นแหละ ผูกพันกันต่อไปนั่นคือเมถุนสังโยค อันนี้กำลังอธิบายรูป อันนั้นมันเป็นนามธรรม ที่ยึดอยู่ ไม่พรากไม่จากกันไป ทั้งๆที่ควรจะพรากแล้วแต่ไม่พราก เพราะฉะนั้นเหตุปัจจัยที่กำลังอธิบายนี้เมื่อไม่พราก แล้ว มันจะมีดินน้ำไฟลมที่สังเคราะห์กันมากหรือไม่มาก แบคทีเรียเยอะหรือไม่เยอะ เมื่อมันไม่เยอะ มันก็ดูไม่เน่ามันก็เหมือนทำเนื้อตากแห้ง เนื้อย่างอะไรไปเรื่อยๆ มันก็ไม่เน่า มันก็ทำปฏิกิริยากันอย่างไม่ดุเดือดไม่เน่าฉุฉะอะไร มันละเอียดลอออย่างนี้ คนที่ศึกษาผิดก็ไปยึดถือผิดๆอย่างที่อธิบายไปแล้วสรุปแล้ว ว่า มันไม่ได้หมายความถึงความเก่งกาจเก่งกล้ามีความวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่มีหรอก แต่ก็งมงาย มีกันอยู่ทั่วไป ในศาสนาอื่นๆ จะมีหรือไม่มีจะโง่เหมือนศาสนาพุทธที่ยึดถือกันอย่างนี้หรือเปล่า จีนนี่ ยึดถืออันนี้กันอีกเยอะ ไทยก็ไม่เบาไม่น้อยกว่าเขา ยึดที่มิจฉาทิฏฐิอยู่ ก็พอรู้กันว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็ไม่ควร ตายแล้วจิตวิญญาณก็ควรทิ้งร่างไป แม้ที่สุด ร่างที่จะเป็นแค่พีชะอยู่ ก็ไม่ควรอยู่แล้ว เพราะมันไม่เป็นกายแล้ว จิตพิการแล้ว กายพิการแล้ว คือไม่มีกายมันก็พิการแน่ จิตไม่มีกายมันก็พิการ เพราะจิตมันต้องมีกาย จิตไม่มีกาย ในร่างที่คุณเองถือว่าเป็นกายของคุณ ที่จริง มันไม่ใช่กายของคุณแล้ว คุณไม่ได้รับรู้สึกภายนอกเลย ใครจะกระทบกระเทือนกระแทกกระทุ้ง คุณก็ไม่รับรู้สึก จิตของคุณอยู่ที่คุณ ถ้าคุณเกาะอยู่ที่ร่าง มันก็อยู่ในร่าง แต่มันไม่อยู่ในร่างหรอกเป็นจิตสัมภเวสี จิตของคุณที่เป็นมนุษย์พืชนี้ มันไม่อยู่ที่ร่างหรอก มันเป็นสัมภเวสีเหมือนนอนหลับ คุณนอนหลับจิต มันก็เป็นสัมภเวสีแล้วออกไปท่องเที่ยวเรียกว่า จิตท่องเที่ยว จิตล่องลอย จิตไม่มีที่เกิดไม่ได้รับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่รู้เรื่อง มีแต่จิตอยู่ในภพของมันเอง ถ้าใครเผาร่างกายนั้นทันที เผาในขณะที่ เป็นมนุษย์พืช ร่างนี้ก็ไม่รู้สึก ร่างนี้ก็ถูกเผาไป จิตก็ออกไปอยู่นั่นแหละ เพราะจิตไม่ได้เกาะกับกายแล้วไง นี่เป็นนัยยะที่ละเอียดที่อาตมามีภูมิรู้อธิบายสู่ฟังได้ สรุป ตรงนี้ก็ได้ว่า เรียนรู้จิตที่อยู่ในระดับ จิตนิยาม พีชนิยาม อุตุนิยามให้ดีๆ ที่พูดนี้มันอยู่ระดับครึ่งๆ ไม่เป็นอุตุนิยาม จะเป็น พีชนิยาม เล็บมันยังงอก ผมก็ยังยาว มันไม่รู้สึกเจ็บปวด มันไม่มีบาปไม่มีบุญ มันไม่ใช่เราแล้ว มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราแล้ว คำว่า เรา ของเราคือ เราต้องอยู่ครบทั้งกายและจิต รู้สึกเต็มๆ แต่พอมันออกมาเป็นเล็บที่เป็นชีวะ ยังเป็นพืช ไม่มีประสาทรับรู้แล้ว เล็บก็ตาม ผมก็ตาม ฟันหนังก็ตาม ผมก็หยาบ ขนก็เล็กละเอียด ฟันก็ยากกว่า หนังก็ยิ่งยากใหญ่มันละเอียด ก็อธิบายที่เล็บ เพราะฉะนั้นมันยาวออกมาไม่มีกายแล้วแต่คุณยึดว่าเป็นเรา ไม่เจ็บไม่ปวดแต่คนก็เจ็บปวด ผู้หญิงที่รักเล็บฉันสวย หักออกไปจะเป็นจะตายจะฆ่ากันว่า เล็บฉัน มันไม่ใช่ของฉันแล้วแต่คุณก็ของฉันของฉัน มันไม่ใช่ของเรา มันไม่ยึดมั่นถือมั่นหรอก ตัวมันเองตัวเล็กมันไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น แต่เราไปยึดมั่นถือมั่นกับเล็บ แต่เล็บมันไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นกับเรา มันไม่ใช่เราแล้ว มันหนีไปอย่างอื่นแล้ว อธิบายละเอียดให้ฟัง เพราะฉะนั้นคนที่แยกกายแยกจิตตรงนี้แหละ จากที่ พระพุทธเจ้า ท่านให้ศึกษาจาก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อธิบายอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หนังนี่อธิบายยาก ความไม่ใช่เรา ไม่ใช่กายเรา อันนี้แหละในขณะที่มีชีวิต เราทำสัมผัสกับอะไรก็แล้วแต่ แล้วเราก็ทำใจในใจของเรากับสิ่งนั้นๆๆๆ ว่าไม่เป็นกาย ไม่เป็นเรา อันนี้จิตทำได้อย่างนี้แหละ เป็นผู้ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ไม่มีบาปไม่มีบุญ ผู้ทำใจในใจมนสิการใจของตนเองได้อย่างนี้ คุณก็จะไม่ยึด ถ้ายึดเป็นเราเป็นของเรา คุณก็เจ็บก็ปวด ถ้าไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา คุณก็ไม่เจ็บไม่ปวด ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่บาปไม่บุญ ได้อาศัยชีวิต เพราะที่จริงที่สุดแล้ว ทุกอย่างมันไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราเลย แต่สมควรจะยังชีพต่อไปหรือไม่สมควรที่จะยังชีพของเราต่อไปเลย หรือมันขาดจากตัวเราไปแล้ว เล็บมันห่างมันขาดจากตัวเราไปแล้ว ก็ต้องเข้าใจความจริงสิว่า ไม่ใช่ของเราแล้วนะ ผมมันยาวไม่ใช่ของเราแล้วนะ เพราะฉะนั้นภิกษุผมมันยาวหน่อยก็โกน ไม่มีปัญหาอะไรมันไม่ใช่เรา เล็บก็ยาวก็ตัด ใครอยากจะไว้ยาวที่จะใช้ประโยชน์บ้างก็ไว้ไป ถ้าไม่ใช้ประโยชน์อะไรแล้วก็ไม่ต้องไว้ ประเด็นสำคัญก็อยู่ที่ว่า ยึดเป็นเราหรือไม่ยึดถือเป็นเราของเรา ติดตามต่อไปเพราะเรื่องกายยังมีความลึกซึ้งซับซ้อนมาก ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ เริ่มต้นต้องเข้าใจคำว่า กาย อย่างสัมมาทิฏฐิ ใน สักกายทิฏฐิ พ้นความเข้าใจผิดว่า กายไม่ใช่หนึ่งเดียวนะ กายต้องมี 2 ต้องมีนอกมีในนะ นี่เป็นหลักเกณฑ์อย่างหยาบข้างต้น ถ้าเข้าใจผิดตั้งแต่ว่ากายนี้ไม่มี 2 มีแต่ข้างนอกอันเดียวหนึ่งเดียวคนนี้แหละมิจฉาทิฏฐิ เพราะฉะนั้นคนที่กลัดกระดุมเม็ดแรกผิดมิจฉาทิฏฐิตั้งแต่สักกายทิฏฐิ ไม่มีหวังจะเป็นอรหันต์เพราะว่ากระดุมเม็ดอื่นมันก็จะผิดหมด เพราะฉะนั้นจะไปพิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิดในจิต ธรรมในธรรม ซึ่งเป็นอิทัปปัจจยตาต่อ คุณทำต่อไม่ได้ ก็เมื่อกายคำต้นผิด จะไปพิจารณา กายในกาย เวทนาในเวทนา ซึ่งเป็นกายที่ละเอียดตามเข้าไปหานามธรรมข้างในเรื่อยๆ จิตในจิต ธรรมในธรรม คุณผิดตั้งแต่ต้น กลัดกระดุมเม็ดแรกผิดมันก็ผิดไปหมด ก็จะพิจารณาเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ผิดไปด้วยไม่ออก เมื่อตั้งแต่กายพิจารณาไม่ได้แล้ว คุณจะปฏิบัติหลักเกณฑ์ใด ในทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ก็ไม่มีทางบรรลุธรรม เพราะฉะนั้นผู้ที่พิจารณากายในกาย สัมมาทิฏฐิ ได้แล้วเวทนาก็มีจิตลดกิเลสได้ ก็ยังต้องไปตรวจ ว่าคุณปฏิบัตินั้นจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายไปตลอดหรือเปล่า คือปฏิบัติวิโมกข์ 8 มีกายไม่หลุดไม่หายไปด้วยตลอดหรือเปล่านะ เพราะฉะนั้นถ้าปฏิบัติธรรมะไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย คุณไม่มีทางที่จะบรรลุอรหันต์ เพราะฉะนั้นในบุคคล 7 ไปแปล น เหวโข ในปัญญาวิมุติ บุคคลที่ 6 ไปแปลว่าไม่ได้สัมผัส วิโมกข์ 8 ด้วยกายนั้นก็แปลผิด แท้จริง นเหวโข ไม่ได้แปลว่า ไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เพราะผ่านระดับ 5 กายสักขี มีกายเป็นหลักฐานอยู่แล้ว ทำอาสวะสิ้นบางอย่างได้แล้ว พอเป็นบุคคลที่ 6 ปัญญาวิมุติ อาสวะสิ้นหมด นับเป็นอรหันต์ได้แล้ว สายปัญญาจะไปถึงปัญญาวิมุติ ก็จบกิจแล้วเป็นอรหันต์แล้ว ส่วนสายศรัทธาต้องเป็น อุภโตภาควิมุติ คือศรัทธา ทำได้แล้ว แต่ไม่มีปัญญารู้จบ ต้องไปมีปัญญาเสริมให้อีก 1 ตัวเป็น อุภโตแปลว่าสอง ต้องมีทั้งศรัทธาและปัญญาเติมเข้าไปเต็ม จึงจะเป็นผู้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายที่อาสวะสิ้น เป็นพระอรหันต์ สายศรัทธาจึงช้ากว่าปัญญาวิมุตเป็นบุคคลที่ 7 ปัญญาวิมุตเป็นบุคคลที่ 6 อุภโตภาควิมุติ เป็นบุคคลที่ 7 ต้องเติมปัญญา แต่บุคคลที่ 6 มีศรัทธาเป็นแกนแล้วพอแล้วรู้จัก จิต เจตสิก รูป นิพพาน ชัดเจนมาแล้วตั้งแต่ต้น พอมีปัญญาก็สรุปตัวเองได้หมด จบกิจก่อน รายละเอียดพวกนี้ไปเดาไม่ได้นะ เดาแล้วมืด วนเลย สับสนเลยนะ เดาไม่ได้ ต้องมีสภาวะจริงๆจะพูดได้พอ พระอรหันต์ที่ไม่รู้ละเอียดไม่มีปฏิสัมภิทาญาณ ก็จะอธิบายไม่ได้เหมือนอาตมา อาตมาเป็นสายปฏิสัมภิทาญาณโดยตรง แล้วก็เรียนรู้ปฏิบัติฝึกฝนมาจนถึงทุกวันนี้อธิบายรายละเอียดได้อย่างนี้แหละ ใครจะอธิบายได้อย่างอาตมาทุกวันนี้ สาธยายไปถึงขั้นเวทนา 108 แจกละเอียด อุปาทายรูป 24 รูป 28 เกี่ยวข้องกับนามธรรม 5 อย่างไร สังเคราะห์กันยังไง ถึงขั้นไหน อาตมาก็ไม่ได้อธิบายบ่อยๆ อธิบายขั้นต้นเมื่อไปถึงขั้นโน้นค่อยอธิบายอีก _สนอง นิละกุล : สภาวะจิตจากการไปบ้านราชฯครั้งนี้รู้ว่าอากาศร้อนมากนอนไม่เต็ม จิตปั่นป่วนอยู่บ้างเรื่องบ้านเมืองพ่อบอกว่าปท.มันไม่ใช่ของเราคนเดียว มิตรดีบอกว่าพ่อ.