660414 พ่อครูเอื้อไออุ่น งานตลาดอาริยะ 2566
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1s5thINGd098dmkC_xQ322KmV1vJBcrZQ/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1t8IEyqvFfjUxcgFZ_aICVH_riYNREN1C/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่
และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/923750038816021
ตลาดอาริยะเกิดจากสาธารณโภคีที่ชาวอโศกพิสูจน์ได้
พ่อครูว่า…เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันศุกร์ที่ 14 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก เขายังสนุกสงกรานต์กันอยู่นะวันนี้ยังครื้นเครงกันอยู่ แต่พวกเรานี่ก็ครื้นเครงกันในตลาดอริยะ ตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว โอ้โห วันนี้ก็ยังมาก แต่ก็ 3- 4 โมงก็เบาแล้ว พรุ่งนี้มีอีก 1 วัน ยังเหลือสินค้าอยู่อีกหน่อยนึง ใครยังไม่ได้มามาเลย ใครยังไม่ได้มา มาเลย สินค้ายังมีอยู่ คนสนุกสนานมากันเป็นหมื่นๆ รถจอดกันเป็น 5 พันกว่าคันโอ้โห มากันเป็นรถตู้ รถปิคอัพ รถเก๋งมากันเต็ม มันก็สนุกสนานกันไป เราสนุกสนานกันที่ได้เอื้อเฟื้อเจือจางแจกจ่ายกันไป
มันเป็นความจริงใจที่คนมีปัญญา คนไม่เห็นแก่ตัว คนไม่มีตัวตน ซึ่งเป็นสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ ที่จริงคนพอมีปฏิภาณรู้ว่ามันดี คนที่ไม่เห็นแก่ตัว คนที่ช่วยเหลือผู้อื่น เกื้อกูล เต็มใจทำ แล้ว สุดท้ายเราก็เป็นคนมาเป็นคนจน มาเป็นคนไม่ต้องมีมาก มีไว้น้อยๆ
อาตมาก็เคยเทศน์มา ย้ำซ้ำซากไม่รู้กี่ทีแล้ว คนที่มีปัญญาแล้วก็มั่นใจในตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมั่นใจในหมู่กลุ่ม มีมวลสังคมมนุษย์ที่มีความเห็นร่วมกัน มีความเข้าใจ เหมือนกัน ปฏิบัติธรรมร่วมกัน ลดได้กิเลสมาได้มากบ้างน้อยบ้างเหมือนกันจริงๆ มันจึงเป็นสังคมสาธารณโภคีได้ อย่างที่ชาวอโศกเป็นมา 50 ถึง 60 ปีแล้วเท่าที่อาตมาทำงานศาสนามาตั้งหมู่บ้านชุมชนมาก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงมาตลอด ตั้งแต่เริ่มมีชุมชนมีหมู่บ้าน เป็นหลายชุมชนหมู่บ้านเกิดหมู่บ้านมันก็เป็นสาธารณโภคีมาตลอดเลย
ซึ่งเรื่องของเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์แบบสาธารณโภคีนี่แหละ เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ที่อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงทำให้เกิดปรากฏการณ์ในโลก ในประเทศไทย ในคนไทยขึ้นมา
จนกระทั่งทุกวันนี้ 40-50 ปีแล้ว คนข้างนอกเขาก็ยังไม่ไว้ใจ ยังไม่เชื่อถือเท่าไหร่นัก เขาก็รู้ว่ามันดี เสียสละจนกระทั่งไม่เป็นคนรวยเลย มาเป็นคนจนมีเท่าไหร่ก็เสียสละช่วยกัน กินอยู่มากน้อยเขาก็รู้สันโดษเขาก็รู้
แต่เขาไม่เชื่ออาตมา ว่าอาตมานี้เป็นคนจริง เป็นผู้สืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้ามาจริงๆ แล้วเอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาให้ปฏิบัติจริง จนกระทั่งเกิดผลจริง เขายังเชื่อกระแสหลัก เขายังเชื่อส่วนใหญ่
อาตมาว่ามีน้อยนี้มันก็เป็นยอดพีระมิด …พ่อครูถามน้องปุ้ย(จากสปป.ลาว) ว่า พีระมิด ฮู้บ่ ข้างล่างมันใหญ่ ทางยอดมันเล็ก แหลมๆน้อยๆ ฐานมันมาหาข้างล่างมันก็ใหญ่ มันก็เป็นสัจธรรมที่ไม่ใช่รู้ยากรู้เย็นอะไร เพราะว่าคนจะเป็นคนประเสริฐเป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัว เป็นคนที่ลดกิเลสได้จริงๆ มันไม่ใช่ง่าย แต่มันจริงได้ เพราะมันจริงมันถึงเป็นปรากฏการณ์ที่จริงที่ดี
เอาละ..ไม่มีปัญหาอะไร เราเองได้แล้วก็อาศัยไป ชีวิต ของเรา ก็ได้ ไป ข้ามชาตินี้ชาติหน้ามันก็จะมีไปเรื่อยๆ ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ก็สุดยอด
SMS วันที่ 5-11 เม.ย. 2566
_Ka Por กล้าพอ · วันที่ 5 เม.ย. 66 คนมาฟังธรรม เยอะมาก มองพ่อครูไม่เห็น ดูผ่านจอ มือถือ โชคดียังมีพัดลมตัวใหญ่ พัดให้คลายร้อน
_จนแท้ บุญคุ้มมาจน · กราบคารวะพ่อครูอ.รัตภูมิ สงขลาฝนตกช่วงเย็นครับ.เห็นญาติธรรมภาคใต้และภาคอื่นๆขึ้นไปบ้านราชฯ.ชื่นใจมากครับ..
_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ · ใครผ่านการฝึกฝนงานบุญอโศกถือศีล ๘ ทานมังสวิรัติมื้อเดียวได้ ๗ – ๑๐ วัน ในแต่ละงานบุญ หลายวาระในแต่ละปีได้ เท่ากับได้ประกาศนียบัตรการฝึกฝนการต่อสู้วิกฤติภัย เป็นใบเบิกทางของแท้ยิ่งกว่าใบรางวัลใดๆในโลกร้อยพันสงครามโลกียธรรม’ ที่รับรองความเป็นอาริยะชนนักสู้วิกฤติภัย รอดพ้นมาได้ทุกฤดูมรสุมวิปโยคร้อยพันทุกขภัยพิบัติโลก’ ผ่านพ้นมาได้จริง อนุโมทนาสาธุ
สุขภาพดีด้วย 9 อ.
