660417 ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณมนุษย์ และอภิวัฒน์สังคม รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #18 ราชธานีอโศก ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1Q_EgPQja-63Wq6GdTMhewSKxU4VAxhbA/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1QY5ZqlSOv2uOvh4lSTGM71XbzPjdtFBy/view?usp=share_link ดูวิดีโอได้ที่ และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/616732716659944 พ่อครูว่า…เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันจันทร์ที่ 17 เมษายน 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก เรามาเริ่มธรรมะกันด้วย SMS ก่อนแล้วก็ขยายธรรมะ อธิบายธรรมะไปตาม SMS มันก็เป็นการอธิบายไปสู่เป้า ของผู้ที่ใคร่รู้สงสัย ต้องการคำอธิบาย มันก็ไม่ใช่อาตมาพูดคนเดียว อาตมาพูดคนเดียวด้วยเจตนาจะเอาความรู้เอาธรรมะที่คิดว่าควรจะต้องขยายออกมาขยายออกมา ยังไม่มีใครรู้ ยิ่งไม่มีใครเข้าใจเลย จะต้องเอาออกมาให้สังคมมนุษยชาติได้รู้ มันก็ค่อยทำ ตอนนี้เอาที่ผู้ที่อยากรู้กับเขาบ้าง แต่ยังไม่รู้รายละเอียดก็ถามมา SMS วันที่ 12-15 เม.ย. 2566 ดู YouTube คนต่างชาติมากินมาเที่ยวไทยเป็นอบายมุขหรือไม่ _วาส ทองจันทร์ · กราบนมัสการพ่อครูค้วยความเคารพยิ่งครับ นานแล้วที่ผมไม่ได้ส่งข้อความถามปัญหา วันนี้ผมมีข้อสงสัยว่า จะผิดไหมที่ผมได้ดูยูทูปเกี่ยวกับชาวต่างชาติที่นิยมไทย ทั้งจีน ญีปุ่น เกาหลี ฝรั่ง แขก ที่เขาแห่กันมาเที่ยวไทย เห็นเขากินเขาเที่ยว เห็นเขามีความสุขและยกย่องไทยต่างๆ นาๆ ผมก็ดีใจปลาบปลื้มใจ และดีใจไปกับเขาเมื่อเขามีความสุข อย่างนี้มันเป็นอบายมุขไหมครับ พ่อครูว่า… ตอบในประเด็นสำคัญนี้ก่อนว่าเป็นอบายมุข ถ้านับอย่างดีๆ นับอย่างลึกซึ้ง เป็นอบายมุข ยังยินดีในเรื่องกินเรื่องเที่ยว ฟังดีๆนะธรรมะพระพุทธเจ้า ยังหลงใหลเสวยสุข เสวยทุกข์อยู่กับกินกับเที่ยวอย่างเป็นอบายมุข ระวัง.. เพราะฉะนั้นคนที่หยุดแสวงหากินอร่อย หยุดเที่ยวที่จะสนุก คนนี้ลดอบายมุข คนที่ยังไม่หยุดเที่ยว ที่ยังรู้สึกสนุกในการเที่ยว ยังเป็นอบายมุข คนที่ยังหลงแสวงหาอร่อยมาให้ตนเอง คนนั้นก็ยังมีอบายมุขยังข้องหาอบายมุข ยังท่องหานรกอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าจะไปเอาผิด เขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร เขาอวิชชาเต็มรูป ชาวที่ไม่ใช่พุทธ แม้แต่พุทธที่ยังไม่ประสีประสายังไม่สัมมาทิฏฐิอย่างลึกซึ้งจริงๆ ได้คิดขั้นโลกุตตระตามที่อาตมาพูดไป เขายังเป็นผู้แสวงหาความอร่อยให้แก่ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัส ยังแสวงหาการเที่ยวสนุกเพลิดเพลินใน ขิฑฑาปโทสิกะ ยังไปอยู่เรื่อยๆ ก็เอาแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ศึกษานิพพานต้องรู้แจ้งปฏิจจสมุปบาท _อุ้น ตาลทอง · อธิบายปฏิจจสมุปบาทให้ฟังบ้างได้มั้ยคะ จะรอฟังในยูทูปค่ะ พ่อครูว่า… ปฏิจจสมุปบาทเป็นธรรมะที่สมบูรณ์แบบตั้งแต่ไม่รู้สังขาร ไม่รู้วิญญาณแล้วก็แยกนามรูปไม่เป็น หรือสรุปมาเป็นอายตนะก็ไม่ได้ จะเริ่มที่เรียนรู้อีกมีผัสสะ มีเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดภพ เกิดชาติ ก็ยิ่งไม่รู้ใหญ่เลย เพราะฉะนั้นเมื่อไม่รู้ แม้ว่ามันจะเกิด เกิดอย่างนี้แหละมันจะเป็นสายเกิดไม่ใช่สายดับที่พูดกันเมื่อกี้ สายดับก็ไม่รู้ว่าอะไรมันเกิด อะไรคือชาติ เมื่อเกิดชาติมันก็เกิดภพ เกิดภพแล้วก็สั่งสมเป็นอุปาทาน เมื่อมีอุปาทานมันก็เคลื่อนไหวเคลื่อนที่ออกมาเป็นตัณหา เป็นตัณหาก็ออกมาเป็นความรู้สึกมาเป็นเวทนา เวทนาสุข สุขเวทนาต้องการที่จะสิ่งบำเรอความรู้สึกสุข ไม่ต้องการทุกข์ก็ดิ้นรนหาผัสสะ เอาผัสสะนั้นมาบำเรอสุข หรือที่จริงก็มาเสริมทุกข์ให้หนายิ่งๆขึ้นด้วยอวิชชาก็เป็นอย่างนั้นแค่นั้น นี่คือปฏิจจสมุปบาท เพราะฉะนั้นคนเราจะต้องมาเรียนรู้สภาวะหรืออาการของสังขารมันเป็นยังไง อาการของวิญญาณมันเป็นอย่างไร อาการของรูปของนามมันเป็นอย่างไร จนกระทั่งแยกอาการได้เป็นรูปนามได้เป็นภาวะ 2 ได้ รวมกันเป็นอายตนะก็รู้อาการได้ เพราะฉะนั้นอาการเหล่านี้นี่แหละเป็นอาการทางจิตเจตสิกรูปนิพพาน แล้วจิตเจตสิกรูปนิพพานนี้มันก็ยังติดสุขเกลียดทุกข์ไม่อยากได้ทุกข์ มันก็เป็นภาวะ 2 ที่ดูดและผลักอยู่แค่นั้น ก็มาเรียนรู้เวทนา ที่มันดูดหรือผลัก จนกระทั่งรู้ว่ามันไม่ต้องดูดต้องผลักอะไรนี่จิตวิญญาณ หรือเวทนาในมนุษย์ เพราะแม้แต่สามัญปุถุชนมันก็มีวาระที่ไม่สุขไม่ทุกข์ อทุกขมสุขเวทนาอยู่เป็นคราวๆเป็นเวลาพัก พักยก มีโดยอัตโนมัติแม้แต่ปุถุชนก็มี เป็นต้น แต่มันไม่อยู่นานหรอก พักยก มันยังโง่มันก็วิ่งหาสุข ก็คือ วิ่งหาทุกข์นั่นแหละ เพราะสุขทุกข์มันเป็นอันเดียวกันมันเป็นมายาหลอก ถ้าไม่มาเรียนรู้ว่าสุขทุกข์เป็นอารมณ์หลอกเป็นมายา มีศาสนาพุทธเท่านั้นที่ศึกษารู้เรื่องนี้ เทวนิยมในโลกนี้ไม่มีศาสนาไหนที่จะออกจากสุขจากทุกข์ไม่มี ผู้เรียนรู้สุขรู้ทุกข์แล้วจึงจะรู้จักอัตตา อนัตตา ได้อย่างแท้จริง ที่แท้ตัวเราอัตตาตัวคือ เอ๋ย ตัวกูก็โง่อยู่กับสุขกับทุกข์นี่แหละ ไม่เอาทุกข์จะเอาสุข แล้วก็บำเรอจิตอยู่อย่างนี้ ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ จึงมีความรู้ วิชชา ความโง่ของตัวเอง แล้วมันอยู่ไหนสุขทุกข์ สัมผัสอยู่ปัจจุบันนี้แล้วมันก็กลายเป็นอดีตแล้วก็ฝังให้ตัวเองยึดติดว่ามันเป็นจริงมีจริง แค่อดีตมันก็ไม่จริง แต่นึกว่าเป็นจริงก็อยู่ที่สัญญาคือความจำ เคยเป็นสุขนะ อย่างนี้คือทุกข์นะ อั๊วะไม่เอานะทุกข์ อั๊วะจะเอาแต่สุข อนาคตก็วิ่งหาแสวงหาที่จะเอาแต่สุข ก็จะได้ทุกข์อยู่อย่างนั้นแหละ ยิ่งกิเลสหนาโง่หนักๆซ้ำซ้อนเข้าไปอีก ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะคิดดูคนเราเมื่อไหร่จะมารู้ ยิ่งเราได้รู้แล้วจะยิ่งได้เห็นว่าน่าสงสารมนุษย์ แล้วมนุษย์เมื่อไหร่จะรู้อย่างนี้ จนกระทั่งทำตนให้อยู่เหนือไม่สุขไม่ทุกข์ แล้วจิตก็หมดเหตุที่จะพาเกิด ก็คือเมื่อไม่เกิดสุข มันก็ไม่เกิดทุกข์จิตก็ว่างจิตก็สะอาดจากเหตุที่มันจะสุขจะทุกข์ ก็กลายเป็นจิตอุเบกขา กลายเป็นจิต ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา แล้วสุดท้ายก็รู้ว่าจิตก็คือธาตุที่ปรุงแต่งกันอยู่เท่านั้น เป็นธาตุ ของรูปกับนาม พอตายแล้ว นามคือจิตนิยาม ตายแล้วเลิก ตายเป็น นิพพาน 3 ตายแล้วก็สูญ เป็นสุญญตนิพพาน ไม่ตั้งจิตต่อ อนิมิตนิพพาน ไม่สร้างนิมิตอะไรอีกเลย อัปนิหิตตนิพพาน จิตนิยามก็หายไปกลายเป็นดินน้ำไฟลม ไม่มีที่ตั้ง สูญไปเลย เลิกไปเลยอัตภาพนี้ก็หายไปเกลี้ยง จ้อย เป็นปรินิพพาน