เอาอย่างไรเราก็เอาตาม ก็จบลง เราไปเอาธรรมะยังไม่เข้าใจกายในกายแจ่มแจ้งครับ พ่อครูว่า… เห็นไหมกายในกายไม่ใช่ง่ายๆ คุณสนองก็ยังไม่เข้าใจชัด ก็ติดตามฟังเอา _ป้าเปิ้ล เชิญชม • มี 5 บ.ก็อิ่มได้ เหมือนย้อนไปในอดีต สมัยคุณตาคุณทวดเลยนะ พ่อครูว่า… เงินมีค่าสูง 5 บาทก็อิ่มท้องได้ ซื้ออย่างละบาท ได้กินตั้ง 5 อย่าง อิ่มแปล้เลย ชามละบาทๆๆ 5 บาท มันต้องอิ่มแน่เลย ถ้าเป็นอาตมากินไม่หมดหรอก 5 ชาม ทุกวันนี้ต้องพยายามกินอาหารให้ได้พอ สมณะฟ้าไท… ช่วยไม่ให้เงินเฟ้อด้วยครับ พ่อครูว่า… พวกเราเป็นพวกรักษาเศรษฐกิจของประเทศสังคมได้จริงๆชั้น 1 เลย เปรียบเทียบการเป็นนายกฯ คุณทักษิณกับพลเอกประยุทธ์ _ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม · กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง การหาเสียง เพื่อเอาคะแนนในการเลือกเพื่อจะได้คะแนนให้ได้มาซึ่งนำมาเพื่อตัวเอง และพรรคตนเอง ถ้าเป็นการเมืองโลกุตตระ จะไม่เป็นเช่นนี้ เอาสมมุติมาใช้ เงินอนาคตมาใช้ ไม่อยู่กับปัจจุบันต้องมาดูของจริงที่อโศกเรา กราบสาธุค่ะ พ่อครูว่า… มันยังยากอยู่ ก็วิจัยนิดหน่อยก็แล้วกัน พวกหาเสียงจะเอาเงินอนาคตมาใช้ แถมเป็นเงินดิจิตอลอีกต่างหาก ไอ้เงินดิจิตอลคือเงินอยู่ในตัวเลขลอยลมอยู่ในอากาศ เอาตัวเลขมาล่อจะให้คนละ 10,000 บาท ทำไมคนเรา โดยเฉพาะคนไทย เอาละประเทศอื่นเขาจะหลอกกันจะหลงเชื่อก็เรื่องของเขา เขาจะฉลาดตามเขา แต่คนไทยทำไมต้องฉลาดน้อยเหมือนเขา อาตมาละเว้นคำว่าโง่ ทำไมต้องไปฉลาดน้อยเหมือนชาวเทวนิยม ที่เขาไม่เข้าใจเศรษฐกิจแบบโลกุตระแบบไทย บังคับไม่ได้หรอกคนจะฉลาดน้อยก็ฉลาดน้อย เพราะฉะนั้นคนฉลาดน้อยกับคนฉลาดจริงๆแบบโลกุตระ อันไหนมีมากกว่ากัน คนฉลาดโลกุตระก็ต้องน้อยกว่า เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องหลอกคนที่ฉลาดโลกียะ ฉลาดแบบทางโลกๆ เขาก็ต้องหลอกคนพวกนั้น เขาก็จะได้คะแนนเสียงมา เพราะฉะนั้นคะแนนเสียงที่หลอกกันได้ แล้วก็มาอวยกันมาให้กัน มันไม่ใช่ความจริงเลย มันไม่ใช่ประชาธิปไตย มันเป็นประชาธิปไตยมวล ประชาธิปไตยปริมาณ ประชาธิปไตยไม่ได้เข้าหาแก่นสารสาระที่แท้ แต่มันก็ไปเรื่อยๆ เมืองไทยก็เจริญขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นตอนนี้อาตมาขอวิจัยต่อนิดนึงว่า โพลต่างๆ เขาก็โพลไปกับคนที่ยังเข้าใจแบบโลกียะเยอะๆ ผลออกมาโพลก็จะต้องเป็นแบบนี้เช่นโทรบอกว่าเมืองไทยได้เบอร์ 1 มามากเลย เบอร์ 2 นี้จะได้คือพลังประชารัฐ หรือ ภูมิใจไทยจะได้มา เพื่อไทยต้องเบอร์ 1 เบอร์ 2 พลังประชารัฐหรือภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ จะอยู่อันดับที่ 4 ที่ 5 นู้น ตามโพลที่เขาวัดโดยค่านิยมของตัวเลข หรือยังสับสน สาระกับตัวเลข ตัวหลอกกับตัวจริง คนที่ทำงานจริงๆ ชัดๆ ทำสาระกับมวลมนุษยชาติ ทำเพื่อประชาชนจริงๆมีความรู้ความสามารถ มีปรากฏการณ์จริง มีผลงานจริง ก็รู้อยู่ เพราะมันได้พิสูจน์ใหม่ๆสดๆนี้เลย พรรคเพื่อไทยก็ดี คณะที่ทำอยู่แล้วก็ดี ก็คือฝ่ายหนึ่ง ที่เป็นฝ่ายที่ยังไม่สมบูรณ์แบบกับอีกฝ่ายหนึ่งฝ่ายสมบูรณ์แบบกว่า ก็คือฝ่ายทักษิโนมิคกับฝ่ายพลเอกประยุทธ์ แบบพลเอกประยุทธ์กับแบบทักษิณ มีหมู่ใหญ่ๆอยู่ 2 หมู่เท่านั้นเอง ฉะนั้นตอนนี้ก็จะเลือก 2 ค่ายใหญ่ๆนี่แหละ ตัดสินกันให้ดีๆนะ อาตมาก็ไม่สามารถพยากรณ์ได้เหมือกนัน ก็ยังไม่ได้เลือกจริง อาตมาไม่สามารถไปตัดสินได้ว่าอะไรจะมา แต่ใครทายใจอาตมาได้ไหมว่า อาตมาอยากให้อันไหมมา…ได้ ว่า รทสช มา อยากให้ รทสช เบอร์ 22 มาชนะการเลือกตั้ง แน่นอน อาตมาก็อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่อาตมาก็ไม่สามารถไปบังคับความเห็นความเชื่อ ซึ่งคนก็พยายามครอบงำทางความคิด propaganda หาเสียงแข่งกันอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะผ่านวันที่ 14 พฤษภาคมค่อยมานับแต้มกัน ว่าแล้วจริงๆมันจะออกผลกันว่าอย่างไร ซึ่งโดย ถ้าจะบอกว่า ผลที่ควรจะเป็น อาตมาก็มีเหตุผลเพียงพอ มีหลักฐานมีที่อ้างที่อิง มีพฤติกรรมจริง พฤติกรรมสู้ไม่ได้ คนที่ไม่ควร จะเป็นทรยศ ขี้โกง ขี้โลภ เห็นแก่พวก เห็นแก่ตระกูล กับผู้ที่ทำเพิ่มมวลประชาชนที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ มันไม่ได้เห็นยากอะไรมันง่ายเห็นชัดๆอาตมา