_จรรยา ประเสริฐ · ฟังธรรม ตั้งแต่คุณยายเก็บคม จนถึงคุณยายอายุ 102 ปี คนนี้ แล้ว ได้ข้อคิดว่า อารมณ์เป็นส่วนสำคัญ อารมณ์ดี (พ่อครูว่า… อารมณ์ภาษาวิชาการว่า เวทนา)ต้องมีธรรมะโลกุตระ อย่างชาวอโศกนี้เอง ที่ทำให้อายุยืนนาน อาหารการกิน เป็นอันดับรอง แต่ต้องกินมังสวิรัติ (ไม่ใช่กินเนื้อสัตว์อย่างคนอื่นกินกัน) ออกกำลังกายอาบแดด พักผ่อน ทุกอย่างจะดี กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า… อ้อ ชักเข้าใจชักเชื่อแล้วเชื่อถือเพิ่มขึ้นว่า มาบำเพ็ญมาปฏิบัติประพฤติแบบอโศกนี้ จะทำให้อายุยาวยืน เชื่อถือขึ้นมา อาหารการกิน เป็นอันดับรอง จริง
เอ๊ คุณจรรยา ประเสริฐ ไม่ได้นึกถึง 8 อ.หรือไง ที่อาตมาสรุปไว้
8 อ. 1.อิทธิบาท 2.อารมณ์ 3.อาหาร 4.อากาศ 5.ออกกำลังกาย 6.เอนกาย 7.เอาพิษออก 8.อาชีพ
_สู่แดนธรรม… มีคนแถม อ.ที่ 9 คือ อ.ออกจากพื้นที่
พ่อครูว่า… ออกนอกพื้นที่มันจะไม่อายุยืนยาวได้อย่างไร ต้องเข้ามาอยู่กับหมู่ ดีเหมือนกันเติมอันที่ 9 เป็น อย่าออกนอกพื้นที่ เข้าใจให้ดีนะตัวนี้ตัวที่ 9 ถ้าไปออกนอกพื้นที่ก็เสร็จอีด่าง สุนัขรับประทาน สุนัขคาบไปรับประทาน
กินเหล้ากับสูบบุหรี่ เป็นวิญญาณฐิติข้อ 2 หรือไม่
_พันธุ์ พอเพียง · กราบเรียนถามพ่อครูครับ สมมุติผมเลิกบุหรี่ได้ แต่มีญาติธรรม อีกท่านหนึ่ง เลิกเหล้าได้ จากทิฎฐิที่สัมมา เหมือนกัน อันนี้นับเข้าเป็น วิญญาณฐีติ ข้อที่ สอง ได้เหมือนกันใช่ไหมครับ ที่ว่ากายต่างกัน เพราะอีกคนหนึ่งเลิกเหล้า อีกคนหนึ่งเลิกบุหรี่ หรือผมเข้าใจ กาย ประเด็นนี้ คลาดเคลื่อนไปครับ กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า… วิญญาณฐิติหมายความว่า ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิที่ปฏิบัติธรรม ต้องมีวิญญาณตั้งอยู่ในขณะปฏิบัติธรรม ฐิติ แปลว่าตั้งอยู่ ตั้งอยู่ก็คือวิญญาณจะต้องมีทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ภายนอก 5ทวาร สัมผัสภายนอกอยู่ มีกาย มีคำว่า กาย
กายต้องมีภายนอกภายในเสมอ ขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้ จึงเรียกว่า ครบวิญญาณตั้งอยู่ ตาเห็นรูป ตากระทบรูปข้างนอกเห็นอยู่แล้วก็มีทั้งรูปภายนอกภายในในขณะปัจจุบันเลย ข้างนอกเห็นอยู่แล้วก็มีทั้งรูปภายนอกภายในในขณะปัจจุบันเลย ใจเราก็ได้รับรู้ภาพนั้นอย่างนี้ ครบวิญญาณ
ถ้าหลับตาไม่มีภายนอกเขาเรียกว่า วิญญาณสัมภเวสี เป็นวิญญาณล่องลอย เป็นวิญญาณไม่มีที่ตั้ง
คนที่หลับตาก็ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย ก็อยู่แต่ในความนึกคิดของตนเอง หนึ่งเดียว อยู่ในใจอย่างเดียว ในขณะเป็นๆนี้หรือนอนหลับก็อยู่ที่เราอย่างเดียว สัญญากำหนดว่ารู้อยู่คนเดียว
ยิ่งตาย ร่างกายแยกกันเลย วิญญาณก็ออกจากร่าง ร่างกายก็เป็นซากศพ วิญญาณก็ออกไป วิญญาณอย่างนั้นแหละคือวิญญาณสัมภเวสี นอกจากพระอรหันต์ท่านตายแล้วท่านก็ทำให้วิญญาณมันแตกสลายเป็นดินน้ำไปลงไปเลย ก็ไม่มีวิญญาณสัมภเวสี ไม่มีวิญญาณที่จะล่องลอยไปเกิดอีก จบแยกแตกธาตุจิตวิญญาณสูญไป
แต่ถ้าพระอรหันต์บำเพ็ญโพธิสัตว์ ยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตาย จิตนี้ ท่านก็บอกว่าไปอยู่ที่ดุสิต ดุสิตคือแดนสงบ ดุสิตคือที่ที่ไม่ใช่นรกและสวรรค์คือ จุดพักของพระโพธิสัตว์ ใครเคยได้ยินบ้าง พระโพธิสัตว์มาเกิดก็มาจากดุสิตเป็นจุดพักของโพธิสัตว์ ยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็พักที่ดุสิต ดุสิตแปลว่าที่พักที่เย็น สิตะ แปลว่าเย็น ก็เป็นการอธิบายสภาพของจิตวิญญาณ ผู้รู้ท่านอธิบายไว้ อาตมาก็รู้จริงด้วย อาตมาก็เข้าใจเรื่องนี้เพราะอาตมาก็ผ่านจิตวิญญาณ อาตมาก็ผ่านเรื่องเหล่านี้มา ก็พอเข้าใจพอรู้ระลึกได้
_สู่แดนธรรม… เขาถามมา เขายังเข้าใจผิดเรื่องกายต่างกันอยู่
พ่อครูว่า… อธิบายยังไม่ถึงเลย ที่เขาบอกว่าอันนี้นับเป็นวิญญาณฐีติข้อที่ 2 ได้เหมือนกันใช่ไหมครับ
เราก็มาดู วิญญาณฐิติข้อที่ 2 มีอะไรบ้าง กายต่างกัน สัญญาอย่างเดียวกัน
สัญญาคือการกำหนดหมายกันว่า จิตของเราไม่มีนิวรณ์ 5 นะ ที่นี้สัมมาทิฏฐิก็ดี มิจฉาทิฏฐิก็ดี สามารถทำให้จิตวิญญาณไม่มีนิวรณ์ 5 ได้ด้วยกัน เป็นสัญญาอย่างเดียวกันตรงกันได้ แต่กายของเขาจะต่างกัน กายคนหนึ่งลืมตา สัมมาทิฏฐิลืมตา แต่กายของคนมิจฉาทิฐิหลับตา มันชัดไหมวิญญาณฐิติข้อที่ 2
ที่นี้เขาถามมาว่า คนที่เลิกดูดบุหรี่ เลิกกินเหล้า ทิฏฐิของคนเลิกติดบุหรี่กับอีกคนหนึ่งเลิกเสพติดเหล้า มันมีคำว่า กาย คำว่า สัญญา คำว่าทิฏฐินะ ในวิญญาณฐิติ มันยืนยันคำว่า ถ้าสัมมาทิฏฐิคือผู้ที่ถูกต้องหนึ่งเดียวกันอยู่ในวิญญาณฐิติ แต่ถ้าใครมิจฉาทิฏฐิมันจะเป็นสัตตาวาส 9 ซึ่งก็มีวิญญาณฐิติ 7 แต่ยังแถม อสัญญีสัตว์ กับ เนวสัญญานาสัญญายตนะ อีก 2 อันเป็น 9