เป็นปริโยสาน สุดท้าย นี่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็เพราะรู้จักปฏิจจสมุปบาทนี่เอง ตลาดอาริยะเป็นการช่วยเศรษฐกิจประเทศเศรษฐกิจโลก _ศศิธร โลมะบุตร · ขอน้อมก้มกราบ นมัสการพ่อครู เจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ ( เพราะบารมีธรรมของพ่อครู คณะท่านสมณะ คณะท่านสิกขมาตุ และ มวลชาวอโศก ทั้งปวง รวมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ถึงสามารถจัดงานตลาดอาริยะอย่างเสียสละได้ยิ่งใหญ่นี้เจ้าค่ะ หาได้ยากยิ่งเจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ ) _สิริลักษณ์ ปัญญา : ปันสุขทุกคน ตลาดอาริยะ ขายของต่ำกว่าต้นทุน มีแห่งเดียวในประเทศไทย พ่อครูว่า… จริง ในโลกขณะนี้ไม่มีที่ไหนที่จะมีเจตนาจริงบริสุทธิ์ใจ ที่จะทำตลาดอาริยะ เพื่อช่วยมนุษยชาติให้เขาได้มีเครื่องกินเครื่องใช้ เพราะว่าเราไม่ได้ไปหาเครื่องเล่น เครื่องประเทือง เครื่องบำเรออะไรมาขาย เราขายแต่สิ่งที่เป็นสาระ เขาก็ได้มาอาศัยซื้อราคาถูกเอาไปใช้งาน มันเป็นการช่วยเศรษฐกิจให้แก่สังคม ให้แก่ประเทศ ให้แก่มนุษยชาติ เป็นการช่วยเศรษฐกิจ เหมือนรัฐบาลช่วย รัฐบาลแจกเงินไปแล้วเขาเอาไปทำเอง จะไปหาอั้นนั้นอันนี้แจกให้ทีเดียวมันก็ละเอียดเกิน แต่พวกเราอยู่ในพื้นฐานมวลมนุษยชาติ ก็พอรู้ว่า เครื่องใช้สำคัญ เครื่องกิน เครื่องใช้ที่สำคัญจริงๆเป็นสาระเป็นปัจจัยชีวิต เราก็หาสิ่งนั้นมาบริการกันเราก็ทำอยู่อย่างนี้ แล้วก็ทำมานานตั้งแต่อาตมาพาทำงานศาสนามา ทำตลาดอาริยะมา 40 กว่าปี 40 กว่าครั้งแล้ว ที่จริงมากกว่า 40 ครั้งที่ไม่ได้นับครั้งย่อยๆอีก เราเคยทำมาในจังหวัดนั้นจังหวัดนี้ ไม่ได้ทำส่วนกลางที่เดียวก็เคยทำ ก็เป็นความรู้ของเราที่รู้ว่าเราช่วยมนุษยชาติเสียสละอย่างนี้แหละ สังคมก็จะได้ค่อยยังชั่วขึ้น เหมือนกับรัฐบาลมีหน้าที่ช่วยสังคมเป็นการช่วยเศรษฐกิจสังคมโลก ลุงตู่ให้ใช้เตาถ่านเป็นสิ่งถูกแต่ทำไมถูกด่า _ทุ่งทอง ผ่องสุวรรณ · สาธุคับหลวงปู่..ผมชมตลาดนัดแล้ว ส่วนมากชาวบ้านซื้อเตาถ่านหรืออังโล่กลับบ้านกัน แต่ทำไมตอนลุงตู่บอกให้ชาวบ้านหันมาใช้เตาถ่าน มีแต่คนด่าลุง พ่อครูว่า… ช่างจับมาเนาะ อาตมาก็ไม่ได้ยินผ่านหูว่า ลุงตู่ได้พูดแนะนำให้ชาวบ้านใช้เตาถ่าน อาตมาไม่ได้ยิน ไม่ได้ผ่านหูว่าลุงตู่ได้พูด แต่คุณทุ่งทองได้ยิน คนอื่นก็ด่าลุงเลย ไปเอานิยายอะไรกับคนด่า เราจะต้องมีความมั่นคง มีความรู้ความมั่นใจว่าที่เราเสนอ เราช่วยสังคมมนุษยชาติไป มันเป็นสิ่งที่สมควร มันเป็นสิ่งที่จำเป็น มันเป็นสิ่งที่ควรที่จะต้องเสนอให้แก่สังคม เราก็ไปทำด้วยความรู้ความมั่นใจของเรา แต่คนจะด่านี้มันก็ด่าตะพึด มันหาเรื่องด่าไอ้โน่นไอ้นี่ไป เราก็ฟัง เขาด่าบางทีเขาด่าดีมีเหตุผลก็เป็นประโยชน์ บางทีมันด่าสาดเสียเทเสียเพื่อที่จะให้ดิสเครดิต ด่าเพื่อจะด้อยค่าเราไปเท่านั้น มันก็เป็นธรรมชาติมีอยู่ เราจะไปเอานิยายอะไรกับมันได้ เราก็ฟังไปมีประโยชน์บ้างก็เอามา ไม่มีประโยชน์ก็ปล่อยทิ้งไป _ฝากฟ้า นาวาบุญนิยม : ได้อดีตแอร์ฮอสเตส(น้องพิมพ์เพชรรุ้ง)ระดับอินเตอร์ มาจัดการเอง ทำความสะอาดห้องสุขา ก็ต้องสะอาดน่าใช้แน่นอน สาธุทุกๆท่านที่ร่วมด้วยช่วยกันสร้างกุศลครั้งนี้ นะคะ พ่อครูว่า…ผู้ที่เห็นควรทำเห็นว่าเป็นสาระกว่าที่เราทำมาก่อน แต่ก่อนก็ไปบริการแต่คนมีสตางค์ในเครื่องบิน ก็เป็นประโยชน์ระดับ หนึ่ง แต่เราบริการคนทั่วไปคนพื้นๆและเป็นความจำเป็นแล้วหาคนที่จะไปทำได้ยาก ถ้าตีราคาเป็นกุศลนี้จะเป็นกุศลที่สูง แต่ทางโลกไปตีราคาอย่างโน้นสูงอันนี้ราคาต่ำ ดีไม่ดีกดขี่ดูถูกดูแคลน คนที่มีปัญญาก็รู้สาระ ทำสาระให้เป็นสาระ คนที่ไม่มีปัญญาก็ไม่รู้จักสาระ ไปทำอสาระ รู้จักสิ่งที่เป็นสาระว่าเป็นอสาระ มันก็เป็นธรรมชาติของคนก็แบ่งกันทำไป _อนุชา นามบุตร : เมนูที่ชอบเลยคับ ส้มตำ ลาบหมู ลาบหมูแทบจะแยกไม่ออกเลยว่าเป็นลาบหมูเจ อร่อยมาก กับเมนูอาหารบาทเดียว (พ่อครูไอตัดออกด้วย) พ่อครูว่า… กินอาหารไม่ถึง 50 บาทท้องตึงเลย ถ้ากินหมด 50บาทท้องแตกเลย มีจานละบาท ส้มตำจานละบาท เศรษฐกิจที่นี่สุดยอดเลยนะ เราทำได้เราทำได้จริงๆมาแบบนี้เสมอ 40-50 ปี สุดยอด มันน่าจะทำต่อ _สิริลักษณ์ ปัญญา : ตลาดอาริยะแต่ละครั้ง นอกจากผู้ชื้อได้สินค้าราคาถูกแล้ว ยังสร้างรายได้ให้กับพี่น้องที่นำรถเข็นมาบริการ ขนสินค้าจากอาคารบวร ไปส่งที่ลานจอดรถ ก็เป็นระยะทางไกลพอสมควร โอกาสทองได้ของดี ราคาถูก สร้างรายได้ให้รถเข็นนำพาสินค้าสู่ลานจอดรถ สุดยอด ตลาดชุมชนรวมพ่อค้า แม่ค้า ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค ยกนิ้วให้ พ่อครูว่า…ดี _Chalad Sermpanya ฉลาด เสริมปัญญา : ปีหน้าขอตั้งตบะจะมาร่วมงาน..ให้ได้ค่ะ พ่อครูว่า… รีบมานะ ไม่ใช่อะไรหรอก อาตมาว่าตลาดอาริยะก็คงไปได้เรื่อยๆ กลัวคุณจะตายก่อน ให้รีบมา เดี๋ยวนี้ดูสิขนาดนายเอ๋ ชนม์สวัสดิ์อายุ 50 กว่าเอง ปึบเดียวตายจ้อย heat stroke ตายเลย นี่ก็พูดไปงั้นไม่ได้แช่งคุณนะ _ประดับ อินทร์แป้น · นับถือความเห็นของท่านดร.ไตรรงค์ครับ…ตรงไปตรงมาดี ที่เกี่ยวกับวงการของศาสนาอื่นครับ. _งามใบตอง นิลมณี · น้องปุ้ยกับคุณแม่นาลี จาก สปป.ลาว ก็น่ารักสุดๆ เลยค่ะ คุณแม่พาน้องปุ้ยมาเรียนที่นี่เลยค่ะ สาธุค่ะ พ่อครูว่า… เขาก็เป็นคนลาว จะมาที่นี่ อยากมาเห็นว่าดีก็มา ไม่มีปัญหาอะไร เป็นนักเรียนต่างประเทศก็ได้เนาะ จากลาวเป็นนักเรียนต่างประเทศมาเรียนที่ไทยเลยก็ได้ ก็แล้วแต่วิถีชีวิตของแต่ละคน _วิมล เจวรัมย์ · ปฏิบัติกร คุณแหม่ม คุณมะลิ คุณนาลีและลูก ๆ คุณเกตุมณีและลูก ๆ ทุกคนมีของเก่ามาทุกท่าน สุดยอดจริงๆค่ะ พ่อครูว่า… คนนี้ก็มองลึกถึงว่า พวกที่มาก็มีของเก่า ทุกอย่างมีมาแต่เหตุก็คงมีของเก่าด้วย แล้วก็มาได้รับของใหม่จนถึงขีดหนึ่งก็มาสัมผัสสัมพันธ์ ยังไม่มีบารมีถึงขีดถึงเขต มันก็ไม่เข้ามา หรือแม้แต่จะได้สัมผัสได้พบก็ไม่ได้สัมผัสไม่ได้พบก็เพราะไม่มีบารมี อันนี้ไม่ได้พูดอย่างเท่ๆแต่พูดด้วยความจริงเป็นอย่างนั้นเป็นไปตามนั้นแหละ _Ka Por ข้า พอ · เกศมณี คุยสนุก ด้ย_แปลว่า_ค่ะ ใช่บ่ พ่อครูว่า… ใช่ โด้ย ขะน่อย ก็คือขอรับกระผม(ดิฉัน) เป็นคำรับ หรือขอรับดิฉัน เป็นคำรับว่าใช่ เป็นภาษาลาว อีสานก็ใช้ อีสานเก่าๆก็โด้ยๆๆ พรปีใหม่ไทย 2566 จากพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ _สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ · ใครช่วยบอกได้บ้าง?ว่าพ่อครูประทานพรปีใหม่ไทยปีเถาะแล้วฤายัง?ปีที่แล้วพ่อครูให้พรปีใหม่ไทยวิถีใหม่ว่า หมดสุข..หมดทุกข์..