ทำไมคนจะฉลาดน้อยจนกระทั่งไม่สามารถแยกได้ว่า อย่างทักษิณกับอย่างพลเอกประยุทธ์ ใครเป็นประชาธิปไตยเนื้อแท้ตัวจริงกว่าใคร ทำไมถึงยังโง่จนกระทั่งไม่รู้ว่าพลเอกประยุทธ์ 8 ปีเหมือนกัน ทักษิณก็ 8 ปี แล้วยังแถมต่อด้วย มากกว่าหรือเปล่า ตั้งแต่ 2544 ตัวเองถูกออกไปแล้วมี นอมินี สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ มากกว่า 8 ปี ทักษิณจะมากกว่าด้วยซ้ำไป ก็เห็นผลแล้วว่า มันก็น่าจะเทียบค่ากันได้ว่า ผลงาน ทั้งทุจริตและสุจริต ทั้งผลงานที่เกิดการพัฒนาให้แก่ประเทศชาติ มันชัดจะตายว่ามันเจริญกว่ากัน มันเสื่อมกว่ากันมันชิบหายกว่ากันเท่าไหร่ ถ้าจะอธิบายกันอย่างลึกซึ้ง ซับซ้อนแล้วนี่นะ ทักษิณนั้นขี้โกงไป พลเอกประยุทธ์ต้องมานั่งใช้หนี้ด้วยสร้างใหม่ด้วย ใช้หนี้ด้วย ก็ยังทำได้มีผลงานเหนือชั้นกว่าทักษิณ คิดดูสิ แค่นี้มองไม่ออก ฉลาดน้อยต่อไปเถอะ _ป๋อง.. ปีที่แล้วผมเชื่อพ่อท่านว่าพลเอกประยุทธ์ทำงานไม่ประชด 2533 พ่อท่านทำงานหนัก พ่อท่านว่า ทำงานอย่าประชดมันจะเสียหาย พ่อท่านบอกว่า พลเอกประยุทธ์ทำงานไม่ประชด ผมก็เชื่อตรงนั้น พ่อครูว่า… คือทำงานให้จริงใจ เราเข้าใจยังไง ถูกผิดอย่างไร ผิดเราไม่ทำ เราทำที่ถูก ที่ดี ที่ควร ไม่ต้องประชด อาตมาพูดนี้เป็นปรมัตถ์ เป็นเรื่องจิตเจตสิกที่ละเอียดลึกซึ้ง ในระดับโลกุตระ ไม่งั้นมันจะไม่แล้ว ประชดมันจะเป็นกิเลสเสริม มันไม่สมบูรณ์แบบ มันต้องทำหลายที ถ้าไม่ประชดแล้วทำทีเดียวจบ ทำด้วยความจริงใจ 1.ไม่ประชด 2. ทำแล้วไม่ต้องไปติดใจ เรามีความสามารถเท่านี้ทำไปได้อย่างนี้ แน่นอนผลก็ต้องออกมาตามความเป็นจริง จะมากหรือจะน้อยมันก็ต้องจริงตามที่เราทำ เพราะฉะนั้นก็ตามจริงเรานี่แหละ ถ้าไปประชดแล้ว การประชดเท่ากับการมีความสะท้อน ความสะท้อนนี้มันไม่จบเลย มันไม่หยุด มันไม่เป็นหนึ่ง มันมี 2 จาก 2 เป็น 4 จาก 4 เป็น 8 จาก 4 เป็น 16 ไปโน่น ซึ่งมันละเอียดขึ้นไปอีก แล้วไอ้ที่ความสะท้อนมันคือความไม่จบ เพราะฉะนั้นถ้าทำไม่ประชด มันจบเป็นหนึ่งเดียวเลย หนึ่งเป็นหนึ่ง หนึ่งคูณหนึ่งเป็นหนึ่ง หนึ่ง หนึ่งหนึ่ง หนึ่ง มันจบเลยมันก็คือหนึ่ง สำเร็จ การเลือกสส.เลือกนายกไม่ใช่เรื่องเล่นๆต้องตรวจสอบให้จริง _แปลกและดีในyoutube • จะเป็นสส .ไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์แม้แต่นิดเดียว.มาหาเสียงยังไม่มีข้อมูลไม่ศึกษา.แค่อยากได้ตำแหน่งเพื่อความเท่ เพื่ออำนาจ เพื่ออวด..แล้วบ้านเมืองจะรอดเหรอ พ่อครูว่า… เมืองไทยจะว่าไปแล้ว ถ้ามองอย่างดีๆก็ได้ เขาก็เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ให้คนใหม่ที่เขาอยากทำ ก็อย่าไปดูถูกเขาให้เขาลองฝีมือบ้าง มองดีๆ ถ้ามองให้ลึกซึ้งขึ้นไป เอ๊..เมืองไทยมันเป็นของเล่นหรือเปล่า อยากให้ใครมาเล่นอะไรก็เล่น มันเป็นของเล่นหรือเปล่า แล้วตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งเล่นหรือเปล่า ตำแหน่ง สส.ก็ดี ยิ่งตำแหน่งนายกก็ยิ่งกว่า จะเป็นตำแหน่งเล่นๆได้หรือเปล่า มันไม่ใช่ของเล่นนะจ๊ะ ทำเป็นเล่นไป เราพัฒนาประเทศเจริญมาถึงขนาดนี้ เหตุปัจจัยที่จะพัฒนาไปต่อ ก็ยังเป็นเหตุปัจจัยที่ดีที่ยังเต็มที่ ยังไม่เสื่อมทรุด ยังไม่ได้อะไร นอกจากปากหอยปากปู คนที่จะมาดิสเครดิตไปเฉยๆ ผิดถูกก็ว่าไป ถล่มทลาย ดูถูกดูแคลน ข่มกันเฉยๆ มันไม่เอาความจริงมาพูด ก็แล้วไปเถอะ เรารู้ความจริงแล้วมันควรจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นก็ขอเตือนสติประชาชนทั้งปวง อาตมาว่า 14 พฤษภาคม การลงคะแนนเสียงครั้งนี้ ตัดสินใจตรวจสอบให้ดีๆนะ อย่าผิวเผินไปถูกหลอกถูกครอบงำทางความคิด ที่มันมีแต่ละพรรค แต่ละเจ้า ต่างก็มีเหตุผลมาหลอกเยอะเลย เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่หลอกปฏิบัติจริงดำเนินจริงมีผลงานจริงอะไรต่ออะไรจริง ตรวจสอบให้ดีๆอย่าทำเป็นผิวเผิน _Here Thoon เฮีย ทูน • ถ้าเปิดโอกาสทุกพรรคทุกฝ่ายให้เข้ามาขายความคิดแนวทาง จะแสดงถึงความเป็นกลาง ความใจกว้าง ขันติความอดทนรับฟัง และปราศจากอคติด้วยนะครับ พ่อครูว่า…ให้คนมาพูดแสดงภูมิ มันมีขี้โม้ได้เยอะ แต่ผลงานที่ทำจริงสิ แต่ละพรรคแต่ละคนก็มีผลงานจริงผ่านมา ตัวแคนดิเดต ตัวที่ขึ้นจะมาชิงเป็นนายกกันอยู่ก็เห็นๆอยู่ ทำไมแค่นี้ยังจะต้องให้มาพูด ให้มาดีเบต ให้มาแสดงภูมิขี้โม้ให้เสียเวลาอีกทำไมอาตมาว่า ดูเหมือนว่าพลเอกประยุทธ์ไม่รับดีเบตใช่ไหม ดีแล้ว อย่าไปเสียเวลากับนักอวดฝอย อวดพ่น อวดพูด อวดอ้าง ยังไงๆ พลเอกประยุทธ์ก็มีผลงานทำมา คนที่เป็นคนมาดีเบตก็มีผลงานกันทุกคนเสนอหน้ามา เพราะฉะนั้นก็เอาที่เนื้อแท้เลยของแต่ละคน จะต้องพูดกันทำไม พูดมันพูดอะไรก็ได้โม้อะไรก็ได้ เหมือนอย่าง คุณเศรษฐาจะให้รายละหมื่นอายุ 16 ขึ้นไป นักวิจัยการคลังออกมาเต้นเหยงๆเลย ชิบหายนะคุณจะถ้าอย่างนั้นปรึกษาการคลังหรือเปล่าเอาเงินก้อนมาแสนล้าน ห้าแสนล้านมาแจกเลย แล้วมันจะเป็นยังไงการคลัง เศรษฐาเอ๋ย แล้วไปเอาง่ายๆว่าพูดภาษาอังกฤษก็ยังไม่เป็นเลย เขาถือว่าพูดภาษาอังกฤษเก่งก็เลยยกอันนี้มาข่ม ถ้าบอกว่า พลเอกประยุทธ์พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง ก็มีล่ามดำเนินงานมา 8 ปี แล้วไม่มีผลงานหรือไง สมัยนี้จะไปยากอะไร มีโทรศัพท์ก็พูดได้ทุกภาษา ตอบได้ทุกภาษา ขอให้กดเครื่องเป็นเถอะ คุณถามมาภาษาอะไรก็ได้ อัดมากดเลย แล้วมันแปลเป็นภาษาเรา ว่าไงก็รู้แล้ว เดี๋ยวนี้ใช้เครื่องกันเป็น สบม ธมดปกต หห จจ ปกต หห จจ มชยลล ไม่เชื่ออย่าลบหลู่เห็นไหม สะดวกจะตายทุกวันนี้ อีกหน่อยต่อไป จะเป็นภาษาสากลหมดแล้ว _ขอให้ข้อมูลเสริม เท่าที่ลูก ลองถามคนที่เข้ามาในชุมชนเรา ส่วนใหญ่เลือกลุงตู่ จะเลือกเพื่อไทยไม่กี่คน มวลชนดังกล่าวเป็นคนต่างจังหวัดหลายคนก็พร้อมเลือกลุงตู่ พ่อครูว่า… อาตมาเชื่อว่าพวกเราเลือกพรรคลุงตู่เสียส่วนใหญ่ พวกเราที่ชอบพรรคเพื่อไทยก็มีบ้างแต่ไม่มาก มั่นใจว่ามีน้อยเราก็ไม่ได้บังคับกัน คุณจะไปเลือกเพื่อไทยเราก็ไม่ว่าอะไร คุณเห็นว่าอันนั้นดีกว่าจริงๆ เขาไปเชื่ออันโน้นไปเข้าใจอันโน้น พูดถึงคนที่มาซื้อของตลาดอาริยะเป็นคนข้างนอกด้วย หรือ ประชาชนที่เข้ามาเที่ยวมาเล่นน้ำในหมู่บ้านเรา ตอนนี้มีเยอะอยู่ ก็สอบถามดูได้ สอบถามมาเป็นหลายร้อยคน _ช่อทิพ หนูทอง · เลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค. 8.00-17.00 น. บัตรสีม่วงเลือกส.ส.แบ่งเขต สีเขียวเลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อ ถ้าพรรคสัมมาธิปไตย …ถ้าได้มีสิทธิ์มีเสียงในรัฐบาล เอาธรรมะของศาสนาพุทธมาใช้บางเรื่องในการบริหารประเทศ ถามว่าศาสนาอื่นอาจรังเกียจ จะป้องกันล่วงหน้าได้อย่างไรคะ? พ่อครูว่า… คิดไปไกลนะ เรายังไม่คิดไปไกลถึงขนาดนั้นหรอก แต่ก็จะตอบว่าคิดอย่างไร อาตมาว่ากว่าจะถึงวันนั้น เราจะได้ขยายความเข้าใจ ขยายสัจธรรม ความจริงไป กว่าที่พรรคสัมมาธิปไตยจะมีคนขึ้นไปเป็น ส.ส จะเป็น ส.สแบ่งเขตหรือบัญชีรายชื่อก็ตาม แล้วเข้าไปมีสิทธิ์มีเสียงในรัฐบาล อาตมาว่าเราสามารถจะพูดได้ แม้ในศาสนาอื่นเขาก็ดูอยู่ เขาก็เห็นอยู่ เขาก็จะเข้าใจถึงสถานะความเป็นจริงในปัจจุบันนั้น status quo คือสถานะ ที่เป็นจริงในปัจจุบันนั้นๆ ไม่ใช่วันนี้ อาตมาว่าเขาจะได้รับความรู้ความเข้าใจเหมือนกับประเทศไทย ที่เป็นอยู่ ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีพุทธ 95% เป็นชาวพุทธ ศาสนาอื่นเกรงใจ เมื่อชาวพุทธมวลส่วนใหญ่เอาอย่างไรแล้ว เขาจะไม่ยกเอาศาสนาขึ้นมาเป็นข้อตัดสิน เขาจะเอาความรู้ทางการเมืองเป็นตัวตัดสิน เพราะฉะนั้นถ้ามวลของ ส.ส ที่ทำงานการเมืองออกเสียง เป็นอย่างไรแล้วเขาจะไม่เอาเรื่องของศาสนาเขามา ไม่ว่าศาสนาคริสต์หรืออิสลามตลอดมาของเมืองไทย เขารู้สถานการณ์อันนี้อยู่เพราะฉะนั้นจะไม่ทะเลาะกันไม่ขัดแย้งกันหรอก อย่างน้อยประชาธิปไตยก็ต้องถือว่าคะแนนเสียงส่วนใหญ่ย่อมชนะอยู่แล้วใช่ไหม _สู่แดนธรรม… หากเราเป็นเช่นนั้นจริงๆในอนาคต เราจะไม่ถูกรังเกียจจากศาสนาอื่นเลย เพราะเราไปเป็นผู้ที่เสียสละ ศาสนาไหนๆก็ต้องต้อนรับ เราไม่ได้ไปแสดงพิธีกรรม ถ้าเราเป็นแบบศาสนาพิธีกรรมเป็นความเชื่อ มันจะเถียงกัน พ่อครูว่า… เป็นเรื่องของสากล เรื่องของสัจจะ ไม่ใช่แสดงเรื่องศาสนา แต่มวลของศาสนาพุทธมันเยอะไง คนเป็นพุทธมันเยอะ มันก็เลยจะต้องได้โดยธรรมเป็นโดยธรรม เพราะฉะนั้นทางด้านศาสนาอื่นจึงยากเพราะมีมวลยังไงก็น้อย _ป๋อง… ตอนนี้รอมฎอน วิทยุรัฐสภาตี 4 ถึงตี 5 ผมก็จะได้ฟังความรู้ของศาสนาอิสลาม _ป้าเปิ้ล เชิญชม • ความอุตสาหะเสริม……ดิฉันคงต้องเติมสิ่งนี้ให้ตนเอง เพราะค่อนข้างจะไม่มีค่ะ พ่อครูว่า… เอาสำนวนเพลงของอาตมามาใส่ เข้าใจสำนวนนี้ได้ดีแล้วก็บอกว่าตัวเองยังขาดสิ่งนี้บกพร่องสิ่งนี้ เอาเชิญ ดีมาก _จาก คุณชาย หัวใจสีขาว • บ้านเมืองชิบหายยังไม่พออีกรึไงท่าน ข้าวของขึ้นราคา น้ำมัน แก๊ส ไฟฟ้าขึ้นราคาจนเดือดร้อนกันไปทั่ว การที่ท่านออกมาสนับสนุนแบบนี้ เหมือนกับท่านกำลังสร้างกรรมให้ตัวเองชัดๆ ดูบทเรียนที่พระหลายๆรูปโดนกรรมให้ผล จนต้องสึกจากพระก็มีให้เห็น..