เพราะฉะนั้นวิญญาณฐิติ 7 จะบอกว่าเสพติด ก็คือเลิกเสพติดได้ก็เป็นนิวรณ์ มันก็ไม่เต็มนิวรณ์ทีเดียว มันไม่รายละเอียดทีเดียว แต่เริ่มได้คุณธรรม คนนี้เลิกบุหรี่ คนนี้เลิกเหล้า ทิฏฐิ ก็เลยสัมมาแบบเดียวกัน แต่ความสำเร็จสมบูรณ์มันยังไม่มี จะบอกว่าเหมือนกันอันนี้นับเป็นวิญญาณฐิติข้อที่ 2 ได้เหมือนกันไหมได้ แต่ยังไม่สมบูรณ์ ยังไม่บริบูรณ์
ที่ว่า กายต่างกัน คุณคนที่เลิกบุหรี่กับคุณคนที่เลิกเหล้ามา มีกายเหมือนกัน กายไม่ต่างกัน ถ้าคุณหลับตากับคุณลืมตา อันนี้กายจะต่างกัน นี่เขาถามโดยสามัญ คนหนึ่งเลิกเหล้า คนหนึ่งเลิกบุหรี่ ถ้าหลับตาทั้งคู่ก็คงไม่สนุก สูบบุหรี่ก็คงลืมตาสบายๆดื่มเหล้าก็คงลืมตาสบายๆแล้วก็เลิกมา
เลิกเหล้าเลิกบุหรี่มันก็ลืมตากันทั้งคู่ไม่ได้หลับตากันทั้งคู่ คุณเข้าใจคลาดเคลื่อนไปนิดหน่อย เอาให้คมๆชัดๆ
สักกายแปลว่าตัวตนของเราเองเป็นเช่นไร
_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ ลูกได้ฟังพ่อท่านเทศน์สอน
เรื่อง กาย แล้วเข้าใจอย่างนี้ครับ กายคือสิ่งต่างๆที่แสดงอยู่ภายนอกและภายในของตัวเรา ถ้าเราเอาใจไปผูกพันธ์อันนั้นจะเป็นกายทันที แล้วจะเป็นสักกายะใช่ไหมครับ นี้เป็นข้อหนึ่งของกายที่ลูกเข้าใจครับ กราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า… ถ้าสัมผัสข้างนอกไม่ผูกพันข้างในเลยตัดขาดตัดเองเลยว่าข้างนอกสัมผัสตรงนี้ก็สัมผัสไป ไม่เกี่ยวกับจิต อย่างนี้มิจฉาทิฏฐิ กายต้องมีผูกพันเรื่องกันไม่แยกกัน เหมือนกระดาษ 2 แผ่น มีหน้า 2 หน้าไม่แยกกัน
คำว่า สักกะ แปลว่า ตัวเราเลย เพราะฉะนั้นขนาดนี้ของเราเป็นคนมีประสาทข้างนอก แล้วมีจิตวิญญาณข้างในรับรู้กันอยู่ ไม่ใช่คนหลับ ไม่ใช่คนตาย ลืมตามีภายนอกมีภายในอยู่ ตัวเราต้องลืมตาเป็นสักกะ ตัวเราต้องลืมตา ที่บอกว่าลืมตานั้นก็คือที่บอกว่าลืมตานั้นก็คือ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกระทบภายนอก ด้วย ไม่ใช่ไปหลับตาอย่างนั้นมิจฉาทิฏฐิ
พวกหลับตาดับไม่รับรู้ภายนอกเลย นอกรีตพระพุทธเจ้าเป็นคนเดียรถีย์ เป็นคนนอกรีต สายหลับตา อาตมาหอกหมดไม่รู้กี่พันดอกแล้วนี่ หอกหัก เขาก็ยังหลับตาไม่ฟัง ฟังก็ไม่รับรู้ไม่เอาด้วย ไม่เชื่อถือ ไม่นำไปคิด ไม่นำไปพิจารณาจริงๆ แล้วเมื่อไหร่คุณจะบรรลุเล่า มันน่าสงสารจริงๆ คุณก็ท่องอยู่ในสังสารวัฏเรียกว่าน่าสงสาร คุณออกจากสังสารวัฏที่มิจฉาทิฏฐินั้นไม่ได้หรอก อาตมาพูดขนาดนี้ไม่น่าจะปึ๋กขนาดนี้ น่าจะมีปัญญาแล้วรู้ขึ้นมาบ้าง ปึก หมายความว่าโง่หนักโง่หนาโง่ติดแป้นเลย ยิ่งกว่ากาวตราช้างหรืออีพ็อกซี่เลย มันไม่สะดุดอะไรสักที
ถ้าคนที่เขานั่งหลับตาเข้าใจที่อาตมาพูดแล้วตื่นมา ถ้าคนที่เขานั่งหลับตาเข้าใจที่อาตมาพูดแล้วตื่นมา พวกเราจะมีพวกอีกเยอะเลย พวกหลับตาตั้งแต่ยุควิสุทธิมรรค พุทธโกศาจารย์ ท่านพุทธทาสก็ยังติดหลับตา แต่ท่านก็ยังรู้ว่า การลืมตามีประโยชน์บ้างแต่ท่านก็ยังรู้ว่าการลืมตามีประโยชน์บ้าง แต่ท่านก็ติดอยู่ว่าต้องนั่งหลับตานั่นแหละ
ไม่ต้องไปหลับตาปฏิบัติเลยก็เป็นพระอรหันต์ได้ เป็นโพธิสัตว์ให้ยิ่งขึ้นยิ่งขึ้นก็ได้ และผู้ที่ลืมตาปฏิบัตินั้นจะหลับตาปฏิบัติสะกดจิตแบบทางเดียรถีย์บ้าง ก็ได้ ง่ายๆ ไม่ยากเลย แต่ไอ้ ลืมตาต่างหากนี่มันยากกว่า ไม่อยากจะพูดว่ายากกว่า ประเดี๋ยวจะกลัว ประเดี๋ยวจะไม่มาปฏิบัติ
พระพุทธเจ้าท่านสำทับว่า ฌาน 1 2 3 4 ได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบากในฌานทั้ง 4
ไอ้ฌาน จะต้องไปนั่งเต๊ะท่าหาที่นั่งตั้งกายตรง ดำรงสติคงมั่นแล้วก็หลับตา ถ้ามากเหลือเกินเสียเวลาเสียสถานที่ แล้วจะเกิด ฌาน อย่างนั้นฌาน มันได้โดยยากได้โดยลำบาก แต่นี่มันไม่เลยมันอยู่กับการปฏิบัติในอิริยาบถธรรมดาสามัญเป็นฌาน 1 2 3 4
วันนี้พบกับด็อกเตอร์ไตรรงค์ สุวรรณคีรี มาเยี่ยมเยียนก็ขอบคุณที่อุตส่าห์ ให้เกียรติ มาเยี่ยมเยียน บ้านราช ด็อกเตอร์ไตรรงค์ก็เป็นด็อกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ นี่ ด็อกเตอร์ชิดตะวัน ชนะกุล ก็เขียนมา โดยที่ไปหยิบเอาประเด็นของนักการเมืองไปโฆษณาหลอกมนุษย์ว่า ถ้าเขาได้เป็นนายก เขาจะจ่ายให้คนอายุ 16 ปีขึ้นไปหัวละหมื่น
ใครที่เกินกว่า 16 ปี ยกมือ ได้คนละหมื่น คุณเศรษฐา ทวีสินเขาหลอกล่อมนุษย์อย่างนี้ ก็เลยมีคนวิจารณ์เขาว่า วิธีการอย่างนี้มันฉลาดหรือโง่กันนี่ ให้หัวละหมื่น น้ำผึ้งหรือยาพิษของใคร
หัวละหมื่น…นํ้าผึ้งหรือยาพิษของใคร?!