ฯ ปีใหม่ไทยนี้ยังไม่มีใครส่งเพจ พรพ่อครูมาเลยสาธุ🙏🍓👬🌍👭🍊🙏 พ่อครูว่า… อาตมาให้พรไปหรือยังปีนี้ ปีที่แล้วให้บอกว่า หมดสุขหมดทุกข์ _สู่แดนธรรม… ปีนี้พ่อท่านให้ไปแล้วครับ อิสระ สบาย … พ่อครูว่า… อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ นี่คือพรปีใหม่ 8 คำนี้นะ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ 8 คำนี้ มันเป็นผลสำเร็จของชีวิตมนุษย์ มนุษย์ที่มีอิสระจริงๆสมบูรณ์แบบยิ่งใหญ่นะ ศาสนาเทวนิยมไม่อิสระสมบูรณ์แบบยังเป็นทาสพระเจ้า ศาสนาพุทธเป็นอิสรเสรีภาพที่สุดไม่เป็นทาสพระเจ้า เป็นตัวเองสมบูรณ์แบบ แล้วปรินิพพานเป็นปริโยสาน ให้แก่จิตนิยามตัวเอง แยกจบ ดินน้ำไฟลม จิตวิญญาณแตกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปเลยได้ นี่เป็นความอิสรเสรีที่สมบูรณ์ที่สุด เมื่อผู้ใดบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ ก็มีฐานอาศัย สบาย สงบ แล้วก็มีสังคม ตัวเองก็อบอุ่น อยู่กับสังคม อิ่มเอม เกษมใส สบาย ไม่มีอะไรหมอง ไม่มีอะไรหม่น ไม่มีอะไรทำให้ขุ่นมัวเลย แล้วมีใจเกื้อกูลกัน ช่วยเหลือกัน เอื้อเฟื้อกัน สุดท้ายเพิ่มพูนการเสียสละ สุดท้ายทิศทางมีแต่ก้าวหน้าไปหา เพิ่มพูนการเสียสละๆๆๆ เป็นสังคมที่เจริญสุดยอด เป็นสังคมที่จบกิจทางเศรษฐกิจ รัฐกิจ รัฐศาสตร์ จบกิจทางการเมืองด้วย จึงเป็นสังคมที่จบกิจบริบูรณ์ พูดไปนี่ พูดเอาเอง มีภาวะจริงของคนเป็นเช่นว่านี้ได้ไหม…ได้ครับ! คนที่รู้สึกว่าตนเองมีสภาวะนี้ก็รู้จริง ขานรับได้จริง คนที่ยังไม่รู้ก็ไม่ชัดเจน ก็ย่อมไม่ขานรับเต็มที่ หรือรู้จริงเหมือนกันแต่ขี้เกียจจะขานรับ หรือยิ่งกว่านั้น คือ เรื่องอะไรจะขานรับให้ได้หน้าทำไม…ให้อาตมาได้หน้าหน่อยไม่ได้หรือไง ที่อาตมาพูดไปเป็นสาระของสัจธรรมไม่ใช่เรื่องพูดเล่น เป็นสังคมที่สุดยอด คุณสื่อฟ้าศิลป์รู้ไว้แล้วนะ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ นั่นคือพรปีใหม่ _ซึ้งซื่อ วิเชียร… กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ เมื่องานปลุกเสกพระแท้ ๆ ของพุทธและงานตลาดอาริยะผมได้ร่วมงานทั้ง 2 รู้สึกปีติยินดีที่สุดเป็นครั้งที่ 2 ต่อจากงานปีใหม่ที่ราชธานีอโศกแห่งนี้ ถ้าหากมีงานต่อไปผมก็จะพยายามมาให้ได้เลยครับ มาร่วมงานทำให้ได้อ่านจิตอ่านกิเลสเมื่อมีผัสสะเกิดขึ้น จากสถานที่จริงด้วยตัวเป็น ๆ ขอขอบพระคุณพ่อท่านที่ได้สร้างแผ่นดินพุทธแห่งนี้อย่างสูงสุดครับ พ่อครูว่า… ฉลาด เข้าใจว่าต้องมาสัมผัสของจริง เห็นกิเลสจริง เกิดจริงจากสถานที่จริง มีเหตุปัจจัย มีองค์ประกอบจริงอย่างนี้แหละ อย่างน้อยก็มีคุณซึ้งซื่อ ขอบคุณอาตมาก็ดีแล้ว คนด่าก็ด่าไป ก็ยังมีคนขอบคุณบ้าง คนไม่ขอบคุณ เขาด่าก็ด่าเรา ก็ไม่รู้จะทำไง ก็เห็นใจเขาอยู่ เขาไม่รู้ว่าเรามีเจตนาดี แล้วสิ่งที่เสนอไปก็เป็นสิ่งดีนะ แต่เขาก็รับไม่เป็น รับไม่ได้ ไม่รับ เห็นเป็นของไม่น่ารับด้วย ก็แล้วแต่ ลางเนื้อชอบลางยา เอาเรื่องนี้มาพูด คุณบ้านเล็กเมืองน้อยเขียนมาหลายวันแล้ว เอามาขยายความเรื่องนี้กันดู คุณบ้านเล็กมืองน้อย เป็น FC ของพวกเรา เขาเป็นชาวคริสต์นะ แต่ภรรยาเป็นพุทธ แล้วเขาก็มีความรู้เรื่องพุทธ ไม่น่าจะเป็นชาวคริสต์เลยน่าจะเป็นชาวพุทธ เพราะชาวพุทธยังไม่รู้สึกว่าจะซับซ้อนลึกซึ้งได้เท่ากับคุณบ้านเล็กเมืองน้อยนะ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณมนุษย์ และอภิวัฒน์สังคม มาช่วยมนุษย์ให้จบกิจ _กราบสวัสดีปีใหม่ พ่อท่านด้วยความเคารพรักยิ่ง “เงิน” เป็นระบบความเชื่อใจ ที่ภิวัตน์โลก และทรงประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างขึ้นมา แต่ บ้างว่า “เงิน” คือ อสรพิษ… บ้างบูชาเยี่ยงศาสดา ….ว่าคืออำนาจ ครอบครองโลก บ้างกลับตีค่า “เงิน”… แค่เศษกระดาษชำระ…หนี้ได้ตามกฎหมาย แล้วทำไม!…. คนทั้งโลกกลับใช้พลังชีวิตเข้าแลก เพื่อให้ได้มาซึ่ง “เงิน” เพื่อความแจ้งชัด ต้องย้อนกลับไปสู่……แดนเกิดของคำว่า “เงิน” ในอดีตมนุษย์ร่วมกัน ออกหาของป่า-ล่าสัตว์เป็นหมู่กลุ่ม แล้วนำมาแบ่งสรรปันส่วนกัน…. กินหมดก็ออกล่ากันใหม่….. (ทำมาหากินอย่างแท้จริง ไม่มีเก็บกั๊ก) หาได้บ้าง ล่าไม่ได้บ้าง อดๆอิ่มๆ เป็นอนิจจัง จึงสั่งสมความอยาก-ต้องการความเที่ยง ที่แน่นอนสม่ำเสมอ ต่อมาเมื่อมีมนุษย์ผู้ละเอียดมากพอ รู้จักสังเกต ศึกษาธรรมชาติของพืชพันธุ์ ได้พอเข้าใจ พร้อมแรงผลักดันที่อยากเอาชนะความไม่เที่ยง ทำให้กล้าแหกกฎ แหวกแนว ริเริ่มทดลองเพาะปลูก พอเพาะปลูกได้ผลผลิตมา กลับเริ่มหวงแหน รู้จักการกักตุน..เป็น “ของกู” การจับจอง กีดกัน แบ่งแยก จึงเริ่มต้น ….เมื่อความโลภเข้าครอบงำ ทำให้หมกมุ่นเพาะปลูกกันเป็นล่ำเป็นสัน ครอบครัวที่ได้ผลผลิตเยอะก็เริ่มสั่งสมกำลัง เพราะกลัวถูกแย่งชิง จนกลายเป็นผู้มีอำนาจอิทธิพล เมื่อผู้คนรวมตัวกัน จากหมู่บ้านเล็กๆ ขยายตัวเป็นเมือง เมืองใหญ่ๆก่อตัวเป็นอาณาจักร เป็นแว่นแคว้น จึงกำเนิดมีผู้เชี่ยวชาญ เฉพาะด้าน……แต่ความสร้างสรรค์เฉพาะด้าน ไม่ได้ตอบสนองการดำรงชีวิตให้ง่ายขึ้นเท่านั้น ….ยังปลุกเร้าให้ตัณหามากขึ้นอีกด้วย ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านนี่เอง ได้นำไปสู่ การแลกเปลี่ยนผลิตผล เช่น เมือง ก. ทำข้าวหมากอร่อย ส่วนเมือง ข. ที่อยู่ข้างๆ ทำผักดองรสเลิศ…. ก. กับ ข. ก็นำมาแลกกัน ตรงไปตรงมา …..แต่เมื่อมีผู้เชี่ยวชาญหลายๆด้าน การแลกเปลี่ยนผลิตผลกันเริ่มมีเพิ่มขึ้น เหลี่ยมเล่ห์เพทุบายก็เพิ่มขึ้นตามวิวัฒนาการของกิเลส …..การแลกเปลี่ยนจะยุ่งยากขนาดไหน ! ? …. ความซับซ้อนนี้หมดไป ….เมื่อมี ผู้เชี่ยวชาญ ด้านคิดค้น ที่เป็นสมุนเกาะกินผู้มีอำนาจ (..แบบที่ Adam Smith คิดระบบทุนนิยม ให้นายทุน) ได้คิดค้น..แก้ปัญหาการสะสมกักตุนแบบไม่เน่าเสีย พร้อมด้อยค่าผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ …โดยสร้าง ตัวกลางในการแลกเปลี่ยน …ที่ทุกฝ่ายยอมรับกันได้ขึ้นมา …..สิ่งนั้นเรียกว่า “เงิน” จากการค้ำประกันของผู้มีอำนาจ “เงิน” จึงได้รับการยอมรับไปทั่ว ทุกคนต้องการ “เงิน” ก็เพราะ คนอื่นๆ ก็ต้องการ “เงิน” เช่นกัน…. แม้แต่คนที่ไม่รู้จักกัน ไม่เชื่อใจกัน ยังสามารถร่วมมือกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อ “เงิน” ชาวพุทธ ชาวคริสต์ ชาวมุสลิม…. อาจจะไม่เห็นตรงกันเรื่องคำสอนของศาสนา แต่พวกเขาเห็นตรงกันในมูลค่าของ “เงิน” ซึ่งก็หมายความว่า คุณสามารถแลกเปลี่ยนเงิน กับอะไรก็ตามที่คุณอยากได้ (ถ้ามีคนยอมขาย) กระทั่งการเอารัดเอาเปรียบกัน กลายเป็นอาชีพ ! เกิดเป็น “ระบบนิเวศทางการเงิน” ที่โยงใยซึมลึกเข้าเส้น ก่อเครือข่ายชูชีพด้วยหนี้สิน …..