ระวังเรื่องกรรมเอาไว้นะท่าน มันตามสนองทันตาจริงๆ หมดศรัทธาจริงๆ พ่อครูว่า… โอ๊ย..คุณเอ๋ยคุณชายหัวใจสีขาว เอาเถอะขออนุญาตให้อาตมาแสดงความจริงใจของอาตมาก็แล้วกัน ส่วนคุณเห็นแย้งนั้นอาตมาก็เกรงใจ ยังไงก็ขอขัดแย้งกับคุณนะขอแสดงความจริงที่อาตมาเชื่อมั่นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อ มนุษยชาติ ตามความจริงใจของอาตมา ขออนุญาตนะคุณชายหัวใจสีขาวนะ อาตมาว่า อาตมาไม่ได้มองอย่างคุณมอง คุณมองว่าขณะนี้ข้าวของขึ้นราคา จนเดือดร้อนกันไปทั้ว มันเป็นความเห็นต่างก็ขออนุญาตว่า อาตมาเห็น อย่างนี้จริงๆไม่ได้หลอกตัวเอง คุณเองก็คงไม่ได้หลอกตัวเองแต่มันเป็นนานาสังวาส ความเห็นของคุณก็อย่างหนึ่งความเห็นของอาตมาก็อย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นคุณจะสนับสนุนทางโน้นก็สนับสนุนไป อาตมาก็ขอสนับสนุนทางอาตมาก็แล้วกัน ต่างคนต่างมองเห็นดาวกันคนละดวง ก็จะเห็นกันในอนาคตถึงผลพิสูจน์นั้น เอาอย่างนั้นก็แล้วกัน ไม่รู้จะว่ายังไงเพราะเกิดนานาสังวาสแล้วนี่ก็ต้องอย่างนี้แล้วเนาะ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอนที่ 3 การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ความเห็นนี้ตามภูมิโพธิรักษ์ ส่วนใครจะเห็นด้วย และนำไปทำให้เกิดจริงก็อนุโมทนายิ่ง ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และด้วยความเกรงใจว่า จะเป็นการสอนจระเข้ว่ายน้ำ เพียงแต่อาตมามั่นใจในสาระสัจจะของพุทธศาสนาว่านี่เป็นเนื้อหาแท้ๆของพุทธธรรมและเชื่อมั่นว่าดีจริง ไม่เคยล้าสมัยเท่านั้น ไม่ได้อวดดีหรือหลงตนว่าตนถูก-ตนดีเหนือผู้ใดเลย เพียงแต่มั่นใจใน“วิชาการ”ของพระพุทธเจ้าจริงแท้ ข้อที่ 1. การจะทำให้คนทั้งประเทศ ไม่มีคนจนนั้น เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด โดยความแท้จริง ชาวอโศกธนบัตรน้อยแต่มีความอุดมสมบูรณ์ทางอาหารให้คนอื่น คุณหอบธนบัตรกับหอบพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไปกลางทะเลถึงกลางทะเลแล้วใครจะตายก่อนกัน คุณกินธนบัตรนั้นตายก่อนพวกเรา พวกเรากินพืชพันธุ์ธัญญาหารแล้ว หรือหอบธนบัตรไปเต็มอยู่ที่กลางทะเลทราย ของเราก็มีพืชพันธุ์ธัญญาหารเยอะไปกลางทะเลทราย ใครจะตายก่อนกัน ข้อ 2. และยิ่งจะทำให้คนทั้งประเทศเป็นคนรวยไปทั้งหมด มันก็ยิ่งเป็นความคิดที่วิปริตวิตถารยิ่งใหญ่ จึงไม่ควรคิด และไม่ควรพูดเลยในโวหารหรือวาทะอย่างนี้ ข้อ 3. การพูดออกไปต่อสาธารณชนว่า คุณจะเป็นผู้ทำให้คนทั้งประเทศหายจนนั้น เป็นไปไม่ได้เลยในโลก ไม่ว่าคุณจะเก่งปานใด พูดเช่นนั้นจึงเป็นการคุยโต “สร้างราคา”ให้แก่ตนเอง เท่านั้น เพราะไม่มีใครหรอกในโลกทำได้ แม้แต่พระเจ้าก็มิบังอาจจะบันดลบันดาลให้เป็นเช่นนั้นได้ ถ้าทำได้พระเจ้าคงไม่ใจจืดใจดำปล่อยให้คนในโลกมี“ช่องว่างระหว่างคนรวยข่มคนจนกันเต็มสังคมโลกขนาดนี้”แน่ๆ ข้อ 4. ตามสัจจะของพุทธนั้นชัดเจนในความเป็นคน ว่า มีทั้งสมมุติสัจจะที่คนย่อมมีความรู้ความสามารถที่มากน้อยแตกต่างกัน และมีทั้งปรมัตถสัจจะที่คนย่อมมีวิบากของแต่ละคนที่ได้สั่งสมมา แล้วต้องใช้วิบากตามน้อย-ตามมากจึง“ดี-ชั่ว ; สุข-ทุกข์”ตามวิบากและตามปัญญาของตนจริง “อรหันต์”ของพุทธจึงคือผู้“จบกิจ”ที่มี“ปัญญา” ตนเป็นคนหมดสุข-หมดทุกข์สนิท อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ ในชีวิตที่ยังมีอยู่ อรหันต์จึงคือผู้มีชีวิตแสดงพฤติกรรมเป็นรูปธรรมให้ปรากฏว่า คนผู้แก้ปัญหาเศรษฐกิจก็“จบกิจ” ปัญหา“กิจ การงานเมืองหรือการเมือง”ก็“จบกิจ”ให้เห็นเป็นตัวอย่าง ซึ่งเป็น“สังคมคนวิเศษ”แปลกประหลาดๅมหัศจรรย์จาก“สังคมสามัญปุถุชนคนโลกียะ”ที่ยืนยันความแตกต่าง