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล…อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
สัปดาห์ที่ผ่านมา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองใหญ่ ประกาศนโยบายเติมเงินใน กระเป๋าดิจิทัลให้ประชาชนอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปคนละ 10,000 บาท ทําให้เกิดความแตกตื่นในหมู่ ประชาชนทั้งเห็นดีและไม่เห็นด้วย ผู้เขียนในฐานะนักวิชาการ มีข้อท้วงติงเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายดังกล่าวบางประการ
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เปิดเผยข้อมูลหนี้ในระบบจากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จํากัด (เครดิตบูโร) ว่า ปี พ.ศ. 2565 คนไทยประมาณ 25 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 3 ของ ประชากรทั้งประเทศมีหนี้ โดยมูลค่าหนี้เฉลี่ยต่อคนมากถึง 527,000 บาท แสดงให้เห็นว่า คนจํานวนมากมีการใช้จ่ายเงินเกินตัว มิหนําซ้ำ ส่วนใหญ่ยังเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือทําให้คุณภาพชีวิต ในอนาคตดีขึ้น
บุคคลที่อาสาเข้ามาบริหารประเทศจึงควรชูนโยบายเร่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้เป็นคนมี วินัย มีสมรรถนะความสามารถ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความซื่อสัตย์เสียสละ เห็นประโยชน์ ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน เพื่อเป็นรากฐานสําคัญในการพัฒนาประเทศ
การที่แคนดิเดต นายกรัฐมนตรีมีนโยบายเสนอเงินให้คนทั้งแผ่นดินใช้จ่าย พร้อมระบุว่า เงินนี้ควรนําไปใช้หนี้ในระบบได้ ซึ่งหากนโยบายดังกล่าวถูกนําไปใช้จริง ย่อมเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมใช้จ่ายเงินเกินตัวและก่อหนี้ โดยขาดความรับผิดชอบให้กับประชาชน นอกจากนี้ การนําภาษีของประชาชนทั้งประเทศ ไปให้คนบางจําพวกใช้หนี้ส่วนตัว ย่อมเป็นเรื่องมิสมควร
ในช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยมีการใช้งบประมาณเกินตัวอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ มี ความไม่สมดุลระหว่างการใช้จ่ายและการจัดเก็บรายได้ของรัฐ เรียกทางวิชาการว่า การขาดดุลงบประมาณ เมื่อพิจารณาพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี งบประมาณ พ.ศ. 2566 พบว่า มีวงเงินงบประมาณรายจ่ายจํานวน 3,185,000 ล้านบาท ในขณะรายได้ที่จัดเก็บได้เป็นเงินเพียง 2,490,000 ล้านบาท จึงต้องมีการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจํานวน 695,000 ล้านบาท ซึ่งรวมเป็นองค์ประกอบสําคัญของหนี้สาธารณะ
ข้อมูลจากสํานักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า ปี พ.ศ. 2564 ประชากรอายุ 16 ปีขึ้นไปมีจํานวน ประมาณ 53.71 ล้านคน ดังนั้น หากให้เงินคนเหล่านี้หัวละ 10,000 บาท จะต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้น 537,100 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 17 ของวงเงินงบประมาณแผ่นดินปี พ.ศ.2566 ซึ่งผู้แถลงนโยบายระบุว่า เงินที่นําไปใช้จ่ายในโครงการนี้ส่วนหนึ่งจะมาจากงบประมาณแผ่นดิน โดยตัด ทอนสวัสดิการบางอย่างลง รวมถึงรายได้จากการจัดเก็บภาษีของรัฐที่เพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยนโยบายดังกล่าว
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงพบว่า รายจ่ายส่วนใหญ่ของงบประมาณ แผ่นดินประมาณกว่าร้อยละ 75 เป็นรายจ่ายประจํา ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นการยากที่จะลดรายจ่ายดังกล่าวลง ในระยะเวลาอันสั้น ส่วนกรณีที่อ้างว่า จะมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ก็เป็นเรื่องอนาคตที่ยังไม่ มีความแน่นอน ด้วยเหตุนี้ แหล่งที่มาของเงินก้อนมหึมาจํานวนมากกว่า 530,000 ล้านบาทจากนโยบายนี้ จึงหนีไม่พ้นการก่อหนี้โดยวิธีการต่างๆ ส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศต้องทะยานสูงขึ้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