กัดกร่อนสมรรถภาพมนุษย์ให้(พ่อครูว่า จนกระทั่งถ้าไม่มีเงินไม่มีชีวิตที่อบอุ่นไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดไหม ถ้ามีเงินแล้วจะรู้สึกว่ามีอำนาจกล้าหาญชาญชัยเอาเงินฟาดหน้าเลยอะไรอย่างนี้เป็นต้น)ปวกเปียก จนเครื่องอาศัยล้นชีวิต ……ทำลายจิตวิญญาณไปในที่สุด จากนิรมาณกาย(พ่อครูว่า… ที่มันเชื่อถือว่ากันว่าตั๋วแลกเงินคืออำนาจยิ่งใหญ่ก็คนรับกันที่จริงมันไม่มีจริง ตั้งค่ากันขึ้นมาแล้วก็ยอมรับกัน ใครที่สามารถทำให้สังคมยอมรับได้กว้างขวางมากเท่าใด ตั๋วเงินใบนั้นอัตราค่านั้นก็มีค่าขึ้น ถ้าใครสักคนบอกว่านี่เงินใหม่นะ ดีไม่ดีผิดกฎหมายถูกจับเลย ทุกวันนี้ยอมรับสมมุติกัน ว่าอย่ามาตั้งค่าเงินขึ้นมาอีกนะ ตำรวจจะจับเอา จะมาสร้างค่าเงินซ้อนในประเทศมันไม่ได้มันผิดกฎหมายเลยนะ) (พ่อครูไอตัดออกด้วย) _สู่แดนธรรม… สมัยโบราณเปรียบเงินคือ แก้วสารพัดนึก มันก็จริงนะ พ่อครูว่า… ย้อนมาจากเหตุว่า กว่าจะมาเป็นธนบัตร ของแต่ละชาติแต่ละประเทศ ที่คนมายึดติดยึดถือเป็นสิ่งที่สำคัญจากสังคม มันก็เกิดจากสมมุติจากความต้องการของกิเลส เกิดจากการไม่รู้ว่า จริงๆแล้วสาระของชีวิตที่เป็นเหตุปัจจัยของชีวิตนั้น มันคืออะไร แล้วตนเองสร้างตรงเลย สร้างเหตุปัจจัยที่ชีวิตอาศัย เช่น ข้าว ผ้า ยา บ้าน ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ตั้งแต่เงินยังไม่มีอำนาจบาตรใหญ่เท่าทุกวันนี้ ท่านตรัสรู้แล้ว สอนไว้แล้ว เพราะฉะนั้นผู้ที่เห็นความสำคัญของชีวิตก็จะไม่ต้องไปหลงใหลได้ปลื้มกับธนบัตรแบงค์ กระดาษชำระที่ใช้กัน เราไม่ไปเป็นคนชั้น 2 ที่ต้องอาศัยเงิน เราเป็นคนชั้น 1 ที่ตรงไปข้าวผ้ายาบ้านเลยสร้างเองแจกกันหรือแลกกันกินใช้ ชีวิตจะไม่ต้องไปอยู่ในวงโคจร ของพวกที่หลงใหลใช้อำนาจเล่ห์เหลี่ยมในนั้นสารพัด อยู่ที่ตัวเองโง่ไปหลงอยู่กับตัวเลขราคาสมมุติของธนบัตรทั้งๆที่เป็นกระดาษแผ่นๆพอๆกัน ของประเทศนี้ค่ามันสูงกว่าประเทศนี้ทั้งที่กระดาษพอๆกัน เขียนตัวเลขสมมุติเอาไว้ หัวปั่นเลย เชื่อตาม หลงใหลได้ปลื้ม มีความมั่นใจถ้าเรามีธนบัตรของเจ้านี้เดี๋ยวนี้โลกเขารับรองมาก เงินอันนี้อันนี้ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้จะเป็นเงินอยู่ในอากาศ เรียกว่าเงิน เงินดิจิตอล เขียนตัวเลขสมมุติกันไปลอยลม อีกหน่อยอาตมาว่าในอนาคตจะเห็นเลยว่า พวกที่หลงใหลกับตัวเลขที่สมมุติกัน คนที่ยึดหลงใหลไปสะสมนั้น จะอยู่ยาก คนที่รู้แล้วว่า ไม่จำเป็นจะต้องไปแย่งไปชิง ไม่จำเป็นจะต้องไปหัวหมุนอยู่กับตัวเลขกระดาษ หรือว่าค่าที่แม้จะเป็นดิจิตอลก็แล้วแต่ อะไรที่เป็นสาระแก่นสารของชีวิต ที่อาศัยใช้ในชีวิต กินด้วยใช้ด้วยนี่แหละไม่มีเพียงพอแล้วหรือจะเป็นบริขารมีเครื่องประกอบที่จะต้องเอามาใช้บ้าง เป็นแว่นตา เป็นถ้วยชาม เป็นกระดาษ เป็นอะไรที่มันพอจะต้องอาศัยใช้สอย ก็สำคัญน้อยลงไปกว่าอาหารที่เป็นหนึ่งในโลก ที่กินที่อาศัย ก็จะรู้ก็จะมีปัญญารู้ในสิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ไปหลงใหลได้ปลื้มกับตัวเลข ไม่ไปอิงตัวเลขอยู่ในอากาศ สมมุติกัน ผู้ฉลาดมีปัญญาก็จะรู้ทันก็จะไม่ไปบ้ากับสิ่งเหล่านี้ ชีวิตก็จะสบาย ผู้ใดที่ยิ่งติดหนักเลย ว่า แหม.. อย่างนี้ ฉันมีหุ้นอยู่นะ ฉันเทขายไป อะไรต่ออะไร แล้วเขาก็จริงจังกันนะแล้วรวยกันไปเป็นชาติๆ แล้วก็ยังรุ่งเรืองกันอยู่ในโลก ทุกวันนี้ หลายร้อยปีมาแล้วพวกนี้ คนที่เข้าใจแล้วบอกว่า โอ้! มันไม่เที่ยงแล้วนะมันล้มง่ายๆ มันรับรองกันประเดี๋ยวเดียวมันก็กลายเป็นกระจอกเลยนะ รวยๆนี่ปุบปับๆ มันยิ่งไม่เที่ยงอย่างสำคัญเลย ถ้าเรามีฝีมือ มีความรู้ มีสังคมที่ ชีวิตนี้ คุณจะมีอะไรไม่มีอะไร เราเห็นความสำคัญน้อย แต่ความสำคัญในสิ่งสำคัญพวกนี้ เรามีอุดมสมบูรณ์พร้อมเพียง ช่วยกันทำช่วยกันสร้าง ทำไปเหลือกินเหลือใช้แจกจ่ายคนอื่นด้วย นี่คือผู้ที่รวยจริง ผู้ที่อุดมสมบูรณ์จริง ผู้ที่รู้ค่าของชีวิตจริง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าชีวิตที่เผินๆ ชีวิตที่มันไม่รู้จักสาระแก่นสารแท้กับชีวิตของคนที่รู้จักแก่นสารแท้คือใคร สิ่งที่มอมเมา สิ่งที่สร้างค่าว่า ถ้าคุณมีเสื้อ ตัวนี้สวยกว่าตัวนี้นะราคาแพงกว่านะ ก็หลงใหลไปตามค่าที่โลกเขาสมมุติ อย่าว่าแต่เสื้อตัวนี้ราคามันแพงเลย มีค่านิยม เสื้อตัวนี้ ถ้าได้ใช้ จากคนนี้เป็นคนผลิต คนนี้คิดขึ้นมาตีราคา ธรรมดาเสื้อ 1 ตัว 100 บาทแต่นี่ราคาตั้ง 50,000 บาท ถ้าใครได้อันนี้มาใส่แล้วเหาะได้เลยนะ มันก็บ้าซื้อแล้วมันก็เหาะไม่ได้หรอก แต่มันเหมือนคนเหาะได้เลยนะเดินลอยหลง อันนี้มันก็เป็นสมมุติที่รู้กันอยู่ คนที่ฟังแล้วเข้าใจจะเห็นได้ว่าโลกมันจะสมมุติ มันไม่ต่างกันเลยเสื้อคลุมกายนี่ สมมุติว่าแค่เสื้อมีแขนบ้างไม่มีแขนบ้าง มีคออย่างโน้นอย่างนี้มีโน่นมีนี่ก็แล้วแต่ ทำให้มันต่างกันไปหน่อยแต่ก็สมมุติ ถ้าเจ้านี้เป็นสมมุติว่าเป็นเจ้าแห่งแฟชั่น เป็นแบรนด์เนมอันนี้ โอ้โห.. รู้สึกว่ามันฟ่องฟู ฟูฟอง มันอื้อหือ.. ผู้หญิงทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ใครเคยบ้าอย่างนี้มาบ้าง นั่นน่ะ เดี๋ยวนี้หายบ้าแล้วหรือยัง ตอบได้ จริงหรือเปล่า…จริง แต่ก่อนนี้โง่จริงๆ จะเห็นได้ว่าเราถูกสังคมหลอกมอมเมาครอบงำ เพราะฉะนั้นคนไหนที่หยุดโง่แล้วหายโง่แล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเสื้อผ้าหน้าแพรคือสิ่งที่กันร้อนกันหนาว กันแมลงสัตว์กัดต่อย กันความอุจาด ก็เท่านั้นเอง ก็อาศัยใช้สอยไป รู้สาระของมัน ไม่ใช่เรื่องหลอกมอมเมากันสารพัด จนกระทั่งไปตีราคาและไปใช้ธนบัตรกระดาษชำระหนี้ได้ตามกฎหมายมา แลกมาซื้อมา อะไรต่างๆนานากว่าจะได้ ต้องไปหาธนบัตรกระดาษชำระหนี้ได้ตามกฎหมายมา เพื่อจะไปซื้ออันนี้ๆ เหน็ดเหนื่อยมาก นี่แหละ เป็นเรื่องของโลกที่เราจะเรียนรู้กันไปหมด _จากนิรมาณกายของการแลกเปลี่ยน แล้วก็พากันเชื่องมงาย อุปโภค บริโภคกันไป ….มีสัมโภคกายกันไป จนเป็นตัวเป็นตน…เป็นเหรียญ เป็นธนบัตร เป็นอาทิสสมานกาย ที่เพียงดำรงอยู่ในจินตนาการร่วมกันของมนุษย์เท่านั้น พ่อครูว่า… เทวนิยม สมมุติพระเจ้าขึ้นมาแล้วก็ สัมโภคกายร่วมกัน ไม่มีพระเจ้า พระเจ้าจริงๆก็คือความรู้ของศาสดาแต่ละองค์นั่นแหละ ท่านสั่งสมกรรมวิบากของท่านมามีความรู้ความจริงของท่านได้เท่านี้ แล้วท่านก็เอามาประกาศกับคน ให้ศึกษาอย่างนี้แล้วดำเนินชีวิตไปตามอย่างนี้ ก็ใช้ในสังคมแต่ละกลุ่มของศาสนาแต่ละศาสนา ก็เป็นเท่านี้แหละ _แต่แทบทั้งโลกกลับยังคงงมงาย ตกเป็นทาสของ “เงิน”เรื่อยมา จากเร่าร้อน..เป็นร้อนรน..ในโลกปัจจุบัน ข้อมูลสำรวจในปี 2019.. โลกมีเงินทั้งสิ้นรวมกันแล้วประมาณ 3,000 ล้าน ล้านเหรียญสหรัฐ มีเพียง 8% ที่จับต้องได้ในรูปธนบัตรและเหรียญเท่านั้น … ที่เหลือเป็นเพียงตัวเลขในบัญชีที่อยู่ใน server computer….