กันอยู่ให้เห็นพิสูจน์ได้ว่า คนอาริยะโลกุตระมีจริง ไม่ใช่แค่จินตนาการ ข้อ 5. ไม่มีใครเลยในโลกที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยทำให้คนทุกคนในประเทศ“หายจนไปทุกคน”ได้หมด มันเป็นไปไม่ได้ตามความเป็นจริง ใครๆก็เสกหรือบันดาลให้คนทั้งประเทศ“ไม่มีคนจนเลย” มันเป็นไปไม่ได้ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของตนหรือของสังคมให้ดีขึ้น ก็ไม่ควรแก้ด้วยการทำให้ตนหรือไปโฆษณายัดเยียดให้สังคมรวยขึ้นมากๆๆ กระทั่งถึงขั้นเพ้อกันและหลงยึดจะเอาแต่รวยๆๆๆ ชนิดที่มีแต่“ความเชื่อถือ”ว่าคนจนนั้นต่ำต้อย คนจนนั้นเป็นทุกข์ คนจนนั้นคือคนไม่มีประโยชน์ กระทั่งไม่มี“ความเชื่อ”ชนิดอื่นที่ดีวิเศษกว่านี้ ควรแก้ปัญหาด้วยการทำตนให้คนเข้าใจ“ความจน” นั้นมีนัยสำคัญอย่างประเสริฐสุด และการเป็น“คนจน”และให้เกิด“สังคมคนจน”ที่อยู่เย็นเป็นสุข ใช้ชีวิตอย่าง“อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ”นั้นเป็นไปได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นคนชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็น“คนจน”ที่สุขสำราญเบิกบานใจ ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ สถิตย์เสถียรยั่งยืน“ตัวอย่าง”ความเป็นคนชั้นหนึ่ง ผู้เป็น“คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)”ที่เป็น“คนจน”ผู้ไม่ทุกข์-ไม่สุข และเป็นคนผู้เพิ่มพูนการเสียสละสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม ให้แก่โลกยืนยันความจริงสุดวิเศษนี้ เป็นคนที่มีลักษณะพิเศษวิเศษ ที่น่าอัศจรรย์จริงๆ อาตมาเห็นความจริงเป็นเช่นนั้นจริงๆไม่ใช่ละเมอเพ้อพก ถึงพูดออกมาด้วยพยัญชนะภาษาตามที่เห็นจริงนั้น คนที่ฟังแล้วหมั่นไส้ไม่เห็นด้วยเพราะไปฟังบัญญัติไม่มามองความจริงที่อาตมาพาให้คนมาเป็นจริงได้ มันเป็นคนจนที่ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ อย่างนี้ มันจริงตามพยัญชนะภาษานั้นหรือเปล่า ถ้าคุณสงสัยว่ามันไม่จริงก็ขอเชิญมาอยู่สังเกตที่นี่สักปีสองปี หรือ 6 เดือนก็ได้ หรือ 3 เดือนก็ได้ 1 เดือนก็ได้ เชิญแล้วคุณจะเข้าใจได้ อยู่นานๆก็ยิ่งจะเข้าใจ ข้อ 6. คนควรมีจุดแห่งความ“พอ” เมื่อเรา“มี”วัตถุเงินทองของกินของใช้ ถึงจุด“เพียงพอ”ยังชีพสำหรับตนอยู่ได้กันแล้ว เราก็ควร“พอ” ต้องไม่บำเรอตนมากกว่านั้น การเป็นคนรู้จัก“พอ” มี“ใจพอ”นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ความเป็นผู้“สันโดษ(สันโตสหรือสันตุฏฐิ)”คือ ผู้เป็น“อาริยะ” เป็นคนเจริญแท้จริง เป็นคนประเสริฐ เป็นคนมีความรู้ฉลาดที่ยอดเยี่ยม นั่นคือ เป็น“คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)”ในโลก คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)นี้ ซึ่งเป็นคนมี“ใจพอ” เป็นคนมีน้อย”ก็พึงพอใจ เป็นคนมีปัญญาที่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงการเป็น“คนจน”ผู้ประเสริฐที่มีประโยชน์สร้างสรรค์เสียสละให้แก่สังคมอยู่ ว่า เจริญยิ่งกว่าเป็นผู้ได้เปรียบอยู่ในสังคม คนผู้มีปัญญาที่ยินดีในการเป็น“คนจน”จึงเกิดขึ้นแท้จริง อย่างเต็มใจเป็น“คนจน”ยินดี“ความมีน้อย(อัปปิจฉะ)” และเป็นคน“ใจพอ(สันโดษ,สันตุฏฐิ)” ถึงขั้นเป็นคนไม่สะสม(อปจยะ) แต่เป็นคนยอดขยัน(วิริยารัมภะ) และเสียสละอยู่ปกติสุข คนผู้มีจิตใจและปัญญาดังว่านี้ ไม่ได้เสแสร้ง แต่เป็นความรู้ความฉลาดที่เป็นโลกุตระแท้ เป็นใจที่จริงบริสุทธิ์ จึงเป็น“ความจริง”ที่ทำตนให้“จน”ได้อย่างเต็มใจเป็น “คนจน”ผู้มีปัญญา สังคม“คนจน”ที่แต่ละคนไม่สะสม แต่เป็นคนขยันสร้างสรรพัฒนาสังคม ไม่เอาจากสังคม แต่สร้างให้แก่สังคมอยู่จริง และในคนที่มีปัญญาตรงกันนี้มารวมกันอยู่ก็เกิดสังคม“สาราณียธรรม 6”ขึ้นได้ เป็นสังคมคนชั้นหนึ่ง เมื่อมีคนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)นี้มารวมกันเป็นกลุ่มหมู่ขึ้น ก็เกิดสังคม“สาราณียธรรม 6”ได้จริง จึงมีปรากฏการณ์ของ“สังคมอาริยชนคนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก”ที่เป็นจริง “สังคมคน”ที่ยกระดับเป็นอาริยชน“ชั้นหนึ่งหรือชั้นเอก(classic)”ยังไม่ได้ ก็เพราะยังเป็น“สังคมหรือหมู่กลุ่มมวลมนุษย์”ที่ยังมีคุณธรรมตาม“วรรณะ 