(พ่อครูว่า… อาตมาตัดสินเลยว่า คุณเศรษฐา ทวีสิน ที่ร่ำรวยจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ วิธีคิดแบบนี้ไม่เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างยิ่ง
และ ก็บอกกับคนส่วนใหญ่เลยว่า อย่างอาตมานี้ อายุ 88 ได้เงินช่วยเหลือผู้อายุยาว 800 บาทต่อเดือน อาตมาไม่เคยไปรับมาจากรัฐบาลเลย และ พวกเราก็มีอีกเยอะที่ไม่ได้ไปรับ เรามีพอใช้จ่ายอยู่ ให้รัฐบาลนำไปทำงานเถอะ เราไม่ได้เป็นภาระของทางโน้นช่วยเบาภาระรัฐบาลไป)
การพุ่งสูงขึ้นของหนี้สาธารณะหมายถึงค่าเสียโอกาสของการใช้งบประมาณ ในอนาคตแทนที่ รัฐบาลจะสามารถนํารายได้จากการจัดเก็บภาษีไปใช้จ่ายสําหรับการพัฒนาประเทศ แต่กลับต้อง นําไปใช้หนี้ซึ่งเกิดจากการใช้จ่ายเงินเกินตัวของรัฐในเรื่องที่ไม่เหมาะสมในอดีต กล่าวโดยเฉพาะ การก่อหนี้เพื่อมาใช้จ่ายเป็นการผลักภาระความรับผิดชอบด้านภาษีจากคนรุ่นปัจจุบันไปยังคนรุ่นอนาคต การใช้จ่ายของรัฐที่เกิดขึ้น จึงควรถูกนําไปใช้ในโครงการที่เป็นการลงทุน ซึ่งจะทําให้คนรุ่นต่อไปได้รับ ประโยชน์ อาทิ การสร้างสาธารณูปโภค การรักษาสิ่งแวดล้อม การศึกษา
อย่างไรก็ดี สําหรับโครงการนี้ ในขณะที่คนรุ่นปัจจุบันซึ่งอายุ 16 ปี ขึ้นไป ได้ประโยชน์จากเงินหมื่นบาท ที่สามารถนําไปจับจ่ายใช้สอยพร้อมชําระหนี้ส่วนบุคคล คนรุ่นหลังซึ่งไม่ได้รับประโยชน์จาก โครงการแม้แต่น้อย กลับต้องแบกรับภาระหนี้ประเทศ ถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูง เพื่อเป็นงบประมาณจ่ายคืนการกู้ยืมเงินในโครงการที่นักการเมืองใช้หาเสียงกับคนรุ่นปัจจุบัน เปรียบดั่งนักการเมืองยื่นน้ําผึ้งที่มีรสหวานหอมให้คนรุ่นนี้ แต่อนิจจามันจะกลับกลายเป็นยาพิษที่แสนขมขื่น ทําให้คนรุ่นหลังต้องทนทุกข์ทรมานจากการกระทําของบรรพชนอย่างแสนสาหัส ขอคนไทยรวมทั้งนักการเมืองไทยยุค พ.ศ.นี้ โปรดไตร่ตรอง
พ่อครูว่า… เตือนสติกันก็ดี ผู้รู้ก็เตือนกันอย่างนี้แหละ
นายกฯไทยคนที่ 30 ของโพธิรักษ์โพล
_คุณดั่งชัย(จำรัส ช่วงชิง) … มันเป็นเรื่องเดียวกันครับ เท่าที่ผมฟังพ่อท่านเทศน์มาหลายครั้ง ตั้งแต่รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ช่วงที่ ทนายนกเขากับจตุพรมาพบพ่อท่าน เขาก็บอกว่า พลเอกประยุทธ์เป็นคนไม่ดี แต่พ่อท่านยืนยันว่าเป็นคนดี
และช่วงปลุกเสกมีคำถามหนึ่งว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ใช่โพธิสัตว์หรือเปล่า พ่อท่านก็บอกว่าเป็นโพธิสัตว์
แล้วมาวันนี้ครับ คุณใหม่เสมอ ตั้งคำถามพ่อท่านว่า ทำไมพ่อท่านสนับสนุนและเชียร์ให้พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกต่อไป พ่อท่านก็ยืนยันและตอบชัดเจนว่าเป็นคนดี นอกจากพ่อท่านจะยืนยันแล้ว ท่านที่ปรึกษาไตรรงค์ก็สนับสนุนอีกว่าเป็นคนดี คนๆนี้ไม่เคยคบคนชั่ว คบแต่คนดี
ผมก็ไปชวนให้ ช่วยกันไหมเดินหน้าประเทศไทย ช่วยให้ พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกอีกครั้ง
ญาติธรรมหลายท่านบอกว่า พ่อท่านยังไม่ประกาศ ก็เลยอยากให้พ่อท่านประกาศว่า เราควรเอาภาระมากน้อยเท่าไหร่
พ่อครูว่า… ควรเอาภาระไหม … ควร ควรเอาภาระ ควรสนับสนุน ควรส่งเสริมพลเอกประยุทธ์ให้ขึ้นมาเป็นนายกต่อไปอีก เท่าที่ดู candidate นายกแต่ละคนๆอาตมาก็ว่า ราคาของ พลเอกประยุทธ์นี้เป็นที่ 1 นะ นี่โพธิรักษ์โพล
เพราะฉะนั้นใครจะฟังโพลไหนก็แล้วแต่ ตอนนี้โพธิรักษ์โพลว่าอย่างนี้ ต้องการให้อาตมาประกาศ.. ประกาศไปแล้วนะ
ควรสนับสนุนส่งเสริมให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกต่อไป อยู่ในขณะนี้คือบุคคลแล้ว คู่แข่งขันที่ลงสนามขณะนี้ ตามระบบของการเมือง เห็นหน้ากันอยู่มีใครบ้าง มีพิธา มีเศรษฐา มีอนุทิน มีสุดารัตน์.. แต่ละพรรคก็บอกว่า ผมพร้อมจะเป็น ดิฉันพร้อมจะเป็นนายกเลยนะ อาตมาก็ยังเห็นว่า นายกประยุทธ์ควรจะเป็น
วิธีแยกกายแยกจิตอย่างลัดคัดสั้น
_ซึ้งซื่อ… ผมอยากจะถามพ่อท่านว่า คืนนี้เอื้อไออุ่น พ่อท่านมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง และอยากให้พ่อท่านอธิบายแยกกายแยกจิตด้วยครับ
พ่อครูว่า… ก็เห็นใจนะ คำว่าแยกกายแยกจิตไม่ใช่เรื่องตื้นเขิน เป็นเรื่องที่ยากยิ่งที่จะเข้าใจอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์
ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า แยกกายแยกจิต ไม่ได้ดี ถึงขีดเพียงพอ เข้าใจไม่สัมมาทิฏฐิเพียงพอ ไม่มีทางบรรลุอรหันต์ อาจจะบรรลุความดี บรรลุความเจริญ แต่มันจะไม่ตัดขาดกิเลส และก็รู้จักรอบแห่งการตัดขาดกิเลสไปตามคำว่า โลก คำว่า การสัมพันธ์ระหว่างกายนอกกับสิ่งข้างนอก
เช่น สมมุติง่ายๆขณะนี้มี กล้วย เขาเรียกว่ากล้วยดาบหรือกล้วยงาช้าง ลูกเบ้อเริ่มเลย คนที่เขาเห็นสัมผัสแล้วปั๊บก็บอกว่าน่ากินน่ากินอยากกิน ชอบใจ เห็นสัมผัสแล้วน่ากิน คุณยังมีการสัมผัสๆเกี่ยวข้องและยังมีความเห็นว่า น่าได้ น่ามี น่าเป็น น่าอยากอยู่ นั่นคือคนที่ยังมีโลกเกี่ยวพันกับอันนี้อยู่
กายมีภายนอกกระทบด้วยตา อาจจะได้กลิ่นด้วย ได้รส ได้สัมผัสด้วยอะไรก็แล้วแต่ แต่มันไม่ได้ออกเสียงมา แต่ชอบใจ นี่คือคุณยังติดยึดเกี่ยวข้อง ยังเป็นโลก คุณยังดับโลกของการติดอันนี้ ยังไม่ได้
แต่ถ้าคุณสัมผัสแล้วก็เห็นว่า เออ เฉยๆ รู้ความจริงตามความเป็นจริง หมายความว่าสัมผัสแล้วก็รู้ว่า กล้วย กล้วยนี้มันมีความแตกต่างจากกล้วยชนิดอื่น กล้วยงาช้างหรือกล้วยดาบลูกมันโตมันใหญ่กว่ากล้วยเล็บมือนางเยอะ ก็รู้ความจริงเท่านั้นเอง รสมันอาจจะหวานไม่เท่ากล้วยเล็บมือนาง เออ…ก็สู้ไม่ได้ ก็ไม่ได้ติดใจว่า เราติดใจกล้วยเล็บมือนาง กล้วยดาบเราไม่ติดใจ ก็ไม่ใช่
ก็รู้ความเป็นจริงว่า ถ้าเกิดสมควรจะต้องกินก็กินได้ กินกล้วยเล็บมือนางก็ได้ กินกล้วยดาบก็ได้ ไม่ได้ผลักหรือดูดได้อย่างไร
ถ้าเราจะต้องรับเพื่อจะกินเป็นอาหารเลี้ยงชีวิต เราก็กินมัน ไม่เกิดภาวะผลักหรือดูด.. กลางๆ.. อย่างนี้คือจิตไม่มีชอบไม่มีชัง ไม่มีอยากได้หรือไม่อยากได้ กลางๆ มีแต่ปฏิภาณปัญญาเห็นว่าควรไหมควรกิน ควรใช้ ควรอาศัยมันไหม ถ้าไม่ควรอาศัยก็ไม่กิน มันรู้สึกว่ากล้วยนี้มันแสลง ลมมันเยอะหรืออะไรก็แล้วแต่อะไรอย่างนี้เป็นต้น เราไปรู้มันอีก ยิ่งไม่ควรใหญ่เลย ก็ว่าไป อย่างนี้เป็นต้น รายละเอียดเหล่านี้เราจะค่อยๆมีปฏิภาณความเฉลียวฉลาดที่จะรู้รายละเอียดเหล่านี้ไปเรื่อยๆ
แม้มันไม่ละเอียดมัน หยาบ มันผลักก่อน มันถูกต้อง คุณก็รอดจากมันได้แล้ว และยิ่งถ้ามีเหตุผลอธิบายเพราะเหตุว่าไม่ควร เพราะเหตุอย่างนี้อย่างนี้ก็ยิ่งมีภูมิปัญญาปฏิภาณรู้รอบมากขึ้นอย่างนี้เป็นต้น
แต่ถ้าคุณ ละได้ก่อนแล้วก็ดี จริงๆแล้วอะไรๆก็ไม่ควรไปติดไปยึดทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้น ละได้ก่อน ได้แล้ว คุณไม่ได้ขาดอาหาร คุณไม่ได้ขาดสิ่งที่จะมาใช้ในชีวิต พวกส่วนนี้ถ้าจะว่าจริงๆแล้วเป็นส่วนเกินด้วยซ้ำ ไม่ต้องก็ได้ตลอดชีวิตไม่ต้องกินกล้วยดาบเลย รับรอง อยู่เจริญเป็นพระอรหันต์ได้ เป็นโพธิสัตว์ได้ อ้าว ผ่าน
กายกับจิตให้ฟังไปเรื่อยๆจะอธิบายไปตามลำดับ ตอนนี้ขอต๊ะไว้ก่อน ต๊ะไว้ก่อน คือชะลอไว้ก่อนยังไม่ดำเนินการ
_กล้วยงาช้างจากน้าฉ่ำ จากพุทธสถานสีมาอโศก
กดข่มไม่ใช่ใช้ปัญญา ใช้ปัญญาไม่ใช่กดข่ม
_ในการทำงาน เมื่อถูกผู้ร่วมงานบ่นว่าเอา จิตตกวูบ แต่ตั้งสติได้ เหตุการณ์เมื่อกี้มันผ่าน เป็นอดีตไปแล้ว จะมาสลดใจอยู่ทำไมว้า จิตก็ขึ้นวูบเลย
พ่อครูว่า… นี่แหละนักศึกษาก็อ่านอาการของจิตตัวเองได้ว่า โอ้โห พอผู้ร่วมงานบ่นว่าเอา จิตก็ตกวูบเลย พอตั้งสติได้ เมื่อกี้นี้เหตุการณ์เขาว่าไปมันผ่านไปแล้ว พอรู้ว่า มันเป็นอดีตไปแล้ว จะมาสลดใจอยู่ทำไมว้า จิตก็วูบขึ้นเลย
_เคยถามผู้รู้ธรรมะก็บอกว่า นั่นน่ะ เจโตกดข่ม อย่างไรถึงจะลดกิเลสไปตามลำดับคะ
พ่อครูว่า… ก็เป็นได้ เป็นการกดข่ม ผู้รู้เขาว่าอย่างนั้น ก็เป็นได้ กดข่มแล้วพอวูบ ตั้งสติแล้วก็ตื่นขึ้นมาก็คลาย ก็เปลี่ยนแปลง ก็ทำปัญญาให้แจ้งสิ กดข่ม ไม่ใช่ปัญญา สมถะคือการกดข่มให้หยุด ปัสสัทธิคือการสงบให้หยุด
ปัสสัทธิคือเห็นจริงรู้อยู่ อ้อ อย่างนี้เข้าใจด้วยปัญญา ปัสสัทธิที่คือปัญญาสมถะไม่มีปัญญาเป็นศรัทธากดข่ม เราต้องทำปัญญาให้แจ้ง
ก็จริงๆแล้วคนจะติงจะท้วงจะว่าเอา เราก็จะมีอัตตาไปรับเขาทำไม
เรารู้ความจริงว่ากิริยาอาการที่เราเป็นเมื่อกี้ เขาท้วง เขาว่า เขาตำหนิ เออ เขาท้วงว่า ไม่ดีไม่ถูกไม่ควร เราก็เอาคำตำหนิ จริงเขาบอกว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ก็ยิ่งดีใหญ่ จริงอย่างที่เขาว่าไหม