แต่หนี้สินที่ท่วมโลกกลับมีมูลค่าสูงถึง 7,000 ล้าน ล้านเหรียญสหรัฐ ในอนาคตอันใกล้นี้(อีกไม่นาน) เงินทั้งโลกจะกลายเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้อย่างแท้จริง …จะเป็นแค่เพียงตัวเลขในระบบ Digital Currency ที่อยู่ใน Digital Wallet (application บนโทรศัพท์มือถือ) ….โดยมี CBDC (Central Bank Digital Currency) เป็นเจ้ามือกินรวบ ไม่แบ่งค่าต๋ง มาทำการควบคุม ดูแลการแลกเปลี่ยนตัวเลข กับสินค้า-บริการในทุก transaction(ธุรกรรม)….. ซึ่งจะควบคุมทาสของเงิน ให้เป็นไปในอำนาจได้อีกด้วย ดังนั้น “เงิน” จึงเป็นอะไรก็ตาม ที่ใช้เพียงเพื่อ..แทนค่าสิ่งของหรือบริการ (เช่น บุหรี่ก็คือเงินในคุก น้ำแทนเงินในทะเลทราย เป็นต้น)….. และความจริงแล้ว มนุษย์ไม่ได้โหยหา “เงิน” ที่ลักษณะทางกายภาพ แต่มุ่งหวังไปที่ ความสามารถในการแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นได้ ของเงินต่างหาก แต่ในที่สุด “ความโหยหามุ่งหวัง” ในใจมนุษย์ก็ถูกขจัดไปได้ โดย… “ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณมนุษย์ และอภิวัฒน์สังคม” – สมณะโพธิรักษ์ ท่านสอนให้มีใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ…โดยใช้ “ศีล” ของพระพุทธเจ้าเป็นตัวกำกับ (แล้วสังคม เศรษฐกิจ การเมืองดีๆจะตามมาเอง) ๔๐กว่าปีมาแล้ว ที่ท่านได้ริเริ่มให้จัดมหกรรมการเกื้อกูล เพื่อฝึกฝนเพิ่มพูนการเสียสละ ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และเป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จของท่าน ขอเชิญผู้ยังลังเลสงสัย และผู้ยังไม่รู้ว่าสงกรานต์จะไปไหน …มาเป็นสักขีพยานให้เป็นที่ประจักษ์แก่ตนได้ .. ในงานตลาดอาริยะครั้งที่ ๔๒ ณ ราชธานีอโศก จังหวัดอุบลราชธานี วันที่ ๑๓-๑๕ เมษายน ๒๕๖๖ งานที่มีความเกื้อกูล และเสียสละ เบ่งบานภิวัตน์ไปทั้งงาน ( ถ้าปีนี้ไม่ทัน ค่อยมาปีหน้า หรือปีต่อๆไปก็ได้ …เค้าจัดทุกปีไม่ย้ายไปไหน ) พ่อครูว่า… นี่เป็นสัญญาประชาคมนะ จัดทุกปีไม่ย้ายไปไหน เท่ากับสัญญาประชาคมเลยนะนี่ ตลาดอาริยะ มาพูดถึงเรื่องนี้จริงๆแล้วนี่นะ อาตมาว่ามันเป็นเรื่องสัจจะ และเป็นเรื่องจริงใจ อย่างชาวอโศกอาตมาพาทำนี้ ตั้งแต่อาตมาทำมาอาตมาว่าอาตมาจริงใจ ในเรื่องที่จะแจกจ่ายเผื่อแผ่เกื้อกูลแก่สังคมมนุษยชาติกัน ใครจะมารับบริการนี้ เราทำให้จริงๆเสียสละเกื้อกูลกันไป โดยไม่ทำเหมือนอย่างที่คนที่อื่นเขาทำ อย่างพระหลายวัดหว่านเงินธนบัตร หว่านแจก มารับกันเยอะแยะเราไม่ได้ทำอย่างนั้น แต่เราทำนัยยะอีกอย่างหนึ่ง ให้มีการได้ฝึกฝน แต่ก่อนนี้ตลาดอาริยะของเราแย่งกันแล้วก็มีเล่ห์เหลี่ยม มีการหาพรรคพวกมาเข้าแถวเข้าคิวต่างๆนานา เดี๋ยวนี้รู้จักเอื้อเฟื้อแบ่งปัน ไม่แย่งไม่ชิง นี่คือการทำให้สังคมเกิดจิตพัฒนา จิตวิญญาณเจริญขึ้น ไม่ได้เห็นแก่ตัวรู้จักการแบ่งแจก นี่คือการสร้างเศรษฐกิจ กับมนุษยชาติที่ทำให้เกิดพัฒนาจิตวิญญาณ รู้ว่าอยากได้แต่ก็ไม่ขี้โลภจนขึ้นหน้าเหมือนอย่างแรกๆ มีพัฒนาการอย่างนี้ สังคมมนุษยชาติที่พระพุทธเจ้าค้นพบเป็นสุดยอด กิเลสเป็นตัวเหตุ เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ไม่ว่าแค่อยากได้วัตถุ อยากได้อำนาจ อยากได้การสรรเสริญยกย่อง แม้ที่สุดอยากได้ความสุขที่มันไม่มีตัวตนที่สุขเลย สุขด้วยการสร้างค่าขึ้นมาเป็น นิรมาณกาย แล้วสัมโภคกาย ที่จริง มัน ไม่มี อทิสมานกาย แต่ก็มาสมมุติแล้วก็ติดยึดกัน ผู้ที่ไม่เข้าใจอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีปัญญารู้ว่า คุณอยู่กับปัจจุบัน อะไรที่เป็นความสำคัญในชีวิตที่จะตั้งอยู่ อาหาร เป็นหนึ่งสำคัญ นอกนั้นก็เป็นเครื่องอาศัย เครื่องอาศัยที่ว่านี้ไม่ใช่เป็นเครื่องอาศัยที่จะใช้ เป็นเครื่องมือในการเอาเปรียบ แต่เป็นเครื่องมือในการเสียสละ เราจะใช้งานนี่ กระดาษแผ่นหนึ่งเขียนแล้วก็บันทึก สิ่งที่ทำยังไงเราจะประพฤติเสียสละให้แก่สังคม ไม่ใช่เอามาบันทึกว่าทำอย่างนี้เราจะได้เปรียบสังคม เพราะฉะนั้นความเจริญของมนุษย์ จึงอยู่ที่ความได้เสียสละ ชีวิตเราสามารถพึ่งตนเองรอด เราสร้างสรรค์ แม้เราไม่ได้สร้างสรรค์โดยตรง เช่น เราไม่ได้ปลูกข้าวโดยตรง เราไม่ได้ปลูกพืชผักเข้ามาอาศัยกินโดยตรง ไม่ได้สร้างเสื้อผ้าโดยตรง ไม่ได้สร้างยารักษาโรคโดยตรง ไม่ได้สร้างบ้านเรือนโดยตรง หรือไม่ได้สร้างสิ่งที่เป็นบริขารคือสิ่งที่จำเป็นต้องเอามาใส่ใช้สอยประกอบชีวิต แต่ เราก็มีความรู้ความสามารถในด้านอื่นที่จำเป็น มนุษย์ต้องอาศัยใช้สอยในยุคนี้ แม้ที่สุดสร้างขึ้นมาเป็นสิ่งที่บาป เป็นสิ่งที่ ทำลายชีวิตเป็นสิ่งไร้ค่า ทำลายชีวิตและมอมเมามนุษย์ ผู้มีปัญญาก็เข้าใจว่าเราไม่ควรไปสร้าง สิ่งที่สร้างขึ้นมาแล้วฆ่าทำลายชีวิต สร้างขึ้นมาเป็นสิ่งมอมเมาเป็นสิ่งเป็นพิษต่อชีวิต ชีวิตเราเกิดมามีเวลาเหมือนกันเท่ากันเอาไปสร้างทำไมแบบนั้น กรรมเป็นอันทำด้วย ไร้ค่าเป็นบาปให้แก่ชีวิตอีก ผู้ที่รู้ลึกซึ้งไปถึงขั้นบาปไม่ทำ รู้จักกรรมวิบาก เทวนิยม ยังไกลมากเลย ที่เขาไม่เชื่อไม่รู้จักกรรมวิบาก เพราะฉะนั้นเขาจะสร้างอาวุธขึ้นมาฆ่าชีวิต สร้างสิ่งมอมเมามามอมเมามนุษย์ สร้างสิ่งที่เป็นพิษมาให้แก่ชีวิตมนุษย์ เขาไม่รู้ เพราะศาสดาหรือพระเจ้าไม่ได้สอนเขา แต่ศาสนาพุทธสอนเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นผู้รู้จริงอย่างชาวอโศกจะไม่ไปสร้างอาวุธ จะไม่ไปสร้างสิ่งที่เป็นพิษ จะไม่ไปสร้างสิ่งที่มอมเมา สร้างแต่สิ่งที่เป็นสาระ แต่ละเวลากับกรรมของเรา Kama and time of continuum สันตติ ที่มันดำเนินไปเป็น continuing ชีวิตเราจึงมีกรรมที่มีค่าไปแต่ละกาละของชีวิต รู้จักพักรู้จักเพียร ชีวิตผู้ที่รู้จักสาระแล้วไม่เอาเวลาเอาแรงงานเอาทุนรอน เอา เวลา แรงงาน ทุนรอน เอามาสร้างสาระแก่นสารชีวิตแม้แต่บริขารก็อาศัยใช้บ้าง อาศัยด้วย แต่อันไหนเป็นที่หนึ่งในโลกก็เข้าใจช่วยกันทำ เพราะฉะนั้นอาตมาเน้นให้พวกเรามาเป็นกสิกร สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารนี้ ผู้ที่จะเก่งในทางที่จะสะพัด การสะพัดทุกวันนี้ การที่จะแจกจ่ายเจือจาน ออกไปสู่มือผู้จะรับข้างนอกอีก เราก็พยายามมีความรู้ศึกษาเพื่อเอาไปแจกจ่าย แต่ การจะแจกจ่ายเผื่อแผ่เพื่อผู้อื่นต่อไปของเรา เป็นระดับเศรษฐกิจโลกุตระ ไม่ได้ออกไปแจกจ่ายเผื่อแผ่แบบที่จะได้เปรียบหรือเอาเปรียบมาคืน แต่เป็นการแจกจ่ายไปเพื่อที่จะเสียสละ เพราะเรามีความพอ จิตของเรามีสันโดษ สันตุฏฐิ มีความสามารถสร้างอาศัย มากินใช้เพียงพอ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นจะต้องไปเอาเปรียบเอาเกินกว่าค่า