9”ไม่มากพอถึงขั้นหรือยังมีไม่เต็มที่บริบูรณ์ คนชั้นหนึ่งหรือคนชั้นเอก(classic)จะเต็มบริบูรณ์ได้ ก็ต้องมี“วรรณะ 9” “วรรณะ 9”เป็น“คุณวิเศษ(อุตตริมนุสสธรรม)”ทั้ง 9 นี้ ได้แก่ (1)เป็นคนเลี้ยงง่าย(สุภระ) (2)เป็นคนบำรุงง่าย(สุโปสะ) (3)เป็นคนมักน้อยหรือกล้าจน(อัปปิจฉะ) (4)เป็นคนใจพอคือสันโดษ(สันตุฏฐิ) (5)เป็นคนปรับปรุงขัดเกลาตนเอง(สัลเลขะ) (6)เป็นคนมีข้อปฏิบัติที่พาสูงขึ้นๆ(ธูตะ,ธุดงค์) (7)เป็นคนมีอาการที่น่าเลื่อมใส(ปาสาธิกะ) (8)เป็นคนไม่สะสม(อปจยะ) (9)เป็นคนมีความขยันอยู่เสมอปกติวิสัยหรือปรารภความเพียร(วิริยารัมภะ) คนผู้ใดมี“วรรณะ 9”เป็นคนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอกแท้ ข้อ 7. ดังนั้น การบอก“ความจริง”อันประเสริฐแก่คนในสังคมโลก มันเป็นความดีงามแท้ จึงควรบอกให้คนทั้งหลายในโลก“เข้าใจ”หรือมี“ปัญญา”ในประเด็นนี้สำคัญยิ่งว่า คนที่มี“วรรณะ 9” เช่น คนที่มีใจพอ หรือคนที่มักน้อยคือ กล้าจน กระทั่งทำตนเป็น“คนจน”ได้นั้น เป็นคนเจริญจริง คนประเสริฐแท้ คนมีความรู้ฉลาดแปลกไปอีกแบบหนึ่ง เป็นคนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)จริงๆ ไม่ใช่คน“ชั้นสอง”ที่จะตกต่ำไปจาก“ชั้นวิเศษนี้”ไปเป็นคน“ชั้นสอง”อื่นใดๆอีกเด็ดขาด ทำไมคนที่มาเป็นคนจนชนิดนี้ จะกลายเป็นคนชั้น 1 คนชั้นเอกไม่ใช่คนชั้น 2 ไม่ตกลงไปเป็นคนชั้น 2 เลย ไม่ตกต่ำไปจากขั้นวิเศษนี้ จะไม่ไปตกเป็นคนชั้น 2 อีกเลยเด็ดขาด เพราะจิตวิญญาณมีปัญญา มีความชัดเจนเที่ยงแท้ยั่งยืนแน่นอนตลอดกาล เป็นความเห็นที่ไม่เป็นอื่นอีกเลย จะไม่แปรเป็น 2 เลย นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เที่ยงแท้ตลอดกาลไม่แปรเป็นอื่น ไม่มีอะไรมาหักล้างความจริงนี้ได้ ไม่กลับกำเริบเลย อสังกุปปัง จึงยืนยันได้เด็ดขาดว่าอันนี้เป็นความจริงถ้าไม่เป็นอย่างนี้ก็ไม่เป็นความจริง เป็นได้แล้วเป็นจริงเลยเป็นความเที่ยงแท้เป็นนิพพานไม่เปลี่ยนแปลง คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic) จึงจะเป็น“คนมีน้อยๆ, คนมักน้อย,คนกล้าจน(อัปปิจฉะ)” ซึ่งเป็นคุณวิเศษขั้นโลกุตระตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มีคุณสมบัติถึงขั้น“วรรณะ 9” ภาษาบาลีที่มีความหมายถึง“ขั้น”หรือ“ชั้น”ที่เป็น “หนึ่ง”หรือ“เอก”ก็คือ คำว่า “วัณณะ”หรือ“พัณณะ” ส่วนภาษาสันสกฤตก็ว่า “วรรณะ” หรือ“พรรณะ” อันเป็นภาษาสื่อให้รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงระดับของความเจริญหรือความเสื่อมในคุณธรรมของคน เมื่อ“ดี”ขึ้นจากเดิมก็ใช้คำว่า“สุ” ถ้า“ไม่ดี”หรือ“เสื่อม”ลงก็ใช้คำว่า“ทุ” ผู้เจริญก็คือ “สุพรรณหรือสุวรรณ” บาลีก็ว่า “สุพัณณหรือสุวัณณ” ผู้เสื่อมก็คือ “ทุพรรณหรือทุวรรณ” บาลีก็ว่า “ทุพัณณหรือทุวัณณ” ไทยเราแปล “สุวรรณ”หรือ“สุพรรณ”ว่า “ทอง” ก็คือสิ่งมีคุณค่าสูงสุดในประเภทโลหะ ซึ่งก็ยอมรับนับถือกันทั้งโลกเป็นสากลว่า “ทอง”คือโลหะที่มีคุณค่าสูงสุด ความเป็น“ชั้นหนึ่ง,หรือชั้นเอก(classic)”จึงคือ “ทอง” “คนจน”จึงเป็นคนที่มีคุณค่าเทียบเท่ากับ“ทอง” หรือ“คนชั้นหนึ่ง,คนชั้นเอก(classic)” เพราะเป็น“คนจน”ชนิดวิเศษที่มีความสามารถขยันสร้างสรรค์ จึงอุดมสมบูรณ์ สร้างได้มากเกินกว่าที่ตนเองกินตนเองใช้ แล้วนำออกสละเจือจานเผื่อแผ่เกื้อกูลแก่ผู้อื่นอยู่ในสังคม ชนิดที่เพิ่มพูนความเสียสละ ไม่ใช่เพิ่มพูนการเอาเปรียบ แต่เป็นคนไม่หวง ไม่เก็บกักไว้ เสียสละออกไป ภาวะเช่นนี้ จึงเป็นความเจริญยิ่งจริงแท้แน่นอน พฤติกรรมของคนดังกล่าวนี้แหละคือ คนผู้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้แก่สังคมแก่ประเทศชาติแก่โลกจริงแท้ เอาไว้แค่นี้ก่อน สมณะฟ้าไท… สรุปจบ Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin19 เมษายน 2023Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:660417 ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณมนุษย์ และอภิวัฒน์สังคม รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #18 ราชธานีอโศก NextNext post:660421 เกิดมาต้องรู้จักความเป็นคนกับสังคมจึงไม่เสียชาติเกิดพุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024