หรือแม้ว่าเขาไม่อธิบายเราก็พิจารณาว่ามันจริงของเขาหรือมันไม่จริง ถ้าจริง โอ้โห แล้วทำไมเราจะต้องถือตัวเขาว่าเราผิดแล้วเราก็ผิดจริงๆเราโง่ เราก็จะเกิดปฏิภาณปัญญาว่า ทำไมเราโง่นะ เขาว่าถูกแล้ว
แต่แม้ว่าคุณจะพิจารณาแล้วคุณก็จะเห็นว่า คุณก็ไม่ผิด ก็อ้าว ถ้าคุณแน่ใจว่า คุณไม่ผิด คุณไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า โง่ไม่ได้อยู่ที่เรา โง่ มันอยู่ที่เขา เขาไม่รู้ความจริง ถ้าเราไม่มีอคติ เราไม่ลำเอียงข้างไหน ให้เราตรวจจริงๆว่าตัวเองเราก็ไม่ได้ผิด ความผิดก็อยู่ที่เขา แต่ถ้าผิดจริง ใช่แล้วเราโง่เราไปทำผิด เขาท้วงก็กราบเขาเลยขอบคุณเขา
นี่คือการปฏิบัติธรรม ไม่ถือตัวแล้วก็พิจารณาถึงภาวะองค์ประกอบความจริงทั้งหมดให้ชัดเจน
เวทนาคืออะไร
_ดช.ธัมโม… ถามมาว่า เวทนาคืออะไรครับ
พ่อครูว่า… ดช.ธัมโมฟัง เวทนา คือ เรานี่แหละ เราเองนี่ เกิดอารมณ์ เกิดความรู้สึก ฟังรู้จักความรู้สึกไหมล่ะเด็กชายธัมโม เรารู้สึกในใจของเรานี่ เรียกว่า เวทนา เวทนาคืออันนี้ รู้สึกด้วยใจ รู้สึกโกรธ รู้สึกไม่ชอบใจ รู้สึกชอบใจ นั่นแหละคือเวทนา ชอบใจก็เป็นเวทนา ไม่ชอบใจก็เป็นเวทนา เป็นเวทนาทั้งคู่ ความรู้สึกอย่างนั้นแหละ อาการที่มันรู้สึกอย่างนั้น เราก็รับรู้ อ่านอาการของเรา เมื่อมันเกิด เกิดอารมณ์อย่างนี้เมื่อไหร่ เอ่อ…เราก็รู้อารมณ์ของเราทัน ทำไมอารมณ์เราต้องไม่ชอบหรือชอบ
ไม่ชอบหรือชอบนี้มันโง่ อย่าไปชอบหรือไม่ชอบ นี่ฉลาดขึ้น ให้รู้ความจริงแล้วก็พิจารณาความจริงว่า เห็นควรหรือไม่ควรสิ่งเหล่านี้ นั่นคือความจริงที่ควรจะรู้ควรจะทำ
ชอบหรือไม่ชอบเป็นอาการของจิตผลักหรือดูด ไม่ชอบก็ผลักชอบก็ดูดเอา มันก็เป็นอาการอย่างนั้น ไหวไหมนี่ดช.ธัมโม ค่อยๆอธิบายไปเรื่อยๆเขาก็ซึมซับ อย่างน้อยก็ Absorb อย่างลึกก็เป็น Osmosis
ลูกกตัญญู กับ ลูกอกตัญญู ต่างกันอย่างไร
_พ่อครู มีคำนิยามเกี่ยวกับ “ลูกกตัญญู VS ลูกอกตัญญู” อย่างไรคะ
พ่อครูว่า… ก็มันตรงกันข้ามกัน ลูกกตัญญูก็หมายถึงลูกที่เขารู้จักบุญคุณ Vs ลูกอกตัญญู มันก็ตรงกันข้ามกัน ไม่ได้ยากอะไร คือคนรู้บุญคุณของพ่อแม่เรียกว่า ลูกรู้จักบุญคุณของพ่อแม่ นั่นเรียกกว่า ผู้มีกตัญญู ส่วนลูกที่ไม่รู้จักบุญคุณพ่อแม่เลยคือ ลูกอกตัญญู เปรียบได้กับเดรัจฉาน หมูหมากาไก่มันไม่รู้พ่อแม่มัน ต่างคนเกิดมาแล้วก็ต่างไป แต่คนจะต้องรู้บุญคุณของพ่อแม่ ผู้ให้กำเนิดนี่ มันมีกรรมวิบากมีเรื่องลึกซึ้ง มีกรรมกิริยาอะไรต่ออะไรอีกเยอะแยะ ยิ่งพ่อแม่ที่ดี เลี้ยงดูเรามาจนโตจนดีจนได้ดี แล้วเราก็อกตัญญู นี่โอ้โห มันชั่วมากเลยนะ
แม้ว่าพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเรามาแล้วไม่ได้เลี้ยงดู ไม่ได้ทำให้เราเจริญอะไร แต่เราเจริญเองก็ตาม จะให้กำเนิดก็เป็นผู้มีบุญคุณแล้ว ที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ดีไม่ไปเกิดในท้องหมา เกิดในท้องคน พ่อแม่นี้ได้ทำให้เราเกิดมาเป็นคน เกิดมาเป็นคนก็ดีกว่าเข้าไปในท้องหมาและไปเป็นลูกหมาใช่ไหม ก็ต้องขอบคุณพ่อแม่อย่างนี้เป็นต้น ไม่ยาก ง่ายๆ
ทำอย่างไร ให้เราไม่กลัว ความลำบาก และไม่ติดหลงความสบาย
_ทำอย่างไร ให้เราไม่กลัว ความลำบาก และไม่ติดหลงความสบาย
พ่อครูว่า… ประเด็นคือความลำบากและความสบาย ก็เป็นประเด็นที่คนแต่ละคนเคยมีเคยเกิดทั้งนั้นแหละ กลัวความลำบากแล้วก็ชอบความสบาย
ก็มาขยายความว่า ความลำบากกับความสบาย ในเทวทหสูตรท่านตรัสว่า ผู้ตั้งตนความลำบาก กุศลธรรมเจริญยิ่ง ผู้ตั้งตนอยู่บนความสบาย อกุศลธรรมเจริญยิ่ง ใครจะเอาแบบไหนเอ่ย
ที่นี้มาตีความสบายกับตีความลำบาก ภาษาไทยๆ
ความสบายของภาษาไทยก็หมายความว่า สบาย ชอบใจ ยินดีสะดวกดี ง่ายดี อะไรก็แล้วแต่ ง่ายดีไม่ยากไม่ลำบาก ทีนี้ความลำบาก มันยากก็ต้องต่อสู้ ก็ต้องอุตสาหะ มันก็ต้องพากเพียร อาตมาค่อยๆอธิบายภาษาให้ฟัง
เพราะฉะนั้นคนที่พากเพียรจะเกิดการเจริญไหม …เจริญ กว่าที่ปล่อยไปตามสบายเรื่อยๆ มันจะมีอะไรเจริญไหม ก็ไม่มีอะไรเจริญ แค่นี้ถ้าใครมีปฏิภาณรู้ว่า ควรจะปล่อยตัวตามสบายแล้วมันก็จะยิ่งเสพติดการสบายและไม่ได้ขยัน ไม่ได้รู้เรื่องอะไร ไม่ได้มีทักษะ ไม่ได้มีความชำนาญ ไม่ได้มีความรู้อะไรเกิดอะไรที่ดีขึ้น สร้างสรรค์อะไรก็ไม่เกิดอะไรเลย ควรตายซะ หนักแผ่นดิน กินข้าวเขาเปลืองเปล่าๆ