กว่าสิ่งที่จะไปเอาเปรียบเขา มันเป็นหนี้ เอาเปรียบมันชั่ว ไม่ได้เป็นคนดีอะไร เราไปเผื่อแผ่แจกจ่าย เสียสละแบ่งปันแก่ผู้อื่น ผู้ที่มีเศรษฐศาสตร์ในญาณปัญญาแบบนี้ คือ ผู้ที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์เอกของโลกและประพฤติเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ช่วยสังคมอยู่จริง เป็นตัวที่ทำให้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ต้องแก้ เพราะเราช่วยให้เศรษฐกิจนี้เป็นจริง กระจายสะพัดสิ่งที่อาจจะมีจำนวนจำกัดให้ทั่วถึงกัน คือนิยามของเศรษฐศาสตร์ เราทำแล้ว เราทำอยู่ และทำต่อ อันเดียวกันกับ นายกฯประยุทธ์ ตรงกันเลย ของในหลวงตรงกันคือ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ก็ตรงกันเราก็ทำ นายกฯประยุทธ์ทำโดยเจตนารมณ์อย่างนี้ ตามที่ท่านรับผิดชอบ เราก็สำคัญในหน้าที่ของพวกเรา นายกฯประยุทธ์ไปแบกรับการบริหารของประเทศ ท่านก็รับไป เราก็ไม่ได้ไปทำหน้าที่นั้น เราก็ทำหน้าที่สร้าง สิ่งที่ให้คนอาศัย แล้วเราก็บอกกล่าวกัน บอกกล่าวกัน ถึงขั้นให้เข้าใจชีวิตว่า คนไม่จำเป็นจะต้องรวย เพราะคนที่เจตนาไปรวยนั้นเป็นคนโง่ เป็นคนไม่มีประโยชน์ เป็นคนที่ทำโทษภัยแก่สังคม เป็นคนมีภัยแก่สังคม ส่วนคนขยันหมั่นเพียรมีสมรรถนะ มีความรู้ความสามารถและก็สร้างให้แก่สังคมและก็เสียสละสะพัดออกไป นี่ต่างหาก พูดกับคนในโลกที่ไม่ใช่คนโง่ดักดาน ก็รู้กันทั้งนั้นว่าอย่างนี้เป็นความดีงามของ มนุษย์ เพราะฉะนั้นถ้าคนเข้าใจสัจธรรมอันนี้ แล้วมาทำความดีงามอย่างนี้มากกว่าคนเอาเปรียบ สังคมก็สบาย สังคมก็แย่งกันน้อยลง แต่ความจริงแล้วคนไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจังอันนี้ มันขี้โลภไม่มีจบมันโลภไม่มีพอ แล้วมันก็แย่งกัน แย่งกันอย่างร้ายแรงจนกระทั่งฆ่าแกงกัน ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมาหรือฆ่ามันแล้วเอาสมบัติมันมาเลย รุกรานกันในระดับประเทศ ในโลก ทำอยู่ เพราะเขายังโง่อยู่ ผู้ที่ไม่ทำแล้วคือผู้ที่เลิกโง่ ผู้ที่มาช่วยสังคมช่วยมนุษยชาติอย่างที่อธิบายไป ตรงตามสัจธรรมที่ว่าจริงๆ จึงเป็นผู้ที่อนุเคราะห์โลก ช่วยโลกไม่ให้เกิดแย่งชิงฆ่าแกง ให้อยู่เย็นเป็นสุข ให้สงบสบาย เพราะฉะนั้นเราสามารถที่จะทำกับสังคมกลุ่ม แต่ละกลุ่มแล้วก็ขยายกลุ่มให้คนอื่นได้เข้าใจแบบนี้แล้วก็มาทำตาม คือผู้ช่วยโลก ผู้ช่วยเศรษฐกิจโลกหรือช่วยรัฐกิจ ช่วยการบริหารการดูแล บริหารปกครองกันในโลก เป็นการช่วยสังคม สรุป แล้ว เศรษฐกิจ รัฐกิจ สังคมกิจ 3 พฤติกรรมนี้ไม่ได้แยกกัน เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสรู้ถึงสังคมว่าจะสงบจะเรียบร้อยสังคมจะราบรื่น สังคมจะอยู่อย่างอบอุ่นเป็นสุข อย่างที่อาตมาได้พยายามใช้คำให้มันทันสมัย ให้มันเข้ากับยุคแล้วสื่อกันรู้ว่า เป็นสังคมของคนที่มีภูมิปัญญา มาเอาเองเรียกว่า อิสระ เราไม่ได้ไปบังคับให้ใครมาเอานะ แล้วไม่ได้ล่อหลอกไม่มีอะไรแฝง พูดให้ชัดให้ตรงให้คมให้แม่นด้วยสาระ ไม่ได้มีสี ไม่ได้มีน้ำตาล ไม่มีอะไรพอกมากเลย เพราะฉะนั้นบางอย่าง บาดเสียดสด ตรง มันไม่มีอะไรมาพรางมาบังมาลวง มันเนื้อแท้ คนที่จะมีภูมิปัญญารู้อย่างนี้แล้วมาทำอย่างนี้จริง จนมีปรากฏการณ์เกิดขึ้นจริง ให้คนที่มีภูมิปัญญารู้ได้ ใน Concept หรือใน ความยึดถือความรู้องค์รวมของคนส่วนใหญ่เป็นปุถุชน ยังมีเรื่องที่จะต้องบำเรอตนเองด้วย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) บำเรอตนไปด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันยังไม่ลดได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นคนที่ได้ศึกษาตามความรู้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างพวกเรา จะเป็นแบบเป็นตัวอย่างที่เป็นเศรษฐกิจก็จบกิจ รัฐกิจก็จบสังคมกิจก็จบกิจ คำว่า จบกิจ ภาษาบาลีว่า กตัง กรณียัง กตังคือจบแล้ว กรณียังคือกิจ หรือหน้าที่การงาน หรือสิ่งที่ต้องกระทำ จะกระทำในแนวไหน ในแนวเศรษฐกิจ ในแนวรัฐกิจหรือแนวสังคม มันเสร็จจบ จบคืออย่างไร คือ ไม่ต้องมาทำวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้แล้ว มันแล้วจบแล้วทำอย่างนี้ ทำ ขนาดนี้ มันพอดี พอเหมาะ อย่างนี้แหละใช้แล้ว ดีที่สุดแล้ว เช่น คุณไม่เอา เวลาแรงงานทุนรอนไปทำอย่างโน้น มาทำอย่างนี้ ได้ประมาณนี้ พอ เออ มันเกินหน่อยก็ดีเผื่อคนอื่นเท่าที่เราจะมีความสามารถ เพราะการเผื่อแผ่ผู้อื่นยังไม่ต้องสันโดษก็ได้ พระพุทธเจ้าบอกว่าเราไม่สันโดษในกุศล เพราะสิ่งนี้ผู้อื่นจะได้อาศัย ไม่ใช่สิ่งมอมเมา ไม่ใช่สิ่งเป็นพิษ โดยเฉพาะไม่ใช่สิ่งที่จะไปฆ่าแกงทำร้ายทำลายเค้าเด็ดขาด เป็นสิ่งที่ชีวิตต้องอาศัยใช้สอย เพราะฉะนั้นคนที่มีปัญญารู้ว่า วินาทีแต่ละวินาทีผ่านไป เราไม่ได้ใช้ วินาทีไปกับการโง่ๆ ที่เขาหลงใหลเสียเวลา เวลาของเรามาทำสิ่งนี้ แล้วทำได้ เป็นจริงตามที่เรามีความรู้ว่าต้องทำให้เกิดอย่างนี้ อย่างนี้นะ ได้แล้ว โอ้โห.. พอกินพอใช้ คุ้มตัวเรา เผื่อคนอื่นได้ คนอื่นก็อาศัยใช้สอยจำเป็นทั้งนั้นไม่ว่าชาติไหน ศาสนาไหน สังคมไหน ศาสนาไหน ต้องอาศัย สำคัญจำเป็นต่อชีวิตทั้งนั้น ไม่ใช่สิ่งมอมเมา ไม่ใช่สิ่งเป็นพิษด้วยทำขึ้นมาให้มันมากๆแจกจ่ายกันขึ้นไป คนนี้คือคนโลกานุกัมปายะ เป็นคนทำให้เกิดประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ พหุชนหิตายะได้มากขึ้นๆๆๆ มวลมนุษยชาติก็เป็นสุข พหุชนสุขายะเรื่อยๆๆได้เพิ่มขึ้น คำสอน พระพุทธเจ้า มีความสำคัญแล้วเราทำถูกต้อง ชีวิตที่เราอยู่จึงเป็นชีวิตที่ไม่เสียเปล่า ไม่เป็นบาป ไม่เป็นภัย ไม่เป็นหนี้ เป็นชีวิตที่คุ้มค่าที่เกิดมาเป็นชีวิต แต่ก่อนนี้เรายังโง่ เราเคยเป็นพิษเป็นภัย ดีไม่ดีไปมอมเมาคนอื่นหรือเปล่า แต่ก่อนเราทำหรือเปล่า เดี๋ยวนี้เรากอบกู้ความเหลวไหล ความเลวร้ายเหล่านั้นคืนมา ไม่เอาแล้วไม่ไปทำแล้ว เพราะฉะนั้นเวลามีเหมือนกันเท่ากันทุกคนทุกชาติทุกศาสนา เหมือนกันหมด ใครกอบกู้เวลาแล้วเอากรรมมาทำ กรรมกับกาละ kama and กาละ เอามาทำสิ่งเหล่านี้ได้ ชีวิตของคุณก็มีค่าบริบูรณ์เท่าที่คุณไม่ Error ไม่ตกหล่น ไม่ไปตกอยู่ในโลกถูกหลอกไปอย่างนั้นอย่างนี้ อาตมาว่า อาตมานำคำสอน ของพระพุทธเจ้ามาให้พวกเราได้ศึกษาพวกเราทำได้สำเร็จจบกิจ ขนาดนี้ อาตมาว่า ไม่ยิ่งเล็กแล้ว เราไม่กล้าพูดว่ายิ่งใหญ่ ไม่ยิ่งเล็กแล้ว นะ ยิ่งกว่ายิ่งลักษณ์ด้วย ลักษณะที่ดีมากแท้ๆเลย เป็นลักษณะที่ดียิ่งๆจริงๆด้วย ไม่ใช่ลักษณะเก๊ๆมอมเมาอยู่เท่านั้น เพราะฉะนั้นสรุปแล้วคำสอนของพระพุทธเจ้าเมื่อศึกษาดีๆแล้วเอามาทำให้เป็นผล มันจะกลายเป็นสังคมที่อยู่อย่างสงบสุขอย่างที่อาตมาพูดไปแล้ว ใช้คำ 8 คำนั้น เป็นสังคมที่ดับเหตุ นั่นแหละเป็นตัวที่ทำให้เราไม่เป็นอย่างนี้ได้คือดับเหตุไม่ได้ พวกเราดับเหตุได้จึงมาเป็นอย่างนี้ได้ เหตุคือกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด ทำได้สำเร็จ การทำสำเร็จ คนที่ทำสำเร็จจึงมีความสงบที่ไม่ใช่ความสงบอย่างพาซื่อมิจฉาทิฏฐิว่าคนที่เป็นอรหันต์คือคนนิ่งๆ ไม่ดิ้นรนอะไรมากไม่ทำมากไม่พูดมาก ช้าๆสุภาพเฉื่อยๆเนือยๆ ไม่ใช่ คนยิ่งสงบยิ่งแคล่วคล่องว่องไว กายกรรมก็แคล่วคล่องว่องไว วจีกรรมก็ แคล่วคล่องว่องไว ปราดเปรียว บาลีว่า ปาคุญญตา มี กายปาคุญญตา คือ กายกรรม วจีกรรม คล่องแคล่ว ไม่ใช่นิ่งๆหยุดๆ ความสงบในความหมายของพระพุทธเจ้าจึงไม่ใช่อย่างที่ไปศึกษากันนั่งหลับตาสงบนิ่ง ไม่ใช่เลย มาเรียนรู้กิเลสในภาวะที่มีกรรมกิริยาทางกายวาจา โดยใจโง่ๆมีกิเลสดับกิเลส กายยิ่งแคล่วคล่องดับกิเลส เป็น ปาคุญญตา อย่างแท้จริง เห็นไหมความสงบของพระพุทธเจ้าเป็นความสงบที่เป็นปัญญาข้อที่ 3 จะรู้จักความสงบ 2 อย่าง ความสงบอย่างเดียรถีย์พาซื่อง่ายๆ ทำให้เกิดการไม่ขยับเขยื้อน ไม่เคลื่อนไหว บาลีว่า อิญชนะ ไม่ใช่ กายก็ไม่เคลื่อนไหว วจีก็ไม่เคลื่อนไหว ดูช้าๆก็ไม่ใช่แต่ยิ่งเคลื่อนไหวแคล่วคล่องว่องไว ตรงกันข้ามกับความเข้าใจของผู้ปฏิบัติมิจฉาทิฏฐิ มันง่ายๆตื้นๆอย่างนั้นเข้าใจ ง่ายบอกว่าคนไม่กระดุกกระดิก สงบไม่กระทบกระแทกกับใคร อยู่เงียบๆนิ่งๆเฉยๆปากก็ไม่พูดมาก อย่างนั้นมันพาซื่อตื้นๆง่ายๆ ซึ่งเป็นเรื่องของการเสื่อมของสังคมมนุษยชาติ เป็นความเสื่อมทางเศรษฐกิจ เป็นความเสื่อมทางการบริหาร เป็นการเสื่อมอย่างร้ายกาจเลย เพราะฉะนั้นพวกที่มิจฉาทิฏฐิก็พากันทำลายสังคม เพราะเศรษฐกิจก็แย่เลย ทางการบริหาร ทางการดูแลสังคม ทางการเมืองก็แย่ไปด้วย เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจจะดียิ่งต้องสัมมาทิฏฐิจริงๆอย่างชาวอโศกนี่เศรษฐกิจจบกิจแล้ว เพราะตัวเองไม่ได้เป็นภาระของคนอื่น สร้างสรรค์พออยู่พอกินพอใช้เหลือ สร้างให้เกิน แจกเกื้อกูลผู้อื่นช่วยเศรษฐกิจบ้านเมืองอยู่ตลอดเวลาเลย โดยไม่ต้องมาโฆษณาว่าจะต้องจ่ายหัวละหมื่น อายุ 16 ขึ้นไป ไม่ต้องไปหลอกคนโง่ของมนุษยชาติเรียกว่าติดสินบนประชาชนไม่เอา ก็ทำไปโดยไม่ต้องพูด ไม่ต้องไปติดสินบนให้มารับรอง คุยโม้ให้คนอื่นยกย่องยกยอมาเลือกตั้ง ให้ขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ผู้บริหาร เราก็ไม่แย่ง เราทำกิจการของเราไป เพราะฉะนั้นพวกเราจึงเป็นคนพวกที่เป็นนักเศรษฐกิจตัวจริง เป็นนักเศรษฐกิจที่ทำให้สังคมเจริญอยู่ เป็นนักเศรษฐกิจที่สะพัด สะพัดการเคลื่อนอย่างคล่อง ของทั้งรูปทั้งนาม ชนิดที่มีไปเร็วสู่กันและกัน ถึงกันในสังคมมนุษย์ได้ โอ้โห เอาลายมือโย้เย้ของอาตมาไปออกได้ อาศัยกินใช้อยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ที่เขียนหวัดเพราะอาตมาอ่านของอาตมาออกเอง กิเลสยิ่งลดยิ่งละยิ่งดับยิ่งหยุดไปจากจิตตนได้ กายกรรมวจีกรรมก็ยิ่งคล่อง ยิ่งทำงานจึงยิ่งไม่ขาดแคลนไม่แย่งชิง ไม่ทำความเดือดร้อนให้สังคม อาการเช่นนี้คือความคล่องของการสะพัดรูปและนามสู่กันและกัน เฉลี่ย ให้ทั่วถึงกันได้ดีเท่าใดเศรษฐกิจก็เจริญเท่านั้นเท่านั้นเท่านั้น แต่เราสามารถที่จะเฉลี่ย สิ่งที่แบ่งปันกันกินกันใช้ได้อยู่อย่างนี้ ถ้าคนอื่นเห็นตามสังคมกลุ่มอื่นเห็นด้วยก็ทำอย่างนี้ต่อไป มันก็จะเป็นการต่อยอดๆๆ จากสังคม หนึ่ง ได้ แล้ว สังคม เป็น กลุ่มอื่นมากขึ้นก็เป็นสังคมเครือแหที่จะกระจายสู่สังคมประเทศ อาตมาแน่ใจว่าชาวอโศกแก้ปัญหาเศรษฐกิจหรือแก้ปัญหาการเมืองจบกิจ พูดอย่างฮุบเอาเองเลย คนอื่นเขายังไม่ยอมเชื่อก็ช่างเขา แต่อาตมาว่าพวกเรานี่ จะเข้าใจ เห็นจริงไหม…เห็นจริง เพราะเราแก้ปัญหา เศรษฐกิจคืออะไร เศรษฐกิจคือสมบัติทรัพย์สินที่เราอาศัยกินใช้ที่จำเป็น มันมีจำนวนจำกัด เราก็สร้างขึ้นเองได้เพียงพอ เป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นเราก็ใช้กาละ ใช้แรงงาน ใช้ทุนรอนมาสร้าง สร้างขึ้นมาแล้วก็กินใช้ จนเหลือจนเกินแล้วสะพัดแบ่งแจกให้แก่สังคม ขายอย่างขาดทุนหรือแจก เราไม่ได้เป็นคนในสังคมประเทศที่ทำร้ายสังคม แต่เราเป็นคนอยู่ในประเทศที่ได้อนุเคราะห์สังคม ได้ช่วยเหลือสังคมอย่างนี้ 1.เราพึ่งตนเองรอด 2.เราสร้างสิ่งที่จำเป็นที่เป็นสาระสำหรับมนุษย์จริงๆปฏิเสธไม่ได้ เราไม่ได้สร้างสิ่งที่เป็นพิษ สิ่งที่มอมเมา เราสร้างสิ่งที่เป็นสาระแก่นสาร คุณจะใช้สอยอาศัย เน้นเข้ามาหาอาหารในโลก พืชพันธุ์ธัญญาหาร แม้แต่คนที่สร้างปศุสัตว์ สร้างเนื้อสัตว์สร้างประมงสร้างปลา มันก็ยังเป็นพิษ เป็นพิษยิ่งกว่าพืช ยิ่งลึกซึ้งไปถึงกรรมวิบาก พวกเรารู้พวกเราเข้าใจแล้วจึงมาทำงานที่ปราศจากบาป ปราศจากวิบาก ทำงานที่สร้างสิ่งสำคัญ เป็นสาระแก่นสาร เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหาร เราก็อาศัยอันนี้ ให้มนุษย์ชาติอาศัยสิ่งที่ไร้บาป ไร้วิบาก อยู่อาศัยกันไป ชีวิตเท่านี้แหละยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะเราได้สรุปเข้ามาหาแก่นแท้ และสร้างแก่นแท้ไปจนกว่าจะตาย ใครไม่เชื่อจะไปสร้างอะไรอย่างอื่นอีกก็เชิญ แต่มันมีสิ่งข้างเคียงอยู่บ้าง เช่น เราสร้างอันนี้ได้ดีทำอย่างนี้ได้ดี เรียกว่า สื่อสารบอกคนอื่นเขาต่อ ว่านี่ทำอย่างนี้นี่ดีนะจ๊ะ เราทำอยู่ทุกวันเลย จะเรียกว่าโฆษณาก็โฆษณา จะเรียกก็บอกคนอื่นชักชวนอื่นให้มาทำอย่างนี้ด้วยแล้วก็เป็นทั้งทำให้เห็น ทั้งกินใช้ให้เห็นให้ดี ดีไม่ดี แต่งเพลงประกอบก็ดีนะจ๊ะ เราก็ไม่ได้ง้อ เราก็ไม่ได้ขาดทุน เราก็ ไม่ได้ ง้อ เราก็ ไม่ได้ ขาดทุน เราไม่ได้ต้องการที่จะเอากลับมาแต่เรามีแต่จะให้กับให้ เรื่องไอ มันเป็นวิบากของอาตมา ไม่รู้จะพูดอย่างไรเป็น อจินไตย ก็เป็นสรีระจนกระทั่งมันแก้ยาก หมอเขาก็ช่วยเต็มที่แล้วมันก็เป็นวิสัยที่มันสุดวิสัยได้เท่านี้ ก็ไม่เป็นไร อาตมาก็พูดไปหลายครั้งแล้ว ยังดีนะ..