ก็อธิบายง่ายๆอย่างนี้
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ตั้งตนอยู่บนความลำบากกุศลธรรมเจริญยิ่ง ผู้ตั้งตนอยู่ในความสบายนี้ เสื่อม ก็ถูกต้องทุกอย่าง เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัวความลำบาก เรารู้พักรู้เพียร รู้อุตสาหะวิริยะ
ในโพธิสัตวภูมิโอ้โหก็ต้องสู้ความลำบาก ในขนาด ท่านมีการอธิบายไว้ว่าถึงขั้น จะต้องไปให้ถึงพุทธภูมิให้ได้ กระเสือกกระสนไป หมดแรง กระเสือกกระสน มือขาดมือด้วน ตีนขาดตีนด้วน เหลือแต่หน้าอก กระเสือกกระสนเอาหน้าอกไถไปเลือดโทรมก็ต้องไป ไปให้ถึงจุดพุทธภูมิ เป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องลำบากถึงขนาดไหนก็ต้องสู้
แล้วทีนี้โพธิสัตว์จะเป็นยังงั้นสำหรับคนที่มีวิบากสูง จะต้องสู้อย่างนั้นจริงๆแล้วผ่านได้มาก็จะเจริญขึ้นเจริญขึ้น เบาลงเบาลง สะดวกขึ้นสะดวก
อย่างอาตมาโพธิสัตว์ระดับ 7 ไม่ต้องร้ายแรงขนาดนั้น ชาตินี้ถูกแก๊สน้ำตาเท่านั้นเอง คนจะเตะจะถีบก็ไม่เคยโดน ชาตินี้ไม่มีใครมาเตะมาถีบ โดนแก๊สน้ำตาเท่านั้นเป็นสิ่งที่กระทบจากคนที่มุ่งร้ายและก็ทำมา แล้วก็แก๊สน้ำตานั้นเขาไม่ได้มุ่งร้ายมาที่อาตมาหรอก อาตมาไปร่วมกับหมู่เท่านั้นเองแล้วก็ได้รับมาด้วยกันเท่านั้นเอง ไม่ใช่เจตนาที่ว่าไปมุ่งหมายจะฆ่าอาตมาจะทำร้ายอาตมา
_กราบนมัสการพ่อครูค่ะ…เรื่องกายง่ายๆบวกเป็นคนเจโตบวกปัญญาปัจจุบัน ได้เกิดปัญญาคำสอน ของพ่อผู้รู้จบ อดีตเก่าๆๆ ศรัทธาไปตามกิเลสตัณหาปัจจุบัน ฟังธรรมะเรื่อง กายในกาย ศรัทธาจิตตั้งมั่นอยู่ตรงนี้ อุภโตภาควิมุติ บวก ดิฉันออกมาจากสิ่งที่รักหลง ลูกหลานพรากออกมาทุกๆ รูปกาย ตักข้าวขาวให้เพื่อน ตักข้าวแดงเขาบอกร้อน ดิฉันบอกกายในเย็น รูป นาม รวม สงบเย็นสงบสบายค่ะ
พ่อครูว่า… แต่รวมแล้วค่ารวมแล้วเขารู้เพิ่มขึ้น อาตมาสรุปรวมแต่ละอย่างแต่ละอย่างของ แจ๊วไม่ได้ แต่เข้าใจ ตามที่เขียนมานี้เข้าใจว่า แจ๊ว กำลังรวบรวมและเข้าใจไปได้เรื่อยๆ ได้ไม่ขัดอะไร แต่ว่ามันยังเยอะ เศรษฐีบ้านนอก ปนกันไปหมด ก็ค่อยๆเรียบเรียงไป ก็เจริญตามภาวะของเขา เขาไม่ได้เรียนหนังสือหนังหามา เขาก็พยายามเขียนตัวหนังสือมา สะกดมา ก็เจริญไปเรื่อยๆ อยู่กับหมู่นี้ได้
คนกินเนื้อสัตว์บาปกว่าคนฆ่าสัตว์หรือไม่
_ดญ.ใสกลางเพ็ญ… หลวงปู่คะ คนขายเนื้อสัตว์ vs คนกิน ใครบาปกว่ากันคะ
พ่อครูว่า… ดญ.ใสกลางเพ็ญ 7 ขวบ … เขาอยากรู้ว่าอะไรใครบาปกว่ากัน มันก็บาปด้วยกันทั้งคู่ ขายก็บาป กินก็บาป อันนี้ ดญ.ใสกลางเพ็ญ รู้ก่อนนะว่า อย่าขาย พระพุทธเจ้าก็ห้ามขาย มิจฉาวณิชชา 5 มี 1.อย่าค้าขายอาวุธ 2. อย่าค้าขายสัตว์เป็น 3. ยาค้าขายเนื้อสัตว์ 4. ยาค้าขายอาวุธ 5. อย่าค้าขายยาพิษ (พตปฎ. เล่ม 22 ข้อ177)
5 อย่างที่ไม่ให้ค้าขายกันในมนุษย์ ไม่ใช่แค่นักบวช นักบวชนั้นไม่ค้าไม่ขายอะไรเลย ไม่ซื้อไม่ขาย นักบวชนี้ซื้อไม่ได้ขายไม่ได้ คนที่ยังค้ายังขายอยู่ก็มีประเด็นว่า
อย่าค้าขายอาวุธ สัตตวณิชชา
อย่าค้าขายสัตว์เป็น สัตตวณิชชา
อย่าค้าขายเนื้อสัตว์ มังสวณิชชา
อย่าค้าขายของมึนเมา มัชชวณิชชา
อย่าค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ วีสวณิชชา
ทีนี้ถามมาประเด็นว่า คนขายเนื้อสัตว์กับคนกินใครบาปกว่ากัน
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านเคยพูดไว้ในอดีต ว่า Demand Supply คนที่เป็นมือปืนฆ่ากับผู้ที่ว่าจ้างค่า คนว่าจ้างฆ่ามีโทษหนักกว่า เปรียบเทียบได้ว่าคนที่มีความอยากในการกินคือผู้ที่สั่งฆ่า
พ่อครูว่า… ตกลงรู้นะน้ำมนต์ ว่า ผู้ที่สั่งฆ่ากับคนที่ฆ่า คนสั่งฆ่าร้ายกาจกว่า
ในประเด็น 5 ประการ ในชีวกสูตร ลึกซึ้งสูงสุดเกี่ยวกับเรื่องเนื้อสัตว์
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) 2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส 3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้” 4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส 5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60