อาตมาไอ มันไม่เจ็บไม่ปวดแต่มันเหนื่อยเท่านั้นเองไม่เจ็บปวด ดีกับไม่ดี ถ้ามันเจ็บมันปวดมันก็ไม่ดีเท่า ถ้ามันไม่เจ็บไม่ปวดก็ดีกว่า มันสุดวิสัยก็เอาเท่านี้ _สู่แดนธรรม… เท่าที่ผมฟังพ่อท่านมา วันนี้พ่อท่านไม่ต้องเทศน์ ภาษาธรรมะ แต่เป็นภาษาาวบ้านแล้วเอาสังคมคนจริงมายืนยัน พ่อครูว่า… นี่แหละ พระพุทธเจ้าก็ส่งเสริมให้พูดอย่างนี้ แต่ที่อาตมาจำเป็นต้องเอาภาษาบาลีก็ดี เอาภาษาธรรมะยากๆต้องนำมาใช้ก็เพราะว่า คนไม่เชื่อนำหน้าอาตมา อาตมาจึงต้องเอาภาษาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาประกอบ เอาแม้แต่ภาษาบาลีมาประกอบ เพราะเอาภาษาธรรมะเขาก็ยังไม่เชื่อเท่าไหร่ พวกหัวไอ้เรืองพวกที่เขายึดถือ เราก็จำเป็นต้องใช้ประกอบบ้าง เพื่อยืนยัน เพื่ออ้างอิงยืนยันให้เขาเห็นว่า มันไม่ได้นอก มันอยู่ในนี้ แม้ว่าจะแปลบาลีไปคนละอย่าง แต่ไม่เหมือนเขา จะบอกว่าทำไมแปลไม่เหมือนเขา แต่มันเขาก็เป็นอย่างเขาสิ สุดท้ายพระพุทธเจ้าก็บอกว่าให้เลือกเอา อันไหนมีธรรมวาที หรือ อธรรมวาที อิสรเสรีภาพให้เลือกเอาเอง มันมีให้เลือก 2 อย่างนะ ใครเห็นว่าดีก็เอาอันนั้นนี่เป็นอิสรเสรีภาพสูงสุด อาตมาทำตามพระพุทธเจ้าสอนทุกอย่าง แล้วเราก็ทำได้มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ก็จะพิสูจน์กันอย่างนี้ อาตมายังนึกอยู่ เสมอว่า สิ่งที่อาตมานำมานี้ความตรัสรู้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ นำมาสืบทอดขยายความ นำมาสืบต่อให้คนอื่นได้รู้ตามอย่างนี้ แต่ว่าไม่ได้ผิดเพี้ยนจนกระทั่งเข้าใจตามปฏิบัติ จนกระทั่งได้ผลตาม เอาชีวิตมาอยู่กันอย่างนี้ตาม เป็นปรากฏการณ์จริงไม่ใช่เรื่องลอยลม แต่แน่นอนเป็นเรื่องลึกซึ้งเป็นเรื่องยากคนเข้าใจไม่ได้มาก มีจำนวนน้อยก็จริงอีก แล้วจำนวนน้อยนี้เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคมหรือมันเป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างยิ่ง … เป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างยิ่ง พวกคุณเข้าใจพวกคุณรู้เอง จริง คนอื่นไม่ได้เข้าใจอย่างคุณ คุณเข้าใจเอาเองนี่แหละคือความอิสรเสรี คุณเข้าใจเอาเอง อาตมาบังคับคุณหรือเปล่า หลอกล่อคุณเหรือเปล่า ประเล้าประโลมคุณหรือเปล่า ผ่า อย่างกับอะไรดีและคุณก็เห็นได้ภูมิปัญญามา เลือกเองแล้วก็มาเอง ได้แล้วคุณก็รู้ว่าชีวิตอยู่แบบนี้แหละ ดีอย่างนี้เอาแบบนี้ใช่ไหม ก็พวกคุณเองทั้งนั้น ไม่ใช่เป็นใครมาบังคับหรือมาหลอกล่อใครมาปะเล้าประโลม..ไม่มี.. มันบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ใจทั้งผู้ให้ บริสุทธิ์ใจทั้งผู้รับ ผู้รับก็รับด้วยบริสุทธิ์ใจเพราะว่าอาตมาให้อย่างบริสุทธิ์ใจแล้วก็ความบริสุทธิ์ สะอาดไม่ได้เจือไปด้วยยาพิษ ไม่ได้เจือไปด้วยสิ่งมอมเมา ไม่ได้เจือไปด้วยสิ่งที่หุ้มห่อด้วยโลกียะ คุณมาจะทำอย่างนี้จะได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่ หมดสุขหมดทุกข์ด้วย อาตมาพาทำ ถึงขนาดนั้น ซึ่งอาตมาว่าไม่มีใครในยุคนี้สอนนะ ไม่มีศาสนาไหนหรือแม้แต่ในวงการศาสนาพุทธ จะมาเน้นอย่างนี้ทั้งๆที่เขาก็รู้ว่า อทุกขมสุข มีภาษายืนยันว่าศาสนาพุทธนี้สอนความไม่สุขไม่ทุกข์ หมดสุขหมดทุกข์ แต่ความเสื่อมของคนไม่เข้าใจไม่เชื่อว่า มาไม่มีสุขได้อย่างไรวะ เขาก็เข้าใจความสุขเพี้ยนๆว่า สุขสงบแบบนั่งหยุดนั่งนิ่งๆ ซึ่งเป็นความสุขอย่างโลกีย์ธรรมดาธรรมดา นั่งหยุดๆนิ่งๆสะกดจิตไป ไม่ได้เกิดประโยชน์โทษพ้น ไม่ได้เกิดการยืนยันว่าไม่ใช่ สุขของพระพุทธเจ้านั้นสุขอย่างร่าเริงเบิกบานสุขอย่าง ปาคุญญตา มีกายกรรมแคล่วคล่อง วจีกรรมแคล่วคล่อง แต่กิเลสไม่มี กิเลสเข้าไม่ได้ กิเลสมันถูกทำลาย กิเลสหมดฤทธิ์ มีแต่อำนาจปัญญา กิเลสมันมาเจอปัญญาวิ่งหนีหูตูบหมดเลย นี่พูดโดยสำนวนแบบอาตมา เป็นอย่างนั้นจริงๆ จึงเป็นคนไม่มีกิเลสนี้แหละจึงจะมีพฤติกรรมพฤติการณ์อย่างที่ชาวอโศกเราเป็น คนแบบนี้สังคมแบบนี้พฤติกรรมแบบนี้เป็น สาราณียธรรม 6 อย่างนี้ อาตมาว่า คุณอย่ารีบตาย ไม่เกินร้อยปีอยู่ไปอีกให้ถึง 100 ปี ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว เข่งว่า 76 บวกไปอีก 100 ให้เป็น 176 อาตมาเชื่อว่ากระแสของสังคมโลกจะมาเห็นความสำคัญความถูกต้องอันนี้ ไม่ใช่ของอาตมานะแต่เป็นของพระพุทธเจ้า เขาจะมาเห็นมาเข้าใจ ตอนนี้ยัง โดยเฉพาะอาตมาถูกเถรสมาคมที่เขายึดถือว่าเขาเป็นเจ้าของศาสนาบอกว่า กบฏ อย่าไปเชื่อมัน โพธิรักษ์ เขาก็ฟังเสียงกระแสหลัก เพราะเขามีอิทธิพลเป็นที่ยอมรับ ทางสากลเป็นที่ยอมรับของทุกชั้นฐานะ โพธิรักษ์นี้เอาแต่ความจริงมาเท่านั้นเอง เอามาเปิดเผยในยุคนี้ ฝากไว้ในสังคมมนุษยชาติ ก็มีคนที่มีภูมิปัญญารับได้จำนวนประมาณเท่านี้แหละ เท่าที่พวกคุณมีอยู่นี่แหละ และอาตมามั่นใจว่าได้ลงรากปักหลักแล้ว มีคนจริงรับทางจิตวิญญาณไว้ อาตมาก็ทำสมมุติทั้งพูดมีอัดเสียงไว้เยอะ มีไว้อยู่ใน YouTube อยู่ใน Google อยู่ในอะไรก็แล้วแต่ มีทั้งเขียนพิมพ์เป็นเล่มเป็นหมื่นๆล้านๆฉบับ เป็นไอ้ใบ้เสียงดังทำไว้แล้ว แล้วพวกคุณก็มีพฤติกรรมจริง เป็นตำนาน คนรู้จักคนสัมผัส คนบอกว่าฉันเคยรู้จักนะคนอโศกคนนี้เขาเป็นอย่างนี้ เคยเห็นเคยรู้เขาเป็นอย่างนี้อย่างนี้ มันฝากเป็นตำนาน ฝากเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว ใครจะเอาลิควิด ใครจะเอายางลบมาลบก็ไม่หาย มันมีอย่างนี้ไปแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งนี้จึงจะอยู่ในโลก ให้โลกได้ศึกษาอาศัย จนกว่าจะมีคนรับไม่ได้ ยาวนานไปถึงวาระหนึ่ง ก็ได้เท่านั้นพยายามจะทำไปให้ถึง 2500 กว่าปี จะถึงหรือไม่ถึงก็ต้องพยายามไป ต่อยอดต่อยอดทำให้มันนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าเผื่อว่ามันยังไม่ถึงตายแล้วอาตมาก็ต้องเกิดมาต่ออีก ถ้าเผื่อว่ามันทำในชาตินี้ไปอีก มีน้ำหนักมีมวลระมาณแล้วโลกนี้ 7 พันล้าน หรือจะ 8,000 ล้านบาทแล้วก็ช่าง เราดูแล้วว่าจำนวน ดูแล้วอาตมาไม่ต้องมาเกิดอีกหรอก พวกเราสืบทอดและนำพาอันนี้ไปได้ถึง 5,000 ปี อาตมาก็ไม่ต้องมาเกิดจนกว่าจะถึงกลียุคนี้ แต่โพธิสัตว์อาจจะต่อภพภูมิอยู่ ก็พูดสู่ฟัง พวกคุณฟังไว้ไม่เสียหลายหรอก สรุปแล้ว ในชีวิตของมนุษย์รู้จักกรรมและกาละ มี continuing ถ่ายทอดไปได้ กรรมอย่างไร กาละนั้นเป็นของโลกมีตลอดแต่ละวินาทีเคลื่อนไปและกรรมนี่แหละ คือ สิ่งที่มนุษย์จะต้องเรียนรู้ ต้องเป็นของของตน ตนเองเป็นทายาทมรดกกรรมของตนเอง กรรมนั้นพาเราเกิดเราไป กัมมโยนิ กรรมนี่แหละ มีเชื้อมีพันธุ์มีเผ่าอยู่ในตัวกรรม เชื้อพันธุ์เผ่า เป็น DNA ของกรรม ไม่ใช่ DNA ของสรีระ เป็นยีนส์ของวิญญาณ ไม่ใช่ยีนส์ของสรีระ ของ body ไม่ใช่ เป็นของจิตวิญญาณ ไม่ได้ถ่ายทอดกันได้ทางร่างพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย..ไม่ใช่ แต่เป็นของตนเอง กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ตลอดจนกว่าจะ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จบแล้ว… Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin17 เมษายน 2023Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:660415 รายการ บรมภาวะสุดประเสริฐ 5 ประการ (เพลงเอกพ่อครู)NextNext post:660419 ตอบปัญหาผ่าการเลือกตั้ง 2566 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024